|
ปัญหาการฟื้นตัวของยุโรป : กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ช่วงที่ผ่านมา ได้มาวิเคราะห์ให้ฟังบ่อยๆ เกี่ยวกับ ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา วันนี้อยากจะขอไปใช้เวลาพูดถึงอีกกลุ่มประเทศหนึ่งที่สำคัญพอกัน และน่าสนใจมาก ก็คือ กลุ่มสหภาพยุโรป ที่การฟื้นตัวที่เกิดขึ้น กำลังเป็นไปอย่างช้าๆ ช้ากว่าสหรัฐและเอเชีย และยังมีหลุมบ่ออีกมากที่รออยู่ ตรงนี้เราเคยพูดนานมาแล้วว่า เอเชียฟื้นก่อน สหรัฐ แล้วก็ยุโรป
การฟื้นตัวของยุโรปและสหรัฐ เหมือนและต่างกันอย่างไร
เป็นไปช้าๆ เช่นกัน อยู่ในช่วงต้นของการฟื้นตัว ทั้งคู่
ถ้าเกิดดูในส่วนของระดับของ GDP แล้วจะพบว่าทั้งสองประเทศ ฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นครั้งแรกพร้อมๆ กัน โดยเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศผงกหัวขึ้นมาเล็กน้อย จากที่ตกลง ไปมาก แต่สิ่งที่แตกต่างกัน ก็คือ
หนึ่ง สหรัฐไม่ได้ตกลงไปลึกเท่ากับที่ยุโรป GDP ในปี 2009 สหรัฐเศรษฐกิจหดตัว ประมาณ -2.7 % ขณะที่ยุโรป เศรษฐกิจหดตัวไปมาก -4.2% โดยเฉพาะในบางประเทศเช่น ที่เยอรมัน -5.3% อิตาลี -5.1% สเปน-3.8% สอง การว่างงานก็เช่นกัน สหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 10.2% ที่ยุโรป เพิ่มเป็นประมาณ 10% แต่ว่าในบางประเทศเช่นที่สเปน สูงถึง 20% สาม การฟื้นตัวของสหรัฐดีกว่ายุโรปในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ 2.2% และดูเหมือนกับว่าสัญญาณทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ยุโรปแผ่วลงไปมากช่วงหลัง และยังมีข่าวร้ายออกมาเป็นระยะๆ ที่ทำให้กังวลใจ sentiment ไม่ดี สี่ การประมาณการของ IMFก็ไม่ได้ปลื้มยุโรปมาก คิดว่ายุโรปปีนี้ น่าจะโตได้เพียงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับสหรัฐที่ 1.5 ห้า ความเสี่ยงในการไม่ชำระหนี้ของประเทศในยุโรป หลายๆ ประเทศ อยู่ในระดับที่สูงกว่าสหรัฐ และความจริง ได้กำลังปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมา และความแตกต่าง ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่า ยุโรป ท่าทางจะไม่ได้ดีมาก เมื่อเทียบกับสหรัฐ
ทำไมยุโรปจึงแย่กว่าสหรัฐ
ส่วนแรกคือ ต้นเหตุของวิกฤต
ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ มาจากวิกฤตในสถาบันการเงินและตลาดทุน แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างระบบการเงินที่เป็นหัวใจในการสูบฉีดเงินไปหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรป คือ
สหรัฐพึ่งพาตลาดทุนและแบงก์ควบคู่กันไป แบงก์ในสหรัฐใหญ่จริง แต่ว่าไม่ใหญ่กว่าขนาดของ GDP ของสหรัฐ รวมกันแล้วประมาณ 50% เท่านั้น และตลาดทุนของสหรัฐเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้วบางส่วนโดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรที่มีคุณภาพ
ยุโรปพึ่งแบงก์เป็นสำคัญ เป็นหลักอยู่อย่างเดียว จากแนวคิดเรื่อง Universal Bank ที่อนุญาตให้แบงก์สามารถทำอะไรก็ได้ ในเรื่องการให้บริการทางการเงิน โดยแต่ละธนาคารของยุโรปมีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับประเทศ บางแห่งใหญ่ถึง 3-6 เท่าของ GDP บางแห่งเท่ากับ GDP ของประเทศ
ตรงนี้ มีนัย เพราะว่าสัดส่วนของแบงก์ต่อ GDP ก็สูงกว่าสหรัฐมาก ทำให้การที่รัฐบาลในยุโรปเข้าไปอุ้มสถายบันการเงินได้ไม่ง่ายนัก และเป็นภาระอย่างยิ่ง
กระบวนการตัดสินใจ ชัดเจนว่าที่ยุโรปประสบปัญหาในกระบวนการตัดสินใจ เพื่อต่อสู้กับวิกฤต เพราะต้องปรึกษากัน ตกลงกันในการตัดสินใจว่าจะทำอะไรดี จากสมาชิก 16 ประเทศ พอถึงเวลา ก็จะพบว่าตกลงกันยากมากว่าจะกระตุ้นเท่าไร จะก็แบงก์อย่างไร ตรงนี้ เห็นชัดตอนที่มีการหารือในการแก้ไขปัญหาในเวทีต่างๆ ยุโรปต้องการสิ่งที่ต่างกัน และไม่ทำหลายๆอย่างที่สำรัฐทำแล้วเช่น Stress test หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจตเองก็ไม่มากเท่ากับสหรัฐ ตรงนี้ลำบากเพราะการกู้วิกฤต ต้องเน้นความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหาเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ยุโรปยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ยุโรปมีปัญหาเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ
โครงสร้างทางการคลังที่มีกฏเกณฑ์กำหนดว่า แต่ละประเทศจะขาดดุลได้เท่าไร และมีหนี้ภาครัฐเท่าไร โดยในยุโรปมีจุดอ่อนมากในเรื่องนี้ หลายประเทศไม่มีวินัยการคลัง
ที่ยุโรป มีปัญหาการว่างงานเชิงโครงสร้างมากกว่าที่สหรัฐอยู่ก่อนแล้ว และเป็นรัฐสวัสดิการมากกว่าสหรัฐ ที่มากกว่าสหรัฐ เวลาเกิดวิกฤตไม่น่าแปลกใจว่าค่าใช้จ่ายสูง
ท้ายสุด ยุโรปยังมีปัญหาซุกซ่อนไว้มากกว่าที่สหรัฐมาก ที่คอยซ้ำเติม
สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบันในยุโรป และปัญหาอะไรที่ซุกซ่อนไว้
ปัญหาในปัจจุบันของยุโรป คือ
ผู้บริโภค ชัดเจนว่าผู้บริโภคของยุโรปมีความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนที่ไม่ได้ปรับตัวดีขึ้น ล่าสุดในกรณีของเยอรมัน หลังจากที่ออกมาซื้อรถแล้ว พอซื้อไปและหมดเรื่องแรงกระตุ้นท้ายที่สุด ผลการสำรวจจาก ZEW ของเยอรมันพบว่า ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในเยอรมัน ตกลงเป็นเดือนที่ 4 การธนาคาร สินเชื่อไม่ออก เช่นเดียวกับที่สหรัฐ แบงก์ยังล้ม และต้องการความช่วยเหลือ เช่นในอังกฤษ ในออสเตรีย บางประเทศ เริ่มคิดว่าจะไม่จ่ายหนี้ดีหรือไม่ เช่นกรณีของ Iceland ที่เริ่มคิดว่าจะไม่จ่ายหนี้มีปัญหาไม่จ่ายหนี้ของ Icesave นอกจากนี้ยังมีปัญหาในประเทศที่เป็นลูกหนี้ อย่างดูไบ ที่ย้อนกลับมากระทบแบงก์ในยุโรป แต่ที่มากจริงๆ ก็คือ หนี้ของประเทศในยุโรปตะวันออก ซึ่งมีมากถึง 1.5 ล้านล้าน USD และประเทศลูกหนี้เหล่านี้ กำลังมีปัญหาเชิงเศรษฐกิจมากพอสมควรบางแห่ง GDP ติดลบไปประมาณ 20% เมื่อปีที่แล้ว ปัญหาด้านการคลัง เช่นกรณี กรีซ และ Rating Downgrade ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรของยุโรปและค่าเงินในยุโรป
นัยและทางออก
ยาก
มีปัญหามากหนี้ภาครัฐที่สูง และการขาดดุลที่สูง กำลังเป็นข้อจำกัด เพราะ ECB กำลังออกมาเตือนว่า กรุณาเข้มเรื่องนโยบายการคลังให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศตนเอง
แต่ก็ต้องไปแก้ที่แบงก์และหนี้เสียซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่ ก็คงต้องค่อยๆ คลี่คลาย แต่ถ้าไม่ทำเรื่องแบงก์ให้จบ ก็ยากที่จะฟื้นได้ดีได้ ตรงนี้ต้องไปดูญี่ปุ่นเป็นอุทาหรณ์
ก็เอาใจช่วยครับ เรียกว่ายังมีสีสันมาก เพราะเอาปัญหาหมกไว้แล้วมาตามแก้กันปีนี้
21 มกราคม 2553 รายการ Money Wakeup ครั้งที่ 29
Create Date : 25 มกราคม 2553 |
Last Update : 25 มกราคม 2553 22:54:06 น. |
|
4 comments
|
Counter : 516 Pageviews. |
|
|
|
โดย: หมอสัจจะ IP: 117.47.81.227 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:5:11:37 น. |
|
|
|
โดย: susi IP: 203.144.144.164 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:6:58:29 น. |
|
|
|
โดย: พ่อน้องบุ๊ค IP: 110.164.126.77 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:11:05:17 น. |
|
|
|
โดย: Rin IP: 202.3.71.10 วันที่: 26 มกราคม 2553 เวลา:16:01:18 น. |
|
|
|
| |
|
|
ขอบคุณสำหรับบทความดีดี ครับ
วันหลังมีปัญหาทางการเงินการธนาคารจะขอคำปรึกษาด้วยครับ
ว่างอยากให้เล่าระบบของจริงต่างประเทศและไทยเทียบกัน ทั้งศัพท์ไทยอังกฤษด้วย
เพราะคนที่ไม่ได้สัมผัสกับธุรกรรม ทางการเงินจริง และไม่ได้เรียนโดยตรงแบบผม ไม่เคยมีภาพจึงเข้าใจระบบยากเมื่ออ่านข่าว
เช่นอยากรู้เรื่อง พันธบัตร์ (bill note bond) การออก การจำหน่าย ตลาดแรก ตลาดรอง ราคาและผลตอบแทน (ของไทยดอกเบี้ย เหมือนมากู้เรา หรือเราฝากประจำ )
โดยเฉพาะ ที่สำคัญต่อ การแปลผลทางเศรษฐศาสตร์ หรือแสดงว่า เศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร