Group Blog
 
All blogs
 
Shoegaze: แนวดนตรีของผู้นิยม"จ้องเกือก"


เคยฟังเพลงแนว "จ้องเกือก" มั้ยจ้ะ?
Shoegaze: แนวดนตรีของผู้นิยม"จ้องเกือก"
มีแฟนบล็อกของเราบางท่านแสดงความสงสัยมาว่า ไอ้เพลงแนว "จ้องเกือก"(Shoegaze) เนี่ยมันคืออะไร? เห็นเยอะอ่านแล้ว งง อยากรู้แบบภาษาไทยๆ ฟันธงลงไปเลยว่ามันเป็นยังไงกันแน่? หลังจากทำเอาทางเราอึ้งไป 3.2 วินาที ก็ได้ตัดสินใจรวบรวมข้อมูลพอสังเขปมาแบ่งปันสู่กัน เพราะเชื่อว่ายังมีคอเพลงอีกหลายท่านที่ยังงงกับคำๆนี้อยู่ด้วย หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่คอเพลงรุ่นใหม่ไม่มากก็น้อย (สำหรับคนที่รู้อยู่แล้วก็ได้ระลึกชาติไปด้วยเนอะ อิอิ) ขาดตกบกพร่องยังไงก็เพิ่มเติมมาได้เลยนะครับ ยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็นเน้อ...


เล่นก้มหน้าก้มตากันซะแบบนี้แล้วจะไม่ให้เรียกว่า "จ้องเกือก" ได้ไง
"จ้องเกือก"(Shoegaze)คือแนวเพลงอินดี้ร็อคของอังกฤษในช่วงปลายยุค 80-ต้นยุค 90 ที่เรียกว่าอย่างนี้ก็เพราะ นักดนตรีในวงที่เล่นแนวนี้ส่วนใหญ่มักจะยืนกันนิ่งไม่ไหวติง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นเครื่องดนตรีของพวกเขาไปในขณะขึ้นแสดงบนเวที โดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ดูราวกับว่าพวกเขากำลังจดจ่ออยู่กับการจ้องเกือกของตนอยู่ สื่อทางวงการดนตรีของอังกฤษอย่าง NME และ Melody Maker เลยขนามนามให้ซะเลยว่าเพลงแนว "Shoegaze" และก็เรียกกันต่อๆ มาอย่างแพร่หลายนับตั้งแต่นั้นมา ส่วนคำไทยที่แปลมาซะน่ารักน่าชังว่า "จ้องเกือก"นั้น คนแรกๆ ที่เรียกแบบนี้ก็น่าจะเป็นคุณป้า วาสนา วีระชาติพลี ดีเจระดับตำนานและนางพญาเพลงอินดี้ ที่บรรดาคอเพลงอินดี้น่าจะรู้จักกันดี


Cocteau Twins และ My Bloody Valentine
แต่การจะเป็น Shoegaze นั้นไม่ใช่ดูกันแค่การแสดงออกเท่านั้น เพลงแนวนี้ยังมีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม ริฟฟ์กีต้าร์ที่ครางหึ่งเหยียดยาว คลื่นของเสียงแตกพร่าและเสียงหอนของกีต้าร์ที่ถาโถมใส่หูคนฟัง เสียงร้องและทำนองที่อันตรธานหายไปในกำแพงเสียงกีต้าร์ ซึ่งสร้างเสียงเฉพาะที่มิอาจเมินได้ วงจ้องเกือกส่วนใหญ่สร้างงานออกมาโดยมีพิมพ์เขียวเป็นวงอย่าง My Bloody Valentine ที่ก่อร่างสร้างตัวมาด้วย อีพี ชุดแรกๆ และอัลบั้มแรกสุดเมพอย่าง Isn't Anything (1988) แต่วงอย่าง Dinosaur Jr., the Jesus & Mary Chain และ Cocteau Twins ก็มีอิทธิพลแก่วงรุ่นหลังที่ตามมาด้วยเช่นกัน ที่เด่นๆ ก็มีวงอย่าง Ride, Lush, Chapterhouse และวง The Boo Radleys ซึ่งเติมเอาสไตล์ของตนเองเข้าไปอย่างแจ่มแจ๋ว Ride ที่หันเหเข้าไปใกล้ดนตรีไซคีเดลิกยุค 60 ส่วน Lush ก็อยู่ตรงกลางระหว่างป็อปกระแสหลักและดรีมป็อปแบบวง Cocteau Twins


The Boo Radleys และ Ride
วงแนวนี้เกือบทั้งหมดไม่ค่อยสนใจจะทำตัวเป็นข่าว หรือนิยมให้สัมภาษณ์กับสื่อนัก ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถบุกตลาดอเมริกาได้สำเร็จ ในปี 1992 หลังจากที่ครองใจสื่อทางดนตรี และอันดับเพลงอินดี้ของอังกฤษมากว่าสามปี วงแนวจ้องเกือกก็โดนเขี่ยจากบัลลังก์โดยขุนพลคู่สู้ทุกทิศอย่าง วงดนตรี"กรั๊นจ์"จากอเมริกาที่นำโดย Nirvana และวงอย่าง Suede ที่ริเริ่มสร้างกระแสเพลงแนว"บริทป็อป"ซึ่งพาวงอย่าง Blur, Oasis และ Pulp ให้ผลัดกันครอบครองบังลังก์แห่งวงการดนตรีอังกฤษในช่วงกลางยุค 90 อย่างสนุกสนาน จนวงจ้องเกือกหลายวงก็ต้องแตกวงกันไปภายในสองสามปีหลังจากนั้น(เช่น Chapterhouse และ Ride) ขณะที่อีกหลายวง เช่น The Boo Radleys และ Lush ก็วิวัฒนาการตนเองไปกับกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลง และสามารถอยู่ยงคงกระพันไปจนถึงปลายยุค 90 ได้ในที่สุด


Suede และ Nirvana สองขุนพลผู้เขี่ยพลพรรคจ้องเกือกตกบัลลังก์
มาถึงทุกวันนี้วงรุ่นใหม่ที่เล่นแนวนี้ก็ยังมีอยู่เช่นวงอย่าง Blonde Redhead, M83, The Radio Dept., Serena Maneesh, Asobi Seksu โดยพวกสื่อก็ตั้งชื่อให้วงเหล่านี้เสร็จสรรพอีกว่าวงแนว "Nu Gaze" หรือ "The New Wave of Shoegaze" เพียงแต่เพลงพวกเขาอาจจะไม่ได้เป๊ะๆ แบบเด่นชัดเท่ายุคแรกๆ แล้ว เพราะได้ผสมผสานแนวอื่นๆ เข้าไปด้วยเช่น M83 ที่นำเอาอิทธิพลแนวอิเลคทรอนิคเข้ามาใช้ บางวงก็ผสมความร็อคเข้าไปอีกจนกลายเป็นแนว Post Rock ไปก็มี


Serena Maneesh และ Asobi Seksu วงจ้องเกือกรุ่นใหม่
จะเห็นได้ว่าดนตรีทุกแนวต่างก็มีที่ทางของตน แม้จะเสื่อมความนิยมลงไป แต่ก็ไม่มีดนตรีแนวไหนหรอกที่ตายไปเลย เพียงแค่ว่าดนตรีแนวนั้นๆ ก็คงซุ่มพัฒนาการตนเองไปตามยุคสมัย และเมื่อถึงเวลา มันก็จะกลับมาครองความนิยมอีกตามวัฏจักรนั่นเอง ดังนั้นเห็นทีเราคงจะได้จ้องเกือกกันไปอีกนานครับพี่น้อง อิอิ


มาดูเอ็มวีวงแนวจ้องเกือกกัน

*อัลบั้มจ้องเกือกในตำนานที่ควรสอยมาครอบครอง*
สุดท้ายแล้ว ถึงเราจะอธิบายถึงแนวเพลงต่างๆ ได้เลิศเลอแค่ไหน ก็คงไม่ดีพอเท่ากับการที่พี่น้องได้ลองฟังด้วยตนเองอีกแล้ว ว่าแล้วก็เลยมีอัลบั้มและเพลงในตำนานของแนวจ้องเกือกบางส่วนมาแนะนำกัน จะได้ทำความเข้าใจกันแบบแจ่มแจ้งแดงแจ๋ไปเล๊ย



My Bloody Valentine อัลบั้ม Isn't Anything (1988)
และ Loveless (1991)








Ride อัลบั้ม Nowhere (1990)

MP3:
Ride - Vapour Trail







The Boo Radleys อัลบั้ม Giant Step (1993)

MP3:
The Boo Radleys - The White Noise Revisited







Lush อัลบั้ม Gala (1990)

MP3:
Lush - Sweetness and Light







Slowdive อัลบั้ม Souvlaki (1993)

MP3:
Slowdive - When the Sun Hits




ยังมีอัลบั้มที่น่าสนใจอีกเยอะแยะ แต่เราเอามาฝากเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน(เมื่อยแล้ว) หวังว่าเราคงจะช่วยให้พี่น้องเห็นภาพโดยรวมของเพลงแนวนี้ชัดเจนขึ้นไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณแฟนๆ ที่ให้ความสนใจ ไว้มีอะไรน่าสนใจทางบล็อกเราจะนำมาฝากกันอีกเน้อ : )





*ข้อมูลประกอบการเขียน คัดมาจาก allmusic.com, wikipedia.org และเว็บบล็อกอีกหลายเจ้าเน้อ




Create Date : 15 ตุลาคม 2552
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 17:28:19 น. 5 comments
Counter : 7135 Pageviews.

 
เจ๋ง ผมชอบเพลงแนวนี้มาก ๆ ครับ

เดี๋ยวนี้มันพัฒนาไปเป็น นิวเกซาร์ ผมว่าก็ยังเจ๋งเหมือนเดิม


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 15 ตุลาคม 2552 เวลา:11:35:57 น.  

 
แล้ว วงthe radio detp. นี่เป็นดนตรีแนวไหนครับชอบมากๆ


โดย: alex happy alone IP: 125.27.9.29 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา:14:58:10 น.  

 
จะเรียกว่าเป็น Dream pop,
Indie pop, Noise Pop หรือ Shoegaze ก็ได้ครับ


โดย: Nanatakara วันที่: 29 พฤศจิกายน 2554 เวลา:15:59:20 น.  

 
ผมชอบsound เพลงLush - Sweetness and Light มีแนวๆนี้แนะนำอีกใหมครับ



โดย: smoke IP: 110.171.25.69 วันที่: 22 กันยายน 2555 เวลา:23:45:55 น.  

 
ขอโทษครับที่มาตอบช้า ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เข้าบล็อก วงแนวๆ Lush เท่าที่นึกออกก็มีวงรุ่นเดียวกันอย่าง Pale Saints, Chapterhouse, Sing-Sing, Ride, Curve, Slowdive, Moose, Swallow ลองหาฟังดูครับเผื่อเจอถูกใจ


โดย: Nanatakara วันที่: 24 กันยายน 2555 เวลา:4:45:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.