หัวใจรักสัตว์อสูร บทที่ 1
เมื่อณชวดิจำต้องไปเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับดาราหนุ่มกลวัชร
ครั้งแรกเธอรู้สึกไม่ชอบนิสัยเย็นชา เอาแต่ใจของเขา
แต่พออยู่ใกล้ชิดกันแล้วหญิงสาวกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนอบอุ่น
และเมื่อได้รู้ความลับว่าแท้จริงแล้วพระเอกหนุ่มผู้นี้คืออะไร
รวมถึงที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้
เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่จากใครบางคน
เธอจึงหันมาให้ความร่วมมือและหลงรักเขาโดยไม่รู้ตัว

หัวใจรักสัตว์อสูร

บทที่ 1

เสียงรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีตดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดยามราตรี จังหวะการก้าวที่เป็นไปอย่างรัวเร็วบ่งบอกว่าเจ้าของรองเท้าคู่นั้นกำลังอยู่ในอาการเร่งรีบ ดวงตาคมเข้มกวาดมองรอบตัวอย่างหวาดระแวงก่อนจะเลื่อนกลับไปมองหญิงสาวที่ลากตามมาด้วย สีหน้าและท่าทางที่เหนื่อยอ่อนของเธอกับการก้าวที่เชื่องช้าลงทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ เขาดึงข้อมือของเธอค่อนข้างแรงพร้อมกับตะคอก

“เร็วหน่อยได้ไหม!”

“ฉันเหนื่อย ขอพักก่อน” หญิงสาวตอบพลางหอบหายใจและทำท่าจะหยุดวิ่งแต่อีกฝ่ายกลับบีบแขนเธอแน่นและพูดเสียงกร้าว

“เดี๋ยวแกได้พักแน่ แบบตลอดกาลด้วย” เขาออกแรงลากเธออีกครั้ง หญิงสาวพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่อาจสู้กำลังของชายหนุ่มได้ ในที่สุดเธอจึงจำใจต้องวิ่งตาม พลันบังเกิดแสงไฟวับวาบลอดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามาพร้อมเสียงสัญญาณฉุกเฉินและเสียงล้อรถหลายคันหยุดที่หยุดพรืดหน้าอาคารทำให้ผู้กำลังหนีหยุดชะงักในขณะที่หญิงสาวเหยียดยิ้ม

“นายเสร็จแน่”

“หุบปาก!”

ชายหนุ่มตวาดลั่นและรีบกวาดตามองหาทางหนีแต่ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจดังผ่านเครื่องกระจายเสียง

“นายปรพลขอให้มอบตัวเดี๋ยวนี้ เจ้าหน้าที่ได้ล้อมโกดังนี่ไว้หมดแล้ว ตอนนี้นายไม่มีทางหนีและอย่าได้คิดต่อสู้ขัดขืนหรือทำร้ายตัวประกันเป็นอันขาดเพราะถ้าทำแบบนั้นนายอาจไม่มีทางรอด วางอาวุธและก้าวออกมาแต่โดยดีอย่าให้พวกเราต้องใช้กำลัง”

คำเตือนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้ปรพลขบกรามด้วยความแค้น ปืนในมือถูกกำแน่นก่อนจะถูกยกขึ้นจ่อศีรษะของหญิงสาว

“สมองแม่นี่กระจายแน่ถ้าพวกแกก้าวเข้ามา”

ชายหนุ่มตะโกนสวนเสียงดังและเหยียดยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตำรวจตอบกลับมา

“อย่าทำแบบนั้น...”

“เตรียมรถให้ฉัน และปล่อยพวกเราไปจนถึงชายแดน” ปรพลร้องสั่งอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่าแต่ความลำพองนั้นต้องดับวูบลงเมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง

“นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”

ปรพลหันกระบอกปืนไปหาเจ้าของเสียงทันที ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างผู้พูดเต็มตา

“จรณ์!”

“ปล่อยคุณนิตาเดี๋ยวนี้” จรณ์พูดเสียงเข้ม ปรพลแค่นหัวเราะพร้อมกับเลื่อนปืนกลับไปจ่อที่ศีรษะของนิตาอีกครั้ง

“นายมาเพื่อจับฉันหรือช่วยผู้หญิงคนนี้กันแน่”

“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำอีกครั้ง” จรณ์พูดเสียงเรียบพลังก้าวเท้าไปข้างหน้า อีกฝ่ายรีบขยับถอยหลัง เสียงขึ้นลำกล้องปืนดังกริ๊กเบาๆ

“ขืนเข้ามาอีกก้าวนังนี่หัวกระจุยแน่”

“ไม่ต้องห่วงฉัน” นิตาพูดแทรกขึ้นแต่ต้องร้องอุทานเสียงลั่นเมื่อถูกปรพลใช้แขนกระแทกลำคอค่อนข้างแรง

“เงียบ!”

เขาเลื่อนสายตาไปมองจรณ์อีกครั้งและอ้าปากค้างเมื่อพบว่าอีกฝ่ายหายตัวไปแล้ว
ปรพลรีบหมุนศีรษะมองหาด้วยความหวาดกลัว ปืนในมือกวาดไปโดยรอบในลักษณะพร้อมจะลั่นไก

“แกอยู่ไหนไอ้นักล่า!”

เขาตะโกนลั่นอย่างคั่งแค้นและร้องลั่นอย่างตระหนกเมื่อร่างของจรณ์ปรากฏขึ้นตรงหน้า ปรพลระเบิดกระสุนทันทีแต่อีกฝ่ายปัดปากกระบอกปืนให้เบี่ยงออกไปได้ทัน

“แก!”

จอมวายร้ายร้องด้วยความแค้นพลางผลักร่างของนิตาเข้าไปหาจรณ์พร้อมกับยกปืนขึ้นเล็งหมายจะยิงทั้งคู่แต่กลับถูกอีกฝ่ายหมุนตัวเหวี่ยงเท้าเตะอย่างแรงจนอาวุธหลุดจากมือกระเด็นตกไปไกล ปรพลยืนอ้าปากค้างแต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรเขาก็ถูกกำปั้นของจรณ์ก็เสยเข้าที่ปลายคาง ร่างของคนชั่วร่วงลงไปนอนกองกับพื้นทันที ชายหนุ่มรีบจับเขาใส่กุญแจมือก่อนจะหันไปมองนิตา

“บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับวิ่งไปกอดจรณ์แน่นพร้อมกับซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง

“ฉันรู้แล้วว่าคุณต้องมาช่วย” นิตาพูดเสียงหวานพลางเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม เขายิ้มอย่างอ่อนโยน

“ผมไม่ยอมให้คุณตกอยู่ในอันตรายหรอก นิตา”

วงแขนกอดกระชับร่างหญิงสาวแน่น ใบหน้าคมสันโน้มลงอย่างช้าๆ นิตาพริ้มตาลงพร้อมกับเผยอริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อรอรับจุมพิตแสนหวานจากคนรัก หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อสัมผัสกับลมหายใจที่แสนจะอบอุ่นของอีกฝ่าย

“คัท!”

เสียงจากชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เขียนไว้ว่า ‘ผู้กำกับ’ ดังขึ้น ชายหนุ่มคลายอ้อมแขนออกทันทีในขณะที่หญิงสาวกระแทกลมหายใจค่อนข้างแรง

“จะรีบคัทไปทำไมกันนะ” เธอบ่นพึมพำพลางชายสายตามองไปยังพระเอกหนุ่มอย่างนึกเสียดายก่อนจะเดินสะบัดไปยืนอีกด้าน เจตช่างแต่งหน้าประจำกองถ่ายรีบจัดแจงหยิบกระดาษซับมาแตะหน้าเธออย่างคล่องแคล่วพร้อมกับถามอย่างประจบ

“เหนื่อยมั้ยคะคุณตา”

“โดนลากไปลากมาแบบนั้นใครไม่เหนื่อยบ้างยะ” นางเอกสาวกระชากเสียงตอบ อีกฝ่ายหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยแต่เพราะรู้ถึงกิตติศัพท์เรื่องความเจ้าอารมณ์และการเอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจของกวิตา ดาราสาวผู้มีชื่อเสียงในเวลานี้ดี ช่างแต่งหน้าประเภทสองประจำกองถ่ายจึงรีบยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องพูด

“แต่คุณตาโชคดีนะคะที่ได้เล่นหนังคู่กับพระเอกอย่างคุณกลวัชร ยิ่งเป็นฉากกอดกันฉันน่ะอิจฉาคุณจนอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆเลยล่ะค่ะ”

“ก็แค่ได้กอดกันเท่านั้น ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นฉันคงได้มากกว่านี้” กวิตาพูดอย่างมีอารมณ์พลางชำเลืองสายตาไปทางจรายุทธ ผู้กำกับฝีมือดีซึ่งกำลังยืนตรวจฉากที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อครู่ด้วยท่าทางที่ดูเคร่งเครียดอย่างไม่พอใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังกลวัชร นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่ที่กำลังยืนอ่านบทอย่างเงียบๆเพียงลำพัง เจตมองตามสายตานางเอกสาวและยิ้มอย่างรู้ทัน

“หล่อไม่ใช่เล่นเลยนะคะ”

“ก็พอดูได้เท่านั้น” กวิตาพูดพางสะบัดหน้าเมินมองไปด้านอื่น ช่างแต่งหน้าผู้เจนจัดเปิดชุดเครื่องแต่งหน้าและใช้พู่กันแตะลงไปบนบรัชออนก่อนจะยกขึ้นปัดไปบนแก้มของนางเอกสาวอย่างบรรจง

“แบบนี้น่ะไม่เรียกว่าพอดูได้แล้วล่ะค่ะ เจตว่าในบรรดาพระเอกนักร้องในตอนนี้ คุณกลวัชรเนี่ยหล่อที่สุด คนอะไรไม่รู้หุ่นก็เท่ ตาก็สวยแถมยังเก่งอีกต่างหาก เห็นแล้วอยากโดดเข้าไปกอดไปฟัดให้หายมันเขี้ยว”

“อย่างแกคงโดนถีบตั้งแต่เข้าไปยืนใกล้ๆแล้วล่ะนังเจต” กวิตาพูดสวนด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะหันไปมองพระเอกหนุ่มซึ่งยังคงยืนนิ่งในท่าเดิม “ขนาดฉันยังได้แค่กอด ฉากจูบก็โดนตัด แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ เชอะ!ไม่รู้ผู้กำกับจะหวงพระเอกคนนี้ไปถึงไหน”

ดาราสาวลอยหน้าลอยตาพูดโดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังยืนฟังอยู่ใกล้ๆ จะประโยคสุดท้ายจบลงเสียงทุ้มจึงดังขึ้น

“เจ้าวัชรเป็นดาราหน้าใหม่เนื้อหอม คุณยุทธเขาไม่ยอมให้ปลาช่อนตัวไหนมาตอดมาแทะเล่นได้ตามใจหรอก”

กวิตาสะดุ้งและหันไปมองทันที เมื่อเห็นว่าผู้พูดคืออเสข ชายหนุ่มเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของกลวัชรผู้รับบทจอมวายร้ายปรพล เธอจึงทำตาวาว

“แกว่าใครเป็นปลาช่อน”

“ไม่รู้สิ คนไหนรับก็คนนั้น” อเสขตอบด้วยท่าทางยียวน ดาราสาวเม้มปากแน่น

“อย่ามาทำซ่ากับฉันนะไอ้ตัวประกอบ”

“ผมไม่ใช่โซดา จะได้ซ่าจนหยดสุดท้ายและก็ไม่ได้เป็นตัวประกอบ แต่เป็นนักแสดงสบทบกิตติมศักดิ์” อเสขลอยหน้าลอยตาตอบกวิตากำมือแน่น

“อย่ามาทำเล่นลิ้นกับฉันนะ” ดาราสาวตวาดเสียงลั่นก่อนจะหันไปคว้าตลับแป้งบนโต๊ะโยนใส่ชายหนุ่มทันที อเสขรีบเบี่ยงตัวหลบและโกยอ้าวไปหากลวัชรโดยมีเสียงร้องวี้ดว้ายของเจตดังไล่หลัง

“ตายแล้วอย่าทำแบบนี้สิคะคุณกวิตา” ช่างแต่งหน้าพูดพลางพลางวิ่งไล่เก็บข้าวของที่ถูกดาราสาวขว้างไปทั่ว เสียงเอะอะทำให้ทุกคนหยุดการทำงานและหันมามองดาราสาวที่กำลังอาละวาดราวกับคนเสียสติด้วยความงงงัน บางคนส่ายหัวก่อนจะหันกลับไปทำงานตามเดิมในขณะที่บางคนรีบยกโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายอย่างนึกสนุก เหตุการณ์คงไม่จบลงง่ายๆหากจรายุทธ ผู้กำกับประจำกองถ่ายเดินเข้ามาถาม

“เล่นอะไรกันน่ะ”

“ไอ้ตัวประกอบคนนั้นมาแกล้งตาค่ะ” ดาราสาวรีบฟ้อง ผู้กำกับหันไปมองอเสขที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างกลวัชรก่อนจะหันกลับมาที่กวิตาอีกครั้ง

“เจ้าเสขมันคนขี้เล่น จะไปถือสาหาความอะไรกับมัน”

“ขี้เล่นอะไรกันคะ เมื่อกี้มันว่าตาเป็นปลาช่อนแถมยังพูดยอกย้อนอีกตั้งเยอะ ตาไม่ชอบผู้ชายคนนี้ คุณยุทธเปลี่ยนคนเล่นใหม่ได้ไหมคะ” กวิตาออดอ้อนแต่อีกฝ่ายกลับนิ่วหน้า

“เราถ่ายกันมาจนเกือบจะจบตอนแล้ว ขืนเปลี่ยนใหม่มีหวังไม่ทันออกอากาศแน่ เอาน่าคิดซะว่าเป็นเรื่องหยอกล้อกันสนุกๆคลายเครียดก็แล้ว อย่าคิดมากเตรียมตัวเข้าฉากต่อไปดีกว่าคุณกวิตา”

จรายุทธปลอบแต่ดูเหมือนดาราสาวจะไม่ยอม เธอคว้าบทที่วางอยู่บนโต๊ะขว้างลงพื้นพร้อมกับตะโกนลั่น

“ตาไม่ถ่าย!” กวิตามองหน้าผู้กำกับก่อนจะชี้มือไปที่อเสข “ถ้าไม่ไล่เจ้าบ้านี่ออกตาก็ไม่เล่นหนังเรื่องนี้เหมือนกัน”

“โธ่อย่าเรื่องมากได้ไหมคุณตา” ผู้กำกับพูดอย่างอ่อนใจก่อนจะหันไปทางอเสขที่กำลังยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ข้างกลวัชรพร้อมกับส่ายหน้า “เล่นอะไรไม่เข้าเรื่องจริงๆ รีบไปขอโทษคุณตาเดี๋ยวนี้เลยเจ้าเสข”

“ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นทำไมต้องมาขอโทษขอโพยอะไรกันด้วยล่ะครับ” อเสขตอบพลางยกมือขึ้นกอดอก จรายุทธเกาหัวแกรก

“จะล้อเล่นก็ต้องมีขอบเขต คุณไปว่าผู้หญิงเขาเสียๆหายๆแบบนี้ใครบ้างจะไม่โกรธ”

“ผมไปว่าอะไรเขา”

“คุณไปว่ากวิตาว่าเป็นปลาช่อน”

จรายุทธพาซื่อตอบ อเสขหัวเราะก๊ากออกมาทันที

“ผมแค่บอกว่าผู้กำกับหวงเจ้าวัชรไม่อยากให้โดนปลาช่อนมาตามแทะ ไม่ทราบว่าประโยคนี้มีชื่อคุณกวิตาคนสวยอยู่ตรงไหน”

ชายหนุ่มหันไปยักคิ้วและส่งยิ้มยียวนให้กับผู้ที่กำลังกล่าวถึง กวิตาโกรธจนหน้าแดงก่ำในขณะที่จรายุทธขมวดคิ้ว

“นั่นสิ ไม่เห็นมีชื่อคุณตาเลยนี่นา คุณคงเข้าใจไปเองมากกว่า” ผู้กำกับใหญ่พูดพลางหันไปทางดาราสาวที่ยืนหน้าบึ้ง “เอาเป็นว่าเป็นการเข้าใจกันผิด ทีนี้ก็กลับไปทำงานกันได้แล้วนะครับคุณกวิตา”

“คุณยุทธ!” กวิตาเตรียมจะโวยวายต่อแต่ต้องหยุดเมื่อจรายุทธยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับพูด

“ผมจะเพิ่มบทให้กลวัชรหอมแก้มคุณก็แล้วกัน หอมกันแบบจริงๆไม่ใช้มุมกล้องช่วย ตกลงไหม”

คำพูดของผู้กำกับใหญ่ทำให้นางเอกสาวยิ้มกว้างในขณะที่กลวัชรเบิกตาโพลง

“แต่ผมไม่...”

“ก็ได้ค่ะ” กวิตารีบพูดทันควันพลางส่งสายตาหวานฉ่ำไปทางพระเอกหนุ่ม เขานิ่วหน้าและหันไปมองอเสขพร้อมกับบ่น

“หาเรื่องเดือดร้อนให้ฉันแท้ๆเลยนะเจ้าเสข”

“แค่หอมแก้มเท่านั้น เอาจมูกแตะผ่านๆก็พอแล้วน่า” เพื่อนตัวแสบกระซิบบอกแต่กลวัชรส่ายศีรษะอย่างเอือมระอาก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านบทในฉากที่จะถ่ายทำอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อทำความเข้าใจกับบทดีแล้วเจตจึงรีบเข้าไปเติมแป้งและแต้มริมฝีปากอีกเล็กน้อยจนใบหน้าที่หล่อเหลาเพิ่มความคมเข้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นการถ่ายทำจึงเริ่มขึ้นอีกครั้งและดำเนินไปจนเกือบรุ่งสางจึงเสร็จสิ้นลง เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วนักแสดงทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตัวเองเหลือเพียงเจ้าหน้าที่บางคนรวมทั้งจรายุทธที่ยังคงอยู่ในกองถ่ายเพื่อเก็บงานบางส่วนให้เสร็จก่อนกลับบ้าน หลังจากดูภาพการถ่ายทำที่เพิ่งผ่านไปได้สักระยะ มนัส ช่างกล้องมือหนึ่งประจำกองถ่ายจึงพูดขึ้น

“ผมว่าแสงตอนที่รถตำรวจวิ่งเข้ามาจอดมันอ่อนไปนะครับ”

“ใช้คอมพิวเตอร์ปรับทีหลังก็ได้” จรายุทธพูดทั้งที่สายตายังคงจ้องอยู่กับภาพในจอและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อถึงฉากที่กลวัชรกระโดดหลบกระสุนของตัวร้าย เขากลอภาพกลับและย้อนดูอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากถาม

“นั่นอะไร”

“ไหนครับ” มนัสถามพลางก้มหน้าลงจ้อง จรายุทธย้อนภาพกลับอีกครั้งและหยุดนิ่งไว้อย่างนั้นก่อนจะชี้นิ้วไปที่จอ

“เงาดำๆตรงมุมห้องน่ะ เห็นมั้ย”

มนัสเพ่งสายตาไปที่ภาพและเลิกคิ้วเมื่อเห็นเงาของใครบางคนปรากฏขึ้นตรงมุมห้องด้านหลังกลวัชร แต่เป็นการเห็นแค่แว่บเดียวก่อนจะหายไป

“อาจจะเป็นเงาสะท้อนของพวกตัวประกอบที่อยู่ด้านนอก”

“แต่ผมไม่คิดว่าใช่เพราะมันอยู่หลังลังไม้อีกทีแถมดูยังไงก็ไม่ใช่เงาของคน ดูให้ดีสิมันดูคล้ายๆหมาหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า”

“หมาอะไรจะตัวสูงขนาดนั้นครับคุณยุทธ แถมก่อนถ่ายทำพวกผมก็ตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครหรือตัวอะไรอยู่ในโกดังนั่น มันอาจจะเป็นแค่เงาของอะไรก็ได้อย่าไปสนใจมันเลยครับเดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่ตัดต่อจัดการลบมันออกซะ”

มนัสอธิบายยืดยาว จรายุทธนิ่งไปเล็กน้อยก่อนผงกศีรษะและลุกขึ้น

“ก็อาจจะเป็นไปได้ งั้นคุณช่วยจัดการให้ด้วยเสร็จแล้วเอามาให้ผมตรวจอีกรอบก่อนส่งไปให้ทางสถานี เร่งมือหน่อยเพราะเรามีเวลาแค่สองอาทิตย์เท่านั้น”

“ครับ”

“เอาล่ะทุกคนเหนื่อยกันมาทั้งวัน รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้วกลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้เจอกันที่สตูดิโอบ่ายสามโมง”

จรายุทธสั่งก่อนหันไปหยิบกระเป๋าและหอบเอกสารกองใหญ่เดินตรงไปที่รถ หลังจากวางสัมภาระทุกอย่างลงเบาะด้านหลังแล้วผู้กำกับใหญ่จึงหันไปโบกมือให้กับลูกน้องก่อนจะก้าวขึ้นรถและขับออกไปโดยไม่รู้ว่ากำลังถูกดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองอย่างมุ่งร้ายอยู่ในมุมมืดอีกด้านหนึ่งของโกดัง

*/*/*/*/*



Create Date : 26 พฤษภาคม 2554
Last Update : 26 พฤษภาคม 2554 14:23:19 น.
Counter : 430 Pageviews.

0 comment

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี