เรย์ยอมรับเรื่องการสังหารแม่ลูกดาวน์นิ่งและพรรณนาว่า มันเป็นฝันสยองที่เกินอำนาจควบคุม แต่ในคดีฆ่าแม่ม่ายเฒ่าเจเน็ต เฟย์ เรย์โยนความผิดให้มาร์ธารับไปคนเดียวเต็ม ๆ เฟย์ตายบนตักกว้างมโหฬารของมาร์ธา ตอนที่เธอถูกฆ่านั้นผมไม่ได้อยู่ด้วย เรย์ตีหน้าซื่อบริสุทธิ์เมื่อย้อนถามทุกคนว่า ผมน่ะรึ? ผมไม่เคยฆ่าใครสักคนแมลงวันสักตัวยังไม่เคยกล้าทำให้มันเจ็บเลย แต่ผู้หญิงคนนั้นมันชั่วร้าย..สมควรตาย ตลอดเวลา 2 วัน เรย์ขึ้นให้การอย่างยโสและปฏิเสธข้อกล่าวหาทุกประการ จากนั้นก็ถึงตามาร์ธาบ้าง!!
การให้การของเธอนั้น เป็นที่จับตามองของประชาชนมาก ด้วยเหตุนี้วันที่ 25 กรกฎาคม บริเวณหน้าศาลเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดที่เบียดเสียดแย่งที่เพื่อมาฟังคดีจนเกือบจะเป็นการจลาจล และแล้วมาร์ธาก็ถูกผู้คุมนำตัวออกมา ท่าทีของเธอดูเหมือนพอใจมาก ราวกับนางเอกหนังฮอลลีวู้ดที่กำลังเดินบนพรมแดงฝ่าฝูงชนและเสียงโห่ร้องของประชาชนนับพัน เพื่อรับรางวัลตุ๊กตาทองบนวีทีออสการ์ มาร์ธาอยู่ในอารมณ์ความฝันแบบนี้อยู่ 15 นาทีเต็ม ๆ แล้วเธอก็ถูกนำมาเข้าคอกพยาน เหมือนกับของเรย์ เธอยอมรับสารรภาพเรื่องฆ่า เจเน็ต เฟย์ ไป เพราะรู้ดีว่ารัฐมิชิแกนไม่มีโทษถึงประหารชีวิต แต่ที่ต่างกับเรย์คือ เธอให้การด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกและแสดงท่าทางราวกับว่าเป็นนางเอกละครเศร้าบนวีที มาร์ธาทำท่าน่าสงสารบอกว่าเธอพยายามฆ่าตัวตายถึง 6 ครั้งเพราะความเจ้าชู้ของเรย์มอนด์ เฮอร์เบิร์ต โรเซนเบิร์ก ทนายความของจำเลย พยายามชี้ให้เห็นความผิดปกติของจิตใจของมาร์ธาว่า มันยากมากที่เธอจะแยกความจริงออกจากจินตนาการ เขาถามเธอถึงเรื่องฆ่าตัวตายว่าตอนนี้เธอยังคิดเช่นนั้นอยู่หรือเปล่า? ด้วยน้ำตานองหน้า มาร์ธาตอบว่า ทุกวันเลยค่ะ ในวันสังหารแม่เฒ่าเฟย์ มาร์ธาเล่าว่า เธอทะเลาะกันเพราะต่างกำลังหึงหวงเรย์กันอย่างเต็มที่ แม่เฒ่าเฟย์ตบหน้ามาร์ธาอย่างเต็มแรง เสียงดังฉาด! สนั่น พลันสมองของมาร์ธาว่างเปล่าชั่วขณะ พอมารู้สึกตัวอีกทีเมย์เรย์จับบ่าสองข้างของเธอเขย่าไปมา พอมองลงไปก็เห็นเฟย์นอนกองทับอยู่บนกระเป๋าเสื้อผ้า คอห้อยพับ หักจนหมุนได้รอบ เธอตายแล้ว......
มาร์ธาให้การถึงเรย์ซึ่งเธอให้คำเรียกแทนเขาตลอดเวลาว่า ยอดรัก สุดหัวใจ สุดที่รัก....เขาไม่ได้ไปแตะต้องหรือห้ามเลือดที่คอของหญิงชรา จนรู้แน่ว่าเธอตายสนิทจึงเอาผ้าไปพันรอบคอนั้นให้เลือดหยุดไหล ซึ่งเป็นคำให้การขัดแย้งกับผลชันสูตรศพที่เจ้าพนักงานชี้สาเหตุการตายว่า เพราะกะโหลกแตก และกระดูกคอหักจนทิ่มออกมานอกเนื้อ คณะลูกขุนประกอบด้วยผู้ชาย 10 ผู้หญิง 2 คน หลังพิจารคดีมาเป็นเวลา 68 วัน และใช้งบประมาณรัฐนิวยอร์กไปร่วมล้านดอลลาร์ ก็ตัดสรุปผลวันที่ 22 สิงหาคม คือให้ประหารชีวิตทั้งคู่ ผู้พิพากษาเปโกราส่งตัวทั้งสองไปเข้าแถวรอคอความตายทีเรือนจำซิงซิง (New Yorks Sing Sing)
รักแท้
จะอย่างไรก็ดี มาร์ธา เบค และเรย์มอนด์ เฟอร์นันเดซ ต้องรอคอยวันตายอยู่ในเรือนจำแห่งนั้นถึง 2 ปี เนื่องจากทนายจำเลยพยายามยื่นอุทธรณ์ทำให้การประหารต้องเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ ในระหว่างนั้นสื่อก็เลยบ่นข่าวของนักโทษทั้งสองออกมาเป็นระยะ ๆ ตอนแรกผู้พิพากษา เปโกรา กำหนดวันประหารสองนักโทษไว้ที่ 31 สิงหาคม 1950 แต่เมื่อมีการอุทธรณ์ การประหารจึงต้องเลื่อนออกไป
11 กรกฎาคม ศาลอุทธรณ์แห่งนิวยอร์ก ยืนยันคำตัดสินประหารชีวิตและแนะนำทนายจำเลยให้เฟอร์นันเดชด้วยเหตุผลที่ว่า การที่มาร์ธากับเรย์ใช้ทนายคนเดียวกันทำให้เกิดปัญหามาโดยตลอดดังนั้นจึงควรมีทนายเป็นของตนเอง
18 สิงหาคม ศาลสูงแห่งรัฐเลื่อนกำหนดวันประหารอีกครั้ง ราว ๆ เดือนมกราคม 1951 มีการกำหนดวันประหารชีวิตแล้ว แต่ก็มีการยื่นอุทธรณ์ด้วยสำนวนคดีใหม่ทั้งหมดอีกจนได้
8 มีนาคม 1951 หลังจากอุทธรณ์ทั้งสองครั้งล้มเหลว มาร์ธาและเรย์ก็ได้รู้วันตายที่แน่นอนของตน ระหว่างที่ทั้งคู่ถูกจำคุกรอการประหารที่คุกซิงซิง พวกเขาเขียนติดต่อกันด้วยจดหมายหลายฉบับ บางครั้งก็พร่ำพรรณาถึงความรักที่มีต่อกัน บางครั้งก็ทะเลาะราวกับจงเกลียดจงชังกัน หรือบางครั้งก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อกันเลย (เรย์มอนด์เขียนจดหมายถึงภรรยาของเขาที่สเปนด้วยว่าเขารักเธอจนวินาทีสุดท้าย)
วันที่ 8 มีนาคม 1951 เป็นวันประหารของเขาทั้งสอง แต่ก่อนจะถึงวันประหาร จะต้องมีอาหารมื้อสุดท้ายก่อนโดยอาหารมือสุดท้ายของมาร์ธาถูกนำมาเสิร์ฟ 2 ที่ เธอกินคนเดียว คือ ไก่ทอด มันฝรั่งและผักสลัด เธอกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนทางด้านเรย์เขาขอแค่ออมเลตแบบสเปน และอัลมอนต์ไอศกรีม แต่พอมาเสิร์ฟ เขากลับกินไม่ลง และปฏิเสธไม่ยอมสูบซิการ์คิวบา สองชั่วโมงก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า เรย์มอนด์ เฟอร์นันเดซ ก็ขอเขียนจดหมายรักถึงมาร์ธา ฉันอยากจะตะโกนออกมาให้ดังที่สุด...ฉันรักเธอมาร์ธา...พวกประชาชน เขารู้จักรักกันดีไหมนะ มาร์ธา สาวอ้วนน้ำตาคลอเบ้า เธอเพิ่งพบความสุขแท้จริง เธอโผเข้ากอดผู้คุมของเธออย่างสุดจะปลื้มปีติ ฉันเป็นอิสระแล้ว....ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเรย์มอนด์รักฉัน
คุณรู้มั้ยค่ะ ฉันสามารถจะเดินเข้าสู่ความตายของฉันด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุขเป็นที่สุด
มาร์ธาขอเขียนจดหมายครั้งสุดท้าย ไม่สำคัญเลยว่าใครจะว่าอย่างไร เรื่องราวของฉันคือเรื่องราวของความรัก แต่มีเพียงผู้ที่ทรมานเพราะรักเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใจได้ว่าฉันหมายถึงอะไร ใคร ๆ อาจมองเห็นฉันในร่างของผู้หญิงอ้วนที่ไร้ความรู้สึกรู้สม จริงล่ะ ฉันอ้วน ฉันไม่อยากปฏิเสธได้หรอก แต่ถ้าหากมันเป็นอาชญากรรมล่ะก็......เซ็กซ์ของฉันมันผิดมากมายแค่ไหนเชียวหรือหรือ? ฉันไม่ได้เป็นคนปราศจากความรู้สึก โง่หรือปัญญาอ่อนเรือนจำและเคหาสน์แห่งความตาย ทำได้แค่เพิ่มพูนความรักของฉันต่อเรย์มอนด์ แล้วในประวัติศาสตร์โลก มีอาชญากรรมกี่รายที่ถูกกล่าวอ้างให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความรักของเขา คำพูดและข้อคิดสุดท้ายที่ฉันจะฝากไว้ก็คือ มนุษย์คนใดที่แน่ใจว่าไม่เคยทำผิดทำบาปเลย....ขอเชิญมนุษย์คนนั้นหยิบก้อนหินก้อนแรกซึ่งจะขว้างมาประหารชีวิตคนผิดอย่างฉัน
จดหมายของเรย์มอนด์ไม่หวานเท่ามาร์ธา เขาเขียนว่า ผมกำลังจะไปตาย ไม่เป็นไร ก็อย่างที่คุณรู้นั่นแหละว่าผมเตรียมตัวพร้อมมาตั้งแต่ 1949 โน่นแล้ว ฉะนั้นคืนนี้ผมจะตายเยี่ยงลูกผู้ชายคนหนึ่ง
วันที่ 8 มีนาคม 1951 คืนวันนั้น มีนักโทษประหารทั้งหมด 4 ราย และกำหนดให้ทำการประหารรายแรกห้าทุ่มสองนาที ต่อคิวกันไปจนถึงรายสุดท้ายในเวลาห้าทุ่มยี่สิบสี่นาที....ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเนื่องจากการประหารชีวิตที่ประชาชนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม หนังสือพิมพ์เลยมาทำข่าวอย่างละเอียดแทบทุกนาทีนักโทษรายแรกที่ขึ้นเก้าอี้ไฟฟ้าคือ จอห์น เจ.คิง ตามด้วยริชาร์ด พาวเออร์ ทั้งคู่อยู่ในวัย 22 ปี เช่นกัน ถูกตัดสินประหารในข้อหาร่วมมือสังหาร วิลเลี่ยม ฮูป ช่างเทคนิคไฟฟ้าในปี 15 มีนาคม 1950 คนที่สามก็คือ เรย์มอนด์ผู้ที่บาทหลวงคาทอลิก นำเขาไปส่งถึงเก้าอี้ไฟฟ้า เมื่อเขานั่งลงเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็สับสวิตช์ เรย์มอนด์ตายในการสับสวิตช์ลงครั้งเดียว เรย์อายุ 35 หมดลมหายใจ สิบสองนาทีต่อมา บาทหลวงนิกายโปรเตสแตนต์ก็นำมาร์ธามาที่เก้าอี้ตัวนี้ เธอนั่งลงไม่ได้เพราะอ้วนเกินไป เจ้าหน้าที่เรือนจำต้องมาช่วยจัดท่านั่งให้เธออย่างทุลักทุเล กระนั้นก็ยังยัดน้ำหนักลงในเก้าอี้ประหารไม่ได้ ในที่สุดต้องให้เธอนั่งเอียง ๆ โดยวางสะโพกข้างหนึ่งล้นพาดขึ้นมาบนที่วางแขน
ไม่รู้เป็นเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้กระแสไฟฟ้าแรงสูงไม่สามารถฆ่ามาร์ธาได้ในการสับคัตเอาต์ลงแค่ครั้งเดียว น่าสงสารมาร์ธาเธอทุกข์ตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย การตายโดยเก้าอี้ไฟฟ้านั้นทำให้เธอต้องทุรนทุรายทรมานสุดแสนสาหัส กว่าจะขาดใจตายสนิทเมื่อเพชฌฆาตสับสวิตช์ครั้งที่ 4 กระแสไฟฟ้าสองล้านโวลต์ ทอด มาร์ธาจนกรอบ และสุกไปทั่วด้วยไขมันเปลวที่ละลายเดือดเยิ้มของเธอเอง เป็นอันว่า มาร์ธา เบค สิ้นอายุด้วยวัย 32 ปี ตามเรย์มอนด์สุดที่รักของเธอ ซึ่งตายบนเก้าอี้ไฟฟ้าตัวเดียวกันเมื่อไม่ถึงยี่สิบนาทีก่อนหน้านี้ ส่วนโจเซฟ ฟรานเซส เพชฌฆาตที่ทำหน้าที่ประหารชีวิตนักโทษทั้ง 4 คน ก็ได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับคืนนี้ไป 600 ดอลลาร์
บันทึกในแผ่นฟิล์ม
เรื่อง The Honeymoon Killers 1970 ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่กล่าวถึงมาร์ธากับเรย์ เพราะเกือบครึ่งศตวรรษต่อมาเรื่องราวความรักของมาร์ธาและเรย์ยังตราตรึงในรูปแบบของภาพยนตร์หลายเรื่องแถมแต่ละเรื่องเป็นหนังดีซะด้วย ซึ่งแน่นอนหนังแนวฆาตกรนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนสร้างหรอก ขอให้แสดงเล่นดีหนังก็ดังเมื่อนั้น
เรื่องแรก The Honeymoon Killers (1969)
หนังกำกับโดยเลียวนาร์ด คาสเทิล ที่ทำหน้าที่แทนมาร์ติน สกอร์เซซี ผู้ผละไปเพราะทะเลาะกับโปรดิวเซอร์ ดารานำคือ เซอร์ลี่ย์ สโตเลอร์ และโทนี่ โลเบียงโก แสดงเป็นฆาตกรโหด มาร์ธาและเรย์ ซึ่งหนังเรื่องนี้ถูกแบนในหลายๆ เมือง หลายประเทศ เพราะหนังมันสยองรุนแรงและสะเทือนใจ แต่อย่างไรก็ตามหนังนี้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนังเกรด B ที่ยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะนางเอกกับพระเอกที่แสดงเยี่ยมมาก ๆ นอกจากหนังเรื่องนี้ยังถูกนำมาแซวในหนังหรือการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ อีก โดยฉากคนผอมกับคนอ้วนจูบกันอย่างดูดดื่มนั้นแหละคือเขาแซวมาร์ธากับเรย์
เรื่องที่สอง Profundo Carmesi (1996)
กำกับโดยชาวเม็กซิกัน อาร์ตูโร ริปสไตน์ เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูง กวาดมาแล้วทุกสาขา ในฐานะภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เทคนิคต่าง ๆ ในการประกวดภาพยนตร์ประเทศเม็กซิโกไปถึง 8 รางวัล รวมทั้งนักแสดงนำฝ่ายชาย-ฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม พระเอกคือดาเนียล กิเมเนซ เล่นเป็นเรย์ และนางเอกเรจิน่า โอรอซโก แสดงเป็นมาร์ธาซึ่งเมื่อเอาหนังเรื่องนี้แปลเป็นอังกฤษ ฆาตกรคู่นี้ถูกเรียกว่า "ฆาตกรหัวใจเปล่าเปลี่ยว (Lonely Hearts Killers)"