M.R.๏~A~๏
Group Blog
 
All Blogs
 

ผจญภัยคาราโครัมไฮเวย์ หุบเขาสกาดูร์ บอลติสถาน เมืองลาฮอร์ Lahore

  ผจญภัยคาราโครัมไฮเวย์ หุบเขาสกาดูร์ บอลติสถาน


**เมืองลาฮอร์ Lahore** ประเทศปากีสถาน เริ่มการผจญภัยที่นี
คำว่าลาฮอร์ พระองค์หญิงวิภาวดีทรงเล่าว่ามาจากคำว่า "ลวปุระ" หรือ "ลพปุระ" หรือ "ลพบุรี" เรานี้เอง ทรงเล่าว่า ลาฮอร์แม้จะเป็นเมืองเก่า แต่ก็ไม่มีใครทราบอะไรมาก จนเมื่อประมาณ 900 ปีเศษมานี้เอง ในสมัยของ มามุดแห่งกัชนา Mamud of Ghaznavids จากอัฟกานิสถาน กษัตริย์ราชปุต แห่งราชวงศ์ศากยะมาตีได้ กษัตริย์ศากยะซึ่งเป็นฮินดู เรียกเมืองละฮอร์ว่า "ปัญจะละนคร" หรือ Panchalanagar


เมืองลาฮอร์มาเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในสมัยราชวงศ์โมกุล พระเจ้าอักบาร์ แห่งราชวงศ์โมกุลมาสร้างวัง และสุสานของพระราชวงศ์ที่ส่งมาครองอยู่ที่นี่มีอยู่หลายแห่ง รวมทั้งที่ตั้งของทำเนียบผู้ว่าการของแคว้นปัญจาบ ที่อยู่ในส่วนของปากีสถานนี้ด้วยต่อมาเมืองลาฮอร์ถูกโจมตีและถูกยึดโดยกษัตริย์ซิกห์ พระเจ้ารณชิตสิงห์ กษัตริย์ซึ่งเป็นซิกห์ ก็ได้เสด็จมาประทับอยู่ที่นี่ และเป็นเมืองหลวงของรัฐปัญจาบ จนเมื่อประเทศปากีสถานแยกตัวออกมาจากอินเดีย


พิพิธภัณฑ์เมืองลาฮอร์ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศปากีสถาน


ห้องแสดงภายในพิพิธภัณฑ์


สิ่งของทางประวัติศาสตร์ที่มีค่ามากมายได้ถูกแสดงไว้ ซึ่งมีห้องแสดงโชว์หลายห้อง จาก คันทราราฎษ์ GANDHARA, ศาสนาพุทธ BUDDHIST, เจน JAIN, โมกุล MOGUL และ สมัยอาณานิคม


พระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงที่สุด คือพระพุทธรูปปางทุกข์กริยาของพระพุทธเจ้า (สิทธทัตถะ) ก็ถูกแสดงอยู่ที่นี่


ป้อมปราการแห่งลาฮอร์ Lahore Fort ซึ่งเป็นมรดกโลกตามคำประกาศของ UNESCO ถูกสร้างในศตวรรษที่ 11 หลังคริสตกาล เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่สามารถเห็นความแตกต่างของสถาปัตยกรรมโมกุล ในแต่ละยุคสมัยของผู้ปกครองที่ได้สร้างต่อเติม ป้อมลาฮอร์เป็นพระราชวังโบราณสร้างโดยจักรพรรดิอักบาร์ (Akbar The Great) ในระหว่างปี 2099-2149 บนฐานของเชิงเทินโบราณได้รับการต่อเติมโดยจักรพรรดิโมกุลองค์ต่อๆ มา เช่น จะฮานกีร์และราชโอรสรวมไปถึงชาห์จะฮาน (Shah Jahan) ผู้ก่อสร้างทัชมาฮาล


อาคารทรงสูงด้านหน้า Diwan-E-Aam (The Hall Of Public Audience) สร้างขึ้นในปี 1631-1632 เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับกษัตริย์โมกุลเสด็จออกขุนนาง ท้องพระโรงแห่งนี้ค้ำยันด้วยเสาหินทรายสีแดงสี่สิบต้น


เขตพระราชฐานชั้นใน Jahangir's Quadrangle ซึ่งเริ่มก่อสร้างโดยจักรพรรดิอักบาร์และสำเร็จเสร็จสิ้นในรัชสมัยของจะฮานกีร์ระหว่างปี ค.ศ. 1617-1618 ลักษณะเป็นลานกว้าง มีสระน้ำสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เป็นจุดศูนย์กลาง กลางสระมีแท่นหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เรียกว่า Mahtabi รายล้อมด้วยน้ำพุ การตกแต่งสวนด้วยไม้ดอกและไม้พุ่มรอบบริเวณเป็นระเบียบเหมือนกันทั้งสองด้านตามแบบสวนของโมกุล


อาคารหลังเล็กริมขอบกำแพงเคยเป็นที่ห้องบรรทมของจักรพรรดิจะฮานกีร์ Jahangir's Sleeping Chamber ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงงานศิลปะแขนงต่างๆ ในสมัยโมกุล ลักษณะการประดับประดาดูได้จากลวดลายบนเสาซึ่งทำเป็นดอกไม้สีต่างๆ มิใช่การระบายสีหรืองานแกะสลักแปะกระจก หากเป็นลวดลายที่เกิดจากการตอกหินสีมีค่าเข้าไปในเนื้อหิน ส่วนพื้นของพลับพลามักปูด้วยหินอ่อนหลายสีเรียงสลับกันเป็นรูปเหลี่ยมต่างๆ


ชีคชมาฮัล (Shish Mahal Of Shah Burj) หรือท้องพระโรงกระจก (Hall Of Mirrors) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในยุคโมกุล สร้างขึ้นโดย Asaf Khan เพื่อใช้เป็นห้องบรรทมของพระนางมุมตัสมาฮัล มเหสีของชาห์จะฮาน (เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ ชาห์จะฮานจึงสร้างทัชมาฮาลเพื่อเป็นที่เก็บพระศพ)


การประดับประดาสวยงามยอดเยี่ยมตั้งแต่เสา ผนัง จนจรดเพดานด้วยการใช้กระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยฝังสลักเข้าไปในบริเวณที่ต้องการตกแต่งจนได้ลวดลายวิจิตร โคนเสาสลักเป็นรูปดอกไม้สีต่างๆ เป็นฝีมือสลักหินอ่อนของช่างโมกุลที่เรียกว่า Pietra


การประดับประดาในชีคมาฮาล


สุเหร่าบัดซาฮิ Badshahi Mosque หรือ สุเหร่าหลวง (Royal Mosque) ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้านหน้าของสุเหร่าเป็นลานกว้าง มีหอสวดมนต์ที่จุคนได้ราวสองพันคน


ลานกว้างของมัสยิดนี้จุคนได้ราวห้าหมื่นคน สุเหร่าบัดซาฮิถูกปล่อยให้รกร้างเกือบ 100 ปีและได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพที่เห็นในปี พ.ศ. 2503 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราจะเสด็จประพาสสุเหร่าแห่งนี้ในอีกสองปีต่อมา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


https://www.facebook.com/planetbluetravel




 

Create Date : 12 สิงหาคม 2558    
Last Update : 12 สิงหาคม 2558 8:20:37 น.
Counter : 891 Pageviews.  

**เมืองคังโคตรี Gangotri** เมืองต้นกำเนิดแม่คงคา

  **เมืองคังโคตรี Gangotri** เมืองต้นกำเนิดแม่คงคา

เมื่อเดินทางต่อจากเมืองอุตตรกาสีไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออีก 99 กิโลเมตร ก็จะถึงเมืองคังโคตรี
เมืองนี้จะเปิดให้ผู้แสวงบุญเข้ามาเยือนได้เพียงปีละ 6 เดือน ระหว่างต้นเดือนพฤษภาคม ถึงปลายเดือนตุลาคม ของทุกปี หลังจากนั้นเมืองนี้จะปิดในช่วงฤดูหนาวที่มักมีหิมะตกหนัก และหิมะถล่ม ชาวเมืองจะย้ายลงไปอยู่ที่เมืองอื่นๆด้านล่าง เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิชาวบ้านและผู้แสวงบุญชาวฮินดูจะอัญเชิญเทวรูปพระแม่คงคาขึ้นเสลี่ยงเดินเท้าขึ้นมาจากหมู่บ้านมุกห์วาส ใกล้เมืองฮาร์ซิล และมีพิธีเฉลิมฉลองต้อนรับการกลับมาของพระแม่คงคา หรือ กังกามาตา ทุกๆปี


เมืองคังโคตรี Gangotri


**เทวสถานคังโคตรี Gangotri Shrine**
สร้างจากหินแกรนิตสีขาว โดยผู้บัญชาการทหารกูรข่า อมาร์ สิงห์ ทาพา Amar Singh Thapa ในศตวรรษที่ 18 อุทิศให้แก่พระแม่คงคาเทวี


เทวสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ก้อนหินใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำชื่อ ภคีรถศิลา ที่เชื่อกันว่าพระราชาภคีรถบำเพ็ญตบะขอให้พระศิวะอัญเชิญพระแม่คงคาลงมาจากสรวงสวรรค์เพื่อล้างบาปให้แก่บรรพบุรุษของพระองค์ หลังจากนั้น ริมฝั่งแม่น้ำนี้ เป็นที่สถิตของศิวลึงค์ที่จมอยู่ใต้น้ำ ศิวลึงค์นี้เป็นหินตามธรรมชาติ และตั้งอยู่ในสถานที่เชื่อว่ามหาเทพศิวะได้นำมวยมุ่นผมของพระองค์รองรับน้ำจากพระแม่คงคาที่ไหลลงมาจากสวรรค์ได้รับ ศิวลึงค์นี้สามารถมองเห็นได้ในฤดูหนาวเดือนเมื่อระดับน้ำลดลง


จากเทวสถาน ประมาณ 500 เมตร มีสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำไปชมน้ำตกที่เป็นสัญญลักษณ์ของต้นแม่น้ำคงคา


น้ำตกนี้เกิดจากแม่น้ำภคีรถีไหลกระโจนตกลงไปจากระดับพื้นสู่เบื้องล่าง โดยแยกออกจากกันเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งมีชื่อว่า Gauri Kund และอีกด้านหนึ่งชื่อว่า Surya Kund


น้ำตกนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักที่มีชื่อเสียงของคังโคตรี เป็นแก่งน้ำตกที่ลักษณะงดงามหาที่เปรียบได้ยาก ลักษณะของโขดหินแกรนิตที่ถูกน้ำกัดเซาะจนมีรูปลักษ์เว้าแหว่งแปลกงามตา ประกอบกับเสียงน้ำตกกระทบโขดหินสดใสเป็นกังวาล ช่วยให้ภูมิทัศน์แห่งนี้สวยงามน่าประทับใจ


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


https://www.facebook.com/planetbluetravel




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2558    
Last Update : 11 สิงหาคม 2558 7:07:55 น.
Counter : 862 Pageviews.  

ตามรอยต้นน้ำคงคา เมืองอุตตรกาสี

  ตามรอยต้นน้ำคงคา  เมืองอุตตรกาสี


**เมืองอุตตรกาสี**
เป็นเมืองตากอากาศบนเขาที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่กึ่งกลางเส้นทางขึ้นคังโคตรี อยู่ทางทิศเหนือของเมืองฤษีเกษราว 172 กิโลเมตร
เราจะแวะชมวัดโบราณเล็กๆ สองวัดที่อยู่ติดกัน คือวัดศักติ และ วัดวิศวนาท
จากเมืองนี้ เราจะเดินทางต่อไปยังเมืองคังโคตรี ขึ้นไปทางตะออกเฉียงเหนือราว 99 กิโลเมตร


เมืองอุตตรกาสี เป็นเมืองตากอากาศบนเขาที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่กึ่งกลางเส้นทางขึ้นคังโคตรี


วัดศักติ Shakti Temple สีแดงทั้งหลัง และวัดวิศวนาท Vishwanath Temple หลังคาขาวด้านหลังที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทั้งสองแห่งโดยไม่เสียเวลาเดินทาง


วัดวิศวนาท Vishwanath Temple ซึ่งเป็นวัดโบราณอุทิศให้กับพระศิวะ ตั้งอยูกลางเมืองอุตตรกาสี ตามตำนานกล่าวว่าวัดแห่งนี้สร้างโดยปรศุราม อวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ และซ่อมแซมโดยมหารานี คเณติ Maharani Khaneti พระชายาของมหาราชาสุธารศาน ชาห์ Maharaja Sudarshan Shah ในปี 1857 ภายในวัด ประดิษฐาน ศิวลึงค์ ไว้ให้ผู้แสวงบุญชาวฮินดูมานมัสการระหว่างการมาแสวงบุญที่ อุตตรี่ กาสี คังโคตรี และยมุโนตรี


ศิวลึงค์ภายในวัดวิศวนาท


วัดศักติ Shakti Temple มีตรีศูลขนาดใหญ่สูง 6 เมตรไว้ด้านหน้าวัด ด้านบนของตรีศูลสร้างด้วยเหล็ก และส่วนด้ามด้านล่างสร้างจากทองแดง มีตำนานว่าตรีศูลนี้ พระนางทุรคาเทวี ปางหนึ่งของพระแม่อุมาเทวี ขว้างสังหารอสูร


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


https://www.facebook.com/planetbluetravel




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2558    
Last Update : 10 สิงหาคม 2558 6:55:26 น.
Counter : 561 Pageviews.  

ตามรอยต้นน้ำคงคา สู่เชิงผาหิมพานต์ หุบเขาแห่งดอกไม้ เมืองหริญทวาร Haridwar

  ตามรอยต้นน้ำคงคา สู่เชิงผาหิมพานต์ หุบเขาแห่งดอกไม้ เมืองหริญทวาร Haridwar


**เมืองหริญทวาร Haridwar**
อยู่ใน รัฐอุตรขันธ์ Uttarakhand ห่างจากกรุงนิวเดลลี 220 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงสิ่งที่จะพลาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวก็คือการร่วมพิธีคงคาอารตี ริมฝั่งแม่น้ำคงคาที่ท่าน้ำฮารกี เปาริ และการขึ้นกระเช้าไปชมทิวทัศน์บนยอดนีลประวาท ที่เป็นที่ตั้งของวัดจันทิเทวีด้วย
****หมายเหตุ****
บริเวณต้นน้ำคงคานับจากเมืองหริญทวารขึ้นไป จนถึงคังโคตรี ถือว่าเป็นสถานที่ศักสิทธิ์สำหรับแสวงบุญของชาวฮินดู ประชาชนในเขตนี้จะรับประทานอาหาริเป็นมังสวิรัติ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด แม้กระทั่งไข่ และจะเคร่งครัดกว่าเขตอื่นในอินเดีย ร้านอาหารทุกแห่ง รวมทั้งโรงแรมทุกแห่งจะไม่มีอาหารที่มีเนื้อสัตว์บริการ ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่อยูในเขตนี้ (นับจากวันแรกของการเดินทาง ตั้งแต่เมืองหริญทวาร จนถีง วันที่สิบที่เมือง ฤาษีเกษ) อาหารที่จัดให้จะเป็นอาหารมังสวิรัติ อาหารที่มีเนื้อสัตว์จะมีบริการในเมืองมัสซูรี่และตั้งแต่เมืองมัสซูรี่เป็นต้นไป



บรรยากาศยามเย็นก่อนเริ่มพิธี คงคาอารตี Ganga Aarti


พิธี คงคาอารตี Ganga Aarti หรือการบูชาพระแม่คงคาด้วยกระทงที่ทำขึ้นแบบง่ายๆด้วยใบตอง


พิธีนี้จัดขึ้นที่ท่าน้ำฮารกี เปารี Harki Pauri Ghat ริมฝั่งแม่น้ำคงคา


พิธีนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกเย็น เริ่มประมาณ 6 โมงเย็น กินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง


พิธึคงคาอารตีที่หริญทวารนี้เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์และมีเสน่ห์ที่สุดในอินเดีย ไฟจากกระทงตามประทีปที่ไหลลอยในแม่น้ำ พร้อมเสียงสวดมนตราและกลิ่นเครื่องหอมจะเติมกลิ่นอายบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ให้เข้มขลังยิ่งขึ้น


กระทงที่ทำขึ้นแบบง่ายๆด้วยใบตอง ใส่ดอกไม้และเครื่องหอมจุดประทีป ที่น่าจะเป็นต้นแบบเทศกาลลอยกระทงในประเทศไทย


ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปชมวัดจันทิเทวี Chanti Devi Temple ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา นีล ประวาท Neel Pravat ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคงคา บริเวณใจกลางเมืองหริญทวาร


วัดแห่งนี้สร้างให้แก่มหาเทวีจันทิ ซึ่งเป็นปางตรีมูรติของเทวนารีที่รวมพระแม่กาลี พระแม่ลักษมี และพระแม่สรัสวดีเข้าเป็นปางเดียวกันเพื่อปราบอสูรจันทะ และอสูรมันทะ เทวรูปจันทิเทวีสร้างโดย อาธิสังกรใน คริสตวรรษที่ 8 แต่วัดแห่งนี้สร้างในปี 1929 โดยมหาราชาแห่งแคชเมียร์ สุชาติ สิงห์ บนวัดแห่งนี้จะสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเมืองหริญทวารและแม่น้ำคงคาได้ทุกทิศทาง


ตัวเมืองหริญทวารเมื่อมองลงมาจากวัดจันทิเทวี
เมืองหริญทวาร Haridwar เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ ที่แม่น้ำคงคาไหลลงมาจากเทือกเขาหิมาลัย ลงมาสู่ที่ราบในเมืองหริญทวารเป็นที่แห่งแรก ชาวฮินดูจึงเชื่อว่าที่บริเวณนี้เองที่พระศิวะได้นำมวยผมของท่านมารองรับสายน้ำ คงคาที่พุ่งตรงลงมาจากเทือกเขาหิมาลัยเพื่อชลอความเกรี้ยวกราดแห่งพระแม่คงคาตามตำนานในมหากาพย์มหาภารตยุทธ และเนื่องจากพระศิวะสถิตอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ด้วยเหตุนี้เมืองหริญทวารจึงถูกถือว่าเป็นประตูทางเข้าสู่ที่สถิตสถานของพระผู้เป็นเจ้า


สวนสาธารณะ สวามีวิเวกานันท์ Swami Vivekanand Park เป็นจุดที่แม่น้ำคงคาสายย่อยที่ไหลผ่านตัวเมืองหริญทวารพบกับแม่น้ำคงคาสายใหญ่ ที่นี่มีเทวรูปพระศิวะขนาดใหญ่ถือตรีศูลตั้งอยูบริเวณปากน้ำที่แม่น้ำคงคาทั้งสองสายมาพบกัน และมีเทวรูปพระแม่คงคาตั้งอยู่กลางแม่น้ำคงคา


เทวรูปพระศิวะ


เทวรูปพระแม่คงคา กลางแม่น้ำคงคา


ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


https://www.facebook.com/planetbluetravel




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2558    
Last Update : 9 สิงหาคม 2558 6:18:22 น.
Counter : 1353 Pageviews.  

ตามรอยต้นน้ำคงคา สู่เชิงผาหิมพานต์ หุบเขาแห่งดอกไม้ เมืองนิวเดลี

  ตามรอยต้นน้ำคงคา สู่เชิงผาหิมพานต์ หุบเขาแห่งดอกไม้ เมืองนิวเดลี 


**เมืองนิวเดลี New Delhi** จุดหมายแรกของทริป
เมืองเดลีเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของอินเดีย ประมาณการณ์ว่าก่อสร้างเมื่อ 5000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบในปัจจุบันมีอายุประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล มีเมืองโบราณหลายแห่งถูกขุดพบในเขตการปกครองเดลีในปัจจุบัน พื้นที่เขตเดลีเป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรอินเดียโบราณถึง 7 อาณาจักร

**กรุงนิวเดลี New Delhi**
หลังจากสหราชอาณาจักรได้ยึดครองอินเดียเมื่อ ค.ศ. 1857 ได้ย้ายเมืองหลวงไปยังกัลกัตตา แต่เดลีก็ได้กลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งใน ค.ศ. 1911 โดยมีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา และใช้ชื่อว่านิวเดลี New Delhi นิวเดลีเป็นที่ตั้งของรัฐบาลอินเดียหลังได้รับอิสรภาพเมื่อ ค.ศ. 1947


**วัดอัครชาดาม Akshadham Temple**
เป็นวัดฮินดูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยองค์กร BAPS โดย ประมุข สวามี มหาราช Pramukh Swami Maharajวัดนี้สร้างเพื่ออุทิศแด่ ท่านสวามีนารายัน Lord Swaminarayan ผู้นำนิกาย สวามีนารายัน Swaminarayan ของศาสนาฮินดู ในวาระครบรอบ 200 ปี (ค.ศ. 1781-1981)


ท่านสวามีนารายัน Lord Swaminarayan


วัดนี้เป็นศูนย์รวมเกี่ยวกับอารยธรรมอินเดีย และมีการแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศิลปะต่างๆ อาทิเช่น รูปปั้นการกวนเกษียรสมุทรของยักษ์ และเทวดา รวมถึงรูปปั้นหรือแกะสลักอันสวยงามวิจิตรอีกมากมาย


รูปแกะสลักอันอ่อนช้อยงดงามที่มีอยู่ทั่วบริเวณซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่วัดแห่งนี้ใช้สถาปนิกจำนวนกว่า 7,000 คน และใช้เวลาสร้างกว่า 5 ปี


**ป้อมแดง Red Fort (Lal Qila) แห่งกรุงนิวเดลี**
หรือที่คนอินเดียทั่วไปเรียกว่า ลาล ขีลา (ลาล-แดง ขีลา-ป้อมปราการ) สร้างขึ้นจากหินทรายแดง เป็นพระราชวังของชาห์ เจฮัน พระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งของราชวงศ์โมกุล (องค์เดียวกับที่ทรงสร้างทัช มาฮาล) ป้อมแดงขนาดใหญ่ในอินเดีย มีอยู่ 2 แห่ง คือที่เดลี และอัคราซึ่งอยู่ห่างจากเดลี ประมาณ 200 กิโลเมตร ป้อมแดงที่เดลีเป็นป้อมปราการมีขนาดใหญ่มาก วัดรอบกำแพงทุกด้านเป็นความยาวถึง 1 ไมล์ครึ่ง กำแพงด้าน แม่น้ำยมุนาสูง 60 ฟุต ด้านอื่นสูงบ้างต่ำบ้างไม่เท่ากัน กำแพงบางแห่งสูง 75 ฟุต บางแห่งสูงถึง 110 ฟุต กำแพงด้าฝั่งแม่น้ำยมุนา มีคลองส่งน้ำเข้ามายังคูรอบๆกำแพงป้อม


ป้อมปราการแห่งนี้สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 17 โดยกษัตริย์แห่งราชปุต คือ พระเจ้า Prithviraj Chauhan ภายในกำแพงเมืองของเดลฮี และหลังจากเมืองราชปุต ถูกพิชิตลงอย่างราบคาบแล้ว ที่นี่ก็ได้กลายเป็นที่ประทับของมหาราชาแห่งราชวงศ์โมกุล โดยพระเจ้าชาห์ เจฮัน ทรงโปรดให้บูรณะป้อมแดงในปี พ.ศ. 2181 (ค.ศ. 1638) ใช้เวลาสร้าง 10 ปีเสร็จในปี พ.ศ. 2191 หลังจากนั้นก็มีการก่อสร้างเพิ่มเติมมาเรื่อยๆอีกหลายครั้งหลังจากรัชสมัยของพระเจ้า ชาร์ เจฮาล และการก่อสร้างเพิ่มครั้งใหญ่เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้า Aurangzeb และอีกหลายครั้งภายใต้การปกครองของราชวงศ์โมกุล นับถึงปัจจุปันมีอายุกว่า 350 ปีป้อมแห่งนี้เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ และเป็นสิ่งก่อสร้างของกลุ่มสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า Shahjahanabad ที่มีขนาดมโหฬารแห่งที่ 7 ในเดลฮี ... พระเจ้าชาร์เจฮาลได้ย้ายเมืองหลวงจากเมืองอัครามาที่นี่ เพื่อเป็นเกียรติยศแห่งราชวงศ์ของพระองค์ อีกทั้งเป็นการสนองพระประสงค์ที่สูงส่งในการสร้างสิ่งก่อสร้างที่อลังการที่พระองค์ชื่นชอบ ป้อมแดงนี้ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์โมกุลมายาวนาน จนถึงปี 1857 เมื่อจักรพรรดิแห่งโมกุลในขณะนั้น คือ พระเจ้า Bahadur Shah Zafar ถูกขับไล่ให้ออกไปโดยรัฐบาลผสมของอินเดียและอังกฤษ


**ท้องพระโรง หรือ ดิวันอิอัม Diwan-I-Am** 
เป็นที่ออกขุนนางชั้นนอก มีราชบัลลังก์ หินอ่อนอยู่ด้านใน เป็นที่พระเจ้าแผ่นดินประทับเวลาออกขุนนาง ผนังห้องราชบัลลังก์ฝังหินสีต่าง ๆ ซึ่งเป็นลวดลายนก ดอกไม้คล้ายของจริงมากที่สุด และยังคงสวยงามไม่ลบเลือน


ราชบัลลังก์ หินอ่อน ในดิวันอิอัม


ลวดลายที่ยังคงงดงามอยู่


**ตำหนักส่วนพระองค์ รังคมาฮาล Rang Mahal**
เป็นที่ทรงพระสำราญหลังการออกขุนนาง และฝ่ายในจะคอยเฝ้าที่นี่


ภายในตำหนักส่วนพระองค์ รังคมาฮาล Rang Mahal


**พระที่นั่งเฝ้าชั้นใน ดิวันอิขาส Diwan-I-Khas**
สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ฝีมือก่อสร้างประณีตกว่าพระที่นั่งชั้นนอก เพดานเป็นไม้แกะสลักสวยงาม


ภายในพระที่นั่ง ดิวันอิขาส Diwan-I-Khas มีพระแท่น ราชบัลลังก์ซึ่งเคยประดิษฐานราชบัลลังก์นกยูง ที่เรียกว่า Peacock Throne ทำด้วยทองคำแท้ ฝังเพชรนิลจินดาล้ำค่า (บัลลังก์นี้ถูก Nadir Shah กษัตริย์เปอร์เซียที่เข้ามาโจมตีอินเดียนำไปไว้ที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน ในปี ค.ศ. 1739)



ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


https://www.facebook.com/planetbluetravel




 

Create Date : 08 สิงหาคม 2558    
Last Update : 8 สิงหาคม 2558 6:21:13 น.
Counter : 1061 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

ปวดหมอง
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




โสด..
อารมณ์ ดี
ขี้เหร่
เอาแต่ใจ...
ยากจน...
ใส้แห้ง...
Friends' blogs
[Add ปวดหมอง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.