วันเวลาที่ผ่านไปของแต่ละชีวิต ที่ลิขิตด้วยตนเอง
การตั้งศพ

๗.การตั้งศพ

เมื่อบรรจุศพลงในโลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะตั้งศพนั้นไว้ที่บ้านเพื่อบำเพ็ญกุศลไปก่อนก็ดี จะเอาไปตั้งก่อิฐถือปูนไว้ หรือจะฝังก็ดี ตลอดตั้งบนเชิงตะกอนทำการเผาต้องตั้งหันศรีษะของศพไปทางทิศตะวันตกเสมอ ทั้งนี้ถือเป็นประเพณีสืบกันมา โดยมีเรื่องราวกล่าวกันว่า "เมื่อครั้งพระอิศวรกระทำการโกนจุกพระขิเนต(เห็นจะเป็นพระพิฆเนศ) พระขินายไม่ได้บอกพระอังคารให้ทราบ พระอังคารโกรธ บันดาลให้มีดมาตัดเศียรพระขิเนตพระขินายไปทิ้งในแม่น้ำ พระอิศวรจึงได้ใช้พระเพชฉลูกรรณ์ (เห็นจะเป็นพระวิศวกรรม) เอาศรีษะมนุษย์และเดียรรัจฉานที่นอนหันศรีษะไปทางทิศตะวันตก พระเพชฉลูกรรณ์ไปพบช้าง ๒ ตัวนอนหันศรีษะไปทางทิศตะวันตก จึงตัดศรีษะมาถวายพระขิเนตพระขินายๆ จึงมีเศียรเป็นช้าง" สำหรับผู้มีชีวิตอยู่ไม่นอนหันศรีษะไปทางทิศตะวันตก แม้แต่ทิศใต้ก็ไม่มีใครนิยมหันศรีษะไป โดยถือกันว่าเป็นเสนียดจัญไร เพราะเหตุนี้ แต่การตั้งศพของผู้ตายแล้วให้หันศรีษะไปทางทิศตะวันตกหรือถ้ามีความจำเป็นที่จะตั้งศพให้หันศรีษะไปแต่ทางทิศตะวันตกไม่ได้ ก็นิยมหันศรีษะไปทางทิศใต้ ไม่มีตั้งศรีษะศพไปทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือเลย

ยังมีชาวอุดรและอีสานของประเทศสยาม ซึ่งเป็นเชื้อสายสืบมาแต่ชาวล้านช้าง ถือประเพณีนอนหันศรีษะไปทางทิศใต้ทิศเดียว เรียกทิศใต้ว่า หัวนอน และเรียกทิศเหนือว่า ปลายตีน (ชนชาวแถบนี้ปลูกเรือนตามตะวัน คือ ตามยาวของเรือนไปทางทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกหน้าเรือนไปสู่ทิศเหนือนอนตามขวางของเรือน เอาหัวนอนไปไว้ทิศใต้ และเหยียดเท้าไปทางทิศเหนือ) การถือประเพณีเช่นนี้ มีผู้ใหญ่แถบนั้นเล่าให้ฟังว่าชั้นบรรพบุรุษถือกันว่าแต่เดิมมาภูมิลำเนาของเขาอยู่ตอนเหนือนี้ขึ้นไป เมื่อได้เลื่อนลงมาประกอบการอาชีพทางใต้แล้ว ก็ยังคำนึงถึงถิ่นฐานเดิมซึ่งเคยอยู่จึงได้นอนหงายหันหน้าสู่ทางเหนือ และดูเพื่อเป็นเครื่องระลึกโดยไม่ถือว่า การนอนหันศรีษะไปทางทิศใต้จะเป็นเสนียดจัญไร เหตุนี้จึงเป็นประเพณีที่นอนหันศรีษะไปทางใต้ต่อๆ กันมา จนบัดนี้

ผู้ที่ตายในตอนบ่ายหรือเย็น ซึ่งจะจัดการบรรจุศพลงโลงในวันนั้นไม่ทัน และจะจัดการในวันรุ่งขึ้น โดยเขาเอาผ้าคลุมศพไว้ก่อนก็ดี หรือศพที่บรรจุโลงเสร็จแล้วตั้งไว้ที่บ้านเพื่อบำเพ็ญการกุศลต่อไปก็ดี แต่ชั้นเดิมๆมา เขาใช้กะลามะพร้าวพร้อมทั้งเนื่อด้วยซีกหนึ่ง ใส่น้ำมันมะพร้าวใช้นมทองหลางร้อยด้ายดิบเป็นไส้ลอยในน้ำมันมะพร้าว จุดตามไว้ทางปลายเท้าศพ แต่ในกรุงเทพฯ เวลานี้ยังมีทำกันอยู่บ้าง ก็มักจะใช้ชามแทนกะลามะพร้าวบ้าง ตามด้วยตะเกียงลานบ้าง คงมีใช้กะลามะพร้าวเป็นเครื่องภาชนะเครื่องตามไฟอยู่บ้างก็แต่ตามเรือกตามสวนเท่านั้น การที่ใช้กะลามะพร้าวทั้งเนื้อเป็นที่ใส่น้ำมันตามนี้คงสอบถามได้ความตามคำบอกเล่าว่า เมื่อศพยังตั้งบำเพ็ญการกุศลอยู่ที่บ้านหลายวัน (ไม่ใช่เก็บศพไว้กับบ้าน) ก็ต้องใช้เครื่องตามไฟนี้เรื่อยไป ถ้าจะใช้แต่ตัวกะลามะพร้าวใส่น้ำมันโดยไม่มีเนื้ออยู่ด้วย กะลามะพร้าวอาจจะแห้ง ไฟจะแลบเลียทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นได้ จึงต้องใช้กะลามะพร้าวทั้งเนื้อด้วย ส่วนไฟที่จุดตามไว้นี้ ต้องคอยระวังกันไว้ไม่ให้ดับ หรือถ้าเกิดดับขึ้นด้วยความจำเป็นก็ต้องรีบจุดใหม่ทันที แต่เหตุที่ต้องตามไฟไว้นี้ บางท่านก็อธิบายไว้ว่า "จุดไว้แทนไฟธาตุของผู้ตาย" แต่บางท่านได้กล่าวไว้ว่า แต่ดิมมาพวกเราไม่มีเครื่องตามไฟที่จะใช้ในเวลาค่ำคืน มีแต่ใช้ไต้จุดกันไม่ชนะจะเขี่ย เช่น พระตามวัดที่อัตคัด ไม่มีไต้จะจุดดูหนังสือสำหรับท่องบ่นในเวลากลางคืน เวลาเย็นลงกวาดวัด ก็รวมใบไม้แห้งๆ ไวุ้มและผ่อนใส่ไฟ เพื่อหาแสงสว่างดูหนังสือสำหรับท่อง ส่วนตามบ้านใช้ไต้จุดกันเป็นพื้น เมื่อมีศพอยู่กับบ้านไม่อยากให้ศพอยู่มืดๆ เนื่องด้วยเกิดจากความกลัว ถ้าจะเอาไต้ไปจุดไว้ที่ปลายเท้าศพคงไม่มีใครรับอาสาไปนั่งเขี่ยไต้ให้ลุกอยู่ได้ตลอดรุ่ง จึงต้องตามฟด้วยน้ำมันมะพร้าว และใช้กะลามะพร้าวทั้งเนื้อเป็นภาชนะดีกว่าใช้อย่างอื่น ดังนี้

ศพที่ตั้งอยู่กับบ้านเพื่อบำเพ็ญการกุศล ในระหว่าง ๓ วันนับตั้งแต่วันตายมา มีการตั้งอาหารให้แก่ศพวันละ ๒ เวลา คือเช้ากับเย็น มีพร้อมทั้งกระโถนขันน้ำ จัดเหมือนกับเวลารับประทานอาหารในขณะที่ที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ เวลาไปตั้งเสร็จแล้วก็เคาะโลงบอกให้รับประทานอาหาร ไปตั้งไว้ราวชั่วโมงหนึ่งจึงยกกลับมา บางแห่งก็ทำการตั้งดั่งนี้ถึง ๗ วันจนทำบุญ ๗ วัน แล้วปิดศพหรือนำศพไปวัด การที่ทำเช่นนี้ได้ความว่าสืบเนื่องมาจากทางไสยศาสตร์ แต่จะมีมูลเหตุมาอย่างไรยังไม่ได้ความปรากฏ

ในระหว่างตั้งศพบำเพ็ญการกุศลอยู่ที่บ้านนี้ เวลากลางคืนมีพระภิกษุ ๔ รูป เรียกกันว่าสำรับหนึ่งสวดพระอภิธรรม ก่อนที่จะตั้งต้นสวดนั้นเมื่อเจ้าภาพได้จุดธูปเทียนเครื่องสักการะแล้วอาราธนาศีล และเคาะที่ข้างโลงบอกให้ศพรับศีล ฝ่ายพระภิกษุซึ่งเป็นผู้อาวุโสในจำนวน ๔ รูปนั้นเป็นผู้ให้ศีล เมื่อจบแล้วจึงตั้งต้นสวดพระอภิธรรมต่อไป ครั้นเวลาเช้า บางแห่งเจ้าภาพก็นิมนต์พระภิกษุ ๔ รูปนั้นฉันหน้าศพแล้วบังสุกุลบ้าง บางแห่งก็ถวายสัฆทานบ้างและบางแห่งก็ไม่มีการเลี้ยงพระ หรือถวายสังฆทาน เป็นแต่ถวายจตุปัจจัยในการสวดพระอภิธรรมเท่านั้น การถวายจตุปัจจัยแก่พระภิกษุในการสวดพระอภิธรรมนี้ แต่เดิมมามีกำหนดถวายจบละบาท คือสวดถึงเที่ยงคืนเพียง ๒ จบก็ถวาย ๒ บาท ถ้าสวดตลอดคือ ๔ จบก็ถวาย ๔ บาท แต่ต่อมาปัจจุบันนี้ ถวายไม่เป็นกำหนดแล้วแต่เจ้าภาพจะศรัทธา และการสวดพระอภิธรรมก็ไม่จำกัดว่าสวดตลอดคืนหรือครึ่งคืนจะต้องเป็นกี่จบ พระภิกษุที่สวดพระอภิธรรมซึ่งสำรับหนึ่งต้องมี ๔ รูปนั้น เพราะความประสงค์แต่เดิมมาต้องการให้เป็นความสะดวกแก่การที่เจ้าภาพจะถวายสังฆทานให้พระสงฆ์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายในเวลาเช้าแห่งวันรุ่งขึ้น เพราะจำนวนพระภิกษุ ๔ รูปนั้น เป็นจำนวนที่กำหนดอย่างต่ำแห่งความเป็นคณะสงฆ์ ส่วนการเคาะโลงให้ศพรับศีลนั้น มีบางท่านที่ได้อธิบายว่า เป็นทิฐิของพราหมณ์ซึ่งถือว่า สัตว์ตายไปแต่ร่างกาย ส่วนวิญญาณนั้นไม่ดับ บางทีชาวเราถือเอาเหตุนี้มาลองทำดูเป็นการเสี่ยง จึงได้เลยทำกันเป็นประเพณีสืบๆมา นอกจากนี้การมีสวดพระอภิธรรมหน้าศพนั้น ท่านก็ได้อธิบายไว้ว่า สวดเพื่อคนที่ยังเป็นอยู่ฟัง สำหรับจะได้พิจารณาในมรณานุสสติกัมมัฏฐาน ว่าเกิดมาเป็นสังขารร่างกายแล้วย่อมมีความตายเป็นที่สุด จะได้เป็นเครื่องดับความวิปโยคทุกข์ถึงผู้ล่วงลับไปแล้วให้บรรเทาลง และอีกอย่างหนึ่งการสวดพระอภิธรรมนั้นก็ถือกันว่า เหมือนอย่างสร้างพระอภิธรรมฉลองคุณบิดามารดาตามพุทธประเพณี จึงนิยมสวดพระอภิธรรมมากกว่าสวดอย่างอื่น





Create Date : 20 กรกฎาคม 2553
Last Update : 16 สิงหาคม 2553 13:56:59 น. 1 comments
Counter : 2187 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ..

"เห็บเกาะขา"..

ทำให้คนไทยมีสุขภาพดีได้ยังไง?

ลองแวะมาดูเฉลยที่blogของอ้อมแอ้มนะค่ะ..ฮิๆ


อ้อมแอ้มเคยอ่านหนังสือ

เตรียมก่อนตาย..น่าสนใจนะค่ะ


โดย: คนผ่านทางมาเจอ วันที่: 22 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:33:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ลมตะเภา
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับทุกท่านทุกเพศทุกวัย






Google



website analytics and web stats guide
powered by website analytics guide.

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ลมตะเภา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.