Movieworm
 
 

One Night In Part 2

Part 2 : จากหน้าพระลานถึงรัชดา

แล้วผมได้พบกับเธออีกครั้ง...

บิว หญิงสาวแสนสวย (หมวย เซ็กส์) ที่พาผมไปพบกับคืนอันแสนวายป่วง ในเช้าของหลายเดือนต่อมา (จริงๆ แล้วตอนบ่าย พวกเรามักมีนิสัยนอนตอนพระอาทิตย์ขึ้น ตื่นตอนพระอาทิตย์สาดมาตรงกลางหัวจนนอนต่อไม่ได้ หรือไม่ก็ตอนที่อาจารย์มาปลุกนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ตอนเช้าก็คือตอนบ่ายนั่นเอง)
ในขณะที่ผมกำลังนั่งทำงานเรียนอยู่กับเพื่อนๆ อยู่ๆ ก็มีคนมาเรียกผม บอกว่ามีหญิงสาวมาหา รออยู่ข้างล่าง และผู้หญิงคนนั้นบอกว่าชื่อบิว พอได้ยินชื่อนั้น ท่ามกลางเสียงเห่าหอนของเพื่อนๆ ผมรีบแจ้นงลงไปข้างล่างลงไปหาเธอทันที
แต่กลับไม่มีผู้หญิงคนไหนนั่งรออยู่ที่ลานหน้าคณะ

“อ้าว! ไหนบอกว่ามีผู้หญิงมารอกูไงวะ?” ผมถามเพื่อนๆ ที่นั่งหน้าสลอนกันอยู่หน้าคณะ
“อ๋อ เมื่อกี๊เห็นออกไปกับพี่หมิงเดี๋ยวคงเข้ามา” พวกมันคนนึงตอบ
“พี่หมิง!!!” ผมอุทานออกมาดังๆ

โอ้บระเจ้า เธอออกไปกับพี่หมิง!

ผมทึ่งสุดๆ ทึ่งทั้งคุณเธอ ทึ่งทั้งรุ่นพี่ผม มีอย่างที่ไหนมีผู้หญิงที่ดูท่าทางจะเป็นแฟนของรุ่นน้องมาหารุ่นน้องที่คณะแล้วพระเดชพระคุณพี่แม่มยังใจดีช่วยพาออกไปข้างนอก แล้วคุณเธอยังกล้าออกไปด้วยอีก ไม่รู้จักแล้วยังกล้าไปไม่เท่าไหร่ นี่พื่หมิงของผมยังมีรูปร่างหน้าตาที่โคตรน่าไว้ใจอย่างแรง ทั้งอ้วนดำ หน้าทมิฬ แล้วไอ้ชื่อหมิงน่ะไม่ใช่ชื่อแบบราชวงศ์หมิงอะไรทำนองนั้นหรอกนะครับ แต่เป็น “สมิง” ตะหากแถมเป็นสมิงแบบที่แปลงร่างเป็นสัตว์แล้วด้วย ผมเองให้ไปไหนกับคุณพี่คนนี้สองคนยังต้องคิดดูก่อนเลย น่ายกย่องฉิบหาย

นั่น! มากันแล้ว หน้าระรื่นมาเลย
“พอดีเห็นน้องเขานั่งรออยู่นาน กลัวจะคอแห้งเลยพาไปกินน้ำที่หน้าพระลาน” เฮียเฉลย
หน้าพระลาน! โห! ลูกพี่ กะเรียกคะแนนความประทับใจในเวลาอันสั้นสุดๆ สงสัยคงเข้าห้องน้ำด้วยกันมาแล้วมั้งเนี่ย!
แถมเวลาที่คุณเธอเดินมาถามหาผม จนถึงเวลาที่ผมเดินลงมาหาเธอไม่น่าจะเกินสิบนาที โคตรจะนานเลยเพ่!!!

“หวัดดีไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดทึ้งงง คิดถึง” เธอร้องทักน่ารักตามเคย
“ไปดื่มอะไรกันไหม ฉลองการพบกันอีกครั้งของเรา” (ท่าทางเธอจะชอบการฉลองนะเนี่ย)
“เอาสิ แล้วจะไปที่ไหนกันล่ะ” ผมยังอยากแก้มืออยู่
“ไม่รู้ซี แล้วแต่เธอ” “โอเคไปกันเถอะ (พอได้ยินชื่อ “บิว” ผมก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกแล้วละครับ งานเงินอะไรเอาไว้ทีหลัง บอกแล้วว่าเรื่องแบบนี้สำคัญกว่า)

“ไปท่าพระอาทิตย์ก็แล้วกันมีร้านน่านั่ง” ผมเสนอ
“เอาสิ! งั้นไปกันเถอะ”
ระหว่างที่เราเดินออกไปเธอก็เอ่ยปากชมหนุ่มๆ ในมหาวิทยาลัยผม
“เนี่ย ไปไหนมาไหนมาตั้งหลายที่ ไม่เคยเห็นที่ไหนมีผู้ชายไว้ผมยาวรวมตัวกันมากขนาดนี้เลย ความจริงผู้ชายไว้ผมยาวก็ดูดีไปอีกแบบนะเนี่ย อย่างคนเนี๊ยะก็ดูดี ผมสวยจัง ชวนเขาไปเที่ยวด้วยกันดีไหม?” เธอชวนทีเล่น แต่ผมเอาจริง
“ได้เลย พี่ๆ ไปดื่มกัน เพื่อนผมอยากคุยด้วยเธอบอกว่าผมพี่สวยดี”

พอดีผู้ชายคนนั้นน่ะเป็นรุ่นพี่ผมเอง พี่เขาก็มองเมียงมาทางนี้อยู่เหมือนกัน (แล้วอีกอย่าง ถ้ามีเหตุอะไรขึ้นอีกผมก็ไม่ใช่คนเดียว หัวคงไม่หาย)

“เฮ้ย! จริงเหรอ แต่กูไม่อยากไปเป็นก้างว่ะ”
“โธ่พี่! เธอไม่ใช่แฟนผม เพื่อนกัน”
“เหรอ แต่ตอนนี้กูไม่มีตังว่ะ”
“ ไม่เป็นไรเดี่ยวผมเลี้ยงเอง” ผมทำตัวป๋า “อยากให้คุณเธอเอนจอยน่ะ”
“เอาจริงดิ! ได้เลยว่ะ กูพร้อมเสมอเรื่องแบบนี้”

แล้วพี่เขาก็เดินเข้าไปแนะนำตัว “สวัสดีครับผมชื่อชาด เป็นรุ่นพี่เขาครับ”
“เหรอ ผมย้าวยาว แถมสวยด้วย”
“ขอบคุณครับ แล้วนี่จะไปดื่มที่ไหนกัน?”
“ท่าพระจันทร์ หรือมีที่อื่นน่าไปไหม?” ผมปุจฉา
“อยากไปที่มีหนุ่มผมยาวเยอะๆ มีแนะนำไหมคะ ”
“มีคนเดียวไม่พอหรือครับ”
“ไม่พอจะเอาเยอะๆ ค่า”
“งั้นไปร้านรุ่นพี่ผมก็แล้วกันเคยเห็นนั่งกันอยู่เยอะ”รุ่นพี่ผมแนะ
“ดีค่ะดี ไปกันเถอะ”

แล้วหญิงหนึ่งชายสอง ก็เคลื่อนย้ายออกไปยังร้านเป้าหมาย ณ. อีกฟากของแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะขึ้นรถแท็กซี่คุณเธอก็หยอกล้อแบบสนิทสนมกับผมเต็มที่ ผมถามเธอว่าอมอะไรอยู่

“ลูกอม เอาไหม?”
“เอาสิ มีอีกเม็ดเหรอ?”
“ไม่มีหรอกเอาเม็ดนี้แหละ!!!” ว่าแล้วเธอก็กระชากคอเสื้อผมแล้วประกบปากเอาลิ้นสอดลูกอมส่งเข้าปากผมโดยมีรุ่นพี่ผมมองตาเหลือกอยู่ข้างๆ

“อร่อยไหม?”
“เอิ่มม ก็...โอเค” ผมอ้อมแอ้มตอบ เสียไปหนึ่งแต้มแรก

พอลงจากรถเท่านั้น เธอก็กระโดดขี่หลังผม ไม่รู้เธอพกอะไรไว้ในเสื้อสองก้อนใหญ่ๆ มันเบียดหลังผมอยู่ตอนนี้
“ขี่ม้าส่งเมือง! เข้าร้านไปเล้ยยย”

ผมรับคำสั่งแบกเธอเข้าร้านท่ามกลางสายตาของหลายๆ คนในร้านและของรุ่นพี่ผม

“ไหนมึงบอกไม่ใช่แฟนไงวะ ไหงดูสนิทกันจัง”
“ไม่ใช่หรอกพี่ ปกติไม่เป็นอย่างงี้สงสัยวันนี้เธอคงคึกจัด ไม่รู้ไปกินอะไรมา” ผมบอกส่งไป

ทันทีที่ก้นของเธอสัมผัสกับเก้าอี้และตาของเธอเห็นบรรยากาศและคนที่บรรจุอยู่ในร้าน เธอก็เริ่ม ฃ

“ไหนล่ะหนุ่มศิลป์ผมยาว ไม่เห็นมีเลย มีแต่คนหน้าตาไม่ได้เรื่องทั้งนั้น”
“นั่งอีกซักพักน่า เดี๋ยวก็มากัน” เธอทนนั่งได้สักพักก็ร้องอีก
“ไม่เอาไม่นั่งที่นี่แล้ว ไม่เห็นมีเด็กศิลป์ผมยาวๆ เหมือนในหนังมานั่งเลย มีแต่คนหน้าตาไม่ได้เรื่อง เหมือนเด็กช่างกลนั่งกันเต็มไปหมด”
เสียงเธอเริ่มเพิ่มความดังขึ้น พร้อมๆ กับบรรยากาศที่เริ่ม “มาคุ”ขึ้นเรื่อยๆ (บรรยากาศ “มาคุ” เป็นเหตุการณ์ในหนังแอ็คชั่นซุปเปอร์ฮีโร่ของญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ที่ตัวเอกจะถูกดูดให้เข้าไปพบกับบรรยากาศที่เป็นอันตรายของตัวร้าย)

“งั้นย้ายร้านก็แล้วกัน” ผมรีบพาเธอออกจากร้านก่อนที่คนหน้าตาไม่ได้เรื่องที่ดูเหมือนช่างกลในร้านอยากจะประพฤติตัวเป็นช่างกลเต็มรูปแบบกว่านี้...

ผมพาเธอไปนั่งร้านแถวๆ ที่พระอาทิตย์ที่เราตั้งใจจะไปกันตั้งแต่แรก แล้วก็ดื่มเบียร์กันไปคุยกันไป จากแก้วเป็นขวด จากขวดเป็นหลายขวด แล้วผมก็ได้ยินคำพูดที่เหมือนเล่นเทปซ้ำ แต่คราวนี้ออกมาจากปากรุ่นพี่ผม

“เห็นพวกนายคุยกันแล้ว ดูเหมาะสมกันมากเลยนะ น่าจะเป็นแฟนกัน”
“ไม่หรอกพี่เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน” พอเช็คบิล เงินผมก็เกลี้ยงแล้ว แต่ราตรีนี้ยังเยาว์และผู้หญิงของเรายังอยากต่อ
“ไปต่อที่อื่นกัน บิวมีที่แนะนำ เงินไม่มี ไม่เป็นไร คราวนี้บิวเป็นเจ้ามือเอง ไปกันเถอะ”

ว่าแล้วเราก็ออกเดินทางไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูจะเป็นดิสโก้เทคหรือผับอะไรเทือกนั้นแถวรัชดาฯ (มารู้เอาทีหลังว่ามันคือฮอลลีวูดเพลส)

สถานที่ค่อนข้างจะใหญ่ และต้องฝากกระเป๋าและตรวจบัตรด้วย พอเดินผ่านประตูเข้าไปข้างในก็เป็นอีกโลกนึงเลย ท่ามกลางแสงสี แดงๆ เขียวๆ สลัวๆ และมัวหมอก เหมือนในหนังฝรั่งที่พระเอกเดินเข้าไปในผับของผู้ร้าย มีคนเต้นกันเป็นกลุ่มๆ อยู่หน้าเวทีใหญ่มีนักร้องหนุ่มผมยาวหุ่นล่ำกับแด๊นเซอร์สาวในชุดนุ่งห่มน้อย ถึงน้อยที่สุด บางคนมีแค่สติ้กเกอร์ปิดยอดอก กับชั้นในจีสตริง - ผมเพิ่งเคยเห็นคนใส่กางเกงชั้นในแบบนี้กับตาจริงๆ ก็วันนี้แหละ ระหว่างที่นักร้องร้องอยู่นั้นก็มีฝูงสาวแก่แม่หม้ายตะกายเวทีขึ้นไปทึ้งเสื้อผ้า (ที่น้อยชิ้นอยู่แล้ว) ของนักร้องหนุ่มจนหมดเหลือแต่กางเกงใน!

“เกิดมากูไม่เคยเห็นอะไรอย่างงี้เลย” เสียงรุ่นพี่ครางพร้อมๆ ใจผมนึกเหมือนๆ กันพอดี

แล้วเจ้าหล่อนก็พาผมไปพบกับผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะหนึ่งพร้อมกับเหล้าแบล็กอีกสองเหลี่ยม(ขวดแบล็กเป็นเหลี่ยม) ทันทีที่ก้นสัมผัสเก้าอี้ และเหล้าถูกเสิร์ฟลงแก้ว ยังไม่ทันจะได้แนะนำตัวกัน สองหน่อที่นั่งอยู่ก่อนก็...

“เอ้า ชนแก้ว” และก็แทบไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้อีกเลย

ผมดื่มไปมากแล้วและเอียนแอลกอฮอล์เต็มที ก็เลยไม่แตะแก้วเหล้าเลย จนบิวถาม
“ทำไมไม่ดื่มล่ะ หรือจะเอาเบียร์แทน?”
“ไม่เอา จะเอานมเปรี้ยว” ผมตอบสัพยอกไปด้วยความหมั่นไส้
“นมเปรี้ยว? ไม่มีหรอกมีแต่นี่...ได้ไหม?” ว่าแล้วเธอก็หยิบมือผมไปวางแล้วขยุ้มลงบนหน้าอกของเธอข้างหนึ่งแล้วบีบอย่างแรง – ต่อหน้าคนทั้งโต๊ะ!!! รุ่นพี่ผมมองตาเหลือกถลน ส่วนไอ้สองคนนั้นว่ายังไงน่ะเหรอ
“เอ้า ชนแก้ว!” (แมร่งคงพูดได้แค่นี้จริงๆ) ผมยังไม่ทันหายตะลึง และมือก็เพิ่งหลุดจากหน้าอกของเธอ เธอก็ถาม
“เอาอีกไหม? นมเปรี้ยว”
“ฮื่อออ...ไม่อาววว” ผมรีบส่ายหน้าอย่างแรงด้วยความช็อก!!! หายอยากนม(เปรี้ยว)เป็นปลิดทิ้ง
เสร็จแล้วเธอก็ขอตัวเดินไปหาเพื่อน ทิ้งผมและรุ่นพี่ให้นั่งมึนอยู่ที่โต๊ะ กับนักดื่มสองคนที่ยังคงชวนพวกเราชนแก้วอยู่เป็นระยะๆ
“เฮ้ยกูอยากกลับแล้วว่ะ น่าเบื่อฉิบ แล้วไอ้สองตัวนี่มันพูดอะไรอย่างอื่นไม่เป็นหรือไงวะ” รุ่นพี่กระซิบบ่นข้างหูผม
“กลับก็กลับ เบื่อเหมือนกันกินเหล้าไม่ไหวแล้วด้วย แต่บัตรรับกระเป๋าอยู่ที่บิวน่ะซิ”
“หายไปเป็นชั่วโมงแล้ว ไปตามเอาบัตรเถอะ”รุ่นพี่ว่า
“งั้นไปกันเหอะ” ว่าแล้วพวกเราก็เดินออกไปจากโต๊ะโดยมีไอ้สองคนนั้นตะโกนไล่หลัง
“อ้าวจะไปไหนกัน ชนแก้วกันก่อนดิ”

เราสองคนเดินหาตามโต๊ะกันสักพัก ก็เจอบิวนั่งอยู่ที่โต๊ะกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ข้างผู้ชายที่หน้าตาดูแล้วก็รู้สึกได้ตามสัญชาตญาณว่า “โคตรเสือ”

“บิว เราสองคนกลับก่อนนะ ขอบัตรรับกระเป๋าหน่อยสิ”
“อ้าวทำไมล่ะ? อยู่ต่ออีกหน่อยสิ เดี๋ยวบิวก็จะกลับแล้ว จะได้ไปด้วยกัน” เธอร้อง
“ม่ายละกลับดีกว่าเมามากแล้ว แถมง่วงด้วย”
เธอตื้ออยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าพวกผมไม่ยอมอยู่ต่อจริงๆ เธอก็ว่า
“โอเค งั้นบิวก็กลับด้วยเลยก็แล้วกัน” แล้วเราสามคนก็ออกไปเอากระเป๋าที่เคาน์เตอร์หน้าผับ พอได้กระเป๋าแล้ว เตรียมตัวกลับ บิวก็กระเง้ากระงอดเข้ามาหาผม

“นี่วันนี้ไม่อยากกลับบ้านเลย พอดีทะเลาะกับน้า ขอบิวไปนอนค้างที่บ้านเธอได้ไหม...นะ ...นะ”
เอาล่ะสิครับ แล้วผมจะทำไงดีเนี่ย ก็อยากให้ไปด้วยหรอกนะ แต่ถ้าพาไปที่บ้านผมละก็ ถึงชีวิตแน่ ก็ผมอยู่กับพ่อแม่นี่ครับ ขืนพากลับไป บ้านได้แตกพร้อมๆ กับหัวผมแน่

“ไม่ได้หรอก เอางี้ ไปนอนคณะเราก็แล้วกันเดี๋ยวจะหาที่นอนให้”
“ไม่เอา...ไม่เอา จะไปนอนบ้านเธอ นะ...นะ”
“ไม่ได้หรอก ไปนอนที่คณะเหอะ...นะ”
“ไม่เอา...ถ้าเธอไม่ให้ไปนอนที่บ้าน บิวจะไปนอนที่บ้านผู้ชายคนอื่นนะ”
“งั้นก็ไปเถิดแม่คุณ” ผมฟิวส์ขาด

ไม่ทันขาดคำรุ่นพี่ผมก็เดินมากระซิบข้างหู “เฮ้ย! ถ้ามันเรื่องมากนัก ก็ไปเปิดม่านรูดนอนกันเลย ถ้าเขาอยากได้เราสองคนนักล่ะก็”
ผมหันหน้าไปมองรุ่นพี่ผมอย่างทึ่งๆ แล้วร้องบอก “เอ่อ...พี่! อย่าดีกว่า เรายังไม่สนิทกันถึงขนาดน้านนน!!!”

แล้วเราสองคน (ผมกับรุ่นพี่) ก็เดินทางกลับคณะแบบนกปีกหักอีกครั้ง แต่คราวนี้มีนกสองตัวพร้อมกับเงินค่าแท็กซี่ที่รวมกันแล้วพอดีอย่างน่าใจหาย รุ่นพี่ผมบ่นกระปอดกระแปดก่อนเข้าไปนอนว่า

]“แม่ม ตั้งแต่เกิดมากูยังไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้เลย น่ากลัวฉิบ”
“นี่ยังน้อยครับพี่ นี่ครั้งที่่สองของผมละ คราวนี้ถือว่าเบาแล้วนะ” ผมว่า
“จริงเหรอวะถ้าเป็นกู กูไม่ไปด้วยอีกหรอก”

ผมยิ้มแห้งๆ พร้อมกับนึกในใจว่าถ้าเจอกันอีกครั้งผมยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าจะตัดสินใจยังไง...




 

Create Date : 08 เมษายน 2553   
Last Update : 8 เมษายน 2553 11:48:40 น.   
Counter : 357 Pageviews.  


One Night

Part 1One Night In Padriew (คืนหนึ่งในแปดริ้ว)

ผมอยู่บนความเร็ว 180 กม/ชมบนถนนบางนา-ตราด ในรถบีเอ็มดับบลิวซีรี่ส์ห้าใหม่เอี่ยม เบาะหนังแท้ แอร์เย็นสบาย แต่ผมกำลังเหงื่อตก...

"ขับเร็วอย่างงี้เดี๋ยวก็ตายกันหมดหรอก" เสียงผู้หญิงดังขึ้น
"ก็ดีซิ จะได้มีเพื่อนตายด้วยกัน" มีเสียงผู้ชายดังขึ้นน้ำเสียงเย็นเยือกผิดปรกติ
"กูยังไม่อยากตายเป็นเพื่อนพวกมึง" นี่เสียงในใจผมเอง
"จะบ้าเหรอ!" ผู้หญิงตวาด
"ใช่ มึงจะบ้าเหรอ!!" ผมช่วยตวาดอีกคนในใจ
"ขับดีๆ เดี๋ยวนี้นะไม่งั้นชั้นจะกระโดดลงจากรถ"
"ก็ลองดูสิ"
"ท้าใช่มั้ย" "กริ๊ก" เสียงดังขึ้นที่ประตู
"อย่า! ใจเย็นๆ ผมขอโทษ ผมจะขับดีแล้วๆ ที่รีบน่ะ จะรีบไปหาร้านที่จะฉลองมิตรภาพของพวกเราก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นไง"
"เฮ้ย! นี่พวกมึงเล่นอย่างงี้กันบ่อยๆ เหรอ แล้วกูก็ไม่อยากมีมิตรภาพอะไรกับพวกมึงด้วย กูอยากกลับบ้านนน!" ผมร้องตะโกนในใจ
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อยากรู้ใช่ไหม เรื่องมันเป็นยังไง ผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องมันเริ่มต้นที่...

เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น ผมและเพื่อนๆ ไปเที่ยวต่างจังหวัดตอนปิดเทอมฤดูร้อนกับที่เกาะแห่งหนึ่ง ก็สนุกกันตามประสาวัยรุ่นน่ะครับ เรื่องมันคงจะจบลงง่ายๆ และผมก็คงจะไม่มีอะไรเล้่าให้พวกคุณฟัง ถ้าผมเที่ยวกันเอง สนุกกันเอง แล้วก็กลับบ้าน แต่มันไม่ง่ายอย่างงั้นซีครับ
ในขณะที่ผมกำลังเดินเล่นเลพินๆ อยู่นั้น สายตาของผมดันไปจ๊ะเอ๋ กับอนงค์นางหนึ่งเข้า เธอนอนอาบแดดอยู่ สวยครับ ผิวขาว ผมยาว หน้าตายังกับลูกครึ่งญี่ปุ่นกับ ฮ่องกง หุ่นก็ดี เข้าตำราขาวสวยหมวยเซ็กส์ ผมมองสบตาเธอ เธอมองตอบ เอาสิครับ มองกันไป มองกันมา แต่ด้วยความปอดให้ัหัวใจ ผมไม่กล้า ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็เลยล่อเดินวนไปวนมาเป็นสิบรอบจนเธอทนไม่ไหว (สงสัยเวียนหัว) เธอเลยกวักมือเรียกผมเข้าไปคุย

"หวัดดีจ๊ะ เดินไป เดินไปเดินมาทำอะไรอยู่เหรอเห็นเดินเป็นสิบเที่ยวแล้ว" (จริงๆ มากกว่านั้นนะ)
“อ๋อ เดินดูโลเกชั่นจะวาดรูปน่ะครับ” ผมตอบแก้เก้อ
“วาดรูป เป็นศิลปินเหรอ” เธอถาม
“นักศึกษาครับ อยากวาดรูปเหมือนไหมครับผมจะวาดให้” ผมหาโอกาสอยู่กับเธอนานๆ
“จริงเหรอ!เอาสิๆ ” เธอดูตื่นเต้น
“ฮูเร! ผมร้องในใจพร้อมกับโกยตีนหมากลับไปเอากระดานสเก็ตซ์กับดินสอ”
วาดไปคุยไปจนรู้ว่าเธอมีบ้านอยู่ที่ตัวจังหวัดและชอบมาพักตากอากาศที่เกาะนี้
“ผมคิดว่าผมเคยเจอกับคุณครั้งนึงที่ร้านอาหารใช่ไหมครับ” ผมเห็นเธอมากับชาวต่างชาติคนหนึ่ง
“ใช่ มาทานข้าวกับลูกค้า เขากลับไปแล้ว” ท่าทางเธอจะมาคุยธุรกิจที่นี่ด้วย
“เพื่อเป็นการตอบแทนรูปเขียนของคุณ ให้บิวเลี้ยงเบียร์คุณคืนนี้นะคะ” เธอชื่อบิว
“บิว?”
“บิวแบบบีเอ็มดับบลิวไงคะ มีบาร์เปิดตรงชายหาดฝั่งโน้น เจอกันคืนนี้นะคะที่ห้อง 408”

ตกเย็นผมกินข้าวกับเพื่อนเสร็จก็ไปเคาะประตูห้องพักเธอ

"มาแล้วหรือคะ แต่น่าเสียดาย วันนี้ชายหาดน้ำขึ้น บาร์ปิดคงอดไปกันแล้วล่ะค่ะ"
"ว้า แห้วแล้วสิเรา" ผมแอบบ่นเซ็งในใจ
"บิวว่าเราคงต้องย้ายที่ดื่มมาเป็นในห้องบิวแล้วล่ะค่ะ"
"เฮ้ย!" ผมร้องในใจ
"ผมไปซื้อเบียร์มาเอง!" ผมโกยตีนหมาอีกเป็นครั้งที่สองของวันนั้น ดื่มกันไปคุยกันไปบนเตียงเธอนั่นแหละ ผมสังเกตุ เห็นความแตกต่างระหว่างเตียงของเธอกับเตียงในห้องพักของผมกับเพื่อน เตียงในห้องพักของผมน่ะสภาพน่าสังเวชมาก พื้นกลางฟูกยุบติดพื้นเตียง ผ้าปูที่นอนก็โสโครก แถมยังนอนเบียดกันเจ็ดคนในห้องเดียวอีก
"โห เตียงห้องนี้ใหม่จัง เทียบกับห้องผมแล้ว มันบังกะโลว์เจ้าเดียวกันจริงหรือนี่"
ผมก็เลยบรรยายสภาพเตียงนอนห้องผมให้เธอฟัง
แล้วบอกเธอว่า "เตียงของคุณน่านอนจังเลย" (ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นะ ตอนที่พูด)
"น่านอนก็มานอนด้วยกันสิ" เธอพูดยิ้มๆ
"เฮ้ย!" (ยกกำลังสอง)
"จริงดิ?" "เอาสิยังมีที่เหลืออีกเพียบ นอนได้สบาย"
"รอเดี๋ยวนะเดี๋ยวผมมาไปเอาของก่อนนนน" ผมโกยตีนหมา เป็นครั้งสุดท้ายของวัน
ผมไปเอาอะไรน่ะหรือ ก็อุปกรณ์ช่วยในสถานการณ์อย่างนี้จะมีอะไรล่ะครับ

วิทยุเทปไงครับ วิทยุเทปพร้อมเทปเพลงโรแมนติกไว้เสริมบรรยากาศไงครับ (อย่าคิดมากกก!)

ตกลงคืนนั้นทั้งคืนผมไม่ได้หลับเลยครับ นอนกลืนน้ำลาย มองหน้าเธอทั้งคืน จะทำอะไรก็ไม่กล้า ไม่กล้าปลุกเธอน่ะครับ กลัวเธอนอนไม่พอ

เช้าแล้ว ผมยังมองหน้าเธออยู่ "มองอะไรคะ"
เธอตื่นแล้ว ผมโน้มตัวเข้าไปจูบแก้มเธอเบาๆ แล้วบอกเธอ
"คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณสวยมากเลยตอนที่คุณตื่นนอน ผมชอบคุณตั้งแต่ตอนที่พบกันครั้งแรก"
"บิวก็ชอบคุณ"....

...."เฮ้ยยยย ไอ้เหี้ยเต่า มึงอยู่ไหนเขาจะขึ้นรถกลับกันแล้ว!!!" เสียงเพื่อนผมตะโกนเรียก
"ผมต้องไปแล้ว เราจะได้พบกันอีกหรือ เปล่า?"
"ไม่รู้สิคะ บลิว...อยาก..ให้คุณเก็บนี่ไว้เป็นที่ระลึก" เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วยัดของสิ่งหนึ่งใส่มือผม
"จะได้คิดถึง"
ผมนั่งอยู่บนรถที่กำลังจะเคลื่อนตัวออก มองเห็นเธอเดินกระโจมอกออกมามองผมแต่ไกล
มือผมกำห่อผ้าอนามัยที่เธอ ให้เป็นที่ระลึกไว้แน่นพร้อมกับมองเธอจนลับตา...



หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากที่ผมค่อยยังชั่วจากการละเมอเพ้อถึงแม่นางฟ้าริมหาดของผม (แทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย ครับได้กลิ่นแป้งเย็นหอมที่เธอใช้ก็เพ้อ ได้กลิ่นบุหรี่ก็เพ้อ มองเห็นห่อผ้า......ที่เธอให้เป็นที่ระลึกก็เพ้อ (อันนี้หวาดเสียว) ผมแอบนั่งดวดเหล้าคนเดียวเป็นครั้งแรกก็คราวนี้ล่ะครับ

แต่จะละเมอเพ้อพกมากเกินไปก็ใช่ที เปิดเทอมแล้วนี่ครับ เป็นนักเรียน ก็ได้เวลาเรียน ได้เวลาทำงานเรียนแล้วล่ะครับ

อย่างที่บอกว่าผมเป็นนักศึกษาศิลปะ ผมเรียนศิลปะภาพพิมพ์ครับ ไอ้การทำงานภาพพิมพ์นี่น่ะผมว่ามันเหมาะกับนิสัยของผม คือต้องละเอียด มีกระบวนการเยอะและต้องคิดมาก ผมเป็นคนคิดมากนี่ครับ ผมจะไม่เล่าหรอกครับว่าไอ้กระบวนการที่มันเยอะ และ ละเอียดนี่มันมีอะไรบ้าง แต่บอกให้รู้นิดนึง่ว่าว่าต้องตั้งใจและใส่ใจกับมันมากๆ แล้วผมก็เป็นคนที่ตั้งใจแล้วก็ใส่ใจกับงานมาก เสียด้วย ค่าที่มันถูกกับนิสัยของผมอย่างที่ว่า

ในขณะที่ผมกำลังทำงานเพลินๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเพื่อนเรียก

"เฮ้ย...ไอ้เต่ามีคนมาหามึงง่ะ"
"ใครวะ? บอกว่ากูไม่อยู่ ขี้เกียจลงไปกำลังทำงานติดพันว่ะ!"
"ไม่รู้เห็นบอกว่าชื่อบิว"
"เฮ้ย!!! เดี๋ยววว กูลงไปเดี๋ยวนี้แล้วววว" เท่านั้นแหละครับผมโกยตีนหมาเป็นครั้งแรกในรอบเดือนนี้ งานเงินเอาไว้ทีหลังครับเผอิญเรื่องผู้หญิงมันสำคัญกว่า จริงมะ?

ผมวิ่งหน้าตั้งลงไปชั้นล่าง แล้วก็ค่อยๆ ชะลอลงเมื่อมองเห็นเธออยู่ในสายตา (ไม่อยากให้เธอเห็นครับว่ารีบแจ้นมาหาเธอ แหม ก็ต้องมีมาดกันหน่อย)

เธอนั่งรอผมอยู่ข้องล่าง ค่าที่ไม่ได้พบกัน เป็นเดือนกระมัง ผมว่าเธอสวยที่ผมเจอครั้งที่แล้วอีก

"มาถูกได้ยังไงน่ะ" ผมเริ่มคำทักทายที่แสนจะปัญญาอ่อน
"ก็เธอบอก เองนี่ว่าเรียนที่ไหน คณะอะไร แล้วก็.....คิดถึง"
ผมแทบจะละลายลงไปกองแทบเท้าเธอเมื่อได้ยินคำสุดท้าย
"จริงเหรอ" ผมนึกด่าตัวเองที่พูดอะไรดีไปกว่านั้นไม่ได้แล้ว
"ไปหาอะไรดื่มกันเถอะฉลองการพบกันอีกครั้งของเรา" เธอว่า
"เอาสิ"
ผมเลยพาเธอไปนั่งที่ร้านอาหารสุดเก๋ หน้ามหาวิทยาลัยที่ใครๆ ก็ลงความเห็นว่าเหมาะกับการพาสาวมานั่งเกี้ยวเป็นอย่างยิ่ง ผมสั่งเบียร์สดมาเหยือก กับแกล้ม ขึ้นชื่อของร้านมาสองสามอย่าง

"ชนแก้วหน่อยแด่การพบกันอีกครั้งของเรา" เธอเริ่มบทสนทนาหลังจากที่ผมนั่งเป็นเบื้อ มองหน้าเธออยู่หลายนาที

"ที่ว่าคิดถึงน่ะ จริงเหรอ?" ผมถาม
"ถ้าไม่คิดถึง....จะ..ตามมาถึงนี่เหรอ" (นั่นสิเนอะ ถามไปได้กู)
หลังจากได้ยินคำอีกครังนี้ผมก็พ่นสิ่งที่ อยู่ในใจออกมา
"ผมก็คิดถึงบิว มาก รู้ไหมว่ากลิ่นของบิวยังติดจมูกของผมอยู่จนถึงวันนี้เลย"
"กลิ่นอะไร?" "ก็...กลิ่น แป้งเย็นที่บิวใช้ไง ได้กลิ่นนี้ทีไรผมแทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย"
"ไม่เป็นอันทำอะไรเลยน่ะ เพราะมัวทำอะไรอยู่ล่ะ?"
ผมไม่บอกให้โง่หรอก
"แล้วรู้ไหมว่าผมยังเก็บของที่บิวให้ผมอยู่ ยังเอาออกมาดูแล้วนึกถึงบิวทุกครั้งเลย"
"บ้า! นึกถึงอะไรของบิวเหรอ"
"โอย!" ผมนึกในใจ (หัวใจจะวาย)
"ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" ผมเดินไปทำธุระและตั้งสติในห้องน้ำครู่หนึ่ง
พอเปิดประตูออกก็เห็นเธอยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ (ที่นี่มีห้องน้ำห้องเดียว ผู้ชายกับผู้หญิงใช้รวมกัน)
"บิวเข้าบ้าง" เธอเดินเข้ามา
ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินออกมาแต่เธอผลักอกผมกลับเข้าไปในห้องน้ำปิดประตูแล้วล็อกกลอน แล้วเดินเข้ามาชิดผม
ผิวหน้าเธอห่างผิวหน้าผมไม่กี่มิล ลมหายใจหอมๆ ของเธอรดหน้าอกผม พร้อมๆ กับที่เธอกระซิบข้างหูผม
"จะเข้าพร้อมกันก็ได้นะ"
โอยยย!!! ขนผมลุกเกรียว ร้องครางในใจ
ด้วยความ หยองกรอดของผม ผมค่อยๆ เบี่ยงตัวหลบเธอแล้วเปิดประตูเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะ (ไม่หยองไม่ไหวหรอก ครับนี่มันหน้ามหาวิทยาลัย ผมยังไม่อยากดังถึงขนาดนั้น)

เธอกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วเราก็ดื่มกันไปคุยกันไป ผ่านเหยือกที่ หนึ่ง ผ่านเหยือกที่สอง เหยือกที่สาม แอลกอฮอล์เริ่มซึมซาบเข้ากระแสเลือดเข้าสลายความหยองที่เกาะอยู่ในปอดของผม

"บิวรู้ไหมว่าผมเสียดายมากๆ คืนนั้น" ผมเริ่มรุก
"เสียดายอะไรคะ"
"เสียดายที่ไม่ได้ทำอะไรบิว"
"คิดว่าถ้าทำแล้วบิวจะยอมเหรอ" เธอยิ้มเย้ายวน
"แล้วจะยอมไหมล่ะ"
"ไม่บอก คิดเอาเอง"
"ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ผมจะไม่ปล่อยให้หลุดมือไป" ผมจ้องตาเธอ
"จะคอยดู" เธอจ้องตอบ
หมดเหยือกที่สามเธอก็บอกว่าก็ถึงเวลาที่เธอจะกลับแล้ว

"ผมไปส่ง!" ผมพูดโดยไม่ต้องหยุดคิด
"ไปสิ" เธอว่า
แล้วเราก็เรียกแท็กซี่หน้ามหา วิทยาลัย นั่งไปครึ่งทางเบียดกันไป เบียดกันมา ผมสบตาเธอ เธอมองตอบ หน้าผมเข้าไปใกล้หน้าเธอ เธอเอนตัวลงมาชิดผม ผมจูบเธอ เธอจูบผม มือเธอแซะของกางเกงยีนส์ผม มือผมซอนเข้าไปใต้ผ้าลูกไม้เสื้อในของเธอ แต่ตาผมยังเิอิญเหลือบมองคนขับ คนขับเหลือบมองผมทางกระจกมองหลัง ตาเราสบกัน ความหยองกลับเข้าสู่ปอดผมอีกครั้ง......
หลังจากนั้นเราก็นั่งกันอย่างเรียบร้อยจนถึงสถานีขนส่ง ธอเดินเข้าไปซื้อตั๋วรถ ผมตามเข้ายืนข้างหลังเธอ
"แปดริ้ว" เธอว่า อะไรในตัวผมก็ไม่รู้ที่ทำให้คอผมเปล่งเสียงสำทับไปว่า
"สองที่"
เธอหันมามองผมชั่วครู่ไม่พูดอะไร
"ผมจะไปกับคุณ" ผมประกาศเจตนารมณ์
"ตามใจ" เธอว่า
แล้วเราก็นั่งนัวเนียกันไปบนรถทัวร์จนกระเป๋ารถคิดออกมาดังๆ ด้วยความหมั่นใส้

"ที่นี่ไม่ใช่โรงแรมนะว้อย จะทำอะไรเกรงใจสาย ตาคนอื่นกันบ้าง!" แหม ที่จริงผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรหนักหนาเสียหน่อย เสื้อผ้าก็ยังอยู่กันครบ พี่แกก็ปรักปรำผมเกินปายยย
เรานั่งรถมาถึงแปดริ้วที่หมายโดยสวัสดิภาพอันหวุดหวิด (จากส้นตีนของกระเป๋ารถทัวร์) เธอพาผมนั่งแท๊กซี่ไปยังร้าน คาราโอเกะแห่งหนึ่ง หน้าร้านมีชายร่างท้วมยืนกร่างอยู่ข้างรถ พร้อมกับชายฉกรรจ์หน้าตาฉกาจสามสี่คนยืนอยู่ราย รอบ
"อ้าววว บิว หายไปไหนซะนานล่ะ คิดทึ้งง คิดถึงงง"
มันร้องทักเธอพร้อมกับฉายรังสีอำมะหื่นออกจากหน้า
"ยุ่งน่า" เธอสบถ
พร้อมกับจูงผมเข้าร้าน
"คุณรู้ไหมว่าคนเมื่อกี้น่ะเจ้าพ่อใหญ่ของที่นี่เชียวนะ ลงมันชอบใครแล้วล่ะก็ มันจะลากไปเอาให้ได้ เลยล่ะไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย"
"แหะๆ จริงเหรอ" ผมหัวเราะทำใจกล้าแต่สันหลังเสียววาบ
"ไป เข้าไปนั่งร้องเพลงกันเถอะ น้อง! เบียร์สอง" เธอว่า
ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่ผมดื่มกับเธอที่ร้านอาหารจนมาถึงที่คาราโอเกะนี่ผมจะเมาไปหลายรอบแล้ว แต่หน้าเธอยังไม่เปลี่ยนสี แถมเธอยังไม่ออกอาการเมาสักนิดเลย เราดื่มกันไป ร้องเพลงกันไปจนเบียร์ผ่านไปห้าขวด ด้วยความมืน
อีตอนที่ผมควักปากกหมึกซึมจะเขียนขอเพลงบนกระดาษ ผมดันทำหมึกกระฉูดใส่ทั้งหน้าทั้งเสื้อผ้าเธอเลอะหมด!
เธอเลยต้องไปล้างหน้าทำความสะอาดในห้องน้ำ ตอนนี้เองที่ผมเหลือบไปเห็นผู้ชายท่าทางสำอางคนหนึ่งจ้องเขม็งมาที่ผมอยู่นานแล้ว พอบิวเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ หมอนั่นก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะพร้อมกันเลย พอเธอมองเห็นหมอนั่นเธอก็ตกใจ
"มาได้ยังไงน่ะ"
"เด็กที่ร้านโทรบอก ว่าบิวมากับผู้ชาย ที่นี่ โอ้คเลยรีบตามมาดู ทำไมโอ้คเพจหาแล้วไม่โทรกลับ" หมอยิงรัวเป็นชุดๆแล้วหันมาทางผม
"คุณเป็นใคร? คุคุณรู้ไหมว่าผมรักเธออยากแต่งงานกับเธอ" แล้วหันไปทางสาวเจ้า
"บิว โอ้คจะให้แม่มาขอบิววันนี้พรุ่งนี้เลยยังได้นะ ทำไมทำยังงี้"
ผมอึ้งแดรกนึกในใจ "อะไรกันวะ? ซวยละสิกู!"
"นี่เพื่อนบิว ชื่อเต่าเรารู้จักกันตอนไปเที่ยวเกาะช้าง บิวอยู่คนเดียว เขากับเพื่อนๆ เทคแคร์บิวดีมาก บังเอิญเจอกันบิวเลยพาเขามาเลี้ยงตอบแทน" เธอปั้นเรื่องเป็นฉากๆ
"จริงเหรอ?"
"จริง ครับ จริง" ผมรีบช่วยสำทับ
"เอาเถอะไหนๆ ก็มาถึงแล้วเรามาดื่มเพื่อมิตรภาพกันเถอะ" หมอว่า
บิวแก้สถานการณ์ได้ผล หมอนั่นยอมนั่งลงดื่มกับพวกเรา
"งั้นผมขอดื่มให้กับเพื่อนใหม่ของเรา ใครเป็นเพื่อนบิวผมก็ถือว่าเขาเป็นเพื่อนผมด้วยเหมือนกัน เอ้าชนแก้ว"
หลังจากนั้นบิวก็อาศัยเวลาที่หมอนั่นเผลอ กระซิบกับผม
"เนี่ย เบื่อมากๆ เลยชอบมาตามตื้อ จริงๆ น่ะบิวรู้จักคุณก่อนเขานะ แต่อย่าบอกเขาล่ะ"
ดื่มกันไปร้องเพลงกันไปพอบิวเข้าห้องน้ำเท่านั้น หมอก็รี่มาโอบคอผมเข้าไปถาม
"ผมถามคุณจริงๆ อย่างลูกผู้ชายเถอะ คุณนอนกับเธอหรือยัง?"
"เฮ้ย! ยัง เราเป็นเพื่อนกันนะ ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเหมือนกัน ผมแก้ตัวเสียงหลง (จริงๆ ก็มันยังไม่มีโอกาสนี่ครับ) "ผมน่ะเป็นแก็งค์ใจง่าย ลองรักใครแล้วล่ะก็ รักจริง" หมอบอก
"ผมก็ขอให้คุณสมหวังละกัน" ผมทำใจดีสู้เสือ
"ผมถูก ชะตากับคุณมากเลย คุณรู้มั้ยผมน่ะกว้างขวางที่นี่ คุณมีเรื่องกับใครหรือเดือดร้อนยังไงบอกผมได้เลย ไม่มีปัญหา" หมอว่า
"โอเค ครับ โอเค (เออ ดี! เจอกันยังไม่ถึงชั่วโมง คุยกันยังไม่ถึงห้าประโยค มันก็ถูกชะตาจะอุปการะกูแล้ว แล้วไอ้ที่จะมี เรื่องน่ะ คงไม่ได้มีกับใครหรอก จะมีกับมึงนั่นแหละ)
แล้วเราสามคนก็ดื่มกันไป ชนแก้วกันไป แม่บิวก็ทำตัวเข้าขาออดอ้อนกับ ผมเสียเหลือเกิน ไอ้คุณโอ้คน่ะพอเมาแล้วก็มองตาขวาง แต่ก็พล่ามไม่หยุด
"ผมดูแล้วนะ คุณสองคนเหมาะกันมาก ผมยกเธอให้คุณเลยก็ได้นะ ไอ้ผมน่ะ มันแก็งค์ใจง่าย รักใครรักจริง ผมอยากให้บิวมีความสุข ถ้าเธอยู่กับคุณแล้วมีความสุข ผมก็ ยอมหลีกทาง"
"เฮ้ย! เราเป็นเพื่อนกัน (ให้จริงๆ เหรอ) ไม่คิดเป็นอื่นจริงๆ (จิงง่ะ ได้ก็ดีนะ)"

ดื่มกันจนร้านใกล้จะปิด ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมเลยทิ้งไพ่ใบสุดท้าย กระซิบข้างหูบิว
"เราแยกกันไปสองคนเถอะ"
"ไม่ได้ๆ บิวยังอยากดื่มต่อด้วยกันทั้ง สามคน ร้านปิดก็เปลี่ยนร้านเถอะ" เธอว่า

สุดท้ายก็เราสามคนพากันขึ้นรถไอ้คุณโอ้ค ผมน่ะตกกระไดพลอยโจนแล้วยังไงยังไงก็ต้องไปด้วย ยิ่งพอขึ้นรถแล้วไอ้คุณโอ้คเอากระเป๋าบิวเก็บในเก๊ะหน้า แล้วผมบังเอิญเหลือบไปเห็นแท่งเหล็กมันๆ วาวๆ สีดำๆ ทรงกระบอกยาวๆ มีรูตรงกลางด้วยแล้วผมก็ยิ่งต้องหุบปากให้สนิทและสงบเสงี่ยมตลอดการเดินทาง...

หลังจากไอ้คุณโอ้คและยัยบิวทะเลาะกันเล็กๆ พอหอมปากหอมคอแล้ว บนความเร็ว 180 กม./ชม.อย่างที่กล่าวไปในตอนแรกแล้ว ไอ้คุณโอ้คก็ เหลือบไปเห็นร้านอาหารที่เปิดบริการตอนตีห้า อาจเพราะความตื้นตันในมิตรภาพ และความเร่งร้อนที่จะฉลองมิตรภาพนั้น (ให้ตาย! ผมโคตรซาบซึ้ง)
มันหักหัวรถเข้าร้านทันที! (บนความเร็ว 180 กม./ชม.อีกนั่นแหละ) ด้วยความช่วยเหลือของเบรกมือและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าที่มันทำน่ะ เค้าเรียกว่า ดริฟท์)
หลังจากวินาทีอันอกสั่นขวัญแขวนของผมและคนในร้าน มันก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าร้านไปสั่งอาหารท่ามกลางความแตกตื่นของคนในร้าน (ซึ่งผมก็ได้แต่แช่งชักก่นด่ามันในใจ ยัง ผมยังอยากเก็บชีวิตไว้ก่อน หลังจากเพิ่งเกือบจะเสียมันไปพร้อมๆ กับพวกมันสองคนเมื่อกี้) และก็แน่ล่ะ สำหรับผู้ขายบริการที่ลูกค้าคือพระเจ้า และลูกค้าที่ขับบีเอ็มซีรี่ส์ห้าทะเบียนเลขตองก็น่าจะเป็นมากกว่านั้น

โดยไม่มีเสียงบ่นสักแอะ เหล้า ยาอาหารก็เสริฟด้วยความรวดเร็ว ผมนั่งดื่มเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วของวันนี้ นับกันตั้งแต่เบียร์สดสามเหยือก เบียร์ไม่สดสิบสองขวด และตอนนี้เหล้าอีกหนึ่งกลม ผมกับไอ้คุณโอ้คสองคนน่ะเมาจนลิ้นชา พูดจากันแทบจะไม่รู้เรื่อง กินอะไรก็ไม่อร่อยแล้ว แม่บิวของผมยังไม่มีอาการเลยแม้ แต่น้อย ยังดื่มไปกินไป แล้วยังเอาหอย (หวาน) ผลัดกันป้อนผม กับไอ้คุณโอ้คคนละคำสองคำ ผมน่ะทั้งเมา ทั้งเซ็ง ทั้งเอียน ทั้งคลื่นไส้ ความอยากความเ..ี่ยนหายหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ผมอยากกลับไปนอนบนเตียงนุ่มๆ ที่บ้านอย่างเดียว แล้วตลอดหลายชั่วโมงนั้น ไอ้คุณโอ้คแม่มก็ได้แต่พล่ามว่า มันเป็นแก็งค์ใจง่าย รักใครรักจริง คุณสองคนเหมาะกัน ผมจะยกบิว ให้คุณเลยก็ได้อยู่อย่างงั้น (กูไม่เอาแล้วกูจะกลับบ้าน!!! จริงๆ ขอร้องงง พลีสส!!!)
มันสองคนยื้อผมตั้งแต่ตีห้าจนแปดโมงเช้า (ผมเกลียดหอย(หวาน) นับแต่นั้นเป็นต้นมา)

สุด้ทายมันสองคนก็ขับรถมาทิ้งผมไว้ตรงท่ารถประจำทาง (ยังดีที่มันไม่ทิ้งไว้กลางทาง) แล้วขับกลับกันไปสองคน

ผมนั่งรถเมล์กลับบ้านแบบนกปีกหัก ดื่มเหล้าไมได้ไปเป็นอาทิตย์ ระแวงผู้หญิงไปอีกนาน

แต่เชื่อไหมว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาอีก ผมก็ยังไม่เข็ด




 

Create Date : 08 เมษายน 2553   
Last Update : 8 เมษายน 2553 11:48:53 น.   
Counter : 270 Pageviews.  


คำ ผกา เธอคือเหตุผลที่ผมควักเงินซื้อมติชนสุดสัปดาห์

บังเอิญได้อ่านคอลัมน์ของ คำ ผกา ในมติชนสุดสัปดาห์เล่มล่าสุด (ฉบับที่ 1516 ประจำวันที่ 10 เดือนกันยายน 2552) จากที่ไม่คิดจะควักเงินซื้อ เลยต้องซื้อจนได้ (เศรษฐกิจสมัยนี้ จะซื้ออะไรทีต้องเลือกให้ดี โฆษณาเขาว่าไว้ จริงไหมขรับ) ด้วยเหตุที่เธอเขียนวิพากษ์กรณีทอล์กออฟเดอะทาวน์ ข่าวซุบซิบของพระเอกหนุ่มไม้เลื้อยผู้ขยำนมดาราสาวจนช้ำชอก และพระเอกหนุ่มเป้าตุงตอนเข้าฉากเลิฟซีน (คนเดียวกัน) ได้ถึงใจพระเดชพระคุณจนทนยืนอ่านที่ร้านต่อไปไม่ไหวแล้ววว

ขอยกประโยกเด็ดถูกใจมาให้อ่านทั้งยวงเลยก็แล้วกัน
“พวกเราคนอ่านนั้นปฏิบัติต่อข่าวซุบซิบเหมือนที่เราปฏิบัติต่อหนังสือโป๊ นั่นก็คือมันเป็นอะไรที่ใครๆ ก็ชอบแต่ไม่มีใครกล้ายอมรับว่าชอบ
เราที่คิดว่าตนเองมีชีวิตอันปกติสามัญกลับเสพติดเรื่องราวรักวิตถารและมีแต่แฟนตาซีในหนังโป๊หรือหนังสือโป๊เท่านั้นที่จะสร้างความตื่นเต้นอิ่มเอมกับเราได้ เราเสพเรื่องราวในหนังหรือหนังสือโป๊พร้อมกับไม้บรรทัดตัดสินคุณค่าทางศีลธรรม
เราไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ตัวละครเหล่านั้นทำ แต่เรารักที่จะดู เราไม่เข้าใจว่าผู้ชายสองคนยัดอวัยวะเพศสองอันเข้าไปในช่องคลอดของผู้หญิงคนเดียวได้อย่างไรแต่เราก็ไม่อาจละสายตาไปจากภาพท่อยู่ตรงหน้าได้ และรักที่จะดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
(แถมยังเกิดอารมณ์ทุกครั้งที่ได้ดู)”

โหยยยยย

ผมเป็นคนหนึ่งที่ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าชอบดูหนังและหนังสือโป๊ อย่างสนุกสนานครื้นเครง และยินดีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันให้ผู้มีรสนิยมต้องตรงกันที่ไม่ดัดจริตกระมิดกระเมี้ยน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
และผมขอค้านคุณคำ ผกา หัวทิ่มตำ (แถมชนฝา) ว่าผมไม่ได้เสพหนังหรือหนังสือโป๊ไปพร้อมกับไม้บรรทัดตัดสินคุณค่าทางศีลธรรม
แต่ผมกำไม้บรรทัดส่วนตัวเอาไว้ในมือ พร้อมกับถือม้วนทิชชู่เป็นออพชั่นเสริมตะหาก 555

อีกอย่างที่ผมชอบในงานเขียนของเธอก็คือ If Course ของเธอ ที่เธอมักจะยกตัวอย่างว่าถ้าหากเป็นฉัน ฉันจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ และการมองมุมกลับในบทความของเธอ ตัวอย่างเช่นดังในบทความนี้ที่ว่า
“สิ่งทีทำให้ฉันแปลกใจคือ โดยทั่วไปนี่ไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงสำหรับผู้ชาย ให้เลือกระหว่างเป้าที่ยังตุงได้ กับเป้าที่แม้จะไปนั่งใกล้ๆ กับสาวเซ็กซี่อย่างนางเอกที่แสดงหนังเรื่องนี้แล้วเป้ายังฟีบสนิทน่าจะชวนให้ตั้งข้อกังขามากกว่าเสียอีกว่า
เอ๊ะ พระเอกเขาเปลี่ยนจากไม้เลื้อยมาเป็นไม้ล้มไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
แทนการหลั่งน้ำตาต่อหน้าสื่อมวลชน ฉันแปลกใจว่า ทำไมคุณพระเอกเขาไม่บอกนักข่าวว่า เฮ้ย ถ้าเป็นคุณ คุณก็ตุงเหมือนกัน น้องเขาสวยเซ็กซี่เสียขนาดนั้น
ประเด็นก็คือว่า แม้เป้าจะตุงแต่ผมก็ทำงาน ถ่ายหนังไปได้จนจบเรื่องโดยมิได้เข้าไปล่วงล้ำก้ำเกินน้องนางเอกสักหน่อย ไม่ใช่ตุงแล้วจะหันไปขย้ำคอข่มขืนนางเอกสาวจนการถ่ายหนังล่มกลางคัน
เออ... แบบนี้ค่อยน่าเอามาเป็นข่าวหน่อย แต่นี่ผมตุงแล้วก็ฟีบได้ ยุบหนอพองหนอเป็นอนิจจัง เป็นสามัญมนุษาย์ปุถุชนแท้ๆ”
แหม่ มันเด็ดขาดโดนใจจริงๆ ขรับทั่นผู้ชม

แต่นี้ต่อไป เวลาจะหยิบอ่านมติชนสุดสัปดาห์ แทนที่พลิกหาหน้าของคอลั่มนิสต์ที่มีชื่อนำหน้าด้วยสระอา (เพราะคอลัมน์นิสต์สระอิที่ผมมักจะพลิกหาก่อนใคร หายหน้าหายตาไปไหนแล้วก็ไม่รู้ อิอิ) ผมขอพลิกหาหน้าของคอลัมนิสต์ผู้มีสระอาลงท้ายอย่าง คำ ผกา เป็นอันดับแรกเลยทีเดียวเชียว
ด้วยความที่เธอเป็นนักเขียนที่จับเอาเรื่องซุบซิบนินทา มโนสาเร่ รวมเข้ากับการวิพากษ์วิจารณ์วาทกรรมทางสังคม วัฒนธรรม กิเลส ตัณหา และมายาคติได้อย่างเมามันแสบสันต์ถึงอกถึงใจนักอ่านอย่างผมจริงๆ พับผ่า
ให้ตายเถอะฮิมิโตะ!




 

Create Date : 06 กันยายน 2552   
Last Update : 6 กันยายน 2552 13:45:24 น.   
Counter : 307 Pageviews.  



panueddie
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add panueddie's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com