~ThE NevEr EnDinG StoRY~ บันทึกการเดินทางของผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ถ่ายทอดผ่านมุมมองของงานเขียน

[Review] The Grand Budapest Hotel

The Grand Budapest Hotel

คนพิลึกกับโรงแรมพิสดาร(ตามสไตล์ Wes Anderson)

(หมายเหตุ ชื่อภาษาไทย เราตั้งเองนะคะ)


Title : The Grand Budapest Hotel

Director : Wes Anderson

Year : 2014

Time : 100 minutes

Ratings(IMDb.com) : 8.1 / 10 


เรื่องย่อ(Synopsis)

เรื่องเล่าย้อนไปยังสมัยสงครามโลกมีโลเกชั่นเป็นโรงแรมเว่อร์วัง อลังการ นามว่า The Grand Budapest Hotel อันเป็นสถานที่สุดไฮโซ โก้หรู สวยงาม คนมีอันจะกิน เซเลป คนดัง ต่างตบเท้าเข้าพักกันให้ควั่ก Concierge ของที่นี่คือ M. Gustave (Ralph Fiennes) แต่เขาก็ไม่ได้เป็นแค่ผู้ดูแลแขกธรรมดานะ อีตากุสตาฟเนี่ย เที่ยวไปมีความสัมพันธ์กับสาวแก่แม่ม่ายที่มาพักในโรงแรม นัยว่าเป็นหนุ่มรูปงามที่ให้ความบันเทิงแก่สตรีที่จิตใจห่อเหี่ยว วันดีคืนดี หนึ่งในสาวใหญ่ในสต็อกของกุสตาฟ เกิดตายกะทันหันในคฤหาสน์ของตัวเอง เท่านั้นคงไม่แปลกแต่ป้าแกดันเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้คองเชียสหนุ่ม ชนิดที่ว่าลูกหลานต้องพากันเต้นผาง หนำซ้ำยังมีพยานปากเอกให้การกับตำรวจว่าเห็นกุสตาฟย่องเข้าคฤหาสน์ก่อนวันที่จะเกิดเรื่องเพียงวันเดียว เรื่องมันเลยอลหม่านหลังบ้านทรายทอง เอ้ย อลหม่านหลังม่านโรงแรมแกรนด์บูดาเปสต์ กันสุดๆ




ความคิดเห็น (Personal Opinion)

ต้องบอกก่อนว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ชมผลงานของ Wes Anderson ผกก.ชาวอเมริกันคนนี้ หลังจากได้ชมก็เลยต้องทำการบ้านเพิ่มอีกพอควร เลยได้รู้ว่า เฮียเวสแกมีสไตล์เฉพาะตัวในการกำกับหนังมากๆ

อย่างแรกเลย โปรดักชั่นจะต้องสีสันลูกกวาด พาสเทล แลดูกึ่งจริง กึ่งแฟนตาซี อย่างเรื่องนี้ที่ดูยังไง้....ยังไงก็เป็นฉาก แต่ทำฉากได้สวยเว่อร์ ตัวโรงแรมเป็นสีชมพูหวานเย็นด้านในโรงแรมก็สวยสะพรึงคืองามมาก งามจนดูได้เพลินไปเลย

ซิกเนเจอร์ถัดมาคือมุมกล้อง ที่จะวางตำแหน่งภาพแบบแบ่งครึ่งและจะมีวัตถุตรงกลางภาพเสมอ เวลาหันกล้องก็จะหันแบบ 90 องศาตลอด มันทำให้เรารู้สึกเหมือนมองภาพวาดแบบสมมาตรอย่างไรอย่างนั้น

ผลงานที่ผ่านมาของเฮียเวสก็เช่น The Royal Tenenbaums (2001), Fantastic Mr. Fox (2009), Moonrise Kingdom(2012) ซึ่งทั้ง 3 เรื่องนี้เราแค่เปิดดูผ่านตายังไม่มีโอกาสตั้งใจดูสักทีก็ถือเป็น mission ที่จะดูต่อไปในอนาคตแล้วกัน

มาว่ากันที่เนื้อเรื่องบ้าง บอกกันอีกสักข้อว่าคุณไม่ควรหาเหตุผลให้กับหนังคอมเมดี้ โดยเฉพาะคอมเมดี้จากฝีมือของเวสเพราะมันเป็นหนังตลกกึ่งแฟนตาซี นั่นคือดำเนินเรื่องไปบนพื้นฐานความจริงแต่เล่าออกมาได้ฮาหลุดโลกมากเช่น ฉากบนรถไฟที่ผู้ช่วยของกุสตาฟอย่าง Zero (Tony Revolori) ต้องถูกตรวจสอบเอกสาร และเมื่อเจ้าหน้าที่พบว่าเขาเป็นพวกผู้อพยพเอกสารไม่ถูกต้อง ก็ตั้งท่าจะจับแต่กุสตาฟไม่ยอม มีต่อสู้กันจนเลือดตกยางออก ก่อนจะมีคนโผล่มาช่วยแบบฉิวเฉียด หากเป็นเรื่องจริงอย่าว่าแต่ต่อสู้เลย แค่โอกาสจะเถียงเจ้าหน้าที่ก็แทบไม่มี ยิ่งฉากหลังเป็นช่วงสงครามด้วยแล้วใครจะกล้าหือกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจริงไหม?

แต่ถึงจะเป็นหนังคอมเมดี้กึ่งแฟนตาซีนิดๆ ก็ใช่ว่าคุณจะดูทิ้งดูขว้าง ลุกไปเข้าห้องน้ำ ต้มบะหมี่กึ่ง เดินลอยไปมาดูชิลล์ๆได้นะ เพราะหนังเรื่องนี้บทพูดเยอะมาก– มากที่สุด แถมเป็นสำเนียงยุโรปเสียเป็นส่วนใหญ่สำหรับ เราที่ถนัดสำเนียงอเมริกันถือว่าฟังยากมาก พูดกันก็เร้วเร็ว ต้องตั้งใจฟังสุดๆเลยล่ะ


ตัวอย่างภาพยนต์ที่กำกับโดย Wes Anderson

[จากซ้าย TheRoyal Tenenbaums , FantasticMr. Fox, Moonrise Kingdom]


ขยับมาที่ทีมนักแสดงบ้างเฮียเวสยังคงจัดเต็ม จัดหนักด้วยทัพดารามากมายก่ายกอง Ralph Fiennes, Adrien Brody, Willem Dafoe, Jude Law, Bill Murray, Edward Norton, Harvey Keitel, Saoirse Ronan, Owen Wilson, Tilda Swinton, Léa Seydoux และอื่นๆอีกเพียบบางคนนี่ เราจำไม่ได้เลยนะอย่าง Tilda Swinton ในบทสาวใหญ่แสนร่ำรวยที่ยกมรดกให้กุสตาฟหรือ Edward Norton ขวัญใจของเราก็โผล่มาไม่กี่ฉากแต่ยังน่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนเดิม(ไม่เกี่ยว...นอกเรื่องแล้วเธอ!)




แต่ที่เราแปลกใจสุดๆก็ต้องพี่ลาบเอ้ย พี่ราล์ฟ นี่ล่ะ เป็นหนุ่มมาดนิ่งที่เล่นบทอะไรก็จูงใจคนดูได้ตลอด แน่นอนว่าตาสวยๆสำเนียงเลิศๆของเขามันเป็นเสน่ห์อยู่แล้ว แต่ฝีมือการแสดงของราล์ฟนี่ต้องซูฮกเลย เราจำได้ว่าดูเขาเล่น The English Patient กับ The Constant Gardener ก็น่าสงสารน่าหลงรักเหลือเกิ๊น หรือตอนเป็นหนุ่มโรคจิตใน Red Dragon ก็จิตได้สุดติ่งมาก และแน่นอนว่าเราไม่มีทางลืม Lord Voldemort พ่อมดศาสตร์มืดแสนชั่วร้ายที่ราล์ฟเล่นได้สมจริงสุดๆ

อีกคนที่ขอชมก็คือ Tony Revolori ในบท Zero ล็อบบี้บอยฝึกหัด ตามบทแล้วเขาเป็น Refugee หรือผู้อพยพที่หนีภัยสงครามมาสมัครงานในโรงแรม กุสตาฟสั่งให้ทำอะไรก็ทำ เป็นความสัมพันธ์แบบพ่อ-ลูก,พี่-น้อง ที่เราว่าน่ารักดีเพราะในเรื่องกุสตาฟดูจะเกินๆ คือหมายถึง เป็นคนเยอะชอบพูดศัพท์แสงยากๆ เจ้าบทเจ้ากลอน(ตอนเช้าก่อนเริ่มงานต้องพูดกลอนให้ลูกน้องฟังทุกวัน) ลีลาเดินเหินแบบเยอะและประดิษฐ์จัด แต่ซีโร่จะเป็นหนุ่มซื่อๆจนดูเหมือนบื้อในบางครั้งถ้าเป็น 100 กุสตาฟน่าจะสัก 150 ส่วนซีโร่นี่คงสัก 70-80 คือคนนึงขาดคนนึงก็เกิน แต่อยู่ด้วยกันแล้วก็พอดิบพอดีล่ะนะ

ใจจริงให้คะแนนตอนที่ดูจบเลยคือ 7/10 เพราะส่วนตัวแล้วไม่ชอบหนังที่มีบทพูด เยอะศัพท์สูง แล้วก็เป็นเพราะไม่เคยดูหนังของเวสมาก่อนเลยมึนๆ  เหมือนถูกตีด้วยภาพกราฟิกหวานเย็นเข้าจังๆมันไม่ใช่แนวอ่ะนะ แต่พอมีโอกาสได้ดูอีกรอบก็รู้สึกว่าหนังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่เต็มไปหมดเป็นหนังที่ดูรอบเดียวไม่น่าพอแล้วยิ่งดูก็รู้สึกเหมือนยิ่งถูกดูดให้หลุดเข้าไปในโลกแปลกๆพิลึกๆ ชวนหัวของ Wes Anderson

เอาเป็นว่าตอนนี้ให้ไป 7.5/10 แล้วกันใครเป็นแฟนคลับเฮียเวสก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง


ความสัมพันธ์แสนงงงวยของนักแสดงในเรื่อง

  • Bill Murray และ Owen Wilson เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง The Royal Tenenbaums เมื่อปี 2001 ฝีมือกำกับของ Wes Anderson


  • Ralph Fiennes, Edward Norton และ Harvey Keitel เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง Red Dragon เมื่อปี 2002

  • Edward Norton, Tilda Swinton และ Bill Murray เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง Moonrise Kingdom เมื่อปี 2012 ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นฝีมือการกำกับของ Wes Anderson เช่นกัน




FunFact

  • Boy With Apple ภาพวาดสำคัญในเรื่อง เป็นฝีมือการวาดของ Michael Taylor ศิลปินชาวอังกฤษชื่อดัง เมื่อ 2-3 ปีก่อน เขาให้สัญญากับแอนเดอร์สันว่าจะวาดภาพ portrait ให้ภาพนึง ก่อนได้พบกับ Ed Munro นักแสดงเด็กชาวอังกฤษเช่นกัน เมื่อทุกอย่างลงตัว เทย์เลอร์ก็ให้มันโรเป็นแบบวาดภาพ และกลายมาเป็น Boy With Apple ในที่สุด (ข้อมูลจาก //theweek.com/articles/448412/untold-story-behind-grand-budapest-hotels-boy-apple)




  • Léa Seydoux สาวฝรั่งเศสที่มีผลงานในฮอลลีวู้ดมาพอสมควร (Inglourious Basterds , Mission: Impossible - Ghost Protocol) เธอคือคนที่รับบท Belle ใน Beauty and the Beast เวอร์ชั่นล่าสุด (หนังสัญชาติฝรั่งเศส ตรงตามเนื้อวรรณกรรมที่เป็นนิทานของฝรั่งเศส ก่อนกลายมาเป็นนิทานดิสนีย์) และรับบทเป็น Madeleine Swann สาวบอนด์คนล่าสุด ใน Spectre (อยู่ระหว่างการถ่ายทำ) ฝีมือเธอน่าจับตามองมากนะ ขอบอก



  • Wes Anderson เคยทาบทามให้ Johnny Depp มารับบทเป็นกุสตาฟ แต่เขาก็ปฏิเสธไป บทเลยไปตกปุอยู่ที่ Ralph Fiennes แทน เราแอบคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นป๋าเดปป์ เขาอาจจะทำได้ฮากว่านี้ แต่มันจะมีภาพของเดปป์ที่สลัดไม่หลุด เหมือนที่เรารู้สึกว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นมิสเตอร์วองก้า กัปตันแจ็ค หรือแมด แฮ็ตเตอร์ เราก็ยังรู้สึกว่าเขาคือเดปป์ ในขณะที่ราล์ฟเนี่ย ให้ความรู้สึกต่างไป (แฟนคลับป๋าเดปป์อย่าเพิ่งโกรธนะ เพราะยังไงสองคนนี้ก็ฝีมือเทพกันสุดๆอยู่แล้ว มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวจ้า)  




Create Date : 19 มกราคม 2558
Last Update : 19 มกราคม 2558 20:26:26 น. 0 comments
Counter : 2425 Pageviews.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Lady Vanilla
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add Lady Vanilla's blog to your web]