ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 3 การปรากฏตัวของจอมเวทแมวป่า 2
 

โหราจารย์เดินนำบุตรชายเข้าไปในห้อง เขาสั่งให้เด็กหนุ่มยืนรอส่วนตัวเองเดินไปเปิดตู้หยิบกล่องไม้เก่าคร่ำคร่าออกมาวางบนโต๊ะ ระหว่างปลดสลักออก ปากก็ถาม

 

“เจ้าไม่มีเวทมนต์สักนิด คิดยังไงถึงลงสมัครการแข่งครั้งนี้”

 

“ข้าเป็นห่วงเบอร์ทิน่า” ราเชนตอบสั้นๆ โหราจารย์มองเขาด้วยหางตา

 

“เจ้าหญิงมีพลังเวทดวงดาว เอาตัวรอดได้แน่ แต่เจ้าไม่มีอะไรสักอย่าง แบบนี้มีหวังโดนเชือดตั้งแต่ยังไม่ทันขึ้นเวที”     

 

“ข้าเอาตัวรอดได้น่ะท่านพ่อ” เด็กหนุ่มตอบอย่างมั่นใจ โหราจารย์จึงได้แต่ส่ายหน้า

 

“แค่ความมั่นอย่างเดียวมันไม่พอหรอกราเชน เจ้าต้องมีทั้งความกล้า ความอดทนและสติปัญญา”

 

“ข้าคิดว่ามีครบทุกอย่าง” ราเชนสวนทันควัน ผู้เป็นพ่อขมวดคิ้วอย่างเอือมระอา

 

“ฟังให้จบก่อนได้ไหม” เขาติงเสียงเข้มพลางเปิดกล่องใบนั้นและหยิบของที่อยู่ข้างในออกมา “หากคิดเข้าร่วมการแข่งขัน เจ้าต้องมีความมั่นใจ ความกล้าหาญ ความอดทน สติปัญญาและ...” เขายื่นมือไปข้างหน้า “ของวิเศษ”

 

เด็กหนุ่มมองของที่อยู่ในมือของบิดาแล้วขมวดคิ้ว เพราะมันคือกำไลเงินแกะลวดลายวิจิตรบรรจง ตรงกลางประดับหินมีค่าสีเขียวหม่นจนเกือบดำ

 

“อะไรน่ะท่านพ่อ”

 

“กำไลมาลาไคท์” โหราจารย์ตอบ “มันเป็นผลงานของจอมเวทระดับสูงคนหนึ่ง รอยสลักที่เจ้าเห็นไม่ใช่ลวดลายธรรมดาแต่เป็นอักขระมนต์โบราณที่สามารถดึงพลังของผลึกทุกชนิดในโลกออกมาได้ แม้ผู้สวมใส่จะไม่มีเวทมนต์เลยก็ตาม”

 

เขามองบุตรชายที่ยังคงยืนตะลึงไม่ยอมขยับ “รับไปสิ”

 

“หา ราเชนอุทานด้วยความแปลกใจเพราะเห็นกล่องใบนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้แตะต้องเลยสักครั้ง แค่เข้าใกล้ก็โดนบิดาดุจนหูชาแล้ว “ท่านพ่อให้ข้างั้นหรือ” เขาถามพลางรับกำไลมาถือ “ทำไม ทั้งที่เมื่อก่อนท่านไม่เคยให้ข้าแตะมันสักครั้ง”

 

“เพราะเจ้าจำเป็นต้องใช้ จะสู้กับพวกจอมเวท เจ้าก็ต้องมีพลังเวททัดเทียมกัน”

 

ราเชนพลิกกำไลไปมาและเม้มปากใช้ความคิดก่อนส่ายหน้า

 

“แต่ข้าไม่รู้วิธีใช้ อีกอย่างการประลองจะเริ่มวันมะรืน เวลาเท่านี้ข้าฝึกไม่ทันหรอก”

 

โหราจารย์ยกมือขึ้นกอดอกก่อนสั่งเสียงเรียบ

 

“สวมมัน”

 

“อะไรนะ”

 

“ข้าบอกให้เจ้าสวมมัน” อีกฝ่ายย้ำเสียงเข้มกว่าเดิม ราเชนจึงสวมกำไลลงที่ข้อมือด้านขวา ทันทีที่ขยับเข้าที่ เขารู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างวิ่งพล่านไปทั่วตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หูทั้งสองข้างดังอื้ออึงด้วยเสียงกระซิบกระซาบมนตราในภาษาโบราณ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเห็นภาพผลึกหินหลากสีลอยวนอยู่รอบตัว พร้อมกับพลังอำนาจที่แฝงอยู่ในผลึกแต่ละอัน

 

มนตราที่ถูกอัดเข้าไปร่างอย่างฉับพลันทำให้ราเชนถึงกับซวนเซ เขารีบคว้าขอบโต๊ะเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มพลางถามเสียงสั่น

 

“นี่มันอะไรกัน”

 

“อำนาจของมาลาไคท์ แสดงว่ามันยอมรับเจ้าจึงสำแดงฤทธิ์ออกมาให้เห็น” พูดพลางปิดกล่องไม้นำไปเก็บในตู้จากนั้นจึงหันกลับไปมองบุตรชายที่กำลังยืนทำหน้ามึนงง “ความพิเศษของกำไลนี้ก็คือ เจ้าสามารถรับรู้วิธีใช้ด้วยการถ่ายทอดออกมาจากผลึกมาลาไคท์โดยตรง ต่อไปก็คือต้องรู้จักเลือกว่าผลึกชนิดใดเหมาะกับพลังแบบไหน เจ้าอาจดึงพลังจากหินทุกก้อนได้ก็จริง แต่อำนาจของมาลาไคท์จะแข็งแกร่งมากขึ้นหากเจ้าใช้มันร่วมกับผลึกโดยตรง ดังนั้นควรหาหินมีค่าพวกนี้มาพกติดตัวเอาไว้บ้าง”

 

ราเชนพยักหน้าหงึกหงักเพื่อแสดงให้เห็นว่ารับรู้แต่พูดอะไรไม่ออกเพราะกำลังพะอืดพะอมกับความรู้ที่พุ่งทะลักเข้ามาไม่ขาดสาย พอเห็นท่าทางของบุตรชาย โหราจารย์จึงตบไหล่เขาเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจก่อนเดินจากไป

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเบอร์ทิน่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นราเชนเดินออกจากห้องด้วยใบหน้าอิดโรย หลังจากล้างหน้าตาและดื่มนมอุ่นๆเข้าไปหนึ่งแก้ว เขาก็ดูกระฉับกระเฉงขึ้น แม้จะไม่สดใสนักแต่ก็ดีกว่าเดิม

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงดูโทรมนัก” เบอร์ทิน่าถามระหว่างรับประทานมื้อเช้า ราเชนตอบทั้งที่ขนมปังยังเต็มปาก

 

“ข้าฝึกการใช้เวททั้งคืน” พูดพลางยื่นมือไปหยิบถ้วยซุป เด็กสาวจึงสังเกตเห็นกำไลบนข้อมือ

 

“ข้าไม่เคยกำไลนี่มาก่อน เจ้าไปเอามาจากไหน”

 

ราเชนหลุบตาลงมองข้อมือตัวเองก่อนหดแขนกลับ

 

“พ่อข้าให้มาเมื่อคืน เอาไว้สู้กับพวกจอมเวทตอนประลองน่ะ”

 

คำตอบของเขาสร้างความประหลาดใจต่อเบอร์ทิน่าเป็นอย่างมาก นางมองเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักซุปใส่ปาก

 

“หมายความว่ายังไงที่ว่าเอาไว้สู้กับพวกจอมเวท” นางทำตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ “อย่าบอกนะว่าเจ้าจะเข้าแข่งขันด้วย”

 

“แน่นอน” ราเชนตอบ “แล้วชุดเกราะของเจ้าละ ไปถึงไหนแล้ว” เขาแกล้งถามเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแต่เด็กสาวกลับไม่หลงกล

 

“เจ้าไม่รู้จักเวทสักบท จะลงแข่งได้ยังไง”

 

เด็กหนุ่มถอนใจยาวพลางยกแขนข้างที่มีกำไลขึ้น

 

“ท่านพ่อถึงได้มอบสิ่งนี้ให้ข้า มันเป็นของวิเศษที่พวกจอมเวททำขึ้น ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านพ่อได้มายังไง แต่หลังจากสวมมันแล้ว พลังก็ไหลเข้ามาในตัวของข้า ทำให้ใช้เวทได้โดยไม่ต้องร่ายมนตราใดๆ”

 

เบอร์ทินามองกำไลสลับกับหน้าของราเชนก่อนส่ายหัวเหมือนไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาบอกเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มจึงหยิบผลึกหินสีฟ้าเม็ดเล็กจิ๋วมาวางบนโต๊ะและกางมือเหนือมัน พริบตารัศมีสีฟ้าทอแสงออกมาอย่างเจือจางและแผ่กระจายคลุมทั้งตัว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เด็กสาวต้องลุกพรวดจากเก้าอี้ถอยหลังออกไปสองสามก้าว

 

“อะไรน่ะ” นางถามด้วยความตระหนกแต่ราเชนกลับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

 

“ออร่าป้องกันภัย” เขาอธิบายพลางลดมือลง รัศมีสีฟ้าเลือนหายไป เมื่อเห็นเบอร์ทิน่าขมวดคิ้วเหมือนสงสัยว่าเขาทำได้อย่างไรแล้ว เด็กหนุ่มจึงหยิบผลึกหินสีฟ้าขึ้นมาชู

 

“นี่คือบลูอาเกต มีพลังในการปกป้อง ช่วยผ่อนพลังโจมตีของคู่ต่อสู้ให้อ่อนกำลังลง”

 

เด็กสาวมองผลึกหินนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเลื่อนสายตาไปจ้องราเชน

 

“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะใช้เวทพวกนี้ได้”

 

“ไม่ใช่ข้าหรอก” เด็กหนุ่มตอบ “มันเป็นพลังของผลึก ข้าเพียงแต่ดึงมันออกมาใช้เท่านั้น” พูดพลางหย่อนหินเม็ดนั้นกลับเข้าไปในถุงที่ผูกไว้ที่เอว “ผลึกแต่ละชนิดให้ผลแตกต่างกัน ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งใช้พลังได้หลากหลาย น่าเสียดายที่ข้ามีแค่ไม่กี่ก้อน”

 

“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าผลึกแต่ละชนิดให้พลังแบบไหน” เบอร์ทิน่าถาม ราเชนยักไหล่พลางชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง

 

“มันอยู่ในหัว” พูดจบก็กวาดตาไปทั่วห้องเหมือนมองหาใครบางคน “พ่อข้าล่ะ”

 

“ออกไปตั้งแต่เช้า เห็นว่าต้องไปเตรียมการอะไรเพิ่มเติม ท่านสั่งให้บอกเจ้าด้วยว่าไม่ต้องตาม อยู่บ้านฝึกการใช้ผลึกให้คล่อง แล้วรีบไปลงชื่อสมัครเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว”

 

เด็กหนุ่มขยับแขนข้างที่สวมกำไล “ข้ารู้วิธีใช้มันแล้ว” เขามองเด็กสาว “ทางเจ้าล่ะ”

 

“ชุดของข้าก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน” เบอร์ทิน่าตอบพลางหยิบเกราะที่นางนั่งปรับแก้เกือบทั้งคืนมาอวดอย่างภาคภูมิใจ ราเชนเบิกตาด้วยความทึ่งและเย้าอย่างสนุก

 

“ไม่น่าเชื่อว่าจะทำงานพวกนี้เป็น”

 

“หมายความว่าไง” เด็กสาวพูดเสียงขุ่นพลางค้อนขวับ ท่าทางกระเง้ากระงอดของนางทำให้อีกฝ่ายหัวเราะลั่น

 

“ข้าล้อเล่นน่ะ” เขามองเจ้าหญิงและแอบยิ้มอย่างโล่งอกเมื่อเห็นนางดูสบายใจมากกว่าเมื่อวาน อาจเป็นเพราะได้ทำตามที่ตั้งใจหรือไม่ต้องกังวลว่าอาเซอร์บัสจะตามมาห้ามอีกก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาก็รู้สึกดีที่เห็นเบอร์ทิน่าสดใสขึ้นมาบ้าง

 

“จะไปสมัครกันเลยไหม” ราเชนถาม เด็กสาวผงกศีรษะเดินหอบชุดหายเข้าไปในห้อง และกลับออกมาอีกครั้งในสภาพที่สวมเกราะเรียบร้อยแล้ว

 

“ไปกันเถอะ” นางกล่าวพลางสวมหน้ากากและขยับให้กระชับเพื่อความแน่ใจ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินตรงไปยังสถานที่รับสมัคร ซึ่งก็พบว่ามีนักเวทจำนวนมากกำลังยืนต่อแถวกันอยู่

 

“คนเยอะเหมือนกันนะ” ราเชนพูดพลางเดินนำเบอร์ทินาไปยังหางแถว ยังไม่ทันถึงทั้งคู่ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆอาเซอร์บัสก็ก้าวพรวดเข้ามา

 

“ช้าจริง” เขาบ่นพลางผายมือเป็นเชิงบอกให้เด็กสาวไปเข้าแถว ส่วนตัวเขาเองเป็นคนถัดมา ราเชนมองอย่างงุนงง

 

“เจ้าทำอะไร”

 

“สมัครเข้าแข่งขัน” จอมเวทหนุ่มตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทั้งเบอร์ทินากับราเชนเบิกตากว้างและจ้องเขาเหมือนสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องประหลาดอย่างที่สุด

 

“จอมเวทแห่งไมธีร่าอย่างเจ้าจะมาสมัครไปเพื่ออะไร แค่บอกท่านออร์เด็นคำเดียว ก็ได้ไปแล้ว”

 

“ข้าไม่อยากเอาเปรียบคนอื่น” อาเซอร์บัสตอบเสียงเรียบเรื่อย แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกข่ม เขาจึงยิ้มแยกเขี้ยว

 

“น่าเชื่อตายละ แค่ชื่อของเจ้าก็ได้เปรียบไปหลายขุมแล้ว”

 

จอมเวทหนุ่มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เขามองเบอร์ทิน่าที่ซ่อนตัวเองไว้ในชุดเกราะกระโปรงสั้นแถมมีหน้ากากหูแมวแล้วอมยิ้ม

 

“นึกยังไงถึงใส่ชุดนี้”

 

“เรื่องของข้า” นางพูดพลางสะบัดหน้าเมินหนีไปด้านอื่น เมื่อไม่ได้รับคำตอบ อาเซอร์บัสก็ไม่ใส่ใจที่จะซักถามอะไรอีกต่อไป เขาเพียงมองเด็กสาวตรงหน้าแน่วนิ่ง ตอนแรกราเชนคิดว่าคงเป็นการมองของผู้ให้การอารักขา แต่พอเห็นแววตาของอีกฝ่ายแล้วหัวใจของเด็กหนุ่มต้องกระตุกวูบ

 

มันเป็นแววตาที่แสดงความหมายของความเอ็นดูชัดๆ !

 

ใบหน้าของราเชนร้อนผ่าว ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความตื่นเต้น ความโกรธหรือความหวงแหน แต่ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกใด สิ่งเดียวที่พอจะเข้าใจได้ก็คือ เขาไม่ชอบการมองแบบนี้เลย

 

แถวของผู้สมัครขยับไปเรื่อยกระทั่งถึงเบอร์ทิน่า พนักงานที่ทำหน้าที่บันทึกมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนส่งยิ้มหวานให้

 

“ชื่ออะไรหรือน้องสาว”

 

“ลิงคซ” เบอร์ทิน่าตอบสั้นๆ อีกฝ่ายบันทึกลงสมุดพร้อมกับถามประโยคต่อไป

 

“อายุเท่าไหร่ ใช้เวทประเภทไหน”

 

“19 ปี เวทดวงดาว” เด็กสาวตอบ พอเห็นเขาโบกมือเป็นเชิงบอกว่าเรียบร้อยแล้ว นางก็หันไปหลิ่วตาให้ราเชนก่อนเดินเข้าไปด้านใน

 

“คนต่อไป” พนักงานประจำโต๊ะเรียกโดยไม่เงยหน้า และพูดต่อเมื่อรู้ว่ามีคนเดินเข้ามาแล้ว “ชื่ออะไร”

 

ถามเสียงห้วน พอเห็นผู้สมัครไม่ยอมตอบเขาจึงถามซ้ำอีกครั้งและขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา เขาจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกระชากเสียง

 

“ข้าถามว่า...” คำพูดถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อเห็นร่างในผ้าคลุมสีดำยืนทะมึนตรงหน้า ท่าทางยโสเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น เขารู้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นใครแต่ไม่คิดว่าจอมเวทแห่งไมธีร่าจะเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ความกลัวทำให้มือถือปากกาขนนกสั่นระริก ยิ่งเห็นดวงตาสีน้ำตาลภายใต้ฮู้ดกำลังทอแสงกร้าวด้วยแล้ว ก็ยิ่งใจแป้วจนแทบฉี่ราด กระนั้นก็ยังฝืนทำตามหน้าที่  

 

“จะให้ข้าลงชื่อท่านว่าอย่างไร” คนรับสมัครถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ราเชนซึ่งยืนอยู่หลังจอมเวทชะโงกหน้ามาตอบ

 

“ชื่ออะไรก็ลงไปเถอะ จะเขม่า ขี้เถ้าหรือเฉาก๊วยก็ได้”

 

ความกวนประสาทของบุตรชายโหราจารย์ทำให้อาเซอร์บัสอยากใช้ไม้เท้าทุบกะโหลกด้วยความโมโห แต่เขายังคงรักษาท่าทีให้สงบนิ่งก่อนเอ่ยปากพูดเสียงเรียบ

 

“อาเซอร์บัส”

 

ทันทีที่นามของตัวเองหลุดออกจากปาก ก็มีเสียงฮือดังมาจากนักเวทที่ยืนรายล้อมโดยรอบ บางคนมองเขาอย่างหวาดหวั่นในขณะที่บางคนจ้องเขม็งอย่างอวดดี

 

“อาเซอร์บัสลงแข่งด้วย แบบนี้ไม่ไหวแน่” เสียงหนึ่งพูดขึ้น หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย แต่ชายหนุ่มในชุดหนังสีขาวที่ยืดถัดจากราเชนกลับเบ้ปาก

 

“เขาก็เป็นจอมเวทเหมือนกัน จะต้องไปกลัวอะไร”

 

จอมเวทหนุ่มไม่สนใจคำสนทนาของคนรอบตัวเลยสักนิด เมื่อแจ้งชื่อเสร็จเขาก็เดินเข้าไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายซักอะไรต่อ พอเขาห่างออกไป ไออำมหิตที่ครอบคลุมตัวพนักงานรับสมัครก็คลายลง เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกก่อนหันเรียกคนต่อไป

 

“ราเชน อายุ 19 เวทผลึก” ราเชนตอบเป็นชุดและเดินเข้าไปในลานประลองโดยไม่รอคำอนุญาต เด็กหนุ่มกวาดดวงตาไปรอบๆเพื่อหาเบอร์ทิน่าและยิ้มกว้างเมื่อเห็นนางยืนกอดอกอยู่ข้างเวที

 

“เบอร์ เอ๊ย ลิงคซ” เขาร้องเรียกพร้อมกับวิ่งเข้าไปหา แต่พอเห็นอาเซอร์บัสยืนข้างนาง รอยยิ้มก็หายไป “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”

 

เขาถามอย่างไม่พอใจ จอมเวทหนุ่มเลิกคิ้ว

 

“ข้าเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน”

 

“ที่อื่นมีเยอะแยะ ทำไมต้องมายืนตรงนี้ด้วย” ราเชนถามเหมือนจงใจหาเรื่องแต่อีกฝ่ายกลับส่งยิ้มกวนประสาทกลับมา

 

“ก็ที่มันว่าง”

 

“เจ้า...” เด็กหนุ่มพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธจัด และคงต่อว่าอีกหลายคำถ้า เบอร์ทิน่าไม่ห้าม

 

“พอได้แล้วทั้งสอง ตอนนี้เรากำลังอยู่ในลานประลองนะ” นางกล่าวเตือน ราเชนทำเสียงฮึดฮัดแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี กระนั้นก็ยังไม่วายเตะหินเพื่อระบายอารมณ์ โชคร้ายที่หินก้อนนั้นปลิวหวือไปโดนศีรษะชายร่างยักษ์ เขาคำรามลั่นและหัวขวับมาพร้อมกับตะโกนถามดังลั่น

 

“ใครขว้างข้า”

 

น้ำเสียงที่ใช้ทรงพลังสร้างคลื่นอากาศกระแทกแจกันบริเวณนั้นจนแตกกระจาย หลายคนรีบสร้างม่านขึ้นป้องกัน ส่วนบางคนแค่เอามือปิดหู ราเชนรีบผิวปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พอเห็นคู่กรณีหันกลับไปแล้วเขาจึงถอนใจดังเฮือก

 

“ค่อยยังชั่ว หมอนั่นน่ากลัวเป็นบ้า” เขาบ่นพร้อมกับแกล้งทำเป็นตัวสั่นงันงก ขนลุกขนพอง แต่อาเซอร์บัสกลับส่ายหน้า

 

“เจ้านั่นน่ะไม่เท่าไหร่ ที่น่ากลัวคือพวกไม่แสดงอะไรออกมาต่างหาก” จอมเวทหนุ่มพูดพลางชำเลืองตาไปทางชายหนุ่มในชุดหนังสีขาวที่กำลังคุยจ้อกับจอมเวทสาวอย่างสนุกสนาน ตอนแรกเหมือนเขาจะไม่รู้ตัวแต่จู่ๆก็หยุดพูดและจ้องเขม็งกลับมา ปากขมุบขมิบคล้ายกำลังบอกอาเซอร์บัสว่า ‘แล้วเจอกัน’ 

 

“เจ้าสองคนระวังตัวเอาไว้ดี การแข่งครั้งนี้ไม่ใช่แค่การประลองธรรมดา”

 

จอมเวทหนุ่มกล่าวเตือน

 

 

*/*/*/*/*/*

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 23 ธันวาคม 2556
Last Update : 23 ธันวาคม 2556 9:13:02 น.
Counter : 446 Pageviews.

0 comment
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 3 การปรากฏตัวของจอมเวทแมวป่า
 

บทที่ 3 การปรากฏตัวของจอมเวทแมวป่า

 

 

การทำงานอย่างเร่งรีบของโหราจารย์และฝ่ายจัดการกับการทำงานอย่างมีระบบแบบแผนของโซลแดท ทำให้การเตรียมการแข่งขันสำเร็จลงภายในสองวัน ระหว่างนั้นทหารได้นำประกาศการแข่งขันไปติดไว้จนทั่วเมือง แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าใดนักเนื่องจากยังตระหนกถึงเหตุการณ์ประหลาดอยู่ แต่พอราเชนปล่อยข่าวเรื่องภูเขาทองคำออกไป มันก็กลายเป็นที่กล่าวขวัญแบบปากต่อปาก ยิ่งมีการบอกต่อกันมากเท่าใด จำนวนของทองก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นเท่านั้น ไม่ช้าข่าวลือเรื่องการเดินทางไปยังเทือกเขาที่เป็นทองคำก็กระจายไปทั่วเมืองและลามออกไปนอกไมธีร่า รุ่งขึ้นของเช้าวันที่สามจึงมีคนแห่แหนมาสมัครกันมากมาย

 

เบอร์ทิน่ายืนมองฝูงชนที่กำลังต่อแถวเพื่อลงชื่อเข้าร่วมการประลองอยู่บนระเบียงหน้าห้องครู่หนึ่งจึงเดินไปกระแทกตัวลงเก้าอี้อย่างหงุดหงิด ใจจริงแล้วนางอยากเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินเพื่อนำผลึกวิญญาณมังกรมาช่วยบิดามารดา จนถึงขนาดเข้าไปขอร้องให้ออร์เด็นเปลี่ยนใจหลายครั้ง แต่มหาอำมาตย์ก็ยังคงยืนกรานคำเดิม เมื่ออ้อนวอนไม่สำเร็จ เด็กสาวจึงจำต้องกลับเข้าห้องเพื่อครุ่นคิดหาวิธีออกจากเมือง

 

เหมือนออร์เด็นจะเดาความคิดหลานสาวออก เขาสั่งให้ทหารเฝ้าดูนางอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเพิ่มนางกำนัลและคนรับใช้ให้มากขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อช่วยกันจับตามองเบอร์ทิน่าทุกฝีก้าว รวมทั้งเพิ่มเวรยามและกำชับทหารประจำป้อม ให้กวดขันคนเข้าออกอย่างเข้มงวด

 

คำสั่งของผู้เป็นอามิได้สร้างความกังวลต่อเบอร์ทิน่าเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้วเด็กสาวกลับรู้สึกรำคาญใจมากกว่าที่ห้องของนางมีคนเดินเข้าออกกันพลุกพล่าน จนบางครั้งต้องเอ่ยปากไล่หรือลงกลอนเพื่อไม่ให้ใครเข้ามายุ่ง ผู้ที่ทำให้เบอร์ทิน่าต้องลำบากใจมากที่สุดคืออาเซอร์บัส เพราะไม่ว่านางจะแอบไปไหน หรือทำอะไร เขาเป็นต้องรู้ทันไปเสียหมด และต่อให้เด็กสาวปิดประตูลงกลอน เขาก็ใช้เวทสะเดาะออกได้ไม่ยาก พอถูกเบอร์ทิน่าตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรง เขาก็ทำเป็นหูทวนลม เมื่อไม่รู้จะจัดการกับจอมเวทหนุ่มอย่างไรดี นางจึงใช้วิธีนั่งอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหน ไม่พูดอะไรกับใครหรือทำสิ่งใดอีกเลย แม้จอมเวทหนุ่มจะไม่วางใจนักแต่เขาก็ยอมทิ้งช่วงการติดตามให้เว้นระยะห่างขึ้น การผ่อนปรนของเขาทำให้เบอร์ทิน่าสบายใจได้บ้างแต่ก็ยังหงุดหงิดเรื่องการเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินอยู่ดี

 

เสียงฮือฮาของผู้คนทำให้เด็กสาวเพิ่มความกระวนกระวายมากขึ้น หากออร์เด็นยอมให้นางไปหุบเขาสีน้ำเงินตั้งแต่แรก คงไม่ต้องมานั่งวุ่นวายเรื่องการแข่งขันเพื่อเฟ้นหาจอมเวท เพราะอาเซอร์บัสต้องไปกับนาง และคงออกเดินทางกันตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ เด็กสาวเดินกลับไปกลับมาพร้อมกับกระแทกลมหายใจตัวเองฮึดฮัดด้วยความโมโห ทำไมท่านอาของนางจึงดื้อดึงนัก ถ้าเป็นพระบิดาแล้วละก็ คงยอมอนุญาตตั้งแต่เอ่ยปากขอครั้งแรกแล้ว

 

พอคิดถึงพระบิดา น้ำตาก็เอ่อล้นออกมาคลอเบ้า จนบัดนี้ท่านอาก็ยังไม่ยอมให้นางเข้าไปในห้องนั้น ช่างไม่เห็นใจกันเลยว่าหลานสาวคนนี้จะรู้สึกอย่างไร จริงอยู่ที่ว่าการเห็นสภาพของทั้งสองพระองค์รังแต่จะทำให้เสียใจ แต่นางก็ยังคงอยากเข้าไปหา แม้จะต้องร่ำไห้ อย่างน้อยก็ขอให้ได้หลั่งน้ำตาลงบนตัก หรือปลายบาทของพระองค์ก็ยังดี 

 

เสียงเคาะประตูทำให้เด็กสาวสะดุ้งหลุดจากภวังค์ นางรีบเช็ดน้ำตาก่อนเอ่ยปากอนุญาตและยิ้มกว้างเมื่อเห็นราเชนก้าวเข้ามาข้างใน

 

“ราเชน” เบอร์ทิน่าทักด้วยความดีใจก่อนตัดพ้อ “สองวันมานี่เจ้าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาคุยกับข้าบ้าง”

 

“ขอโทษด้วยนะ พอดีข้ามีเรื่องยุ่งนิดหน่อย” เด็กหนุ่มตอบพลางทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางหน้าต่าง เป็นเชิงบอกว่า เรื่องยุ่งที่พูดถึงก็คือการแข่งขันประลองเวท เบอร์ทิน่าทำตาโตอย่างตื่นเต้น

 

“เจ้ามีส่วนร่วมด้วยหรือ ดีจังเลย” สีหน้าที่เพิ่งเบิกบานสลดลง “แต่ข้าสิแย่ โดนกักให้อยู่แต่ในห้อง จะทำอะไรแต่ละทีก็ต้องขออนุญาตกันวุ่นวาย อีกเดี๋ยวพวกทหารก็จะเข้ามาดูแล้วว่าข้ายังอยู่ดีหรือเปล่า”

 

“ทั้งที่เจ้ากำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่น่ะหรือ ใจร้ายเป็นบ้า” ราเชนบ่นพลางบีบไหล่เด็กสาวเพื่อปลอบ “อดทนอีกหน่อย พองานประลองสิ้นสุดลงและท่านมหาอำมาตย์เดินทางออกนอกเมืองแล้ว เจ้าก็จะเป็นอิสระอีกครั้ง ที่นี้เราค่อยมาหาวิธีกันว่าจะทำยังไงต่อไป”

 

“แต่ข้าอยากทำตอนนี้มากกว่า” เบอร์ทิน่าแย้งและถอนใจออกมาเบาๆ “ข้าอยากเดินทางไปนำผลึกวิญญาณมังกรมาช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยตัวเอง”

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก” ราเชนค้าน เด็กสาวมองอย่างไม่พอใจ

 

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเพราะข้าเป็นผู้หญิง เลยทำอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

 

“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่” เด็กหนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบาๆ “เจ้าเป็นเจ้าหญิงนะเบอร์ทิน่า จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบก่อน”

 

“ข้าคิดดีแล้ว และตัดสินใจแล้วว่าจะไปหุบเขาสีน้ำเงิน”

 

“แต่ท่านมหาอำมาตย์บอกแล้วว่าจะเป็นผู้ไปเอง แถมยังจัดการประลองคัดเลือกจอมเวทเพื่อไปกับท่าน ขืนล้มเลิกตอนนี้มีหวังโดนคนพวกนั้นถล่มจนยับ”

 

“ใครบอกเจ้าว่าจะล้มเลิก” เบอร์ทิน่าพูดพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนราเชนว่า เจ้าหญิงกำลังมีแผนการอะไรอยู่ในใจ เพราะรอยยิ้มของนางดูมีเลศนัยพิกล

 

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เบอร์ทิน่า” เขาถาม

 

“ข้าจะเดินทางไปกับท่านอา ในคราบของจอมเวท” เด็กสาวตอบและยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาโตอ้าปากค้าง “ใช่แล้วราเชน ข้าจะเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ด้วย”

 

เด็กหนุ่มขยับจะตอบแต่กลับพูดอะไรไม่ออก คนห้ามจึงเป็นผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบชนิดทั้งสองไม่รู้ตัว

 

“ไม่ได้”

 

ราเชนกับเบอร์ทิน่าหันไปมองพร้อมกัน เด็กหนุ่มนิ่วหน้า

 

“เคาะประตูไม่เป็นหรือไง” เขาโพล่งออกมาอย่างโมโหเมื่อเห็นอาเซอร์บัสยืนอยู่ข้างหลัง อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

“เคาะแล้วแต่เจ้าไม่ได้ยินเอง” เขามองผ่านราเชนไปยังเบอร์ทิน่า “เลิกล้มความคิดเรื่องการเข้าร่วมการแข่งขันซะ”

 

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาห้ามข้า” เด็กสาวเถียงและเชิดหน้าขึ้น เหมือนต้องการเน้นย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่านางเป็นเจ้าหญิง ย่อมมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ แต่จอมเวทหนุ่มไม่สนใจเลยสักนิดเพราะเขาพูดเสียงเรียบ

 

“ต่อให้เป็นเจ้าหญิงก็ไม่ได้”

 

“กล้าดียังไงถึงพูดแบบนั้น” เบอร์ทิน่าใช้น้ำเสียงเข้มเข้าข่มแต่อาเซอร์บัสไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย

 

“ไม่ใช่ว่ากล้าหรืออวดดี แต่ห้ามเพราะความเป็นห่วง”

 

“ข้าเป็นเจ้าหญิง มีอะไรต้องให้ห่วง” เด็กสาวยังดันทุรังเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ใบหน้าภายใต้ฮู้ดเงยขึ้นเล็กน้อย เหมือนต้องการมองหน้านางให้เต็มตา

 

“พวกนั้นเป็นผู้ใช้เวท หลายคนมาจากดินแดนห่างไกล พวกเขาไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นใคร ทุกคนยอมทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อให้ได้ชัยชนะ และไม่ใส่ใจว่าจะทำให้คู่ต่อสู้เป็นหรือตาย ยิ่งมีข่าวลือเรื่องทองคำที่ราเชนปล่อยออกไปแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความโลภ ไม่มีใครยอมรามือให้เจ้าง่ายๆหรอกเบอร์ทิน่า”

 

เหตุผลที่จอมเวทหนุ่มยกขึ้นมาอ้าง จริงเสียจนเบอร์ทิน่าเถียงไม่ออก แต่ความเป็นคนรั้นไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ เด็กสาวจึงคิดหาทางแก้ เพราะการแข่งขันในครั้งนี้คือหนทางเดียวที่จะช่วยพ่อกับแม่ให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง แต่ถ้าอาเซอร์บัสยังยืนกรานไม่อนุญาตอยู่แบบนี้ นางคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปลงชื่อสมัคร เพื่อให้จอมเวทหนุ่มเปลี่ยนใจ เด็กสาวจึงเปลี่ยนท่าทีใหม่ เริ่มจากตีสีหน้าให้ดูสลด และพูดเสียงเบาลงกว่าเดิม

 

“ข้ารู้ดีว่าการแข่งขันครั้งนี้อันตราย แต่มันเป็นหนทางเดียวที่ช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ได้” นางก้าวไปหยุดยืนหน้าจอมเวทหนุ่มและเงยดวงหน้าที่มีหยาดน้ำตาไหลรินขึ้น “โปรดอย่าห้ามเลยนะอาเซอร์บัส ข้าขอร้อง”  

 

อาเซอร์บัสยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เบอร์ทิน่าอย่างอ่อนโยนก่อนโน้มตัวลงกระซิบข้างหู

 

“ไม่”

 

พูดจบจอมเวทหนุ่มก็หมุนตัวเดินออกจากห้องโดยไม่สนใจเด็กสาวที่กำลังยืนหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธว่าจะแผลงฤทธิ์อะไรออกมา พอบานประตูปิดลง เขาก็ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นเหมือนคนในห้องขว้างโถแก้วหรืออะไรบางอย่างไล่หลัง ตามด้วยเสียงตะโกน

 

“เจ้าจอมเวทเลือดเย็น !”

 

อาเซอร์บัสส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนเดินไปที่ระเบียงเพื่อดูบรรดานักเวททั้งหลายเบื้องล่าง เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพื่อซึมซับไอเวทของแต่ละคน และนิ่วหน้าด้วยความหนักใจ สัมผัสพลังของนักเวทที่มารวมตัวกันในวันนี้มีมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันออกไป แต่หากรวมกันทั้งหมดแล้วยังอ่อนด้อยนักสำหรับการเดินทางไปยังดินแดนอันตรายอย่างหุบเขาสีน้ำเงิน พูดง่ายๆก็คือ ไปก็ตายกันทั้งหมด คิดพลางถอนใจยาว ความจริงแล้วเขาไม่เห็นด้วยกับการแข่งขันในครั้งนี้ เพราะการรวมตัวของเหล่านักเวท เป็นเรื่องอันตราย ใช่ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นคนเลว แต่ผู้ใช้เวทส่วนใหญ่ชอบอวดโอ่พลังความสามารถของตนจนมักมีเรื่องมีราวกันอยู่เสมอ วิธีตัดสินก็ง่ายๆคือการต่อสู้ หากมีการปะทะกัน คนเดือดร้อนก็คือคนธรรมดาทั่วไป

 

ถ้าไม่อยากให้มีการแข่งขัน เขาต้องเป็นคนไป ปัญหาก็คือคนที่สามารถแตะต้องผลึกวิญญาณมังกรได้มีเพียงสายเลือดราชวงศ์ของไมธีร่าเท่านั้น ที่ไม่ยอมไปกับมหาอำมาตย์ก็เพราะเขาไม่อยากทิ้งเบอร์ทิน่าให้อยู่ในเมืองตามลำพัง ครั้นจะให้นางเป็นคนเดินทาง เขาก็เป็นห่วงอยู่ดี

 

‘ช่างปะไร แค่ผู้หญิงกับเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งเท่านั้น พินาศไปก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า’

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว อาเซอร์บัสจึงหลับตาและรวบรวมพลังข่มอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกายให้ถอยกลับเข้าสู่ซอกหลืบแห่งความมืด เมื่อสยบมันลงได้แล้วเขาจึงลืมตาขึ้นและมองนักเวทด้านล่างอยู่อีกครู่หนึ่งจึงเดินกลับเข้าปราสาทเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยต่อไป

 

 ทางด้านเจ้าหญิงเบอร์ทิน่า เมื่อไม่อาจหว่านล้อมอาเซอร์บัสได้จึงตัดสินใจหนีออกจากห้องโดยขอร้องแกมบังคับให้ราเชนยอมร่วมมือ แผนแรกก็คือจับสาวใช้เคราะห์ร้ายมาสับเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นก็ทำเป็นตีหน้าเฉยเดินออกจากห้อง และเล็ดลอดออกจากปราสาทได้ในที่สุด แต่แทนที่นางจะมุ่งหน้าตรงไปยังโต๊ะรับสมัครการแข่งขัน กลับไปยังบ้านของราเชนเป็นแห่งแรก แม้เด็กหนุ่มพยายามถาม เบอร์ทิน่าก็ไม่ยอมตอบ กระทั่งถึงบ้าน เข้าห้องปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาแล้ว เด็กสาวจึงเฉลยให้ฟัง

 

“ข้าต้องปลอมตัวไปสมัคร”

 

ราเชนทำตาโตก่อนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

 

“คนในเมืองทั้งหมดรู้จักหน้าตาของเจ้าดี แต่งยังไงก็คงจำได้”

 

“ถ้าข้าใส่หน้ากาก หุ้มตัวด้วยชุดเกราะล่ะ” เบอร์ทิน่าถาม ราเชนขมวดคิ้วนึกภาพตามและผงกศีรษะ

 

“งั้นก็พอไหว แต่เวลาอย่างนี้จะไปหาชุดอย่างนั้นได้ที่ไหนกัน”

 

เบอร์ทิน่ายิ้มก่อนชี้มือไปที่ราเชน เขาทำหน้าเหรอหรา

 

“ที่ข้าเนี่ยนะ” เขาส่ายหน้า “ไม่มีหรอก”

 

“ยังจำชุดที่ใส่ในงานเทศกาลปีที่แล้วได้หรือเปล่า” เบอร์ทิน่าถาม เด็กหนุ่มนิ่งคิดและทำตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ เพราะมันเป็นชุดที่เขาออกแบบให้หน้ากากมีหู อุ้งมือและหางแบบแมว อันที่จริงเขาพยายามทำให้เป็นเสือ แต่มันดันออกมาเป็นแมวเองต่างหาก ซึ่งพอใส่แล้วทำให้เขารู้สึกประหลาดพิกล เลยตัดสินใจยัดมันลงหีบแล้วถีบเอาไว้ใต้เตียง

 

“อย่าบอกนะว่าเจ้าจะใส่ชุดนั้น” เด็กหนุ่มถามเพราะขนาดของชุดที่ว่า ใหญ่กว่าตัวของเบอร์ทิน่าพอดู เด็กสาวถอนใจออกมาแรงๆอย่างเบื่อหน่ายก่อนตอบ

 

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าต้องเอามาปรับอะไรนิดหน่อยก่อน อย่ามัวแต่พูดอยู่รีบไปหยิบมาเร็ว”

 

เบอร์ทิน่าร้องเร่งและนั่งรอจนกระทั่งราเชนยกกล่องเก็บชุดมาวางตรงหน้าจึงหยิบออกมาพิจารณาทีละชิ้น

 

“หน้ากากคงไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ตัวชุดต้องแก้ไขนิดหน่อย” พูดพลางหยิบอุปกรณ์ช่างจากกล่องที่เด็กหนุ่มหยิบติดมือมาด้วย นั่งปรับไปได้สักพัก เด็กสาวก็หันไปมองหน้าเพื่อน “เจ้าไปเฝ้าประตูไว้ดีกว่า เผื่อท่านโหราจารย์กลับมาข้าจะได้แอบทัน”

 

“ยังอีกนานแหละกว่าจะมา” ราเชนพูดแต่ก็ยอมไปยืนที่ประตูแต่โดยดี นานครั้งก็แอบชำเลืองมาทางเบอร์ทิน่า เมื่อเห็นนางก้มหน้าก้มตาทำชุดเกราะอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาก็หันกลับไปที่ช่องประตูอีกครั้ง และถอนใจออกมา แน่นอนว่าเด็กหนุ่มไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันของเบอร์ทิน่า แต่พอเห็นสีหน้ากับแววตามุ่งมั่นแล้วเขาก็แย้งอะไรไม่ออก และยอมทำทุกอย่างตามที่นางสั่ง แม้จะต้องเสี่ยงกับโทษทั้งจากบิดาและมหาอำมาตย์ก็ตาม

 

อีกสิ่งที่ราเชนยังไม่ยอมบอกเบอร์ทิน่าก็คือ เขาตัดสินใจเข้าประลองในครั้งนี้ด้วยเพื่อคอยดูแลนาง ถึงไม่มีเวทมนต์แต่เด็กหนุ่มก็มั่นใจในสติปัญญาว่าสามารถพาตัวเองให้รอดได้ สิ่งที่เขากลุ้มในตอนนี้ก็คือ จะอธิบายยังไงให้บิดาเข้าใจ แค่คดีพาเจ้าหญิงหนีออกจากวังก็แย่แล้ว

 

ขณะจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความกลัดกลุ้ม ราเชนต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงโหราจารย์เอ่ยถาม

 

“ทำอะไรกันอยู่”

 

เขาหันไปมองทางด้านหลังและอ้าปากค้างเมื่อเห็นบิดากำลังยืนกอดอกตีหน้าเครียดอยู่กลางห้อง

 

“พ่อ” เด็กหนุ่มอุทานด้วยความตระหนกและรีบหันไปมองประตูที่ตัวเองเฝ้าอยู่ “เข้ามาทางไหนกันนี่”

 

“ประตูหลัง” โหราจารย์ตอบอย่างเคร่งขรึมพลางตวัดดวงตาไปทางเบอร์ที่น่าซึ่งตอนนี้ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก มือชะงักค้างอยู่ในท่ากำลังตัดแต่งเกราะ โหราจารย์มองเด็กทั้งสองสลับไปมาก่อนถามซ้ำอีกครั้ง

 

“ข้าถามว่า พวกเจ้ากำลังทำอะไร”

 

“คือว่าข้า” ราเชนพยายามนึกหาคำพูดแก้ตัวทำยังไงก็นึกไม่ออก เพราะลองได้เห็นเจ้าหญิงเบอร์ทิน่านั่งตำตาอยู่ทนโท่แบบนี้ ต่อให้มีข้ออ้างยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ดูเหมือนโหราจารย์จะรู้ดีว่าบุตรชายตกใจจนพูดอะไรไม่ถูก เขาจึงเบนเป้าหมายไปที่เด็กสาว

 

“ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ เจ้าหญิง”

 

เบอร์ทิน่าทำตาปริบๆพลางยกเกราะให้มือให้อีกฝ่ายดู เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนกล่าวเบาๆ

 

“งานเทศกาลล้มไปแล้ว ท่านจะมาเตรียมชุดพวกนี้อยู่อีกทำไม”

 

“คือว่า....”เด็กสาวเตรียมอธิบายแต่ราเชนกลับทะลุกลางปล้องขึ้นมา

 

“นางกำลังใจเสียเรื่องกษัตริย์วาเก็น ข้าก็เลยหาอะไรให้ทำ” คำพูดหยุดค้างไว้แค่นั้นเมื่อบิดาหันมามองตาวาว พอเห็นท่าไม่ดีราเชนจึงยอมหุบปากและถอยไปยืนจนชิดประตู เมื่อกำราบบุตรชายตัวแสบได้แล้ว โหราจารย์จึงหันกลับไปที่เจ้าหญิงเบอร์ทิน่าอีกครั้ง

 

“ว่ายังไง เจ้าหญิง”

 

“ข้ากำลังตัดแปลงชุด เพื่อปลอมตัวไปสมัครการประลองเวท”

 

เด็กสาวบอกไปตามตรง โหราจารย์มองนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม

 

“รู้หรือเปล่าว่ามันอันตราย”

 

“อาเซอร์บัสบอกข้าแล้ว”

 

“ท่านอาเซอร์บัสเตือนแล้วอย่างนั้นหรือ” โหราจารย์พูดเสียงสูง และถอนใจ “แสดงว่าเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้และคงห้ามแล้วแต่ท่านก็ยังดึงดันที่จะทำ” เขามองเด็กสาว “ทำไม”

 

“ข้าอยากช่วยท่านพ่อกับท่านแม่” เบอร์ทิน่าตอบและรีบพูด “ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มั่นใจกับแผนของพวกท่าน แต่ท่านอาอายุมากแล้ว เดินทางไกลแบบนั้นจะเป็นอันตราย”

 

“ท่านออร์เด็นไม่ได้เดินทางไปเพียงลำพัง ยังมีทหารหนึ่งกองร้อยกับจอมเวทอีกนับสิบคน”

 

“แน่ใจได้ยังไงว่าจอมเวทพวกนั้นจะไม่หักหลัง” เบอร์ทิน่าเถียงและลดน้ำเสียงลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว “ขอโทษ ข้าเป็นห่วงท่านอา เลยหงุดหงิดนิดหน่อย”

 

“แล้วท่านไม่ห่วงประชาชนไมธีร่าหรือ” โหราจารย์ถาม “คิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าผู้ปกครองออกไปกันหมด ชาวเมืองจะทำยังไง และถ้าเมืองข้างเคียงรู้ว่ากษัตริย์วาเก็นกับราชินีไอดามีอันเป็นไปแล้ว ไมธีร่าลุกเป็นไฟแน่”

 

“ข้าถึงอยากให้ท่านอาอยู่เฝ้าเมือง” เบอร์ทิน่าเถียงอุบอิบ และเหลือบตาขึ้นมองโหราจารย์เหมือนหยั่งเชิงว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่นางเพิ่งพูดออกไปหรือไม่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่ง เด็กสาวจึงสูดลมหายใจเข้าและยืดอกขึ้น “ท่านอาเป็นถึงมหาอำมาตย์ พร้อมทั้งประสบการณ์และความสามารถ ท่านสามารถดูแลไมธีร่าได้ดีกว่าข้าแน่”

 

“ถ้าเจ้าลงสมัครและผ่านเข้ารอบ คิดหรือว่าท่านออร์เด็นจะยอมให้ไปด้วย” โหราจารย์ถาม เบอร์ทิน่าขมวดคิ้วคิดอยู่อึดใจจึงตอบ

 

“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องข้าจะมัดท่านอาขังไว้ในห้องแล้วย่องเงียบออกไป”

 

โหราจารย์ทำตาโตเหมือนนึกไม่ถึงว่าเจ้าหญิงแสนซนจะพูดออกมาแบบนั้น ราเชนถึงกับใจแป้วเพราะคิดว่าบิดาคงโกรธแน่แต่ผิดคาดเพราะโหราจารย์ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

 

“ตอบได้สมกับเป็นท่าน” เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ขออภัยกับกิริยาไร้มารยาทเมื่อครู่ แต่ข้าอยากลองใจท่านดูนิดหน่อยจึงถามคำถามแบบนั้นออกไป”

 

“หมายความว่าท่านพ่อเห็นด้วย” ราเชนพูดเหมือนนึกไม่ถึง บิดามองเขาด้วยหางตา

 

“ข้าไม่เห็นด้วย แต่ทำตามคำแนะนำของท่านอาเซอร์บัสต่างหาก”

 

“อาเซอร์บัส” เบอร์ทิน่าทวนคำด้วยความแปลกใจ “เขารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ แต่เมื่อไหร่ เพราะข้าเพิ่งตัดสินใจบอกราเชนตอนก่อนมานี่เอง”

 

“ท่านปิดบังความในใจกับจอมเวทไม่ได้หรอก โดยเฉพาะผู้มีพลังด้านมืดอย่างท่านอาเซอร์บัส” โหราจารย์กล่าวพลางมองชุดเกราะแมวเหมียวในมือเด็กสาว “หากจะสวมชุดนี้เข้าประลอง โปรดฟังคำแนะนำจากคนแก่สักนิด ปรับหน้ากากให้กระชับศีรษะ เปิดบริเวณตาให้กว้างขึ้นจะได้มองรอบตัวได้ชัด เพราะเจ้าหญิงมีเพียงเวทดวงดาว ไม่มีอำนาจสัมผัสพลังเหมือนจอมเวททั่วไป ส่วนชุด ให้คงเกราะช่วงอกเอาไว้เพื่อป้องกันแต่ตัดช่วงล่างทิ้งไปแล้วเปลี่ยนเป็นกระโปรงสั้น มันจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจอมเวทหนุ่มบางคน และควรทำประเป๋าเล็กๆไว้ในตำแหน่งที่หยิบใช้สะดวกเพื่อเก็บเหรียญดวงดาว”

 

เขาหยุดพูดเหมือนกำลังนึกคำแนะนำเพิ่มเติม “อ้อ อุ้งมือกับหางนั่นไม่จำเป็นต้องใช้หรอก ส่วนหูจะเก็บเอาไว้ก็ได้” พูดจบก็หันไปทางราเชน

 

“ตามข้ามา”

 

 




Create Date : 23 ธันวาคม 2556
Last Update : 23 ธันวาคม 2556 9:12:10 น.
Counter : 453 Pageviews.

0 comment
ผลึกวิณณาณมังกร บทที่ 2 หุบเขาสีน้ำเงิน
 

บทที่ 2 หุบเขาสีน้ำเงิน

 

 

            ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างนิ่งงัน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่มหาอำมาตย์กล่าวนั้นคืออะไร ยกเว้นหัวหน้าองครักษ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะพอเห็นทั้งหมดนิ่ง เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

            “ผลึกที่ว่านี่คือะไร ทำไมทุกคนถึงได้ทำมันเหมือนมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว”

 

            “มันคือความชั่วร้ายต่างหากท่านโซลแดท” โหราจารย์เป็นผู้ตอบ “ผลึกวิญญาณมังกรเป็นผลพวงพลังเวทอันน่ากลัวที่สุดของเอ็มโบลเด็น ราชันย์เวทผู้เรืองฤทธิ์ในอดีต เขารวบรวบรวมพลังเวทด้านมืดทั้งหมดกักเก็บเอาไว้ในนั้นเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ทำสำเร็จเขาก็ถูกสังหารเสียก่อน ผลึกนั้นจึงตกไปอยู่ในมือของดรากูลที่แสนชั่วร้าย โชคดีที่ปฐมกษัตริย์ไมธีร่ากำจัดเขาทัน แต่โชคร้ายที่ก่อนตายดรากูลได้สาปแช่งพระองค์เอาไว้ และมาสัมฤทธิ์ผลในตอนนี้”

 

            “ฟังเหมือนผลึกที่ว่านี่จะนำความพินาศมาสู่เมืองของเรามากกว่า แล้วทำไมพวกท่านจึงบอกว่ามันคือหนทางเดียวที่ช่วยกษัตริย์วาเก็นได้”

 

            โซลแดทแย้ง โหราจารย์เตรียมอธิบายแต่คนตอบกลับเป็นมหาอำมาตย์ออร์เด็น

 

            “เพราะผลึกวิญญาณมังกรมีพลังซึบซับคำสาปทุกชนิด ถ้าใช้ให้ถูกวิธี เราก็สามารถช่วยทั้งสองพระองค์ได้”

 

            “จริงหรือ” โซลแดทหันไปทางโหราจารย์ เขาผงกศีรษะรับ หัวหน้าองรักษ์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้ว

 

            “ถ้าเราเอาเจ้าผลึกที่ว่านี่มาได้ แล้ววิธีใช้มันละ” เขามองทุกคนในห้องและถอนใจอย่างแรงเมื่อทั้งหมดยืนอึ้ง โซลแดทเลิกคิ้วสูง “หมายความว่าพวกท่านไม่รู้”

 

            “ก็น่าจะมีอยู่คนหนึ่ง” ราเชนพูดพลางเลื่อนสายตาไปยังจอมเวทชุดดำที่ยืนอยู่กลางห้อง “เจ้าใช้เวทด้านมืดไม่ใช่หรืออาเซอร์บัส”

 

            “ถึงใช่ข้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับราชันย์เวทหรือผลึกนั่น” อาเซอร์บัสตอบด้วยใบหน้านิ่ง ราเชนจึงขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับใช้คำถามเหมือนเจตนายั่ว

 

            “ไม่น่าเชื่อว่าจอมเวทผู้รอบรู้ไปเสียทุกอย่างอย่างเจ้าจะไม่รู้วิธีใช้ผลึกมังกร”

 

“ข้าบอกว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับของสิ่งนั้นต่างหากราเชน” จอมเวทหนุ่มพูดเน้นเสียงทีละคำ “อีกอย่างเทนที่จะมามัวนั่งกังวลเรื่องวิธีใช้ พวกเจ้าน่าปรึกษากันว่าควรส่งใครไปเอามันมามากกว่า เพราะหุบเขาสีน้ำเงินไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้าไปเดินเล่นได้ แม้จะเป็นองครักษ์เก่งกาจที่สุดก็ตาม”

 

ประโยคสุดท้ายเขาเน้นไปที่โซลแดทโดยตรง อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่พอใจทันที

 

“หมายความว่ายังไงท่านจอมเวท”

 

“ไปก็ตายเปล่า” อาเซอร์บัสตอบสั้นๆ หัวหน้าราชองครักษ์สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยความโมโห

 

“พูดแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ”

 

“ข้ากล่าวตามความจริง เส้นทางสู่หุบเขาสีน้ำเงินไม่ได้มีแค่สัตว์ป่าหรือโจรเท่านั้น มันยังมีภูตผีปิศาจ จอมเวทที่แสนชั่วร้ายกับอำนาจมืดแฝงอยู่ทุกที่”

 

“งั้นข้าจะนำท่านไปด้วย” โซลแดทกล่าว จอมเวทหนุ่มสั่นศีรษะ

 

“มีเพียงสายเลือดราชวงศ์ของไมธีร่าเท่านั้นที่แตะต้องผลึกวิญญาณมังกรได้”

 

คำพูดของเขาทำให้หัวหน้าราชองครักษ์หันขวับไปทางโหราจารย์ทันที “จริงหรือ”

 

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

 

“จริง”

 

“แต่เชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงเจ้าหญิงเบอร์ทิน่ากับมหาอำมาตย์ออร์เด็นเท่านั้น” โซลแดทกล่าวพร้อมกับมองหน้าอนุชาของกษัตริย์ไมธีร่าแน่วนิ่ง อีกฝ่ายระบายลมหายใจยาว

 

“งั้นข้าจะไปเอง”

 

ออร์เด็นกล่าวพลางขยับเสื้อคลุมให้กระชับกายแน่นขึ้นอันแสดงถึงความหวาดกลัวกับการตัดสินใจเช่นนั้น แต่โซลแดทกลับส่ายหน้า

 

“อายุอย่างท่านไม่มีทางไปถึงหุบเขาสีน้ำเงินแน่”

 

“งั้นก็เหลือแต่เบอร์ทิน่า” โหราจารย์กล่าว “แต่นางเป็นเจ้าหญิง จะให้เดินทางไปในที่อันตรายแบบนั้นเพียงลำพังได้ยังไง”

 

ทุกคนต่างพากันเงียบอีกครั้ง มหาอำมาตย์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องและถอนใจออกมาหลายครั้งเพราะจนปัญญา ส่วนโซแดทยืนเคาะดาบตัวเองเพื่อใช้ความคิดส่วน ในขณะที่โหราจารยย์นั่งก้มหน้ากอดอกเหมือนกำลังทบทวนเนื้อความบันทึกในปูม ราเชนบุตรชายเดินกลับไปกลับมาพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดชะงักและหันขวับไปทางอาเซอร์บัส

 

“เจ้าบอกว่าต้องใช้สายเลือดของราชวงศ์ใช่ไหม”

 

จอมเวทหนุ่มพยักหน้ารับ ในขณะที่ทุกคนมองตรงมาที่ราเชนด้วยความสงสัย

 

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ราเชน” โหราจารย์ถาม เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเหมือนภูมิใจกับความคิดของตัวเองที่ผุดขึ้นมาสดๆร้อนๆ

 

“ถ้าใช้แค่เลือดล่ะ”

 

“หมายความว่าอะไร” คราวนี้มหาอำมาตย์ถามขึ้นมาบ้าง ราเชนยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมาและจุ๊ปากเบาๆ

 

“เรื่องแบบนี้จะต้องมาคิดให้กลุ้มทำไม เราก็เอาเลือดของราชวงศ์คนใดคนหนึ่งใส่กระบอกแล้วส่งทหารสักกองออกไป พอถึงหุบเขาสีน้ำเงินก็เอาเลือดนั่นชโลมบนผลึกมังกร แค่นี้ก็หยิบมาได้แล้ว”

 

“เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยสักนิด” อาเซอร์บัสกล่าว “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะหลุดออกมาจากหัวของลูกชายโหราจารย์ผู้ปราดเปรื่องแห่งไมธีร่า”

 

คำพูดดูแคลนของจอมเวทหนุ่มทำให้ราเชนฉุนกึก เพราะสิ่งที่พูดทั้งหมดเป็นความจริง แต่ก็ไม่วายเถียงข้างๆคูๆ

 

“เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าให้ใช้สายเลือดของราชวงศ์”

 

คราวนี้อาเซอร์บัสเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนต้องการมองคนดันทุรังให้เต็มตา

 

“อย่าบอกนะว่าเจ้าตีความหมายของมันออกมาแบบนั้น”    

 

“ข้ารู้ความหมายของมันดี” ราเชนตอบพร้อมกับกระแทกลมหายใจ “ก็แค่อยากหาทางออกอื่นเลยช่วยเสนอความคิดให้”

 

สิ่งที่หลุดจากปากของบุตรชายทำให้โหราจารย์ต้องกุมขมับและนวดเบาๆเพื่อคลายความเครียดก่อนกล่าวเชิงตำหนิ

 

“พอเถอะราเชน”

 

เด็กหนุ่มฮึดฮัดแต่ก็ยอมหยุดโต้เถียงแต่โดยดีและทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้แต่ต้องดีดตัวลุกพรวดขึ้นเมื่อเบอร์ทิน่าก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับประกาศก้อง

 

“ข้าจะไปที่นั่นเอง”

 

โซลแดทอ้าปากค้างในขณะที่โหราจารย์นั่งตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึงว่าเจ้าหญิงจะก้าวพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ ส่วนอาเซอร์บัสทำแค่หมุนศีรษะไปมองเด็กสาวเท่านั้น มีเพียงมหาอำมาตย์ที่เอ่ยถาม

 

“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรเบอร์ทิน่า”

 

นางหันมาทางออร์เด็นพร้อมกับตอบ

 

“ข้ากำลังพูดถึงการไปเอาของวิเศษมาช่วยท่านพ่อกับท่านแม่”

 

“เหลวไหลไร้สาระ ไม่มีของอย่างที่เจ้าว่าหรอก” มหาอำมาตย์รีบบ่ายเบี่ยงเพราะรู้นิสัยหลานสาวคนนี้ดีว่าหากตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว จะต้องลงมือจนสำเร็จ แต่ดูเหมือนผลจะไม่เป็นไปตามคาดเพราะเบอร์ทิน่าก้าวมายืนกลางห้องพร้อมกับจ้องหน้าผู้เป็นอาเขม็ง

 

“ของที่ว่านั่นคือผลึกวิญญาณมังกร ในหุบเขาสีน้ำเงิน และผู้ที่สามารถนำมันมาได้คือบุคคลที่เป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ไมธีร่าเท่านั้น” นางกล่าวเสียงดังฟังชัดก่อนกวาดตามองไล่ไปทีละคนและหยุดไว้ที่อาเซอร์บัส “ข้าพูดถูกไหม”  

 

จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะ เด็กสาวจึงยิ้มก่อนหันไปทางออร์เด็น

 

“ตอนนี้สายเลือดราชวงศ์มีเพียงท่านกับข้าเท่านั้น เมื่อท่านอาไปไม่ไหว ข้าก็ขอเป็นผู้ไปเอง”

 

“แต่เจ้าเป็นถึงเจ้าหญิง ซ้ำยังไม่มีเวทมนต์อะไร จะเดินทางไปยังดินแดนที่น่ากลัวนั่นได้อย่างไรเบอร์ทิน่า”

 

มหาอำมาตย์แย้งด้วยความเป็นห่วงแต่เด็กสาวกลับยักไหล่และล้วงเข้าไปในอกเสื้อดึงเหรียญโลหะชิ้นหนึ่งออกมาชูให้ทุกคนดู

 

“เหรียญตราแห่งแอรีส” โหราจารย์พึมพำ “หรือว่าองค์หญิงสามารถใช้เวทแห่งดวงดาวได้”

 

เบอร์ทิน่าไม่ตอบแต่กลับโยนเหรียญขึ้นไปในอากาศ ปากพร่ำมนต์ออกมาบทหนึ่งส่วนมือทั้งสองข้างประสานกันไว้เหนือศีรษะ เหรียญที่กำลังหมุนอยู่กลางอากาศนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้าและแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาราทอประกายระยิบระยับวนรอบตัวนาง ทุกคนยกเว้นอาเซอร์บัสต่างมองอย่างตื่นตะลึง ราเชนนั้นทั้งตื่นเต้นและทึ่งกับความสามารถของเจ้าหญิงจนถึงขนาดหลุดปากพูดออกมา

 

“สุดยอด ไม่เคยรู้เลยนะว่าเจ้าก็ใช้เวทมนต์เป็น”

 

“คนเรามันก็ต้องมีความลับกันบ้าง” เบอร์ทิน่าพูดพลางคลายมือทั้งสองข้างออกเพื่อรับเหรียญที่ตกลงมา นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยขณะชำเลืองตาไปทางจอมเวทหนุ่มเหมือนต้องการจะบอกว่า ของง่ายๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเหมือนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงการแสดงของเด็ก

 

“ไม่น่าเชื่อ” ออร์เด็นพูดอย่างตื่นเต้นพลางวางมือลงบนไหล่ของเบอร์ทิน่า “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเก่งถึงเพียงนี้ เจ้าไปเรียนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และใครเป็นคนสอน”

 

“นี่ไม่ใช่เวลามานั่งซักถามเรื่องการศึกษากันนะท่านอา” เด็กสาวติง “ข้าแสดงให้ท่านเห็นแล้วว่ามีเวทมนต์ ดังนั้นได้โปรดอนญาตให้ข้าไปหุบเขาสีน้ำเงินเถิด”

 

“ไม่ได้” มหาอำมาตย์ปฏิเสธทันควัน เบอร์ทิน่าขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

 

“ทำไม”

 

“เพราะเจ้ายังเด็ก และเด็กไม่สมควรเดินทางไปไหนตามลำพัง” พูดจบก็หมุนตัวกลับไปทางโหราจารย์เพื่อปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นแต่เบอร์ทิน่ากลับปราดไปยืนขวางหน้า

 

“ถ้าเป็นห่วงเรื่องการเดินทาง ให้ทหารไปกับข้าก็ได้ อีกอย่างตอนนี้ข้าอายุ 16 เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไปไหนมาไหนตามลำพังได้แล้ว” เด็กสาวยกเหตุผลขึ้นมาอ้างด้วยคิดว่าออร์เด็นจะคล้อยตามด้วยแต่ต้องผิดหวัง เพราะเขาสั่นศีรษะและตอบอย่างเคร่งขรึม

 

“เจ้าอาจจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ในสายตาของอา เจ้ายังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่วิ่งซุกซนไปมาอยู่ในวังเท่านั้น จงเลิกล้มความคิดที่จะไปหุบเขาสีน้ำเงินเสียเถิดเบอร์ทิน่า อาปล่อยให้เจ้าไปไม่ได้หรอก”

 

เบอร์ทิน่าเม้มปากแน่น หากคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ออร์เด็น อาแท้ๆที่นางเคารพรักรองจากพระบิดาแล้ว นางคงแผดเสียงใส่และสะบัดหน้าเดินหนีไปอย่างไม่ไยดี กระนั้นนางก็ยังอดย้อนถามด้วยความโกรธไม่ได้

 

“ถ้าไม่ให้ข้าไป แล้วจะให้ใครไป สายเลือดของราชวงศ์ในตอนนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นนะ”

 

“ข้าจะไปเอง” ออร์เด็นกล่าวเบาๆ เบอร์ทิน่าเบิกตากว้างเพราะคาดไม่ถึงว่ามหาอำมาตย์จะตัดสินใจทำเรื่องอันตรายเช่นนี้

 

“ท่านอาไม่มีเวทมนต์แถมยังอายุมาก เดินทางไกลขนาดนั้นไม่ไหวแน่”

 

“ก็ยังดีกว่าให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเป็นคนไป” ออร์เด็นพูดพลางบีบไหล่หลานสาวเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาให้ “วางใจเถิด อาไม่ได้ไปตามลำพัง อาจะให้ทหารสักหนึ่งกองร้อยกับสุดยอดจอมเวทสักคนตามไปด้วย”

 

ประโยคหลังเบอร์ทิน่าหันไปมองอาเซอร์บัส เขาส่ายหน้าช้าๆ

 

“ไม่ใช่ข้า”

 

เด็กสาวย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้และสวนคำไปทันควัน

 

“แหงละ เจ้าไม่ใช่สุดยอดจอมเวทนี่” ประชดเสร็จเรียบร้อยนางก็หันกลับไปที่มหาอำมาตย์อีกครั้ง “เวลากระชั้นขนาดนี้จะไปหาจอมเวทได้ที่ไหน”

 

“เรากำลังจัดงานประลองจอมเวทกันอยู่ไม่ใช่หรือ” ออร์เด็นตอบ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก กลับห้องพักผ่อนให้มาก เพราะเมื่ออาออกเดินทางไปแล้วเจ้าจะต้องเป็นผู้ดูแลปกป้องชาวไมธีร่า ในฐานะกษัตริย์”

 

เขามองหน้าหลานสาว “คิดว่าทำได้ไหม”

 

เบอร์ทิน่าไม่ตอบแต่กลับถอนใจออกมาอย่างแรงก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้อง ผู้เป็นอามองตามอย่างหนักใจในขณะที่ราเชนมองนางด้วยความเป็นห่วง

 

“นางไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่าน” เขาพูดก่อนหันกลับมาทางมหาอำมาตย์ “แต่นางทำได้แน่”

 

“ข้ารู้” ออร์เด็นพึมพำและยืนนิ่งเหมือนคิดไม่ตกว่าควรทำสิ่งใดต่อ โซลแดทซึ่งยืนกระวนกระวายอยู่นานจึงถาม

 

“ท่านมีแผนการยังไง”

 

“อะไร” มหาอำมาตย์หลุดปากถามอย่างลืมตัวและพยักหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ “เจ้าหมายถึงการไปหุบเขาสีน้ำเงิน ข้าตั้งใจแล้วว่าจะให้ทหารไปด้วยสักหนึ่งกองร้อย แต่สิ่งที่คิดไม่ตกก็คือจอมเวท จะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนมีฝีมือ”

 

“ไม่ยาก ให้พวกเขาแสดงให้ดูก็สิ้นเรื่อง” ราเชนโพล่งขึ้นมาและยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ “หรือถ้าอยากจะให้มั่นใจก็ให้สู้กับเจ้านั่น” เขาพยักเพยิดไปทางอาเซอร์บัส “เท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครมีฝีมือ”

 

โหราจารย์โคลงศีรษะน้อยๆอย่างระอากับความคิดพิสดารของบุตรชาย

 

“ท่านอาเซอร์บัสเหนือกว่าคนพวกนั้นมาก พลาดพลั้งขึ้นมาจะพากันตายกันหมด”

 

“งั้นก็ให้เขาไปแทน” ราเชนยังคงดันทุรังพูด จึงถูกบิดาเอ็ดเสียงดัง

 

“พอได้แล้วราเชน ถ้าไม่มีความคิดดีกว่านี้ก็ออกไปซะ” เขาจ้องหน้าบุตรชายด้วยความโกรธก่อนหันไปก้มศีรษะให้มหาอำมาตย์ “โปรดอภัยที่ข้าแสดงกิริยาไม่เหมาะสม แต่บุตรชายของข้ามันเหลือทนจริงๆ”

 

“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” ออร์เด็นกล่าว “แต่ความคิดเรื่องการคัดเลือกของเขาน่าสนใจดี ถ้าเปลี่ยนจากการแสดงความสามารถมาเป็นการแข่งขัน ดูจะเข้าท่ากว่า ใครมีฝีมือก็ผ่านเข้ารอบและร่วมเดินทางไปกับพวกเรา”

 

โหราจารย์ผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย

 

“เป็นความคิดที่ไม่เลว ท่านมหาอำมาตย์ ปัญหาก็คือจะมีคนกล้าเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้หรือเปล่า เพราะจอมเวทหลายคนนอกจากจะมีฝีมือแล้วยังปรารถนาเรื่องลาภยศเงินทอง การแข่งขันที่ไม่มีของรางวัลแบบนี้คงไม่มีคนสนใจเท่าไหร่ และที่สำคัญถ้าพวกเขารู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้อาจมีอันตรายถึงชีวิต คงไม่มีใครกล้าไปกับท่านแน่”

 

“ไม่ยาก เปลี่ยนตำนานนิดหน่อยก็สิ้นเรื่อง” ราเชนพูดและยิ้มกว้างเมื่อทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว โหราจารย์จึงถามเสียงเข้ม

 

“เปลี่ยนตำนานอะไรของเจ้า”

 

ราเชนยักไหล่และทำหน้าเหมือน เรื่องง่ายแค่นี้ก็คิดกันไม่ออกก่อนสาธยาย

 

“แทนที่จะบอกแค่ว่าเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินเพื่อค้นหาผลึกวิญญาณมังกร เราก็ปล่อยข่าวลือออกไปว่า ที่หุบเขาสีน้ำเงินมีผลึกวิญญาณมังกรลอยอยู่ในปรอทท่ามกลางเหรียญทองคำกองมหึมา รับรองได้เลยว่าต้องมีคนแห่กันมาสมัครมืดฟ้ามัวดิน”

 

โซลแดทส่ายหัวดิกเหมือนไม่เห็นด้วยความคิดนี้เท่าใดนักแต่อาเซอร์บัสกลับอมยิ้ม

 

“เพิ่งได้ยินเจ้าพูดอะไรเข้าท่า” เขาหันไปทางมหาอำมาตย์ “ทำตามที่เจ้านี่บอกก็แล้วกัน”

 

“มันจะดีหรือท่านจอมเวท แบบนั้นเท่ากับหลอกคนอื่นให้ไปตายนะ”

 

“ถ้าเขาสมัครเพราะความโลภ ก็ถือเสียว่าเต็มใจตายตั้งแต่แรก” จอมเวทหนุ่มพูดอย่างไม่แยแสเท่าใดนัก น้ำเสียงเย็นชากับสีหน้าเรียบเฉยทำให้ทุกคนในห้องต้องกลืนน้ำลายด้วยความเสียวสยอง ตอนนั้นเองที่พวกเขาสำนึกขึ้นมาได้ว่า แม้อาเซอร์บัสจะมีหน้าที่อารักขาเจ้าหญิงเบอร์ทิน่าและไม่เคยข้องเกี่ยวกับการเมืองหรือมีเรื่องบาดหมางกับใคร แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาเป็นจอมเวทในกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า สายมืด ซึ่งนอกจากจะมีพลังแข็งแกร่งแล้ว จิตใจยังเหี้ยมโหดอำมหิตกว่านักเวทธรรมดาทั่วไป

 

“ใจดำเหมือนกันนี่” ราเชนพูดพอให้จอมเวทหนุ่มได้ยิน แต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจ เพราะเขายังคงสนทนากับออร์เด็นอย่างเป็นงานเป็นการ

 

“การแข่งขันครั้งนี้คงมีจอมเวทมาเข้าร่วมไม่น้อย ท่านควรหาลานประลองที่ห่างไกลจากผู้คนสักหน่อย จะได้ไม่มีใครโดนลูกหลงหรือได้รับอันตราย”

 

“เวลากระชั้นแบบนี้ข้าจะไปหาได้ที่ไหน” มหาอำมาตย์ถามพลางขมวดคิ้วย่นอย่างหนักใจ โซลแดทจึงกลางแทรกขึ้นมา

 

“ใช้สนามฝึกของพวกเราก็ได้ ที่นั่นกว้างขวางมีห้องให้พวกจอมเวทได้พักผ่อน แถมยังอยู่ท่ามกลางหุบเขาห่างจากเมือง ต่อให้พวกท่านใช้เวทถล่มกันจนทุกอย่างพังพินาศก็ไม่มีทางหลุดออกมาถึงประชาชน”

 

ออร์เด็นยิ้มออกมาอย่างพอใจ

 

“ตกลงตามนั้น ท่านโซลแดทเป็นผู้จัดเตรียมเรื่องสถานที่ ส่วนกติกาและการแข่งขัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ท่านโหราจารย์กับท่านอาเซอร์บัส”

 

“ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” จอมเวทหนุ่มพูดสวนขึ้นมาทันที “หมดธุระแล้วข้าต้องขอตัว”

 

เขาเดินออกจากห้องโดยไม่กล่าวล่ำลาหรือแสดงความเคารพให้ใครสักคน กิริยากร้าวแกร่งแข็งกระด้างของอาเซอร์บัส ทำให้หัวหน้าราชองรักษ์ผู้เคร่งเครัดเรื่องระเบียบวินัยอย่างโซลแดทต้องนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เพราะถึงออร์เด็นจะเป็นเพียงมหาอำมาตย์ แต่ก็เป็นพระอนุชาของกษัตริย์วาเก็น ไม่สมควรที่จอมเวทจะแสดงอาการเหมือนไร้ความเคารพเช่นนี้

 

“ไม่มีสัมมาคารวะเอาเสียเลย” เขาโพล่งออกมาอย่างเหลืออด แต่ออร์เด็นกลับโบกมือ

 

“พวกจอมเวทมักเป็นแบบนี้ อย่าใส่ใจเลยท่านโซลแดท” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ตัวของมหาอำมาตย์เองกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซึ่งโซแดทเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่า มันมาจากกิริยาท่าทางของอาเซอร์บัสหรือสถานการณ์ในตอนนี้ 

 

“ชีวิตของสองพระองค์ขึ้นอยู่กับพวกเรา ตั้งนั้นจะมามัวเสียเวลากันอยู่ไม่ได้ โซลแดท ท่านจงไปจัดเตรียมสถานที่ ส่วนท่านโหราจารย์กับราเชน ให้ตั้งกฎกติกาและวิธีการแข่งขัน จำเอาไว้ให้ดีว่าเราต้องรีบออกเดินทาง ดังนั้นการประลองในครั้งนี้ต้องกระทำอย่างรวบรัด คัดคนออกอย่างมีประสิทธิภาพและใช้เวลาให้น้อยที่สุด”

 

“ข้าตั้งใจจะให้การแข่งขันเสร็จสิ้นภายในสามวัน” โหราจารย์กล่าว มหาอำมาตย์นิ่งคิดและส่ายหน้า

 

“คงเป็นไปได้ยากหากมีคนมากเกินไป ข้าคิดว่าควรใช้เวลาแข่งขันห้าวัน” เขาหยุดพูดและมองหน้าทุกคน เมื่อไม่มีใครแย้งจึงสรุป “เป็นอันตกลงตามนี้ ให้เปิดรับสมัครสองวัน และเริ่มต้นการแข่งขันในทันที เพื่อความไม่ประมาท ข้าต้องการจอมเวทร่วมเดินทางทั้งหมดสิบคน คิดว่าทำได้ไหม”

 

ออร์เด็นทิ้งคำถามในประโยคสุดท้ายและมองหน้าโหราจารย์กับบุตรชายสลับไปมา ราเชนยิ้มกว้างก่อนตอบอย่างมั่นใจ

 

“สบายมาก”

 

“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มลงมือทำงานกันตั้งแต่ตอนนี้ จำเอาไว้ให้ดีว่าทุกนาทีมีค่า ความอยู่รอดของไม่ธีร่าขึ้นอยู่กับพวกเรา”

 

มหาอำมาตย์สรุป ทุกคนจึงกล่าวรับคำและก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพก่อนออกจากห้อง แยกย้ายกันไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมายกันอย่างเร่งรีบ

 

 

*/*/*/*/*/*/*

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 19 ธันวาคม 2556
Last Update : 19 ธันวาคม 2556 19:02:10 น.
Counter : 432 Pageviews.

0 comment
ผลึกวิญญาณมังกร บทที่ 1 หมอกวิญญาณ
 

ผลึกวิญญาณมังกร

 

 

บทที่ 1 หมอกวิญญาณ

 

 

“การประลองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของผู้ใช้เวทจะเริ่มต้นในอีกสองชั่วโมง ผู้ใดสนใจเชิญเข้ามาลงชื่อเข้าร่วมการแข่งขันได้”

 

เสียงชายวัยสามสิบต้นซึ่งยืนอยู่หน้าประตูเข้าสู่ลานกว้างใจกลางเมืองร้องบอกผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมา หลายคนรีบซื้ออาหารและเครื่องดื่มเพื่อเข้าไปจับจองที่นั่ง บางคนเดินผ่านไปโดยตั้งใจว่าจะย้อนกลับมาอีกครั้งตอนเริ่มงาน

 

การแข่งขันประลองเพื่อชิงความเป็นหนึ่งของเหล่าจอมเวทนี้จัดขึ้นทุกสามปี เพียงแต่ในครั้งนี้เป็นการจัดที่พิเศษและยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งเนื่องจากเป็นเทศกาลฉลองที่เมืองไมธีร่ามีอายุได้ 300 ปี ผู้คนจึงหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งเพื่อชมงานรื่นเริงหลายรูปแบบ และเข้าร่วมการแข่งขันสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นการวิ่งสามขา กระโดดข้ามแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยปลาไหล ยิงธนู ฟันดาบหรือแม้แต่กระทั่งแข่งความเร็วในการกิน

 

เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานสลับกับเสียงดนตรีจากทุกมุมเมืองดังข้ามกำแพงศิลาสูงเข้าไปถึงเขตราชฐานชั้นในของปราสาทแห่งไมธีร่า กษัตริย์วาเก็นซึ่งกำลังปรึกษาพิธีการอยู่กับมหาอำมาตย์จึงแย้มสรวล

 

“ดูเหมือนชาวเมืองจะสนุกสนานกันใหญ่นะ ออร์เด็น”

 

มหาอำมาตย์ผู้เป็นทั้งที่ปรึกษาส่วนพระองค์และอนุชาหันหน้าไปทางหน้าต่างแล้วยิ้ม

 

“ไม่ใช่แค่ชาวเมืองเท่านั้น ในวังของท่านเองก็มีคนตื่นเต้นไม่แพ้กัน”

 

“ท่านคงหมายถึงเบอร์ทิน่า” กษัตริย์วาเก็นตรัส “ป่านนี้คงเที่ยวชะเง้อดูงานอยู่บนกำแพงแล้วกระมัง”

 

ทรงหัวเราะเมื่อนึกภาพราชธิดาเพียงองค์เดียวกำลังวิ่งซุกซนไปมาภายในวังอย่างร่าเริง มหาอำมาตย์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“แต่ข้าคิดว่าป่านนี้นางคงออกไปนอกวังแล้ว”

 

“ทหารมีตั้งเยอะแยะ นางจะออกไปง่ายๆได้อย่างไร” กษัตริย์วาเก็นแย้งแต่พระอนุชากลับส่ายหน้า

 

“ไม่มีใครห้ามเบอร์ทิน่าได้หรอก องค์ราชา”

 

เป็นไปตามคำกล่าวของมหาอำมาตย์ เพราะในตอนนี้ เบอร์ทิน่า เจ้าหญิงของนครไมธีร่าซึ่งอยู่ในเครื่องแต่งกายแบบสามัญชนกำลังกระโดดโลดเต้นท่ามกลางฝูงชนอย่างร่าเริง โดยมี ราเชน พระสหายวิ่งตาม

 

“ดูขนมนั่นสิราเชน” เบอร์ทิน่าชี้มือไปที่ร้านด้านตรงกันข้าม “สีของมันน่ากินจังเลยว่าไหม”

 

นางถามเหมือนขอความเห็นแต่กลับวิ่งตรงไปที่ร้านและร้องขอขนมซึ่งน่าจะเป็นพวกแป้งอบทรงกลมสีชมพูหวานมาหนึ่งอัน พอได้รับแล้วก็หันกลับมาที่ราเชน “จ่ายให้ด้วย”

 

เด็กหนุ่มส่ายหน้าแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี พอหันไปกลับไปที่เจ้าหญิง ปรากฏว่านางวิ่งไปยืนดูการแสดงกายกรรมที่ลานกว้างเรียบร้อยแล้ว

 

“ไวเป็นบ้า” เขาบ่นพร้อมกับรีบเดินตามด้วยความเป็นห่วง แม้ไมธีร่าจะเป็นเมืองสงบสุข ไม่เคยมีเรื่องราวฉกชิงวิ่งราวมาก่อนแต่เทศกาลที่มีคนเป็นจำนวนมากแบบนี้อาจมีมิจฉาชีพปะปนเข้ามาด้วยก็ได้ คิดพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่พอไปถึงปรากฏว่าเบอร์ทิน่าหายตัวไปแล้ว

 

“แย่ละสิ” ราเชนบ่นและรีบกวาดตามองไปรอบตัวอย่างลุกลน แต่ฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่เป็นอุปสรรคทำให้เขามองหาเจ้าหญิงไม่เจอ เด็กหนุ่มใช้วิธีทั้งชะเง้อ ทั้งกระโดด แต่ก็ไม่พบ เมื่อจนปัญญาเขาจึงตัดสินใจตะโกนเรียก

 

“เบอร์ทิน่า !” 

 

สิ้นคำเสื้อบริเวณอกก็เกิดอาการยับย่นเหมือนมือใครบางคนขยุ้ม ร่างของราเชนพุ่งฉิวออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วราวถูกกระชาก เด็กหนุ่มพยายามฝืนตัวแต่ไม่สำเร็จ เมื่อหมดหนทางขัดขืนเขาจึงจำต้องวิ่งไปตามแรงและหยุดอย่างฉับพลันต่อหน้าคนที่กำลังหา

 

“ราเชน” เบอร์ทิน่าเรียกด้วยความแปลกใจตรงกันข้ามกับราเชนที่กำหมัดแน่นและขมวดคิ้วอย่างโกรธจัด

 

“อาเซอร์บัส !” เขาร้องลั่นพลางส่งสายตาอาฆาตผ่านเบอร์ทิน่าไปยังด้านหลัง ชายหนุ่มในผ้าคลุมสีดำสนิทถือไม้เท้าสีเดียวยืนนิ่งอยู่ ใบหน้าภายใต้ฮู้ดมีรอยยิ้มเยาะบนมุมปาก “นึกบ้าอะไรถึงได้ลากข้ามาแบบนี้”

 

“หรือจะให้ข้าใช้วิธียกตัวเจ้าลอยข้ามหัวคนอื่น” เสียงทุ้มเย็นถามอย่างยียวน มันแทบจะจุดไฟให้ระเบิดลุกท่วมตัวของราเชนที่กำลังโมโหสุดขีด

 

“ทำแบบนั้นได้ยังไงละเจ้าบ้า” เขาตะเบ็งเสียงลั่นก่อนกระแทกลมหายใจพรืด “ใช้วิธีแบบคนธรรมดาไม่เป็นหรือไง”

 

“คนเยอะแบบนี้มัวแต่เรียกเมื่อไหร่จะเจอ” อาเซอร์บัสพูดพลางเลื่อนสายตาไปที่เบอร์ทิน่า “เกือบหลงกันแล้วไหมล่ะ ข้าเตือนแล้วว่าอย่าออกมาก็ไม่เชื่อ”

 

“คนพูดคือข้าต่างหาก” เบอร์ทิน่าตอบพร้อมกับเมินหน้าหนีไปอีกด้านอย่างรำคาญ “ตัวเซ็งอย่างเจ้าไม่รู้จะตามมาทำไม”

 

“ข้ามีหน้าที่อารักขาเจ้า” อาเซอร์บัสพูดด้วยเสียงราบเรียบ ราเชนจึงผลักเขาออกก่อนเบียดตัวไปยืนข้างเบอร์ทิน่า

 

“มันเป็นหน้าที่ของข้าต่างหาก”

 

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้ฮู้ดมองอีกฝ่ายเขม็ง

 

“เจ้าปล่อยให้เบอร์ทิน่าคลาดสายตาแถมยังหาไม่เจอ แบบนี้จะอารักขานางได้ยังไง”

 

“ข้าแค่เผลอไปนิดเดียวเท่านั้น อีกอย่างข้ายังไม่ทันได้หา เจ้าก็เข้ามายุ่งเสียก่อน”

 

ระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองคนปะทะคารมกัน เบอร์ทิน่าสังเกตว่ามือของอาเซอร์บัสกำไม้เท้าแน่นขึ้นเรื่อยๆ พอราเชนพูดจบ เขาก็สวนกลับทันควัน

 

“ขืนรอเจ้า เบอร์ทิน่าคงหลงไปอีกไกล”

 

“นางอยู่ในเมืองยังไงก็ไม่หายหรอกน่า” เขาขยับเพื่อชวนเจ้าหญิงไปเที่ยวต่อแต่ต้องหยุดเมื่อได้ยินคำพูดของอาเซอร์บัส

 

“คิดง่ายๆแบบคนโง่”

 

น้ำเสียงเชิงหยามเหยียดทำให้ราเชนนิ่วหน้าอย่างนึกฉุน เขาหันไปประจันกับจอมเวทหนุ่มและร้องท้า

 

“พูดแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ มาซัดกันซักตั้งดีกว่า”

 

“ข้าเป็นจอมเวทไม่นิยมการใช้กำลัง” อีกฝ่ายพูดอย่างเคร่งขรึม ราเชนเชิดหน้าพร้อมกับเหยียดยิ้มเยาะ

 

“ข้าว่าเจ้ากลัวมากกว่า พวกจอมเวทวันๆเอาแต่ร่ายเวทมนต์คาถา คงไม่มีแรงสู้รบปรบมือกับใคร”

 

อาเซอร์บัสมองราเชนอย่างไม่พอใจ และเตรียมขยับปากโต้แต่เบอร์ทิน่าเดินมาขวางทั้งคู่เอาไว้พร้อมกับยกมือห้าม

 

“พอได้แล้วทั้งสองคน นี่เป็นงานฉลอง อย่าทะเลาะกันเลย” นางมองหน้าราเชนเหมือนขอร้อง ชายหนุ่มจึงได้แต่ขบกรามและพยักหน้ารับ เมื่อเห็นสหายรักยอมทำตามแล้วเบอร์ทิน่าจึงหันไปทางอาเซอร์บัส แต่เขากลับยืนนิ่ง ไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา เด็กสาวจึงนิ่วหน้าและพูดพอให้เขาได้ยิน

 

“เจ้าเป็นตัวเซ็งจริงๆ”

 

นางเดินหนีทันทีเมื่อพูดจบ ราเชนจึงรีบก้าวตามแต่อาเซอร์บัสกลับคว้าไหล่ของเขาเอาไว้และก้มหน้าลงกระซิบ

 

“อย่าให้ข้าได้ยินคำว่าเผลออีก” พูดพลางเพิ่มน้ำหนักมือแน่นขึ้นจนราเชนต้องหลุดปากร้องอุทานออกมาดังลั่น เมื่ออีกฝ่ายปล่อยและเดินตามเจ้าหญิงไปแล้ว เขาจึงนิ่วหน้าพร้อมกับลูบไหล่ของตัวเอง

 

“มือหนักเป็นบ้า”

 

เด็กหนุ่มบ่นพึมพำก่อนจะรีบวิ่งตามไปจนทันเบอร์ทิน่าซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าซุ้มทางเข้าลานประลองของเหล่าจอมเวท ขณะตัดสินใจว่าจะเข้าไปชมการแข่งขันหรือไม่อยู่นั้น เสียงเอะอะของคนจากโต๊ะด้านข้างก็ดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นชายสามคนในเครื่องแต่งกายประหลาดกำลังยืนรุมล้อมเจ้าหน้าที่รับสมัครด้วยท่าทางคุกคาม

 

“ที่ว่าไม่ผ่านมันหมายความว่ายังไง” คนหัวล้านเตียนโล่งพูดพลางทุบโต๊ะดังโครม “พวกข้าขาดคุณสมบัติตรงไหน” 

 

“ก...ก็ตรงที่พวกท่านไม่ใช่ผู้ใช้เวท”

 

หนึ่งในสามแยกเขี้ยวขู่และชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของเจ้าหน้าที่ เขาตาเหลือกร้องลั่นเมื่อเห็นเปลวไฟปะทุขึ้น

 

“ข้าเรียกไฟได้ แบบนี้ยังไม่เรียกว่าใช้เวทอีกหรือ” เขาพูดพลางขยับนิ้วให้เข้าไปใกล้หน้าอีกนิด เจ้าหน้าที่ผู้น่าสงสารสั่นศีรษะ

 

“แค่เปลวไฟเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

 

เขาตอบเสียงสั่น คนเรียกไฟได้จึงถ่มน้ำลายลงพื้น

 

“งั้นข้าจะแสดงการเผาคนให้เจ้าดู จะได้ช่วยให้คุณสมบัติของพวกข้าเพิ่มมากขึ้น”

 

ไม่พูดเปล่า ชายคนนั้นยังเอานิ้วจิ้มลงไปบนหน้าของคนเคราะห์ร้าย เขาหลับตาแน่นส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น แต่เมื่อรู้สึกว่าไม่มีเปลวไฟลุกท่วมอย่างที่หวาดกลัวจึงลืมตาขึ้นและกะพริบปริบๆด้วยความแปลกใจ ตรงกันข้ามกับคนก่อเรื่องที่กำลังมองนิ้วตัวเองอย่างฉงน

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมไฟของข้าจึงดับ”

 

ยังไม่ทันจบประโยคมันกลับเป็นฝ่ายร้องลั่นเมื่อจู่ๆมีเปลวเพลิงสีดำลุกท่วมตัวและลามไปยังเพื่อนอีกสองคนที่มาด้วยกัน ทั้งสามกรีดร้องโหยหวนและล้มลงดิ้นทุรนทุราย

 

“ช่วยด้วย ดับไฟให้เราที!”

 

เจ้าคนหัวโล้นตะเบ็งเสียงร้องจนแหบแห้ง มีบางคนราดน้ำลงไปทั้งถังเพื่อดับไฟแต่ไม่ได้ผล เพลิงสีดำยังคงลุกโชติช่วงอย่างไม่มีวี่แววว่าจะมอดดับลง ที่น่าแปลกก็คือแม้คนทั้งสามจะรู้สึกร้อนจนแทบทนไม่ได้ แต่ร่างกายของพวกเขากลับไม่มีอาการไหม้เกรียมเลยสักนัก ไม่มีแม้กระทั่งรอยพุพอง เบอร์ทิน่าจึงหันไปทางอาเซอร์บัส

 

“พอได้แล้วน่ะ”

 

จอมเวทหนุ่มส่งยิ้มยียวนก่อนขยับนิ้วชี้เล็กน้อย ไฟทั้งหมดก็ดับสนิท ไม่หลงเหลือร่องรอยใด คนทั้งสามหยุดดิ้นและมองหน้ากันอย่างงุนงง แต่พอหันมาเห็นจอมเวทในเครื่องแต่งกายสีดำกำลังจ้องมาด้วยดวงตาวาววับ ทั้งหมดจึงรู้ว่าเปลวเพลิงนั้นมาจากที่ใด ไม่ต้องรอให้บอก ชายทั้งสามรีบลุกขึ้นโกยอ้าวออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

 

“คุณสมบัติไม่ผ่านจริงๆ” ราเชนพูดอย่างดูถูกก่อนชำเลืองมองอาเซอร์บัสด้วยหางตา “เจ้าน่าจะเข้าแข่งขันด้วยนะ ฝีมือกับนิสัยแบบนี้รับรองว่าไม่มีใครสู้ได้แน่”

 

“ไร้สาระ” อีกฝ่ายตอบก่อนมองอีกฝ่ายด้วยกริยาเดียวกัน “ที่ว่านิสัยมันหมายความว่ายังไง”

 

ราเชนไม่ตอบแต่แกล้งทำเป็นผิวปากไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก่อนที่สงครามระหว่างคนทั้งสองจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เบอร์ทิน่าก็รีบคว้าแขนเด็กหนุ่มลากเข้าไปในลานประลอง แต่ยังไม่ทันพ้นซุ้มประตู อาเซอร์บัสก็คว้าไหล่ของนางเอาไว้พร้อมกับห้าม

 

“เดี๋ยว !”

 

“ทำไม” เด็กสาวถามและชะงักคำพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่อจอมเวทหนุ่มยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้หยุด ดวงตาคมกริบกวาดมองไปโดยรอบ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียดเมื่อเห็นทิวธงซึ่งกำลังสะบัดไหวไปตามลมหยุดนิ่งลงพร้อมกัน สัมผัสที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปทำให้เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมุ่งตรงมายังเมืองไมธีร่า

 

อะไรบางอย่างที่น่ากลัว

 

“อยู่กับเบอร์ทิน่า” อาเซอร์บัสสั่งราเชนอย่างเคร่งขรึมพลางวาดมือไปด้านข้าง แม้จะมองไม่เห็นสิ่งที่จอมเวทกำลังสร้าง แต่ราเชนกลับรู้สึกเหมือนรอบตัวของเขาในตอนนี้มีม่านพลังปกคลุมอยู่ พอจะเอ่ยปากถาม เด็กหนุ่มต้องอ้าค้างไว้แบบนั้นและเบิกตากว้างเมื่อท้องฟ้าที่เคยสดใสมืดมิดลงอย่างฉับพลัน หมอกสีเทาหม่นเคลื่อนตัวเข้ามาทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องด้วยความตระหนกดังสับสนวุ่นวาย ฝูงชนต่างวิ่งหนีกันอลหม่าน บางคนวิ่งมาปะทะกับม่านพลังที่จอมเวทหนุ่มสร้างขึ้นอย่างแรงจนหงายหลังล้มลง ไม่ช้าทั้งเมืองก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาทึบ     

 

“เกิดอะไรขึ้น หมอกพวกนี้มาจากไหน” เบอร์ทิน่าถามพลางขณะเบียดกายกับตัวราเชนอย่างหวาดกลัว เด็กหนุ่มกอดนางด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างกางออกเพื่อปกป้องก่อนตอบ

 

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขามองอาเซอร์บัส “แล้วเจ้าล่ะ”

 

จอมเวทหนุ่มไม่ตอบเพราะเวลานี้เขากำลังร่ายมนต์เพื่อผลักดันหมอกควันเหล่านี้ออกไป ระหว่างที่กำลังท่องอักขระอยู่นั้น โสตประสาทก็สัมผัสถึงเสียงกรีดร้องดังระงมอยู่ในละอองสีเทา สิ่งที่ได้ยินทำให้อาเซอร์บัสรู้ในทันทีว่า หมอกนั่นคือวิญญาณแค้นนับพันดวงที่ถูกเรียกมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แรงอาฆาตอันมหาศาลทรงพลังเสียจนแทบขยี้เขาให้แหลกเป็นผุยผง จอมเวทหนุ่มจึงเพิ่มอำนาจอาคมสร้างพลังป้องกันในขณะเดียวกันก็ท่องมนตราให้เร็วขึ้น เมื่อคริสตัลบนยอดไม้เท้าส่องแสงเรืองรอง เขาก็วาดไม้เท้าเป็นวงพร้อมกับท่องอักขระตัวสุดท้ายเสียงดัง พลังเวทก่อให้เกิดคลื่นกระจายออกไปโดยรอบ ผลักหมอกสีเทาถอยร่นออกจากเมืองและแตกสลายหายไป เมื่อขับไล่หมอกมรณะสำเร็จเขาจึงปลดม่านพลังคุ้มครองเบอร์ทิน่าออก และเอ่ยปากสั่งโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถาม

 

“กลับวัง”

 

เมื่อก้าวเข้าสู่เขตราชฐาน อาเซอร์บัสมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ประทับของกษัตริย์แห่งไมธีร่าทันที พอไปถึงเขาต้องยืนตกตะลึง เพราะกษัตริย์วาเก็นกับราชินีไอด้าซึ่งนั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ ได้กลายเป็นหินไปเสียแล้ว จอมเวทหนุ่มหันไปถามมองมหาอำมาตย์ออร์เด็นที่กำลังยืนหน้าซีดตัวสั่นอยู่ด้านข้าง

 

“เกิดอะไรขึ้น” ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบ เสียงเอะอะโวยวายของเบอร์ทิน่าก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน เพื่อไม่ให้นางต้องตระหนกเกินไปจนอาจเกิดเรื่องวุ่นวาย อาเซอร์บัสจึงสั่ง 

 

“อย่าให้นางเข้ามา”

 

เมื่อองครักษ์กันเจ้าหญิงออกไปได้แล้วเขาจึงหันกลับมายังออร์เด็นซึ่งดูเหมือนตอนนี้จะตั้งสติได้แล้วอีกครั้ง “บอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”

 

“ข้าไม่รู้ พวกเรากำลังปรึกษาเรื่องงานฉลองกันอยู่ จู่ๆฟ้าก็มืดและมีหมอกพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง” เล่าพลางชี้ไปยังช่องหน้าต่างใกล้ที่ประทับ “มันกระจายคลุมไปทั่วห้อง ข้าได้ยินแต่เสียงกรีดร้อง พอหมอกจาง ทั้งสองพระองค์ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”

 

ระหว่างที่ฟังมหาอำมาตย์เล่า อาเซอร์บัสทำการตรวจวรกายของกษัตริย์วาเก็นไปด้วย เมื่ออีกฝ่ายเล่าจบเขาจึงเอ่ยปากพูด

 

“มันเป็นคำสาป”

 

“คำสาปอะไร พอจะช่วยได้ไหม” ออร์เด็นถาม อาเซอร์บัสลองร่ายเวทออกมาสองสามบทและส่ายหน้า

 

“มันเป็นคำสาปที่เกิดจากความอาฆาต ต้องให้คนทำเท่านั้นเป็นผู้ถอน” จอมเวทหนุ่มขมวดคิ้ว “แต่คนผู้นั้นเป็นใครและทำไม” เขาหันไปทางออร์เด็น “ท่านพอจะรู้บ้างไหม”

 

มหาอำมาตย์เม้มปากแน่นเหมือนต้องการข่มอารมณ์วิปโยคและความหวาดกลัวให้สงบลงก่อนสั่นศีรษะ

 

“ทรงเป็นกษัตริย์ที่ดี ไม่มีใครคิดร้ายต่อพระองค์แน่”

 

“แต่ที่เห็นมันไม่ใช่แบบนั้น” อาเซอร์บัสกล่าวอย่างเคร่งขรึมและยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “ข้าเคยเห็นคำสาปแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ดูเหมือนจะเกี่ยวกับที่มาของนครไมธีร่า”

 

ดวงตาเบิกกว้างเหมือนมีบางอย่างวิ่งเข้าไปในหัว จอมเวทหนุ่มสะบัดผ้าคลุมหมุนตัวก้าวออกจากห้อง ตรงไปยังหอสมุดประจำราชสำนักและเดินเข้าไปในห้องเก็บปูมบันทึกโดยไม่รอบรรณารักษ์ มองหาอยู่ครู่ใหญ่จึงดึงสมุดปูมเก่าคร่ำคร่าลงมาจากชั้น อ่านไปได้เพียงครึ่งเล่มเขาก็ถูกรบกวนด้วยเสียงปึงปังจากการอาละวาดของเบอร์ทิน่า

 

“เขาอยู่ไหน” เจ้าหญิงถาม บรรณารักษ์ชราจึงชี้มือไปยังหอเก็บปูม เมื่อเข้าไปในนั้นคำถามแรกที่หลุดจากปากของนางคือ

 

“กล้าดียังไงถึงห้ามข้าไม่ให้เข้าพบท่านพ่อ”

 

อาเซอร์บัสไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองนาง เขายังคงพลิกหน้ากระดาษและอ่านเนื้อความอย่างใจเย็นก่อนตอบ

 

“ข้าไม่อยากให้เจ้าตระหนกจนเกินไป”

 

“เรื่องอะไร” เด็กสาวถามเสียงห้วนและใจหายวาบเมื่ออีกฝ่ายหยุดมือที่กำลังเปิดกระดาษแผ่นต่อไป ใบหน้าภายใต้ฮู้ดเงยขึ้นอย่างแช่มช้าและมองกลับมาด้วยสายตาน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน อาเซอร์บัสปิดปูมบันทึกและลุกขึ้น เดินตรงไปหานาง

 

“ตั้งสติให้ดี เจ้าหญิงเบอร์ทิน่า” เขาคว้าไหล่ของเด็กสาวเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงทุ้ม ลึกและเยือกเย็น

 

“กษัตริย์วาเก็นกับราชินีไอด้าต้องคำสาปร้าย แม้จะยังไมสิ้นพระชนม์แต่ทั้งสองพระองค์กลายเป็นหินไปแล้ว”

 

เบอร์ทิน่าชาวูบตั้งแต่ศีรษะไปจนจรดปลายเท้า นางจ้องหน้าจอมเวทหนุ่มเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่เขาบอกก่อนย้อนถาม

 

“ท่านกำลังล้อข้าเล่นใช่ไหม อาเซอร์บัส”

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” อาเซอร์บัสตอบและบีบไหล่เด็กสาวแน่นเมื่อเห็นว่านางทำท่าจะวิ่งออกจากห้อง เบอร์ทิน่าจึงดิ้นรนและตะโกนลั่น

 

“เจ้าโกหก !” มือระดมทุบอีกฝ่ายไม่หยุด “ข้าจะไปหาท่านพ่อท่านแม่ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้อาเซอร์บัส”

 

เสียงของนางทำให้บรรณารักษ์และราเชนซึ่งตามมาสมทบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง พอเห็นเจ้าหญิงกำลังดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของอาเซอร์บัส ราเชนก็ถาม

 

“เกิดอะไรขึ้น”

 

“นางจะไปหาทั้งสองพระองค์”

 

สีหน้าของราเชนเผือดลงทันที แน่นอนว่าเขารู้เรื่องราวทั้งหมดและเห็นสภาพของกษัตริย์แห่งไมธีร่าแล้ว เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาเบอร์ทิน่าและวางมือลงบนไหล่ของนางก่อนจะกล่าวเบาๆ

 

“อย่าเพิ่งไปจะดีกว่านะ”

 

เด็กสาวหยุดดิ้นและหันไปมองสหายรักทันที เมื่อเห็นสีหน้าของเขาแล้ว เบอร์ทิน่าก็สำนึก

 

ได้ในทันทีว่าทุกสิ่งที่อาเซอร์บัสบอกเป็นความจริง ความโกรธเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความตระหนก

 

            “ทำไม” นางถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าอึกอักเหมือนลำบากใจที่จะบอก เด็กสาวจึงแน่ใจว่าบัดนี้นางได้สูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตไปเสียแล้ว ความเศร้าที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตพุ่งถาโถมเข้ามาในจิตใจ น้ำตาของเจ้าหญิงไหลพรากลงมาเป็นทาง

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่”

 

พูดได้เพียงเท่านั้นร่างระหงก็ทรุดฮวบลงและสิ้นสติไป โชคดีที่อาเซอร์บัสรับนางเอาไว้ได้ทัน เขาจึงอุ้มเบอร์ทิน่ากลับห้อง วางนางบนเตียงและคลุมผ้าให้อย่างดีโดยไม่ลืมกำชับให้ข้ารับใช้คอยดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าได้ปล่อยให้เบอร์ทิน่าเข้าไปยังที่ประทับของกษัตริย์วาเก็นโดยเด็ดขาด จากนั้นจึงออกจากห้องบรรทมโดยไม่ลืมหันไปสั่งทหารที่ยืนรักษาการหน้าประตูว่าให้ตามโซลแดท หัวหน้าราชองครักษ์ไปพบที่ห้องของมหาอำมาตย์ออร์เด็น เสร็จแล้วจึงย้อนกลับไปที่หอสมุดประจำเมืองอีกครั้ง ราเชนซึ่งเดินตามหลังเขามาตลอดจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

 

“เจ้าจะไปไหน แล้วตามท่านโซลแดทมาทำไม”

 

“ข้าจะกลับไปอ่านปูมนั่นอีกครั้ง ส่วนหัวหน้าราชองครักษ์ เขาจำเป็นต้องรู้เรื่องราวอย่างละเอียดเพื่อเพิ่มการป้องกัน” เขามองอีกฝ่ายด้วยหางตา “แล้วเจ้าล่ะ ตามข้ามาทำไม”

 

“กษัตริย์ถูกสาปจนกลายเป็นหิน เบอร์ทิน่านอนไม่ได้สติอยู่ในห้อง ข้าเป็นลูกของโหราจารย์จะให้นั่งอยู่เฉยๆได้ยังไง”

 

แม้จะเป็นการตอบแบบยียวน แต่สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงจังของราเชนทำให้จอมเวทหนุ่มกลืนประโยคที่เขาตั้งใจจะประชดว่า ‘ตามไปก็ไม่มีประโยชน์’ กลับลงไปในคอ จอมเวทแห่งไมธีร่าเดินไปจนถึงหอสมุดโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เขาอ่านปูมบันทึกเงียบๆจนหมดทั้งเล่มและนั่งใช้ความคิดต่ออีกครู่ใหญ่จนองครักษ์เข้าไปแจ้งให้ทราบว่าโซลแดท เสนาบดี โหราจารย์รอพบที่ห้องของมหาอำมาตย์แล้วเขาจึงเก็บปูมกลับเข้าที่ จากนั้นจึงเดินไปยังห้องของออร์เด็น เมื่อก้าวเข้าไปด้านในก็พบว่าทุกคนกำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอย่างเคร่งเครียด

 

“มัวทำอะไรอยู่ ทำไมถึงได้มาช้านัก” เสียงทุ้มห้าวดังมาจากบุรุษในชุดสีขาวสะอาดอันเป็นเครื่องแบบของหัวหน้าราชองครักษ์ อาเซอร์บัสหันไปมองหน้าแต่ไม่พูดอะไร ราเชนจึงเป็นฝ่ายตอบแทน

 

“เราแวะอ่านอะไรมานิดหน่อยน่ะท่านโซลแดท”

 

“เกิดเรื่องร้ายกับราชสำนัก ยังมีแก่ใจอ่านหนังสืออยู่อีก” โซลแดทบ่นอย่างหงุดหงิด โหราจารย์ซึ่งมีอาวุโสที่สุดในห้องจึงเอ่ยถาม

 

“หนังสือที่ว่าคือปูมบันทึกใช่ไหม”

 

“ท่านพ่อรู้ได้ยังไง” ราเชนย้อนถาม โหราจารย์ไม่ตอบแต่กลับเลื่อนสายตาไปที่อาเซอร์บัส

 

“พอจะรู้อะไรบ้างหรือยัง”

 

จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม ด้วยนิสัยที่ไม่ชอบการพูดจาเยิ่นเย้อให้มากความ เขาจึงรวบรัดเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยการเล่าเรื่องราวตามที่อ่านมา

 

“ปูมนี้ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ไมธีร่ายังเป็นเพียงกลุ่มชนเล็กๆ มีการเล่าเรื่องราวของสงคราม เวทมนต์และคำสาปมากมาย กระทั่งมีการสร้างเมืองและแต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครอง ไมธีร่าก็ยังไม่สงบสุขเท่าใดนักเนื่องจากในยุคนั้นโลกนี้ถูกปกคุลมด้วยความมืด ภูตผีปิศาจออกเข่นฆ่าผู้คนเป็นว่าเล่น ไม่ว่าเหล่านักรบกับจอมเวทจะกำราบเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด เพราะผู้มีอำนาจสูงสุดในตอนนั้นคือจอมขมังเวท ดรากูล”

 

“แล้วมันมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไง” โซลแดทเอ่ยขัด มหาอำมาตย์จึงใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นเชิงปรามก่อนหันมาทางอาเซอร์บัส

 

“เชิญท่านเล่าต่อ”

 

จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะและเริ่มสาธยายเรื่องราวต่อจากนั้น

 

“สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั่นโดยตรง เพราะปฐมกษัตริย์ของไมธีร่าคือหัวหอกในการโค่นล้มดรากูล ก่อนถูกทำลาย จอมขมังเวทได้ตราคำสาปเอาไว้ว่า เมื่อไมธีร่ามีอายุครบ 300 ปี จะถูกวิญญาณแค้นทำลายจนพินาศ เริ่มจากกษัตริย์กับราชินีกลายเป็นหิน จากนั้นก็เป็นรัชทายาทและเชื้อพระวงศ์ และจะค่อยๆกระจายไปทั่วเมือง จนในที่สุดไมธีร่าอันงดงามก็จะกลายเป็นเพียงสุสานศิลา”

 

“ข้าเคยอ่านปูมนั่นมาแล้ว และจำได้ว่ามันมีวิธีแก้” มหาอำมาตย์กล่าวแทรก โซแดทเอ่ยถามด้วยความร้อนรน

 

“แล้ววิธีแก้ที่ว่านั่นคืออะไร สมุนไพร ยาหรือเวทมนต์”

 

ออร์เด็นมีสีหน้าหนักใจขณะสั่นศีรษะ

 

“ไม่ใช่ของธรรมดาพวกนั้นหรอกท่านโซทแดท สิ่งที่สามารถช่วยไมธีร่าได้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันเป็นของอาถรรพ์ที่ไม่ใช่ว่าใครสามารถไปนำมาได้”

 

“อย่ามัวแต่พูดโยกโย้มากความอยู่เลยท่านมหาอำมาตย์ รีบบอกข้ามาโดยเร็วเถิดว่า มันคืออะไร” โซลแดทขัดอย่างร้อนใจ ออร์เด็นระบายลมหายใจออกมา

 

“ของสิ่งนั้นก็คือ ผลึกวิญญาณมังกร”

 

 

*/*/*/*/*/*

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 16 ธันวาคม 2556
Last Update : 16 ธันวาคม 2556 16:47:30 น.
Counter : 519 Pageviews.

0 comment
คำโปรย แนะนำตัวละคร อาเซอร์บัส Acerbus
 

เมืองไมธีร่าตกอยู่ภายใต้คำสาปของจอมขมังเวทผู้ชั่วร้าย ทางแก้ก็คือ นำผลึกวิญญาณมังกรมาต่อต้าน แต่การจะนำมันมาใช้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผลึกวิเศษถูกฝังอยู่ในหุบเขาสีน้ำเงิน ดินแดนอันตรายแม้แต่เหล่าจอมเวทยังไม่กล้าแผ้วพาน 

 

เจ้าหญิงแสนสวยสุดแบ๊วจึงอาสาไปนำมันมา โดยมีผู้ช่วยเป็นสุดยอดจอมเวทมหาซึนกับลูกชายโหราจารย์จอมป่วน และหัวหน้าองรักษ์ที่ทำอะไรก็ดูเป็นจริงเป็นจังไปเสียหมด พร้อมด้วยจอมเวทอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีทั้งความเก่ง เจ้าเล่ห์ และเห็นแก่ตัว

 

การเดินทางอันแสนอันตรายจึงเริ่มต้นขึ้น

 

 

 

 

-อาเซอร์บัส จอมเวทที่ถูกส่งมาอารักขาเจ้าหญิงแห่งนครไมธีร่า ชอบทำตัวเป็นบุคคลลึกลับ พูดน้อยแต่กวนประสาท ไม่สุงสิงกับใคร แม้จะมีอายุเพียง 22 ปีแต่เขากลับมีความชำนาญในการใช้เวทมนต์ได้อย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากเป็นสายเลือดโดยตรงของอดีตราชันย์เวทผู้เกรียงไกร แต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับเท่าใดนักเนื่องจากเป็นเวทมนต์ด้านมืด เขาจึงไม่ได้รับตำแหน่งใด

 

เป็นจอมเวทที่มีใบหน้าหล่อเหลาชนิดสาวมองจนเหลียวหลัง ผมสีดำสนิทยาวประบ่า ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม คางกลมมน จมูกโด่งรับกับริมฝีปากหยักได้รูป ผิวกายขาวซีด เครื่องแต่งกายเป็นสีดำทั้งชุด สวมเสื้อคลุมและดึงฮู้ตมาปิดใบหน้าเสมอ อาวุธประจำตัวเป็นไม้เท้าทำมาจากกระดูกกริฟฟินสีดำ ตรงปลายยอดประดับด้วยคริสตัลสีนิล เนบิวล่าสโตน  มีอำนาจมหาศาลโดยเฉพาะเวทสายมืด ใช้ได้ทั้งทางสร้างสรรค์และทำลาย หลงรักเบอร์ทิน่าแต่ไม่แสดงอะไรออกมา

 

พลังเวท

 

พลังของจอมเวทแบ่งออกเป็น แสงสว่างกับความมืด ส่วนใหญ่แล้วเวทที่ใช้ทั่วไปจะอยู่ในกลุ่มแสงสว่าง เพราะเป็นที่ยอมรับ มีการเรียนกันอย่างกว้างขวาง พลังที่ใช้ ให้ผลตั้งแต่เบาบางไปจนถึงหนักหน่วง แล้วแต่อำนาจและความเข้มแข็งของจิตของผู้ใช้ เวทบางสายคนทั่วไปก็สามารถเรียนได้ อย่างเช่นพวกวิชาพยากรณ์ 

 

ส่วนเวทในกลุ่มด้านมืดจะถูกกำหนดอยู่จำเพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น เพราะมีขั้นตอนการฝึกที่ยากและต้องคนมีพลังในด้านนี้เท่านั้น จึงจะฝึกได้สำเร็จ ด้วยกรรมวิธีการฝึกที่ดูลึกลับและการสำแดงอำนาจอย่างรุนแรง ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผู้ใช้เวทด้านมืดเป็นคนชั่วร้าย จึงมักถูกกีดกันออกจากสังคม

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเวทสายมืดก็คือ หากผู้ใช้มีจิตใจที่ไม่มั่นคง จะถูกเงาของอีกด้านลากเข้าไปจ่อมจมอยู่ในเปลือกตมแห่งความมืด กลายเป็นคนชั่วร้ายในที่สุด

 

 

ในอดีต เอ็มโบลเด็น ราชันย์แห่งนักเวททั้งปวงเป็นจอมเวทสายมืด แม้ดำรงตำแหน่งสูงสุดก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ และถึงเขาจะโค่นล้มมังกรดำจอมชั่วร้ายนามดรากูลลงไปได้ คนทั่วไปก็ยังคงหวาดกลัวและพาลคิดไปว่า เขาอาจเป็นจอมมารคนต่อไป จึงถูกพวกจอมเวทด้วยกันรุมสังหาร ซึ่งพอกำจัดเอ็มโบลเด็นลงได้ ทุกคนต่างกลัวคำสาปจึงไม่มีใครกล้านั่งบัลลังก์ ตำแหน่งราชันย์เวทจึงจบสิ้นลงนับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

แม้เอ็มโบลเด็นจะมีทายาทสืบทอดสายเลือด แต่ไม่มีใครเป็นจอมเวทเลยสักคน อย่างหนึ่งก็คือการต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ อีกอย่างพอรู้ว่าพวกเขาเป็นใครก็ไม่มีผู้ใดกล้าสอนหรือคบหาสมาคมด้วย ทุกคนจึงดำรงอยู่อย่างคนธรรมดามาจนถึงรุ่นของอาเซอร์บัส แรกเกิด บนท้องฟ้าเหนือหลังคาบ้านปรากฏหมอกดวงดาวสีดำกลุ่มใหญ่ที่แม้จะเป็นยามราตรีก็เห็นได้ชัด นักพยากรณ์ประจำหมู่บ้านจึงทำนายว่าเขาจะนำความพินาศมาสู่ ในวัยเด็กอาเซอร์บัสมักจะถูกผู้อื่นเหยียดหยามกลั่นแกล้งอยู่เสมอ แต่เขาก็พยายามอดทน โดยตั้งใจไว้ว่าเมื่อโตพอ ก็จะออกจากหมู่บ้าน เพื่อหาหนทางของตัวเอง

 

ชีวิตของอาเซอร์บัสพลิกผันเมื่อวันหนึ่งเขาเกิดพลั้งมือทำร้ายเพื่อนบ้าน ด้วยการสะกดเขาให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ตอนนั้นเองที่เด็กน้อยรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา และเริ่มศึกษาวิธีใช้เวทมนต์นับแต่นั้น

 

สิ่งที่ทำให้อาเซอร์บัสหนีออกจากหมู่บ้านก็คือ ความมาดร้ายของเพื่อนบ้านที่เคยถูกเขาสะกด วันหนึ่งขณะที่แอบฝึกการใช้เวทอยู่คนเดียวในป่า ชายคนนั้นก็ยองเข้ามาตีหัวและโยนเขาทิ้งลำธาร ร่างไร้สติของเขาลอยตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆและคงตายถ้าจอมเวทผู้หนึ่งไม่ช่วยเอาไว้ เพียงแวบแรกที่เห็น จอมเวทผู้นั้นก็รู้ว่าอาเซอร์บัสเป็นใคร แต่ความเมตตาทำให้เขาเลี้ยงดูและให้การศึกษาจนโต จากนั้นก็ส่งเข้าไปร่วมเรียนเวทกับเด็กรุ่นเดียวกัน ความเก่งกาจและวิธีใช้พลังที่ผิดแผกไปจากคนอื่นทำให้เขาโดนกีดกันและถูกตั้งข้อรังเกียจ บางคนตราหน้าอาเซอร์บัสว่าเป็นลูกปิศาจ เลยถูกเขาใช้พลังหักกระดูกจนแหลกไปทั้งตัว

 

ความผิดในครั้งนั้นทำให้อาเซอร์บัสถูกไล่ออกจากโรงเรียน จอมเวทชราจึงลงมือสอนด้วยตัวเอง ด้วยวิธีการของพวกสายมืด การฝึกที่แสนทารุณและหนักหน่วงทำให้อาเซอร์บัสแกร่งกล้าขึ้น จนมีฝีมือเหนือกว่าเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน กระทั่งวันหนึ่งจอมเวทชราได้มอบไม้เท้าสีดำสนิทให้กับเขา พร้อมกับบอกว่ามันเป็นไม้เท้าของราชันย์เวทผู้ยิ่งใหญ่ ทำจากกระดูกกริฟฟินสีดำมีเนบิวล่าสโตนประดับบนยอด แต่กลับไม่สอนวิธีใช้ใดให้นอกจากเพียงว่า ให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง

 

อยู่มาวันหนึ่งจอมเวทชราได้ล้มป่วยลง อาเซอร์บัสพยายามใช้เวทช่วยรักษาแต่อาการของท่านก็หนักจนเกินเยียวยา ก่อนลมหายใจจะจบสิ้น จอมเวทชราได้กล่าวกับอาเซอร์บัสว่า

 

 แม้จะเป็นจอมเวทด้านมืด แต่หัวใจของอาเซอร์บัสต้องเจิดจรัสด้วยแสงแห่งความดี 

 

หลังจากฝังร่างของจอมเวทชราแล้ว อาเซอร์บัสก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อฝึกฝนพลังของตัวเอง และค้นหาเป้าหมายของชีวิต โดยมีความหวังว่าวันหนึ่ง คงได้เจอ ระหว่างการเดินทางนั่นเอง เขาต้องเผชิญทั้งหัวใจอันดีงามและความเลวร้ายของมนุษย์ หลายครั้งที่อาเซอร์บัสถูกจอมเวทด้วยกันลอบทำร้ายเจียนตาย แต่ด้วยอำนาจการเยียวยาที่มีมาแต่กำเนิด ช่วยให้เขารอดชีวิตและมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้น ผ่านไปนานวันเขาจึงกลายเป็นคนเฉยชา ไม่สนใจผู้ใดอีกต่อไป

 

พลังของอาเซอร์บัส

 

เนื่องจากเป็นเวทสายมืด จึงมีพลังต่างๆแฝงเร้นมากมาย พลังที่อาเซอร์บัสใช้เป็นประจำก็คือ ไฟสีดำ ที่เป็นทั้งภาพมายาและพลังทำลาย ถ้าไม่อยากฆ่าหรือต้องการข่มขู่ อีกฝ่ายจะทุกข์ทรมานดิ้นทุรนทุรายด้วยความร้อนเหมือนถูกไฟเผา แต่ไม่มีรอยไหม้เกรียมหรือแผลพุพอง แต่ถ้าเขาใส่จิตสังหารลงไป ไฟนั้นก็จะเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้เป็นเถ้าธุลีในพริบตา

 

นอกจากนี้อาเซอร์บัสยังมีพลังในการสร้างภาพลวงตาหรือส่งคนเข้าไปในโลกมายาที่เขาสร้างขึ้นมาได้ เป็นเวทที่ต้องใช้พลังจิตเข้มแข็งพอดู และเหมาะสำหรับการทรมาน ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ค่อยชอบใช้เท่าใดนัก เนื่องจากมันเหมือนกับวิธีของคนขลาด เว้นเสียแต่คนผู้นั้นจะมีนิสัยน่าชิงชังจนสุดทน นอกจากนี้อาเซอร์บัสยังอ่านความคิดของผู้อื่นได้ ด้วยการทะลวงเข้าไปในสมองโดยตรงและดึงความคิด ความรู้สึกต่างๆออกมา แน่นอนว่าเป็นวิธีที่เหี้ยมโหดเพราะทำให้อีกฝ่ายถึงตาย เขาจึงมักใช้วิธีสะกดจิตมากกว่า แต่บางทีก็ไม่ได้ผล ถ้าอีกฝ่ายเป็นจอมเวทจิตแข็งหรือมีฝีมือ

 

สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของจอมเวทสายมืด คือพลังการรักษาตัวเอง เมื่อได้รับบาดเจ็บ ร่างกายของอาเซอร์บัสสามารถรักษาตัวเองได้ เขาจึงหายเร็วกว่าปรกติ และนี่เป็นอีกผลหนึ่งที่ทำให้จอมเวทด้วยกันหวาดกลัว

 

เวทอีกอย่างของอาเซอร์บัสคือ สายฟ้าดำ พลังการทำลายไม่ใช่แค่จุดแรกที่ส่งลงไปเท่านั้นแต่จะกระจายไปโดยรอบสร้างความพินาศอย่างมหาศาลต่อศัตรู อำนาจของมันไม่เพียงแค่ระเบิดสิ่งต่างๆให้แหลกเป็นชิ้นเท่านั้น ยังร้อนจัดราวกับแสงของดวงอาทิตย์ เผาทุกอย่างที่สัมผัสจนไหม้เกรียม

 

ม่านพลัง เป็นวิชาพื้นฐานของเหล่าจอมเวท แต่ม่านพลังที่อาเซอร์บัสสร้างขึ้นมีความพิเศษกว่าคนอื่นเพราะสามารถกำหนดประเภทผู้ที่เขาต้องการกักขัง หรือคนที่สามารถผ่านเข้าออกได้ ด้วยการใช้จารึกอักขระในอากาศหรือพื้นที่กำหนดพร้อมกับการร่ายมนต์

 

เวทอาวุธ ปรกติจะเป็นเวทจำเพาะกลุ่ม คือจอมเวทที่มีพลังหรือฝึกมาทางด้านนี้เท่านั้น ที่สร้างอาวุธด้วยเวทมนต์ขึ้นมาได้ แต่อาเซอร์บัสเป็นข้อยกเว้น ความเกลียดชังและความรุนแรงในจิตใจที่ถูกฝังรากลึกจากการถูกลอบสังหารและโดนทำร้าย ผลักดันอำนาจส่วนหนึ่งให้ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้น จนกลายเป็นอาวุธได้เช่นเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นลิ่มสีดำ

 

นอกจากพลังเวทแล้วอาเซอร์บัสยังสามารถดึงพลังจากเนบิวล่าสโตนมาใช้ได้อีกด้วย โดยไม่ต้องอาศัยการร่ายมนต์หรือลงอักขระอาคมใด

 

 เนบิวล่าสโตน เป็นผลึกคริสตัลสีดำสนิท ประดับอยู่บนยอดไม้เท้า เป็นพลังแห่งเนบิวล่ามืด (Dark nebulae) ซึ่งจะดูดซับแสงทุกอย่างเข้ามาไว้ในตัวและเปล่งพลังทำลายสะท้อนกลับออกไป นอกจากนี้ยังสามารถสร้างฝุ่นสีดำในอาณาเขตที่เขากำหนดขึ้นมาได้ด้วย เพื่อเปลี่ยนมิติ มักใช้ร่วมกับเวทลวงตา นอกจากนี้อาเซอร์บัสยังสามารถดูดพลังเวทแห่งแสงสว่างจากคนอื่นเข้าไปไว้ในเนบิวล่าสโตนได้อีกด้วย แต่หากไม่จำเป็นจริงๆแล้ว เขาก็ไม่ทำ

 

พลังของเนบิวล่าสโตนกับพลังของอาเซอร์บัสเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งมีแสงสว่างมากเท่าใด อำนาจของเขาก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และหากอยู่ท่ามกลางความมืด พลังของเขาก็จะคงที่และซึมซับแทรกไปในทุกอณูอากาศได้อย่างง่ายดาย

 

หากเกิดเหตุการณ์คับขัน เนบิวล่าสโตนสามารถเปล่งแสงสีต่างๆออกมาลวงตาหรือสังหารศัตรูได้ มักใช้ตอนที่เขาอ่อนแอหรือต้องการหลบหนี พลังเหล่านี้อิงจากเนบิวล่าสะท้อนแสง (Reflective nebulae)

 

แสงสีฟ้า มีพลังตรึงร่างกายของศัตรู แต่ใช้ได้แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

 

แสงสีแดง เป็นแสงที่มีอำนาจรุนแรง ใช้เพื่อฆ่าอย่างเดียวเท่านั้น แต่การใช้แสงนี้ต้องดึงพลังงานจำนวนมหาศาลออกมาใช้ ทำให้อ่อนแอและใช้เวลานานในการฟื้นตัว

 

แสงสีเขียว เป็นพลังเยียวยา ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ แต่อาเซอร์บัสมักใช้พลังนี้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือปล่อยให้ร่างกายรักษาตัวเอง

 

ไม้เท้า ทำมาจากกระดูกสัตว์โบราณที่เรียกว่า กริฟฟิน มีลักษณะพิเศษกว่าไม้เท้าอื่นคือมีสีดำเพราะทำมาจากกระดูกของกริฟฟินดำ (Black Griffin) เป็นสัตว์หายาก มีขน เนื้อ อวัยวะภายในตลอดไปจนถึงกระดูกเป็นสีดำสนิท เมื่อนำมาทำเป็นไม้เท้าแล้วจะให้คุณสมบัติเพิ่มความแรงในการโจมตี และสร้างม่านป้องกันที่แข็งแกร่งกว่าผู้ใด

 

ที่สำคัญคือ กริฟฟินดำ สามารถสังหารมังกรได้   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 15 ธันวาคม 2556
Last Update : 16 ธันวาคม 2556 16:44:07 น.
Counter : 728 Pageviews.

0 comment

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี