~ThE NevEr EnDinG StoRY~ บันทึกการเดินทางของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ถ่ายทอดผ่านมุมมองของงานเขียน

Happily Ever After...a tale of Damsel in Distress

Happily Ever After...a tale of Damsel in Distress



เพิ่งได้ดู Cinderella เวอร์ชั่นล่าสุดที่ใช้คนแสดง บอกเลยว่าค่อนข้างแปลกใจ เพราะตัวหนังทำได้ดีมาก เนื้อเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ (หลังๆเริ่มเบื่อกับการเอานิทาน นิยาย มาทำแล้วบอกว่าจะเล่าเรื่องในมุมมองใหม่ ซึ่งสุดท้ายมักแป้ก) ซินเดอเรลล่าคราวนี้เลยเล่าตรงตามนิทานเป๊ะๆ แต่กลับสนุกดีทีเดียว 

หนังที่มีพล็อตซินเดอเรลล่าเนี่ย ทำมาแล้วหลายเรื่อง หลายรอบ แต่จะเอามาเล่าเฉพาะเรื่องที่เราเห็นว่าน่าสนใจแล้วกัน

SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley


Ever After: A Cinderella Story (1998)



หนังเล่าถึงยุโรปยุคกลาง กับครอบครัวพ่อค้าที่หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตกะทันหัน ทิ้งลูกสาว Danielle (Drew Barrymore) เอาไว้กับเมียใหม่  และลูกติดเมียอีก 2 คน เมียใหม่นี่ไม่ทำงานทำการอะไร แอบเอาสมบัติออกไปขายมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เหตุการณ์เริ่มเลวร้ายเมื่อแม่เลี้ยงใส่ความคนรับใช้เก่าแก่ว่าเป็นคนขโมย และส่งตัวไปให้ทางราชการลงโทษ Danielle เลยยอมเสี่ยงเอาตัวเองเข้าไปขอชีวิตคนรับใช้เอาไว้ ทำให้เจ้าชาย Henry (Dougray  Scott) ประทับใจมาก จากนั้นก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ได้พบกันอีกเรื่อยๆ โดย Danielle นั้นต้องโกหกเจ้าชายว่าตัวเองเป็นเคานท์เตรส (หญิงที่มีตำแหน่ง ยศศักดิ์เทียบเท่าราชวงศ์) แต่สุดท้ายก็ถูกแม่เลี้ยงเปิดเผยความจริง ณ งานเต้นรำ เจ้าชายโกรธมากเพราะเหมือนถูกหลอก ส่วน Daneille ก็ถูกแม่เลี้ยงขายไปเป็นทาสให้พ่อค้าในตลาดเพื่อเป็นค่าไถ่แลกกับสมบัติทั้งหมด กว่าเจ้าชายจะยอมรับและรู้ใจตัวเองก็เกือบต้องเสีย Danielle ไป



ตอนหนังออกฉาย มีแต่คนคิดว่าจะได้ดูเรื่องเล่าสุดโรแมนติก แต่หนังปี 1998 เรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องที่อ้างว่า นี่คือเรื่องจริงของซินเดอเรลล่า นางไม่ใช่เหยื่อ เพราะตลอดทั้งเรื่อง Danielle ก็ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครหรืออะไรทั้งนั้น นางต่อสู้สุดชีวิต และไม่ยอมรอให้เจ้าชายมาช่วยเหลือ เพราะนางจะสู้ สู้ สู้เพื่อช่วยเหลือตัวเอง 




เราชอบที่แบร์รี่มอร์ เป็นนางซินที่ไม่ได้สะสวยมากมาย แต่เล่นบทสาวจนตรอกได้สมจริงมาก ส่วนเจ้าชายนั้นก็ไม่ได้หล่อลาก แต่ดูเจ้าเล่ห์นิดๆ อารมณ์เด็กถูกสปอยล์จนไม่รู้จักโลกภายนอก อะไรประมาณนั้น (สก็อตต์คือตัวร้ายจาก Mission Impossible II)




ฉากประทับใจคือฉากเต้นรำ ชุดนางเอกสวยมากกกก น่ารักมากกกก ชอบสุดๆ กับฉากตอนที่พระนางหลงป่าไปเจอพวกยิปซี ฉากนี้ขำดี 






Smiley
SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley


A Cinderella Story (2004)



ซินเดอเรลล่าในยุคดิจิตัล เป็นเรื่องของ Sam (Hilary Duff) สาวน้อยมัธยมที่ทำงานในร้านไดเนอร์ หลังจากพ่อของเธอจากไป ทิ้งให้เธออยู่กับแม่เลี้ยงและลูกติด 2 คน (พล็อตนี้ขาดไม่ได้นะ ฮ่าๆๆๆ) Sam ติดต่อพูดคุยกับผู้ชายคนนึงทางอีเมล และพบว่าเขาเป็นคนน่าสนใจ ชอบอะไรเหมือนๆกับเธอ คุยกันถูกคอ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า เขาคือ Austin (Chad Michael Murray) หนุ่มฮ็อตประจำโรงเรียน จนวันนึงลูกติดของแม่เลี้ยงมาเห็นอีเมลนี้เข้า และเอาไปให้แฟนเก่าของออสติน เพื่อประจาน ความอับอายยังไม่เท่ากับพี่เมื่อ Austin รู้ความจริงและทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น



กิมมิคของนางซินปี 2004 นี้คือนางไม่ได้ทิ้งรองเท้าแก้วเอาไว้ ณ งานเต้นรำ แต่ทำมือถือหล่นไว้จ้าาาา กลายเป็นของที่พระเอกเก็บได้และติดตามหาสาวลึกลับสวมหน้ากากมาโดยตลอด แต่พอรู้ว่าตัวจริงนางเป็นใคร อีตาพระเอกของเราก็ดันอ้ำๆอึ้งๆ กว่าจะยอมรับ ก็เกือบง้อนางไม่สำเร็จ 




เวอร์ชั่นนี้เราว่าดูเอาเพลิน กับเอาตลก แล้ว Duff กับ Murray ก็เป็นดาราวัยทีน (ณ ตอนนั้น) ที่เคมีเข้ากันได้ดีมาก เอาเข้าจริงๆ คาแร็คเตอร์สมทบพวกแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงเนี่ย เป็นจุดฮาของเรื่องเลยนะ 



พ่วงนางร้าย (แฟนเก่าของพระเอกในเรื่อง) มาให้เป็นสีสัน รวมถึงเพื่อนซี้นางเอกที่ก็ขโมยซีนได้ตลอดๆ







SmileySmiley
SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley


Cinderella (2015)




เวอร์ชั่นล่าสุดที่เล่าเรื่องตามนิทานเป๊ะ ช็อตต่อช็อต ไม่มีเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น แต่กลับสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องของ Ella (Lily James) สาวน้อยพ่อตาย ถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวติดแม่เลี้ยงรังแกสารพัด จากฐานะเจ้าของบ้านก็กลายมาเป็นคนรับใช้ ทำงานคลุกดินคลุกฝุ่น แต่ชะตาก็พาให้พบกับเจ้าชาย (Richard Madden) เรื่องราวต่อจากนั้น...คุณก็รู้ดีน่ะ 



เวอร์ชั่นนี้เราชอบฉาก ชุด ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากนางฟ้าแม่ทูนหัวเสกรถลากจากฟักทอง เสกชุดในนางเอก โอ๊ยยย เหมือนที่ดูแอนิเมชั่นแต่เป็นคนจริงๆเล่นอ่ะ สวยเว่อร์ แล้วก็ยกเครดิตให้นางเอกเลยนะ นางเป็นซินเดอเรลล่าที่เหมือนเป๊ะ เหมือนในที่นี้คือ บุคลิก การพูด การเดิน ท่าทางทุกอย่าง เหมือนตัวการ์ตูนหลุดออกมากเลย น่าเอ็นดูสุดๆ


ชอบชุดแต่งงานตอนฉากจบด้วย สวยมากกกก 

จริงๆตอนแรกแอบคิดว่าแม่เลี้ยงใจร้ายที่รับบทโดย Cate Blanchett กับนางฟ้าแม่ทูนหัวที่รับบทโดย Helena Bonham Carter จะขโมยซีนหรือเปล่านะ?? 








กลายเป็นเราแทบไม่สนใจสองคนนี้เลย ดูนางเอกเพลินมากกกกก 


จากงานพรีเมียร์ที่ไหนสักแห่ง ดูความลั้นลาของนางสิ น่ารักมากจริงๆ

SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley

พล็อตสาวตกยากที่เป็นคนแสนดี ชีวิตลำเค็ญ ฝ่าฟันจนได้พบเจ้าชายรูปงาม และครองคู่กันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์ ถึงไม่ได้เล่าแบบนี้แต่ก็มีทั้งหนัง ซีรีส์ และนิยายนับสิบๆเรื่องที่อ้างอิงแกนหลักเหมือนซินเดอเรลล่า ยกตัวอย่างเช่น

  • Twilight เรื่องของเด็กสาวที่รู้สึกแปลกแยกในเมืองที่ไม่คุ้นเคย แล้วพบรักกับแวมไพร์หนุ่มหล่อ ตอนเป็นหนังสือนิยายว่าฮิตแล้ว พอเอามาทำหนังถึงจะโดนสับเละเทะว่าเป็นหนังทีนสุดน้ำเน่า แต่คนก็ตีตั๋วเข้าดูกันภาคแรกยันภาคสุดท้าย นั่นเพราะนางเอกถูกวางคาแร็คเตอร์ว่าต้องเป็นสาวหน้าบ้านๆ ธรรมดาๆ ไม่โดดเด่น เพื่อให้ผู้หญิงที่อ่านหรือดูเรื่องนี้ สามารถจินตนาการตัวเองเป็นนางเอกตามได้ 


  • Fifty Shades of Grey นี่ก็ตามความสำเร็จของเรื่องข้างบนมาติดๆ เพราะคนเขียนเรื่องนี้ชอบ Twilight เลยแต่งนิยายออกมาขายบ้าง เล่าเรื่องของน้องนางสาวจิ้น ที่ดันต้องไปสัมภาษณ์นักธุรกิจโคตรหล่อ โคตรรวยแทนเพื่อนที่ดันป่วยพอดี เมื่อป๊ะหน้ากันก็เกิดปิ๊งปั๊ง เคมีพุ่งกระฉูด แต่เรื่องก็พลิกผันหลายตลบเพราะพี่พระเอกแกดันมีรสนิยมเรื่องเซ็กส์ที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เรื่องนี้ก็วางตัวนางเอกเอาไว้ว่าต้องเป็นสาวน้อยธรรมดาๆ ติดจะซื่อ เอ๋อ สาวๆทั่วโลกก็ฟินจิ้นกันไปว่าตัวเองได้เป็นนางเอก


  • สุภาพบุรุษจุฑาเทพ มาที่นิยายไทยกันบ้าง นี่ก็ดังเปรี้ยงมายกทีมจากนิยายชุด กลายเป็นละครชุดที่เรตติ้งพุ่งแรงแซงทางโค้ง เพราะแจ้งเกิดนักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งทีม เล่าเรื่องของ 5 ท่านชายแห่งวังจุฑาเทพ ที่หนีการคลุมถุงชนไปตามหารักแท้ คู่ที่ 3 และ 5 นี่พล็อตซินเดอเรลล่าสุดๆ นางเอกจนแสนจน แต่ก็ดีแสนดี เรียกว่าสวยทั้งกาย สวยทั้งใจ จนได้เป็นสะใภ้จุฑาเทพนั่นแล  


SmileySmiley
SmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmileySmiley







 

Create Date : 17 ธันวาคม 2558   
Last Update : 17 ธันวาคม 2558 17:32:44 น.   
Counter : 4006 Pageviews.  

Ant-Man [2015] [No Spoil]

Ant-Man [2015]



Title : Ant-Man
Director : Payton Reed
Year : 2015
Time : 117 minutes
Ratings [IMDb.com] : 8/10 [ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2558]

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เรื่องย่อ [Synopsis]
Scott Lang [Paul Rudd] ถูกไล่ออกเพราะดันไปรู้ความลับว่าบริษัทโกงเงินลูกค้า การแก้แค้นของเขาจึงเป็นการใช้ความรู้โจรกรรมข้อมูลทางธนาคารแล้วโอนเงินส่วนต่างที่บริษัทโกงมาคืนให้กับผู้เสียหาย แน่นอนว่านี่คือพล็อตโรบินฮู้ด ปล้นคนรวยนิสัยไม่ดี ไปช่วยคนจนที่ถูกรังแก แต่โรบินฮู้ดยุคนี้ยังไงก็ต้องถูกจับ เมื่อพ้นโทษออกมาได้ Scott ก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายอีก เพราะต้องการตั้งตัวใหม่ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกสาว 

แหงล่ะ ว่าถ้าเรื่องเป็นอย่างนั้นเราคงไม่มี Ant-Man มาให้ได้ดูกัน เพราะตั้งแต่การจารกรรมข้อมูลครั้งนั้น Scott ก็ถูกเฝ้าจับตามองโดย Dr.Hank Pym [Michael Douglas] มาโดยตลอด เขาคือผู้คิดค้นสูตรเคมีที่ย่ออินทรียสารให้เล็กลง พร้อมชุดสูทพิเศษสำหรับการสวมใส่ในขณะย่อส่วน แต่ด้วยว่า Dr.Hank แกคิดว่ามันจะเป็นโทษมากกว่าถ้าตกไปอยู่ในมือคนชั่ว เขาเลยเก็บทั้งสูตรและสูทนี้ไว้เป็นความลับ เพื่อรอคนที่เหมาะสม ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร เป็นเฮีย Scott นี่เอง



เรื่องราวต่อจากนั้นเดาได้ไม่ยาก คนดีที่ต้องกลายเป็นโจร แล้วต้องกลับใจอีกครั้ง เพื่อปูมหลังของครอบครัวที่ต้องฝ่าฟัน ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่จำเป็น จบแฮปปี้ จักรวาลมาร์เวลได้ฮีโร่เพิ่มมาอีกหนึ่ง เย้!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ความคิดเห็น [Personal Opinion]

ต้องเล่าย้อนกลับไปนิดนึงสำหรับคนที่ตามดูหนังมาร์เวล แต่ไม่ได้ตาม comic หรือการ์ตูนเท่าไหร่ Ant-Man ต้นตำรับนั้นก็คือ Dr.Hank Pym นั่นล่ะ ในหนังจะมีเกริ่นตอนต้นนิดหน่อย แล้วค่อยๆคลายปมว่าทำไมแกถึงหวงสูตรยากับชุด Ant-Man นัก 

จริงๆนี่เป็นหนังซุปเปอร์ฮีไร่ที่ตอนแรกไม่ได้นึกอยากดูเท่าไหร่ เพราะ......
  • ไหวมั้ย ซุปเปอร์ฮีโร่ตัวจิ๋วเท่ามด นึกยังไงก็ไม่น่าจะเท่ได้เลยแฮะ
  • ติดภาพ Pual Rudd เป็นหนุ่มอบอุ่น ขี้เล่น นึกไม่ออกว่าจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ได้ยังไง

แต่พอได้เห็นตัวอย่าง แล้วก็โฆษณาจากต่างประเทศ เราว่าก็น่าสนใจดี เป็นการปูพื้นให้คนดูมีอารมณ์ร่วมกับหนังทีละนิด เราลองรวบรวมภาพการโปรโมตในรูปแบบต่างๆของหนังเรื่องนี้มาให้ดู เป็นการโปรโมตที่เก๋ไก๋ชไนเดอร์มากฮ่ะ









ในแง่ของพล็อตเรื่องน่ะ ไม่มีอะไรมากมายเลยจริงๆ มันเป็นพล็อตหนังซุปเปอร์ฮีโร่ยุคเก่าที่เดาได้ไม่ยากสักนิด หนังเล่นกับธีม Redemption หรือการไถ่บาป ด้วยการวางพื้นเพให้คาแร็คเตอร์หลักเคยทำผิดพลาด แล้วต้องการแก้ไขปรับปรุงตัว ทั้ง Scott ที่เคยคิดคุก และ Dr. Hank ที่มีอดีตฝังใจกับชุด Ant-Man 



ยังมี Hope van Dyne [Evangeline Lilly] ลูกสาวของ Dr.Hank ที่มีปมครอบครัว และ Darren Cross [Corey Stoll] ที่แค้นฝังหุ่นกับ Dr.Hank จนกลายมาเป็น Yellow Jacket ในที่สุด แต่ส่วนตัวแล้ว เราว่าสองคาแร็คเตอร์นี้ยังเล่นขาดๆเกินๆอยู่นะ อย่างความสัมพันธ์ของพ่อลูกก็ดูห่างเหินแบบไม่สุด ความแค้นระหว่างศิษย์อาจารย์หรือเจ้านายลูกน้องก็ยังไม่สุดเหมือนกัน 





กลายเป็นว่า เราชอบคาแร็คเตอร์สมทบมากกว่า อย่างแก๊งค์สามช่า เอ้ย! แก๊งค์เพื่อนร่วมห้องของ Scott น่ะ โอ๊ยยยย ชอบ เป็นกลุ่มก้อนที่ทรงพลังและดึงอารมณ์หนังได้ดีมาก โผล่มาได้จังหวะ ถูกเวล่ำเวลา โดยเฉพาะ Michael Pena ในบท Luis เนี่ย โคตรขโมยซีนเลย ชอบมากกกกกกกกกก



มาถึงเครดิตท้ายเรื่องกันบ้าง เราะดูจะเป็น signature ของหนังมาร์เวลไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่พลาด มีเหมือนกัน ที่จริงมีสปอยล์โผล่มาตั้งแต่กลางเรื่องเลยด้วยซ้ำ แล้วขยี้ตอนเครดิตท้ายเรื่องอีกรอบ ก็ควรค่าแก่การรอดูเหมือนเดิม

สำหรับ Ant-Man 2015 นี้เราขอให้คะแนน 4/5 โดนหักคะแนนเรื่องพล็อตไป แต่ได้เรื่องความบันเทิงมาช่วยแทน ตีตั๋วไปดูกันได้ ไม่เสียเวลาหรอกนะ






 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2558 11:33:50 น.   
Counter : 1230 Pageviews.  

10 หนังผีฝรั่งสุดสะพรึง


Credit ภาพนี้จาก //killerprofilecovers.com


ตามความเห็นส่วนตัว เราว่าหนังผีหรือ Horror Movie นั้น ทางฝั่งเอเชียดูจะทำได้น่าขนลุกกว่า จากประสบการณ์ที่ชอบดูหนังผี ทั้งซื้อแผ่น ดูในโรง หรือดูเคเบิ้ลรายเดือนก็ตาม เรามักถูกกระตุกเส้นจากหนังผีเอเชียได้ง่ายกว่า ซึ่งพอจะวิเคราะห์ได้ประมาณนึงว่า

  • วัฒนธรรม และบริบททางสังคมที่คนเอเชียก็คงจะ get หรือเข้าถึงหนังผีเอเชียได้ง่ายกว่า
  • ฝรั่งเวลาทำหนังผี ชอบใส่เรื่องจิตวิทยา หรือเรื่องวิทยาศาสตร์เข้าไป ประมาณว่าพยายามหาเหตุผลให้ผี ซึ่งพอทั้งผี และเราที่เป็นคนดูเข้าใจเผตุผลนั้นแล้ว มันเลยทำให้น่ากลัวน้อยลง 
  • องค์ประกอบสำคัญนอกจากความแหวะของรูปลักษณ์ผี คือ timing หรือที่เราเรียกกันขำๆว่าผีตุ้งแช่นั่นล่ะ หนังผีฝรั่งใช้จังหวะจะโคนยังไม่ตุ้งแช่เท่าไหร่ บางซีนผิดที่ผิดเวลา ระดับความน่ากลัวก็ผิดแปลกออกไปด้วย

แต่ๆๆๆๆ ถึงจะเกริ่นกันมาขนาดนี้ ก็ยังมีหนังผีฝรั่งจำนวนมาก ที่ทำเราสะดุ้งเฮือก และหลอนจับจิตจับใจข้ามวันข้ามคืน บางเรื่องถึงขนาดซื้อแผ่นมาเก็บหรือดูซ้ำได้หลายๆรอบด้วยนะเออ   

บอกกันไว้ก่อนว่า การจัดอันดับนี้เป็นความชอบ และความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ โดยไม่ได้อ้างอิงจากเรตติ้งจาก //www.imdb.com (เว็บไซต์รวบรวมข้อมูลภาพยนตร์ที่ค่อนข้างได้มาตรฐาน) ไม่ได้อ้างอิงตามคำวิจารณ์ของนักวิจารณ์ภาพยนตร์ หรือวัดจากรายได้ออกฉายของตัวภาพยนตร์เอง

หากใครมีเรื่องไหน หรือคอมเม้นท์อะไรที่แตกต่างจากนี้ มาแชร์ไอเดียกันได้ค่ะ จะยินดีมากๆเลย

และเราจะขอตัดหนังผีที่ไม่ผี อันได้แก่ หนังที่ปูพื้นว่าผี แต่สุดท้ายกลายเป็นสืบสวน จิตวิทยา / หรือหนังที่ผีมาตลอดเรื่อง แล้วเงิบคนดูด้วยการเฉลยตอนท้ายว่าผีไม่มี ทุกอย่างเป็นเรื่องมโน 

ไม่ๆ แบบนี้เราไม่นับ เราจะพูดถึงหนังผีที่อาจมีสืบสวนสอบสวนบ้าง จิตวิทยาบ้าง แต่ท้ายที่สุด มันคือผี คือปีศาจ คือวิญญาณล้วนๆ เข้าใจตรงกันตามนี้นะ 

มา! เริ่ม!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

The Skeleton Key (2005)



เรื่องเริ่มต้นด้วย Caroline Ellis (Kate Hudson) ที่รับงานพิเศษไปเป็นพยาบาลให้ชายชราป่วยหนัก เรื่องมันดูปกติดี เพราะลุงแกก็เจ็บป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ส่วนภรรยาแกก็แก่มาก ทำอะไรไม่สะดวกเท่าไหร่ Caroline ก็เข้าไปอยู่ช่วยทั้งงานบ้านนิดๆหน่อยๆ แล้วก็ดูแลคนป่วยไปตามเรื่อง แต่มันเริ่มไม่ปกติเพราะลุงที่ว่าป่วยถึงขั้นพูดหรือขยับตัวไม่ได้ จู่ๆวันนึงก็พยายามสื่อสารกับ Caroline ว่าเขาไม่ได้ป่วยเพราะสุขภาพไม่ดี แต่ป่วยด้วยฝีมือของปีศาจ เมื่อ Caroline พยายามบอกกับป้าเรื่องนี้ ป้าแกก็บอกว่าไม่มีอะไร ลุงแกเพี้ยน อย่าไปฟังมาก ใจนึงนางเอกของเราก็อยากจะลาออกทิ้งงานไปเลย เพราะไม่อยากมีเอี่ยวกับเรื่องประหลาด แต่อีกใจที่อยากรู้อยากเห็น และอยากช่วยลุงแกก็ดื้อดึง สุดท้ายใจฝ่ายดื้อก็ชนะ Caroline อยู่เพื่อสืบหาความจริง และแน่นอนว่ายิ่งสืบยิ่งค้น ก็ยิ่งดำดิ่งลงไปหาจุดที่ยากจะถอนตัวเสียแล้ว



เรายกให้เป็นหนังผีที่หลอนสุดขั้ว เพราะหลังจากดูจบทำเราเสียประสาทไปหลายวัน เพราะช็อคกับบทสรุปมากกกก คือพอท้ายๆเรื่องเราจะเดาออกแล้วล่ะว่าเรื่องมันจะคลี่คลายยังไง รู้ปูมเรื่องแล้ว แต่จุดจบนี่มันบีบหัวใจจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย คนเข้มแข็งนี่ถึงเวลาพลาดแล้วสุดจริง คือ บอกได้เท่านี้ไม่งั้นจะกลายเป็นสปอยล์ไปหมด แนะนำๆให้หามาดูกันนะ เอ้อ เรื่องนี้ เป็นการเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญของเจ้าแม่หนังรักอย่าง Kate Hudson ได้ดีเลยล่ะ นางแสดงเอาไว้ได้เจ๋งจริงๆ   

คะแนนความหลอน เอาไป 9/10


ประโยคเด็ด >> I don't believe! I don't believe!


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

1408 (2007)



Mike Enslin (John Cusack) หาเลี้ยงชีพด้วยการพิสูจน์ว่าผีไม่มีจริง จากการเดินทางไปยังสถานที่สุดหลอนทั่วอเมริกา ค้างคืน ณ ที่แห่งนั้นพร้อมกลับออกมาเขียนแฉว่าที่ใดบ้างที่หลอนแบบปลอมๆ ซึ่งเท่าที่ผ่านเขายังไม่เคยเจอดีเลยสักครั้ง จนกระทั่งได้รับโปสการ์ดใบหนึ่ง เชิญชวนให้เขาไปพักที่ Dolphin Hotel ณ ห้องหมายเลข 1408 ห้องที่ได้ชื่อว่าเฮี้ยนสุด หลอนสุด ไม่ว่าใครมาพักก็ต้องตายทุกคน ตอนแรก Mike ยังไม่เชื่อ แต่ก็เหมือนมีอะไรดลใจทำให้เขาเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมนั้นจนได้ หลังจากยื่นความประสงค์ว่าจะพักห้อง 1408 ผู้จัดการอย่าง Gerald Olin (Samuel L. Jackson) ก็พยายามเกลี้ยกล่อมทุกทาง ทั้งเสนอห้องที่สวยกว่า หรูกว่า แพงกว่าในราคาเท่ากันให้ ซึ่งยิ่งทำให้ Mike อยากพิสูจน์ให้ได้ว่าห้อง 1408 นี่มันอะไรยังไงกันแน่ และวินาทีที่ Mike ก้าวเข้าห้อง 1408 ทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น





หนังผี กึ่งจิตวิทยา ที่ไม่น่ากลัวแบบผีโผล่ตุ้งแช่ แต่ค่อยๆหลอนทีละนิด สะกิดให้ขนลุกทีละหน่อย เราว่าฉากและการเล่าเรื่องมันคุมโทนให้หลอนได้พอดีๆ ทำให้รู้สึกเหมือนเราก็เป็น Mike ที่ตอนแรกไม่กลัว ก็ค่อยๆเริ่มกลัว และพยายามพิสูจน์ว่าผีไม่มีจริง ทั้งๆที่ทุกอย่างรอบตัวในห้องนั่นมันไร้เหตุผล และเหนือธรรมชาติสุดๆ  เรื่องนี้ทำเราหลอนเพลง We've only just begun เพลงรักหวานซึ้งของ The Carpenters  ไประยะนึงเลยนะ 

คะแนนความหลอน เอาไป 8.5/10



ประโยคเด็ด >> Are you ready to check out, Mr. Enslin?

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

The Devil's Advocate (1997)



Kevin Lomax (Keanu Reeves) แสนจะดีใจเมื่อถูกดึงตัวให้ไปเป็นทนายที่นิวยอร์ค แม้เขาจะข้องใจอยู่บ้างว่า เจ้าของบริษัทอย่าง John Milton (Al pacino) จะมาสนใจอะไรกับทนายความบ้านนอกอย่างเขา แต่เงินเดือนมหาศาล สวัสดิการสุดเลิศ ก็ทำให้ Kevin มองข้ามความแปลกๆ ทะแม่งๆทุกอย่างไป คิดแค่ว่านี่จะเป็นหนทางก้าวหน้าให้กับตัวเองและภรรยา Mary Ann Lomax (Charlize Theron) แต่ในเมื่อใครๆก็บอกว่าการเชื่อสัญชาติญาณของตัวเองนั้นดีที่สุด เรื่องแปลกๆที่ Kevin สัมผัสได้ก็เริ่มกลิ่นแรงขึ้นทุกที แต่ที่น่ากลัวคือ Kevin เริ่มรู้สึกเลยว่า อำนาจมืดที่มองไม่เห็น มันมีพลังเกินกว่าจะเป็นฝีมือของคนธรรมดา





เชื่อมั้ย หนังหลอนจัดๆอย่างนี้ เราไปดูในโรงกับแม่ล่ะ จำได้ว่าไม่เกินมัธยมต้น นั่งดูไป ทั้งกลัว ทั้งหลอน จับมือแม่แน่นมาก ขนาดตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้ประสา ยังสัมผัสถึงความหลอนและจิตวิทยาแบบขั้นสุดของหนังได้ หนังไม่ได้เล่าเรื่องแบบผีๆ ตรงๆ โจ่งแจ้ง แต่เล่าผ่านตัวบุคคล (ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่คน) แล้ว Al Pacino ก็ทำให้บท John Milton นี้ไปถึงระดับสุดจริงๆ บทสรุปมันสะเทือนใจมาก ขอให้ได้มีโอกาสหามาดูกันนะ

คะแนนความหลอน เอาไป 9/10



ประโยคเด็ด >> Vanity, definitely my favourite sin.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

The Sixth Sense (1999)



Dr.Malcolm Crowe (Bruce Willis) เป็นจิตแพทย์เด็ก ที่สูญเสียภรรยาจากฝีมืออดีตคนไข้ของตัวเอง หลังจากนั้น 1 ปี Mulcolm ก็ได้เจอกับ Cole Sear (Haley Joel Osment) เด็กชายพูดน้อย ดูเก็บกด ที่มักมาพบเขาพร้อมรอยแผลเป็นจ้ำๆตามเนื้อตัว Mulcolm คิดว่าแม่ของ Cole ต้องเป็นพวกชอบใช้กำลังกับลูก จึงพยายามหาทางช่วยเหลือ แต่ Cole กลับบอกว่ารอยแผลพวกนั้นเกิดจากวิญญาณที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด ที่มาขอความช่วยเหลือจากเขา แน่นอนว่าจิตแพทย์อย่าง Mulcolm ไม่เชื่อสักนิด จนกระทั่งความจริงค่อยๆปรากฏขึ้น





หนังผีในตำนาน ที่กลายเป็นต้นแบบให้หนังผีอีกหลายเรื่อง และเป็นการสร้างชื่อให้ M. Night Shyamalan เป็นที่รู้จักในฐานะผู้กำกับหนังผี หนังสยองขวัญมือหนึ่ง (แม้หลังๆฝีมือแกจะดร็อปลงจนน่าใจหายก็เถอะนะ) บรรยากาศของหนังไม่ได้น่ากลัวแบบหนังผีทั่วไป คือไม่ใช่มืดๆ อึมครึม อะไรทำนองนั้น แต่เป็นการสร้างความสงสัยให้คนดูว่า เฮ้ย ไอ้เด็กนี่จริงๆแล้วมันเห็นผีจริง? หรือมันกุเรื่องขึ้นมาวะ? บางช่วงก็เกือบจะคิดแล้วว่าเด็กมันมโนไปเองแน่ๆ แต่แล้วก็มีผีโผล่มาทำให้ไขว้เขว แต่เอ๊ะ เห็นทีไรไอ้เด็กนี่ก็อยู่คนเดียวนี่หว่า ผีจริงเร้ออ? หลอกให้คนดูงงงวยกับสถานการณ์ทั้งหมด แล้วปิดท้ายด้วยบทสรุปที่ อื้อหือ! เล่นงี้เลยนะ?!

คะแนนความหลอน เอาไป 10/10


ประโยคเด็ด >> I see dead people.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Thirteen Ghosts (2001)



Arthur Kriticos (Tony Shalhoub) เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องดูแลลูก 2 คนหลังภรรยาเสียชีวิตในเหตุการณ์ไฟไหม้ เขามีหนี้สินท่วมตัว งานก็กำลังถึงทางตัน แต่จู่ๆก็มีทนายความติดต่อมาบอกว่า ปู่ของ Arthur ตัดสินใจยกมรดกทั้งหมดให้เขา ซึ่งไม่ได้มีแค่เงินทองจำนวนมหาศาลที่พอปลดหนี้และทำให้ Arthur กับลูกๆมีกินมีใช้ไปอีกตลอดชาติ แต่ยังรวมถึงบ้านทรงโมเดิร์นแปลกตากลางป่า ที่ปู่เศรษฐีสร้างไว้ก็เป็นมรดกชิ้นหนึ่งด้วย แต่ถึงแม้ Arthur จะจนตรอกเขาก็ยังไม่ผลีผลาม จึงพาลูกๆไปดูให้เห็นกับตาถึงมรดกชิ้นสำคัญ และที่บ้านหลังนั้นเอง พวกเขาได้พบกับกลุ่มคนแปลกหน้าอีกหลายคน ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นลูกน้องของปู่เขา โดยต้องการอยากจะเยี่ยมชมบ้านซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยสะดุดตา แต่เพียงแค่ทุกคนก้าวเท้าเข้าสู่บ้านหลังนั้น เรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่จะจินตนาการก็เกิดขึ้น





หนังผีพล็อตหลวมโพรกที่ดูแล้วดุเด็ดเผ็ดมันมาก เนื้อเรื่องไม่มีอะไรเท่าไหร่คือเดาได้เลยว่าไอ้บ้านสวยนั่นมันเฮี้ยนแน่ แต่เฮี้ยนแบบไหนล่ะ ก็เฮี้ยนแบบที่ว่ามันไม่ได้มีไว้ให้คนอาศัย แต่สร้างไว้ให้ผีอาศัยโดยเฉพาะน่ะสิ แล้วที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ บรรดาผีๆในเรื่องนี่ เอฟเฟ็คชนะเลิศมาก มาเต็ม ดูแล้วแหวะ แหยะ สยองสุดๆ แล้วก็ผีในเรื่องทั้งหมดเนี่ย มันเป็นเหมือนเรื่องเล่า (Urban Legend) ของฝรั่งนะ ถ้าดูเก็บรายละเอียดจะรู้เลยว่ามีหลายตัวที่ไปโผล่ในหนังผีอีกหลายเรื่อง ส่วนตัวเราชอบผีกับตัวบ้านในเรื่องมาก คือบ้านน่ะสวยโมเดิร์น แบบกระจกทั้งหลัง มีกลไกอะไรสนุกๆให้ดูให้เล่นเพียบ ซึ่งมันเป็นคีย์เวิร์ดของหนังเลยนะ ว่าเล่นแล้วมันจะมีเอฟเฟ็คตามมา คือ บอกได้เท่านี้ (เหมือนเดิม) ใครอยากดูหนังผีแหยะๆ แหวะๆ ไม่ต้องคิดมาก แต่ผีหลอนน่ากลัวได้ใจ แนะนำ

คะแนนความหลอน เอาไป 7.5/10



 ประโยคเด็ด >>  Who are you to play God? Playing is for children.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Insidious (2010)



Dalton Lambert (Ty Simpkins) เด็กชายที่มีพลังพิเศษ สามารถถอดจิตในขณะที่นอนหลับ ล่องลอยไปยังภพภูมิของวิญญาณได้ ครั้งแรกๆนั้น Dalton ก็สนุกตามประสาเด็กอยู่หรอก แต่ครั้งหลังๆเขาถอดจิตนานขึ้น หลับลึกขึ้น จนกลายเป็นปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เดือดร้อนพ่อแม่ต้องพาไปหาหมอ ซึ่งก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าทำไม สุดท้ายในเมื่อพึ่งหมอแผนปัจจุบันไม่ได้ ก็ต้องพึ่งหมอผี หมอไสยศาสตร์กันล่ะ ซึ่งมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้ว่าพลังพิเศษของ Dalton มันไม่ได้มาเอง เพราะ Josh Lambert (Patrick Wilson) ผู้เป็นพ่อก็มีพลังนี้เหมือนกัน





หลังจากหนังผีฮอลลีวู้ดเริ่มก้าวเข้าสู่อะไรเดิมๆ เดาทางได้มานานหลายปี Insidious ก็เข้ามาเขย่าประสาทคนชอบหนังสยองขวัญได้แบบถึงกึ๋น เป็นหนังผีที่มีองค์ประกอบรวมทั้งหมดส่งเสริมกันดี ทั้งบรรยากาศขมุกขมัว ตัวละครทั้งหมดที่บทเด่นเสริมกัน จังหวะปล่อยผี หรือตัวผีเองที่น่ากลัวจนสะดุ้งโหยงเลยล่ะ ก่อนฉายมีคนปรามาศไว้ว่าหนังผีอีกแล้ว จะสักเท่าไหร่กัน แต่กลายเป็นกวาดรายได้ทั่วโลกไปเยอะมาก และผู้กำกับก็ดูเหมือนจะมองแผนออก เพราะทำตอนจบแบบไม่จบ เปิดรอไว้สำหรับภาคอื่นๆที่จะตามมา (ส่วนตัวแล้ว เราว่าภาค 2 กับ 3 ไม่น่ากลัวแล้วนะ ความสดใหม่ของพล็อตมันหายไปแล้วล่ะ)

คะแนนความหลอน เอาไป 9/10



ประโยคเด็ด >> It's not the house that is haunted. It's your son.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

The Conjuring (2013)



Ed และ Lorraine Warren (Patrick Wilson และ Vera Farmiga) คือสามีภรรยาผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหนือธรรมชาติ พวกเขาเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบกับเหตุการณ์ประหลาด และขึ้นบรรยายเกี่ยวกับเรื่องผีสางทั่วประเทศ จนวันหนึ่งคู่แต่งงานครอบครัว Perron ได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือถึงมหาวิทยาลัยที่พวกเขาบรรยายอยู่ โดยอ้างว่าบ้านมือสองที่เพิ่งซื้อมานั้น น่าจะมีวิญญาณสิงอยู่ เพราะทั้งครอบครัวต้องเจอกับเหตุการณ์ประหลาดๆ อธิบายไม่ได้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาเลย 





หนังผีสร้างจากเรื่องจริงของของ Ed และ Lorraine Warren ที่นำเสนอมุมมองว่าพวกเขาไม่ได้แค่โบกมือ สวดคาถา ไล่ผีสางแบบไม่ดูฟ้าดิน แต่ในเรื่องจะแทรกเหตุการณ์ของบางครอบครัว ที่เมื่อพวก Warren เดินทางไปช่วยตรวจดูแล้วกลายเป็นเพียงสิ่งที่วิทยาศาสตร์อธิบายได้ง่ายดาย ในขณะที่กรณีของครอบครัว Perron นั้นก็กลายเป็นเรื่องอำนาจมืดของวิญญาณที่ร้ายสุดขั้ว และทำให้ทั้ง Ed และ Lorriane เกือบเอาชีวิตไม่รอด เราชอบตรงที่หนังไม่ได้บังคับให้เรานั่งหลอนตลอดเรื่อง แต่จะช่วงพักหายใจ แทรกมุกตลกเข้ามาบ้าง ผีก็ไม่ได้โผล่มาแบบตุ้งแช่นะ แต่ค่อยๆแสดงฤทธิ์เดชมาทีละหน่อย แต่โดยรวมนับว่าเป็นหนังผีที่กลมกล่อมดี อ้อ แต่ฝากไว้นิด มีหลายคนที่ดูเรื่องนี้แล้วโดนหลอกล่อให้ดู Annabelle ต่อ เพราะเปิดเรื่องมาก็พูดถึงไอ้ตุ๊กตานี่ก่อนเลย ตลอดทั้งเรื่อง รวมถึงตอนท้ายก็ทิ้งปมไว้อีก ส่วนตัวเราว่า Annabelle ไม่น่ากลัวเลยนะ เป็นเหมือนภาคขยายที่ไม่จำเป็น ตอนเราอ่านเรื่องใน google ยังว่าน่ากลัวกว่าหนังอีก 

คะแนนความหลอน เอาไป 8/10



ประโยคเด็ด >> Want to play a game of hide and clap?

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

The Rite (2001)



Michael Kovak (Colin O'Donoghue) เป็นลูกชายเจ้าของกิจการรับตกแต่งศพ เขาไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะฝังใจที่แม่ตาย โดยคิดว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ควรพรากแม่ของเขาไป แต่กระนั้น Michael ก็ยังเลือกจะเรียนเป็นบาทหลวงฝึกหัด เพราะคิดว่านี่เป็นหนทางหนีไปจากกิจการของที่บ้านที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องหาข้อแก้ตัวกับพ่อ ในปีสุดท้ายนั้น Michael ไม่สามารถทนรับภาวะกดดันและเส้นทางที่จะต้องเดินต่อไปได้ จึงตัดสินใจขอลาออก แต่คุณพ่ออธิการกลับรั้งเขาเอาไว้ โดยขอให้เขาไปเรียนคอร์สพิเศษที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี Michael ไม่มีทางเลือกเพราะถ้าปฏิเสธก็หมายถึงเขาต้องหาเงินมาชดใช้ทุนทั้งหมดซึ่งไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย ที่โรม Michael พบว่าคอร์สพิเศษที่ว่านั้น คือคอร์สฝึกหัดสำหรับคนที่อยากเป็น หมอ(ไล่ผี) หรือ Exorcist เขาต่อต้านและพยายามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มางัดข้อกับผู้บรรยายในคลาส จนสุดท้ายจึงต้องถูกส่งไปฝึกงานกับ Father Lucas Trevant (Anthony Hopkins) ภาคทฤษฎี Michael อาจหาข้อโต้แย้งและเหตุผลให้กับทุกเหตุการณ์ได้ แต่ในสนามจริงเขาพบว่าบางอย่างเกิดขึ้นอย่างน่าพิศวง ไร้ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และอยู่เหนือการควบคุม มันน่าหวาดหวั่น น่าสะพรึงกลัว และบางครั้งผีก็อยู่ใกล้ตัวว่าที่เขาคิด





หนังโรงใหญ่ที่ได้ดาราใหญ่อย่าง Anthony Hopkins มาเล่นในบทของบาทหลวงไล่ผี ซึ่งเขายังคงทำได้ดีเหมือนเคย หนังไม่ได้เล่าให้เห็นผีโผล่มาเป็นตัวๆ น่ากลัว หรือสยดสยอง แต่โทนหนังมันบีบคั้นความรู้สึกดีพิลึก หนังสร้างปมให้พระเอกเป็นผู้ขาดศรัทธาแต่ก็เลือกจะเรียนเป็นบาทหลวง ในขณะที่บาทหลวงซึ่งควรจะเป็นที่พึ่งให้ใครต่อใคร ก็กลับปฏิบัติหน้าที่ไปอย่างแกนๆมากกว่าจะทำด้วยศรัทธาจริต ซึ่งสุดท้ายก็จะนำไปสู่บทสรุปที่ว่า ไม่ว่าใครก็ไม่ได้มีเฉพาะด้านมืดหรือด้านสว่าง ทุกคนต่างมีพื้นทีสีเทาที่คละเคล้าหล่อหลอมอยู่ในตัวทั้งสิ้น

คะแนนความหลอน เอาไป 8.5/10



ประโยคเด็ด >> Be careful Michael, choosing not to believe in the devil doesn't protect you from him.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Drag Me To Hell (2009)



Christine Brown (Alison Lohman) พนักงานฝ่ายสินเชื่อในธนาคารท้องถิ่น ผู้แสนจะเรียบร้อยอ่อนหวาน ต้องเจอกับวันทำงานสุดประหลาด เมื่อหญิงชราคนหนึ่งเข้ามายื่นผ่อนผันการยึดบ้าน Christine ใจอ่อนและกำลังจะดำเนินการให้อยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ติดว่านี่คือการอ่อนข้อให้ลูกค้า และมันอาจจะทำให้เธอพลาดโอกาสการเลื่อนตำแหน่ง ถ้าเจ้านายคิดว่าเธอยังไม่แกร่ง ไม่พร้อมสำหรับงานแบบนี้ ถ้าเพียงแค่การกลั้นใจปฏิเสธหญิงชราผู้น่าสงสารจะยังยากไม่พอ พฤติกรรมของหญิงชรานั่นก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างยากมากขึ้นไปอีก เมื่อหล่อนเริ่มด่าทอ ตรงเข้าทำร้ายร่างกาย Christine ก่อนจะถูกพอตัวออกไปได้อย่างหวุดหวิด แต่หญิงชรายังดักรอ Christine ในลานจอดรถ ตรงเข้าหาเธอและสาปแช่งด้วยบทสวดคาถาแปลกหู และมันเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะสำหรับ Christine จริงๆ





หนังผีเกรดบี ที่ได้อรรถรสแบบภาพเสียงครบครัน เราชอบความดิบเถื่อนที่ใส่มาไม่ยั้งในหนังเลยนะ ตัวหญิงชรานั่นก็แหม น่ากลัว น่าขยะแขยงสุดฤทธิ์ แล้วยังจะเหตุการณ์ชวนอ้วกที่เกิดกับนางเอกอีก ใครกำลังจะกินข้าว หรือเพิ่งกินข้าวมาแนะนำว่าอย่าดู มันชวนแหวะขั้นสุด ขนาดเราดูในเคเบิ้ล จอที่สีปกติ ขนาดปกติ ยังสัมผัสได้เต็มเหนี่ยว คนไปดูโรง จอเบ้อเริ่มจะน่าขวัญผวาขนาดไหน

คะแนนความหลอน เอาไป 9/10



ประโยคเด็ด >> Choke on it, bitch!

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

Oculus (2013)



2 พี่น้อง Kaylie และ Tim Russell กลับมาพบกันอีกครั้งหลัง Tim ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับอาการทางประสาทตั้งแต่เด็ก ในขณะที่ Kaylie ก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ เธอพยายามวิ่งเต้นช่วยเหลือน้องชายทุกทางเพื่อพาเขาออกมา แต่ไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตตามปกติ แต่เพื่อมาช่วยเธอค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อและแม่ ซึ่ง Kaylie เชื่อว่ามันเกิดจากกระจกโบราณบานใหญ่ที่พ่อเธอซื้อมา จากการค้นคว้าและตามหา ในที่สุด เธอก็ได้ครอบครองกระจกบานนั้นอีกครั้ง การทดลองว่ามันมีผีสิงอยู่กำลังจะเริ่มขึ้น แม้ Tim จะพยายามห้ามเท่าไหร่ แต่พี่สาวก็ไม่ฟัง เพราะถ้าเธอพิสูจน์ได้มันจะทำให้ Tim พ้นข้อกล่าวหาที่ว่าเขาเป็นคนฆ่าพ่อตัวเอง Kaylie เตรียมการเป็นอย่างดี ทั้งเสบียง พลังงานไฟฟ้าและน้ำประปา การอัดวีดีโอในทุกมุมของห้อง แต่สุดท้ายมันก็เกินควบคุม เมื่อสิ่งที่อยู่ในกระจกต้องการจะเอาชีวิตของทุกคนที่กล้าลองดี





หนังผีที่ต้องใช้ความพยายามในการดูมากเป็นพิเศษ เพราะมีเรื่องวิทยาศาสตร์ฉละการทดลองเข้ามาเกี่ยวข้อง ในช่วงแรกต้องตั้งใจฟังบทพูดของตัวพี่สาวมาก เพราะเป็นตรรกะสุดๆ แต่โทนของหนังดีมากเลยนะ มุมกล้อง จังหวะจะโคน การเล่าเรื่องก็แปลกดี แต่อย่างที่ว่าไปว่าสิ่งที่ทำให้ผีน่ากลัวคือความไร้เหตุผล อย่างในเรื่องขนาดว่าคนพี่เตรียมตัวดีแค่ไหน หาทางป้องกันตัวเองทุกทาง แต่ผีคือผี มันไม่มีกฎเกณฑ์ มันไม่เดินตามเกมของใคร บทจบสุดท้ายเลยสะเทือนใจแล้วก็แอบช็อกนิดๆเหมือนกัน

คะแนนความหลอน เอาไป 8.5/10



ประโยคเด็ด >> Hello again! You must be hungry.




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2558   
Last Update : 18 กรกฎาคม 2558 19:50:23 น.   
Counter : 45027 Pageviews.  

Jurassic World [2015] [No Spoil]

Jurassic World [2015]

Title : Jurassic World 

Director : Colin Trevorrow 

Year : 2015

Time : 124 minutes 

Ratings(IMDb.com) : 7.7 / 10 (ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2558)




หนังแอ็คชั่น ผจญภัยที่คนทั่วโลกรอดู (เอ้า นี่ไม่ได้พูดเกินจริง เราไปดูรอบเช้าสุดของวันที่ 11 มิ.ย. นี่คนเต็มโรงนะจ๊ะ เหลือแค่ไม่กี่แถวด้านหน้าสุด)

ใครที่กังวลว่ายังไม่ได้ดูภาคก่อนหน้านี้ก็เลิกกังวลได้ เพราะเนื้อเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน มีการกล่าวถึงเรื่องก่อนหน้าบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ทำให้เสียอรรถรสอะไรเลย ดูได้ ไม่มีปัญหา มันไม่ใช่ภาคต่อ ไม่ใช่การรีเมค และไม่ใช่การเล่าในมุมมองใหม่ มันเป็นหนังไดโนเสาร์อาละวาดแบบที่รู้ตอนต้น ตอนกลาง และตอนจบ โดยไม่ต้องเดาอะไรทั้งสิ้น



Jurassic World คือธีมพาร์คที่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังปิดไปนานหลายปี เปิดจริงจังชนิดที่ว่าต้องจองคิวกันล่วงหน้า คนเข้ามาเที่ยวกันเป็นหมื่น มีจุดเที่ยว จุดขายของที่ระลึก จุดดูโชว์ (แน่นอน ไดโนเสาร์โชว์) ห้องพัก โรงแรม บลาๆ เราคิดอยู่เลยว่า นี่มัน Universal Studio แบบที่ใช้ไดโนเสาร์แทนคาแร็คเตอร์หรือตัวการ์ตูนนี่หว่า




Zach กับ Gray เป็นพี่น้องวัยรุ่นที่ถูกส่งมาเที่ยว (ไอ้คนน้องน่ะอยากมาสุดๆ ส่วนคนพี่ต้องติดสอยห้อยตามมาดูแล ว่างั้น) พ่อแม่อนุญาตให้มาเพราะคิดว่ามีน้าสาวอย่าง Claire ซึ่งทำงานที่ธีมปาร์คอยู่แล้วคอยช่วยดูแลได้ 


นางเอกอย่าง Claire เนี่ยเป็นฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ (หรือก็คือไดโนเสาร์นั่นแล) เมื่อเปิดมานานความตื่นเต้นก็ลดลง คนมาดูน้อยลง ก็ต้องมีการใส่ไดโนเสาร์ตัวใหม่ๆ ที่ใหญ่ขึ้น เหี้ยมขึ้น ดุขึ้นเข้าไป เพื่อกระตุ้นให้คนยังอยากมาดู (มีการเลี้ยง เพาะพันธุ์ในแล็บ)


แน่นอนว่าเรื่องราวต่อจากนั้นก็เดาได้ง่ายสุดๆ ไอ้พี่เบิ้มพันธุ์ผสมตัวนี้ล่ะ ที่มันหลุดออกมาอาละวาดฟาดหัวฟาดหาง ให้คนในธีมปาร์คต้องหนีตาย และต้องให้พระเอกนางเอกตามต่อสู้กำราบให้สิ้นซาก


เออ เกือบลืมพระเอก Owen นี่ก็ปูพื้นฐานมาอย่างดีว่าเป็นนาวิกฯเก่า ถูกจ้างมาให้ดูแลไดโนเสาร์ในโปรเจ็คพิเศษ (พิเศษยังไงต้องไปดู) เพราะงั้นเรื่องความเก่งกาจ ต่อสู้ เอาตัวรอด เฮียแกทำได้สบายมาก





หนังนานพอสมควร บวกกับโฆษณาและหนังตัวอย่าง หนังยาวเกือบ 160 นาที ใครนึกอยากซื้อน้ำเข้าไปกินก็ระวังกันหน่อยล่ะ


แม้สาวๆหลายคนจะตัดสินใจตีตั๋วไปดูเพราะความเท่ของ Chris Pratt แต่สำหรับเรา เราว่า Pratt ยังต้องฝึกแอ็คติ้งอีกมาก จากเรื่องก่อนหน้าคือ Guardians Of The Galaxy นั้นเราว่าคาแร็คเตอร์กวนๆของบทช่วยทำให้ Pratt กลับมาแจ้งเกิดได้ ใน Jurassic World ก็ไม่ต่างกันมาก


แต่เมื่อมาเจอฝีมือพระกาฬอย่าง Bryce Dallas Howard ในบท Claire มันเลยเห็นความต่างค่อนข้างชัด เพราะ Bryce นี่จัดจ้านมาก โกรธเป็นโกรธ กลัวเป็นกลัว ฮึดเป็นฮึด ดราม่านางก็ทำได้ดี คือสุดอ่ะ (คุ้นๆกันมั้ย Bryce ก็คือสาวตาบอดใน The Village และแม่บ้านจอมหยิ่งชอบเหยียดผิวใน The Help ไง)



รวมถึง Nick Robinson ในบท Zach และ Ty Simpkins ในบท Gray สองพี่น้องที่ดูเข้ากันมากๆ มันเลยทำให้พระเอกหน้าเดียวอย่าง Pratt ดูหมองไปนิดหน่อย




แต่โดยรวมแล้วไม่ผิดหวังนะ เราให้ 4 / 5 เพราะหนังดูเพลินและมันมาก (นี่เกาะแขนคนไปดูด้วยแน่นเลย มีจิกเล็บตอนพี่ไดโนกลายพันธุ์โผล่ออกมาด้วย ฮ่าๆๆๆ) แล้วที่ชอบก็คือ หนังเล่าง่ายๆ ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องใส่ดราม่าเกินเหตุ มันเลยดูเพลิน 


อยากเปรียบเทียบกับหนังหุ่นยนต์สุดโด่งดังเมื่อปี 2007 ทั่วโลกตื่นเต้นที่ได้เห็นรถแปลงร่างเป็นหุ่น หนังแอ็คชั่นมันสนั่นจอ แต่ภาคต่อๆมากลับพยายามทำพล็อตใหม่ ใส่ดราม่า และเนื้อเรื่องที่ไม่จำเป็น (ภาคสองพระเอกสลบแล้วมีไปเฝ้าพระเจ้าหุ่นยนต์????? ภาคสามโยงไปยังการส่งคนไปดวงจันทร์ และภาคล่าสุดที่มีหุ่นไดโนเสาร์ เอิ่ม ออกทะเลไปไกลโพ้นสินะ -*-)


แค่จะบอกว่าบางทีก็ไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นหรอก หนังประเภทนี้ดูเอามัน เอาเพลิน เข้าใจ ผกก. กับทีมผู้สร้างว่าพยายามทำให้แปลกใหม่ แต่ยังเกาะความฮิตความดังของภาคแรก มันไม่เวิร์คหรอกนะ


สรุปว่า Jurassic World ทำหน้าที่ได้ดีในแง่ของหนังบล็อกบัสเตอร์ มีครบทั้งความสนุก ลุ้นระทึก ตื่นเต้น ดราม่าซาบซึ้งนิดๆหน่อยๆ ตีตั๋วไปดูกันได้ ไม่เสียดายตังค์หรอกนะ ^O^      




 

Create Date : 12 มิถุนายน 2558   
Last Update : 15 มิถุนายน 2558 8:59:03 น.   
Counter : 1479 Pageviews.  

[Review] The Grand Budapest Hotel

The Grand Budapest Hotel

คนพิลึกกับโรงแรมพิสดาร(ตามสไตล์ Wes Anderson)

(หมายเหตุ ชื่อภาษาไทย เราตั้งเองนะคะ)


Title : The Grand Budapest Hotel

Director : Wes Anderson

Year : 2014

Time : 100 minutes

Ratings(IMDb.com) : 8.1 / 10 


เรื่องย่อ(Synopsis)

เรื่องเล่าย้อนไปยังสมัยสงครามโลกมีโลเกชั่นเป็นโรงแรมเว่อร์วัง อลังการ นามว่า The Grand Budapest Hotel อันเป็นสถานที่สุดไฮโซ โก้หรู สวยงาม คนมีอันจะกิน เซเลป คนดัง ต่างตบเท้าเข้าพักกันให้ควั่ก Concierge ของที่นี่คือ M. Gustave (Ralph Fiennes) แต่เขาก็ไม่ได้เป็นแค่ผู้ดูแลแขกธรรมดานะ อีตากุสตาฟเนี่ย เที่ยวไปมีความสัมพันธ์กับสาวแก่แม่ม่ายที่มาพักในโรงแรม นัยว่าเป็นหนุ่มรูปงามที่ให้ความบันเทิงแก่สตรีที่จิตใจห่อเหี่ยว วันดีคืนดี หนึ่งในสาวใหญ่ในสต็อกของกุสตาฟ เกิดตายกะทันหันในคฤหาสน์ของตัวเอง เท่านั้นคงไม่แปลกแต่ป้าแกดันเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้คองเชียสหนุ่ม ชนิดที่ว่าลูกหลานต้องพากันเต้นผาง หนำซ้ำยังมีพยานปากเอกให้การกับตำรวจว่าเห็นกุสตาฟย่องเข้าคฤหาสน์ก่อนวันที่จะเกิดเรื่องเพียงวันเดียว เรื่องมันเลยอลหม่านหลังบ้านทรายทอง เอ้ย อลหม่านหลังม่านโรงแรมแกรนด์บูดาเปสต์ กันสุดๆ




ความคิดเห็น (Personal Opinion)

ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ชมผลงานของ Wes Anderson ผกก.ชาวอเมริกันคนนี้ หลังจากได้ชมก็เลยต้องทำการบ้านเพิ่มอีกพอควร เลยได้รู้ว่า เฮียเวสแกมีสไตล์เฉพาะตัวในการกำกับหนังมากๆ

อย่างแรกเลย โปรดักชั่นจะต้องสีสันลูกกวาด พาสเทล แลดูกึ่งจริง กึ่งแฟนตาซี อย่างเรื่องนี้ที่ดูยังไง้....ยังไงก็เป็นฉาก แต่ทำฉากได้สวยเว่อร์ ตัวโรงแรมเป็นสีชมพูหวานเย็นด้านในโรงแรมก็สวยสะพรึงคืองามมาก งามจนดูได้เพลินไปเลย

ซิกเนเจอร์ถัดมาคือมุมกล้อง ที่จะวางตำแหน่งภาพแบบแบ่งครึ่งและจะมีวัตถุตรงกลางภาพเสมอ เวลาหันกล้องก็จะหันแบบ 90 องศาตลอด มันทำให้เรารู้สึกเหมือนมองภาพวาดแบบสมมาตรอย่างไรอย่างนั้น

ผลงานที่ผ่านมาของเฮียเวสก็เช่น The Royal Tenenbaums (2001), Fantastic Mr. Fox (2009), Moonrise Kingdom(2012) ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้เราแค่เปิดดูผ่านตายังไม่มีโอกาสตั้งใจดูสักทีก็ถือเป็น mission ที่จะดูต่อไปในอนาคตแล้วกัน

มาว่ากันที่เนื้อเรื่องบ้าง บอกกันอีกสักข้อว่าคุณไม่ควรหาเหตุผลให้กับหนังคอมเมดี้ โดยเฉพาะคอมเมดี้จากฝีมือของเวสเพราะมันเป็นหนังตลกกึ่งแฟนตาซี นั่นคือดำเนินเรื่องไปบนพื้นฐานความจริงแต่เล่าออกมาได้ฮาหลุดโลกมากเช่น ฉากบนรถไฟที่ผู้ช่วยของกุสตาฟอย่าง Zero (Tony Revolori) ต้องถูกตรวจสอบเอกสาร และเมื่อเจ้าหน้าที่พบว่าเขาเป็นพวกผู้อพยพเอกสารไม่ถูกต้อง ก็ตั้งท่าจะจับแต่กุสตาฟไม่ยอม มีต่อสู้กันจนเลือดตกยางออก ก่อนจะมีคนโผล่มาช่วยแบบฉิวเฉียด หากเป็นเรื่องจริงอย่าว่าแต่ต่อสู้เลย แค่โอกาสจะเถียงเจ้าหน้าที่ก็แทบไม่มี ยิ่งฉากหลังเป็นช่วงสงครามด้วยแล้วใครจะกล้าหือกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจริงไหม?

แต่ถึงจะเป็นหนังคอมเมดี้กึ่งแฟนตาซีนิดๆ ก็ใช่ว่าคุณจะดูทิ้งดูขว้าง ลุกไปเข้าห้องน้ำ ต้มบะหมี่กึ่ง เดินลอยไปมาดูชิลล์ๆได้นะ เพราะหนังเรื่องนี้บทพูดเยอะมาก– มากที่สุด แถมเป็นสำเนียงยุโรปเสียเป็นส่วนใหญ่สำหรับ เราที่ถนัดสำเนียงอเมริกันถือว่าฟังยากมาก พูดกันก็เร้วเร็ว ต้องตั้งใจฟังสุดๆเลยล่ะ


ตัวอย่างภาพยนต์ที่กำกับโดย Wes Anderson

[จากซ้าย TheRoyal Tenenbaums , FantasticMr. Fox, Moonrise Kingdom]


ขยับมาที่ทีมนักแสดงบ้างเฮียเวสยังคงจัดเต็ม จัดหนักด้วยทัพดารามากมายก่ายกอง Ralph Fiennes, Adrien Brody, Willem Dafoe, Jude Law, Bill Murray, Edward Norton, Harvey Keitel, Saoirse Ronan, Owen Wilson, Tilda Swinton, Léa Seydoux และอื่นๆอีกเพียบบางคนนี่ เราจำไม่ได้เลยนะอย่าง Tilda Swinton ในบทสาวใหญ่แสนร่ำรวยที่ยกมรดกให้กุสตาฟหรือ Edward Norton ขวัญใจของเราก็โผล่มาไม่กี่ฉากแต่ยังน่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนเดิม(ไม่เกี่ยว...นอกเรื่องแล้วเธอ!)




แต่ที่เราแปลกใจสุดๆก็ต้องพี่ลาบเอ้ย พี่ราล์ฟ นี่ล่ะ เป็นหนุ่มมาดนิ่งที่เล่นบทอะไรก็จูงใจคนดูได้ตลอด แน่นอนว่าตาสวยๆสำเนียงเลิศๆของเขามันเป็นเสน่ห์อยู่แล้ว แต่ฝีมือการแสดงของราล์ฟนี่ต้องซูฮกเลย เราจำได้ว่าดูเขาเล่น The English Patient กับ The Constant Gardener ก็น่าสงสารน่าหลงรักเหลือเกิ๊น หรือตอนเป็นหนุ่มโรคจิตใน Red Dragon ก็จิตได้สุดติ่งมาก และแน่นอนว่าเราไม่มีทางลืม Lord Voldemort พ่อมดศาสตร์มืดแสนชั่วร้ายที่ราล์ฟเล่นได้สมจริงสุดๆ

อีกคนที่ขอชมก็คือ Tony Revolori ในบท Zero ล็อบบี้บอยฝึกหัด ตามบทแล้วเขาเป็น Refugee หรือผู้อพยพที่หนีภัยสงครามมาสมัครงานในโรงแรม กุสตาฟสั่งให้ทำอะไรก็ทำ เป็นความสัมพันธ์แบบพ่อ-ลูก,พี่-น้อง ที่เราว่าน่ารักดีเพราะในเรื่องกุสตาฟดูจะเกินๆ คือหมายถึง เป็นคนเยอะชอบพูดศัพท์แสงยากๆ เจ้าบทเจ้ากลอน(ตอนเช้าก่อนเริ่มงานต้องพูดกลอนให้ลูกน้องฟังทุกวัน) ลีลาเดินเหินแบบเยอะและประดิษฐ์จัด แต่ซีโร่จะเป็นหนุ่มซื่อๆจนดูเหมือนบื้อในบางครั้งถ้าเป็น 100 กุสตาฟน่าจะสัก 150 ส่วนซีโร่นี่คงสัก 70-80 คือคนนึงขาดคนนึงก็เกิน แต่อยู่ด้วยกันแล้วก็พอดิบพอดีล่ะนะ

ใจจริงให้คะแนนตอนที่ดูจบเลยคือ 7/10 เพราะส่วนตัวแล้วไม่ชอบหนังที่มีบทพูด เยอะศัพท์สูง แล้วก็เป็นเพราะไม่เคยดูหนังของเวสมาก่อนเลยมึนๆ  เหมือนถูกตีด้วยภาพกราฟิกหวานเย็นเข้าจังๆมันไม่ใช่แนวอ่ะนะ แต่พอมีโอกาสได้ดูอีกรอบก็รู้สึกว่าหนังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่เต็มไปหมดเป็นหนังที่ดูรอบเดียวไม่น่าพอแล้วยิ่งดูก็รู้สึกเหมือนยิ่งถูกดูดให้หลุดเข้าไปในโลกแปลกๆพิลึกๆ ชวนหัวของ Wes Anderson

เอาเป็นว่าตอนนี้ให้ไป 7.5/10 แล้วกันใครเป็นแฟนคลับเฮียเวสก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


ความสัมพันธ์แสนงงงวยของนักแสดงในเรื่อง

  • Bill Murray และ Owen Wilson เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง The Royal Tenenbaums เมื่อปี 2001 ฝีมือกำกับของ Wes Anderson


  • Ralph Fiennes, Edward Norton และ Harvey Keitel เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง Red Dragon เมื่อปี 2002

  • Edward Norton, Tilda Swinton และ Bill Murray เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง Moonrise Kingdom เมื่อปี 2012 ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นฝีมือการกำกับของ Wes Anderson เช่นกัน




FunFact

  • Boy With Apple ภาพวาดสำคัญในเรื่อง เป็นฝีมือการวาดของ Michael Taylor ศิลปินชาวอังกฤษชื่อดัง เมื่อ 2-3 ปีก่อน เขาให้สัญญากับแอนเดอร์สันว่าจะวาดภาพ portrait ให้ภาพนึง ก่อนได้พบกับ Ed Munro นักแสดงเด็กชาวอังกฤษเช่นกัน เมื่อทุกอย่างลงตัว เทย์เลอร์ก็ให้มันโรเป็นแบบวาดภาพ และกลายมาเป็น Boy With Apple ในที่สุด (ข้อมูลจาก //theweek.com/articles/448412/untold-story-behind-grand-budapest-hotels-boy-apple)




  • Léa Seydoux สาวฝรั่งเศสที่มีผลงานในฮอลลีวู้ดมาพอสมควร (Inglourious Basterds , Mission: Impossible - Ghost Protocol) เธอคือคนที่รับบท Belle ใน Beauty and the Beast เวอร์ชั่นล่าสุด (หนังสัญชาติฝรั่งเศส ตรงตามเนื้อวรรณกรรมที่เป็นนิทานของฝรั่งเศส ก่อนกลายมาเป็นนิทานดิสนีย์) และรับบทเป็น Madeleine Swann สาวบอนด์คนล่าสุด ใน Spectre (อยู่ระหว่างการถ่ายทำ) ฝีมือเธอน่าจับตามองมากนะ ขอบอก



  • Wes Anderson เคยทาบทามให้ Johnny Depp มารับบทเป็นกุสตาฟ แต่เขาก็ปฏิเสธไป บทเลยไปตกปุอยู่ที่ Ralph Fiennes แทน เราแอบคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นป๋าเดปป์ เขาอาจจะทำได้ฮากว่านี้ แต่มันจะมีภาพของเดปป์ที่สลัดไม่หลุด เหมือนที่เรารู้สึกว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นมิสเตอร์วองก้า กัปตันแจ็ค หรือแมด แฮ็ตเตอร์ เราก็ยังรู้สึกว่าเขาคือเดปป์ ในขณะที่ราล์ฟเนี่ย ให้ความรู้สึกต่างไป (แฟนคลับป๋าเดปป์อย่าเพิ่งโกรธนะ เพราะยังไงสองคนนี้ก็ฝีมือเทพกันสุดๆอยู่แล้ว มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวจ้า)  




 

Create Date : 19 มกราคม 2558   
Last Update : 19 มกราคม 2558 20:26:26 น.   
Counter : 2425 Pageviews.  

1  2  

Lady Vanilla
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Lady Vanilla's blog to your web]