Life is pleasant...death is peaceful อยู่ก็สบาย...ตายก็สงบ
 
ความจริง...ที่ค้นพบจากการนอนโรงพยาบาล

คิดว่าทุกๆ คนเคยป่วย หลายๆ คนก็เคยนอนที่โรงพยาบาล และก็ไม่น้อยก็ต้องนอนโรงพยาบาลคนเดียว ฉันเองก็กำลังป่วย และกำลังนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล...

ครอบครัวเล็กๆ ของฉันทำให้มีทรัพยากรบุคคลไม่เพียงพอที่จะมาเฝ้าฉันได้ทั้งวัน แต่ฉันก็ยังมีหมู่มวลมหามิตรที่น่ารัก ทั้งที่ทำงาน เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เพื่อนออนไลน์ มาอยู่เป็นเพื่อนกัน

ย่างเข้าวันที่สาม...ฉันเริ่มมีสติและกำลังใจมากขึ้นเพราะว่า อย่างน้อยก็หาเจอแล้วฉันเป็นโรคอะไร และต้องรักษาอย่างไร...สติและกำลังใจนี่เองที่ทำให้ฉันคิดอะไรต่อมิอะไรได้ ไม่มากก็น้อย...ตามประสาผู้ป่วย ที่อยู่เฉยๆ ไม่เป็น อาทิ

1. เมื่อเจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล ควรจตั้งสติ และทำตัวให้สดใสไว้ก่อน เพราะยิ่งหดหู่ก็ยิ่งจะซ้ำเติมอาการของโรค การสร้างสติ และกำลังใจให้ตนเอง เป็นขั้นตอนแรกที่จะทำให้เรามีแรงสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

2. อาการป่วยที่เคยเป็นแล้ว และในทางวิทยาศาสตร์บอกว่าจะไม่กลับมาเป็นอีกนั้น ถ้ามีอาการก็ไว้ใจไม่ได้ ควรมาพบแพทย์ทันทีที่รู้สึกผิดปกติ เพราะฉันปวดบริเวณไส้ติ่ง ทั้งๆ ที่ตัดไส้ติ่งทิ้งไปแล้วตั้งเกือบ 5 ปี แต่สุดท้ายหมอก็พบว่าบริเวณข้างๆ ไส้ติ่งมีหลุมและเกิดอาการอักเสบขึ้น โดยหลุมบริเวณนี้อาจจะเกิดการอักเสบเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วแต่ดวงจริงๆ

3. การ CT scan ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องขอร้องหมอให้ทำหรอก มันเจ็บตัวพอสมควร และมีก็มีสารไม่พึงประสงค์อย่างไอโอดีนเข้มข้น ตกค้างในร่างกายด้วย คุณหมอที่ดีจะบอกเราเองว่าเมื่อไหร่ควรที่จะต้องทำ CT scan คุณหมอ Marketing มักจะจับเราทำทันทีที่บอกว่าปวดหัวหรือปวดท้อง

4. ยิ้มให้พยาบาลบ่อยๆ กล่าวคำขอบคุณบ้างหลังได้รับการให้บริการ แล้วเราก็จะได้รับมิตรภาพกลับมาพร้อมกับการดูแลจากหัวใจ เพราะพยาบาลเป็นอาชีพที่น่าสงสารเหมือนกัน ต้องเจอแต่กับเรื่องหดหู่ เรื่องเจ็บป่วย ถ้าเราทำตัวเป็นผู้ป่วยขี้วีนแล้ว ก็จะทำให้พยาบาลหมดกำลังใจในการทำงานซะเปล่าๆ

5. อย่าอยู่เฉยๆ ถ้าไม่ป่วยจนง่วง ต้องหลับ ก็กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเองทำบ้าง เริ่มจากดูทีวี อ่านหนังสือ เล่นเน็ต คุยโทรศัพท์บ้าง ทำแบบไม่หักโหมจนเกินกำลัง ไม่ขัดต่อคำแนะนำของแพทย์หรือพยาบาลแล้วจะพบว่าห้องสี่เหลี่ยมของโรงพยาบาลไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด

6. การนอนโรงพยาบาลเป็นการ update วงการบันเทิงไปในตัว เพราะ 80% ของช่องฟรีทีวี คือ รายการบันเทิ๊ง บันเทิง เกมโชว์ ทอล์คโชว์ และละคร ส่วนอีก 20% คือรายการเล่าข่าว

7. ครอบครัว ญาติๆ และเพื่อนๆ คือยาขนานวิเศษที่จะทำให้เรามีกำลังใจ และพร้อมที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บขอบคุณน้าๆ และน้องๆ ที่ห่วงใย ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จากที่ทำงาน จากแค่เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นคนรู้จัก ก็พัฒนามาเป็นเพื่อนสนิท เป็นกัลยาณมิตร เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เริ่มต้นจากการชื่นชอบศิลปินคนเดียวกัน ก็มาเยี่ยมมาเยียนไม่ต่างจากเพื่อนสนิท และจากการเจ็บป่วยคราวนี้ หลายๆ คนกลายมาเป็นญาติที่ให้ความช่วยเหลือ ดูแล ห่วงใยฉันเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ทำให้รู้ว่า มีเพื่อนดีๆ ก็เหมือนมีครอบครัวใหญ่ๆ ที่อบอุ่นเหมือนกัน

8. พุทธพจน์ที่ว่า ‘อโรคยา ปรมลาภา’ ความไม่มีโรค คือ ลาภอันประเสริฐ นั้น เป็นสัจธรรมที่แท้จริง ถึงร่างกายจะเป็นร่างกายของเรา แต่ร่างกายเราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่หนีไม่พ้นที่จะต้องเสื่อมลงตามกาลเวลา การดูแลร่างกายให้ดีจึงไม่ใช่เป็นการฝืนธรรมชาติไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ป่วย ไม่ตาย แต่เป็นการดูแลเพื่อเตรียมพร้อมว่าเมื่อเจ็บป่วย เราจะมีต้นทุนที่ดีในการฟื้นฟูร่างกายของเรา เช่นเดียวกับ ‘การมีสติ’ ที่จะไม่ทำให้เราฟุ้งซร่าน วิตกกังวลกับโรคภัยไข้เจ็บจนเกินกว่าเหตุ

8 ข้อข้างต้น เป็นส่วนเสี้ยวเล็กๆ น้อยๆ ที่ผุดขึ้นมาในความคิดระหว่างที่นอนมองหยดน้ำเกลือค่อยๆ ไหลลงมา อาจจะวกวน สับสนไปบ้าง แต่มันก็เป็นความคิดดีๆ ที่อยากจะจำไว้เตือนตัวเอง และแบ่งปันให้กับเพื่อนร่วมโลก

ถึงตอนนี้อาการของฉันก็ทุเลาลงไปบ้างแล้ว แต่ก็จะยังต้องรักษาตัวเองอยู่ในโรงพยาบาล ต้องใส่น้ำเกลือแทนข้าวและน้ำ ให้ยาทางสายน้ำเกลือ แต่ทุกอย่างก็คงกำลังจะจบลงในไม่ช้า อีกสองสามวันฉันก็คงจะออกไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ก็คือ ฉันจะต้องดูแล เอาใจใส่ร่างกายของฉันให้ดีกว่านี้ ร่างกายที่ทำหน้าที่เพื่อให้ฉันมีชีวิตอยู่ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้มีความสุขกับครอบครัว มาสามสิบกว่าปี ฉันควรจะตอบแทนบุญคุณของร่างกายด้วยการดูและเขาบ้าง ทะนุถนอมเขาบ้าง...อย่างน้อยถ้าวันที่ต้องเดินทางจากร่างกายร่างนี้ไป ฉันก็จะได้ไม่รู้สึกติดค้างในใจว่าตอนมีชีวิตอยู่ ดูแลเขาไม่ค่อยดี

ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าจริงๆ แล้วตัวเองกลัว “ความตาย” รึเปล่า แต่ที่ฉันรับรู้ได้ก็คือ ทุกขเวทนาที่ได้รับตอนมีชีวิตอยู่เนี่ยมันน่ากลัวกว่าความตายเยอะ...ฉันว่าจริงๆ แล้วคนเราไม่ควรจะกลัวความตายนะ ควรจะกลัวมากกว่าว่าจะตายโดยที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ยังไม่ได้ดูแลคนที่เรารักและรักเรา

อย่ารอให้ตัวเองต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ต้องเผชิญกับสึนามิ ภัยพิบัติจากธรรมชาติ หรือสงครามจากน้ำมือของมนุษย์ แล้วค่อยเรียนรู้ว่าทุกๆ ลมหายใจที่ยังมีชีวิต คือ ช่วงเวลาที่มีค่า มีค่าเกินกว่าที่จะโกรธแค้นอาฆาต ทำร้ายร่างกายและจิตใจซึ่งกันและกัน

เวลาในชีวิตของทุกคนก็คล้ายๆ กับนาฬิกาทราย ที่ทรายจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจนหมด จะช้า จะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับบุญทำกรรมแต่งของแต่ละคน และเวลาในชีวิตของเราก็ไม่ได้เริ่มใหม่ง่ายๆ เหมือนกับการพลิกกลับด้านของนาฬิกาทราย เวลาในชีวิตนั้นผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไปเลย

เมื่อวานนี้ยังยิ้มยังหัวเราะ วันนี้อาจจะต้องร้องไห้อย่างขมขื่น ชั่วโมงที่แล้วยังเดินได้ วิ่งได้ กระโดดได้ ชั่วโมงนี้อาจจะไม่มีแม้แต่กำลังที่จะยืน นาทีที่แล้วอาจจะมีครอบครัว เพื่อนฝูงรายรอบ วินาทีนี้อาจจะเหลือเราเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ก็ได้


Create Date : 27 มีนาคม 2554
Last Update : 27 มีนาคม 2554 12:45:34 น. 1 comments
Counter : 1380 Pageviews.  
 
 
 
 
ขอบคุณข้อความดี ๆ ของคุณ คนที่ยังไม่ป่วยนอนโรงพยาบาล
คงไม่เข้าใจว่า การมานอนที่นี่ จะรู้สึกอย่างไร
ขอให้คุณหายป่วยโดยเร็ว และกลับมาปฎิบัติงานได้ตามปกติโดยเร็ว
 
 

โดย: เพื่อนคนไทย รักกันไว้เถิด IP: 58.9.192.80 วันที่: 6 กันยายน 2555 เวลา:12:02:55 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Mydarin
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




การเดินทางบนโลกใบนี้ บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางจะอยู่ ณ แห่งหนใด หลายครั้งที่เฝ้าถามตัวเองว่าจะเดินไปไหน จนผ่านมาเกินครึ่งชีวิต ถึงได้รู้ว่า จุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหนนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับ เราก้าวเดินแต่ละก้าวอย่างไร
[Add Mydarin's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com