Group Blog
 
All blogs
 
ตอนที่ 12

12.


เสี้ยวเทียนพาทั้งคู่มาทานอาหารที่ร้านอาหารจีนร้านหนึ่งแถวเยาวราช เค้าเล่าให้ฟังว่า ร้านนี้เป็นร้านที่ถ้าเค้ามาเมืองไทยครั้งไหนแล้วพอมีเวลาว่าง เป็นต้องมากินข้าวที่ร้านนี้เป็นประจำ และด้วยรสชาดอาหารที่อร่อยสมราคาคุย จึงทำให้ในมื้อนี้ทุกคนดูจะเจริญอาหารมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเสี้ยวเทียนที่ดูจะบันเทิงเริงใจกับอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมาก

ไม่ใช่เพราะรสชาดอาหารหรอก มันก็อร่อยถูกปากอย่างที่มากินทุกครั้งน่ะแหละ... แต่เป็นเพราะปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคนต่างหาก ระหว่างที่กินข้าวกัน พาสนาที่บอกว่าไม่ได้โกรธเพื่อนเค้าในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นแล้ว กลับดูเงียบๆ ต่างจากเวลาปกติที่เป็นคนคุยเก่ง ซึ่งเค้าก็ดูออกว่ามันก็คงเป็นอาการเดียวกับที่เค้าเป็นบ่อยๆน่ะแหละ ถึงปากจะบอกว่าไม่โกรธแต่มันก็คงอดหงุดหงิดไม่ได้ แล้วเวลาหงุดหงิด เค้าก็ไม่ชอบที่จะคุยกับใครซะด้วยสิ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ แต่กลัวว่าไอ้ความหงุดหงิดของเค้าจะทำให้เผลอว๊ากคู่สนทนาเข้าให้ซะล่ะมากกว่า

ไอ้เพื่อนเค้าก็กระไร แต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเห็นหมอนี่แคร์ใครขนาดนี้ แต่กับแค่หญิงสาวตรงหน้าไม่ยอมพูดด้วยหน่อย ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยหัวเราะ เจอรี่ก็ดูจะเป็นเอามาก พยายามชวนคุย งอนง้อเอาใจสุดฤทธิ์ ทั้งรินน้ำให้ คีบกับข้าวให้ ...พาสกินนั่นสิจ๊ะ พาสลองนี่สิจ๊ะ... ทั้งๆที่มือตัวเองก็ยังเจ็บอยู่ ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะถนัด หนักๆเข้าหญิงสาวถึงกับต้องดุ เมื่อเจอรี่จะคีบอาหารให้เพิ่มทั้งๆที่ เธอมีอยู่จะเต็มจานอยู่แล้ว แล้วที่ตลกก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดแค่นั้น จะทำเอาเพื่อนเค้าถึงกับหน้าจ๋อย เหมือนเด็กถูกพ่อแม่ดุยังไงอย่างนั้นเลยแหละ


...เฮ้อ ยิ่งคิดยิ่งขำ อาเจิ้นมันท่าจะเป็นเอามาก... เสี้ยวเทียนอมยิ้มขำๆขณะที่มองดูภาพตรงหน้า เจอรี่กำลังมองตามพาสนาที่ขับรถออกไปจากร้านอย่างจ๋อยๆ เมื่อพวกเค้ากินข้าวเสร็จ แล้วแยกย้ายกันกลับที่พัก

“เฮ้ย อาเจิ้น ไปได้แล้ว” เสี้ยวเทียนออกจากเรียก เมื่อเห็นเจอรี่ยังยืนเหม่อมองตามรถที่เพิ่งจะวิ่งลับไปจากมุมถนน

“อือ” เจอรี่หันมารับคำหงอยๆ ก่อนจะเดินคอตกตามเสี้ยวเทียนไปขึ้นรถ

“เป็นไรของนายวะ ดูจ๋อยๆ” เสี้ยวเทียนออกปากถามขำๆ

...แหม ก็มันทำหน้ายังกับ หมาถูกเจ้าของเมิน ตลกจะตาย…

“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” เจอรี่ปฏิเสธ พลางก้มหน้ามองพื้น เค้านิ่งไปนิดนึงก่อนจะหันหลุดปากสิ่งที่ค้างคาในใจออกมา

“นายว่า พาสเค้ายังโกรธชั้นอยู่หรือเปล่าวะ”

“ก็มันบอกว่า มันไม่ได้โกรธอะไรนายแล้วไม่ใช่เหรอ” เสี้ยวเทียนย้อนถามยิ้มๆ

...นั่นไง เดาไว้ไม่มีผิด ทำไมซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้บ้างว๊า…

“แต่เค้าไม่ค่อยพูดเลยนะ ถามคำตอบคำ ปกติพาสเค้าไม่เป็นอย่างนี้นี่หว่า เค้าต้องยังโกรธชั้นอยู่แน่ๆเลย” เจอรี่ยังคงขมวดคิ้วอย่างกังวล

“นายอย่าคิดมากน่า ชั้นว่าพาสมันเป็นคนตรงนะ ถ้ามันบอกว่ามันไม่โกรธ ก็หมายความว่ามันไม่โกรธแล้วน่ะแหละ” เสี้ยวเทียนปลอบ พร้อมกับเอื้อมมือมาตบไหล่เพื่อนอย่างให้กำลังใจ

“แต่ชั้นว่าเค้าดูแปลกๆว่ะ ชั้นไม่สบายใจเลยเสี้ยวเทียน” เจอรี่บ่น เค้าไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เอาซะเลย ทำไมเค้าต้องแคร์ผู้หญิงคนนึงที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่วันขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวใจตัวเอง

...ก็เพราะเค้าเห็นเธอเป็นเหมือนน้องสาวไง แล้วอีกอย่างเค้าไม่ชอบให้คนรอบข้างรู้สึกไม่ดีกับเค้าด้วย... เจอรี่พยายามหาคำอธิบายให้ตัวเอง ด้วยคำตอบที่คิดว่าน่าจะเข้าท่ามากที่สุดตอนนี้

“มันก็คงหงุดหงิดอยู่น่ะแหละ คนเราเพิ่งโมโหวีนแตกขนาดนั้น ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงจะให้กลับมาร่าเริงอย่างเดิมเลยได้ไงวะ มันก็ต้องมีหงุดหงิดกันบ้าง แต่ชั้นว่ามันหายโกรธแกแล้วแหละ ไม่งั้นไม่ยอมมากินข้าวด้วยกันหรอก” เสี้ยวเทียนปลอบ ทำให้เจอรี่ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

...นั่นสิ คงเป็นอย่างที่เสี้ยวเทียนว่านั่นแหละ... ชายหนุ่มพยายามให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะก้าวตามเสี้ยวเทียนขึ้นรถตู้กลับไปยังโรงแรม ด้วยสีหน้าที่ยังไม่คลายกังวลไปซะทีเดียว



ทางด้านพาสนา หญิงสาวไม่ได้ติดใจเรื่องเมื่อตอนเย็นแล้วจริงๆอย่างที่เสี้ยวเทียนบอก เพียงแต่คนมันหงุดหงิด อยู่ดีๆจะให้มายิ้มมาหัวเราะ มันก็คงไม่ใช่ ก็เธอเป็นของเธออย่างนี้ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าตอนที่กินข้าวกัน เจอรี่พยายามจะง้อ หรือเอาใจเธอขนาดไหน

...คงคิดว่าเรายังไม่หายโกรธมั้ง... หญิงสาวนึกถึงหน้าจ๋อยๆของเค้าแล้วก็ขำ จนอดหัวเราะออกมาคนเดียวไม่ได้ ดีนะที่นั่งอยู่ในรถคนเดียว ไม่งั้นคงโดนหาว่าบ้า ที่อยู่ดีๆก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

เธอใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงคอนโดของตัวเอง จัดการทำธุระส่วนตัวซักพัก ก่อนที่จะเดินมาเปิดเพลงเบาๆเพื่อเตรียมตัวนอน เธอชอบนอนหลับไปพร้อมกับเสียงเพลงแบบนี้เสมอ มันช่วยให้เธอหลับสบายและตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น แต่ก่อนจะนอนเธอก็ยังอดคิดถึงชายหนุ่มอีกคน ที่ป่านนี้คงกลับถึงโรงแรมแล้วอย่างเป็นห่วงไม่ได้

...มือเค้าจะเป็นยังไงบ้างนะ เมื่อตอนเย็นมันดูอาการแย่มากเลย แล้วยังจะมาคอยคีบนู่นคีบนี่ให้เราอีก เจ็บแล้วไม่เจียม... หญิงสาวย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ และเพราะภาพสุดท้ายนี่เอง ที่ทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะโทรไปสอบถามอาการของชายหนุ่มอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก

...ป่านนี้คงนอนแล้วแหละ ไม่เป็นไรมากหรอก ตัวออกใหญ่... พาสนาบอกตัวเอง ก่อนจะล้มตัวลงนอน ขณะที่กำลังเคลิ้มๆอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างเตียงก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้ามา

‘ขอโทษ และขอบคุณอีกครั้งสำหรับวันนี้
นอนหลับฝันดีนะ น้องพี่
พรุ่งนี้เจอกันจ้ะ บ๊ายบาย...เกอ เกอ

ปล. อ้อ ก่อนนอนยิ้มให้พี่หน่อยสิคนดี’


ประโยคสุดท้ายของเค้า ทำเอาเธอเผลอย่นจมูกกับโทรศัพท์อย่างลืมตัว

...ถ้าเค้ายิ้มให้ แล้วตัวเองจะรู้มั้ยเนี่ย ชริ...

ส่วนมือก็กดโทรศัพท์เพื่อส่งข้อความกลับไป

‘ :) ยิ้มให้แล้วนะ
ฝันดีเช่นกัน...รักนะ จุ๊บๆ ... พาส’

เธอลงท้ายข้อความอย่างปกติ ด้วยคำพูดที่ติดปาก หารู้ไม่ว่า คำนั้น ทำเอาคนที่ได้รับยิ้มไม่หุบ เอาแต่จ้องข้อความในมือถือจนหลับไป ทั้งที่ยังมีรอยยิ้มระบายอยู่เต็มหน้า


วันรุ่งขึ้น ทั้งเจอรี่และพาสนามาถึงห้องอัดตั้งแต่เช้า เจอรี่ก็เช่นเดียวกับเสี้ยวเทียน ที่แม้ว่าจะยังไม่ถึงคิวอัดของตัวเอง แต่เค้าก็อยากมาเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานในส่วนอื่นๆด้วย

การทำงานในช่วงเช้าผ่านพ้นไปอย่างไม่มีปัญหา จนมาถึงการอัดเสียงเปียโนของเจอรี่ในช่วงบ่าย เจ้าตัวมีท่าทางเครียดและวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งประจำที่ที่แกรนด์เปียโนตัวใหญ่สีดำในห้องอัด

รอบแรกผ่านไป...ยังไม่ผ่าน อาจจะเพราะความเครียด และความกังวล ทำให้ชายหนุ่มเล่นพลาดไปเล็กน้อย

รอบที่สองผ่านไป...ก็ยังไม่ผ่าน เค้ายังคงเล่นผิดอยู่ แม้จะน้อยลง

รอบที่สามผ่านไป...คราวนี้เล่นหลุดไปทั้งท่อนเลย ท่าทางเจอรี่จะตื่นเต้นเอามากๆ เค้ามองผ่านกระจกออกมายังหญิงสาวคนเดียวที่อยู่ในห้องอัดตอนนี้พลางยิ้มเซียวๆ อย่างจะบอกว่า ...ขอโทษนะ เล่นพลาดอีกแล้ว... แต่สิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่หน้าเครียดๆหรือเสียงตำหนิ หรือแม้แต่คำพูดให้กำลังใจ พาสนาเพียงแค่ยิ้มให้เค้า พร้อมสายตาที่แสดงถึงความเข้าใจ ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชายหนุ่ม เค้ารู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาทันที

...เอาน่า อาเจิ้น นายซ้อมมันมาตั้งเป็นร้อยๆรอบแล้ว นายต้องทำได้สิ อย่าทำให้คนอื่นผิดหวัง... เจอรี่กระตุ้นตัวเอง ก่อนจะส่งสัญญาณบอกว่าพร้อมที่จะลองอีกครั้งแล้ว

รอบที่สี่...เค้าเล่นได้ดีขึ้นมาก แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เล่นไม่ผิดแล้ว ทำให้เค้ามีกำลังใจ และลดอาการเกร็งลงได้มาก

รอบที่ห้า...คราวนี้เค้าเล่นออกมาได้อย่างดี ทั้งความถูกต้องและอารมณ์เพลง ทีมงานทุกคนต่างรู้สึกทึ่งกับความสามารถของชายหนุ่ม แม้ว่าจะซ้อมมาด้วยกันหลายวัน แต่พอเห็นเค้าอัดรอบแรกๆแล้ว ทุกคนก็อดหวั่นใจไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดและเล่นได้ดีขึ้นขนาดนี้โดยอาศัยเพียงไม่กี่รอบเท่านั้น...แต่สงสัยว่ามาตรฐานของทีมงานจะยังไม่เท่ากับมาตรฐานของโปรดิวเซอร์ เพราะพาสนาขออีกรอบ!

รอบที่หก...คราวนี้ยิ่งดีขึ้นกว่าคราวที่แล้ว เจอรี่ใส่อารมณ์ลงไปในบทเพลงมากขึ้น จนดูเหมือนเค้ากลายไปเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงไปแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกว่าคราวนี้เค้าเล่นได้อย่างเยี่ยมยอด แต่...พาสนาก็ยังขออีกหนึ่งรอบ เธอรู้ว่าเจอรี่ยังทำได้ดีกว่านี้อีก ซึ่งเจอรี่ก็ไม่ได้บ่นอะไร เค้าก้มหน้าก้มตาตั้งใจเล่นต่ออย่างโดยดี

รอบที่เจ็ด...คราวนี้เป็นอะไรที่เรียกได้ว่าดีมากจริงๆ และในที่สุดพาสนาก็พยักหน้า เป็นสัญญาณว่า รอบนี้ใช้ได้ เป็นอันผ่าน จบการอัดเสียงในส่วนของเปียโนเพียงเท่านี้


การทำงานในวันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนแรกหญิงสาวเป็นห่วงว่ามือเค้าจะหายดีหรือยัง แต่เจอรี่ก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่เป็นปัญหา เค้าสามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว ความผิดพลาดในรอบแรกๆนั้น เป็นเพราะเค้าตื่นเต้นเองมากกว่า ไม่ใช่เพราะเจ็บมือแต่อย่างใด แต่ก่อนจะจากกันในวันนี้ พาสนาก็ยังไม่วายหยิบน้ำมันนวดส่งให้พร้อมกับย้ำให้เค้าคอยนวดมือตัวเองอยู่เสมอๆ จนกว่าจะหายดี ซึ่งเจอรี่ก็ยิ้มรับความปรารถนาดีนั้นอย่างซึ้งใจ

ถึงวันนี้จะไม่มีใครเอ่ยปากถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีก และพาสนาก็แสดงให้เห็นว่าไม่โกรธเค้าแล้ว วันนี้เธอกลับมาเป็นพาสนาคนเดิม ที่ร่าเริง คุยเก่ง และเอาจริงเอาจังกับการทำงาน ...คงจะจริงอย่างที่เสี้ยวเทียนว่า เมื่อวานพาสก็แค่หงุดหงิด คงไม่ได้ติดใจอะไรแล้วจริงๆ... แต่จากสายตาของเธอที่คอยมองที่มือเค้าอยู่เสมอๆ ก็ทำให้เจอรี่ก็รับรู้ได้ว่า หญิงสาวยังคงเป็นห่วงเรื่องมือเค้าอยู่ไม่น้อย


วันรุ่งขึ้นการอัดเสียงร้องเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนสาย โดยเป็นการอัดเสียงร้องของเจอรี่ก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงจะอัดเสียงคอรัส ซึ่งงานนี้พาสนาลงทุนร้องคอรัสให้ด้วยตัวเอง ตอนแรกหญิงสาวปฏิเสธที่จะรับหน้าที่นี้ เพราะไม่ได้ร้องเพลงอย่างจริงๆจังๆมานานแล้ว แต่โดนขอร้องแกมบังคับจากทั้งพี่นัท พี่ชาติ และพี่เอก ที่ต่างก็บอกว่าเสียงเธอเหมาะกับเพลงนี้มากที่สุดแล้ว และยังไม่นับว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่เธอแต่งเองอีกด้วยนะ ด้วยเหตุผลต่างๆที่พี่ๆยกมาอ้างทำเอาหญิงสาวไม่สามารถปฏิเสธได้ และพอเจอรี่รู้ว่าพาสนาจะมาร้องคอรัสให้เค้าในเพลงนี้ เค้าก็แสดงอาการดีใจจนออกนอกหน้า ยิ่งทำให้พาสนาปฏิเสธไม่ลงเข้าไปอีก ได้แต่แอบกังวลใจอยู่เงียบๆ ก็เหมือนตอนเล่นกีตาร์นั่นแหละ ทั้งสองอย่างแม้จะเป็นสิ่งที่เธอทำอยู่เสมอยามมีเวลาว่าง แต่เธอก็ห่างหายจากการเล่นกีตาร์หรือร้องเพลงอย่างจริงๆจังๆมานานแล้ว

การอัดเสียงร้องของเจอรี่ในช่วงเช้า ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เค้าใช้เวลาร้องเพียงไม่กี่รอบก็ผ่าน

...มันเหมือนเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อเค้าจริงๆ ไม่รู้ว่าจะหาใครร้องเพลงนี้ได้ดีเท่าเค้าอีกแล้ว แม้แต่เราเองก็เถอะ... พาสนาคิดในใจ เมื่อตอนที่ฟังเสียงเจอรี่ร้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในห้องอัดคนเดียว ในขณะที่คนอื่นๆออกไปพักเที่ยงกันหมดแล้ว

หญิงสาวผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หน้าแผงควบคุมที่เธอนั่งเอนๆอยู่เมื่อซักครู่ เพื่อเดินเข้าไปยังห้องอัดด้านใน ก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่ที่เปียโนหลังใหญ่ ตัวเดียวกับที่ใช้อัดเสียงเมื่อวาน นิ้วเรียวๆของเธอ ค่อยๆพรมลงบนคีย์เปียโนไปตามทำนองที่เธอจำได้อย่างขึ้นใจ พร้อมกับเสียงร้องที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง เพลงนี้ เพลงที่เธอแต่งเอง เพลงที่ชายหนุ่มที่เธอบอกกับตัวเองว่า เค้าเป็นเหมือนฮีโร่ เป็นเหมือนพี่ชายที่เธอไม่เคยมี เป็นคนที่เธออยากเอาเป็นแบบอย่าง เพิ่งร้องไปเมื่อซักครู่ เธอแค่อยากรู้ว่าเธอจะทำได้ดีเท่าเค้ามั้ย จะสามารถสื่ออารมณ์ออกมาได้เท่ากับความอบอุ่นที่สัมผัสได้ทั่วทั้งห้องอัด อย่างที่เค้าเพิ่งทำไปเมื่อสักครู่ ที่จนถึงในตอนนี้ ในยามที่เธอมานั่งที่เปียโนตรงนี้ เธอยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ เหมือนกับมีชายหนุ่มอยู่ในห้องด้วย และความอบอุ่นนี้เองที่คงส่งต่อมาถึงเธอ ทำให้เธอสามารถเล่นและร้องเพลงนี้ออกมาได้ อย่างที่ตัวเองยังตกใจ เพราะตอนที่แต่งเพลงนี้ เธอก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย


พาสนาไม่รู้ตัวหรอกว่า ใบหน้ายามเล่นเปียโนของเธอ รวมทั้งเสียงหวานๆที่เปล่งออกมา ทำเอาร่างสูงที่กำลังจะเดินเข้ามาในห้อง ต้องหยุดชะงักอยู่แค่ช่องประตู เจอรี่ที่กะว่าจะกลับมาตามหญิงสาวไปกินข้าวด้วยกัน อดจะเลิกคิ้วอย่างสงสัยไม่ได้ เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องอัดแล้วไม่เห็นหญิงสาวในห้อง ก่อนจะได้คำตอบ เมื่อได้ยินเสียงเพลงจากห้องด้านในดังออกมาตามลำโพงที่เปิดเอาไว้ เสียงเปียโนในท่อนอินโทร ยังไม่สามารถสะกดเค้าได้เท่ากับเสียงหวานๆที่เปล่งตามมา เสียงที่ทำเอาเพลงรักหวานๆ ดูหวานขึ้นอีกเป็นเท่าตัว แล้วยิ่งสีหน้าอ่อนหวานของหญิงสาวยามเล่นเปียโนที่ เค้ามองเห็นผ่านกระจก ก็ยิ่งทำให้เค้าเหมือนต้องมนต์ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ จนลืมความตั้งใจเดิมที่จะมาตามหญิงสาวไปกินข้าวไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ดูห้าวดูแกร่งอย่างพาสนา จะดูอ่อนโยนและดึงดูดสายตาคนมองได้ขนาดนี้ ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนไม่รู้ตัวว่าเพลงจบไปตั้งแต่ตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อพาสนามายืนอยู่ข้างๆแล้ว

“เกอเกอ มีอะไรหรือเปล่าฮะ ไม่ไปกินข้าวเหรอ” ไม่รู้ไอ้ท่าทางหวานๆเมื่อกี๊ไปไหนหมด ตอนนี้พาสนากลับมาเป็นเด็กใสๆห้าวๆในสายตาเค้าเหมือนเดิมแล้ว

...สงสัยเมื่อกี๊ตาฝาด... เจอรี่บอกกับตัวเองอย่างขำๆ ...เด็กห้าวๆ อย่างพาส จะดูเป็นหญิงอย่างนั้นได้ยังไง...

“ก็จะมาตามเราน่ะแหละ ไม่ไปกินข้าวหรือไง”

“พาสยังไม่ค่อยหิวน่ะฮะ เกอเกอไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวอัดเสร็จแล้วพาสค่อยกิน”

“ไม่หิวได้ยังไง กินข้าวไม่เป็นเวลา เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก” เจอรี่ดุ

“โห บอกตัวเองเหรอฮะ เกอเกอ พาสว่าเกอเกอกินข้าวไม่เป็นเวลายิ่งกว่าพาสอีกนะ ไม่กลัวเป็นโรคกระเพาะหรือไง” เจอย้อนอย่างนี้เข้าทำเอาเจอรี่เกาหัวแกรกๆ อย่างไม่รู้จะโต้แย้งยังไง

...เค้าไม่ใช่เสี้ยวเทียนนี่ จะได้หาเรื่องมาเถียงหญิงสาวได้ทุกคำ ถึงบางคำมันจะดูข้างๆคูๆไปบ้างก็เถอะ...

“ไม่รู้ล่ะ ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ก็จะกลับแล้ว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยไม่ได้เหรอ” เจอไม้นี้เข้าทำเอาพาสนาปฏิเสธไม่ลง

...จริงด้วยสินะ ลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้ เกอเกอ กับเสี้ยวเทียนก็ต้องกลับไต้หวันแล้วนี่... หญิงสาวคิดอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ ที่ผ่านมาเธอทำงานเพลินจนลืมไปเลยว่าพวกเค้ามีกำหนดอยู่ที่เมืองไทยแค่หนึ่งอาทิตย์ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วด้วย

“ไปก็ไปฮะ” หญิงสาวบอกก่อนจะเดินนำออกไปจากห้องอย่างง่ายๆ


หลังกลับมาจากพักกลางวัน ทุกคนก็เริ่มทำงานต่อทันที คราวนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่นเช่นเดียวกับช่วงเช้า พาสนาไม่ทำให้พี่ๆที่เคี่ยวเข็นให้เธอรับร้องคอรัสเพลงนี้ต้องผิดหวัง ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมบูรณ์เพอร์เฟค เป็นอันจบการทำงานในส่วนเพลงของเจอรี่ ที่เหลือก็เพียงแค่การมิกซ์เสียงเพลงต่างๆ เพื่อทำลงเทปมาสเตอร์สำหรับอัลบั้มนี้เท่านั้น ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ทั้งเจอรี่และเสี้ยวเทียนต่างก็บอกว่า ถ้าหากที่อัดไปแล้วมีปัญหา จะต้องให้เค้ามาอัดซ่อมก็ให้ติดต่อไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ


การร่วมงานกันระหว่างพวกเค้าในครั้งนี้เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย ทั้งเจอรี่ เสี้ยวเทียน แฟนนี่และเสี่ยวจือ ต่างขอบคุณทีมงานที่ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงการปิดข่าวเป็นอย่างดี ทำให้ไม่มีใครรู้ว่า ทั้งเจอรี่และเคนได้เดินทางมาอัดเสียงที่ประเทศไทย พวกเค้าต่างหวังว่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกในอนาคต

“บ๊ายบายฮะ เกอเกอ พรุ่งนี้พาสมีงาน อาจจะไปส่งเกอเกอไม่ได้ ยังไงก็ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะฮะ ฝากลาเสี้ยวเทียนด้วย” พาสนาบอก เมื่อยามที่เดินมาส่งเค้ากับแฟนนี่ที่รถตู้

“ไม่เป็นไรพาส พี่เข้าใจ มีงานก็ทำงานเถอะ” แม้จะบอกว่าเข้าใจ แต่น้ำเสียงของชายหนุ่มก็แสดงถึงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

“เอาเป็นว่า พาสจะพยายามไปให้ได้แล้วกันนะฮะ แต่ถ้างานมันไม่เสร็จ เกอเกอคงไม่โกรธพาสนะฮะ” พาสนารีบบอกอย่างอ้อนๆ เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของชายหนุ่ม

“จ้ะ พี่ไม่โกรธหรอก เรื่องแค่นี้เอง ไว้เดี๋ยวพี่กลับไต้หวันแล้วจะโทรมาหาพาสบ้างได้มั้ย” ชายหนุ่มถามด้วยสายตาคาดหวัง เพราะกลับไปนี่เค้าคงคิดถึงเธอมากๆแน่เลย ...เธอคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ...

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะฮะ” หญิงสาวตอบรับอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าแค่โทรศัพท์หา ทำไมต้องมาขออนุญาตกันด้วย

“อืม...งั้นไว้พี่โทรหา ว่าแต่โทรมาพาสต้องรับโทรศัพท์พี่ด้วยนะ ไปก่อนล่ะ บ๊ายบาย” เจอรี่บอกพลางเอื้อมมือมาลูบผมหญิงสาวตรงหน้าเบาๆ จนตอนนี้เธอเริ่มชินกับการกระทำของเจอรี่แล้ว เค้าชอบลูบผมเธอบ่อยๆอย่างเอ็นดู บางครั้งก็ขยี้ผมเธอเล่นบ้าง แต่ก่อนเธออาจจะไม่ชอบให้ใครเล่นหัว แต่กับเค้าถือเป็นกรณียกเว้นแล้วกันนะ ก็เค้าเป็นเกอเกอของเธอนี่ อ้อ! มีเสี้ยวเทียนอีกคน หมอนั่นถึงเธอไม่ยินยอม แต่ก็ชอบแกล้งมาตบหัวเธอบ่อยๆ จนหญิงสาวระอาที่จะห้ามปรามไปเอง

“บ๊ายบายฮะเกอเกอ บ๊ายบายฮะ แฟนนี่ ยินดีที่ได้รู้จักนะฮะ” ประโยคหลัง เธอหันไปพูดกับแฟนนี่ที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของเจอรี่ แม้ว่าจะเจอกันไม่กี่ครั้ง แต่เธอก็รู้สึกว่าแฟนนี่เป็นคนน่ารักและนิสัยดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

“บ๊ายบายค่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะ คุณพาสนา” แฟนนี่ตอบอย่างอารมณ์ดี อะไรลึกบอกให้เธอรู้ว่า นี่ไม่ได้ครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้พบกับพาสนาอย่างแน่นอน ซึ่งอะไรที่ว่าก็คงจะเป็นสายตาและท่าทางของเจอรี่เป็นสำคัญซะล่ะมั้ง ถึงจะเห็นไม่กี่ครั้ง แต่เธอก็รู้สึกได้ว่า ชายหนุ่มดูจะแคร์และให้ความสำคัญกับหญิงสาวร่างเล็กตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยเห็นเค้าแสดงออกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน นอกจากแม่ของเค้าเอง ซึ่งในเรื่องนี้เธอก็ไม่มีปัญหาอะไร ดีซะอีก คนดีๆอย่างเจอรี่น่าจะมีใครซักคนมาตั้งนานแล้ว ก็เพราะเค้ามัวแต่ทำงานน่ะแหละ ถึงไม่มีเวลาไปสนใจผู้หญิงคนไหนซักที แต่นี่ท่าทางจะเป็นกรณียกเว้น

...สู้ๆนะเจอรี่... แฟนนี่เชียร์ศิลปินหนุ่มที่เธอทำงานด้วยมานานอย่างเงียบๆ ...ก็ดูท่าทางสาวเจ้า ใจแข็งอยู่ไม่หยอกนี่นา...

ทั้งแฟนนี่และเจอรี่ต่างก้าวขึ้นไปนั่งบนรถตู้ ก่อนจะปิดประตู เจอรี่ยังยกมือขึ้นมาบ๊ายบายหญิงสาวที่ยืนรอส่งอยู่อีกครั้ง ก่อนรถจะเคลื่อนตัวออกไป

...ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เธอจะไปส่งเรามั้ยนะ... เค้าถามตัวเองในใจ ก็เธอเพิ่งบอกเมื่อกี๊เองนี่ว่าพรุ่งนี้มีงาน ซึ่งเค้าก็เข้าใจดี ถึงอยากจะให้เธอไปส่งแค่ไหนก็เถอะ เจอรี่บอกตัวเองอย่างเศร้าๆ ก่อนจะหลับตาจมอยู่กับความคิดของตัวเองเงียบๆ



Create Date : 13 ตุลาคม 2549
Last Update : 13 ตุลาคม 2549 23:54:44 น. 0 comments
Counter : 171 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

+mosminly+
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




หลังไมค์ถึงมอสซี่เชิญกดเลยค่ะ
Friends' blogs
[Add +mosminly+'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.