4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

แมรี่ แบลนดี : ฆาตกรหรือคนโง่






แมรี่ แบลนดี (Mary Blandy : 1720 - 1752)
ที่มาภาพ : Wikipedia

 


อาชญากรรมวิทยานั้นมีคำกล่าวอยู่ว่า ฆาตกรหญิงจะไม่ประกอบอาชญากรรมเพื่อสนองความใคร่หรือความอยากของตน เมื่อมองจากปัจจัยหลายๆอย่างทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจแล้ว คำกล่าวนี้ก็คงจะไม่ผิดไปเท่าใดนัก จริงอยู่ที่ฆาตกรหญิงที่หลงเหลือชื่ออยู่เป็นลายลักษณ์อักษร มีจำนวนอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับเพศชาย แต่ในแง่เนื้อหาแล้ว อาจกล่าวได้ว่าความเหี้ยมโหดนั้นไม่ได้น้อยกว่ากันไปเท่าไหร่เลย จะอย่างไรก็ดี ที่ชื่อของแมรี่ แบลนดี้โดดเด่นขึ้นมาในบันทึกอาชญากรรมนั้น ไม่ใช่เพราะความเหี้ยมโหดหรือความซับซ้อนใด ๆ ของรูปคดี แต่อยู่ที่ความพิสดารในอีกแง่หนึ่งมากกว่า

แมรี่ แบลนดี้ เกิดเมื่อปี 1720 ที่เฮนรี่ออนเทมส์ ประเทศอังกฤษ ฟรานซิส แบลนดี้ซึ่งเป็นพ่อนั้นเป็นทนายที่มีชื่อเสียง จัดว่าเป็นผู้ร่ำรวยในละแวกนั้นทีเดียว
แมรี่อาจจะไม่ใช่คนสวย แต่ก็มีนิสัยเป็นมิตรและน่าเอ็นดู ฟรานซิสได้ให้สัญญาว่าจะมอบเงินหนึ่งหมื่นปอนด์เป็นสินสมรสเมื่อแมรี่แต่งงาน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมาสู่ขอเธอมากมาย แต่ไม่ว่ารายไหนก็ถูกฟรานซิสปฏิเสธไปเสียหมด จนรู้ตัวอีกที แมรี่ก็อายุ 26 ปี พูดง่าย ๆ ในสมัยนั้นก็เท่ากับจะขึ้นคานอยู่รอมร่อแล้วนั่นเอง แน่นอนว่าแมรี่ย่อมรู้สึกอับอายเกี่ยวกับเรื่องนี้ และอดไม่ได้ที่จะแอบแค้นใจพ่ออยู่เล็กน้อย

ในตอนนี้เองที่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาขอความรักจากเธอ วิลเลี่ยม เฮนรี่ ครานสตัน เป็นทหารประจำกองทัพบกแห่งสก็อตแลนด์ ชายคนนี้มาจากตระกูลเก่าแก่ก็จริง แต่นอกจากจะหัวล้าน ขาสั้น หน้าสิวแล้วยังมารู้ภายหลังว่าแต่งงานแล้วอีกต่างหาก วิลเลี่ยมแบกรับหนี้จำนวนมหาศาลและมาจีบแมรี่อย่างเห็นได้ชัดว่าหวังสินสมรส แต่จะอย่างไรแมรี่ก็ตกหลุมรักชายคนนี้ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้แต่งงานกับเขา พูดไปแล้ว แมรี่อาจจะไม่ได้รักวิลเลี่ยมเลยก็ได้ เธอหลงรักการแต่งงานมากกว่า

ฟรานซิสพอใจมากที่ลูกเขยเป็นผู้ดีเก่า แต่เมื่อทราบว่าเขาแต่งงานแล้วก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แมรี่ก็ตกใจเช่นกัน วิลเลี่ยมรีบยืนยันว่าเขารักแต่แมรี่คนเดียวและพร้อมจะหย่ากับภรรยาคนปัจจุบันในทันที ซึ่งเขาก็ทำตามคำพูด...ด้วยวิธีที่ไม่เป็นลูกผู้ชายเท่าใดนัก เขาส่งจดหมายไปหาภรรยา อ้างว่าการจะได้ดิบได้ดีในกองทัพนั้น ตัวบุคคลจะต้องเป็นโสด และขอให้ภรรยาของเขาช่วยเขียนจดหมายยืนยันว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีการแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ และว่าพวกเขาเป็นเพียงคนรักกันเท่านั้นเอง


ภรรยาแสนดีของวิลเลี่ยมเชื่อสามีสนิทใจและเขียนจดหมายตามคำขอของสามี วิลเลี่ยมเอาจดหมายดังกล่าวส่งเวียนไปในหมู่ญาติโดยบอกว่าเป็นจดหมายที่ภรรยาส่งให้ชายชู้ พร้อมกันนั้นก็ทำเรื่องเพื่อจะขอหย่า ภรรยาพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่จดหมายก็กลายมาเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้วิลเลี่ยมสามารถหย่าสำเร็จด้วยเหตุผลว่าภรรยาของเขาเป็นฝ่ายนอกใจ

กลับเข้าเรื่องกันหน่อย ในเมื่อแมรี่เชื่อ แม่ของแมรี่ก็เชื่อใจลูกเขยด้วย เธอสนับสนุนทั้งสองจนถึงขนาดยอมจ่ายเงิน 40 ปอนด์เพื่อใช้หนี้แทนวิลเลี่ยม แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เธอก็เสียชีวิตเพราะป่วยเป็นโรคไปอย่างกะทันหัน ทำให้ไม่เหลือใครมาช่วยหนุนหลังการแต่งงานของแมรี่ จากตรงนี้นี่เองที่เป็นจุดแยกว่าเราจะมองแมรี่เป็นฆาตกรใจโหดหรือหญิงโง่ แมรี่กล่าวยืนยันในศาลว่าเธอถูกหลอก และหากจะสรุปตามคำให้การของเธอก็จะได้ใจความดังนี้

ในขณะที่แมรี่มืดแปดด้านนั้นเอง วิลเลี่ยมก็เสนอความคิดให้เอายาเสน่ห์ของแม่มดมาให้ฟรานซิสกิน เธอตกลงในทันที แล้ววิลเลี่ยมก็นำยาซึ่งเป็นผงสีขาวมาให้ แมรี่ผสมยานั้นลงในอาหารของบิดาซึ่งก็เห็นผลทันใจ ฟรานซิสที่อารมณ์บูดมาแต่เช้ากลับร่าเริงขึ้นมาทันตาเห็น (ไม่ปรากฏแน่นักว่ายาที่ว่านี่คืออะไร แต่เป็นไปได้ว่าอาจเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง เช่น กัญชา) แมรี่จึงยิ่งเชื่อสนิทใจว่าไสยศาสตร์จะเปลี่ยนใจพ่อของเธอได้ ในไม่ช้า วิลเลี่ยมก็เอากระปุกอัดผงสีขาวมาให้กับเธอ ซึ่งที่จริงแล้วผงเหล่านี้คือสารหนู แต่แมรี่ก็ไม่มีทางรู้ว่ามันคืออะไร

แมรี่เริ่มผสม ยาวิเศษ  ลงในอาหารของฟรานซิสตามคำบอกของวิลเลี่ยม วันถัดมา ฟรานซิสก็มีอาการปวดท้อง และอีกสัปดาห์หนึ่งเขาก็ลงไปนอนซมอยู่กับเตียง แมรี่ร้องเรียนเรื่องนี้กับวิลเลี่ยม แต่ไม่รู้เพราะถูกหลอกอะไรอีก เธอจึงยังคงผสมสารหนูในอาหารของพ่อต่อไป จนกระทั่งคนใช้ในบ้านกินข้าวต้มที่เหลืออยู่ของฟรานซิสแล้วเกิดอาการไม่สบาย และเมื่อทำจานตกก็พบว่ามีก้อนสีขาวตกตะกอนอยู่ก้นชาม คนใช้จึงไปแจ้งให้ฟรานซิสรู้ว่าเขากำลังถูกลูกสาวตัวเองวางยาพิษอยู่ เมื่อฟรานซิสเรียกตัวลูกสาวมาสอบถาม แมรี่ก็ไม่ยอมตอบอะไรและหนีออกจากห้องไป ฟรานซิสจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก่อนจะเสียชีวิตในอีก 2 วันให้หลัง

เมื่อพ่อตาย แมรี่ก็รีบทำลายหลักฐานต่าง ๆ ยาในกระปุกถูกทิ้งลงเตาผิง จดหมายของวิลเลี่ยมถูกทิ้งลงถังขยะ เธอเขียนจดหมายบอกให้วิลเลี่ยมไปเจอกันที่ปารีสแล้วฝากให้คนใช้เอาไปส่ง แต่เพราะความสะเพร่านี่เอง เตาผิงที่เธอทิ้งยาพิษลงไปไม่ได้จุดไฟอยู่ จดหมายในถังขยะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนจดหมายที่เธอฝากคนใช้ก็ถูกนำส่งสถานีตำรวจในทันที แล้วแมรี่ก็ถูกจับโดยมีพยานหลักฐานอย่างพรั่งพร้อม ด้านวิลเลี่ยมพอทราบข่าวของแมรี่ เขาก็เผ่นหนีไปยังปารีสในทันที และคงด้วยความสะเพร่าพอกัน เขาได้ทิ้งจดหมายไว้ในห้องมีใจความว่า
"เราไม่รู้เรื่องสารหนูอะไรเลย" ยังไม่ทันจะมีใครถามถึงสารหนูแท้ ๆ

3 มีนาคม 1752 แมรี่ถูกนำตัวขึ้นศาล เธอยืนยันว่าตัวเองวางยาพิษบิดาเพราะคิดว่ายาดังกล่าวเป็นยาเสน่ห์ แต่เนื่องจากคำค้านฟังไม่ขึ้น หลังจากการประชุมคณะลูกขุนเป็นเวลา 5 นาที เธอก็ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิต และอีก 6 สัปดาห์ให้หลัง แมรี่ซึ่งถูกมัดมือด้วยริบบิ้นสีดำก็ถูกแขวนคอที่แท่นประหารหน้าคุกนิวเกท (สมัยนั้นยังมีการประหารต่อหน้าสาธารณะอยู่) ทางด้านวิลเลี่ยมซึ่งหนีไปยังปารีส เพียง 6 เดือนหลังจากที่แมรี่ถูกประหาร เขาก็เสียชีวิตเนื่องจากความยากจนเช่นกัน ไม่ทราบแน่ว่าเพราะความแค้นของแมรี่ส่งไปถึงรึเปล่า แต่ที่ว่ากรรมตามทันคงจะจริง

ก่อนจะขึ้นศาล แมรี่ตกใจเมื่อได้ทราบจากพนักงานศาลว่า ฟรานซิสเหลือมรดกไว้ให้เธอไม่ถึง 4,000 ปอนด์ เงิน 10,000 ปอนด์ที่เขาสัญญาว่าจะมอบให้ลูกสาวเป็นสินสมรสนั้นไม่มีอยู่ที่ใดทั้งสิ้น เป็นเพียงคำโม้ของฟรานซิสเท่านั้นเอง
มาเวลานั้น แมรี่จึงเพิ่งจะเข้าใจว่าที่พ่อของเธอดึงการแต่งงานให้เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ นั้นก็เพราะกลัวจะเสียหน้าที่จะต้องบอกความจริงดังกล่าวนี่เอง........



CR: ohx3 (ohohoh)

ที่มา : //ohx3.m.exteen.com/category/MurderCase/page/6








 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 26 สิงหาคม 2560 11:33:43 น.
Counter : 2475 Pageviews.  

มาร์ค เอสเซ็กซ์ : อาวุธและความเสมอภาค






Mark James Robert Essex (1949 - 1973)

มาร์ค เอสเซ็กซ์ เกิดที่เมืองเอมโพเรียในรัฐแคนซัสซึ่งมีลักษณะพิเศษต่างจากเมืองอื่นในแถบเดียวกันว่าเป็นเมืองที่แทบไม่มีการกดขี่คนผิวดำอยู่เลย เอมโพเรียเคยประกาศตนระหว่างสงครามเหนือใต้ว่าอยู่ฝ่ายต่อต้านระบบทาสซึ่งส่งผลมาถึงค่านิยมของชาวเมืองในปัจจุบันนี้ด้วย นอกจากนี้ จำนวนพลเมืองผิวดำในเอมโพเรียก็มีจำนวนไม่มากพอที่จะทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่าย

ในวัยเด็ก มาร์คเป็นเด็กเงียบๆเรียบร้อย และอาจจะเป็นโชคร้ายของเขาที่เติบโตในเอมโพเรีย เพราะเมื่อมาร์คเข้าสู่กองทัพเรือ เขาจึงเพิ่งได้พบกับการเหยียดผิวเป็นครั้งแรกในชีวิต มาร์คที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้พอที่จะทำใจได้เกิดความสิ้นหวังซึ่งเปลี่ยนมาเป็นความเกลียดชังในกลุ่มคนผิวขาวในภายหลัง

ปี 1969 ที่มาร์คเข้าประจำกองทัพเรือนั้น อเมริกากำลังอยู่ระหว่างการรณรงค์เรื่องสิทธิเสรีภาพ และการที่มาร์ติน ลูเธอร์ คิงซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายรณรงค์ด้วยวิธีสันติ ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 4 เมษายน 1968 ส่งผลให้กลุ่มแบล็คแพนเธอร์ซึ่งเป็นฝ่ายหัวรุนแรง มีอำนาจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มาร์คซึ่งหนีจากกองทัพมาได้รับอิทธิพลของแบล็กแพนเธอร์เข้ามาเต็มๆ และ Black Rage (หนังสือซึ่งปลุกระดมคนผิวดำเพื่อการปฏิวัติ) ก็กลายมาเป็นหนังสือคู่ใจของเขา มาร์คเริ่มสะสมอาวุธ บนผนังห้องของเขามีข้อความส่วนหนึ่งอ่านได้ว่า ความตายโชกเลือดจงมีแก่ผู้เหยียดสีผิว




และแล้วเขาก็ส่งข้อความไปยังสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ประกาศการปฏิวัติที่มีผู้เข้าร่วมเพียงตัวเองผู้เดียว


Africa greets you. On Dec. 31, 1972, aprx. 11 p.m., the downtown New Orleans Police Department will be attacked. Reason many, but the death of two innocent brothers will be avenged. And many others.

P.S. Tell pig Giarrusso the felony action squad ain't shit.

ท้ายข้อความลงชื่อ Mata ซึ่งในภาษาสวาฮีลีหมายถึงธนูที่ใช้ในการล่าสัตว์

31 ธันวาคม 1972 เวลา 23.00น. มาร์คมุ่งไปยังสถานีตำรวจนิวออร์ลีนส์ตามที่ได้ประกาศไว้ เขายิงตำรวจ 2 นายเสียชีวิต และเหมือนตลกร้ายที่อัลเฟร็ด ฮาร์เรลซึ่งถูกยิงเป็นคนแรกนั้นเป็นหนึ่งในนายตำรวจผิวดำเพียงไม่กี่คนในนิวออร์ลีนส์

วันที่ 7 มกราคม 1973 มาร์คยิงโจ เพอร์นิเซียโร่ ก่อนจะบุกเข้ายังโรงแรมดาวน์ทาวน์ โฮเวิร์ด จอห์นสัน พร้อมกับแมกนั่มจุด 44 ของเขา มาร์คเข้าโรงแรมทางบันไดหนีไฟของชั้น 18 และบอกกับพนักงานคนผิวดำเขาได้พบว่า"ไม่ต้องห่วง ฉันจะฆ่าแต่คนผิวขาวเท่านั้น"

ที่หน้าห้อง 1829 มาร์คยิงดอกเตอร์โรเบิร์ต สเตกัลและเบตตี้ซึ่งเป็นภรรยา จากนั้นก็จุดไฟสมุดโทรศัพท์และโยนลงใต้ม่านเพื่อเผาห้อง ก่อนจะทิ้งธงแอฟริกันไว้ข้าง ๆ ศพ ที่ชั้น 11 มาร์คบุกเข้าอีกหลายห้องและจุดไฟเพิ่มขึ้นอีก ที่ชั้นนี้ เขายิงแฟรงค์ ชไนเดอร์ เลขาผู้จัดการโรงแรมเสียชีวิต และยิงวอลเทอร์ คอลลินส์ ผู้จัดการโรงแรมซึ่งเสียชีวิตจากพิษบาดแผลในอีก 3 อาทิตย์ให้หลัง

โรงแรมโฮเวิร์ด จอห์นสันที่ถูกล้อม

ตำรวจและรถดับเพลิงมายังโรงแรมทันทีที่ทราบข่าว พวกเขาพยายามเข้าไปในตึกด้วยบันไดของรถดับเพลิงแต่เจ้าหน้าที่ 2 คนก็ถูกมาร์คยิงเสียชีวิต กองหนุนของตำรวจตามมาถึงอีกทีหากก็ถูกขัดขวางด้วยฝูงชนที่ส่งเสียงเชียร์มาร์ค สารวัตรชังค์ พิทแมนนำเฮลิคอปเตอร์บรรทุกนายตำรวจมาและบัญชาการจากบนฟ้า

หลังจากการปะทะกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง มาร์คก็ถูกล้อมที่ดาดฟ้าโรงแรม เขาตะโกน"POWER TO THE PEOPLE" ก่อนจะถูกยิงจากรอบทิศกว่า 200 นัดจนเสียชีวิต



การบุกโรงแรมโฮเวิร์ด จอห์นสันนี้มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 7 รายและบาดเจ็บ 26 ราย ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ 10 นาย


แท่นไว้อาลัยหน้าโรงแรมโฮเวิร์ด จอห์นสัน

 



ที่มา : //ohx3.m.exteen.com/20070120/mark-essex




 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 26 สิงหาคม 2560 11:32:36 น.
Counter : 428 Pageviews.  

ฆาตกรต่อเนื่องของญี่ปุ่น (ตอนที่ 2 จบ)





อันดับที่ 8 คิโยทากะ คัตสึตะ : ฉายานักผจญเพลิง

คิโยทากะ คัตสึตะ หรือคิโยทากะ ฟุจิวาระ เกิดวันที่ 29 สิงหาคม 1948 ที่ เกียวโต เป็นฆาตกรต่อเนื่องและขโมย ในระหว่างปี 1972 - 1982 ในแถบ เมืองโอซาก้า, เมืองไอจิ, เมืองเฮียวโก, เมืองชิกะโดยเวลาปล้นบ้านเหยื่อมักจะฆ่าเหยื่อเจ้าของบ้านตายด้วยการรัดคอ และยิงด้วยปืน วันที่ 27 ตุลาคม1972 คัตสึตะทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยการตีหัว และขโมยปืน

วันที่ 31 ตุลาคมปีเดียวกัน คัตสึตะพยายามฆ่าชายคนหนึ่งด้วยปืนแต่ก็ล้มเหลว

วันที่ 1 พฤศจิกายน คัตสึตะยิงผู้ชายคนหนึ่งเนื่องจากเขาพยายามขัดขืน และเขาถูกไล่ล่าโดยตำรวจแต่ก็สามารถหลบหนีไปได้ ทำให้ทางการประกาศว่า คิโยทากะ คัตสึตะ เป็นบุคคลที่อันตรายต่อสังคมที่สุด ถ้าผู้ใดพบเห็นจงหลีกเลี่ยงและแจ้ง 113 ทันที วันที่ 31 มกราคม 1983 เขาถูกจับกุมขณะขู่ผู้ชายหนึ่งด้วยปืน และสารภาพต่อมาว่าเขาเป็นตัวการในคดีฆาตกรรม 7 รายก่อนหน้านี้

คัตสึตะอ้างว่าเขาอาจฆ่าเหยื่อไป 22 ราย แต่ตำรวจไม่เชื่อคำให้การของเขามากนัก ตำรวจคิดว่าเขาน่าจะฆ่าเหยื่อไป 8 รายมากกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสงสัยว่า คัตสึตะน่าจะข่มขืนเหยื่อก่อนฆ่าด้วย แต่ไม่มีหลักฐานใดมาพิสูจน์สิ่งนี้ ซึ่งภายหลังหลายคนขนานนามการกระทำของคัตสึตะ ว่า "นักผจญเพลิง (Fire Fighter)"

ปี ค.ศ.1984 ในช่วงสังคมกำลังสนใจเรื่องอาชญากรรมของคัตสึตะ ก็มีเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อเนื่องเลียบแบบคัตสึตะเกิดขึ้นอีกหลายคดี ขณะที่ คัตสึตะจำคุก เขาเกิดไปรู้จักผู้หญิงคริสเตียนชื่อโยโกะ เธอรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ด้วยความรัก (หรือความบ้าดี) ทำให้เธอกลายเป็นภรรยาเขา จากนั้น คิโยทากะ คัตสึตะก็เปลี่ยนชื่อเป็น คิโยทากะ ฟุจิวาระ

วันที่ 17 มกราคม 1994 ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษประหารชีวิต คิโยทากะ คัตสึตะ ในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อระหว่าง ปี ค.ศ.1972 และ ค.ศ.1980 และคดีอาชญากรย่อย ๆ รายอื่น ๆ คิโยทากะ ฟุจิวาระ อายุ 52 ปี ถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2000




อันดับที่ 9 โนริโอะ นากายาม่า

โนริโอะ นากายาม่า เกิดวันที่ 27 มิถุนายน 1949 ในอากิบาร่า ฮอกไกโด ในวัยเด็กเขาอาศัยอยู่ในบ้านแสนซอมซ่อ เขาย้ายไปอยู่โตเกียวใน ปี 1965 และทำงานในชิบูย่า กรุงโตเกียว เริ่มทำการฆาตกรรมในช่วงระหว่าง วันที่ 11 ตุลาคม 1968 – วันที่ 5 พฤศจิกายน 1968 เขตโตเกียว, อะบาชิริ, ฮอกไกโด, ชิบูยา โดยส่วนใหญ่เขามักยิงเหยื่อในขณะปล้นด้วยปืน เหยื่อล่าสุดของเขาถูกยิงตาย โดยปล้นได้เงินเพียง 16,420 เยน เขาถูกจับกุม วันที่ 7 เมษายน1969 ซึ่งขณะนั้นนากายาม่ามีอายุเพียง 19 ปี เขาได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายเยาวชน

ระหว่างอยู่ในคุก นากายาม่า เขียนนวนิยายออกมาวางขายจำนวนมากมาย โดยเรื่องแรกของเขาคือเรื่อง Tears of Ignorance ในปี ค.ศ. 1971 แปลเป็นไทยคือ “น้ำตาแห่งความบัดซบ” ในปี ค.ศ. 1983 นากายาม่าได้รางวัลจากนวนิยายเรื่อง Wooden Bridge ในปี 1971 แปลเป็นไทยคือ “สะพานไม้” แต่เขาถูกปฏิเสธในการรับรางวัลโดยสมาคมนักเขียนญี่ปุ่น และเมื่อเขาอายุพ้นจากวัยผู้เยาว์ เขาถูกนำตัวขึ้นศาล และได้รับตัดสินให้ประหารชีวิต ซึ่งโนริโอะ นากายาม่า ถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ปี 1997 รวมอายุได้ 48 ปี



อันดับที่ 10 อากิระ นิชิกุจิ : ฉายา Black Gold Medalist (มีข้อมูลน้อยมาก)

อากิระ นิชิกุจิ เกิดวันที่ 14 ธันวาคม 1925 ที่เมืองโอซาก้า เขาเป็นนักต้มตุ๋น และฆาตกรต่อเนื่อง ทำการสังหารเหยื่อไป 5 ราย แถบเมืองฟุคุโอะ เมืองชิซึโอกะ กรุงโตเกียวในช่วงวันที่ 18 ตุลาคม 1963 - 29 ธันวาคม 1963 โดย 2 ใน 5 รายนั้น เขาฆ่าในขณะหลบหนีก่อนที่ถูกจับได้เมื่อวันที่ 3 มกราคม1964 อัยการเรียกเขาว่า"เหรียญทองสีดำ (Black Gold Medalist) ศาลตัดสินให้ อากิระ นิชิกุจิ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1970




อันดับที่ 11 ฮิโรอากิ ฮิดากะ
ฮิโรอากิ ฮิดากะ เกิดเมื่อปี ค.ศ.1962 ที่มิยาซากิ เดิมเคยเป็นนักเรียนยอดเยี่ยม แต่เขากลับไม่เข้าสอบที่มหาวิทยาลัยทสึกุบะ มหาวิทยาลัยเป้าหมายของเขา แต่กลับไปสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยฟุกุโอกะแทน แต่ก็เรียนไม่จบ เขาออกก่อนเวลาอันควร ฮิดากะมีนิสัยชอบขอยืมเงินคนอื่นบ่อย ๆ ชอบดื่มเหล้า และเที่ยวโสเภณี ในเดือนเมษายน 1989 เขาย้ายมาอยู่ที่ฮิโรชิม่า และเริ่มทำงานเป็นคนขับรถแท็กซี่

ฮิดากะ แต่งงานเมื่อปี ค.ศ. 1991 และมีลูกสาวใน ปี1993 แต่การสมรสสิ้นสุดลงเมื่อภรรยาของเขาต้องเข้าไปโรงพยาบาลเนื่องจากมีปัญหาในเรื่องสุขภาพจิต และช่วงปีที่18 เมษายน 1996 -14 กันยายน 1996 นี้เอง ฮิดากะเริ่มฆ่าและปล้น หญิง 4 ราย

ฮิดากะ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 21 กันยายน 1996 ศาลเขตได้ตัดสินโทษ ฮิโรอากิ ฮิดากะ ให้ประหารชีวิต ฮิโรอากิ ฮิดากะ อายุ 44 ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อ วันที่ 25 ธันวาคม 2006 ก่อนที่จะมีการคัดค้านคำตัดสินโดยทนายของเขาในเวลาต่อมาเนื่องจากศาลขาดความเป็นธรรม


อันดับที่ 12 เซซากุ นากามูระ : ฉายาฆาตกรหูหนวก
เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่หูหนวก แต่กระนั้นความโหดเหี้ยมก็ไม่ลดลงเลย เขาทำการฆาตกรรมต่อเนื่องเหยื่ออย่างน้อย 9 ราย (ที่มีหลักฐาน) แถบจังหวัดชิซึโอกะ นากามูระเกิด วันที่ 14 ธันวาคม 1925 ที่โอซาก้า แม้จะเกิดมาหูหนวกแต่เขาฉลาดทีเดียว ด้านการเรียนถือว่าดีเยี่ยม แต่ด้านการใช้ชีวิตกับครอบครัวของเขานั้นถือว่าแย่ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่เป็นปกติในสังคมญี่ปุ่นไปแล้ว นากามูระเป็นคนชอบดูหนังด้วยเฉพาะหนังที่มีดาบซามูไร หรือหนังลอบสังหาร เขาชอบมันมากและปรารถนาที่จะทำตามแบบในหนังบ้างในอนาคต

เมื่อนากามูระอายุ 14 ปี พยายามที่จะข่มขืนผู้หญิงสองคน แต่ไม่สำเร็จ อายุ 17 ปี เริ่มทำการสังหารเหยื่อแถบชิซุโอกะ ระหว่าง 22 สิงหาคม 1938 – วันที่ 30สิงหาคม 1942 ก่อนที่จะทำการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวเมื่อวันที่ 27 กันยายน ซึ่งนากามูระทำการสังหารพี่ชายและน้องชายของเขา และทำร้ายร่างกายพ่อ พี่สาว (น้องสาว?) พี่สะใภ้ น้องชายของพี่สะใภ้ และลูกของพี่ชาย ก่อนที่จะหนีไปฆ่าเหยื่อรายอื่น ๆ อีก

มีข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมของนากามูระมายมายหลายคดี จนไม่สามารถระบุเหยื่อที่เขาฆ่าได้ว่ามีกี่คนกันแน่ เขาอาจฆ่าไปประมาณ 9-11 คน อย่างไรก็ตามเขาถูกจับกุมในข้อหาฆ่าคน 9 ราย เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม1942 และถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1970...../*













 

Create Date : 18 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 7 เมษายน 2561 16:53:00 น.
Counter : 3572 Pageviews.  

เรื่องลึกลับของเด็กชายในกล่อง ปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบ



“America’s Unknown Child” หรือ “The Fox Chase Boy เป็นคดีสยองลึก ๆ ที่ยังคงเป็นปริศนาจนถึงปัจจุบันด้วยคำถามที่ว่า การตายของเด็กชายลึกลับในคดีดังกล่าวเป็นอุบัติเหตุที่น่าเศร้าหรือการฆ่าที่โหดร้ายโดยเจตนากันแน่? ใครฆ่าเขาและฆ่าทำไม? ทำไมต้องจัดศพในสภาพพิศวง ด้วยการเปลือยร่างเด็กชายยัดใส่ในกล่องกระดาษแข็ง แล้วนำทิ้งในที่รกร้าง และที่น่าพิศวงคือเด็กชายคนที่ตายคนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมไม่มีรายงานเด็กหายไป? ทำไมถึงไม่มีใครเลยที่มาแสดงตัวเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กผู้ตาย? แม้ว่าคำถามเหล่านี้จะเป็นคำถามง่ายๆ แต่กลับทำให้หลายฝ่ายที่พยายามไขปริศนาต่างงงงวยกว่าสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ความตายลึกลับของเด็กชายไม่ได้การไข จนกลายหนึ่งคดีที่ลึกลับที่สุดในแฟ้มอาชญากรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา ในศตวรรษที่ 20 ที่แม้แต่นี้นักสืบคดีฆาตกรรมในฟิลาเดลเฟีย เอฟบีไอ หรือแม้กระทั่ง Vidocq Society องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในการไขปริศนาคดีฆาตกรรมก็ไม่สามารถไขคดีนี้ได้




เด็กชายในกล่อง (The Boy in the Box)

ในปี 1957 ณ ถนนซัสคีฮันน่า ถนนแคบ ๆ ที่พบกระจัดกระจายทั่วไปในฟอกซ์เชส (Fox Chase) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฟิลาเดลเฟีย ในตอนนั้นถนนแห่งนี้ยังไม่ค่อยมีสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์เท่าใดนัก อย่างมากก็มีเสาไฟฟ้า ทำให้สองข้างทางเต็มไปด้วยป่ารกเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กจำพวกกระต่ายหรือหนูจึงจะเป็นที่นิยมของคนในแถบนั้นที่นิยมมาล่าสัตว์เป็นงานอดิเรก นอกจากนั้นยังเป็นที่ทิ้งขยะอีกส่งผลทำให้บรรยากาศที่แห่งนี้ค่อนข้างจะรกร้างและวังเวงจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีใครสักคนที่จะเอาศพมนุษย์ไปทิ้งบริเวณพื้นที่แห่งนี้


จุดที่พบกล่อง

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เฟรเดอริก เจ. เบโนนิค นักเรียนจากมหาลัยอายุ 26 ปี ได้ขับรถตามถนนทางทิศตะวันตกในช่วงบ่ายของวันจันทร์เวลา 15:15 น. เขาเห็นกระต่ายกระโดดออกจากพุ่มไม้ และคิดว่าจะหยุดรถเพื่อไล่ล่ามัน ในขณะที่ออกนอกรถเขาก็วางที่ดักหนูมัสคแร็ต (หนูขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง) ในป่าแถบนั้น ในตอนนั้นเองเขาได้เห็นกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่ และเขาก็สะดุดสิ่งที่ยื่นออกมานอกกล่อง ตอนแรกเขาคิดว่าอาจเป็นตุ๊กตายาง แต่หากมองดี ๆ แล้วมันเป็นศพเด็กของจริง หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่แจ้งตำรวจเพราะว่าการหาหนูมัสคแร็ตนั้นผิดกฎหมาย (ตำรวจยังสืบทราบอีกว่าเด็กหนุ่ม คนดังกล่าวมีนิสัยชอบแอบมองผู้หญิงในบริเวณสถานศึกษาที่ตั้งอยู่แถวนั้น) จนกระทั้งเช้าวันถัดมา เวลาสิบโมงเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงจะได้รับแจ้งว่าพบศพเด็กชายในกล่องจากนักศึกษาวิทยาลัยคนเดียวกับพบศพรายแรก เนื่องจากเขาได้ยินข่าวเด็กหญิงถูกลักพาตัวในนิวเจอร์ซีย์เลยคิดว่าเด็กหญิงคนดังกล่าวคือเด็กที่เขาเห็น เขาเลยโทรไปหาตำรวจ

เมื่อตำรวจรับแจ้งความ ก็รีบรุดมาที่เกิดเหตุ มีการพบศพเด็กชายลึกลับไม่ทราบชื่อเป็นชาวคอเคเซียน (ฝรั่งขาว) อายุประมาณ 4 ถึง 6 ปี อยู่ในสภาพเปลือยกายห่อด้วยผ้าห่มเก่าลายสก็อตราคาถูก นอนหงายหน้าอยู่ในกล่องกระดาษขนาดใหญ่ที่มองคร่าว ๆ คิดว่าจะเป็นตุ๊กตาถูกทิ้งมากกว่าศพคนจริง เนื่องจากกล่องและผ้าห่มปิดมิดทำให้มองเห็นไม่ถนัด อีกทั้งสถานที่ทิ้งเป็นที่รกร้างและเป็นที่ทิ้งขยะข้างทาง ร่างกายของเด็กแห้งและสะอาด แขนของเด็กถูกพับอย่างระมัดระวัง

เล็บมือและทรงผมถูกตัดสั้นและเรียบร้อยแม้ผมนั้นขาดแหว่งหาย ๆ คาดว่ามีคนตัดฝีมือการตัดไม่ดีนักและน่าจะตัดในช่วงที่เขาตายแล้ว เด็กมีส่วนสูงประมาณ 40 ½ นิ้ว หนักประมาณ 30 ปอนด์ มีตาสีฟ้าผิวขาวซีดคาดว่าน่าจะเป็นโรค
ขาดสารอาหาร (จากการตรวจสอบเด็กไม่ได้กินอาหารสองหรือสามชั่วโมงก่อนตายของเขา) เด็กมีผมสีน้ำตาลอ่อน หรือผมสีบลอนด์และมันเพิ่งได้รับการตัดเมื่อเร็วๆ นี้ เหมือนกับว่าเจตนาพยายามปกปิดตัวตนของเด็ก แต่กระนั้นก็เชื่อว่า เด็กผู้ตายน่าจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีในครั้งที่มีชีวิตอยู่พอสมควร


สภาพศพ



ศพเด็กผู้ตายมีบาดแผลทั่วร่างโดยเฉพาะบนหัวและใบหน้าที่ดูรุนแรงมากที่สุด ส่งผลทำให้ใบหน้าของเด็กบอบซ้ำ และบวมคาดว่าจะได้แผลรุนแรงนี้เด็กน่าจะรับในช่วงเวลาเดียวกันและนี้คงเป็นสาเหตุทำให้เด็กเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีรอยแผลบนร่างกายเด็กถึง 7 แห่งแต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิตแต่อย่างใด ที่น่าพิศวงคือร่างกายของเด็กคนนั้นแห้งและสะอาด มีรอยย่นหยาบที่ฝ่าเท้า แสดงให้เห็นว่าเด็กชายถูกแช่น้ำในระยะยาวนานก่อน หรือหลังเสียชีวิต ส่วนการชันสูตรระยะเวลาเสียชีวิตของเด็กนั้นระบุได้ยากเพราะว่า สภาพอากาศที่พบศพนั้นเย็นสบาย ทำให้การระบุระยะการตายของเด็กเป็นไปได้หลายทางคือ เด็กอาจจะตายมาแล้วสองหรือสามวัน หรือ สองหรือสามสัปดาห์ก็ได้ทั้งนั้น ด้วยสภาพศพของเด็กชายนั้นดูรู้เลยว่าน่าพิศวงและน่าเวทนา ทำให้ตำรวจบางคนได้บรรยายในวันนั้นไว้ว่า

"
ผมเคยมีประสบการณ์ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองมาก่อน ผมเห็นคนจำนวนมากที่ถูกทำร้ายร่างกาย แต่กรณีนี้ผมได้สัมผัสอะไรบางอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน" แต่กระนั้นตำรวจบางนายคิดว่าคดีนี้คงจะเป็นคดีธรรมดาที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เด็กผู้ตายน่าจะเป็นคนแถว ๆ นี้ และคดีคงจบเพียงไม่กี่เดือน ปรากฏว่าหนึ่งเดือน สองเดือนผ่านไป สามเดือนผ่านไป คดีเด็กชายลึกลับก็ไม่สามารถไขกระจ่างได้ และมันได้กลายเป็นคดีลึกลับคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด

สาเหตุที่ทำให้คดีเด็กชายในกล่องนี้ลึกลับ นอกเหนือจากหลักฐานกายภาพที่ตำรวจพบจะไม่สามารถสาวตัวที่มาของเด็กหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแล้ว


ในด้านหลักฐานสำคัญของคดี สิ่งแรกเลยคือกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่ที่เด็กชายถูกยัดนั้น เป็นกล่องบรรจุผลิตภัณฑ์เปลเด็กทารกจาก JC Penney ผลิตเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 1956 และน่าจะถูกขายระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 1956 และ 16 กุมภาพันธ์ 1957 ตัวกล่องค่อนข้างเปราะบาง ในตอนพบศพเด็กในกล่องนั้นกล่องยังอยู่ในสภาพดี และแห้งแม้ชื้นด้านนอกแต่ยังคงสภาพอยู่ และไม่สามารถสาวตัวผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ได้เนื่องจากไม่มีการระบุผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว กล่องถูกนำไปห้องแล็บเอฟบีไอเพื่อวิเคราะห์ ผลปรากฏว่าไม่พบรอบนิ้วมือที่น่าสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น

ส่วนผ้าห่มที่ใช้คลุมตัวเด็กชายนั้น ตัวผ้าทำมาจากผ้ากำมะหยี่สีจางจากผ้าฝ้ายเกรดต่ำราคาถูก ออกแบบลายสก็อตเป็นลายเพชรมีทั้งสีเขียว น้ำตาล และสีขาว ผ้าห่มถูกซักทำให้สะอาดสะอ้าน แต่กระนั้นบางส่วนของตัวผ้าก็หายไป จากการตรวจสอบที่มาของผ้า พบว่ามาจากโรงงานทอผ้าสักแห่งในแคนนาดา แต่กระนั้นผ้าห่มนี้ไม่สามารถเจาะจงผู้ซื้อได้เพราะว่าผ้าห่มดังกล่าวได้รับการผลิตและส่งขายไปทั่วประเทศ ใกล้ ๆ พุ่มไม้เจ้าหน้าที่พบหมวกลูกฟูกสีฟ้ากับสายหนังและหัวเข็มจัดด้านหลัง ซึ่งน่าจะเป็นของเด็กชาย หมวกดังกล่าวถูกส่งไปยังห้องแล็บเอฟบีไอในการวิเคราะห์ แต่ไม่พบอะไรที่สำคัญเกี่ยวกับรูปคดีเท่าไหร่นัก แต่กระนั้นหมวกดังกล่าวก็ถูกนำมาลงพร้อมกับโปสเตอร์เด็กชายเพื่อตามหาตัวตนที่แท้จริงของเด็กชายไปด้วย

มีการเพิ่มตำรวจหลายนายเข้ามาในพื้นที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบค้นหาหลักฐานที่น่าจะสาวตัวไปถึงเด็กชายในกล่องผู้ลึกลับนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งกินพื้นที่อาณาเขตจากพื้นที่พบศพถึง 12 กิโล พวกเขาค้นหาป่ารกร้าง ไปจนถึงอาคารร้าง
และพื้นที่อาศัยบริเวณนั้นเกือบทุกจุด แต่ไม่พบอะไรที่น่าสนใจ หลักฐานที่พอเก็บได้คงจะเป็นหลักฐานที่ตกอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุไม่ว่าจะเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาว รองเท้าเด็กสีดำ ผ้าพันคอของเด็ก และผ้ากำมะหยี่สีเหลืองที่เป็นเสื้อของเด็กผู้ชาย ซึ่งขนาดของเสื้อพบว่ามีขนาดพอดีกับศพเด็กผู้ตาย แต่กระนั้นผลจากการตรวจสอบห้องปฏิบัติการทางเคมีของตำรวจผลทดสอบคือลบ



สิ่งที่เป็นความพิศวงของคดีก็คือการตายของเด็กชายที่ไม่รู้ว่าเด็กตายเพราะอะไรระหว่างถูกฆ่าหรือได้รับอุบัติเหตุ คาดว่าก่อนตายเขาคงถูกเลี้ยงดูอย่างดี ส่วนสาเหตุการตายถูกทำร้ายที่ใบหน้าและหัวอย่างรุนแรง แต่ปัญหาก็คือบาดแผลพวกนี้เกิดจากอะไรกันแน่ เด็กคนนี้ถูกฆาตกรรมหรือเป็นอุบัติเหตุ แต่กระนั้นสิ่งที่บ่บอกว่าเด็กน่าจะถูกฆาตกรรมคงจะเป็นร่องรอยการตัดผมขาด ๆ หาย ๆ จากการชันสูตรศพอย่างถี่ถ้วน พบว่าเด็กชายกระดูกไม่หัก แต่มีกากน้ำตาลเข้มภายในหลอดอาหารซึ่งคาดว่าเด็กมีการอาเจียนก่อนตาย ไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายทางเพศ ร่างกายมีบาดแผลเป็นคือแผลหน้าอกด้านซ้าย ข้อเท้า และขาหนีบที่น่าจะเกิดการผ่าตัด นอกนั้นเป็นแผลเป็นซึ่งเป็นแผลปกติที่พบในเด็กที่ชอบเล่นซน จากข้อสันนิษฐานจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายได้ระบุว่า เด็กชายคนนี้ได้รับอาหารน้อยและอาจมีการเข้าเฝือกก่อนหรือตาย อายุของเขาน่าจะประมาณ 4 หรือ 5 ปี และชาติกำเนิดของเขาน่าจะมาจากประเทศในตะวันตกเฉียงเหนือหรือตะวันตกกลางยุโรปอาจเป็นสแกนดิเนเวีย เยอรมันตะวันตก อังกฤษ หรือสกอตแลนด์

สิ่งที่พิศวงไม่แพ้กันคือการหาชื่อจริงของเด็กชายในกล่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ในฟิลาเดลเฟียพยายามหาข้อมูลของเด็กจากหลาย ๆ แหล่ง ที่ตอนแรกคาดว่าน่าจะเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัวแล้วถูกนำมาฆ่า ไม่ก็เด็กเป็นคนแถวนั้น แต่ปรากฏว่าสืบไปสืบมาก็มือแปดด้าน ไม่มีรายงานเด็กหาย ไม่มีใครระบุตัวตนของเด็กชาย ข้อมูลหลักฐานที่จะระบุตัวตนของเด็กชายก็ไม่มี ผลสุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบก็จนปัญญากับคดีนี้ในที่สุด เมื่อคดีเด็กชายในกล่องมืดแปดด้าน หลายฝ่ายก็เริ่มให้ความสนใจที่จะเข้ามาช่วยกันพยายามไขปริศนาว่าศพเด็กชายในกล่องผู้ลึกลับคนนี้คือใครกันแน่ ยังได้รับความสนใจจากเอฟบีไอสมาคมแพทย์อเมริกัน สื่อมวลชนทั้งในและนอกประเทศและรวมไปถึง Vidocq Society องค์กรที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมสาขาต่าง ๆ เด็กชายในกล่องมีรอยนิ้วมือ รอยนิ้วเท้า นอกจากนี้ยังรอยแผลเป็นของเด็กซึ่งน่าจะมีประวัติการรักษาพยาบาลที่ไหนบ้าง (นอกจากนี้จากการใช้แสงอัลตร้าไวโอเลตส่องที่ตาซ้ายพบว่าเด็กน่าจะมีการรักษาโรคตาเรื้อรัง) ข้อมูลของเด็กชายถูกส่งไปยังโรงพยาบาลทั่วประเทศ แล้วยังขยายไปยังเม็กซิโก แคนาดา และยุโรปแต่น่าพิศวงเพราะจนบัดนี้ก็ไม่มีคำตอบเลยว่าเด็กชายในกล่องคนนี้เป็นใคร?


ส่วนฝ่ายสื่อมวลชนก็มีการลงภาพเด็กผู้ตายลงสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรืออินเตอร์เน็ต โปสเตอร์ของเด็กชายในกล่องที่ถูกถ่ายด้านหน้า ด้านซ้ายและด้านขวา รูปผ้าลายสก็อตและหมวกเด็กพร้อมข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ถูกแปะไปทั่วสถานที่ทุกแห่งในฟิลาเดลเฟียไม่ว่าจะเป็นที่ทำการไปรษณีย์ ร้านเหล้า และหน่วยงานตำรวจทั่วประเทศ แต่ก็ไม่มีใครที่แสดงตัวเป็นเด็กชายคนนี้เป็นใคร จนมีบางคนถึงขนาดนำศพเด็กชายมาสวมใส่เสื้อผ้าเด็กและถูกจัดวางท่านั่งเพื่อหวังว่ามันจะช่วยคนมีคนจำเด็กชายผู้ตายคนนี้ได้บ้าง (เป็นความคิดของนักสืบเจ้าของคดี ในเดือนพฤศจิกายน 1998) แต่ก็ยังคงดำมืดเหมือนเดิม

แน่นอนว่าคดีดังแบบนี้คงหนีไม่พ้นพวกอยากดัง ที่ชอบมาอ้างว่าตนเป็นฆาตกร คดีนี้มีหลายคนที่พยายามจะให้ตำรวจเชื่อว่าตนเป็นฆาตกรฆ่าเด็กชาย ไม่ว่าจะเป็นพวกที่อ้างว่าเป็นพี่ชายของเด็กที่ถูกลักพาตัวไป หรืออ้างเป็นพ่อแม่ของเด็กก็มีแต่ตำรวจมักปล่อยคนเหล่านี้ไปหลังจากตั้งคำถามไม่กี่คำถาม

สตีเวล เคร็ก ดัมมัน



เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1955 บุตรชายของทหารอากาศที่ประจำการอยู่ที่มิทเชล แอร์ฟอร์ซเบส นิวยอร์ก ชื่อ สตีเวล เคร็ก ดัมมัน อายุ 34 เดือน ได้หายตัวไปในขณะช็อปปิ้งกับแม่ในซูเปอร์มาร์เก็ตลองไอส์แลนด์ในนิวยอร์ก ตอนแรกหลายฝ่ายเชื่อว่าเด็กชายในกล่องน่าจะเป็นคนเดียวกับสตีเฟ่นเนื่องจากเขามีดวงตาสีฟ้าเหมือนกัน ทั้งสองมีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ใต้คางเหมือนกัน และภาพเอ็กซ์เรย์
พบรอยแตกหักเก่าที่แขนซ้ายเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้พวกเขาเชื่อว่าคดีนี้น่าจะปิดลงได้เสียที แต่หลังจากที่เปรียบเทียบรอยเท้าของเด็กที่ตายแล้วไปให้กรมตำรวจที่นิวยอร์กก็พบว่า มันไม่ตรงกับรอยเท้าของสตีเฟ่น ทำให้กรณีของสตีเฟ่นก็ไม่นำมาพูดในคดีเด็กชายในกล่องอีกเลย จนกระทั่งในปี 2003 ก็มีการตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับเด็กสองคนอีกครั้ง ผลปรากฏว่าเด็กชาย
ในกล่องไม่ใช่คนเดียวกับสตีเฟ่นแน่นอน (ส่วนคดีการหายตัวของสตีเวล เคร็ก ดัมมันก็เป็นคดีที่ปิดไม่ได้เช่นกัน)

ในปี 1961 เคนนีต อี. และไอรีน อเดล ดัดลีย์ เป็นคนงานในเทศกาลคาร์นิวัลที่ถูกจับกุมและจำคุกในลอว์เรนซ์ มลรัฐเวอร์จิเนียในข้อหาเป็นต้นเหตุทำให้ลูกสาววัยเจ็ดปีอดอาหารและปล่อยปะละเลยจนตาย ภายใต้การสอบสวนที่เข้มข้น ทั้งสองสารภาพอีกว่าเขามีส่วนทำให้เด็กถึง 10 คนตายเพราะขาเดสารอาหารและปล่อยปะละเลย พวกเขาทิ้งศพในสถานที่ต่าง ๆ ในรัฐทางใต้ ในที่ร้างตอนแรกที่บางคนพยายามเชื่อมโยงคดีนี้กับเด็กชายในกล่อง แต่สุดท้ายก็พบว่าทั้งสองคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด

นอกจากยังมีการเชื่อมโยงหลายคดีที่หลายฝ่ายคาดว่าเกี่ยวข้องกับคดีเด็กชายในกล่อง ไม่ว่าจะเป็น คดีเด็กหาย ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าเฉพาะเด็ก คดีทารุณเด็ก หากแต่ผลสุดท้ายก็ไม่มีคดีไหนเกี่ยวข้องกับคดีเด็กชายในกล่องแม้แต่น้อย

หลุมศพของเด็กชายในกล่อง


ศพของเด็กถูกฝังในสุสานพอตเตอร์ฟิลด์พร้อมกับโลงเล็กสีขาวเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 1957 ซึ่งชื่อบนป้ายจารึกเป็นชื่อของบุตรชายนักสืบเจ้าของคดีนี้ โดยที่หน้าป้ายจารึกหลุมศพมีคำจารึกว่า “Heavenly Father, Bless This Unknown Boy.”

ในช่วงปี 1967 มีการนำศพเด็กชายขึ้นมาตรวจสอบ โดยหลายฝ่ายพยายามเอาเทคโนโลยีการสืบสวนสมัยใหม่มาใช้ในการไขคดีนี้ให้กระจ่าง โดยตรวจดีเอ็นเอ เพื่อเชื่อมโยงหาประวัติเด็กชายในฐานข้อมูลดีเอ็นเอระดับชาติ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใดว่า เด็กชายคนนี้คือใครกันแน่ และทำไมเขาต้องถูกฆ่า??

(หมายเหตุ : เนื่องจากตอนตรวจสอบดีเอ็นเอของเด็กชายในกล่องนั้นเนื้อเยื่อส่วนใหญ่เสื่อมสภาพไม่สามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาคือการสกัดดีเอ็นเอจากฟัน) เช่นเดียวกับคดีฆาตกรรมอื่น ๆ หลายฝ่ายพยายามหาทฤษฏี ข้อสันนิษฐานต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงในการแก้คดีนี้ โดยคดีเด็กชายในกล่องได้ถูกตั้งข้อสันนิษฐานสองประการคือ


เรมิงตัน บริสโตวผู้ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการพยายามไขคดีนี้


ข้อสันนิษฐานที่ 1 บ้านอุปถัมภ์เด็ก ข้อสันนิษฐานดังกล่าวมีน้ำหนักมากและน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด โดยข้อสันนิษฐานนี้เป็นของเรมิงตัน บริสโตวพนักงานสอบสวนจากสำนักงานผู้ตรวจสอบทางการแพทย์ที่พยายามแก้ปริศนาที่ครอบงำจิตใจตลอดชีวิตถึงขั้นใช้เงินส่วนตัวในการติดตามคดีนี้

จากการสืบสวนของเรมิงตัน ในปี 1960 เขาได้ค้นพบบ้านอุปถัมภ์ที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยเด็กชายนี้ตั้งอยู่ในที่เกิดเหตุ 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น บ้านหลังดังกล่าวที่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่และกำลังอยู่ช่วงในนำออกขายอสังหาริมทรัพย์ โดยสิ่งที่พบคือเปลเด็กที่ผลิตโดยบริษัท JC Penney นอกจากนี้เขายังพบผ้าห่มแขวนอยู่บนราวตากผ้าซึ่งคล้ายกับผ้าห่มที่ห่อตัวเด็ก ทำให้เชื่อว่าเด็กเป็นลูกของลูกสาวใจแตก
ที่นำเด็กไปทิ้งเพราะไม่อยากมีมลทินและเชื่อว่าครอบครัวอุปถัมภ์น่าจะมีส่วนในการตายของเด็ก แม้ข้อสันนิษฐานนี้จะมีน้ำหนัก แต่กระนั้นตำรวจไม่สามารถหาหลักฐานใด ๆ มายืนยันได้ นอกจากนี้จากการตรวจสอบ สอบถามพยานที่เป็นครอบครัวที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ก็ไม่สามารถยืนยันว่าครอบครัวนี้เกี่ยวข้องกับเด็ก ทำให้ข้อสันนิษฐานนี้ตกไปในที่สุด

ข้อสันนิษฐานที่ 2 เรื่องราวของเอ็ม ทฤษฏีที่สองเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2002 เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งใช้ชื่อเล่นว่า เอ็ม เธอได้อ้างว่าเป็นแม่ของเด็กที่ตาย โดยเล่าว่าในช่วงฤดูร้อนปี 1954 เธอได้ซื้อตัวเด็กจากพ่อแม้ที่แท้จริงแล้วตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า โจนาธาน ในช่วงสองปีครึ่งเด็กคนนี้ก็ถูกล่วงละเมิดทางร่างกายและทางเพศอย่างสุดขีด ก่อนที่จะถูกฆ่าโดยการทุบและจับกดในอ่างอาบน้ำ จากนั้นแม่ของเด็ก เอ็ม ก็ได้ตัดผมยาวของเด็กชายออก (ในรายงานของตำรวจระบุว่าคนที่ตัดผมเด็กชายไม่เป็นมืออาชีพ) และทิ้งร่างกายของเด็กชายในพื้นที่เงียบสงบในฟ็อกซ์เชส ตำรวจพิจารณาเรื่องที่เอ็ม เล่าจนเกือบจะเชื่อเพราะมีหลายจุดที่เหมือนข้อเท็จจริงของคดี แต่ก็มีปัญหาคือ เอ็มมีพยานหลักฐานที่อยู่ นอกจากนี้เธอยังมีประวัติอาการป่วยทางจิต อีกทั้งเมื่อสอบถามเพื่อนบ้านก็ปฏิเสธว่าไม่เคยพบเห็นเด็กคนดังกล่าวอาศัยในบ้านของเธอดังที่เธอพูด สรุปคือเรื่องที่เอ็มเล่ามาคือเรื่องไร้สาระ

ในตอนเย็นของวันเสาร์ วันที่ 3 ตุลาคม 1998 รายการ Americas most Wanted รายการโทรทัศน์แนวตามล่าหาความจริง
ของคดีดังที่ได้รับความนิยมในอเมริกา เปิดเวทีสาธารณะ ให้ผู้ชมทางบ้านส่งข้อความความคิดเห็นหรือความรู้สึกของคดีเด็กชายในกล่องนี้ได้ในเว็บไซต์ //www.amw.com ผลปรากฏว่าคดีนี้ได้เสียงตอบรับอย่างมหาศาลจากผู้ชมทางบ้าน แม้คดีนี้จะผ่านไปนานหลายปีแล้วก็ตาม จนต้องขยายเวลาอีก 2 สัปดาห์เพิ่มเติม โดยข้อความส่วนใหญ่ที่ถูกส่งมาเป็นข้อสันนิษฐานหากหลายที่นิยมของประชาชน เช่น

-เด็กชายคนนี้น่าจะมาจากโรงพยาบาลที่รักษาคนยากไร้และนำไปทิ้งเพราะไม่อยากเสียค่าใช้จ่าย

-คนที่ทิ้งเด็กน่าจะเป็นคนในท้องถิ่นและอยู่ใกล้จุดที่เกิดเหตุ

-เด็กชายในกล่องเป็นเด็กจรจัดที่ถูกเลี้ยงดูในบ้านอุปถัมภ์แต่ผู้ปกครองเด็กนั้นเป็นคนโหดร้ายที่ชอบทุบตีเด็ก จนกระทั่งวันเกิดเหตุได้ทุบตีเด็กคนนี้ตายเข้าเลยเอาศพมาทิ้ง

-เด็กชายในกล่องน่าจะเป็นเด็กที่อยู่ในบ้านหรือสถานที่ตัดขาดจากสังคมภายนอก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสักคนที่จำเด็กได้นอกเสียจากคนที่เลี้ยงดูเด็กชาย

-เด็กชายในกล่องเป็นเด็กในคณะละครสัตว์

-ทางการได้ปกปิดข้อมูลลับอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเด็กชายในกล่องไม่ให้ประชาชนรับทราบ ฯลฯ

หลังจากคดีนี้ถูกนำออกรายการ มีเจ็ดรายออกมาอ้างตัวว่าเป็นผู้ปกครองของเด็กชายในกล่อง แต่หลังจากสอบสวนพบว่าเป็นเท็จทั้งหมด ปัจจุบันเรื่องราวของเด็กชายในกล่องถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ละครซีรีย์มากมาย เช่น Cold Case, CSI: Crime Scene Investigation และ Law & Order: SVU 

Cr. CAMMY /// Writer.Dek-d.com









 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 16:54:48 น.
Counter : 1246 Pageviews.  

แฟนธ่อม คิลเลอร์ (Phantom Killer) ภูตผีแห่งเท็กซาร์คานา

เท็กซาร์คานา ปี ค.ศ. 1946 เป็นมลรัฐหนึ่งของอเมริกา เป็นศูนย์กลางผลิตไดนาโมและอุตสาหกรรมผลิตไม้ เฟอร์นิเจอร์ ยางรถ ท่อน้ำ ชานเมืองเป็นชนบทที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติแสนงาม ด้วยมีสำนักงานนายอำเภอแยกออกมาช่วยดูแลความสงบของพื้นที่ ในเมืองนี้มีประชากรประมาณ 60,000 คน คนส่วนใหญ่เป็นมิตร ขยันทำงาน ชอบขี่ม้า รวมไปถึงความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ที่มียาวนานของพวกเขา แต่แล้วในปี 1946 นี้เองผู้คนในเมืองเท็กซาร์คาร์นาต้องขวัญผวา! เมื่อมีสิ่งที่พวกเขาอธิบายไม่ได้กำลังอาละวาดฆ่าคนเป็นว่าเล่น โดยไม่สามารถตอบได้ว่า "มันฆ่าคนเพราะอะไร มันเป็นใครกันแน่ แต่มันได้สร้างตำนานในเมืองแห่งนี้จนหลายคนยากที่จะลืมเลือน...


เดอะแฟนธ่อม คิลเลอร์ หรือแฟนธ่อมแห่งเท็กซาร์คาร์นา เป็นฉายาฆาตกรต่อเนื่องปริศนาที่เชื่อกันว่ามันฆ่าเหยื่อไปทั้งสิ้น 5 ราย และบาดเจ็บไป 3 ราย ในมลรัฐอาร์คันซอและมลรัฐเท็กซาร์คาร์นาในช่วงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ถึง วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1946 นอกจากนี้มันยังมีฉายาอีกชื่อคือนักฆ่าแสงจันทร์ (The Moonlight Murderer) เนื่องจากฆาตกรคนนี้่จะออกอาละวาดปฏิบัติการฆ่าคนในช่วงพระจันทร์เต็มดวงและมีข่าวลือว่าเขาจะไม่โจมตีในคืนที่พระจันทร์ไม่เต็มดวง

พฤติกรรมของฆาตกรรายนี้จะมีพฤติกรรมคล้าย ๆ กับ "โซดิแอค เดอะคิลเลอร์" ฆาตกรปริศนาอีกรายที่เริ่มออกอาละวาดในปี ค.ศ. 1966 คือมีนิสัยชอบแอบดอดเข้าไปฆ่าหนุ่มสาวที่จู๋จี๋กันในสรถยนต์ที่จอดข้างทางไกลหูไกลตาชาวบ้าน

คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ในตอนเย็นวันนั้น จิมมี่ ฮอลลิส ชายหนุ่มอายุ 24 ปี และแม่รี่ แจน์ ลาเรย์ เพื่อนสาวอายุ 19 ปี กำลังนั่งอยู่ในรถออกเดทกันประสาวัยรุ่น จิมมี่เป็นคนขับรถตระเวนเพื่อหาพื้นที่เหมาะสมสำหรับพรอดรักกัน จนในที่สุดจิ่มมี่ก็มาหยุดรถลงที่ข้างทางหลวงในเมืองเท็กซาร์คาร์นา

ในเวลานั้นพระจันทร์กำลังเต็มดวงสวยงาม ที่จอดรถของจิมมี่ไม่ใช่ทางเปลี่ยวเลยสักนิด รถจอดข้างทาง มีรถวิ่งผ่านเป็นครั้งคราว แต่ในที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องจนได้ หลังจากหนุ่มสาวนั่งพลอดรักกันพักใหญ่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินมาที่รถของพวกเขา และได้เผชิญหน้ากับมัน มันเป็นเงาของผู้ชายประหลาดคนหนึ่งที่เดินมาจากพุ่มไม้เล็ก ๆ ข้างทาง มันเดินตรงมาที่รถ ทั้งสองมองดูชายคนนั้นก็รู้ทันทีว่าไม่ได้มาดีแน่ เขาสวมหมวกไอ้โม่งเพื่อปิดบังใบหน้าเหมือนเป็นหน้ากากแบบเจะรูที่ดวงตา จมูกและปาก ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นคนผิวขาวหรือผิวดำ ที่สำคัญที่สุดคือเขาถือปืนพก! ชายคนนั้นเข้ามาใกล้หนุ่มสาวที่นั่งอยู่บนรถและชักขู่ด้วยปืนและพูดว่า "ฉันไม่ต้องการจะฆ่าพวกนาย ลงจากรถเดี๋ยวนี้!" ชายคนนั้นบังคับให้จิมมี่และแมรี่ออกจากรถ หนุ่มสาวกลัวจนตัวสั่นพร้อมกับอ้อนวอนขอให้ชายลึกลับคนนั้นเมตตาให้ไว้ชีวิต จากนั้นชายคนนั้นก็ทำร้ายจิ่มมี่ เด็กหนุ่มถูกชายคนนั้นซ้อมจนมันรู้สึกหนำใจและแน่ใจว่าจิมมี่คงจะไม่มีแรงที่จะขัดขืนเขาอีกแล้ว จากนั้นมันก็เตรียมตัวที่จะลงมือข่มขืนแมรี่ เธอพยายามขัดขืนรู้ดีว่าตอนนี้ใบหน้าที่ซ่อนในหน้ากากของเขากำลังเบิกบานมีความสุข ปากยิ้มจนเห็นฟันขาว แต่แล้วยังที่มันไม่ได้ทำอะไรมากนัก แสงไฟจากไฟหน้ารถที่กำลังผ่านมาก็ปะทะที่หน้าของมันจนสว่างจ้า รถผ่านมาดับเครื่องยนต์เพื่อมองให้ชัดๆ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ชายคนนั้นถอยออกมาจากหญิงสาว มันบิดไปบิดมา ทำท่าเหมือนไม่พอใจที่มีตัวขัดขวางความสุขของมัน มันส่งเสียงครางพร้อมสาปแช่ง และสุดท้ายมันตัดสินใจที่จะล่าถอยเข้าไปในป่าข้างทางหายไปในความมืดราวกับว่ามันล่องหนไปจากโลกอย่างใดอย่างนั้น

เพราะมีคนมาช่วยไว้ทันนั้นเองที่ทำให้จิมมี่และแมรี่รอดมาได้ จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุในเวลาต่อมา ตำรวจพบรอยเท้ายาวประมาณ 1.8 m บวกกับคำให้การของคนทั้งสองได้บ่บอกผู้ร้ายรายนี้มีลักษณะคร่าว ๆ โดยบอกว่าเขาสูงประมาณหกฟุต สวมผ้าครอบใบหน้ามีการเจาะรูที่ตาและปาก จิมมี่และแมรี่ เป็นเพียงสองคนที่สามารถบอกรูปพรรณของคนร้ายได้

เหตุการณ์ของจิมมี่และแมรี่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแฟนธ่อมก็ว่าได้ ดูเหมือนว่าการที่คนอื่นมาขัดขวางความสุขของมันจะกลายเป็นตัวกระตุ้นให้มันเกิดอาการบ้าเลือดอยากฆ่าคนขึ้นมา เพราะหลังจากที่เหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไป บรรดาเหยื่อรายต่อ ๆ มาของแฟนธอมต้องมาตายอย่างสยดสยองด้วยน้ำมือของฆาตกรรายนี้ หลังจากคดีนี้ผ่านพ้นไปช่วงระยะหนึ่ง หลายคนก็ลืมคดีนี้ลงอย่างสิ้นเชิง ค่ำคืนที่เท็กซาร์คาร์นากลับมาสวยงานเหมือนเดิม สนามหลังบ้านเรือนใกล้เคียงต่างปลูกต้นกุหลาบประชันความสวยงามจนกลายเป็นอาหารตาแก่ผู้พบเห็น เช่นเดียวกับไนต์คลับ บาร์ที่เคร่งระเบียบวินัยที่ประดับไฟหลากสีสันยั่วยวนให้นักเดินทางแวะมาใช้บริการร้านอย่างยิ่ง ชาวเมืองเท็กซาร์คาร์นาทุกคนต่างภูมิใจที่เมืองของพวกเขาปลอดภัย ผู้คนสามารถเที่ยวกลางคืนได้อย่างปราศจากความหวาดกลัวจากภัยอันตรายต่างๆ นานา เหตุการณ์ชายปริศนาโจมตีจิมมี่และแมรี่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ตำรวจลงความเห็นว่าคงเป็นโจรกระจอกขโมยรถธรรมดาที่เกิดหน้ามืดอยากข่มขืนผู้หญิง ดังนั้นตำรวจไม่สนใจคดีนี้มากนัก และคดีก็เงียบหายพร้อมกับกาลเวลา

ในตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสายของวันที่ 24 มีนาคมปีเดียวกัน หนึ่งเดือนให้หลังจากคดีของจิมมี่และแม่รี่ ชายคนหนึ่งกำลังขับรถเดินทางไปตามถนนของเท็กซาร์คาน่า เขาก็ได้สังเกตเห็นรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่บนข้างทางที่เต็มไปด้วยโคลน บนถนชานเมืองเท็กซาร์คาร์นา ด้วยความเป็นพลเมืองดีเขาคิดว่ารถคันนั้นคงติดโคลน จึงชะลอรถและเข้าไปดูใกล้ ๆ เขาเห็นชายหญิงสองคนอยู่ในรถ และดูเหมือนหลับ หากแต่เขารู้ทันทีเลยว่าชายหญิงคู่นั้นตายแน่นอน เขาจึงตัดสินใจเรียกตำรวจ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ ศพชายหญิงในรถถูกระบุทันทีว่าเป็น นายริชาร์ด กริฟฟิน อายุ 29 ปี เพิ่งลาออกจากกองทัพเรือ และพอลลี แอน มูร์ ลูกจ้างวัย 17 ปี ที่ออกเดทด้วยการขับรถยนต์ไปตามแถบชนบท ก่อนที่จะหายไปทั้งคืน จนกลายมาเป็นศพเมื่อเช้านี้เอง


ร่างของกริฟฟินอยู่ที่นั่งด้านหน้า กระเป๋ากางเกงถูกถลกออกมาข้างนอก เขาตายเพราะถูกยิงที่ศีรษะหลัง 2 นัดด้วยปืนพกขนาด .32 รีโวลเวอร์ ส่วนร่างของมูร์อยู่ที่เบาะหลัง ตายด้วยปืนพกชนิดเดียวกันที่ด้านหลังศีรษะ กระเป๋าข้างของเธอถูกเปิดออก แหวนที่เธอได้จากงานฉลองเรียนจบยังคงสวมอยู่ที่นิ้วมือ นอกจากนี้ยังมีร่องรอยของการถูกล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรง มีการพบรอยเลือดสาดกระเซ็นบนพื้นห่างจากที่รถยนต์จอดไปประมาณ 6 เมตร เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าพวกเขาทั้งสองคงถูกฆ่านอกรถและถูกจับยัดกลับเข้าไปในรถใหม่ เวลาที่ฆาตกรลงมือน่าจะเป็นเวลากลางคืน และน่าจะเป็นการปล้นฆ่า ส่วนร่องรอยหลักฐานต่าง ๆ เช่น รอยนิ้วมือยากต่อการสืบค้นเพราะฝนที่เทลงมาอย่างหนักนานหลายชั่วโมงในช่วงกลางคืน ได้ทำลายหลักฐานไปจนหมดสิ้น นี่เป็นการฆาตกรรมครั้งแรกของแฟนธ่อม คิลเลอร์ แต่มันแย่กว่านั้นเมื่อมีเหยื่อที่ต้องสังเวยให้กับมันหลายรายตามมาแบบไม่ขาดสาย



วันที่ 13 เมษายน พอล มาร์ติน อายุ 17 ปี และเบ็ตตี้ โจ บุ๊กเกอร์ เพื่อนสาวผู้รักเสียงเพลงและนักเล่นแซกโซโฟน วัย 15 ปี ของพอล ได้ขับรถไปเที่ยงานเลี้ยงกลางคืน แต่ะกระนั้นทั้งคู่ก็ได้ตัดสินใจจอดรถเพื่อพลอดรักที่สวนสาธารณะใกล้ทะเลสาปสปริงเลคก่อน ซึ่งสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นที่ประชาชนชื่นชอบไปปิกนิกกันในช่วงวันหยุด เวลานั้นเป็นเวลาประมาณตี 1 ไม่มีคนอยู่บริเวณนี้แน่นอน และที่นี่ทั้งสองจึงกลายเป็นเหยื่อของฆาตกรเป็นรายที่ 3 และ 4 ไปในที่สุด

รุ่งเช้าของวันที่ 14 ศพของมาร์ติน ถูกพบเมื่อเวลา 6 โมง โดยครอบครัวที่กำลังเดินผ่านสวน พวกเขาเห็นร่างของชายหนุ่มนอนอยู่ข้างถนน เลยแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อนายอำเภอและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ มาถึง พวกเขาก็พบร่างชายหนุ่มที่หมดลมหายใจแล้ว ถูกยิงสี่นัดที่ใบคอ หน้า หน้าอก และไหล่ ด้วยปืนพก .32 รีโวลเวอร์ ศพของมาร์ตินห่างจากรถของเขาที่จอดไว้ในที่จอดรถไปประมาณครึ่งไมล์ ใกล้ทางหลวงทางไปชนบท แต่กระนั้นพวกเขากลับไม่พบบุ๊กเกอร์ เธออยู่ที่ไหน?

เจ้าหน้าที่จัดกำลังเพื่อทำการค้นหาบุ๊กเกอร์ จนในสุดก็พบศพเธอเมื่อเวลา 11.30 น. นอนกองอยู่ริมขอนไม้ห่างจากรถของมาร์ตินไปอีก 2 ไมล์ เสื้อกันหนาวของเธออยู่ครบ เธอถูกยิงที่หน้าอกและใบหน้า ด้วยปืน .32 รีโวลเวอร์ ซึ่งเป็นอาวุธเดียวกันกับที่สังหารจิมมี่และมูร์ จากการตรวจสอบทรัพย์สินภายในรถของมาร์ติน พบว่าแซกโซโฟนของบุ๊กเกอร์ได้หายไป คาดว่าฆาตกรคงนำติดมือไปด้วย คดีนี้โด่งดังและครึกโครมอย่างมาก เพราะเรื่องของฆาตกรต่อเนื่องปริศนานี้เป็นที่สนใจของประชาชนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับพฤติกรรมของมันที่ชอบฆ่าหนุ่มสาวนักรัก ทำให้นักข่าวหนังสือพิมพ์เท็กซาร์คานากาแซตได้ตั้งชื่อฆาตกรคนนี้พาดหัวข่าวว่า แฟนธ่อมแห่งเท็กซาร์คาร์นา (ฉายานี้คงมาจากบทประพันธ์เรื่อง
The phantom of the Opera ของแกสตง เลอรูซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส ฆาตกรที่คอยคร่าชีวิตผู้คน เพื่อให้ตนสมหวังจากความรัก) มีการตั้งรางวัลกว่า 5,000 ดอลล่าร์ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการหาเบาะแสฆาตกรรายนี้เพื่อนำตัวมาลงโทษให้ได้

มาถึงตอนนี้ประชาชนพลเมืองเท็กซาร์คาร์นา เริ่มอยู่ในอาการตื่นตกใจ หวาดกลัว ผู้อยู่อาศัยบริเวณที่ฆาตกรปรากฏตัวเริ่มหาซื้อปืนพก ปิดประตูบ้านแน่นหนามิดชิด บ้างก็ปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้แข็งแรงขึ้น และไม่ออกจากบ้านตอนกลางคืน ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มตั้งด่านตรวจในถนนเปลี่ยว และย่านที่คู่รักชอบไปพลอดรักกัน ทำให้แฟนธ่อมเริ่มลงมือฆ่าคนยากขึ้น แต่กระนั้นไม่ก็ไม่ละความพยายาม มันเลยเปลี่ยนยุทธวิธีเสียใหม่!!

วันที่ 4 พฤษภาคมปีเดียวกัน ในช่วงกลางคืน ทางตะวันตกเฉียงใต้ในเขตมิลเลอร์เคาน์ตี ในมลรัฐอาร์คันซอ 12 ไมล์ก่อนจะถึงเท็กซาร์คาร์นา เกษตรกรชื่อเวอร์กิล สตาร์ก อายุ 36 ปี กำลังนั่งเล่นอย่างสบายใจบนเก้าอี้หลังจากทำงานหนักในฟาร์มมาทั้งวัน แล้วจู่ ๆ ฆาตกรที่แอบซุ่มอยู่ด้านนอกได้ยิงปืนผ่านหน้าต่างห้องรับแขกเพื่อฆ่าเขา เคธี สตาร์ก อายุ 35 ปี ภรรยาของเวอร์กิลที่กำลังนอนอยู่ในห้องนอนได้ยินเสียงกระจกแตก เธอจึงวิ่งออกมาจากห้องนอนและตรงลงมายังห้องรับแขก และแล้วฆาตกรก็ยิงปืนใส่เธอจากด้านนอกสองครั้ง กระสุนเข้าที่หน้าและปากของเธอแต่ก็แค่เฉี่ยว และเธอหลบกระสุนได้ ก่อนที่จะหนีออกจากที่เกิดเหตุเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง ภรรยาของสตาร์กได้รับความช่วยเหลือและรอดชีวิตมาได้ จากนั้นก็มีการส่งทีมไล่ล่าฆาตกรทำการค้นหาบริเวณที่เกิดเหตุ หากแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พบตัวฆาตกร ซึ่งหายตัวเหมือนกับล่องหน ทิ้งไว้แต่รอยเท้าย่ำบนโคลนปรากฏอยู่บนพื้นดิน รอยเท้านั้นย่ำไปรอบ ๆ บริเวณบ้าน จากการตรวจสอบรอยและวิถีกระสุนจากบาดแผลของสตาร์ก พบว่ามันมาจากกระสุนจากกระบอกปืน .22 กึ่งอัตโนมัติ ซึ่งไม่ใช่ .32 รีโวลเวอร์ ซึ่งเป็นอาวุธที่ฆาตกรใช้ในการฆาตกรรมต่อเนื่องก่อนหน้า แต่กระนั้นคดีฆาตกรรมเวอร์กิล สตาร์กก็เชื่อมโยงว่าเป็นฝีมือของแฟนธ่อมในที่สุด



สองวันต่อมา มีการพบศพของชายคนหนึ่งบนรางรถไฟทางทิศเหนือของเท็กซาร์คาร์นา จากการตรวจสอบหลักฐานของผู้ตายพบว่า ชายคนนี้ชื่อ เอิร์ล แมคสแปดเดน อย่างไรก็ตามคดีนี้นี้ตำรวจไม่สามารถพันธงได้ว่าเป็นฝีมือของแฟนธ่อมหรือไม่เพราะสาเหตุการตายของแมคสแปดเดนคือถูกแทงตาย ก่อนศพของเขาจะถูกลากมาวางบนรางรถไฟ ซึ่งแตกต่างจากวิธีการฆ่าเหยื่อของแฟนธ่อมก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง หากแต่ระยะเวลาและสถานที่เกิดเหตุเกิดขึ้นในพื้นที่เท็กซาร์คาร์นาทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งยังคงเชื่อว่าแมคสเปดเดนเป็นหนึ่งในเหยื่อของแฟนธ่อมในที่สุด

มีการวิเคราะห์แฟนธ่อม คิลเลอร์ว่า ฆาตกรคดีนี้นอกเหนือจากจะมีนิสัยเลือดเย็นแล้ว ฆาตกรน่าจะมีประวัติโดนผู้หญิงหักอก และมีความอิจฉาริษยาผู้ชายที่ประสบผลสำเร็จในเรื่องความรัก การฆ่าของฆาตกรรายนี้ไม่ใช่เพื่อความพึงพอใจทางเพศ แต่เขาฆ่าเพื่อระบายความโกรธแค้นของตัวเองมากกว่า

แม้คดีนี้จะเป็นปริศนา แต่ก็มีผู้ต้องสงสัยคนสำคัญหลายรายที่ตำรวจสงสัยเหมือนกัน โดยผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจสงสัยที่สุดคือ ยูล สวีนนีย์ อายุ 29 เป็นนักขโมยรถ ปลอมแปลงเอกสาร ย่องเบาและทำร้ายร่างกายผู้อื่น อาศัยอยู่ในเมืองเท็กซาร์คาร์นา ถูกจับกุมเมื่อเดือนมิถุนายน 1946 โดยตอนแรกตำรวจไม่สงสัยสักนิดว่าสวีนนีย์เป็นแฟนธ่อมฆาตกรโรคจิตที่ชอบฆ่าหนุ่มสาว หากแต่ภรรยาของสวีนนีย์ได้ให้การใส่ร้ายสามีตนเองว่า “สามีคือแฟนธ่อม” โดยอ้างว่าเธออยู่กับสามีตลอดในระหว่างที่สามีทำการฆาตกรรมเหยื่อในคดีของแฟนธ่อม จากนั้นเธอก็เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการฆ่าเหยื่อของสามี อย่างไรก็ตามตำรวจไม่ค่อยเชื่อปากคำของเธอเท่าไรนัก เพราะหลายจุดที่เธอตอบไม่ตรงกับข้อมูลที่ตำรวจรู้ ทางด้านสวีนนีย์เองก็ถูกสอบสวนในคุกที่ลิตเติ้ล ร็อคแต่ผลสุดท้ายความผิดของเขาที่ได้รับมีเพียงข้อหาขโมยรถในเท็กซัสและปลอมแปลงเอกสารเท่านั้น และถูกพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ในปี ค.ศ. 1947 และในช่วงนี้เองที่แฟนธ่อมก็หายหน้าหายตา ไม่ออกมาฆ่าคนอีกเลย

ในปี 1970 สวีนนีย์ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวเขา ผลคือคำร้องของเขาถูกตอบรับ และเขาถูกปล่อยตัวในปี 1947 และตายในปี 1994 ส่วนคดีของแฟนธ่อมไม่ถูกนำกลับไปพิจารณาหรือสอบสวนอีกหลาย คดีถูกปิดแฟ้มหลังจากสวีนนีย์ตาย แม้ว่าในปี 2006 คดีนี้ถูกนำไปปัดฝุ่นและพิจารณาคดีใหม่หากแต่ก็สายเกินไปแล้ว เพราะพยานและผู้ต้องสงสัยหลายรายไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

เรื่องราวของแฟนธ่อม คิลเลอร์ถูกนำไปสร้างภาพยนตร์พอสมควร เช่น วิลเลี่ยม ที รัสมุสเซ่น (William T. Rasmussen) ได้เขียนนิยายเรื่อง Corroborating Evidence II (2006), ซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกับเรื่องของแฟนธ่อมแห่งเท็กซาร์คาร์นาและ โซติแอคฆาตรกรต่อเนื่องแห่งแคลิฟอร์เนีย (และไม่เคยถูกจับด้วย) ในช่วงปี 1960 และ 1970 และก็ยังมีหนังหนัง The Town That Dreaded Sundown (1977) ของ American International Pictures เป็นหนังสืบสวนที่มีเรื่องของฆาตกรแฟนธ่อมโดยเฉพาะ นอกจากนี้ก็มีวงการเพลงก็มีวง "Texarkana Moonlight" แต่เนื้อหาเพลงนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นยังไง



Cr. CAMMY // Writer.Dek-d.com








 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 15:43:19 น.
Counter : 1618 Pageviews.  

1  2  3  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.