Group Blog
 
All blogs
 

Star Watching Dog (2011): ตามรอยซึ้งเจ้าโฮ่งฮับ

ญี่ปุ่น


Star Watching Dog (2011) :
เห็นญี่ปุ่นส่งออกแต่หนังแนว ซาดิสม์, โหดๆ, โป๊ๆ, ตลกบ้าๆ บอๆ แล้วอย่าเพิ่งคิดว่าคนญี่ปุ่นเขาโรคจิตซะหมดประเทศล่ะ เพราะที่จริงยังมีดราม่าดีๆ หรือหนังที่สร้างสรรค์อีกเยอะ โดยเฉพาะหนังอีกแนวที่เป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่นก็คือหนังแนว 'หมาๆ' ที่มีสร้างออกมาเอาใจบรรดาคนรักหมาอยู่ทุกบ่อยๆ จนถือว่าญี่ปุ่นเนี่ยเขาเป็นประเทศที่รักหมาไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย

วิวสวยหมาน่ารัก แต่นางเอกน่ารักกว่านะ อิอิ
และหนังหมาๆ เรื่องนี้ก็สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนขายดีของ ทาคาชิ มุราคามิ อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพอันแสนงดงามของเจ้า Happy น้องหมาพันธุ์อากิตะ กับคุณลุงคนหนึ่งที่ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วออกเดินทางตะลอนทัวร์ด้วยรถตู้ไปทั่วญี่ปุ่นจนเกิดเรื่องราวสุดประทับใจตามมาเป็นคันรถบรรทุก ซึ่งบอกเลยว่างานนี้บรรดาคนรักหมาทั้งหลายมีสิทธิ์น้ำตานองหน้าอีกแล้วครับท่าน!

น้องหมายังเล็กใครๆ ก็เอ็นดู
ผกก.โทโมยูคิ ทาคิโมโต้ (Ikigami [2008]) ผู้ถนัดสร้างหนังดราม่าจากหนังสือการ์ตูน ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีในผลงานของเขาเรื่องนี้ เพราะถึงหนังจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหมาๆ ที่เน้นประทับใจเยี่ยงหนังแนวนี้ทั่วๆ ไป แต่ก็ออกมาดูมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องอยู่พอสมควร เพราะใช้วิธีการนำเสนอแบบตามรอย ย้อนรอย ตัดสลับไปมาระหว่างสองเหตุการณ์สองยุค (แต่เกี่ยวเนื่องกัน) โดยไม่ดูสับสน และยังรู้จักใช้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นในอดีตของประเทศญี่ปุ่นทั้งการเมือง เศรษฐกิจ มาเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อเรื่องราวของหนังอีกด้วย

พอโตแล้วใครๆ ก็หน่าย
ไอ้เราที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนต้นฉบับมาก่อน (ตามฟอร์ม) ก็เลยไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตัวหนังได้เพิ่มลดอะไรไปมากแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นหนังก็เดินเรื่องในแบบเรื่อยๆ นุ่มๆ แต่แอบเศร้า ขายวิวทิวทัศน์อันสดใสและชีวิตความเป็นอยู่แบบบ้านๆ ของคน ตจว.ประเทศเขา ที่ช่างดูแล้วเพลินตาเพลินใจดีแท้ แม้ว่าหนังอาจดูเหมือนจะลากยาวไปบ้างกับระยะเวลา 2 ชม. แต่ถึงช่วงท้ายแล้วเนี่ยก็เศร้าซึ้งถึงขั้นเอาตายเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับบรรดาคนรักหมาทั้งหลาย (ส่วนขาจรทั่วไปอาจจะรู้สึกเฉยๆ กับหนัง)

แต่ยกเว้นเจ้า Happy ในหนังนะฮับ
หนังตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าถึงการที่ผู้คนนิยมเอาน้องหมามาเลี้ยงเพราะเห็นว่ามันน่ารักดีในตอนเล็กๆ แต่พอมันโตไปก็เริ่มจะเป็นที่น่าเบื่อหน่าย และเห็นมันเป็นภาระที่ควรผลักไสไปให้พ้นๆ เราซะงั้น ทั้งๆ ที่สำหรับพวกมันแล้ว เราคือผู้เดียวบนโลกนี้ที่มันจะรักและจงรักภักดีอย่างสุดหัวใจไปจนวันตาย ดังนั้นก่อนจะเอาน้องหมามาเลี้ยงโปรดคิดตรองดูให้ดี ว่าเราพร้อมแล้วหรือไม่ที่จะมีพันธะผูกพันระยะยาวกับน้องหมาเช่นนี้ น้องหมาก็มีหัวใจเน้อ ขอบอก

ปกหนังสือการ์ตูนต้นฉบับของหนัง
  • + หนังดราม่าสุดประทับใจสำหรับบรรดาผู้รักหมาทั้งหลาย วิวทิวทัศน์ญี่ปุ่นก็แสนงดงามดูเพลินตายิ่งนัก
  • - หนังเดินเรื่องเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ายาวไปนิดสำหรับเวลาสอง ชม. และสำหรับคนที่เฉยๆ กับน้องหมาก็คงจะเฉยๆ ไปกับเรื่องนี้ตามระเบียบ



*รีวิวหนังของ ผกก.ทาคิโมโต้ และหนังหมาๆ เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2555 22:29:38 น.
Counter : 5686 Pageviews.  

Warriors of the Rainbow: Seediq Bale (2011): ศึกคนเถื่อนกู้แผ่นดิน


ไต้หวัน

Warriors of the Rainbow: Seediq Bale (2011) :
นี่คือภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่แห่งไต้หวันประเทศที่ได้ชื่อว่าใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์หนังไต้หวัน คือประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวหนังเองก็ออกมาประสบความสำเร็จอย่างงามงดงามงด กวาดทั้งเงิน (30 ล้านเหรียญ) กวาดทั้งกล่อง ถึงขั้นได้ไปเฉิดฉายที่เทศกาลหนังเวนิส แถมยังได้เข้ารอบ 9 เรื่องสุดท้ายของรางวัลออสก้าร์สาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมปีล่าสุดอีกด้วย

Braveheart เวอร์ชั่นไต้หวันมาแล้วจ้า
หนังเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของไต้หวัน สมัยครั้งยังถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองเป็นอาณานิคม ในปี ค.ศ.1930 เมื่อชนพื้นเมืองของไต้หวันที่นำโดย Mona Rudao ทนการถูกข่มเหงที่เกิดขึ้นในมาตุภูมิของตนไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้ลุกขึ้นมานำกำลัง "ชาวป่า" ที่มีจำนวนพลเพียง 300 คนของเขาลุกขึ้นขับไล่ฆ่าฟันทหารญี่ปุ่นจำนวนนับพัน จนเป็นที่เล่าขานเลื่องลือถึงวีรกรรมอันกล้าหาญมาจนทุกวันนี้

จะชาติไหนพี่ยุ่นก็เที่ยวไปข่มเหงเขาไปทั่ว
ผกก.เหว่ย เต-เฉิง (Cape No.7 [2008]) ขอคิดการใหญ่ในการนำเรื่องราวประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจของชาวไต้หวันมาขึ้นจอเงิน โดยแบ่งหนังออกมาเป็นสองภาค ซึ่งมีความยาวรวมกันกว่า 4 ชั่วโมงครึ่ง (ป๊าด!) แถมทำเก๋ให้ตัวละครพูดภาษาพื้นเมือง รวมทั้งภาษาญี่ปุ่นทั้งเรื่อง ชนิดที่ว่าแม้แต่คนไต้หวันยังต้องนั่งอ่านซับเอา ส่วนเรื่องความอลังการก็จัดเต็มชนิดที่ดูก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้มีองค์ แถมฉากการรบก็ยิ่งใหญ่ปนดุเดือดเลือดพล่านซะตัดหัวกันเป็นว่าเล่น ให้อารมณ์ประมาณเดียวกับหนังอย่าง Braveheart (1995), Apocalypto (2006) หรือ The Last of the Mohicans (1992) ก็มิปาน

ลิงก์
ฉากรบดุเดือดเลือดพล่านดีแท้
ทราบมาว่าเรื่องราวของ Mona Rudao มีการนำมาเล่าอย่างแพร่หลายในไต้หวัน ทั้งในคราบของละคร ไปยันหนังสือการ์ตูน แต่ในเวอร์ชั่นนี้ ผกก.เขาก็พยายามค้นคว้ามาอย่างเต็มที่ เพื่อพยายามสร้างหนังให้ออกมาสมจริงที่สุด ซึ่งอันนี้ก็น่าชื่นชมยิ่งนัก แต่ยังไงหนังก็ไม่วายโปรความเป็นวีรบุรุษของ Rudao สุดๆ อยู่ดี อีกทั้งเสนอภาพของพวกญี่ปุ่นซะอย่างกับตัวอิจฉาในละครไทยก็มิปาน และสำหรับคนที่ดูเวอร์ชั่นเต็มที่มีสองภาคจะพบว่า ภาคแรกทำได้ดีกว่า ในขณะที่ภาคสองตอนท้ายๆ ช่างชวนสับสนอยู่บ้างในหลายๆ อย่าง

ดูแล้วไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารญี่ปุ่นดี
อีกอย่างที่อาจทำให้ไม่ได้ใจคนดูนัก คือการกระทำของพวกพระเอก ซึ่งโหดซะขนาดที่ว่าสังหารทั้งเด็กและสตรีชาวญี่ปุ่นเรียบจนดูเป็นคนป่ากระหายเลือดไปเลย แถมยังมีมุมมองเกี่ยวกับความตายที่ชวนตะหงิดๆ สำหรับคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่น้อย แต่ก็นะวิธีคิดและวัฒนธรรมของเรากับพวกเขามันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นตอนดูต้องปล่อยใจให้ว่างนิดนึง จะได้ดูหนังได้ตลอดรอดฝั่งฝัน

วิวทิวทัศน์งดงามดูดีมีชาติการ์ตูน
ใครที่ชอบดูหนังสงครามทางประวัติศาสตร์ล่ะก็คงจะถูกใจกันไม่ยาก เพราะในแง่ความบู๊เขาจัดเต็มจริงๆ ในขณะที่ด้านอื่นๆ ก็ยังมีดีไม่น้อย แม้จะค่อนข้างจะเข้าข้างตนเองไปหน่อยเหอะ (แหม ก็เป็นธรรมดาแหล่ะเนอะ) หนังแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า ถึงสงครามจะเป็นเรื่องเลวร้าย ไปจนถึงขั้นดูเหมือนไร้สาระ แต่บางทีมันก็จำต้องเกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะชาติไหนๆ ต่างก็ต้องมีการหลั่งเลือดการพลีชีพของบรรพบุรุษเพื่อที่จะมีแผ่นดินให้ลูกหลานอยู่ต่อไปในอนาคต
  • + อลังการงานสร้างโดยเฉพาะฉากรบอันแสนดุเดือด พยายามสมจริงสมจังเต็มที่ และให้ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์
  • - ยาวโคตร กว่าจะดูจบเล่นเอาเหนื่อย ภาคสองดูสับสนไปบ้าง และหนังโปรตนเองไปป่าวจ้ะ




*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*
หน้าตาของ Mona Rudao ตัวจริง (คนกลาง)
เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะเรา) ไม่ค่อยรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไต้หวันมากนัก (แต่ถ้าเป็น จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลี เนี่ยคล่องเชียว อิอิ) โดยเฉพาะศึก Wushe ที่หนังนำมาเสนอนี้ ซึ่งมีความสำคัญสำหรับชาวไต้หวันมากๆ ประมาณ 'ศึกบางระจัน' ของพี่ไทยเราก็มิปาน ทางบล็อกจึงขอนำข้อมูลย่อๆ ของเหตุการณ์นี้มาแบ่งปันดังนี้

ภาพเขต Wushe ที่เกิดเหตุการณ์นองเลือด
ตั้งแต่ญี่ปุ่นเข้าไปปกครองไต้หวันตั้งแต่ปี ค.ศ.1895 ก็เกิดเหตุการลุกฮือต่อต้านจากชาวพื้นเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมา แต่ครั้งที่เด็ดดวงที่สุดคงไม่พ้นครั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 ต.ค.1930 เมื่อชาว Seediq ชนชาวพื้นเมืองของไต้หวันโดยการนำของ Moba Rudao ได้ใช้โอกาสที่ชาวญี่ปุ่นจัดให้มีการแข่งกีฬาของเด็กนักเรียนประถมขึ้นมา เขาได้รวบรวมนักรบกว่า 300 คน บุกทำลายสถานีตำรวจเพื่อยึดอาวุธพร้อมกระสุน และยกพวกไปที่โรงเรียนแล้วสังหารโหดชาวญี่ปุ่นไปกว่า 134 ศพ รวมทั้งผู้หญิงและเด็กก็ไม่เว้น (ป๊าด!)

สภาพที่เกิดเหตุที่ดูก็รู้ว่างานนี้ 'นองเลือด'
เมื่อฝ่ายญี่ปุ่นทราบเรื่องจึงส่งกำลังทหารจำนวนกว่า 2,000 นายมาปราบปรามทันที ทางฝ่ายชาว Seediq ก็ถอยร่นเข้าไปในภูเขาแล้วใช้วีธีรบแบบกองโจรคอยตอดเล็กตอดน้อยในเวลากลางคืนจนเล่นเอาทหารญี่ปุ่นเสียกระบวนไปไม่น้อย จึงได้ขอให้เครื่องบินเอาแก๊สน้ำตามาทิ้ง ซึ่งถือเป็นการใช้อาวุธเคมีครั้งแรกในเอเซียเลยก็ว่าได้ และหลังจากต้านทานได้กว่าสามสัปดาห์ Mona Rudao จึงตัดสินใจปลีกวิเวกไปยิงตัวตายในที่สุด เพื่อป้องกันการโดนจับไปทำให้เสียเกียรติ

ชาว Seediq ที่ถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวได้
ต่อมาฝ่ายทหารญี่ปุ่นก็สามารถกำหราบผู้ลุกฮือได้ ซึ่งมีชาว Seediq เสียชีวิตไปกว่า 644 ศพ และฆ่าตัวตายไป 290 ศพ เพราะไม่อยากเสื่อมเสียเกียรติ ถึงแม้หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะยังมีการลุกฮือขึ้นมาอีกเป็นพักๆ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่า และค่อยๆ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ก่อนจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านสิทธิของชาวพื้นเมือง กระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไต้หวันได้รับเอกราชเสียที ในปี ค.ศ.1945

อนุสรณ์ของ Moba Rudao
ด้านศพของ Mona Rudao นั้นกว่าจะมีคนไปพบอยู่บนเขาก็กว่าอีก 3 ปีให้หลัง และถูกนำไปแสดงที่ Taihoku Imperial University เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนรุ่นหลัง จนกระทั่งปี ค.ศ.1974 จึงได้ถูกนำไปฝังอย่างถูกต้องตามประเพณีในแถบบ้านเกิดของเขา ทุกวันนี้ชาวไต้หวันมองเขาเป็นวีรบุรุษของชาติ ถึงขั้นมีรูปของเขาบนเหรียญเงินไต้หวัน มีการเล่าเรื่องราวของเขาแก่คนรุ่นหลังผ่านทางหนังสือ ละคร หนังสือการ์ตูน จนล่าสุดก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้นั่นเอง


*คัดข้อมูลแบบย่อๆ มาจาก wikipedia จ้า ผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยเน้อ*




 

Create Date : 29 เมษายน 2555    
Last Update : 29 เมษายน 2555 21:22:03 น.
Counter : 14597 Pageviews.  

Scabbard Samurai (2010): เดชไอ้ซามูไรพันธุ์เห่ย

ญี่ปุ่น

Scabbard Samurai (2010) :
คันจูโร่ โนมิ ซามูไรหนุ่มใหญ่ฟันหลอ ตัดสินใจละทิ้งหน้าที่และดาบซามูไรของตน แล้วหอบ ทาเอะ ลูกสาววัย 9 ขวบออกเดินทางพเนจรไปเรื่อย หลังจากทำใจไม่ได้ที่เมียสุดรักของเขาป่วยตายลง แต่สำหรับซามูไรแล้ว การกระทำเช่นนี้เป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก เขาจึงกลายเป็นนักโทษมีค่าหัวอันเป็นที่ต้องการตัวของทางการและบรรดานักล่าเงินรางวัลไปเสียฉิบ

ซามูไรพันธุ์เห่ยมาแล้วจ้า
และหลังจากที่หลบหนีการตามล่าอย่างทุลักทุเลมานาน ในที่สุดเขาก็โดนทางการจับกุมตัวได้ แต่แทนที่จะต้องโดนบังคับให้คว้านท้องตนเองโดนทันใดตามกฏซามูไร เขากลับได้รับโอกาสจากผู้ปกครองท้องถิ่นเป็นเวลา 30 วัน ในการพยายามทำให้ลูกชายที่ป่วยอารมณ์ตายด้านของใต้เท้ารายนั้นหัวเราะออกมาให้จงได้ ซึ่งถ้าหากว่าเขาประสบผลสำเร็จจะได้รับการยกโทษตาย แต่ถ้าไม่ก็ต้องคว้านท้องตายตามกฏเช่นเดิม

หนังซามูไรที่ไม่มีฉากบู๊ให้เห็นเลย
ฮิโตชิ มัตสึโมโต้ ดาราตลกชื่อดังทางทีวีของญี่ปุ่นที่ผันตัวมาทำหนัง (ประมาณเดียวกับหม่ำจ๊กม๊ก) กลับมาพร้อมด้วยผลงานล่าสุดของที่คราวนี้ขออยู่หลังกล้องอย่างเดียวบ้าง ซึ่งถึงแม้เรื่องนี้จะพาย้อนยุคมาในยุคซามูไร แต่ก็ไม่มีฉากปะดาบให้เห็นกันสักนิด โดยรวมแล้วหนังออกมาตลกโปกฮา ด้วยมุกตลกเจ็บตัวสไตล์ญี่ปุ่นหรือมุกตลกแบบที่เห็นตามรายการโชว์ทางทีวีทั้งหลาย ทว่าบทจะเศร้าซึ้งกินใจ หนังก็เอาอยู่ได้เหมือนกันนะขอบอก

หนังเต็มไปด้วยตัวละครตลกหน้าตาย
นักแสดงแต่ละคนถ้าไม่ออกมาแบบโอเวอร์แอ็คติ้งก็จะมาแบบตลกหน้าตาย ซึ่งพระเอกของเรื่อง คุณ ทากาอากิ โนมิ นั้นมาในสภาพไม่ยอมพูดยอมจาแบบขี้แพ้เต็มขั้น เป็นซามูไรที่หมดสภาพ ไม่ยอมพกดาบ (พกแต่ฝักดาบ) ยามเจอภัยก็เลยต้องเอาแต่วิ่งหนีหน้าตั้ง (ขนาดที่ว่าตัวละครลูกสาวตัวน้อยของเขา ยังมีความเด็ดขาดเด็ดเดี่ยวมากกว่าซะอีก) แต่พอถึงฉากเอาฮาเนี่ย แกไม่ต้องทำอะไรมาก แค่นั่งทำหน้ามึนเฉยๆ ก็ฮาแตกแล้ว ทำให้ได้ใจคนดูไปเต็มๆ ในเวลาอันรวดเร็ว

ดูตลกไหงทำหน้าเครียดกันเช่นนั้น
ไฮไลท์ของหนังคงไม่พ้นช่วงหามุกมาเรียกเสียงฮา ที่มากันแบบมุกต่อมุกอย่างกับรายการทีวี ซึ่งแรกๆ ก็ฮาดีหรอก แต่มากๆ เข้าก็ชักจะฝืด นี่ยังดีที่มีทีมนักแสดงหลักที่มีเสน่ห์เรียกรอยยิ้ม และตอนท้ายที่หักมุมมาเอาซึ้งเรียกความประทับใจ (และหยดน้ำตา) ได้อยู่ หนังจึงหลุดพ้นจากการถูกตีตราว่าเป็นหนังตลกบ้าบอไปในที่สุด นี่จึงเป็นหนังตลกน้ำดีแฝงสาระที่ทำให้ชื่อของ ผกก.มัตสึโมโต้ เป็นที่น่าจับตามองต่อไป คอหนังญี่ปุ่นทั้งหลายทราบแล้วเปลี่ยนจ้า
  • + ฮากับมุกตลกเจ็บตัวสไตล์ญี่ปุ่น นักแสดงหลักที่มีเสน่ห์ มีสาระ แถมจบซึ้งประทับใจได้อีกแน่ะ
  • - มุกฮาจัดเต็มอย่างกับรายการโชว์ทางทีวี จนดูๆ ไปชักไม่ขำ และหนังซามูไรอะไรฟะ ไม่มีบู๊เลย




 

Create Date : 12 เมษายน 2555    
Last Update : 13 เมษายน 2555 10:15:33 น.
Counter : 3738 Pageviews.  

Sword of Desperation (2010): ซามูไรดาบร่อแร่


ญี่ปุ่น


Sword of Desperation (2010) :

คอหนังซามูไรเน้นคุณภาพมีอันได้เฮกันอีกแล้วเมื่อผลงานของ ชูเฮ ฟูจิซาว่า เจ้าพ่อนิยายซามูไรถูกหยิบมาทำหนังอีกเรื่อง ตามหลังผลงานเด็ดๆ ของเขาที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันดีอย่าง The Twilight Samurai (2002), The Hidden Blade (2004) และ Love and Honor (2006) นั่นไง


ดูมาดพระเอกก็รู้ว่าเรื่องนี้ซีเรียส
มาเรื่องนี้ก็ว่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยเอโดะ ของ คาเนมิ ซันซอม่อน (เอตสึชิ โทโยกาว่า จาก ไตรภาค 20th Century Boys) ซามูไรหม้าย นิสัยพูดน้อยฟันหนักที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาฟัน (ฆ่า) สนมเอกแสนรักของเจ้านายตน แบบที่ช็อคกันไปทั้งปราสาท แต่แทนที่เขาจะถูกบั่นคออย่างใจคิด กลับโดนลงโทษเบาะๆ ให้ถูกกักบริเวณในบ้านเป็นเวลาหนึ่งปี แถมพ้นโทษมายังถูกตั้งให้เป็นหัวหน้าองครักษ์อีกต่างหากซะงั้น (?!) เล่นเอาพระเอกและคนดูงงชีวิตไปตามๆ กัน ซึ่งงานนี้จะมีลับลมคมในหรือจะออกมาท่าไหนต่อไปนั้นก็ต้องติดตามดูกันต่อไปแหล่ะจ้า


หน้าตาพระนางของเรื่อง
คนที่เคยผ่านตาหนังเรื่องที่เอ่ยถึงข้างต้นซึ่งสร้างจากผลงานของคุณฟูจิซาว่านั้นคงจะรู้ดีว่าหนังจะออกมาประมาณไหน ซึ่งก็รวมถึงเรื่องนี้ด้วยที่ยังคงเดินเรื่องเนิบช้า นิ่งๆ แต่มั่นคง เน้นฉากดราม่ามากกว่าฉากบู๊ แต่พอถึงเวลาจะบู๊ก็เด็ดไม่ใช่เล่น หนังโดดเด่นทางด้านเสื้อผ้าหน้าผม การแสดงขนบธรรมเนียมประเพณีรูปแบบการใช้ชีวิตอันอ่อนช้อยประณีตบรรจงของคนญี่ปุ่นยุคโน้น แถมยังมีวิวทิวทัศน์อันงดงามมาให้ชื่นชมได้อีก

ฉากบู๊มีน้อยแต่เข้าท่า
ดังนั้นถ้าคาดหวังจะหนังจะออกมาบู๊กันมันส์หยด ฟันกันเลือดสาดทั้งเรื่องก็คงจะผิดหวังแน่ ส่วนการที่หนังเดินเรื่องเนิบๆ นิ่งๆ รวมทั้งการเล่าเรื่องสลับช่วงเวลาไปมาที่ค่อนข้างชวนสับสนนิดๆ นั่นก็อาจเป็นปัญหาสำหรับหลายๆ คนเช่นกัน คือจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ แต่ถ้าท่านชอบหนังซามูไรเน้นดราม่าล่ะก็ นี่เป็นหนังดีอีกเรื่องที่คงจะเป็นที่ถูกอกถูกใจ โดนใจไม่ใช่น้อย ใครมีหูจงฟังเถิด

เสื้อผ้าหน้าผมวิวทิวทัศน์งดงาม
และแน่นอนสำหรับการพูดถึงวิถีซามูไร ซึ่งในคราวนี้แสดงให้เห็นว่าบางครั้งซามูไรก็ต้องยอมเสียสละตนเองเพื่อทำสิ่งที่อาจขัดใจเจ้านายและคนรอบข้างเพื่อผลดีของส่วนรวม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังตอกย้ำให้เห็นถึงความชีช้ำของซามูไร ที่ต้องเชื่อฟังเจ้านายแบบสุดๆ ชนิดที่ว่าให้ไปตายก็ต้องไป แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเจ้านายตนนั้นเป็นคนที่ชั่วร้ายมากแค่ไหนก็ตาม ซึ่งนั่นก็ทำให้คนดีๆ หลายคนอาจต้องตายเพื่อคนเลวๆ แค่คนเดียว แล้วนับประสาอะไรกับชาวบ้านตาดำๆ ที่แทบไม่มียศศักดิ์หรือมีค่ามีตัวตนในสังคมเลย ซึ่งก็น่าแปลกจริงที่ทุกวันนี้ เรื่องคล้ายๆ แบบนี้ก็ยังเกิดขึ้นในบางแห่งของสังคมโลกอยู่เลย ว่ามั้ย?
  • + หนังซามูไรเน้นดราม่า แสดงความ ประณีตบรรจง งดงาม ตามวิถีของชาวญี่ปุ่น แต่ถึงคิวบู๊ก็เด็ดขาด แบบที่คอหนังแนวนี้ชื่นชอบกัน
  • - หนังเดินเรื่องนิ่งๆ เรื่อยๆ แทบไม่มีฉากบู๊ให้เห็น เล่าเรื่องบางครั้งชวนสับสนนิดๆ หลายคนอาจพาลจะเบื่อเอาได้




*รีวิวหนังญี่ปุ่นฟันดาบโช๊งเช๊งเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 17 มีนาคม 2555    
Last Update : 17 มีนาคม 2555 8:53:29 น.
Counter : 4124 Pageviews.  

Tomie: Unlimited (2011): สวยสยองแซ่บเว่อร์


ญี่ปุ่น


Tomie: Unlimited (2011) :
โทมิเอะ คือสาวสวยดาวโรงเรียนที่บรรดาหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ต่างพากันหมายปอง จนเล่นเอาแม้แต่น้องสาวของเธอเองอย่าง ซึกิโกะ ก็ยังแอบอิจฉาผู้พี่อยู่เงียบๆ แต่แล้ววันหนึ่งโทมิเอะก็ได้รับอุบัติเหตุตายสยองต่อหน้าต่อตาน้องสาว พอเวลาผ่านไปหนึ่งปีอยู่ๆ โทมิเอะตัวเป็นๆ ก็ดันปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เล่นเอาน้องสาวของเธอเอ๋อไปเลยทีเดียว ซึ่งการกลับมาของเธอครั้งนี้นั้นได้พกความสยองโหดแซ่บเว่อร์มาตุงกระเป๋าชนิดสะใจคอหนังคัลต์ญี่ปุ่นไปเลยจ้า


โทมิเอะกลับมาสยองอีกครั้ง
นี่คือภาคล่าสุดของหนังชุด 'โทมิเอะ' (ที่สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนสุดคัลต์ชุด 'คลังสยอง ขวัญลงหลุม' อีกทีหนึ่ง) โดยคราวนี้ได้ ผกก.โนบุโร่ อิกุชิ เจ้าของหนังโหดมันส์ฮาอย่าง The Machine Girl (2008) และ RoboGeisha (2009) มาวาดลวดลายยักย้ายส่ายสะโพกกำกับ ซึ่งก็แน่นอนว่าเขาต้องพกเอาอารมณ์ความโหดเว่อร์อันเป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษมาด้วย หนังก็เลยออกมาโหดเว่อร์แซ่บได้เยี่ยงนี้ (ป๊าด!)


ผีออกแนวพิลึกมากกว่าน่ากลัว
ไอ้เราก็ไม่เคยผ่านตาเวอร์ชั่นการ์ตูนหรือเวอร์ชั่นหนังภาคที่แล้วๆ มาเสียด้วยสิ เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าอันไหนดีกว่ากันหรือต่างกันมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าจะว่ากันเฉพาะภาคนี้อย่างเดียวก็คงต้องบอกว่า เป็นหนังสยองที่ดูได้เรื่อยๆ เน้นกันที่ฉากโหด ไอเดียผีหลอกเว่อร์ๆ ประหลาดๆ มากกว่าจะเน้นอารมณ์น่ากลัวนะ (บางตอนดูแล้วขำมากกว่าน่ากลัวด้วยซ้ำไป) และหนังยังมีช่วงเวลาให้คนดูต้องรำพึง "WTF?" อยู่เพียบ ตามประสาพิมพ์นิยมของหนังคัลต์เขาล่ะ

ความโหดขาดไม่ได้จากหนังญี่ปุ่น
งานนี้คงจะเหมาะสำหรับแฟนๆ หนังสยองคัลต์เว่อร์จากญี่ปุ่นที่เน้นไปทางโหดมันส์ฮาเท่านั้น เพราะถ้าเป็นขาจรทั่วไปคงจะเห็นว่าหนังช่างรุนแรง โรคจิต บ้าบอ งงแดก แต่สอบตกเรื่องความน่ากลัวไปซะงั้น อืม... เห็นทีต้องตามหาภาคก่อนๆ มาดูซะแล้วสิ เพราะดูเหมือนเราจะหลงมนต์สยองของสาวโทมิเอะเข้าอีกคนจนได้ เหอๆ

หน้าตาของเวอร์ชั่นการ์ตูน
  • + หนังโหด เว่อร์ คัลต์แตก ถูกใจคอหนังสยองญี่ปุ่นจริงๆ
  • - โหดเว่อร์และจิตจนขาดอารมณ์น่ากลัวไปซะงั้น แถมยังงงได้อีกสำหรับขาจร




*รีวิวหนังของ ผกก.โนบุโร่ อิกุชิ เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 09 มีนาคม 2555    
Last Update : 9 มีนาคม 2555 20:25:20 น.
Counter : 8904 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.