ตะลอนไป...เชียงใหม่ ตอน ราชพฤกษ์ 2549
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน

วันนี้ตื่นเต้นตั้งแต่เช้า เพราะเป็นวันที่จะได้เดินทางไปเชียงใหม่แล้ว หลังจากที่วางแผนล่วงหน้ากับเพื่อนและรุ่นน้องคนหนึ่งมาเกือบสองเดือน เพื่อที่จะไปเที่ยว "งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ราชพฤกษ์ 2549"

และวันที่ 25 ก็เป็นวัน Sportday ของ มช. พอดี พ่อสองหนุ่มก็เลยถือโอกาสนี้ขึ้นไปถ่ายรูปสาวๆ ซะรวดเดียวเลย เราก็เลยตกลงกันว่าจะไปเที่ยวงานกันวันศุกร์ที่ 24 เพื่อหลีกเลี่ยงการผจญกับผู้คนเยอะๆ ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์

ตกลงกันเป็นมั่นเหมาะแล้วก็ให้ไอ้แก๊ป รุ่นน้องไปซื้อบัตรเข้างาน และซื้อตั๋วรถทัวร์เผื่อเราด้วย ส่วนกฤษณ์เพื่อนอีกคนจะไปจากพะเยา และไปเจอกันที่เชียงใหม่

บ่ายสามโมงเราก็ออกจากนครปฐมเพื่อไปหอพี่สาวแถวเตาปูนเพื่อรอเวลาอาบน้ำอาบท่า เพราะว่ารถทัวร์ออกสามทุ่มครึ่ง ไปถึงก็หกโมงกว่าๆ เลยใช้เวลาสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อนมากนัก พอสองทุ่มครึ่งเราก็ออกจากหอพี่สาวไปเจอกับไอ้แก๊ปที่หมอชิต

เราไปถึงก่อนก็เลยนั่งรอ ซักพักหนึ่งไอ้แก๊ปก็โทรมา
"พี่ อยู่ตรงไหนอ่ะ"
"อยู่ตรงข้างประชาสัมพันธ์เนี่ย"
"ประชาสัมพันธ์ไหนอ่ะพี่ มันมีหลายอัน เอางี้ พี่เห็นผู้ชายหน้าตาดีๆ แบกของพะรุงพะรังเดินอยู่ป่ะ"


ได้ยินดังนั้น สายตาเราก็ไปสะดุดเข้ากับผู้ชายแบกของพะรุงพะรังพอดี (ย้ำว่าไอ้หน้าตาดีๆ นั่นไม่ได้ใช้ประโยชน์เลย) เราก็เลยโบกไม้โบกมือ จนพบกันในที่สุด

พอเจอกันก็เม้าท์ เม้าท์ และเม้าท์ ใครว่าผู้ชายไม่เม้าท์ เราขอเถียงขาดใจก็งานนี้ และไอ้ของพะรุงพะรังของมันนั่นก็ไม่ใช่ของตัวเองเลย เพราะล้วนแล้วแต่เป็นของที่มีคนฝากซื้อทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ของกฤษณ์ กล้องของน้องที่ชมรม เฉพาะเลนส์ตัวเดียวนี่ก็หนักเกือบสามกิโลเข้าไปแล้ว จะว่าไปก็เห็นใจมันเหมือนกันนะเนี่ย

คุยกันจนได้เวลารถออก เราก็เดินไปขึ้นรถกัน และได้จบบทสนทนาลงเมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษ...


วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน

รถทัวร์เข้าจอดที่สถานีขนส่งอาเขตตอนเจ็ดโมงครึ่ง น้องปาล์ม น้องสาวที่น่ารักมารับพี่ชมรมและเพื่อนชมรมตั้งแต่เช้า แล้วก็พาไอ้แก๊ปไปส่งที่บ้านป้า ก่อนจะพาเรามาอาบน้ำที่หอพี่สาวของน้องเค้าซึ่งจะเป็นที่พักของเราตลอดสองคืนนี้ด้วย เนื่องจากว่าพี่สาวของน้องปาล์มจะไปธุระที่กรุงเทพฯ เสาร์อาทิตย์นี้พอดี เราก็มีที่นอนฟรี ส่วนน้องปาล์มก็มีคนนอนเป็นเพื่อน ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ฮี่...

ตอนแรกที่ประชุมกันทาง msn ก่อนหน้านี้นั้น เรานัดกันว่าจะไปเจอกันที่ชมรมตอนเก้าโมงเช้าเพื่อไปหาอะไรกินกันก่อนที่จะไปที่งาน เพราะเราตั้งใจว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะว่าเราซื้อบัตรแบบเข้าครั้งเดียว ก็เลยตั้งใจจะไปตั้งแต่ประตูเปิดและอยู่ยาวจนประตูปิดกันเลยทีเดียว แต่ไปๆ มาๆ กว่าเราจะอาบน้ำเสร็จ กว่าจะผจญรถติด (เพราะหอพี่สาวน้องปาล์มอยู่ในเมือง) พวกผู้ชายก็โทรมาบอกว่าตอนนี้รออยู่ที่ร้านเย็นตาโฟศรีพิงค์แล้ว แต่ซักพักก็โทรมาบอกอีกว่า...อิ่มแล้ว ไปรอที่ชมรมแล้วกันนะ... เรากะน้องปาล์มก็เลยไปกินต้มเลือดหมูแถวตลาดต้นพยอมกันสองคน น้องปาล์มโฆษณาชวนเชื่อไว้ตั้งแต่ตอนออกมาจากหอว่าอร่อยมากๆ ซึ่งก็อร่อยอย่างที่น้องเค้าบอกจริงๆ ซะด้วย ใครที่ได้ไปแถวนั้นอย่าลืมแวะไปชิมนะ ชื่อร้านโจ๊กศรีพิงค์ มีทั้งข้าวต้ม โจ๊ก แล้วก็ต้มเลือดหมูนี่หละ เราสองคนก็เลยสั่งต้มเลือดกินกันสบายใจพร้อมกับตุนข้าวเหนียวหมูปิ้งไว้เป็นมื้อกลางวันอีกด้วย



กว่าจะเสร็จภารกิจกับอาหารเช้า เราสองสาวก็เข้าไปถึงชมรมเกือบสิบโมง ไปถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ออกเดินทางกันเลยทีเดียว งานนี้รวบรวมสมัครพรรคพวกได้หกชีวิต (จากเดิมที่นัดกันไปแค่สามคน แต่ชวนกันไปชวนกันมาเลยกลายเป็นหกคนซะนี่...)

เราตัดสินใจว่าจะขับรถไปจอดบริเวณที่จอดรถใกล้ๆ ที่จัดงานเพื่อความสะดวก ว่าแล้วเราหกคนก็ขึ้นไปอัดกันในรถฮอนด้าแอคคอร์ดของกฤษณ์ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังตำบลแม่เหียะในทันที...

ประมาณสิบโมงครึ่งพวกเราก็ขับมาจนถึงบริเวณที่จอดรถ ก็เลือกได้ร้านรับฝากรถร้านหนึ่ง จ่ายค่าจอดไป 50 บาท ก่อนจะนั่งรถแดงต่อเข้าไปในงานคนละ 5 บาท ใช้เวลาไม่นานนัก รถแดงก็มาจอดส่งพวกเราที่หน้างาน แล้วเราก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น...ผู้คนมหาศาลเข้าแถวยืนรอเพื่อเข้างาน น้องที่มาด้วยอีกคนถึงกับออกปากว่า
"ผมมากี่ครั้ง ไม่เคยต้องเข้าแถวเลยนะพี่"


ก่อนที่เราจะเดินทางกันประมาณสองสัปดาห์ ก็มีข่าวว่า มกุฏราชกุมารจิกมี เคียเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน จะเสด็จฯ มาเยือนประเทศไทย และจะเสด็จฯ มาทอดพระเนตรงานมหกรรมพืชสวนโลกในวันที่ 24 พ.ย. ด้วย พวกเราสามคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็ถึงกับเซ็ง เนื่องจากกังวลถึงความไม่สะดวกสบายต่างๆ นานาที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ...สวนบางแห่งอาจปิดไม่ให้เข้าชม คนอาจจะมารับเสด็จกันเยอะ... พวกเราก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นแค่ความไม่สะดวกเล็กๆ น้อยๆ และไม่ทำให้พวกเรา "เซ็ง" จนเกินไปนัก

ภาพตัดกลับมาที่หน้างาน...วรื้ดดดด

ผู้คนยืนเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อทยอยเข้างาน ทั้งที่มีทางเข้าถึงหกช่องทาง ทำเอาเราถึงกับหน้ามุ่ย...ทำไมน้า...อุตส่าห์วางแผนล่วงหน้าเสียดิบดี แต่ก็เอาเถอะ...ไม่มีความแน่นอนในโลกใบนี้ เราได้แต่ไปยืนต่อแถวเหมือนกับคนอื่นๆ และพยายามทำใจให้สนุกสนานสมกับที่รอคอย

หลุดจากที่ตรวจบัตรไปได้ก็ไปเจอร่มยักษ์ที่เป็นจุดเด่นอีกแห่งของงานนี้



และบริเวณนั้นก็มีเหล่ามาสคอตของงานยืนต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ ดูท่าว่างานนี้จะเป็นงานที่มีมาสคอตมากที่สุดในโลกแล้วล่ะมั้ง เหอๆ หลายคนก็ไปยืนถ่ายรูปกับเจ้าดอกทิวลิป (จำชื่อไม่ได้ซะแล้ว) เราเดินไปเห็นตัวนึงยืนว่างงานเพราะไม่มีใครไปถ่ายรูปด้วยเลย แล้วก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกับบ่นดังๆ ว่า "ไม่มีใครมาถ่ายรูปกับก้านยาวเลยเนอะ" เราก็เลยไปถ่ายรูปด้วยให้มีงานทำซะหน่อย เหอๆ



พอเข้าไปในงานได้ก็เริ่มวางแผนการเดินกัน เพราะว่าเวลามีน้อย เราก็เลยตัดสินใจจะไปดูสวนนานาชาติก่อนเป็นอย่างแรก แล้วตอนบ่ายแดดจัดๆ ค่อยเข้าไปดูในอาคารจัดแสดงต่างๆ แต่ก่อนที่จะถึงสวนนานาชาติ ที่บริเวณลานด้านหน้าก็จะมีทุ่งดอกไม้ แล้วก็งานศิลปะที่นำมาจัดแสดง







เดินไปอีกหน่อยก็มาเจอถังขยะจุดแรก กิ๊บเก๋ยูเรก้ามากๆ ก็เลยขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกซะหน่อย





อากาศร้อนได้ใจเลยทีเดียว ตอนแรกเอาเสื้อแขนยาวไปก็ใส่ได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะมันร้อนนนนน...

พวกเราเสียเวลาอยู่กับลานกลางแจ้งนี้นานพอสมควร จนเราคิดว่ามันนานเกินไปแล้วนะเฟร้ย แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเคลื่อนย้ายกันเลย มดน้อยก็เลยต้องออกโรงเดินล่วงหน้าไปก่อน...ไม่มีผู้นำ มันก็ไม่มีผู้ตาม...ถือคตินี้มาตลอดแต่ไหนแต่ไร แล้วมันก็ได้ผลแฮะ โฮะๆๆๆๆ



จากสวนกลางแจ้งเราก็มุ่งหน้าไปยังสวนนานาชาติกันต่อเพื่อเก็บสวนแต่ละประเทศให้ได้มากที่สุด ระหว่างทางที่เดินไปนั้นก็ผ่านอาคารศูนย์นิทรรศการซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่เจ้าชายจิกมีจะเสด็จฯ ทอดพระเนตร ตอนแรกเห็นธงภูฏานโบกสะบัดสลับกับธงชาติไทยสวยดีเลยเก็บภาพมา แต่ไหงเป็นงี้ล่ะเนี่ย...



สวนนานาชาติสวนแรกที่เดินไปถึงก็คือสวนของประเทศภูฏานซึ่งปิดไม่ให้เข้าชมตามคาด เราก็เลยได้แต่เยี่ยมๆ มองๆ และกดภาพจากด้านนอกมาแทน...ไม่ได้เข้าไปถ่ายข้างใน ถ่ายข้างนอกก็ยังดีฟะ



ถัดจากสวนภูฏานก็เป็นสวนของเบลเยี่ยม เค้าจัดสวนในโพรงไม้ (แต่เป็นโพรงไม้จำลองนะ) หญ้าที่ใช้ก็เป็นหญ้าเทียมหมดเลย ไม่รู้ต้นไม้ข้างในโพรงนั้นจะเป็นของปลอมด้วยป่าว เพราะเข้าไปดูไม่ได้ เอิ้กๆ





จากสวนเบลเยี่ยมก็ไปต่อกันที่สวนเนปาลที่อยู่ตรงข้ามกันนั่นเอง







ในสวนเนปาลนี่ก็มีร้านขายของที่ระลึกจากเนปาลด้วย เป็นพวกสร้อย จี้ เครื่องประดับของเนปาล แต่เราก็ไม่ได้ซื้อเพราะเห็นคนมุงกันเยอะเชียว แบบว่าขี้เกียจเบียดเสียดยัยเยียดกะเค้าอ่ะ

พอออกจากสวนเนปาลก็ตรงไปยังสวนอินเดียต่อ แต่ว่าเดินไม่ทั่ว เดินอยู่แค่ข้างนอกเท่านั้นเอง แล้วก็ได้รูปมานิดหน่อย (นิดหน่อยจริงๆ )





จากนั้นก็ไปต่อที่สวนประเทศลาว อินโดนีเซีย แล้วก็คั่นด้วยสวนของโครงการหลวงที่จำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขาเผ่าต่างๆ ให้ชมกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งมีไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ แล้วก็ผักแปลกๆ ต่างๆ ด้วย แต่เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะว่าตอนนั้นแดดเริ่มร้อน (จริงๆ ร้อนตั้งแต่เข้างานมาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเริ่มหรอก) ก็เลยขอนั่งพักใต้ร่มไม้ (ที่หายากมากๆ ในงาน ) เป็นการพักเหนื่อยไปด้วย นึกเสียดายเหมือนกันนะเนี่ยที่ไม่ได้ถ่ายรูปสาวชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่แต่งตัวเต็มยศ หน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่บริเวณนั้นด้วย สงสัยจะต้องไปอีกรอบ ฮี่...





พอออกจากโครงการหลวง เหลือบดูนาฬิกาก็เป็นเวลาเกือบบ่ายโมง เพื่อนและน้องๆ ที่ไปด้วยเริ่มบ่นหิวข้าวกันเป็นระยะ เราก็เลยเดินไปศูนย์อาหาร (ที่อยู่ไกลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก) ระหว่างทางก็เก็บภาพจากสวนต่างๆ ที่เดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นสวนญี่ปุ่น สวนเนเธอร์แลนด์ หรือสวนจีน แต่ก็ไม่ได้แวะเข้าไปเลยซักสวน (ยกเว้นสวนญี่ปุ่นสวนเดียว) เสียดายมาก...







และระหว่างทางเราก็เก็บภาพไปเรื่อยๆ เพราะระยะทางจากจุดที่เราอยู่ คือสวนนานาชาติไปยังศูนย์อาหารนั้น คาดว่าเกือบสองกิโลเมตรได้ พวกเราทั้งหกก็เดินฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุนั้นไปด้วยความหิว




เห็นหอคำหลวงอยู่ลิบๆ


พวกเราใช้เวลาเดินไปยังศูนย์อาหารประมาณ 15 นาที เรากับน้องปาล์มก็ควักข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าออกมา ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปแลกคูปองซื้ออาหารกลางวันมานั่งกินกัน ราคาอาหารก็ไม่ถือว่าแพงจนเกินไป จานละ 30-40 บาท แต่ปริมาณก็สมน้ำสมเนื้อ ส่วนเรื่องรสชาติ...ขอไม่ออกความเห็นละกัน เหอๆ

พวกเรานั่งทอดหุ่ยกันอยู่ที่ศูนย์อาหารกว่าครึ่งชั่วโมง เพราะไม่มีใครอยากจะเดินออกไปผจญเปลวแดดอีกครั้งหลังจากได้หลบเข้ามาอยู่ในร่มซึ่งเปรียบเหมือนสวรรค์สำหรับพวกเรา แต่เราไม่ได้คิดเหมือนคนอื่นๆ นะ อย่างที่บอกว่าเราตั้งใจมางานนี้มากๆ เพื่อเก็บภาพให้มากที่สุด เราก็เลยอยากจะทำเวลา อีกอย่างหนึ่งคืออาคารแสดงกล้วยไม้จะปิดตอนบ่ายสามโมงเพราะเจ้าชายจิกมีจะเสด็จฯ ไปทอดพระเนตร กว่าเราจะยุรยาตรออกจากศูนย์อาหารมาได้ก็บ่ายสองโมงครึ่งเข้าไปแล้ว และกว่าจะเดินมาถึงอาคารแสดงกล้วยไม้อีก แต่ยังไม่ทันจะเดินถึงก็ต้องมาติดขบวนรับเสด็จตรงอาคารศูนย์นิทรรศการ ซึ่งจะต้องผ่านจุดนี้ไปก่อนถึงจะไปถึงอาคารกล้วยไม้ พวกเราก็ถามคุณตำรวจว่าอาคารกล้วยไม้ปิดรึยัง แล้วก็ได้คำตอบว่าปิดแล้ว ก็เลยเบนเข็มไปยังอาคารบัวและไม้น้ำแทน ทีแรกพวกเราสามสาวก็ไปร่วมขบวนรอรับเสด็จกะเค้าด้วยเพราะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เผื่อจะโชคดีได้เห็นพระพักตร์เจ้าชายสุดหล่อขวัญใจคนไทยทั้งประเทศกะเค้ามั่ง แต่ยืนรอตากแดดหัวแดงอยู่พักหนึ่ง (เค้าเล่นให้ถอดหมวกรอเลยนี่นา) เจ้าชายก็ยังไม่เสด็จฯ ออกมาซะที เราก็เลยเลิกล้มความตั้งใจและจะเดินตามพวกผู้ชายไปที่อาคารบัว แต่เดินไปได้หน่อยก็ต้องติดแหงกอยู่กับฝูงชนที่รอรับเสด็จอยู่ที่ด้านหน้าอาคาร เราสามคนก็เลยหยุดอยู่ตรงนั้นเพื่อรอรับเสด็จอีกครั้ง...ครั้งนี้ดีหน่อยที่มีร่มเงาของอาคารบังแดดได้บ้าง เลยรออยู่อย่างไม่ทรมานมากนัก เหอๆ

ยืนรออยู่ครู่ใหญ่ๆ ก็มีเสียงกรี๊ดกร๊าด และแสงแฟลชวูบวาบ ใช่แล้ว...มกุฎราชกุมารแห่งภูฏานเสด็จฯ ออกมาจากอาคารศูนย์นิทรรศการแล้ว ผู้คนที่ยืนรอรับเสด็จอยู่พากันเบียดเข้ามาเพื่อที่จะได้เฝ้าชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด แต่ที่มันดูขัดหูขัดตาเราอย่างมากก็คือเสียงกรี๊ดนี่แหละ...พระองค์ท่านทรงเป็นมกุฎราชกุมาร ไม่ได้เป็นดาราเกาหลีซะหน่อยนะนั่น...

เราไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์หรอก เพราะบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าบังมิดหมดเลย ก็เลยเห็นแต่ตอนเสด็จฯ มาขึ้นรถรางพระที่นั่งแต่ก็เห็นแค่ด้านหลังเท่านั้น...ความจริงถ้ายืนรออยู่ที่เดิมก็อาจจะได้เห็นพระพักตร์ท่านก็ได้นะเราว่า...

เอาเป็นว่าพอเจ้าชายเสด็จฯ ไปยังอาคารอื่นบรรดาฝูงชนก็สลายไปในพริบตา เรากะน้องสาวสองคนก็เดินไปยังอาคารแสดงบัวและไม้น้ำ ข้างในเย็นสบายมากเหมาะสำหรับหลบร้อนตอนบ่ายสามเป็นอย่างดี แต่ว่าในนี้เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาเท่าไหร่เพราะไม่ถนัดใช้แฟลช

เดินเวิ่นเว้ออยู่ในนั้นได้ซักพัก เราก็ชักอยากจะไปที่อื่นต่อ ขณะที่คนอื่นๆ ยังไม่อยากออกไปผจญเปลวแดดข้างนอก ไอ้ครั้นจะไปอาคารแสดงกล้วยไม้ก็ไปไม่ได้เพราะยังไม่เปิด เราก็เลยบอกว่าจะไปอาคารที่จัดแสดงกระบองเพชร น้องอีกคนที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ก็บอกว่าต้องเดินไปทางศูนย์อาหารที่เราเพิ่งเดินมา แถมมันอยู่เลยศูนย์อาหารไปอีกด้วย.. เอาไงล่ะทีนี้...แต่จะให้นั่งอยู่แต่ในนี้ก็ไม่เวิร์คเพราะเราจะมาถ่ายรูปปปปปป

ในที่สุดเราก็ขอร้องแกมบังคับขู่เข็ญน้องๆ ให้เดินไปที่อาคารกระบองเพชรกัน เราเดินไปถึงอาคารแสดงพืชเมืองหนาวกันก่อน มีเจ้าหน้าที่ยืนประกาศผ่านโทรโข่งว่าภายในนั้นมีทั้งต้นกีวี และดอกทิวลิปให้ชม พวกเราก็เลยตรงเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามีคนยืนเข้าแถวรอเข้าชมยาวทีเดียว เราก็เลยเปลี่ยนแผนเข้าไปในอาคารอื่นที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้นก่อน พวกเราก็เลยเข้าไปที่อาคารพืชเมืองร้อน มีเฟิร์นที่มีอายุกว่าสี่ร้อยปีให้ดูด้วย จากนั้นเราก็ไปยังอาคารพืชทะเลทรายกันต่อ มีกระบองเพชรหลายพันธุ์ที่เราไม่เคยเห็นมาจัดแสดงให้ดูมากมาย พวกเราอยู่ในนี้กันนานทีเดียว







พอออกจากอาคารพืชทะเลทรายพวกเราก็เข้าไปอาคารพืชไร้ดินต่อ ก่อนต้องจำใจไปต่อแถวเพื่อเข้าไปในอาคารพืชเมืองหนาว ในนี้มีพืชเมืองหนาวหลายชนิดให้ได้ดูกันทั้งผักและผลไม้ มีลูกผสมระหว่างบร็อคโคลี่กับคะน้ามาให้ดูด้วย ชื่อว่าอะไรก็จำไม่ได้ซะแล้วอ่ะ แต่มีดอกสีเหลืองคล้ายๆ กับดอกกวางตุ้ง นอกจากนี้ก็มีต้นลาเวนเดอร์ โรสแมรี่ และอีกหลายๆ ชนิดที่เราๆ เคยแต่ได้ยินชื่อ ไม่เคยได้เห็นต้นเป็นๆ มาให้ได้ชมกัน และก็ไฮไลท์ที่สำคัญก็คือ ทิวลิปสีเหลืองจากเนเธอร์แลนด์ที่มีอยู่หย่อมหนึ่งให้ถ่ายรูปกัน...





พอออกจากอาคารพืชเมืองหนาว แดดก็เริ่มหมดและมีอากาศเย็นเสียบเข้ามาแทนที่ทันที พวกเราทั้งหกก็เดินย้อนกลับมาที่บริเวณลานการแสดงใกล้ๆ กับหอคำหลวง สามหนุ่มก็ไปถ่ายรูปนางรำกันอยู่หน้าเวที ส่วนน้องผู้หญิงสองคนก็ไปนั่งดูการแสดง (ความจริงไปนั่งพัก ฮา....) ส่วนเราก็เลยเดินไปถ่ายรูปหอคำหลวง เพราะมางานนี้ทั้งทีไม่มีรูปหอคำหลวงกลับไปคงเสียเที่ยวแย่...



เสียดายที่ขณะนั้นหอคำหลวงยังไม่เปิดให้เข้าชมเพราะเจ้าชายเพิ่งจะเสด็จฯ ออกไปครู่ใหญ่ๆ จึงขอทำการ 'เคลียร์' ก่อน เราก็เลยเดินถ่ายรูปแต่ด้านนอก ขณะที่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ รูปที่ถ่ายมาก็เลย...เฮ่อออออ ซึ่งก็เป็นอันรู้กันนะว่า ต่อจากนี้ไปจะไม่มีรูปมาให้ชมกันแล้ว เหอๆ

พอฟ้ามืดเราก็มาสมทบกับคนอื่นๆ ที่บริเวณลานการแสดงและนั่งรอรุ่นพี่อีกคนที่ตามมาสมทบหลังเลิกงาน ก่อนที่จะไปชมการแสดงม่านน้ำ ชุด "ลูกของแม่ พ่อของแผ่นดิน" ซึ่งเป็นเรื่องราวความผูกพันระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การแสดงเริ่มตอนหนึ่งทุ่ม พวกเราเดินไปถึงตอนประมาณหกโมงกว่าๆ ก็พบว่ามีคนมาจับจองที่นั่งกันเต็มหมดแล้ว แต่ก็ยังโชคดีที่มีพื้นที่เหลือพอให้พวกเรายืนดูได้บ้าง ดีนะที่เราไม่ได้ตั้งใจมาถ่ายรูป ไม่เช่นนั้นคงมีหงุดหงิดกันแน่นอน...

การแสดงจบลงประมาณทุ่มสี่สิบห้านาที พวกเราก็เดินกลับมาที่ทางออก ซึ่งขณะนั้นมีการแสดงขบวนพาเหรดที่บริเวณหน้าหอคำหลวงพอดี แต่ก็ไม่ได้ดูเพราะแต่ละคนหมดอารมณ์ที่จะถ่ายรูปกันแล้ว ก็เลยเดินออกไปขึ้นรถแดงไปยังที่จอดรถ ระหว่างทางออกนั้นก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายตลอดรายทางที่มีระยะทางกว่าสามร้อยเมตรเลยทีเดียว

ออกมาได้ก็ขึ้นรถสองแถว (ไม่ใช่รถแดง) ที่จอดรออยู่บริเวณทางออก ค่าโดยสารคนละ 5 บาทเช่นเคย ไม่นานก็มาถึงที่จอดรถ และเป็นอันสิ้นสุดการเดิน 'มาราธอน' อันแสนยาวนานเสียที เฮ่อ...

งานนี้แม้จะร้อน จะเหนื่อย จะมีหงุดหงิดบ้าง แต่ก็ทำให้เรามีความสุขมาก มีความสุขที่ได้ถ่ายรูป มีความสุขที่ได้เห็นต้นไม้ใบหญ้าสวยๆ งามๆ และเปิดหูเปิดตา เห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็น...

นี่ก็กะว่าถ้าวีซ่าผ่าน เดือนมกราคมจะไปแก้มืออีกซักรอบ...ฮี่

หมายเหตุ : รูปเพิ่มเติม เชิญที่นี่ ได้เลยนะคะ หรือที่ "โชว์รูม" ก็ได้ค่ะ



Create Date : 29 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 4 ธันวาคม 2549 15:36:03 น.
Counter : 2342 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มดน้อยต้อยตีวิด
Location :
นครปฐม  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Blog นี้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๙

-------------------------------------------------

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิดโดยการนำรูปภาพและข้อความต่างๆ บางส่วนหรือทั้งหมดใน Blog นี้ไปเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ส่วนตัวหรือในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่บัญญัติไว้สูงสุด
::ผลงาน::
New Comments