|
ภูเก็ตอนุมัติงบกว่า 20 ล้านกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน
นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาโครงการหมู่บ้าน/ชุมชน จ. ภูเก็ต ประจำปีงบประมาณ ครั้งที่ 1/2551 โดยมีคณะกรรมการและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายนิรันดร์ กล่าวว่า สำหรับการประชุมในครั้งนี้เพื่อพิจารณาโครงหมู่บ้าน/ชุมชนต่างๆในพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอถลางและอำเภอกะทู้ ที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการระดับอำเภอเพื่อเสนอขอรับประมาณประจำปี ที่จัดสรรมาให้ใช้จ่ายในโครงการหมู่บ้าน/ชุมชน เป็นจำนวนเงิน 91 ล้านบาท
ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ ที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการระดับอำเภอแต่ละอำเภอ โดยมีการอภิปรายโครงการต่างๆกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะความโปร่งใสในรายละเอียดการดำเนินงานของโครงการที่นำเสนอ ตัวเลขงบประมาณที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน เป้าหมายภายใต้กรอบแผนงาน และกระบวนการมีส่วนร่วมตัดสินใจของของประชาชน ซึ่งหลายโครงการ ไม่มีเอกสารยืนยันการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยหนึ่งในคณะกรรมการใช้คำว่า มีโครงการสอดใส้เข้ามาหลายโครงการ
อย่างไรก็ดี ตามมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี เพื่อกระจายงบประมาณลงมากระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนที่เสนอขอรับงบฯ มาทั้งหมด ซึ่งมีจำนวน 46 หมู่บ้าน รวม 108 โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น 20,018,378 บาท แต่ยังไม่ถึงร้อยละ 50 ตามข้อตกลงที่มีการลงนามของหน่วยงานราชการที่จะต้องเร่งเบิกจ่ายให้ได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของงบประมาณประจำปีภายในเดือนมีนาคม
Create Date : 20 มีนาคม 2551 | | |
Last Update : 20 มีนาคม 2551 12:59:41 น. |
Counter : 473 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คนทำข่าวดอทคอม
//www.konthamkhao.com/MamboLaiThaiGlobalV4.5.5_MySQL5/
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551 | | |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2551 11:41:04 น. |
Counter : 526 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มือที่มองไม่เห็น
การแถลงนโยบายของรัฐบาล จัดเป็นสีสันให้ประชาชนคนไทยได้ติดตามกัน ในความเคลื่อนไหวในด้านการเมือง หรือการจัดการประเทศ ที่หลายคนต้องจับตา
นอกจากจะปฏิเสธไม่ได้ว่า การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงใดๆในการเมืองการปกครอง ล้วนมีความเชื่อมโยงส่งผลกระทบต่อทุกผู้ทุกคนแล้ว อรรถรสในการรับชมบทบาทการแสดงของนักการเมือง ยังสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชม ไปพร้อมๆกับสร้าง อารมณ์ความรู้สึก และทัศนคติที่มีต่อ บุคคล ข้อมูล เนื้อหา สถานการณ์ ต่างๆ ให้แก่สังคม
เช่นการแถลงนโยบาย ที่ผ่านมา นอกจากถ้อยความที่เป็นลายลักษณ์อักษร ที่จะใช้เป็นแนวทางและแผนการดำเนินงานของรัฐบาล ยังมีประเด็น ของฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช ความเหมาะสมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการโยงความสัมพันธ์ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา 19 ที่เกิดเป็นข่าวขึ้นมาตั้งตาก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถจุดประเด็นความสนใจ และสร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้แก่ ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ได้แค่เพียงรับรู้เรื่องราวจากจากบันทึกประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตย ที่ทำให้กลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องความชอบธรรมต้องพบกันเหตุการณ์นองเลือด
ทุกความเคลื่อนไหว เกิดจากความตั้งใจ วางแผนกันเป็นขั้นตอน เป็นบทสรุปของ กิเลนประลองเชิง นักเขียนในดวงใจ ที่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ แง่มุมที่คนไทยไม่เคยรู้ ในคอลัมน์ ชักธงรบ (หนังสือพิมพ์ไทย ฉบับวันที่ 22 ก.พ.) หลังจากการบรรยายในบทความ แฉวิธีการ ป้อนข้อมูลที่บิดเบือนเสี้ยมความคิด สร้างความร้าวฉานในหมู่คนไทย กระทั้งเกิดเหตุการณ์ที่เป็นรอยด่างของประวัติศาสตร์
หาใช่เพียงเพราะ ตำรวจเมาแล้วทำปืนลั่น แต่เป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องและเนิ่นนานของ มือที่มองไม่เห็น ที่หวังอำนาจและผลประโยชน์บนผืนแผ่นดิน ซึ่งได้บ่อนทำลายศรัทธาที่มีต่อสถาบัน ที่คอยขัดขวางการล้ำเส้นอำนาจอธิปไตยอำนาจ ในประโยชน์ของทรัพยากรมาอย่างยาวนาน โดยมีคนไทย ทั้งที่ไม่รู้ตัวและรู้ตัวแต่ยอมเป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่งอำนาจ และแสวงหาผลประโยชน์นั้น ซึ่งผลมันก็คือสถานการณ์เลวร้ายที่คนไทยจะต้องเผชิญ
...................................................................................................................
ย้อนกลับมาที่ บุคคล ที่อยู่ในกระแสความสนใจของประชาชน อย่าง ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ไม่ว่าจะ ด้วยความคิดของท่านเองหรือความคิดของใคร ซึ่งได้กลายเป็นคำตอบที่โพร่งออกมาจนทำให้กลายเป็นที่มาของฉายา หมักศพเดียว ที่สร้างความรู้สึกที่ขัดแย้งกับหลายฝ่าย แม้แต่พลพรรคร่วมรัฐบาลเอง
แล้วยังมาเพิ่มระดับความเข้มข้นในเรื่องนี้ ครั้งที่อภิปรายนโยบายในรัฐสภา ด้วยการสาบาน ซึ่งนอกจากไม่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในตัวนายกฯ แล้วยังนำไปสู่ประเด็นที่คาดว่าจะนำมาใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์ถัดไป
ที่แน่ๆ คือผู้ชมยังจะได้อรรถรสให้การติดตามความเคลื่อนไหว แต่จะเกิดประโยชน์อะไร นอกจากแรงกดดันให้ นายกฯ ตกเป็นเป้าในการไล่บี้ ขณะที่ เครือข่ายพลพรรคกำลังเร่งสานต่อ นโยบายขายทุนทางธรรมชาติของประเทศ โดยอ้างการนำเม็ดมาเสริมเศรษฐกิจ
ดั่งที่ท่านรองนายก มิ่งขวัญ ได้แถลงแผนการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ ช่วงสุดท้ายการของการอภิปราย ซึ่งทำให้หลายคนเคลิบเคลิ้มไปกับแนวทางที่อาจจะเป็นไปได้ แต่ทำได้ยาก เว้นแต่การส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ที่ทำได้โดยง่าย และงาบได้สะดวก
ที่เขียนเช่นนี้ ก็เพราะประสบการณ์ในถ้อยแถลงที่สวยหรูดูดี ที่เหมือนการขายฝัน สร้างวิมานในอากาศ เช่นครั้งที่เคยมีผู้ประกาศว่า ภายใน 4 ปี คนจนจะหมดไปจากประเทศไทย
กว่าจะทราบว่า ผลการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ ของพวกท่านมิ่งขวัญ จะปรากฏออกมาเป็นเช่นใด ถึงตอนนั้นไม่รู้พวกท่านจะปล่อยให้ทุนต่างชาติ เข้ามายึดครอง อำนาจในประเทศเพิ่มขึ้นมาอีกมากมายเท่าไหร่
ท่านอ้างว่า เม็ดเงินต่างชาติได้ไหลไปเวียนนามจนแซงหน้าไทย เหมือนว่า ก่อนหน้านี้ คนไทยอยู่ดีกินดีกว่าเวียดนาม เพราะดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาได้มากกว่า เรื่องแบบนี้ ตาสียายสา ได้ยินท่านว่า ก็คงเห็นด้วย...แล้วมันเงินให้เปล่าซะที่ไหน
จะเขียนอีกกี่ที ผมก็ยังต้องค้านเรื่องนี้แบบสุดขั้วหัวใจ
ตั้งแต่ประเทศไทยประกาศให้เป็น นิกส์ ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม โดยการให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน (แทนที่จะลงทุนเอง) ไทยมีตัวเลขความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับสภาพความเป็นอยู่ รวมทั้งสภาพสังคมที่ตกต่ำย่ำแย่ลงมาตามลำดับ ความสามารถ หรือคุณค่าของทรัพยากรบุคคล ที่เป็นแรงงานเป็นผู้สร้างกำไรให้กับทุนต่างชาติ มากกว่า สร้างประโยชน์ ให้กับประเทศไทยเอง อันเนื่องมาจากการจัดสรรแบ่งปันกำไรที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์
ท่านรอง มิ่งขวัญ น่าจะเข้าใจสิ่งที่ผมเขียนได้ง่ายขึ้น หากผมยกตัวอย่าง อสมท. ที่ท่านมิ่งขวัญ เคยเป็นประธานคณะกรรมการ
หากเปรียบ อสมท. เป็น ประเทศไทย ที่มีอำนาจ หรืออธิปไตยในการจัดสรรประโยชน์ที่เกิดสถานีโทรทัศน์ (ทุนทางทรัพยากร) และ บริษัทไร่ส้มของคุณ สรยุทธ เปรียบเสมือน เอกชน หรือ รัฐ (ต่างชาติ) ที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากการเผยแพร่ของสถานีโทรทัศน์
เปรียบการเข้ามาทำรายการของคุณสรยุทธ ใน อสมท. เหมือน การเข้ามาลงทุนของต่างชาติในประเทศไทย... สถานีโทรทัศน์ ไม่ใช่ของบ.ไร่ส้ม จึงจำเป็นต้องแบ่งสรร ปันรายได้(จากการขายโฆษณา) ให้กับ อสมท. ...แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน ...
ผมกำลังพูดถึงการแบ่งสรรรายได้จากการใช้ประโยชน์ในทรัพยากร ที่ อสมท. เรียกเก็บผลกำไรจาก บริษัทไร่ ส้ม และ บริษัทอื่นๆ ในสัดส่วน 50:50
เจ้าของ กับผู้ที่เข้ามาใช้ทรัพยากร แบ่งรายได้กัน คนละครึ่ง ขณะที่ รัฐไทย ในฐานะเจ้าของประเทศ ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน เพียงเพื่อ ค่าแรง และ ภาษี ที่เทียบได้เพียงเศษเสี้ยวของกำไร ที่พวกเค้าเข้ามากอบโกยกลับไป
ตัวอย่าง สัมปทานคลื่นความถี่โทรศัพท์ ที่ท่านทักษินขายให้บริษัทของรัฐสิงคโปร ทำกำไรจากคนไทยได้ปีละพันล้านหมื่นล้าน รัฐไทย ได้เท่าไหร่ สร้างคุณค่าให้คนไทยมากน้อยแค่ไหน เช่นเดียวกับ อุตสากรรม อสังหา การท่องเที่ยว เปรียบเทียบกับ ค่าแรงคนไทย(บางแห่งก็ใช้ต่างด้าว) ภาษีที่ได้รับ มันก็แค่เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของรายได้มหาศาลที่พวกเค้าโกยกับไป
ถึงตรงนี้คงหายสงสัยว่าตัวเลข เศรษฐกิจที่ดีวันดีคืน แต่คนไทยทำไมยิ่งยากแค้นลงไปทุกวัน
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551 | | |
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2551 20:03:43 น. |
Counter : 358 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|