มาอัพย้อนถึงวันเดิทางมาเมกา เดินทางวันที่9ค่ะ
ได้ไฟท์ช่วง 8.15 ค่ะ มาถึงสุวรรณภูมิราวๆตี4 เกือบตี5
แถมต้องนั่งรอเช็คอินอีก กว่าจะได้เช็คก็เกือบๆ6โมงเช้าแล้ว
กระเป๋าที่แบกมามี4ใบ จัดของกิน ของใช้ ไว้ให้พอๆกันทั้ง2ใบเผื่อเกินกรณีกระเป๋าหลงทางจะได้ไม่มีปัญหา
วันนี้มากันทั้งครอบครัวเลย คุณยาย กับน้าก็มาส่งด้วย แอบพายายมาเที่ยวสนามบิน 555
กระเป๋าอีกใบเป็นเป้ แบ็กแพ็ค เอาไว้ carry on และเก็บโน็ตบุ้ค ใครเอาของเหลว เจล หรือยาสีฟันติดกระเป๋าแครี่ออนมา
ต้องใส่ถุงซิปล็อคด้วยน่ะ ไม่งั้นเค้าไม่ให้เข้า
กระเป๋าใบเล็กอีกใบ ใส่ตังค์ พาสปอร์ต หมากฝรั่ง ปากกา ไว้ สะพายข้างติดตัว มีประโยชน์มากๆ
ทุกคนควรเอาไปน่ะ แม้มันจะน่ารำคาญก็ตามที
พอเช็คอินเสร็จพร้อมกระเป๋าเดินทางที่เขาเอาไปแล้ว 2 ใบไม่เกินใบละ23โล ที่JAL
ก็ร่ำลาบรรดาครอบครัว แล้วลากกระเป๋า ผ่านไป
มีบัตรFast Trace พอดีเลยเข้าช่องตรวจกระเป๋าได้อย่างรวดเร็ว โน็ตบุ๊ค ต้องเอาออกมาอีกถาด
ไม่ต้องกลัวเพราะเข้าไม่ได้เปิดดูอะไร
พอผ่านมาเสร็จก็ถือแบกกระเป๋า ผ่านที่ตรวจพาสปอร์ต เข้าไปยังแดนสวรค์
Duty Free ....
ที่เต็มไปด้วยเครื่อสำอางทั้งหลาย เหล้า เอ่ย อะไรเอย ยังไม่ต้องสนใจ(เพราะไม่มีตังค์) แต่ใช้บัตรเครดิตรูดได้
เสร็จแล้วมารอขึ้นเครื่อง แอบโชคดีได้นั้งที่คู่กะอะตอม แอร์ของJALก็น่ารักมาก บริการดี มีทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทย
บนเครื่องเอาคอมมาเล่นไม่ได้ แต่เค้ามีทีวี กะเกมส์ให้เล่น แก้เบื่อ เลยนั่งดูหนัง(ที่ไม่มีซับ เมีแต่ซับญี่ปุ่นกะจีน)
กะเล่นSudoku ไป นอนหลับไปได้ตื่นหนึ่ง
มีอาหารให้ เลือก 2 อย่าง มีซูชิเป็นของว่างด้วย ขนมปัง น้ำผลไม้ ครบครัน อิ่มอืด แต่อาหารก็อย่างว่าแหละ จืดสนิท
แต่ขาลงนี่สิ(นั่งไปราวๆ5ชม.มั้ง) ปวดหูแทบระเบิด น้ำตาจะไหล นั่งเคี้ยวหมากฝรั่งเอาเป็นเอาตาย พอลงมาหูยังไม่หายอื้อเลย
พอลงมาเสร็จก็ไปต่อเครื่องของAAเลย แล้วก็ไปเดินเล่นที่ดิวตี้ฟรีญี่ปุ่น ขนมนี่ละลานตาอย่างแรง ตั้งความหวังไว้มากลับมาจะสอยไปให้หมด!
มีเครื่องโทรศัพท์พอดี เลยซื้อบัตรโทรศัพท์พันเยน โทรได้ประมาณ20นาที มาโทรหาแม่ เพราะคิดถึง 555
เสร็จแล้วมานั่งรอต่อเครื่องAA แอบเซ็งที่คนที่มาก่อนเอากระเป๋ามาวางไว้ที่ช่องที่นั่งเราเฉยเลย คนญี่ปุ่น คุยกะเค้าไม่รู้เรื่อง
เลยต้องเอากระเป๋าไปวางไว้ช่องที่ว่างๆแทน แนะนำให้เข้าไปเร็วๆจะได้ไม่ต้องเจอแบบนี้
ถ้าถามถึงแอร์ของAA เหวี่ยงมาก มีแอบกัดด้วยที่เรากินข้าวช้า (มันอิ่มอ่ะ) มันจะเก็บจาน แง่ง ไฟทฺนี้มีอาหารให้2มื้อค่ะ ชุดใหญ่มาก กินเหลือเลยทีเดียว
อันนี้นอนไปหลายตื่นมาก ข้ามเส้นแบ่งเวลา ทำเอางง เด๋วมืดเด๋วแดดจ้า
พอขาลงมาถึงชิคาโกค่อยยั่งชั่วไม่ค่อยเจ็บหูเหมือนJAL แต่หูอื้อ นานมากๆ เป็นชั่วโมงเลย
ก่อนลง เค้าจะให้ใบสีขาวๆเอามากรอกก็กรอกซะให้เสร็จบนเครื่องจะได้ไม่ยุ่งเหมือนโม ที่ไปกรอกข้างหน้า
โมติ๊กว่าเอาFoodมา เค้าก็ไม่ว่าน่ะ
ตรงจุด ตม. จะมีถามอะไรนิดหน่อย เช่น มาทำอะไร มารีบกับใคร ไม่ยากผ่านมาง่ายๆ เอาพาสปอร์ต DS กับใบขาวๆไปยื่นก็พอ
แล้วเค้าจะให้พาสปร์อต ที่แม็กขั้วของใบขาวคืนมาให้ (เอาไว้ใช้ทำSS)
เสร็จแล้วเราก็ไปเอากระเป๋ากัน ลากมันไปที่ช่องตรวจ แอบลุ้นสุดๆว่าจะโดนเจอไก่กระเที่ยมแบบเวฟของเราไหม 555
โชคดีที่ไม่โดนอะไร เลยพอพรีบไปได้เพราะต้องไปต่อเครื่องสายการบินในประเทศ
พอใกล้ถึงทางออกก็เอากระเป๋า ไปให้เขาเพราะเราต้องต่อเครื่องไปเคฟแลนด์
ตอนนี้เลยมีแต่กระเป๋าเป้กับสะพายข้าง ไปขึ้นรถรางไปอีกเกต
พอถึงก็ต้องต่อเครื่องอีก ไปเคฟแลนด์เครื่องบินเล็กมาก แถวละ 1 2 เอง แต่สจ๊วตสุดยอดค่า ล่ำมาก...
ของกินไม่ฟรีน่ะ อยากได้ต้องจ่าย เพราะงั้นหลับดีกว่า
บินมาเกือบ2ชม.มั้ง ก็ลงมารอกระเป๋า มีรถshuttleมารับเพราะจองไว้ เสียคนละ25เหรียญ มุ่งหน้าสู่ที่พัก
แอบเซ็งที่เจ้าของบ้านเค้าคิดค่ามารับแค่20เหรียญเอง แต่เค้าตอบช้าไง เพิ่งตอบตอนเราจองshuttleไปแล้ว
ก่อนที่จะมา ต้องหาลู่ทางไว้น่ะ ว่าจะเดินทางไปที่พักยังไง ถ้าไม่ติดต่อเจ้าของบ้าน ก็ต้องจองรถเอาไว้ ส่งเมล์ไปตั้งแต่ที่ไทยนี่แหละ
ระบุไฟล์ และวันไปถึง และจำนวนคนให้เค้าด้วย อย่าไปแบบไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ติดต่อใครน่ะ
มีคนทำแล้วต้องนั่งรอ 3-4 ชั่วโมงเลยทีเดียว กว่าจะติดต่อกับพี่อคาเด็กซ์ได้
ส่วนโมพักบ้าน919 west osborne บ้านของBob & Chris สบายมากกก ค่าเช่าเค้าลดให้เหลือเดือนละ250
แต่เสียค่าเดินทาง20ครั้ง 100เหรียญ แต่คุ้มน่ะ เพราะเห็นพวกบ้านใกล้ เดินไปทำงานใช้เวลาก็ราวๆ20 นาที
แถมหนาวๆด้วย เราบ้านไกลยังไงก็ต้องใช้รถจ่ายไปเถอะ
ที่นี่มีเครื่องครัวครบครัน ช้อนส้อมจาน มีหมดค่ะ ทำอาหารได้สบายๆเลย แถมChrisใจดี ซักผ้าให้ด้วย เครื่องซักผ้ามีน่ะ
ส่วนห้องเป็นเตียง 2 ชั้น บางห้องก็มี2ชุด นอนได้4 คน มีโต๊ะเครื่องแป้ง(บางห้อง) ตู้เสื้อผ้า
ส่วนห้องน้ำ ข้างบนมีห้องเดียว ใช้กัน 12 คน เข้าคิวกันหยาวเหยียด (บ้านนี้พัก 15 คนแต่ไม่แออัดน่ะ)
ห้องอาบน้ำกว้างและสะอาด มีอ่างอาบน้ำและฝักบัว ชักโครก มีน้ำอุ่น โอเคเลย
พอพักกันได้คืนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็ต้องไปรายงานตัวที่HR ของKalahari นั่งรถพี่เบียร์ไปราวๆ 20นาที
เพื่อนัดหมายวันเทรนlife guard 4 วัน ส่วนHosekeeping เริ่มงานวันรุ่งขึ้นได้เลย
เอาล่ะ นอนพักกันดีกว่า!
วันนี้โผล่ไปทำวีซ่าญี่ปุ่นมาค่ะ ง่ายกว่าที่คิดมาก
หลังจากที่เราได้วีซ่าอเมริกามาเสร็จ เตรียมเอกสารให้เรียบร้อย แล้วไปทำกันเลย!!!
- ใบรับรองสภาพนักศึกษาตัวจริง- รูปถ่าย 2x2 นิ้ว 1ใบ- ใบคำร้องขอวีซ่า (ไปเอาที่โน่นได้)- แบบสอบถาม (ไปเอาที่โน่นได้)- ทะเบียนบ้าน (ตัวจริง+สำเนา)- สมุดบัญชีเงิน พ่อ หรือแม่ หรือผู้ออกค่าใช้จ่าย (ตัวจริง+สำเนาทุกหน้า)- พาสสปอร์ตตัวจริง- วีซ่าอเมริกา- E-Ticket หรือ ถ้ายังไม่ได้ก็ใบ information ที่มันมีรายละเอียดไฟท์+วันบิน-เอกสารรับรองการทำงานของผู้ปกครอง (ตัวจริง+สำเนา)
ของโมบ้านมีกิจการส่วนตัวก็เอาใบทะเบียนที่มันใช้เสียภาษีไป ตัวจริง + สำเนา เซ็นรับรองไปด้วยเผื่อไว้
นั่งรถไปBTSศาลาแดง ออกประตูยามาซากิ ออกทางออกเซ็นทรัล อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ลงไปข้างล่างมันจะมีลิฟท์
ขึ้นไปชั้น 15 ตอนนั้นไปประมาณ 9 โมง ได้คิวที่ 104 ขณะนั้น ยังคิวขึ้นแค่ 40 ฟ่าๆอยู่เลย คนเยอะมหาศาลน่ะ
ถ้าไปเป็นกลุ่ม กดแค่ใบเดียวพอ ของเรา 7 คน แต่มาก่อน 2 ก็กด แล้วไปรอเพื่อนๆ มาพลางๆ
นั่งงง นั่งกรอก ไม่เข้าใจก็ถามพี่พนักงาน พี่ผู้ชายน่ารักมากกก ช่วยตลอดเลย
ตอนกรอก ก็กรอก จุดประสงค์ว่า Double Transit ที่พักก็เขียนว่า undecide รูปก็ใช้จากวีซ่าอเมริกา
ไม่ต้องตัดให้ยุ่งยาก ใช้ได้เหมือนกัน
เพื่อนมาถึงตอน เกือบ 10 โมง ก็ช่วยมัน กรอกเสร็จปุ๊ป ถึงคิวพอดี ค่อยยังชั่ว ไม่งั้นเพื่อนต้องรออีกยาวเลย
ได้คิว ประมาณ 10 กว่าๆ แล้วก็ยกโขยงไป 7 คน พี่เ้ค้าก็ตรวจเอกสารให้
ของเพื่อนคนหนึ่งโดนเขียนใหม่ เพราะปริ้นมาเอง แล้วหัวกระดาษขนาด แต่ไม่มีปัญหาค่ะ นั่งกรอกตรงนั้นได้เลย
เอกสารเิอาไปให้ครบน่ะ ตัวจริงไม่ต้องกลัว เขาคืนให้เดี๋ยวนั้นเลย
พอเสร็จแล้ว เขาจะเรียกคิวจ่ายเงิน รอสัก 10 นาที คนละ 795 บาท
ถ้าส่งไปรฯต้องกรอกเพิ่มตั้งแต่ยื่นเอกสาร
แต่มันแพง มาเอาเองดีกว่า
พอจ่ายเสร็จเขาจะให้ใบรับสีขาวเล็กๆมา ใบเดียา ไปรับคนเดียวได้ ไม่ต้องมาทุกคน
ได้วันศุกร์ค่ะ ประมาณ 4วันทำการ ใครรีบบิน อย่าชะล่าใจน่ะ
ก่อนหน้าที่เราจะไปสัมภาษณ์ต้องไปเอาเอกสาร DS ที่ACADEXก่อนค่ะ
ตอนเตรียมก็เตรียมพวก
เสร็จแล้วพี่เค้าจะตรวจๆ แม๊กซ์เอกสารให้เราเรียบร้อย+ตรวจพวกชื่อตัวสะกด พร้อมรูปวีซ่า ใส่ซองใสมาให้เราเตรียมไปวันสัมภาษณ์
แอบถามมาว่ามีคนตกสัมภาษณ์เยอะไหม
"อืมมม ปีนี้มากกว่าปกติน่ะ"
อ่าว...ซวยแล้วกรู...
"ไม่ผ่านนี่ยังไงค่ะ"
"ก็เกรดน้อยบ้าง พูดไม่ได้บ้าง ตอบมั่วบ้าง"
แอบกดดันเล็กๆ
--------------------------------
พอวันจริง คิวนัดของโมคือบ่ายโมง เพื่อนๆที่ไปด้วยสอบวันอื่นผ่านกันไปไหม เหลือเรากะอะตอม2คน
ดีน่ะ ยังมีเพื่อนไปด้วย ไม่งั้นเครียดแย่....
พอเรียนเสร็จเที่ยงก็นั่งแท๊กซี่จากจุฬาไปเลยไปสถานทูตตรง ถ.วิทยุไม่ไกลเท่าไหร่ เสียไป 47 บาท ถึงประมาณเที่ยงนิดๆ
พอมาถึงก็มีคนมาต่อแถวข้างหน้ากันแล้ว เราก็เดินไปต่อแถวข้างหน้ามั่ง...
Zone 1
จะมีซีเคียวเปิดประตูให้เข้าไปทีละนิดๆ ไม่ให้แออัด พี่เค้าจะตรวจเอกสารเราที่อคาเด็กซ์แม๊กซ์ให้อ่ะ ยกไปทั้งปึ้งเลย
พอเสร็จแล้วจะเข้าโซนฝากของ
Zone 2
อุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด ปิดเครื่องให้เรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่ ipod เอาฝากพี่ซีเคียวไว้ ส่วนกระเป๋าหนังสือ
เอาเข้าไปได้ ตอนฝากของให้เอาบัตรมาแลกไว้ด้วย แล้วเข้าจะให้เบอร์ฝากของเรา มันจะรัดกับข้อมือไม่ต้องกลัวหาย
กระเป๋าจะผ่านเครื่องสแกนเพื่อตรวจสอบ แล้วเราต้องเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะ(?) มั้ง
ตอนอะตอมเดินเครื่องดัง เลยต้องค้นออกมาดูใหญ่ สรุปคือดังเพราะแม็กซ์ขนาดพกพา
......
Zone 3
โซนคัดเอกสาร มีพี่ๆมีาช่วยคัดเอกสารให้ คนตอนนี้เริ่มเยอะแล้ว มีของเอเจนซี่อื่นอื่นมาด้วย ก็เข้าแถว แล้วคิวว่างก็เสียบ
พี่เค้าจะเอาแค่
นอกนั้นคืนให้กลับมาหมดเลย (แล้วตรูจะเอามาเพื่อ?) เค้าจะเอาใส่ซองพลาสติกใสให้ สมุดธนาคารไม่แม้แต่จะเปิดอ่ะ
จากนั้นก็ให้คิวเรามานั่งรอแล้วจะเรียกทีละ 10 คิว ให้เดินเข้าไปข้างใน
Zone 4
คราวนี้เข้ามาข้างในจริงๆแล้ว จะมาต่อแถวสแกนนิ้วมือ ตอนสแกนพี่คนตรวจนี่ดุ๊ดุ .... ไม่แฮปปี้กะเราเลย
ตอนแรกเอาเอกสารทั้งซองให้เค้าไปทางช่อง
แล้วสแกน4นิ้วซ้าย - ขวา แล้วก็นิ้วโป้งพร้อมๆกัน แล้วจะถามภาษาไทยประมาณว่าเคยไปมาไหม มีญาติอยู่ไหม
เคยได้วีซ่ามาก่อนไหน สอบเสร็จเมื่อไหร่ พอเสร็จแล้วเราจะได้บัตรคิวมา ตอนนั้นราวๆ 12.33 ได้คิวที่ 19
เสร็จแล้วก็มานั่งเล่น รอเล่น
Zone 5
รอจนประมาณ บ่าย 1.30 เริ่มสัมภาษณ์แล้วค่ะ เค้าเรียกทีละ 10 คิว ลุ้นให้คนรอตื่นเต้นมาก พอเรียกเราไปต่อแถว ก็ตื่นเต้นน่ะ
คุยกะคนข้างหน้าข้างหลังให้หายประหม่า ชวนคุยไปเรื่อย ฮ่าๆ เพราะได้คิวห่างกับอะตอม
เท่าที่ดูก่อนหน้าเราผ่านทุกคน ชิวๆเลย ฝรั่ง 3 คนดูใจดีมาก มีผู้ชายมีอายุท่าทางใจดี มีผู้หญิงสวยๆ ตัวเล็ก และผู้หญิงมีอายุท้วมๆ
ทุกๆคนดูเฟรนลี่มากๆ ยิ้มตลอด คนที่ถามเยอะมากคือผู้หญิงท้วมๆ แต่เค้าดูใจดีน่ะ ให้สแกนนิ้วผ่านตั้งแต่แรกๆ แถวชวนคุยต่ออีก(แอบสังเกตการณ์มา)
คนที่ท่าทางใจดีสุดคือผู้ชายที่ศีรษะล้าน ถามง่ายๆด้วย แป๊ปเดียว แต่โมได้ฝรั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ สวยๆใสๆ
จำภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เพราะหัวสมองมันประมวลผลเป็นคำแปลภาษาไทยเพราะตื่นเต้นจัด
ตอนแรกเพื่อมารยาทเราทักเค้าไป
Good afternoon
เค้าก็ทักกลับมา
What is you name?
Where do u study ?
Where do u go?
-Ohio
What do you do ?
-Life guard
Where??
-Kalahari, Sandusky
เค้าทำหน้างงๆ
-It's waterpark
Oh.. sound like fun!
What do you do in freetime?
play internet and shopping
Have u ever been to another country ? แกรมม่ามั่วแหลก จำคำถามไม่ได้อ่ะ ประมาณว่าเคยไปเที่ยวตปท.มาไหม
Never สั้นๆง่ายๆได้ใจความ I'm travel in thailand only
เค้าหัวเราะ
แล้วถามว่าเรียนมากี่ปีแล้ว(จำอิ๊งไม่ได้อ่ะ)
2 years, I'm second years student.
สุดท้าย..อยากไปเที่ยวไหนในเมกา
Universal ฟลอริด้า
thumb left
พร้อมชูนิ้วโป้งให้เราดู
เราพิมพ์ลงไปเป็นอันผ่าน..เย้
แล้วเค้าก็อวยพร พร้อมยืนใบสีขาวกลับมา
Zone 6
ออกไปซื้อซองไปรษณีย์ 75 บาท เอามาเขียนชื่อภาษาอังกฤษตามพาสปอร์ต พร้อมแปะที่อยู่ที่อคาเด็กซ์ให้มาลงไป
แล้วเอาไปส่งคืน เป็นอันจบ
ก่อนออกไปอย่าลืมเอาของที่ฝากไว้คืนด้วยล่ะ
ตอนสัมภาษณ์ไม่ยากค่ะ ไม่ต้องเครียด ยิ้มสู้เข้าไว้ หากฟังไม่รู้เรื่องก็ถามไปว่า Pardon , please
ขากลับก็นั่งแท็กซี่กลับจุฬา แต่ไหงรถติดฟร่ะ โดนไป 75 บาทแนะ
เมื่อวันที่ 29ม.ค. อคาเด็กซ์นัดปฐมนิเทศที่ธนาคารกรุงเทพสีลม
เนื่องจากเพื่อนๆจองช่วงบ่าย แต่บ่ายเราไม่ว่างเลยต้องไปลุยเดี่ยวๆตอนเช้าคนเดียวแทน
ก็นั่งBTSไปลง ช่องนนทรีแล้วเดินเอา ความจริงลงศาลาแดงก็ได้ มันก็ต้องเดินเหมือนๆกัน
พี่นัด 8.30 แต่พอเอาเข้าจริงๆก็เริ่มๆกันเมื่อตอน 9.30
ก่อนเข้าไปก็ลงทะเบียนตามตัวอักษรตัวแรกของนามสกุล จะได้เอกสารของธนาคารกรุงเทพกับใบสมัครISICมา
พอเข้าไปฟังปฐมนิเทศโชคดีเจอพี่ที่ไปด้วยกันพอดีเลยไปนั่งด้วย เพราะเราลืมเอาปากกาไป555
พี่แมน(เจ้าของ) จะมาพูดเรื่องสิ่งที่ต้องเตรียมตัวว่าควรเอาอะไรไปบ้าง อาหารยังไง
เอาเข้าได้ ต้องซีลด้วยน่ะ เหล้าห้ามเอาไปเด็ดขาดโดนยึดชัวร์ ประมาณนี้
เสร็จแล้วจะเล่าเรื่องการ transit ตม. ทำยังไง พาสปร์อตห้ามทำหายน่ะ
แล้วก็ให้ใบที่แจกตอนลงทะเบียนให้ดูว่าเราต้องไปที่ไหน บ้านพักอยู่ไหน
Visa sponser ติดต่อยังไง พอไปถึงแล้วต้องลวทะเบียนภายใน 48 ชม. ผ่านเน็ตน่ะ ไม่งั้นโดนส่งกลับแน่
สีผมห้ามทำสีแปลกๆ ให้ทำสีธรรมชาติๆ รอยสักห้ามสักที่มองเห็นได้ ไปลบออกซะ ไม่งั้น
โดนนายจ้างสั่งให้ไปลบ ค่าลบหลายร้อยเหรียญอยู่คอนแทคเลยน์ ยารักษาโรคเอาไปให้เรียบร้อย
เพราะที่โน่นจะสั่งยาหรือคอนแทค ต้องมีใบรับรองแพทย์ กว่าจะขอได้ต้องเสียไป 300 เหรียญ
คร่าวๆประมาณนี้ ขี้เกียจพิมพ์เยอะ
เสร็จแล้วพี่จิ๊บจะออกมาเล่าเรื่องการใช้ชีวิตที่โน่น ควรทำยังไง
เจอเหตุการณ์แบบนี้ทำยังไง
เสร็จแล้วจะเข้าโหมดโฆษณา เช่น 004 ของดีแทค สำหรับผู้ปกครองโทรไปหาลูกที่เมกา นาทีละ 3 บาท
ส่วนตัวว่าก็โอเคอยู่ บอกให้แม่ใช้แล้ว
จากนั้นจะแนะนำบัตรโทรศัพท์ วิธีโทรกลับมาไทยให้ประหยัด ราวๆนั้น
พีคสุดๆคือเรื่องเอาเงินกลับไทย กับขึ้นเช็ครีฟันแทคที่ไทย
โดยมีธนาคารกรุงเทพ มาเสนอให้เปิดบัตรชีกับบัตรบี-เฟิร์ตกับเขา ในราคา 200 บาท
เป็นค่าบัตร 100 เงินในบช.เรา 100
เป็นโปรสำหรับอาคาเด็กซ์โดยเฉพาะ
แถมค่าธรรมเนียมถูกมาก ค่าเช็คตปท. 203 บาทที่สนง.ใหญ่ 300 บาทสำหรับสาขาทั่วไป (ประมาณนั้น)
แถมได้เงินภายใน 1-2 วัน
ตอนแรกๆก็ลังเลอยู่ เลยโทรไปหาSCB ที่ตัวเองมีบช.อยู่ เพื่อถามค่าธรรมเนียม
ปรากฏว่า ของSCBมัน 10 เหรียญต่อฉบับ แถมเสียค่าอะไรไม่รู้ อีก 15 เหรียญ + รอเงิน1เดือน
เลยรีบสมัครของธ.กรุงเทพอย่างไว...
จากนั้นก็สมัคร ISIC Card
เพราะมันลด
ค่าทำ 200 ส่วนบัตรให้ไปเอาที่อคาเด็กซ์อีก 15 วันให้หลัง
พอออกจากปฐมนิเทศมีโดนัทกับน้ำดื่มแจกคนละถุงด้วยยยยย
อคาเด็กซ์เตรียมพร้อมมากมีเสื้อหนาวมาขายกับบริหารแลกเงินดอลโดยธ.กรุงเทพ ด้วย
เห็นเพื่อนๆ ซื้อของกับครบเซ็ตแล้ว เรายังไม่ซื้อกระทั่งเสื้อหนาวเลย...
ใกล้จะสอบวีซ่าแล้ว...
แต่จ่ายค่าตั๋วไปแล้วน่ะ ซื้อผ่านอคาเด็กซ์ของ อมเริกันแอร์ไลน์ แวะญี่ปุ่น 44400 บาท ถูกแฮะ
ตั๋ว 3 เดือนกว่าด้วย
วันที่ 20 ต.ค. นัดสอบว่ายน้ำที่ธรรมศาสตร์ค่ะ
ขอเล่าย้อนไปก่อนหน้านี้ 3-4 วัน
--------------------------------------------------
เริ่มจากเพื่อนๆ ชวนกันไปลองสระที่ มธ.ก่อน วันสอบจริงจะได้เห็นสถานที่จริงๆ
ก็เฮกันไป ตอนไปแพมมี่เอาดัมเบลล์ 3 โลไปด้วย เอาไปลอง
มีแฟนแพมมี่ไปด้วย คนนี้เค้าไป D.C. สอบมาแล้ว ว่าย 300 ดำเก็บ 5 โล
เค้ามาเทรนให้ + เป็นไกด์นำทาง
พอไปถึงฝนตก หนาวมากๆ เสียค่าลงสระตั้ง 80 แนะ แถมได้ใช้สระ 25 เมตร
เพราะสระ 50 โดนจองไว้แล้ว
โชคดียืมเวท์สูทอะตอมไปด้วย เลยอุ่นๆ
ตอนว่ายก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่พอพอลองเก็บดัมเบล์เนี่ยสิ แถมไม่รอด
ขึ้นมาตะเกียดตะกายแบกมันเข้าฝั่งไม่ไหว พาลคิดว่าอาจตายได้ ณ วินาทีนั้นคิดอย่างเดียวคือ
ไม่ไหวแล้ว จะเปลี่ยนง๊านนนน
อะตอมอีกคนก็ไม่ได้เหมือนกัน เลยตบบ่าพลางนัดแนะว่า
แก๊ ฉันจะไปทำร้านอาหาร
จึงรีบกลับจากมธ. วันศุกร์ตอนเย็นคนโค ต ร จะเยอะ รถตู้นี่คิวแบบว่าสุดๆอ่ะ
ได้ตัดใจนั่ง ปอ.29 มาเสาวรีย์ กว่าจได้นั่งก็ฟิวเตอร์
เล่นเอาอยากอ้วกเป็นที่สุด สนนเวลา 2 ชม.ในการมาถึง (แง่ง)
พอกลับมาถึงมัน ทุ่มกว่าๆ แล้ว เลยคิดว่าค่อยโทรไปอคาเด็กซ์ล่ะกัน
พอวันรุ่งขึ้น นั่งโทรปรึกษากะตอมว่าจะเปลี่ยนเป็นงานไหนดี
ตอมบอกว่า "ยังไงก็ได้ แต่ไม่เอาปูเตียง"
โมเลยโทรไป ปรากฏว่า งานที่เหลือมันมีแต่ Fastfood กับ ปูเตียง(โรงแรม)อ่ะดิ
โทรไปหาตอมต่อ "แกทำไงดีมันเหลือแค่นี้ กว่างานจะเข้าใหม่ก็เดือนหน้าแถมไม่รู้ด้วยว่าจะมีร้านอาหารไหม"
ตอมตอบมาว่า
"เด๋วปรึกษาพี่ไกด์น่ะแก"
สรุปวันเสาร์พี่ไกด์ไม่เข้า เลยรอวันอาทิตย์แทน
พอวันอาทิตย์
ตอมโทรหาพี่ไกด์ ว่า"จะเปลี่ยนงาน ไม่ไหวแล้ว"
พี่เค้าก็บอกว่าต้องทำไงๆ บ้าง
แล้วตอมก็โยนมาให้โมโทรหาพี่ไกด์อีกทีล่ะกัน มันไม่ว่างส่งเอกสารเปลี่ยนงาน
พอโมโทรไป
โดนพี่ไกด์กล่อมให้ไปสอบ..
ฟังแล้วมันเคลิ้มน่ะ พี่เค้ามีเหตุมีผล จริงๆ
เนี่ยลองไปดูก่อนสิ ไหนๆก็จะเปลี่ยนแล้ว ที่ Ohio เค้าไม่ฟิกด้วย เผลอๆอาจจะว่ายแค่ 200 เมตร
(บลาๆ )
ฟังๆดูแล้ว เออ นั่นสิ ไหนๆก็ว่างแล้ว ลองไปหน่อยดีกว่า
โทรไปกล่อมอะตอมต่อ
แก๊ ลองไปสิ เพื่อได้ ไม่ได้ไงๆก็เปลี่ยนอยู่แล้ว
แก วันที่ 20 ฉันจะไปค่าย เชียงใหม่ ฟรีด้วยน่ะ
มาลองก่อน
แล้วงัดกลยุทธฺสุดตัว ในการเกลี่ยกล่อม
จนอะตอม ตัดสินใจว่าจะละทิ้งเชียงใหม่ ไปสอบว่ายน้ำ
เฮ้อ..เหนื่อยมากๆ (กับการเกลี่ยกล่อม)
----------------------------------------------------
จบการท้าวความ มาเริ่มกันเถอะ
นัดว่ายน้ำไว้ 10 โมง ด้วยความขี้งกนั่งรถเมล์ของเราทำให้ไปถึงเสาวรีย์เลท ขออภัยเพื่อนๆทุกๆคนค่ะ
ไปถึง สระว่ายน้ำ มธ. ตอน10กว่าๆ ตอนนั้นเจอพี่แคน พี่แคนบอกว่าพี่สอบแค่ 100 เดียวเอง ไม่มีเก็บอิฐด้วย
ฟังแล้วช็อค... กรี๊ดดด
หลังจากลงทะเบียน 120 บาท +เปลี่ยนชุด (ล่อเวทสูทอะตอมเหมือนเดิม) ก็มานั่งรอสมัภาษณ์จากนายจ้าง
คนเยอะมากๆ แบบว่าตกใจเลยอ่ะ กลุ่มเราไป 6 คน เค้าก็สัมภาษณ์กลุ่ม 6คนพอดี
สัมภาษณ์ไม่ถามไรมาก นายจ้างจำเสียงเราได้ เค้าถามว่า
เคยคุย Skype กันแล้วใช่ไหม
พอเซย์เยส เค้าก็ไม่ค่อยถามอะไร
ไปถามคนที่ไม่เคยคุยมากกว่า
คำถามที่เจอก็ง่ายๆเค้าสุ่มถามชี้เป็นคน
เป็นเพื่อนกันเหรอ 6 คนเนี่ย
เคยไปเที่ยวด้วยกันไหม ที่ไหน ยังไง
ชอบดูหนังไหม
เคยดู Dating Night ไหม
เลี้ยงสัตว์อะไร พันธุ์อะไร
ทำไมถึงใส่เวทสูท
รู้สึกว่าเราจะตอบคำว่า Sometimes กับ Yes แค่ 2คำ
แล้วก็สอนร้องเพลง Ohio
แล้วก็บอกให้ว่ายแต่คราวนี้ 200 เมตร (ทำไมมันเพิ่มฟร่ะ) เอาเถอะ ถ้า 300 เราตายแน่ๆ
มีไลท์การ์ฝรั่งคนหนึ่ง หล่อมาก มาเป็นคนเช็ค
เค้าบอกว่า ว่ายท่าไหนก็ได้ยกเว้นกรรเชียง ลอยตัว ให้ครบ 200 (สระ50เมตร)
ไม่ต้องรีบ เพราะรีบเราจะเหนื่อย
พอลงสระไปตามเคย น้ำเย็น แต่ไม่เท่าวันที่มาลองซ้อม
แถมตื่นเต้นมากๆด้วย มันกดดันยังไงไม่รู้ เค้าให้ว่ายลู่ละ 2 คนก็นัดออกตัวกันให้ดี
โมว่าย ฟรีสลับ กบ 4เที่ยว
ตอนว่ายรอบแรก พี่ไกด์นั่งเฝ้าอีกฝั่ง คอยเชียร์บอกว่าไม่ต้องรีบๆ ใจเย็น
ตอนว่ายรอบ 3 รู้สึกแบบว่าจะตายแล้วๆ แต่น่ะมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เลยฮึดๆ
พอริบสุดท้ายก็จะพยายามไม่รีบ พอมองฝั่งเห็นคนอื่นๆเค้าถึงกันหมดแ้ล้ว กดดันเหมือนกัน 555+
สรุปเข้าฝั่งด้วยสปีดช้าสุด พร้อมความโล่งใจว่า
ผ่านแล้วเฟ้ยย
ผ่านหมด 6 คน
พวกๆพี่ก็มาแสดงความยินดีด้วย
(ก่อนหน้านี้ถามว่าถ้าไม่ผ่านเป็นไง
ก็ไปสัมภาษณ์ เฮ้าส์เลยน้อง
...)
พอเปลี่ยนชุดเสร็จ
โมกะตอมก็แวะขอบคุณพี่ไกด์
ถ้าไม่ได้คุยกะพี่ หนูคงเสียดายงานนี้แบบสุดๆแน่เลย 555
ทุกๆก็โล่งอกโล่งใจที่ได้ไปด้วยกัน นึกว่าต้องแยกกันซะแล้วว
พอไปเซ็นสัญญา กับรับใบระบุหลักฐานการขอวีซ่า ก็เสร็จแล้ว
ขอบคุณดิฟอีกคนที่ให้ติดรถเบนซ์สปอร์ตกลับ (นั่งเบาะหลัง 5 คน ก่ายขึ้นไปนั่งตักกันเลยทีเดียว)
วันนี้พี่เค้าโทรมาคอนเฟิร์ม Kalahari Ohio เรียบร้อยแล้ว
โล่งอก โล่งใจ ... outlet เอ๊ย..อเมริกาขา.. รอหนูด้วยน่ะ