All Blog
"สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"



"สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"

สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว

มีชื่อหนังสือเล่มหนึ่งของ น.พ.เทอดศักดิ์ เดชคง ที่ผมชอบมาก
"สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"
เป็นหนังสือแนวจิตวิทยาที่สอนคนให้มองโลกในแง่ดีและมีความสุข
ในภาวะที่ "น้ำมันแพง-ดอกเบี้ยสูง-การเมืองสับสน"
ที่หลายคนเชื่อว่าจะเป็นมรสุมระลอกใหญ่ที่ทำให้
เศรษฐกิจไทยเกิดภาวะกระตุก
ผมนึกถึงชื่อหนังสือของหมอเทอดศักดิ์ขึ้น มาทันที



"สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"

ในวันนี้การสร้าง "กำลังใจ" เพื่อเดิน หน้าต่อไปเป็นเรื่องสำคัญมาก
ถ้ามัวคิดว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเลวร้าย
และเสียเวลากับการตั้งคำถามในทำนองที่ว่าถ้าทำอย่างนี้
ปัญหาคงไม่เกิด ถ้าทำอย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะดีกว่านี้
เสียเวลากับ "อดีต" มากกว่า "ปัจจุบัน" และ "อนาคต"

แต่หลักคิดที่ว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"
เป็นหลักคิดเพื่อไม่ให้เราเสียเวลากับการฟื้นฝอยหาตะเข็บมากเกินไป
เดินหน้าสู่อนาคตดีกว่า

เหมือนที่ "อนันต์ อัศวโภคิน" แห่งแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
บอกหลักคิดในเรื่องที่ดินกับเพื่อนร่วมงานเสมอ
"ที่ดินแปลงไหนที่เราซื้อแล้ว ดีเสมอ"
คือ ถ้าซื้อแพงกว่าคู่แข่ง เราก็ไม่สามารถย้อนหลังกลับไปต่อราคาใหม่ได้
หรือพอซื้อไปแล้ว หน่วยงานรัฐกลับเปลี่ยนเส้นทางเดินรถเป็นแบบ "วันเวย์"
เราก็จะเปลี่ยนให้เป็น "ทูเวย์" ก็ไม่ได้
การคิดแบบทำร้ายตัวเองด้วยการบอกตัวเองว่า "ไม่น่าซื้อที่ดินแปลงนี้เลย"
คิดแบบนี้ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
สู้คิดแบบมองไปข้างหน้า ทำให้ที่ดินแปลงนี้ให้เกิดมูลค่าเพิ่มให้มากที่สุด
ทำให้ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่

"เงื่อนไข" หรือ "ปัจจัย" บางอย่างเป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุม
อย่างเช่น ราคาน้ำมัน หรืออัตราดอกเบี้ยของแบงก์ที่เราไปกำหนดอะไรไม่ได้เลย
เวลาที่เอาไปคิดว่า ทำไมน้ำมันถึงขึ้นราคา ทำอย่างไรให้ราคาน้ำมันลดลง
สู้นำเวลานั้นไปคิดว่าทำอย่างไรให้ต้นทุนการขนส่งเราเพิ่มขึ้นให้น้อยที่สุด
หรือคิดในเกม "ลดต้นทุน" ไม่ได้ก็ต้องคิดในเกม "เพิ่มรายได้"
ทำอย่างไรจะเพิ่มรายได้ให้มากกว่ารายจ่ายที่เพิ่มขึ้น

ในการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นเกมชีวิตหรือเกมเศรษฐกิจ
"ขวัญ" และ "กำลังใจ" เป็นเรื่องสำคัญที่สุด



เคยได้ยินหลัก "6 ไม่" ของคุณบุญเกียรติ โชควัฒนา ของ "ไอซีซี"
ในเครือสหพัฒน์ไหมครับ
"ไม่เหนื่อย ไม่กลัว ไม่ท้อ ไม่มีปัญหา ไม่ยาก ไม่เครียด"
หลัก "6 ไม่" เกิดขึ้นตอนวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540
ตอนนั้นมีแต่ "ข่าวร้าย" เต็มบ้านเต็มเมือง
คุณบุญเกียรติจึงใช้การ "สั่งจิตใต้สำนึก" ด้วยหลัก "6 ไม่"
บอกตัวเองเป็นประจำ บอกลูกน้องตลอดเวลา ให้คิดทุกเรื่องในทางบวก
งานหนักก็ไม่เหนื่อย งานยากก็ไม่กลัว และไม่ท้อ
งานมีอุปสรรคมากมาย ก็คิดว่าไม่มีปัญหา ไม่ยาก
ที่สำคัญคือ ต้องไม่เครียด

เรื่องนี้สำคัญนะครับ
ผมเชื่อเสมอว่า "เราคือสิ่งแวดล้อมของคนอื่น"
ใครก็ตามที่มีนิสัย "ขี้วีน" หรือ "หน้าตาบอกบุญไม่รับ"
และคิดเสมอว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น คนนั้นคิดผิด
เพราะรังสีอำมหิตของเราจะแผ่กระจายให้คนรอบข้างที่สัมผัสรู้สึกได้
และก่อให้เกิดบรรยากาศที่อึดอัดในที่ทำงาน

ดังนั้น ถ้าเจ้านายระดับสูงสุดอย่าง "บุญเกียรติ" สั่งจิตตัวเองให้
"ไม่เครียด" ลูกน้องย่อมทำงานอย่างสบายใจ
ด้วยความเชื่อในหลักจิตวิทยาแบบ "คิดทางบวก" นี้เอง
ทำให้เวลาใครถามคุณบุญเกียรติ ว่าทำอย่างไร "ไอซีซี" จึงฝ่าวิกฤตปี 2540 มาได้
หนึ่งในคำตอบของ "บุญเกียรติ" ก็คือ หลัก "6 ไม่"



อย่าลืมนะครับ
...ไม่เหนื่อย ไม่กลัว ไม่ท้อ ไม่มีปัญหา ไม่ยาก ไม่เครียด
...ที่ดินแปลงไหนที่เราซื้อแล้ว ดีเสมอ
และ...สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ





"สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"
หากผิดพลาดมาบ่อยครั้ง
หากพลาดพลั้งมาหลายหน
แต่ถ้าสู้ด้วยใจที่อดทน
จะข้ามพ้นอุปสรรคที่มากมาย

 

จงเรียนรู้สิ่งที่พลาดในอดีต
นำมาคิดตริตรองยังไม่สาย
ใช้มันเป็นครูสั่งสอนใจกาย
แล้วจะได้สิ่งที่หวังที่ตั้งใจ

หากความหวังยังอยู่คู่ฟ้า
อนาคตยังแรงกล้าแสงสดใส
สองเท้ายังคงก้าวย่างต่อไป
ความสำเร็จคงไม่ไกลเกินฝ่าฟัน

ทำใจดีๆ เข้าไว้
วันพรุ่งนี้จะเป็นไงใครจะรู้
สิ่งใดพลั้งสิ่งใดผิดคิดเป็นครู
วันข้างหน้ายังรออยู่สู้ต่อไป

เดินผ่านไปแล้วมีรอยเท้า
ผิดมาแล้วเป็นทางยาวก้าวไม่ไหว
อย่ากลัวเดินอีกก้าวบนทางไกล
รอยเท้าเก่าสอนเราไว้เป็นบทเรียน

หนึ่งหยดน้ำร่วงหล่นบนพื้นหญ้า
ไหลรวมเป็นสาขาสู่แม่น้ำ
รวมทุกสายสู่ท้องทะเลคราม
เหมือนหนึ่งความพยายาม...จะก้าวไกล


ขอให้เราอย่าหมดหวัง แม้จะล้มสักกี่ครั้ง ก็ต้องลุกขึ้นยืนหยัดสู้ต่อไปอย่าได้ถอย
ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าความท้อแท้และสิ้นหวัง… จงเชื่อมั่นไว้ในใจเสมอเถิดว่า



"สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ"



https://swhappinessss.blogspot.com/



Create Date : 16 มิถุนายน 2564
Last Update : 16 มิถุนายน 2564 17:28:17 น.
Counter : 526 Pageviews.

0 comment
เขาร่ำรวยเพราะช่วยคนอื่น
เอ็ดเวิร์ โชต
เขาร่ำรวยเพราะช่วยคนอื่น
เขาร่ำรวยเพราะมีจิตเมตตรต่อคนทุกข์ยาก ช่วยทุกคนโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน "ภาพชีวิต" ของคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ มักจะมีอะไรแปลกๆ เสมอ ทำให้เรามองดูด้วยความทึ่งอย่าง เช่น นายเอ็ดเวิรณด โชต ห่งแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา คนนี้ เป็นต้น
เขากลับกลายเป็นนักหาประกันชีวิตมือหนึ่ง และร่ำรวยขึ้นมาเพราะการช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนทางการเงินแต่อย่างใด
ในตอนแรกโชตประสบความยากแค้นต่ออาชีพนี้ของเขา เขาไม่เคยขายกรมธรรม์ประกันชีวิตได้จำนวนมาก ชีวิตของเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงแต่เขาก็ไม่ท้อทอย
ความล้มเหลวและความลำบากยากแค้นนี้เองทำให้เขาเห็ฯอกเห็นใจบุคคลที่ประสบสภาพชีวิตเช่นเดียวกับเขา
เมื่อโชตเลิกห่วงใยและไม่แคร์ต่อว่าเขาจะหาเงินประกันชีวิตได้มากน้อยเท่าใด แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มทำตัวที่จะทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ที่ประสบ ความเดือดร้อนเช่นเดียวกับเขา
วันหนึ่งโชตได้พบชายหนุ่มคนหนึ่ง ในทะเลทรายแห่งแคริฟอร์เนีย ชายหนุ่มผุ้นี้พบความล้มเหลวในการทำเหมือง และกำลังเผชิญกับความอดอยาก
โชตพาชายหน่มไปยังบ้าน ให้อาหารกิจ ให้ที่อยู่อาศัย และเขาช่วยเหลือชายหนุ่มคนนั้นจนกระทั้งหางานใหม่ที่ดีให้ทำ
เขาช่วยเหลือโดยไม่ได้หวังผลตอบแทนในทางการเงินแต่อย่างใดแต่ตรงกันข้ามเห็น ชายหนุ่มคนนั้นเห็นว่ายังมีมนุษย์อีกคนหนึ่งในโลกที่เห็นใจในความสูญเสียและ พยายามที่จะช่วยดึงให้พ้นจากห้วงเหวแห่งความสูญเสียนั้น
โชตได้พยายามช่วยเหลือคนอื่นๆ แบบชายหนุ่มนั้นอีกหลายคนทั้งๆ ที่การหาประกันชีวิตของเขาก็มิได้ทำเงินมากมายแต่ประการใด และพบแต่ความล้มเหลว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม้แต่โชตเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน การหาประกันเงินของเขากลับคล่องขึ้นและขายได้เงินจำนวนสูงขึ้น
และการขายกรมธรรม์ครั้งสุดท้าย เขาสามารถทำเงินได้สูงกว่าที่เขาเคยขายกรมธรรม์ทั้งหมดรวมกันตั้งแต่เขาเริ่มอาชีพนี้
คนที่ซื้อกรมธรรม์ด้วยเงินจำนวนสูงนี้คือ ชายหนุ่มที่เขาพบในทะเลทรายนั่นเอง โดยเขาไม่ได้ชักชวนให้มาซื้อแต่ประการใดเลย
หลังจากนั้นโชตกลับหาประกันชีวิตได้เงินสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่ต้องบากบั่นเหมือนก่อน
การขายกรมธรรม์ได้เงินก้อนใหญ่ ทำให้อาชีพของเขาเป็นปึกแผ่นและมีชื่อเสียง นักธุรกิจใหญ่และมหาเศรษฐีต่างๆ ก็เรียกเขามาพบ และซื้อกรมธรรม์จากเขา
จนกระทั้ง "สมาคมโต๊ะกลมหนึ่งล้านเหร๊ยญ" เชิญเขาเข้าเป็นสมาชิกตลอดชีพในฐานะที่สามารถหาประกันชีวิตได้ปีหนึ่งไม่ต่ำ กว่าล้านเหรียญ และติดต่อกัน 3 ปี สมาชิกนี้เป็นที่ใฝ่ฝันของนักหาประกันชีวิตอเมริกันทุกคน
โชตนึกแปลกใจตัวเอง เขามีความร่ำรวยในทางจิตใจโดยช่วยเหลือผู้อื่น แต่กลับมาพบความร่ำรวยทางวัตถุเข้าอีก
หลังจากนั้นเขาได้เริ่มทุ่มตัวเองในการช่วยเหลือผู้อื่น
ความสำเร็จของเขาได้ทำให้ชื่อเสียงของโชตขจรขจายไปทั่วสหรัฐเขาได้รับเชิญ ให้ไปกล่าวคำปราศรัยในที่ประชุมของพนักงานหาประกันชีวิตทั่วประเทศ เพราะนักหาประกันเหล่นั้นอยากรู้ว่าเขาประสบความสำเร็จมาไดอย่างไร
โชตได้บอกกับคนเหล่านั้นว่า ชีวิตเขาประสบความสำเร็จก็คือ
"ปรัชญาเอาใจเขามาใส่ใจเรา"
บุคคลอย่างโชตนี้มีอยู่ไม่ใช่น้อยในโลกนี้ ที่เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์และช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน หรือทำบุญเอาหน้า
จริงอยู่บางคนอาจไม่ร่ำรวยอย่างโชต แต่เขาก็ร่ำรวยความศรัทธาและความนับถือจากบุคคลอื่น
ในเมืองไทย ถ้ามีคนอย่างโชต อย่างเพิ่มด่วนประณามเขา แต่จงเข้าใจว่าเขาเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจในความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ด้วย กันและพยายามที่จะดึงให้พ้นจากห้วงเหวแห่งความทุกข์ยากนั้น :o

แหล่งที่มา : //www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?f=4&t=4957



Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 13 กุมภาพันธ์ 2554 14:17:43 น.
Counter : 347 Pageviews.

0 comment
ทำอย่างไรดีคะ กับเด็กที่ด่าแม่ด้วยคำหยาบคาย

ไปเจอในลานธรรมมาครับ เผื่อจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ  Smiley




ที่มาครับ : //larndham.org/index.php?/topic/40471-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%81/page__pid__738355__st__0&#entry738355



สอนก็แล้ว เตือนก็แล้วว่ามันบาป เป็นวัยรุ่นหญิงที่เจ้าอารมณ์

ทิฎฐิเสียเหลือเกิน อารมณ์แรงมาก เวลาเธอโกรธ จะกรี๊ดเอาชนะแม่ให้ได้ ถึงขนาดบางทีเอา

หัวตัวเองโขกกับของแข็ง แม่เองก็บอกว่าตัวเองก็เป็นโรคประสาทเวลาโมโหก็ด่าว่าลูกแรงๆเหมือนกัน

เด็กถือว่าตัวเองเก่งกว่าพ่อ แม่ ชอบดุด่าด่าว่าพ่อ เพราะพ่อเป็นจิตเภท ทำงานไม่ได้

ข้างแม่ก็เจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตคนอื่นเหลือเกิน ขี้บ่น อารมณ์ร้อน

พ่อ-แม่เลิกกัน แต่แม่ก็ยังคอยดูแลเรื่องการเงินให้พ่อ เพราะพ่อป่วย

ตอนนี้เราเองสุดทนกับเด็กคนนี้ ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด แต่ไม่อยากพูดแรงเดี๋ยวจะยิ่ง

ก้าวร้าวมาถึงเราด้วย ตอนนี้ กับป้าเขายังไม่กล้า ยังเกรงใจ เพราะเราพูดเพราะ ใจเย็น ค่อยๆสอน

สอนมาทั้งแม่ ทั้งลูก เหนื่อยใจจริงๆค่ะ



เชื่อหรือเปล่าครับ


ตั้งแต่ผมเห็นปัญหาของคนมา

ผมกลับพบว่า ส่วนใหญ่ เด็กไม่ได้ผิด


ความผิดหลักๆ อยู่ที่ผุ้ใหญ่เกือบทั้งน้น


เคยมีแม่มาปรึกษาเรื่องลูกเกเร อยากหาวิธีแก้

ผมก้เลยแนะนำวิธีแก้ที่ตัวแม่เอง


ปรากฎว่า ไม่นานก็ได้ผลครับ


หากเรามองว่าเด็กผิด หากตั้งอคติไว้ล่วงหน้าแล้ว

เชื่อได้เลยว่า ยากที่จะแก้ปัญหาให้เด็กได้ครับ


แต่หากมองเขาเป็นคนที่หลงผิด และถูกเลี้ยงมาแบบผิดๆ

แล้วมองให้เห็นว่า พ่อแม่นั่นแหละที่ผิด

หรือตัวเราเองที่ผิด แล้วปรับที่ตัวเรา

ด้วยเมตตา ไม่ได้ทำด้วยโทสะ หรือเบื่อ รังเกียจ


จะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ครับ


เท่าที่บอก แม่เขาก็ร้ายไม่ใช่เหรอครับ

เมื่อแม่ร้าย จะให้ลูกดีก็คงยาก

กรรมสัมพันธ์ที่ส่งคนสองคนมาเป็นแม่ลูกกันครับ


แก้ที่ตัวแม่ก่อนแล้วค่อยแก้ที่ตัวลูก

หากผู้ใหญ่ยังเอาดีไม่ได้ อย่าไปหวังว่าเด็กจะได้ดีครับ


ส่วนใหญ่ ปัญหาในบ้านเรา ที่แก้ปัญหาให้เยาวชน

แก้ปัญหากันไม่ได้ เพราะไปมองไว้ก่อนว่าเด็กเลว เด็กไม่ดี เด็กคือปัญหานี่แหละครับ


มันมีกำแพงทางใจไว้ก่อนแล้ว ก็ยากที่จะสมานและให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดี



หากเด็กไม่ดีจริงๆ แล้วแก้ไม่ได้จริงๆ

ทำตามพระพุทธเจ้านะครับ


พระพุทธองค์เมื่อทรงเจอใครที่สอนไมได้ ท่านจะนิ่งเฉยเสีย

หากเด็กจะก้าวร้าว เกรี้ยวกราด หากผู้ใหญ่นิ่ง แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นั่นจะน่ากลัวสำหรับเด็ก กว่าการที่มีใครไปด่าไปตำหนิเขาอีกครับ


อุเบกขา ถึงเวลาก็ต้องใช้ครับ



อยากบอกอีกเรื่องอะ คือ ต้องย้ำว่า

เท่าที่เห็นปัญหาคนมาหลายเรื่อง


ส่วนใหญ่ ปัญหาเกิดที่ตนเองทั้งนั้น แต่ชอบโทษและมองคนอื่นว่าผิด

แล่้วคิดแต่จะเปลี่ยนคนอื่น แต่ไม่คิดย้อนมองการเปลี่ยนตนเองอะคับ


ผมเห็นเกือบทุกกระทู้เลย ที่มีปัญหามาถามอะ

ก่อนจะเปลี่ยนคนอื่นได้ เราต้องเปลี่ยนตนเองก่อนอะคับ





//www.jozho.net

โหลดธรรมฟรี แจกCDธรรมะฟรี ส่งฟรีทั่วโลก

(เช่น หลวงตาวัดป่าบ้านตาด รวมคำสอนหลวงพ่อปราโมทย์ งานเขียนคุณดังตฤณ)

รับผลิตCDธรรมะราคาต่ำกว่าทุน ใช้แผ่นคุณภาพสูง-Ritex และซองหนาอย่างดี สกรีนมือทีละแผ่น

ออกแบบสกรีนฟรี/อัดเสียงเกริ่นนำและอัดประวัติและอื่นๆให้ฟรี ทุกอย่างปราศจากกำไร










Free TextEditor



Create Date : 02 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2553 17:58:54 น.
Counter : 470 Pageviews.

0 comment
จุดต่ำสุดคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด..
ในยามที่ใครก็ตามต้องประสบกับความผิดหวังอย่างหนัก

ชีวิตเหมือนกำลังดิ่งสู่ก้นเหวลึกเบื้องล่าง..

ไม่รู้ชะตากรรมแม้ในเสี้ยววินาทีถัดไป

ความคิดความรู้สึกในวูบนั้นก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก

ความสับสนวกวน..ไม่มีจุดเริ่มต้นและหาจุดสิ้นสุดไม่ได้

ไม่มีคำอธิบายและไร้ซึ่งคำตอบ...

ส่วนในใจมักจะพร่ำถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า

"ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?..."

ความรู้สึกของการไม่มีใครในยามที่ต้องประสบปัญหาร้ายแรง(ที่สุด)ในชีวิต

แม้ใยามยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน...

แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจเราแม้แต่คนเดียว

นั่นเองที่ถือว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการพบใครบางคน

ที่สำคัญที่สุดในชีวิต..ซึ่งก็คือ "ตัวเราเอง..."

มนุษย์ทุกคนต่างต่อสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่ตามสัญชาตญาณ

นอกเสียจากผู้ที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความหวัง

และเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เขาอาจจะต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง

หากคิดให้ดีนี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของคนเรา

การมองเห็นสัจธรรมที่ว่า...

"เมื่อตอนเกิดมาก็ไม่มีอะไร ตอนตายก็ไม่มีอะไร

หากตอนนี้เราไม่มีอะไรก็ถือว่าเราไม่ได้เสียอะไรไป แค่เท่าทุนเท่านั้น..."

ไม่ใช่ว่าเราจะต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับไปสู่จุดเริ่มต้น

แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่คิดว่า..

การที่ตัวเองไม่มีอะไรแล้วถือว่าเป็นความโชคร้ายที่สุดในชีวิต

ก็ขอเพียงแต่ให้ลองกลับไปมองในมุมตรงข้ามที่ไม่เคยมองดูบ้าง

อาจจะเจออะไรดีๆ ที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้...

มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่เคยคิดว่าตัวเองไม่มี

แล้วบังเอิญวันนี้ไม่มีอะไรอีก..

ก็มักคิดว่าตัวเองได้สูญเสียทุกอย่างไปแล้วโดยที่ลืมคิดไปว่า

ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย..มีเพียงสิ่งเดียวที่ใช่

ซึ่งก็คือความคิดและจิตใจของเราเองเท่านั้น..

ดังนั้น..การได้ลิ้มลองรสชาติของการไม่มีอะไร

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการมีทุกสิ่ง..อย่าได้ยึดติดอะไรให้มากนักเลย

ทุกอย่างมีได้มีเสีย..มีขึ้นมีลง มีเข้ามีออก มีทุกข์มีสุข มีบวกมีลบ

เพียงแต่ตอนนี้เรากำลังยืนอยู่บนด้านลบของชีวิต

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แสดงว่า..

อีกไม่นานด้านบวกของชีวิตกำลังจะมุ่งตรงมาที่เรา

ทำไมไม่ทำใจให้สบายรอรับมันเสียเล่า ?...

//novakaty.blog.mthai.com/2008/11/26/public-1



Create Date : 05 กันยายน 2553
Last Update : 5 กันยายน 2553 1:18:02 น.
Counter : 353 Pageviews.

5 comment
=== รถเข็นนิทานรพ.เด็กสิ่งบันเทิง ญาติ-ผู้ป่วย ==




รถเข็นนิทานรพ.เด็กสิ่งบันเทิง ญาติ-ผู้ป่วยโดย ชุลีพร อร่ามเนตร
น.ส.พ. คม ชัด ลึก


ทุกครั้งที่เด็กๆ เห็นรถเข็นนิทาน พวกเขามีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ และมีเสียงเรียกหานิทาน ซึ่งถือเป็นรถที่ดีมาก เพราะเด็กบางคนไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปยังห้องเล่นอ่านนิทานได้ ช่วยดึงชีวิตวัยเด็ก ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสัน จินตนาการกลับคืนมา และที่สำคัญทำให้แม่ลูกมีกิจกรรมทำร่วมกัน แม่ได้พูดคุยกับลูกผ่านตัวนิทาน สร้างกำลังใจให้แก่แม่ เพราะเมื่อเด็กฟังนิทาน พวกเขามีปฏิกิริยา ยิ้ม หัวเราะ สัมผัสมือแม่ พี่นก กล่าว
พี่นก ยศวดี ณ นคร เป็นพยาบาลชำนาญการ รองหัวหน้าตึกมหิตลาธิเบศร 9 ก. หรือตึกอายุรกรรมโรคติดเชื้อเด็กโต ที่นำนิทานมา ใช้ในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) ต่อมาพยาบาลประจำตึก อุรา เจริญวัลย์ หัวหน้าตึก ระเบียบ แก้วผาสุก พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำห้องเล่น และพยาบาลประจำตึกทุกคน นำนิทานมา ใช้ในการบำบัดจิตใจทั้งเด็กและพ่อแม่ ล่าสุดสำนักพิมพ์มูลนิธิเด็กและสถาบันการ์ตูนไทย กลุ่มสถาปนิกอาสาสมัครจากกลุ่มบริษัทแปลน นำ "รถเข็นนิทาน" ขนความรู้นิทานกว่า 200 เล่ม บริการน้องๆ ถึงเตียง
การสัมผัสไม่ว่าจะทางกาย หรือคำพูด ล้วนกระตุ้นปฏิกิริยาของเด็กๆ ได้ทั้งสิ้น "พี่ต้อย" เตือนใจ ศีละสะนา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ หน่วยประสาทวิทยา เสริมว่า การเล่านิทานเป็นกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์แม่ลูกได้ดีมาก เด็กบางคนไม่สามารถพูดคุยกับแม่ได้ นิทานจะ ทำให้แม่พูดคุยกับลูกได้ตลอดเวลา ช่วยผ่อนคลายความเครียดให้แม่อีกด้วย เพราะแม่ทุกคนหากลูกเข้าโรงพยาบาลแม้ไม่เป็นอะไรมาก ก็ไม่สบายใจ
รอยยิ้มลูกที่มอบให้แก่พ่อแม่ แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว เวลาเหล่านี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด ดั่งที่ "แม่วาท" สวาท เรืองฤทธิ์ อายุ 39 ปี แม่ของน้องโอ๊ต อายุ 4 ขวบ และ พ่อยา หรือ สนทยา ไชยสำแดง ของน้องหยก อายุ 9 ขวบ ต่าง พูดเป็นเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยคิดว่าโรงพยาบาลมีรถเข็นนิทานคอยบริการ ตั้งแต่มีนิทาน ลูกๆ ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ อย่างน้องโอ๊ตเขาพูดไม่ได้ เมื่ออ่านนิทานให้ฟัง เขาสัมผัสมือแม่ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับแม่แล้ว ส่วนน้องหยกอ่านหนังสือนิทานด้วยตนเอง ทำให้ไม่ซึมเศร้า และยังเล่านิทานที่ชอบให้แก่พ่อแม่ฟังด้วย
"น้องโอ๊ตชอบให้อ่านนิทานเรื่องสัตว์ เมื่อลูกฟัง ลูกจับมือเราแน่น ทำให้มีกำลังใจ และมีเรื่องคุยกับลูกทุกวัน เพราะการเล่านิทานนอก จากทำให้ลูกรักการอ่าน มีจินตนาการ เพลิดเพลิน ไม่เครียด ไม่กลัวโรงพยาบาลแล้ว ยังช่วยผ่อนคลายความเครียดเราอีกด้วย เพราะหนังสือที่โรงพยาบาลจัดให้อ่านไม่ใช่เฉพาะนิทาน แต่มีวิธีเลี้ยงลูกที่นำไปปรับใช้ได้ อยากขอบคุณโรงพยาบาลที่จัดรถเข็นนิทานคอยบริการนิทานชั้นดีให้ลูกได้อ่าน"
เช่นเดียวกับน้องหยก อายุ 9 ขวบ หนูน้อยจากเมืองอุบลราชธานี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเด็กกว่า 1 เดือน เล่าว่า ชอบรถเข็นนิทานมากๆ เพราะมีสีสันสวยงาม มีตัวการ์ตูนเต็มไปหมด และมีนิทานให้ได้อ่านด้วย โดยเฉพาะนิทานเกี่ยว กับสัตว์ อย่างกระต่ายกับเต่า กระต่ายนอนไม่หลับ ทำให้เพลิดเพลิน มีความรู้ และมีความสุข ตั้งแต่มานอนโรงพยาบาลไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ อยากให้ทุกโรงพยาบาลมีรถเข็นนิทานไว้บริการเด็กๆ
ด้าน "ย่าศรี" สมศรี สว่างแสง ของน้องพี หนุ่มน้อยจากเมืองกาญจนบุรี เล่าว่า รถเข็นนิทานเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อเด็กอย่างมาก เพราะเด็กทุกคนที่เข้าโรงพยาบาลเชื่อว่ากลัว ไม่อยากเข้า แต่เมื่อพวกเขาเห็นรถเข็นนิทาน ดูการ์ตูน มีห้องเล่นให้พวกเขาได้ทำกิจกรรมเสริมสร้างจินตนาการต่างๆ พวกเขาสนุก มีรอยยิ้ม และมีความสุข เมื่อสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็จะดีไปด้วย จึงอยากขอบคุณโรงพยาบาลและผู้บริจาครถเข็นนิทานที่ช่วยเติมเต็มชีวิตวัยเด็ก ของพวกเขา
"นิทาน" นอกจากเป็นจุดเริ่มต้นการปลูกฝังรักการอ่านแก่เด็ก เป็นบทกล่อมเห่ก่อนนอนที่ดีที่สุด แต่สำหรับน้องและพ่อแม่ที่ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเด็ก "รถเข็นนิทาน" ไม่ใช่เพียงสนุก บันเทิง แต่งแต้มจินตนาการอย่างเดียว แต่ยังเป็นจุดสานสัมพันธ์ความรัก เติมชีวิตชีวาวัยเด็ก และทำลายความเงียบระหว่างแม่ลูกได้ดี

****อยากให้มีหนังสือธรรมะแทรก+ปนอยู่ในรถเข็นด้วย จะได้ปลูกศีลธรรมให้แก่เด็กๆ ญาติผู้ป่วย และ ฟื้นฟูจิตใจผู้ป่วยด้วยนะครับ  ตอนนี้ก็รับบริจาคหนังสือะรรมะ แล้วก็เอาไปบริจาคต่อตาม รพ. ต่างจังหวัด ตามบ้านพักคนชราให้คุณตาุคณยาได้อ่านสวดมนต์ก่อนนอนน่ะครับ



ขอบคุณที่มา //www.budpage.com/forum/view.php?id=5628




Free TextEditor



Create Date : 14 สิงหาคม 2553
Last Update : 14 สิงหาคม 2553 23:32:59 น.
Counter : 517 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  

naizeezaa
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]