Movieworm
 
ชัยชนะของเรื่องธรรมดา (ชื่อธรรมดาๆ บนนามบัตรธรรมดาๆ ใบหนึ่ง)

"ถ้าแกรักหนัง แกต้องคุยกับผู้ชายคนนี้"

เป็นคำพูดของผู้หญิงคนหนึ่งหลังจากที่เธอยื่นนามบัตรใบหนึ่งให้ผม

เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่ผมบังเอิญเจอหน้าโรงหนังหลายครั้งตอนผมไปดูหนัง โดยที่หลายต่อหลายครั้งนั้น เราทั้งสองต่างก็ไปดูหนังเดียว เราเจอกันบ่อยเข้าจนความบังเอิญกลายเป็นความคุ้นเคย อาจเพราะเราต่างก็ชอบดูหนังคนเดียว และด้วยความบังเอิญอีกเหมือนกันที่ผมเป็นคนชอบดูงานศิลปะ และเธอเองก็บังเอิญเป็นเจ้าของหอศิลป์ เราจึงบังเอิญได้เจอและได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการอีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ

จากนั้นความคุ้นเคยก็เลยกลายเป็นความสนิทสนม และจากการพูดคุยกันหลายต่อหลายครั้ง เลยทำให้ต่างก็รู้ว่าเราเป็นคนรักและคลั่งไคล้ 'การดูหนัง' แบบเข้าเสันเหมือนๆ กัน ด้วยเหตุนี้เอง ที่เมื่อไหร่ที่เราเจอกัน บทสนทนาก็จะไม่พ้นการพูดคุยถึงหนังกันอย่างเมามันและออกรสอยู่ร่ำไป และเมื่อใดที่มีโปรแกรมหนังดีๆ แปลกๆ ที่หาดูได้ยาก เธอก็มักจะส่งข่าวบอกผมเสมอ อาจเพราะด้วยเหตุนี้เองที่เธอยื่นนามบัตรใบนัั้นให้ผม

ครั้งแรกที่ผมได้เห็นชื่อของเขาบนนามบัตร ผมยอมรับว่ามันไม่ค่อยกระตุ้นความสนใจผมสักเท่าไหร่
อาจเพราะตอนนั้นผมยังหลงไหลกับ หว่องการ์ไว, เควนติน ทารันติโน, แดนนี บอยล์ และ เป็นเอก รัตนเรือง อยู่ (ตอนนี้ก็ยังเป็น แต่น้อยลงเยอะแล้ว)

"ใครวะ?" เป็นคำแรกที่ผมนึกขึ้นในใจหลังจากที่ได้อ่านชื่อของเขา

หลังจากนั้นก็เธออีกนั่นแหละ ที่เป็นคนคะยั้นคะยอแกมบังคับให้ผมดูหนังเรื่องแรกของเขา
'ดอกฟ้าในมือมาร' เป็นชื่อของหนังเรื่องนั้น

"หนังอะไรวะเนี่ย!" เป็นคำแรกที่ผมอุทานขึ้นมาในใจหลังจากได้ดูมันจบ ค่าที่มันไม่มีสเปเชียลเอฟเฟ็กต์หวือหวา บทสนทนาที่คมคาย มุมถ่ายภาพอันเก๋ไก๋ การตัดต่อเร้าใจ การแสดงระดับเทพยดา และตัวละครที่เท่บาดตาเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ที่ผมเคยดูมา มันกลับเป็นเรื่องราวของคนธรรมดาๆ หน้าตาบ้านๆ ในต่างจังหวัดอันแสนจะกันดารและน่าเบื่อ ครั้งแรกที่ดูผมถึงกับหลับไปด้วยซ้ำ!!! พร้อมกับนึกในใจว่าทีหลังจะไม่เชื่อเจ๊อีกแล้ว

จนกระทั่งหนัง 'สุดสเน่หา' กับ 'สัตว์ประหลาด!' ของเขาไปคว้าสองรางวัลเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์นั่นแหละ ความสนใจของผมถึงหันเหกลับไปหาชื่อนั้นอีกครั้ง จนต้องไปขวนขวายหาหนังสองเรื่องนั้นของเขามาดู แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมหลับคาหนังทั้งสองเรื่อง!!! แต่ก็ยังนึกปลอบใจตัวเองแบบตื้นเขินว่า เอาน่า อย่างน้อยๆ กูก็ดูหนังรางวัลกับเขาเหมือนกันนาเว๊ย!

หลังจากนั้นความสนใจของผมเบี่ยงเบนไปจากเขาไปหลงไหลได้ปลื้มเหล่าบรรดาคนทำหนังประเทศนอกอีกหลายต่อหลายคนอย่าง คลินต์ อีสต์วูด, อัลฟองโซ กัวรอง, พอล โธมัส แอนเดอร์สัน, คริสโตเฟอร์ โนแลน หรือแม้กระทั่ง ปีเตอร์ ชาน, พัก ชาน วุก, ชุนจิ อิวาอิ, ฮิโรคาสุ โคริเอดะฯลฯ....

….จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมบังเอิญมีโอกาสได้ไปสัมภาษณ์พูดคุยกับเขาเนื่องจากภาระหน้าที่ในการทำงานนิตยสารเล่มหนึ่ง และวันนั้นเองที่คำตอบ ความคิด และทัศนคติของเขาช่วยไขข้อข้องใจของผมที่มีต่อหนังของเขาไปได้อยู่มากโข จนผมสัญญากับตัวเองว่า จะลองให้โอกาสกับหนังของเขาดูอีกสักตั้งหนึ่ง

แล้วอีกไม่นานวันหลังจากนั้นโอกาสที่ว่าก็มาถึง ในรอบปฐมทัศน์ของหนังอีกเรื่องของเขา 'แสงศตวรรษ'

หนังอะไรวะเนี่ย! เป็นคำอุทานในใจคำแรกคำเดิมหลังจากที่ฉากแรกในหนังของเขาปรากฎขึ้นบนจอ แต่ความหมายของมันแตกต่างจากความหมายของคำอุทานในครั้งแรกแบบหน้ามือเป็นหลังเท้า ประสบการณ์ในการดูหนังวันนั้นเปลี่ยนความคิดของผมที่มีต่อหนังของเขาโดยสิ้นเชิง! ทุกๆ เรื่องราว ทุกๆ ภาพ ทุกๆ คำพูด ทุกๆ บทสนทนา ทุกๆ ความเคลื่อนไหวของหนัง ตรึงผมอยู่ได้ตั้งแต่วินาทีแรกจนวินาทีสุดท้าย

ตั้งแต่ฉากแรกๆ ใน 'เพลงสรรเสริญภาพยนตร์' ไปจนถึงฉากท้ายๆ ของหนังที่เป็นภาพท่อของเครื่องดูดควันสีดำสนิทบนจอกับความมืดอันลึกล้ำราวกับจะดูดวิญญาณคนดูเข้าไปข้างในรูอันลึกลับของมัน ยังคงติดตรึงตาผมมาจนถึงทุกวันนี้

และเวลานั้นเอง ผมเพ่ิงจะมาเข้าใจว่า ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงอยากให้ผมดูหนังของผู้ชายคนนี้นักหนา
เพราะมันทำให้ผมค้นพบว่า ด้วยการ 'เปิดใจ' เท่านั้น ผมจึงจะสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ว่า ในหนังของเขามี 'ชีวิต' และมันเป็น 'ชีวิต' อย่างที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนในโลกมายาใบนี้ และมันทำให้ผมต้องกลับไปหวนหาเหล่าบรรดาหนังเรื่องก่อนๆ หน้าของเขากลับมาดูอีกครั้ง และเพลิดเพลินกับวิถีอันเรียบเฉื่อย เงียบงัน งดงาม ที่ไร้การเร้าอารมณ์ในหนังของเขาได้อย่างสนิทใจในที่สุด

อีกอย่าง มันทำให้ผมได้รับรู้คำตอบด้วยตัวเองในวันนั้นเองว่า การจะดูหนังของเขาให้สัมฤทธิ์ผลที่สุด จะต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

แต่ความยินดีในการค้นพบครั้งนั้นก็ต้องหยุดลงโดยสิ้นเชิงในเวลาไม่นานนัก เพราะผมและคนที่ดูหนังในรอบนั้น เป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในฉบับสมบูรณ์ในประเทศไทย!

'แสงศตวรรษ' ของเขา ประสบชะตากรรมอันเลวร้ายจากความคับแคบของกองเซ็นเซอร์เมืองไทย และลงเอยด้วยการฉายในประเทศในฉบับที่ถูกย่ำยีจนยับเยิน...

นอกจากจะเป็นคนทำหนังที่ใส่ใจกับการบอกเล่าเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ธรรมดา ของคนธรรมดาสามัญ ที่ไม่ได้รับการเหลียวแลใส่ใจในสังคม อย่างในเรื่องราวที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัดในชนบทของประเทศไทยใน 'ดอกฟ้าในมือมาร' หรือเรื่องราวของคนต่างด้าว คนชายขอบใน 'สุดสเน่หา' และเรื่องราวความรักของคนรักร่วมเพศอันแปลกแยกจากขนบ ที่เล่าผ่านนิทานปรัมปราของชายสองคนใน 'สัตว์ประหลาด!' อีกทั้งเรื่องราวของหมอหนุ่มสาวในเมืองเล็กๆ ที่ราวกับจะเป็นการจำลองภาพเสมือนของชีวิตบุพการีของเขาใน 'แสงศตวรรษ'

เขายังเป็นนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในวงการภาพยนตร์และวงการสร้างสรรค์ตัวยงคนหนึ่งอีกด้วย จากกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรมมีการจัดสรรงบประมาณอย่างไม่เป็นธรรม โดยมีการมอบเงินให้กับหนังเรื่องหนึ่งมากจนน่าเคลือบแคลง เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาเป็นตัวตั้งตัวตีในการเรียกร้อง คัดค้าน และตรวจสอบความไม่เป็นธรรมในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการจัดสรรครั้งนี้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การต่อสู้เรียกร้องของเขาครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นลุกขึ้นมาการต่อสู้ให้กับตัวเอง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อส่วนรวม เพื่อผู้ที่เสียเปรียบและด้อยโอกาส เพื่อวงการภาพยนตร์อย่างแท้จริง

ผมบังเอิญได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ก่อนที่เขาจะไปร่วมงานประกาศรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ครั้งล่าสุด ในฐานะที่หนังเรื่องล่าสุดของเขา 'ลุงบุญมีระลึกชาติ' ได้เข้ารอบประกวดสายหลักในเทศกาลภาพยนตร์ครั้งนี้ และมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะได้รับรางวัลสูงสุดของเทศกาลนี้ แต่เขาเองกลับปรารภอย่างถ่อมตัวว่าไม่มีความคาดหวัง และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รับรางวัลใดๆ ในเทศกาลครั้งนี้ คิดแต่เพียงว่าอยากรีบไปฉาย ไปทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วก็กลับบ้าน กลับมาพักผ่อน และทำงานของเขาต่อไป ก็เท่านั้น

แต่ลึกๆ ในใจของผมกลับมีความหวังและเชื่อเหลือเกินว่าเขามีโอกาสที่จะได้รางวัลครั้งนี้ ผมเชื่อว่าคนที่รักหนังของเขาทุกคนก็มีความเชื่อและความหวังเช่นนั้นเหมือนกัน

แล้วเขาก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ

การขนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หรือ รางวัลปาล์มทองคำ ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ปีล่าสุดของ 'ลุงบุญมีระลึกชาติ' ครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นแค่การคว้ารางวัลใหญ่ระดับโลกเป็นครั้งแรกของคนไทยในเวทีสากลของคนทำหนังเพียงคนเดียว ไม่ได้เป็นแค่ความสุขความภูมิใจที่เพื่อนร่วมชาติไปสร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้กับประเทศของเรา

แต่มันเป็นเสมือนดั่งของขวัญที่มอบให้กับคนทำหนัง คนดูหนัง และคนรักหนังอิสระ หนังทดลอง หนังนอกกระแส หนังเล็กๆ ที่ถูกภาครัฐ นายทุน และคนดูหนังกระแสหลักบ้านเราเหยียบย่ำ ทำร้าย และดูถูกดูแคลนเสมอมา

และชัยชนะครั้งนี้เปรียบเสมือนดั่งแสงสว่างเล็กๆ ที่ส่องประกายเข้ามาในความสิ้นหวังความมืดมนอนธกาลของบ้านเมืองเราในยามนี้

ตอนนี้ผมไม่รู้ว่านามบัตรใบนั้นหายไปไหนแล้ว แต่ผมยังจำชื่อบนนามบัตรใบนั้นได้ติดตา
ชื่อบนนามบัตรใบนั้นเขียนเอาไว้ว่า 'อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล'


Create Date : 25 พฤษภาคม 2553
Last Update : 25 พฤษภาคม 2553 2:49:21 น. 1 comments
Counter : 389 Pageviews.  
 
 
 
 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
 
 

โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 25 พฤษภาคม 2553 เวลา:6:30:00 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

panueddie
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add panueddie's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com