อ่านหนังสือ : Nightwatch ผู้พิทักษ์แห่งรัตติกาล
เคยดูหนังรัสเซียในชื่อเดียวกัน Nightwatch เรื่องราวของฝ่ายสว่างกับฝ่ายมืดที่ต่อสู้ชิงไหวพริบกันเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับฝ่ายตัวเอง ที่แน่นอนก็คือฝ่ายมืดนั้นคือฝ่ายที่ก่อเรื่องราวให้เกิดปัญหา ตามติดมาด้วยภาคสองในชื่อว่า Daywatch
จากการค้นทางเน็ตพบว่าหนังสร้างจากหนังสือในชุด Watch ทั้งหมด 4 เล่ม ได้แก่ Nightwatch, Daywatch, Twilightwatch และ Lastwatch โดยนักเขียนชื่อเซอร์เก ลุกยาเนนโก (Sergei Lukyanenko) นักเขียนรัสเซีย มีการแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว เมื่อรู้เช่นนี้ฉันจึงเฝ้ารอว่าหนังน่าจะมีภาคต่อออกมาอีก 2 ภาค
ชอบแนวของเรื่องราว ที่สร้างออกมาเหนือจริง ฉูดฉาด รวดเร็ว อยากอ่านแต่คิดว่าคงอ่านยาก แล้วเมื่อราวเดือนก่อนได้ไปเห็นหนังสือ Lastwatch ภาคภาษาไทยในร้านหนังสือ แปลโดยคุณสุวิทย์ ขาวปลอด พิมพ์โดยสำนักพิมพ์วรรณวิภา จึงออกตามหาหนังสือมาอ่าน เริ่มจากภาคแรก Nightwatch
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าใครที่คิดว่าหนังสือจะมีอะไรเหมือนกันกับหนังล่ะก็ ขอให้ปรับเปลี่ยนลบความทรงจำของหนังทิ้งให้เกือบหมด หนังเอาเรื่องราวในหนังสือมาขยำๆ แยกส่วน คัดกรอง แล้วเลือกเอาบางส่วนออกมาใช้ สร้างของใหม่เพิ่มเติมเข้าไปจนออกมากลมกล่อมในแนวทางของหนังที่แตกต่างจากหนังสือ
หนังสือเล่ม Nightwatch ฉบับแปลนี้หนา 640 หน้า แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น 3 ภาค เมื่ออ่านจบคุณก็จะรู้ว่าในหนังที่ชื่อว่า Nightwatch นั้นนำแกนเรื่องมาจากภาค 1 ส่วนหนัง Daywatch นั้นนำเอาแกนเรื่องบางส่วนของภาคที่ 2-3 ของเล่มแรกนี้มารวมกัน ดังนั้น Daywatch เวอร์ชั่นภาพยนตร์จึงน่าจะไม่ใช่เวอร์ชั่นเดียวกับ Daywatch ภาคหนังสือ (ไว้รออ่านเล่ม Daywatch ก่อนถึงจะบอกได้ค่ะ)
สำหรับบล็อคนี้จะเป็นเรื่องของ Nightwatch ภาคหนังสือที่แปลโดยคุณสุวิทย์ ขาวปลอด
เรื่องราวในหนังสือบอกเล่าว่าโลกเรานั้นปะปนไปด้วยคนอีกกลุ่ม (The Other) ที่มีพลังพิเศษเหนือคนธรรมดา คนอีกกลุ่มนี้บางคนเกิดมาเพื่อเป็นฝ่ายมืดหรือฝ่ายสว่างตั้งแต่เกิด เช่นพวกแวมไพร์หรือหมาป่า (เรื่องนี้ไม่ค่อยแน่ใจนักนะคะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น) แต่ก็มีอีกกลุ่มที่เลือกได้ว่าต้องการเป็นฝ่ายมืดหรือสว่าง และยังเลือกได้อีกว่าต้องการเข้าร่วมกลุ่ม watch เพื่อพัฒนาพลังพิเศษขึ้นหรือจะอยู่แบบคนธรรมดาที่มีพลังพิเศษเพียงเล็กน้อย พวกเขาเกิดมาจากพ่อแม่ที่เป็นคนธรรมดาทั้งสิ้น
เมื่อพันปีก่อน ฝ่ายมืดและสว่างได้จับมือกันเลิกสงคราม และดำรงไว้ซึ่งความสมดุลย์ โดยต้องมีคนของอีกฝ่ายเป็นผู้คอยตรวจสอบอีกฝ่าย ฝ่ายสว่าง (Light) ตั้งผู้ตรวจสอบฝ่ายมืดในชื่อว่า Nightwatch ในอีกด้าน ฝ่ายมืด (Dark) ก็ตั้งผู้ตรวจสอบฝ่ายสว่างในชื่อว่า Daywatch
พวกเขามีข้อตกลงกันหลายอย่าง การใช้พลังพิเศษของตัวเองกับมนุษย์จะก่อให้เกิดการแทรกแซงที่ทำไม่ได้ เช่น ฝ่ายสว่างใช้พลังช่วยเหลือคนที่กำลังจะตายไม่ได้ และฝ่ายมืดก็ใช้พลังฆ่าคนไม่ได้ด้วยเช่นกัน โดยอาจมีการอนุโลมกันและกันบ้างในบางกรณี เช่น ใบอนุญาตให้ฝ่ายมืดฆ่าคนได้บ้างเพื่อดำรงชีวิต หรือการแทรกแซงเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ส่งผลกับชีวิตคน
ในภาคแรกของหนังสือเราจะได้ทำความรู้จักกับตัวเอกของเรื่องก็คือ อันทอน พนักงานดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของ Nightwatch ซึ่งจู่ๆ ก็ถูกส่งออกไปทำงานภาคสนามในการติดตามแวมไพร์ที่กำลังออกล่าสังหารคน ระหว่างนี้เขาก็ได้พบกับหญิงสาวผู้หนึ่ง สเวตลาน่า ที่มีลมหมุนก่อตัวเหนือหัว เนื่องจากถูกฝ่ายมืดบางคนสาปแช่ง เขาต้องรับหน้าที่คลี่คลายคำสาปนี้ให้ได้ก่อนที่ลมหมุนนี้จะก่อตัวใหญ่โตและกลืนกินทุกคนในมอสโคว์ ไม่เพียงแต่สเวตลาน่าเท่านั้น
ตัดมาที่การตามล่าแวมไพร์ที่ทำผิดกฎของ watch เขาได้พบกับแวมไพร์หนุ่มหนึ่งตนที่กำลังสอนสาวแวมไพร์ตัวใหม่ให้หาเหยื่อซึ่งเป็นเด็ก 12 ขวบที่มีแววว่าจะเป็นผู้มีพลังสูงสุดในยุคนี้ เด็กคนนี้ชื่อว่า อีกอร์ อันทอนได้สังหารแวมไพร์หนุ่มและปล่อยให้แวมไพร์สาวมือใหม่ให้หลุดรอดไปได้ และเขาจึงต้องรับหน้าที่ในการป้องกันอีกอร์จากการกลับมาเอาคืนจากแวมไพร์สาวที่กำลังหิวโหยตนนั้น และชักจูงให้อีกอร์เลือกมาอยู่กับฝ่าย "สว่าง"
พวกเขามีสถานที่ลับที่เข้าไปได้เฉพาะคนที่มีพลังพิเศษที่ฝึกฝนมาเท่านั้น นั่นคือมิติทไวไลท์ อันเป็นโลกที่อยู่คู่ขนานกับโลกของเรา แต่เวลาในนั้นจะเดินเร็วกว่า เมื่อเข้าไปในนั้นคุณจะมองออกมาเป็นโลกของเราเป็นภาพที่เชื่องช้า และในมิติทไวไลท์ก็ยังมีมิติที่ลึกลงไปอีก ซึ่งการเข้าไปนั้นหากไม่มีพลังเพียงพอคุณอาจกลับออกมาไม่ได้ เพราะมันจะกลืนกินพลังและตัวคุณไว้เป็นอาหารของมัน
ในปฏิบัติการเราจะได้พบกับตัวละครอื่นๆ ที่สำคัญในเรื่องราว ทั้ง เกซาร์ หัวหน้า Nightwatch ประจำมอสโคว์ และซาบุลอน หัวหน้า Daywatch ประจำมอสโคว์เช่นกัน โอลก้า นักแปลงร่างที่ถูกทำโทษให้อยู่ในร่างนกฮูกมานาน 80 ปี ที่ถูกส่งไปช่วยเหลืออันทอนในงานนี้ รวมถึงตัวละครรองๆ หลายตัว
หนังสือจะมีการโต้เถียงกันอยู่หลายต่อหลายครั้งในประเด็น "ความดี" และ "ความชั่ว" ที่บ่อยครั้งมันไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นขาวกับดำชัดเจน ความดีบางอย่างก็น่ากังขา ความชั่วบางอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายจริงๆ เส้นแบ่งความดีความชั่วจึงออกมาเลือนลาง ถือว่าเป็นหนังสือแนวแฟนตาซีที่ให้มุมมองด้านปรัชญาที่ลึกซึ้งทีเดียว อ่านไปก็ชักมึนพอสมควร ประกอบกับตัวหนังสือที่น่าจะไม่มีการพิสูจน์อักษรอย่างละเอียดนัก จึงมีทั้งคำผิดและการเว้นวรรคที่ผิด สร้างความมึนงงหนักเข้าอีกเมื่อได้อ่าน
เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง คุณจะพบว่าฝ่ายมืดและฝ่ายสว่างเองก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ต่างก็เต็มไปด้วยแผนการเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยมีคนอื่นเป็นเบี้ยที่จะโยนทิ้งเมื่อไรก็ได้ ถือเป็นการสูญเสียที่จำเป็นและยอมรับได้ ดังนั้นจงฟัง ใคร่ครวญ และเลือกทางของตัวเอง อย่าให้ใครจูงจมูกคุณได้ล่ะ
Create Date : 12 กรกฎาคม 2555 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2555 8:24:00 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2074 Pageviews. |
|
|
ผมชอบประเด็นในหนังสือ และความคิดแบบแหวกแนวของผู้เขียน (ส่วนตัวไม่เคยอ่านนิยายรัสเซียมาก่อน) ผมอ่านหนังสือแล้วไปดูหนัง ก็รู้สึกหงุดหงิดแทนหนังสือเหมือนกันครับ แต่ก็พอเข้าใจอยู่เพราะเนื้อหาในหนังสือจะเอาไปตีแผ่ภายในเวลา 2 ชั่วโมงคงไม่สามารถทำให้คนดูเข้าใจ หนังเลยต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้ดูเรียบง่ายขึ้น
แต่ก็ประทับใจหนังเหมือนกันนะครับ ที่ไม่ได้ใส่เอ๊คเฟคเว่อๆ หรือฉากอลังการตามากมาย หนังไม่ได้ทำให้คนดูเห็น แต่ทำให้คนดูรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นแทน
ที่ผมชอบมากที่สุดคงเป็นซาวูลอน แม้ในหนังจะดูเกรียนนิดๆ แต่ตามเนื้อหานิยาย เขาก็ดูเป็นอย่างนั้น แต่ในหนังสือนี่โหดกว่าเยอะ
สรุปว่าชอบทุกอย่าง หะหะ เสียดายที่อ่านจบ 4 เล่มแล้ว อารมณ์ยังค้างอยู่เลย