4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 
เฟร็ด และโรสแมรี่ เวสท์ : นรกกลางเมือง

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2537 นับเป็นวันสิ้นสุดของฝันร้ายและนรกที่เกิดขึ้นในบ้านสามชั้นธรรมดา ๆ เลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ กลางเมืองโกสเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ



❂ นรกกลางเมือง
บ่ายวันที่ 24 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ได้ไปพบนายเฟรเดอริค เวสท์ หรือเฟร็ด เจ้าของบ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ กลางเมืองโกสเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ แทนที่เขาจะพบเจ้าของบ้าน เขากับพบโรสแมรี่ เวสท์ หรือโรส ภรรยาร่างใหญ่ ท่าทางหงุดหงิดของเขาแทน "มาทำไมไม่ทราบ" เธอถามตำรวจ "นี้ตำรวจ เราต้องการค้นบ้านคุณเดี๋ยวนี้" เมื่อตำรวจยื่นหมายค้นให้ดู เธอรีบโทรศัพท์ไปบอกเฟร็ดทันที "รีบกลับบ้านเถอะคุณ ตำรวจกำลังขุดสวน เพื่อหาเฮเธอร์" เธอบอกเฟร็ด เมื่อเขารับโทรศัพท์มือถือในรถ เฟร็ดชายผมดำหน้าตาคล้ายมนุษย์วานร ไม่รู้สึกวิตกกังวลกับข่าวนี้มากนัก เพียงแต่กลัวว่า หลังจากขุดลานหินอันสวยงามในสวน เพื่อหาศพของบุตรสาวของเขาขึ้นมาแล้ว ตำรวจอาจปล่อยทิ้งไว้โดยไม่เก็บกวาดให้เรียบร้อยแค่นั้นเอง ก่อนที่เขาจะกลับบ้าน เขาแวะไปที่สถานตำรวจ เพื่อบอกตำรวจว่า เขากับโรสไม่เคยได้ข่าวเลยว่า เฮเธอร์หายไปไหน แต่เขากับโรสไม่ได้กังวลอะไร "มีเด็กหญิงมากมายที่หายไป และเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่หมด แล้วก็หันไปหากินเป็นเป็นโสเภณี และติดยา" เขาอธิบายก่อนที่หายตัวไปชั่วคราวก่อนที่ปรากฏตัวในเช้ารุ่งขึ้น โรสถูกซักถามอยู่ที่บ้าน ให้การกับตำรวจในลักษณะคล้าย ๆ กันตลอดทั้งคืน จนกระทั้งเฟร็ดมาถึงและเดินตรงเข้าไปที่รถตำรวจและพูดขึ้นว่า "ผมฆ่าเธอเองแหละ" เขาบอกกับจ่าเฮเซิล ซาเวจ และเมื่อเชิญเขาไปโรงพัก เฟร็ดพูดถึงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการกำจัดร่างของบุตรสาว "ผมใช้วิธีหั่นร่างของเฮเธอร์ออกเป็นสามท่อน แล้วฝังมันไว้ แต่ขอย้ำว่าโรสภรรยาผมไม่รู้เรื่องด้วยเกี่ยวกับการฆาตกรรมในครั้งนี้"


แต่เพียง 20 นาที ต่อมา เฟร็ดก็กลับคำให้การปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง "เฮเธอร์ความจริงแล้วเธอยังมีชีวิตอยู่ บางที่เธออาจอยู่ที่บาร์เรน ทำงานเป็นเอเยนต์ค้ายาเสพติด เธออาจมีรถเบนซ์ขับพร้อมโซเฟอร์ และอาจทำสูติบัตรใหม่แล้ว" และเฟร็ดยังบอกตำรวจให้ขุดค้นบ้านเขาทุกจุดได้เลย และดูทุกที่เท่าที่จะดูได้ แต่พวกเขาคงไม่มีวันพบเฮเธอร์แน่นอน เมื่อตำรวจทำการขุดสวนบ้านของเฟร็ด พวกเขาพบโครงกระดูก 3 ชิ้น แต่เมื่อทำการชันสูตรวิเคราะห์กลับไม่ใช่ของเฮเธอร์ เมื่อเฟร็ดทราบเรื่องการพบโครงกระดูก เขากลับสารภาพอีกว่าเขานี่แหละที่เป็นคนฆ่าลูกสาวของตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็บอกว่าไม่มีกระดูกคนอื่นถูกฝังที่สวนนั้นอีกแน่นอน เขาให้การว่า


"คืนนั้นผมทะเลาะกับเฮเธอร์จอมรั้น เรื่องอะไรก็ไม่รู้สิ จนผมเผลอตบหน้าเธอเข้าไปฉาดใหญ่ เพราะความโอหังของเธอ แต่เธอยังหัวเราะผมอีก ผมจึงโกรธแล้วบีบคอเธอ เพื่อให้เธอหยุด แต่คงทำแรงไปหน่อย เธอจึงหน้าเขียวคล้ำ และขาดใจตายคามืออยู่ตรงนั้น ผมพยายามช่วยเธอให้เธอฟื้น แต่ผมไม่เก่งและไม่เคยฝึกปฐมพยาบาลมาก่อนน่ะ เลยลากเธอมาที่อ่างน้ำและเปิดน้ำเย็นรดตัวเธอแล้วถอดเสื้อเธอออก และเช็ดตัวให้แห้ง แต่เธอก็ไม่ฟื้น ผมเลยเอาร่างเธอยัดลงขยะ แต่ยัดยังไงก็ไม่ลง 


"จู่ ๆ ผมก็เกิดความคิดได้ว่าน่าจะทำให้เธอตัวเล็กลงจะดีกว่า แต่ก่อนอื่น ผมต้องใช้ถุงน่องมารัดคอเธอให้แน่นก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าเธอตายจริง ๆ ผมไม่ต้องการแตะต้องตัวเธอ หรือทำอะไรลงไป ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่คือผมหมายความว่า ผมไม่อยากให้เธอรู้สึกตัวขึ้นมา ขณะที่กำลังเชือดแขนเชือดขาเธออยู่น่ะครับ" เขาใช้มือปิดตาของเฮเธอร์ ก่อนจะลงมืดเชือด "ถ้าเกิดมีใครอยู่ตรงนั้น และมองคุณอยู่ตรงนั้น คุณคงไม่สามารถใช้มืดเชือดเขาได้แน่ ใช่ไหมล่ะ เมื่อผมใช้มีดขนาดใหญ่เลาะกระดูกที่ต้นคอ และตัดหัวเธอ ผมได้ยินเสียงน่ากลัวบางอย่าง เหมือนเสียงคนขบฟันกรอด ๆ มันน่ากลัวมาก แต่ทันทีผมเด็ดหัวเธอออก ผมเริ่มตัดขา โดยจับขาเธอบิดก่อน จนเสียงกระดูกลั่น และข้อต่อขาหมุนไปมาได้ ผมตัดเธอออกเป็นชิ้น ๆ แล้วก็นั้นแหละผมเลยจับเธอใส่ลงขยะได้"


จากนั้นเฟร็ดยังเล่าว่าฝังศพเธอในสวนที่บ้าน หลังจากคนอื่น ๆ ในครอบครัวหลับกันหมดแล้ว เฮเธอร์เธอยังอยู่ในสวนอยู่อย่างสงบนิ่งไม่มีใครรบกวนมาถึง 7 ปี รวมถึงคนอื่น ๆ ด้วย! เพราะจากการขุดสวนค้นบ้านของเฟร็ดพบว่ามีศพมากกว่า 1 ศพขึ้นไป ปรากฏขึ้นมานับไม่ถ้วน ในจำนวนศพเหล่านั้นครั้งหนึ่งตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นลูกของเฟร็ดด้วย และเป็นไปได้สูงที่โรสภรรยาจะทำการช่วยเหลือเฟร็ดสามีสุดที่รักในการลงมือฆ่าและกำจัดศพด้วย! บนเกาะอังกฤษมีฆาตกรต่อเนื่องหลายราย แต่ที่น่าสะพรึงกลัวแบบสองสามีภรรยาเฟร็ดกับโรส นั้นมีไม่กี่ราย และนี้เป็นอีกคดีหนึ่งที่มีการนำ Profile (การวิเคราะห์อาชญากรรมโดยอาศัยความรู้สึกหยังรู้) ไปใช้ โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ จนได้ทราบประวัติและความโหดร้ายของครอบครัวเวสท์ในบ้านเล็ก ๆ หลังนั้น พ่อฆ่าลูก! ฆ่าเมีย! ดั่งผักปลา


❂ เฟร็ด เวสท์ มนุษย์วานรจอมบ้ากาม

เฟร็ด เวสท์ เกิดในปี 1941 ที่หมู่บ้านมัชมาร์เซิล ห่างจากกรุงลอนดอนไปทางตะวันตกประมาณ 120 ไมล์ เป็นบุตรในจำนวนลูก 6 คน ของวอเตอร์และเดซี่ เวสท์ เฟร็ด เวสท์ตอนเป็นเด็กนั้นหน้าตาน่ารักมาก ตาคมสีฟ้า ผมสีบลอนด์ แต่ช่วงที่เฟร็ดเป็นเด็กใน 10 ปีที่ผ่านมานั้น พอดีอยู่ในช่วงภาวะสงคราม และอยู่ท่ามกลางภาวะความยากจนในยุโรป ทำให้ครอบครัวขัดสนเรื่องเงินพอสมควร แต่พ่อแม่ก็ยังให้ความรักต่อทุกคนในครอบครัวเท่า ๆ กันตามฐานะความเป็นอยู่ เฟร็ดเป็นเด็กที่รักแม่มาก เขามักเชื่อฟังแม่ทุกอย่างตามที่แม่ขอ และสำหรับบิดา เขาก็ยกย่องนับถือบิดา มาเป็นแบบฉบับเขามาตลอด แต่เมื่อเฟร็ดเติบโตขึ้น จากเด็กน้อยน่ารักกลับกลายเป็นเด็กหน้าลิงคอสั้นไปได้ ผมสีบลอนด์ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม หยิกและยุ่งเหยิง ปากหนา ฟันซี่ห่าง อ้วนตุ๊ตะ และชอบแต่งตัวเชย ๆ


เฟร็ดเป็นเด็กมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนและมักถูกครูเฆี่ยนอยู่เสมอ ทำให้เดซี่พ่อของเขามักไปโวยวายเอาเรื่องกับครูที่โรงเรียนทุกครั้ง แต่แทนที่จะดีขึ้นกับทำให้เพื่อน ๆ ในชั้นต่างล้อเขาว่า "คุณหนู" ทำให้เฟร็ดกลายเป็นตัวตลกของห้องเรียนไปโดยปริยาย และเมื่อทนไ
ม่ไหวเฟร็ดจึงต้องลาออกจากโรงเรียนในที่สุด เมื่อเฟร็ดอายุได้ 15 ปี เขาอ่านหนังสือเกือบไม่ออก และได้ทำงานรับจ้างเป็นคนงานในไร่เฮียร์ฟอร์เชียร์ เมื่ออายุได้ 16 ปี จู่ ๆ เขาพยายามชุบตัวเองให้ดูดีขึ้น เพื่อหวังให้สาว ๆ สนใจ และเริ่มเป็นคนเซ็กซ์จัด บ้ากาม และพร้อมมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้ามที่กล้ำกลายเข้ามาหา เฟร็ดบอกว่าที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะ เขาเอาแบบอย่างพ่อ เพราะเขารู้มาว่าพ่อเขาเคยมีเพศสัมพันธ์กับลูกสาวตนเอง แล้วเขาก็อ้างกับหลักปรัชญาที่ไม่รู้ว่าเขาหรือพ่อเป็นคนคิดมาว่า "ฉันทำให้เธอเกิดมาได้ ฉันย่อมมีสิทธิที่จะได้เธอไว้" ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาพูดเป็นจริงหรือเปล่า แต่เขานำคติประจำใจนี้ไปใช้กับลูกของเขาในอนาคตข้างหน้า เมื่อเฟร็ดอายุ 17 ปี เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ต้องอยู่ในห้องไอซียูอยู่นานหลายสัปดาห์ ต้องผ่าตัดฝังแผ่นโลหะไว้ในศีรษะแทนแผ่นกระโหลกหลายส่วนที่แตกละเอียด กระดูกหักจนเป็นเหตุให้ขาของเขาสั้นไปข้างหนึ่ง และผลจากบาดแผลที่ศีรษะในครั้งนี้ทำให้เฟร็ดกลายเป็นคนฉุนเฉียวง่ายและเจ้าอารมณ์


❂ แคเธอรีน เบอร์นาเด็ท คอสเตลโล
หลังจากฟื้นจากอาการเจ็บป่วย เฟร็ดได้พบกับแคเธอรีน เบอร์นาเด็ท คอสเตลโล หรือเรียกกันเล่น ๆ ว่า "รีนา" เด็กสาวมีปัญหา ริเป็นโจรตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่ตกหลุมรักในทันใด แต่รักกันไม่นาน รีนาก็กลับบ้านที่สก็อตแลนด์ หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เฟร็ดเบนความสนใจไปที่สาวอื่นทันทีตามประสาเสือผู้หญิง มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบตายเพราะผู้หญิงเพราะเขาเอามือแอบล้วงไปใต้กระโปรงของสาวน้อยคนหนึ่งจนถูกตบ จนเขากลิ้งตกจากบันไดหนีไฟ จนหมดสติไป


ในปี 1961 เฟร็ดกับเพื่อนได้ก่อคดีขโมยสายนาฬิกากับกล่องใส่บุหรี่จากร้านขายเครื่องเพชร และหลังจากนั้นไม่นานนักเขากับเพื่อนถูกจับพร้อมกับของกลาง แต่เจ้าของร้านไม่เอาเรื่อง เรื่องจึงจบด้วยแค่เทียบปรับ แต่อีก 2-3 เดือนต่อมา เฟร็ดถูกกล่าวหาว่า ทำเด็กหญิงอายุ 13 ปี ตั้งครรภ์ " ใคร ๆ ก็ทำอย่างนี้ไม่ใช้เหรอ?" เฟร็ดกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน เรื่องอื้อฉาวนี้ ทำให้เฟร็ดถูกเฉดหัวออกจากบ้าน จนต้องออกไปประกอบอาชีพเป็นคนงานก่อสร้าง แต่อีกไม่นานก็ถูกจับอีกครั้งในข้อหาลักเล็กขโมยน้อยในสถานที่ก่อสร้างและมีเพศสัมพันธ์กับเด็กสาวอายุต่ำกว่าตนเองหลายคน แต่เรื่องก็จบลงเมื่อเฟร็ดพ้นโทษจากการติดคุก โดยแพทย์ประจำตัวบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะ เขาเป็นโรคลมชัก
เมื่อเฟร็ดอายุ 20 ปี เฟร็ดก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาเดิม ๆ อีก คือข้อหาข่มขืนเด็กและลักทรัพย์ นำมาซึ่งความอัปยศสู่ครอบครัวเวสท์เป็นอย่างมาก ปี 1962 เฟร็ดกลับมาอยู่กับมัช มาเซิล เพราะพ่อแม่เขาหายโกรธ และในฤดูร้อนปีเดียวกัน รีนา คอสเตลโล แฟนสาวก็กลับมาจากสก๊อตแลนด์เหมือนกัน และเธอกลับมาหาเฟร็ดอีกครั้ง พร้อมกับท้องโย้เย้ที่เกิดกับใครก็ไม่รู้มาด้วย ไม่นานในเดือนพฤศจิกายน ทั้งสองก็แต่งงานกันลับ ๆ และย้ายกลับไปที่สก๊อตแลนด์ เดือนมีนาคม 1963 รีนาก็คลอดลูกออกมา และเฟร็ดทำงานรับจ้างเป็นคนขับรถขายไอศกรีม ชีวิตแต่งงานของรีนาไม่มีความสุขเลย เพราะเธอต้องทำหน้าที่ปรนเปรอสวาทกับเฟร็ดสามีของเธอบ่อยครั้ง เฟร็ดเป็นพวกชอบออรัลเซ็กซ์เสียด้วยสิ ชอบเฆี่ยนตีแบบซาดิสม์ และชอบร่วมเพศทางประตูหลัง ทำตลอดเวลา ไม่ว่ากลางคืนกับกลางวัน


ปี 1964 รีนาให้กำเนิดลูกสาวกับเฟร็ดคนหนึ่งชื่อ แอนนา มารี แต่ชีวิตหลังการแต่งงานก็ยังคงลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนเดิม ไม่กี่เดือนหนังจากรีนาให้กำเนิดลูกสาว เฟร็ดถูกไล่ออกจากงาน เพราะดันขับรถไปชนคนตายเข้า เฟร็ดต้องหาอาชีพใหม่เป็นคนงานในโรงฆ่าสัตว์ ที่โรงฆ่าสัตว์นี้เอง เฟร็ดเริ่มคุ้นเคยกับซากศพ กลิ่นคาวเลือด การชำแหละซากศพ การแยกชิ้นส่วนศพ จนชำนาญแบบไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันชีวิตการสมรสระหว่างรีนากับเฟร็ด เริ่มคลอนแคลนมากขึ้น รีนาต้องการแยกทางจากเฟร็ดและต้องการให้ลูกสาวทั้งสองกลับไปอยู่เมืองกลาสโกว์ประเทศสก็อตแลนด์ด้วย แต่เฟ่ร็ดไม่ยอม ทำให้รีนาต้องกลับบ้านตามลำพัง

เดือนกรกฎาคม 1966 รีนาหวนคืนที่โกลเชสเตอร์อีกครั้ง แต่มางวดนี้เธอพบว่าเฟร็ดอยู่กินกับแอนนา แมคฟอล แฟนสาวของเหยื่อที่โดนรถขายไอศกรีมที่เฟลดขับชน! รีนาต้องการลูกกลับมาเลี้ยง และพยายามต่อสู้ โดยอ้างว่าเขาไม่เหมาะสม เพราะความผิดปกติในกามนิสัย และในช่วงนี้เอง จู่ ๆ ก็มีคดีข่มขืนต่อเนื่องขึ้นในพื้นที่โกลเชสเตอร์ถึง 8 คดี ทั้งหมดถูกกระทำโดยชายหนึ่งคน ชายที่หน้าตาเหมือนกับเฟร็ดราวกับแกะ




❂ เหยื่อรายแรก
การฆาตกรรมครั้งแรกของเฟร็ด เกิดขึ้นในปี 1967 เหยื่อไม่ใช่ใครที่ไหน แอนนา แมคฟอล แฟนคนที่สองของเฟร็ดนั้นแหละ เรื่องของเรื่องคือเธอท้องกับเฟร็ด และอยากให้แต่งงานอย่างเป็นทางการ แต่เฟร็ดไม่เห็นด้วย จึงทะเลาะกันยกใหญ่ และเกิดเผลอฆ่าเธอทิ้ง และเฟร็ดก็กำจัดศพเธอโดยการชำแหละศพออกเป็นชิ้น ๆ แล้วฝังไปพร้อมทารกในท้อง ใกล้ ๆ ลานจอดรถของเขา และนี่เลยกลายเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวของเขา ในการก่ออาชญากรรมต่อเนื่องแบบฆ่าหั่นศพ และฝังลงดินในเวลาต่อมา การตายของแอนนา ทำให้เฟร็ดหันมาคืนดีกับรีนาอีกครั้ง แต่เป็นในฐานะแมงดาเกาะกินแทน เพราะเขาสั่งให้เธอออกหากินเป็นโสเภณี เอาเงินมาให้เขาใช้



❂ เหยื่อรายที่สอง
มกราคม 1964 สาวน้อย แมรี่ บาสท์โฮล์ม วัย 15 ปี พนักงานเสิร์ฟประจำร้านป๊อปอิน หายตัวไปอย่างลึกลับจากป้ายโดยสารรถประจำทางในเมืองบาสท์โฮล์ม และไม่มีใครพบเจอเธออีกเลย ไม่ว่าเป็นหรือตาย มีพยานคนหนึ่งให้การในเวลาต่อมาว่า เขาเห็นแมรี่อยู่ในรถของเฟร็ด! เพราะจำได้ว่าเขาเป็นลูกค้าประจำร้านที่แมรี่ทำงานอยู่ 29 พฤศจิกายน 1968 ขณะที่เขาทำงานเป็นคนขับรถส่งขนมปัง เขาก็ได้พบกับโรส เลทส์ สาวน้อยที่ต่อมาได้กลายเป็นคู่รักของเฟร็ด และคู่หูฆาตกร!



❂ โรสแมรี่ เลทส์
โรสแมรี่ เลทส์ เกิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1953 ในเมืองเดวอน ประเทศอังกฤษ มารดาเธอชื่อเดซี่ เลทส์ บิดาชื่อ บิลล์ เลทส์ เป็นคนค่อนข้างมีอาการโรคจิตอย่างรุนแรง และเป็นจอมเผด็จการในบ้าน ชอบตั้งกฎเกณฑ์แปลก ๆ หลายอย่างในบ้าน เพื่อหาเรื่องลงโทษสมาชิกในครอบครัวเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครอยากจ้างให้บิลล์ไว้ทำงานมากนัก จึงเป็นเหตุทำให้ครอบครัวของเขามักประสบปัญหากับเงินขาดมืออยู่เสมอ แอนดรูว์ ลูกชายของบิลล์เล่าว่า "ถ้าพ่อผมรู้สึกว่าพวกเรานอนตื่นสายล่ะก็ เขาจะตักน้ำเย็นถังเบ้อเร่อมาสาดใส่เรา และจะสั่งให้พวกเราขุดสวนพรวนดินในสวนหลังบ้าน ซึ่งหมายถึงทั้งสวนเลยน่ะไม่ใช่แค่บริเวณรอบ ๆ ส่วนพ่อจะคอยจับตาดูพวกเราเหมือนทหารคุมเชลยศึก ถ้าเราทำงานไม่เป็นที่พอใจ เราจะต้องเริ่มทำงานกันใหม่หมด เราจะถูกสั่งห้ามพูดเล่น ๆ เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป ถ้าเราส่งเสียงดังขึ้นมาเพียงนิดเดียว เราจะถูกเฆี่ยนด้วยเข็มขัดหนัง หรือไม่ก็ท่อนไม้ขนาดเขื่อง เขาจะตีเราจนบอบซ้ำไปทั้งตัว จนกว่าจะเข้ามาขวาง แล้วพาเราไปหลบที่ใดที่หนึ่ง"

แต่เมื่อแดซี่กำเนิดลูกสาว 3 คน กับลูกชายอีก 1 คนแล้ว ในปี 2496 เนื่องจากความกดดัน และความเครียดที่มีต่อครอบครัว เดซี่ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา โดยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นสมอง จนกระทั่งมีผลต่อลูกในท้อง โรสแมรี่ เลทส์ จึงเกิดมายังโลกพร้อมกับสมองพิกลพิการตั้งแต่นั้นมา โรสแมรี่เกิดมาพร้อมพฤติกรรมที่แตกต่างกับคนอื่น เธอชอบดีดตัวเองอย่างแรงในเวลานอน พอโตขึ้นหน่อยก็ชอบส่ายหัวไป ๆ มา ๆ ราวกับคนบ้า "โคซี่ โรซี่" ใคร ๆ มักเรียกชื่อเธออย่างนั้นเธอมีหน้าตาน่ารักมาก ตาสีน้ำตาลกลมโต ผิวนวลสดใส ผมสีน้ำตาลสวย แต่เมื่อเธอโตขึ้นมาจากเด็กน่ารักกับกลายเป็นหมูป่าเจ้าอารมณ์ แม้โรสจะไม่ใช่เด็กที่ฉลาดหลักแหลม แต่เธอดูฉลาดในการดำรงชีวิตไม่ใช่เล่น เพราะเธอรู้จักทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของพ่อ เธอจะยอมทำตามที่พ่อเธอต้องการทันทีเสมอ และด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงเป็นลูกคนเดียวในบ้านที่ได้ความรักจากพ่อจอมเผด็จการ 
โรสไม่มีพรสวรรค์ในด้านการเรียน ประกอบด้วยรูปร่างอ้วนตุ๊ต๊ะ จึงมักถูกล้อเลียนว่าเป็นตัวตลกของห้อง แต่ใครก็ตามที่ล้อเธอ เธอจะเข้าไปจู่โจมทุกคนที่ล้อเธอราวกับคนบ้า หรือด่าทออย่างรุนแรง จึงทำให้เพื่อน ๆ ในชั้นเรียนรู้จักเธอดีว่า เป็นคนอารมณ์ร้อน และก้าวร้าว เมื่อโรสก้าวสู่วัยรุ่น โรสเริ่มเกิดอาการสนใจเรื่องเพศเกินกว่าอายุ เห็นได้จากเธอชอบแก้ผ้าล่อนจ้อนไป ๆ มา ๆ หลังจากอาบน้ำเสร็จ และบางทีก็ชอบนอนเตียงเดียวกับน้องชาย แล้วลวนลามทางเพศ เธอบอกว่าเพราะความเบื่อและความเปล่าเปลี่ยว เป็นแรงขับให้เธอออกแสวงหาเรื่องอย่างว่านี้ ด้วยเหตุนี้บิลล์พ่อของเธอจึงออกกฎห้ามไม่ให้เธอนัดกับเด็กผู้ชายที่มีอายุไล่เลี่ยกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ไม่ออกกฎก็คงไม่มีใครอยากคบหากับโรสอยู่แล้ว เพราะเธอมีน้ำหนักตัวและอามารณ์รุนแรงเป็นปราการใหญ่ที่สำคัญในการคบเป็นแฟน

ด้
วยเหตุนี้เอง โรสจึงหันความสนใจไปหาชายอายุมากกว่าในหมู่บ้านแทนที่จะหาเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าหรืออายุเท่ากันมาเป็นแฟน ต้นปี 1969 โรสอายุ 15 ปี เดซี่ เลทส์พาเธอนี้ออกจากบ้านเพราะทนสามีเลี้ยงด้วยระบบลำแข้งไม่ไหว และเมื่อออกจากบ้านเธอได้ไปอาศัยกับเกลนิสลูกสาวที่แต่งงานไปแล้ว แต่เมื่อไม่มีพ่อจับจ้อง โรสจึงมีโอกาสเต็มที่จะหาควงผู้ชายอายุแก่กว่าได้อย่างสบายใจ กลางปี 1969 ชีวิตของโรส เลทส์ ไม่ค่อยราบรื่น เรียนก็ไม่เก่ง อารมณ์ก็ฉุนเฉียวง่าย เบื่อง่าย ทำอะไรก็ล้มเหลวไปหมด จนกระทั่งมาพบกับเฟร็ด แต่บิลล์ เลทส์ ก็นับว่าเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่ง ที่เห็นว่าเฟร็ด เวสท์ ไม่น่าจะเป็นคนที่น่าคบหาสมาคมด้วย เขาทำทุกวิธีทางไม่ให้เฟร็ดคบกับโรสจนถึงขั้นเรียกมาข่มขู่ ร้องเรียนสังคมสงเคราะห์ แต่ก็ไร้ผล ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เฟร็ดถูกจับกุมและถูกส่งตัวเข้าห้องขังข้อหาลักทรัพย์และโจรกรรมหลายคดี รวมทั้งหลบเลี่ยงจ่ายค่าปรับ โรสต้องกลับมาอยู่กับพ่อ แต่นั้นก็สายไปแล้วเมื่อพ่อเธอพบว่าโรสท้องกับเฟร็ดแล้ว ด้วยวัยแค่ 16 ปี ด้วยเหตุนี้โรสจึงจากบ้านพ่อไป แล้วไปอยู่กับแอนนา มารี ลูกสาวของเฟร็ดกับมารีแฟนเก่า เพื่อดูแลชาร์แมนลูกสาวของเฟร็ด ปี 1978 โรสให้กำเนิดเฮเธอร์ แอน แต่มันกลับกลายเป็นการเพิ่มภาระให้เธอมากกว่า เพราะเธอต้องทนดูแลลูกถึง 3 คน คนรักก็อยู่ในคุก เงินทองก็มีจำกัด ฯลฯ ปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า อารมณ์ของโรสพลุ่งพล่าน และยังต้องเลี้ยงดูลูกของรีนาอีก เธอคิด ๆ ใช้สมองอันน้อยนิดแก้ปัญหา


หนูน้อยชาร์แมน

❂ เหยื่อรายที่สาม

ฤดูร้อนปี 2514 เฟร็ดออกจากคุกมาอยู่กับโรสในขณะที่รีนากลับบ้านเกิดที่สก๊อตแลนด์ แต่แล้วจู่ ๆ ชาร์แมน ก็ได้หายตัวไปจากบ้าน โรสและเฟร็ดบอกไม่รู้เรื่องว่าหนูน้อยไปไหน แกอ้างว่ารีนาแม่ของเธอมารับตัวไป แต่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าโรสและเฟร็ดน่ะเป็นคู่ผัวตัวเมียที่เจ้าอารมณ์แค่ไหน เธอหรือเขาอาจอารมณ์เสียและฆ่าชาร์แมนก็ได้ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานเท่านั้น หลังครอบครัวเวสท์ถูกจับ ศพของหนูน้อยชาร์แมนได้ถูกขุดพบในพื้นห้องครัวของโรงรถในบ้านของเฟร็ด ถนนมิดแลนด์ สภาพศพถูกตัดนิ้วเท้าและลูกสะบ้า ศพถูกฝังไว้ที่นั้นอย่างโดดเดี่ยวนานถึง 20 ปี

❂ เหยื่อรายที่สี่ 
แต่การที่โรสฆ่าชาร์แมนทิ้งนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้ เมื่อรีนากลับมาเพื่อหาลูกสาวแต่ไม่พบ เธอคิดจะเอาเรื่องกับคนทั้งสอง เฟร็ดเห็นท่าไม่ดี จึงตัดสินใจฆ่ารีนาโดยหลอกให้เธอดื่มยานอนหลับ และฆ่าชำแหละศพ ตัดนิ้วมือ นิ้วเท้าทิ้ง แล้วนำชิ้นส่วนใส่ถุงฝังไว้บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลกับที่ฝังแอนนา แมคฟอล เดือนมกราคม 1971 เฟร็ดและโรสแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีลูกสาวชื่อ เม เวสท์ ในเดือนมิถุนายน 1972

❂ ย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้น กำเนิดนรกกลางกรุง

เรื่องของเรื่องคือเฟร็ดกับโรสหารือกันว่าอยากจะเสพรสทางเพศกับคนอื่นบ้าง และคำตอบก็มีอยู่ในใจแล้ว "น่ามีสถานบริการทางเพศสำหรับครอบครัว" ดังนั้นแผนการนรกกลางเมืองก็เริ่มขึ้น เริ่มจากเช่าบ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ บ้านเล็ก ๆ ที่ดูจากภายนอกไม่ใหญ่มากนัก แต่ข้างในกว้างขวาง ง่ายต่อการดัดแปลง มีทั้งโรงรถ ห้องใต้หลังคา โดยเฉพาะห้องใต้หลังคานั้นทั้งสองได้ดัดแปลงเป็นห้องเก็บเสียงและตั้งชื่อมันว่า "ห้องทรมานส่วนตัว" พร้อมสำหรับล่าเหยื่อ ลูกค้ารายแรกที่มาใช้บริการในนรกแห่งนี้คือ แอนนา มารี ลูกสาววัย 8 ขวบ ของเฟร็ดกับมารีแฟนเก่า เฟร็ดกับโรสช่วยกันจับเธอเปลื้องผ้าออก และบอกกับเธอว่า "รู้ไหม เธอน่ะโชคดีเพียงใด ถ้าเธอแต่งงานไปในอนาคต เธอจะสามารถสร้างความพึงพอใจกับสามีได้เพราะฉันเป็นคนสอนเองเธอแหละ" แขนทั้งสองข้างของมารี ถูกมัดไพล่หลัง ปากถูกอุดเอาไว้สนิท โรสเป็นคนจับเธอให้นอนราบไปกับพื้น ส่วนพ่อของเธอข่มขืนทางทวารหนัก ความเจ็บปวดของหนูน้อยนั้นสุดหนักหนาสาหัสจนเธอไม่สามารถลุกไปได้เรียนไม่ได้หลายวัน จะพูดกับใครก็ไม่ได้เพราะพ่อเธอขู่ว่าจะถูกเฆี่ยนหากนำเรื่องนี้ไปให้ใครฟัง เธอถูกเฟร็ดข่มขืนหลายครั้ง ทุกเวลา

ปลายปี 1972 เฟร็ดกับโรสพบเด็กสาวอายุ 17 ปีคนหนึ่งชื่อ แคโรไลน์ โอเวนส์ เธอเป็นเด็กหน้าตาสะสวย สวยมากจนใคร ๆ ก็อยากได้เธอไว้ เขาจึงจ้างเธอให้เป็นพี่เลี้ยงเด็กประจำ โดยสัญญาว่าจะเลี้ยงดูแลเธออย่างดี ระหว่างมาอยู่ร่วมกัน แต่ไม่นานนักเธอก็รู้ฉากหลังของคู่สามีภรรยาน่ารังเกียจ เธอคิดลาจากแต่ทั้งคู่ไม่ยอมปล่อย เลยจับเธอข่มขืนจนยับเยิน ก่อนข่มขู่และไล่เธอกลับบ้าน แต่มีหรือว่าพ่อแม่เด็กจะโง่ ก็มันเห็นรอยฟกซ้ำดำเขียวนี้ ทั้งคู่ได้รู้ความจริงจากแคโรไลน์ และแจ้งตำรวจมาจับในทันที 
การไต่สวนชั้นต้นมีขึ้นในเดือนมกราคม 1973 เฟร็ดผู้เจนจัดในคุกสามารถพูดแก้ต่างตนเองจนผู้พิพากษาและคณะลูกขุนคล้อยตามได้ ผลคือถแค่ถูกเปรียบเทียบปรับเท่านั้น

และปี 1973 นี้เอง เป็นปีแห่งชัยชนะของสองสามีภรรยาเวสท์เพราะพวกเขาพ้นผิด พวกเขาย่ามใจ แต่คราวหน้าพว
กเขาจะสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้ปล่อยเหยื่อรอดไปฟ้องตำรวจอีก นับตั้งแต่นั้นมาสาวหลายรายที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ ในฐานะผู้เช่า เพื่อน หรือในฐานะพี่เลี้ยงเด็ก น้อยนักที่จะกลับออกมาอีกทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่

❂ ย้อนกลับมาที่เหยื่อรายที่ห้า

ลินดา กัฟ สาวเย็บผ้า ได้ถูกเฟร็ดและโรสจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็ก พอเธอเผลอ เฟร็ดกับโรสจึงข่มขื่นและฆ่าลินดา เธอถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ตัดนิ้วมือ นิ้วเท้า ลูกสะบ้าออก ถูกฝังไว้ใต้โรงรถ พอครอบครัวเธอมาเยี่ยมทั้งคู่ก็อ้างว่าเธอจากบ้านไปนานแล้ว

❂ เหยื่อรายที่หก

เดือนพฤศจิกายน พวกเวสท์จับเด็กสาวมาคนหนึ่งชื่อ แครอล แอนน์ คูเปอร์ อายุ 15 ปี พวกเขาเสพสุขทางเพศเธอเต็มที่ ก่อนที่เธอจะพบจุดจบไม่แตกต่างกับเหยื่อรายอื่นมากนัก แครอล แอนน์ คูเปอร์ ถูกบันทึกไว้ในรายงานตำรวจอย่างน่าเจ็บใจว่า "เหมือนกับรายอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ แต่ไม่มีหลักฐานใด ๆ บ่งบอกว่าสองสามีภรรยาเฟร็ดเกี่ยวข้องด้วย"


❂ เหยื่อรายที่เจ็ด แปด และเก้า
ระหว่างเดือนเมษายน 1974 จนถึงเดือนเมษายน 1975 หญิงสาว 3 คน ต้องประสบซะตากรรมเช่นเดียวกับแครอล แอนน์ คูเปอร์ คือถูกลักพาตัวมาเพื่อข่มขืนและฆ่า แต่ลักษณะการตายของพวกเธอแสดงถึงความโหดของฆาตกรมากขึ้นตามลำดับ คนที่หนึ่งถูกพันไว้มิดรอบศีรษะ คนที่สอง มีท่อพลาสติกสอดไว้ที่รูจมูกทั้งสองข้างจนหายใจไม่ได้ คนที่สาม ดูเหมือนจะทนทุกข์ทรมานที่สุดเพราะ เธอถูกอุดปากด้วยถุงเท้ายาวไนลอนขาว เสื้อยกทรง 1 ตัว และถุงน่องอีก 2 คู่ ถูกมัดด้วยเชือกพลาสติกกับที่ตากผ้า ตั้งแต่รอบแขน รอบขา ข้อมือ ข้อเท้า หัวกะโหลกทั้งด้านยาวและด้านขวาง ทั้งมัดจากข้างหน้าไปข้างหลัง และด้านหลังไปข้างหน้ารอบด้านไปหมดทั้งตัว จากนั้นก็นำมาแขวงโยงกับขื่อบนหลังคาจนขาดอากาศหายใจตาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ขณะที่เขาหมกความลับมากมายในห้องใต้หลังคานี้ เฟร็ดยังกล้าท้าทายตำรวจด้วยการลักเล็กขโมยน้อย และโจรกรรมข้าวของตามร้านค้าอย่างต่อเนื่อง นั้นเป็นเพราะเขาจำเป็นต้องใช้เงินมาต่อเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอำนาจของปีศาจยิ่งขึ้นอีก



❂ เหยื่อรายที่สิบและสิบเอ็ด 
ในปี 1977 ชั้นบนของบ้านได้รับการต่อเติมและปรับปรุงใหม่เพื่อให้รองรับผู้เข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น และแล้วเหยื่อรายใหม่ก็มาหา เชอร์ลีย์ โรบินสัน อดีตโสเภณีวัยแค่ 18 ปี รายนี้อาศัยอยู่กับทั้งคู่นานหน่อย เพราะเฟร็ดอยากเก็บเธอไว้นาน ๆ จนเธอท้อง แต่โรสไม่พอใจที่เชอร์ลีย์ตั้งท้องกับสามีสุดที่รัก เธอชี้ขาดให้สามีกำจัดเธอไปซะ ไม่งั้นฝ่ายเธอจะจากไป แหม.......คำสั่งเมียก็เหมือนคำสั่งพระเจ้าแหละ 7 เดือน หลังจากโรสให้กำเนิดทาร่า ว่ากันว่าเป็นลูกของโรสกับลูกค้าอินเดียแดงก่อนหน้า เดือนธันวาคม 1977 เชอร์ลีย์จึงถูกฝังอยู่ใต้ถนนครอมเวลล์แห่งนั้น ปี 1978 เฟร็ดกับโรสมีลูกอีกคนชื่อหลุยส์ รวมแล้วในบ้านมีลูกถึง 6 คน แต่พฤติกรรมอันกักขฬะ ป่าเถื่อน และโหดเหี้ยมของสองสามีภรรยายังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง




❂ เหยื่อรายที่สิบสอง !?
ปี 1986 เมื่อเฮเธอร์ตัดสินใจเล่าความลับของครอบครัวเวสท์ให้เพื่อนฟังเพราะทนไม่ไหวกับความหยาบช้าของพ่อ ความสำส่อนและการตกเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ของแม่ บังเอิญที่พ่อแม่ของเพื่อนเฮเธอร์กับครอบครัวเวสท์สนิทกันพอดี เมื่อเฟร็ดและโรสได้ฟังข่าวนี้จึงสังหารหนูน้อยเฮเธอร์ทันที โดยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ หลังจากฆ่าลูกไปแล้ว เฟร็ดขอให้สตีเฟ่นลูกชาย ช่วยเขาขุดหลุมหลังบ้าน โดยไม่บอกว่าขุดเพื่ออะไร จากนั้นเขาจึงนำศพที่ชำแหละเป็นชิ้น ๆ มาฝังไว้ตอนไม่มีคน



❂ จนมุม
ความโชคดีของเฟร็ดและโรสที่ยืนยงมานาน เกิดพังทลายถึงคราวจุดจบเมื่อเด็กหญิงที่เป็นเหยื่อรายหนึ่งหลุดรอดชีวิตมาได้ เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟัง และเพื่อนคนนั้นได้แจ้งตำรวจเข้า จ่านักสืบ เฮเซิล ซาเวล เข้าสืบสวนในทันที่ที่ได้รับมอบหมาย เพราะเขารู้จักเฟร็ดดี ตั้งแต่เขาอยู่กับรีนา และรู้ดีว่าเขาเป็นคนฉลาด อันตราย เขาต้องสืบสวนอย่างละเอียดและรัดกุม

6 สิงหาคม 1992 ตำรวจมาถึงบ้านเลขที่ 25 ถนนครอมเวลล์ พร้อมหมายค้นเพื่อหาหลักฐานต่างๆ ในคดีข่มขืนกระทำอนาจารต่อเด็ก เจ้าหน้าที่พบรูปโป๊กองเป็นภูเขาลงกา และจับกุมตัวโรสไว้ในฐานะผู้ช่วยเหลือการข่มขืน และเฟร็ดข้อหาข่มขืนและกระทำอนาจารต่อผู้เยาว์ เฮเซิล มีข้อมูลมากเพียงพอที่จะใช้ในการตั้งข้อหาข่มขืนผู้เยาว์ แต่เขาต้องการหาหลักฐานที่ยืนยันว่าเฟร็ดเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่อาละวาดในขณะนี้มากกว่า เขาจึงต้องสืบสวนเพิ่มเติม โดยเน้นการหายตัวไปของเฮเธอร์เป็นหลัก เหมือนโชคดันเข้าข้างเฟร็ดอีกครั้ง เมื่อพยานสองคนตัดสินใจกลับคำให้การ พวกลูก ๆ ไม่มีใครให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเพราะโดนขู่ และการสืบสวนคดีของเฮเธอร์ถึงทางตัน เฟร็ดและโรสโดนปล่อยตัวในเวลาต่อมา 
จนกระทั่งมีคำสั่งให้ค้นบ้าน ขุดสวนนี่แหละเฟร็ดจึงต้องสารภาพกับตำรวจ การตรวจค้นบ้านของเฟร็ดในครั้งนี้ใช้งบประมาณมหาศาลมากกว่าครั้งไหน ๆ เพราะนี่เป็นการรื้อบ้านไม่ใช่ค้นบ้าน ข่าวนี้จึงเป็นที่จับตามองของสื่อมวลชน เพราะถ้าเกิดพลาดล่ะก็ฉาวโฉ่แน่ ในที่สุด ศพแล้ว ศพเล่า ก็ถูกค้นพบ แต่ในศพจำนวนมากเหล่านั้นไม่มีศพของเอเธอร์ เฟร็ดเพื่อปกป้องโรสภรรยาสุดที่รัก จำต้องสารภาพว่าตนเองเป็นคนฆ่าเหยื่อที่ถูกฝังในบ้านทั้งหมด และตัดสินใจบอกตำรวจอีกว่าศพเด็กคนอื่น ๆ ถูกฝังที่ห้องใต้หลังคา ถึงอย่างไรตำรวจก็ยังคงคร่ำเครียดกับหลักฐานที่ได้ เพราะศพถูกฝังมานานมากแล้ว การสืบเสาะหาว่าเป็นใครไม่ใช่งานง่าย ส่วนกระดูกที่ใต้หลังคามี 9 ชุด เฟร็ดเองก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนักเพราะเขาเองก็จำชื่อ และรายละเอียดของเด็กพวกนั้นไม่ได้ ตำรวจจึงใช้วิธีค้นดูจากประวัติเด็กสูญหายนับร้อยรายเมื่อหลายปีก่อน มาเทียบเคียงกับกระดูกพวกนี้อยู่นานเลย


❂ จบสิ้น

ศพของรีนา, แอนนา แมคฟอล, และชาร์แมน ถูกค้นพบนอกสถานที่ตามคำบอกเล่าของเฟร็ด ส่วนศพของแมรี่ บาสท์โฮล์ม เฟร็ดปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนฆ่า และศพของเธอก็หายสาปสูญไปตลอดกาล โรส เวสท์ ถูกกดดันอย่างหนัก เพื่อให้ยอมรับสารภาพ โรสเริ่มตัดช่องน้อยแต่พอตัว โดยการสลัดเฟร็ดทิ้ง ปิดฉากหุ้นส่วนชีวิตในการก่ออาชญากรรมคู่ร่วมกันคิด ร่วมกันทำตลอดกาล แต่ถึงอย่างไรเฟร็ดก็ยังคงหลงรักเธออยู่และส่งจดหมายมาง้องอนเธอเสมอ ดั่งใจความที่ว่า "เรายังรักกันอยู่เสมอนะ และเธอก็ยังเป็นนางเวสท์ของฉันอยู่ตลอดไป ไม่ว่าอยู่แห่งใดในโลก นี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับฉันและสำหรับเธอด้วย" 

เฟร็ดถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมเหยื่อทั้งหมด 12 ศพ (เท่าที่พิสูจน์ได้) แต่ก่อนพิจารณาคดีในศาล เฟร็ดชิงหนีโทษไปก่อนโดยการฆ่าตัวตายดว้ยการแขวนคอในเรือนจำ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1994 การพิจารณาคดีในศาลเริ่มวันที่ 3 ตุลาคม 1995 เน้นหนักในด้านการพิจารณาคดีของโรสว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วยเฟร็ดทำการฆาตกรรมหรือไม่ โดยมีพยานคือ แคโรไลน์ โอเวนส์, แอนนา มารี และคำให้การของแอนนา ลิซ 

โรสเครียดกับการขึ้นให้การในครั้งนี้มาก จนเป็นลมไปหลายครั้ง คณะลูกขุนใช้เวลาไม่กี่นาที ลงความเห็นว่า โรสมีความผิดฐานฆ่าชาร์แมน, เฮเธอร์, เชอร์ลีย์ โรบินสัน และเด็กอื่น ๆ ที่ฝังในบ้านนรกหลังนั้น รวมทั้งสิ้น 10 กระทง โทษที่โรสได้รับคือจำคุกตลอดชีวิต แต่มีสิทธิรับหย่อนโทษได้ ส่วนลูก ๆ ทั้งหมดของครอบครัวเวสท์ อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพราะไม่รู้ว่าโตขึ้นมาจะกลายเป็นเฟร็ดและโรสคนที่สองหรือไม่! เวลาเท่านั้นคือเครื่องพิสูจน์








Create Date : 13 กรกฎาคม 2558
Last Update : 28 กรกฎาคม 2558 13:23:21 น. 0 comments
Counter : 3354 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.