ตะลอนไป...บุรีรัมย์ ตอน 2
อ่ะแฮ่ม...

เพื่อความต่อเนื่องและลื่นไหล...ใครที่เพิ่งเข้ามา เลื่อนลงไปอ่านข้างล่างก่อนนะคะ ^^

มาว่าด้วยเรื่องของสี่สาว in บุรีรัมย์กันต่อนะคะ...

ความเดิมตอนที่แล้ว...คุณหมอฟันลงมารับที่หน้าแฟลต หลังจากที่พวกเราสามสาวถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ แล้วพวกเราก็ขนสัมภาระขึ้นไปไว้บนห้องของคุณหมอฟันกันเรียบร้อย...

การที่คุณอดนอนมาทั้งคืนแล้วมาเจอที่นอนที่ปูไว้ให้อย่างเรียบร้อยพร้อมนอน คุณคงจะล้มตึงแล้วซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเข้าสู่นิทรารมณ์โดยพลัน...อย่างนั้นใช่หรือไม่?
แต่ยัยสามสาวนี่ หาเป็นเช่นนั้นไม่ค่ะ...O_o

วันที่ 7 ตุลา

--แฟลตหมอ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ ตอน 05:45 น.--

เรารวมพลกันที่หน้าแฟลตทักทายกับเจ้ากะปิ หมาไทยสี่ตาเพศเมียที่มีอัธยาศัยดีอย่างยิ่ง พวกเราตกลงกันว่าจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันบนปราสาทหินพนมรุ้ง (ทั้งๆ ที่ค่อนข้างจะแน่ใจว่าขึ้นไปไม่ทันพระอาทิตย์แน่ๆ) คุณหมอฟันก็ไม่ขัดศรัทธา ยอมพาพวกเราขึ้นรถกันไปแต่โดยดี

ยานพาหนะที่จะพาพวกเราขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้นก็คือรถยนต์ฮอนด้าแอคคอร์ดสีแดงทะเบียนราชบุรี (ที่พี่คนหนึ่งบอกว่ามีคันเดียวในบุรีรัมย์) คันนี้แหละ (เอ่อ...นางแบบนี่บังเอิญถ่ายติดมาด้วยค่ะ)



คุณหมอฟันพาพวกเราขับรถออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าไปยังเขาพนมรุ้ง ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที รถก็แล่นผ่านประตูทางเข้าปราสาทหิน แต่คุณหมอฟันบอกว่า
"ความจริงทางนี้ก็เข้าได้ แต่ชั้นจะพาพวกแกไปขึ้นทางข้างหน้า จะได้เห็นความอลังการ"
มันพูดซะน่าตื่นเต้น แต่ก็จริงของคุณหมอฟัน เพราะเมื่อจอดรถแล้ว พวกเราก็เดินขึ้นไปตามบันไดเพื่อไปเสียค่าเข้าชมคนละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตราปกติของโบราณสถานทุกที่ (ทีแรกนึกว่ามาเช้าขนาดนี้จะลักไก่เข้าฟรีซะหน่อยเถอะ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะเจ้าหน้าที่ก็มาทำงานแต่เช้าเหมือนกัน) แล้วก็เดินต่อขึ้นไปตามทางที่ไม่ชันมากนักพอได้เหงื่อนิดๆ เป็นการออกกำลังกายตอนเช้า

และนี่ก็คือทางเดินขึ้นเขาค่ะ



และเมื่อเดินพ้นจากตรงนี้ไป ภาพที่เห็นตรงหน้าก็คือความอลังการอย่างที่คุณหมอฟันจอมเฝ่อวโวไว้แต่แรกจริงๆ ค่ะท่านผู้ชม



เส้นทางที่ทอดยาวไปยังตัวปราสาทที่เห็นอยู่ลิบๆ นั่น ดูยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ เลยนะ ลองนึกถึงขบวนเสด็จของกษัตริย์ขอมในสมัยก่อนว่าจะยิ่งใหญ่ชวนขนลุกขนาดไหน...

พวกเราสี่สาวเดินไปตามทางจนกระทั่งถึงตัวปราสาท ซึ่งมีบันไดที่จะต้องปีนป่ายกันขึ้นไปอีกสี่ชุด ตามที่คุณเซลส์สุดสวยไปเซิร์ชข้อมูลมาได้นั้น จำนวนขั้นบันไดแต่ละชุดจะเป็นเลขคี่เรียงกันไป คือ 13 11 9 และ 7 ขั้นตามลำดับ แต่พอนับดูจริงๆ ชุดที่สามและสี่ไม่ได้มี 9 และ 7 ขั้นอย่างที่คุณเธอบอกไว้ (เจ้าตัวเป็นคนนับเอง เท็จจริงอย่างไรเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่ได้นับ ^^") แต่พวกเราก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับมันมากมายนัก เพราะตอนนี้เราเดินทางมาถึงตัวปราสาทแล้ว

อันที่จริงตัวปราสาทเองไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารอย่างที่เราวาดภาพไว้เท่าไหร่นัก แต่ถ้าพูดถึงความวิจิตรบรรจงและความปราณีตในการก่อสร้าง ต้องบอกว่าปราสาทหินพนมรุ้งแห่งนี้สร้างความอึ้ง และทึ่งให้กับเราอย่างมากเลยทีเดียว แทบไม่น่าเชื่อว่าคนในสมัยโบราณจะมีความสามารถในการนำเอาก้อนหินทั้งก้อนมาเรียงต่อกันและแกะสลักลวดลายได้อย่างวิจิตรบรรจงถึงขนาดนี้ นึกๆ ไปแล้วก็อยากรู้จริงๆ นะว่าในสมัยนั้นมีวิทยาการก้าวล้ำขนาดไหนถึงทำได้ขนาดนี้...




เมื่อพวกเราขึ้นมาถึงและรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า ดวงอาทิตย์นั้นขึ้นไปลอยเด่นเฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้านานแล้ว (แต่เพราะเมฆปกคลุมอยู่จึงดูเหมือนว่าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น) พวกเราก็เลยหันมาถ่ายรูปกันจนหนำ เรียกว่าถ่ายกันแบบไม่คิดชีวิตกันเลยทีเดียว

เวลาเช้าขนาดนี้ ไม่ได้มีพวกเราเพียงแค่กลุ่มเดียวที่มาเที่ยวชมปราสาท มีคณะทัวร์คณะหนึ่งมาก่อนพวกเราเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็ทยอยกันมาเช่นเดียวกัน ทำให้เราต้องใช้ความพยายามและอดทนมากในการรอคอยเพื่อถ่ายรูปช่องประตูทั้ง 15 ช่องแบบไร้สิ่งมีชีวิตประกอบ (แต่รูปอยู่ในเจ้า F55 ซึ่งยังไม่ได้ล้าง เหอๆ)





ภายในตัวปราสาทนั้นเป็นที่ประดิษฐานของศิวลึงค์ ตัวแทนขององค์พระศิวะ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวขอมสักการะบูชา นอกจากนี้เรายังมีโอกาสได้ไปเห็น ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่เคยถูกขโมยไปขาย และไปปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่อเมริกาจนเป็นกรณีที่โด่งดังเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วย (แต่พี่สาวบอกว่าอันนี้น่ะ มันก็ไม่ใช่ของจริงอยู่ดี...อันนี้ไม่ขอออกความคิดเห็นดีกว่า ^^")

--บนปราสาทหินพนมรุ้ง ตอน 07:30 น.--

พวกเราถ่ายรูปกันจนเพลิน และเมื่อดูเวลาแล้วเห็นสมควรว่าน่าจะกลับกันได้แล้ว เพราะคุณหมอฟันจอมเฝ่อวยังมีภารกิจในการเข้าเวรวันเสาร์-อาทิตย์รออยู่ที่โรงพยาบาล และเธอก็ต้องการเวลาที่จะอาบน้ำอาบท่าก่อนจะไปทำงาน พวกเราจึงได้ลงจากปราสาทกันมาอย่างไม่ค่อยจะอาลัยอาวรณ์นัก เพราะพวกเราต่างรู้ดีว่าไฮไลท์ + ไคลแมกซ์ของพวกเราอยู่ที่เย็นวันนี้ต่างหาก...

ทีแรก คุณนิสิต ป.โท อยากจะให้เพื่อนพาไปกินอาหารเช้าที่ตลาด แต่ดูเวลาแล้วคงจะไม่ทัน คุณหมอฟันก็เลยขอผัดผ่อนเป็นกินข้าวที่ร้านอาหารในโรงพยาบาลแทน พอกลับถึงแฟลตคุณหมอฟันจอมเฝ่อวก็จัดการธุระของตัวเองขณะที่อีกสามสาวก็นอนรอเพื่อจะไปรับประทานอาหารเช้าด้วย เว้นแต่คุณเซลส์สุดสวยที่ขอรออาบน้ำนอนต่อเลย เพราะปกติเธอไม่กินข้าวเช้าอยู่แล้ว (เธอบอกอย่างงั้น) ส่วนเราสองคนที่อดนอนมาทั้งคืนแล้วก็คอยสะกิดกันว่า

"อย่าเพิ่งหลับนะว้อย ไปกินข้าวกันก่อน"

จนกระทั่งคุณหมอฟันเตรียมตัวออกจากแฟลตไปทำงาน พวกเราสองสาวจึงได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย

--ร้านข้าวในโรงพยาบาล ตอน 08:15 น.--

'หมอแนน' ของพี่เจ้าของร้านข้าวจัดแจงสั่งข้าวคะน้าหมูกรอบสองจานสำหรับตัวเองและของเราอีกหนึ่ง ส่วนคุณนิสิต ป.โท ก็สั่งข้าวผัดใส่ผักไม่ใส่หมูมานั่งกินกัน ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเป็นเพราะความหิวหรือว่าพี่เค้าทำอร่อยจริงๆ เพราะเราว่ามันเป็นคะน้าหมูกรอบที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลยนะเนี่ย...สิ่งที่พอจะยืนยันได้คือจานข้าวอันว่างเปล่าของเราที่ไม่เหลือข้าวสุกไว้เลยซักเม็ด ^^"

อิ่มกันแล้วหมอแนนก็ไปทำงาน ส่วนเราสองสาวก็เดินกลับแฟลตเพื่อพักผ่อนกายาเสียที ตอนแรกเราคิดว่าจะอาบน้ำสระผมก่อนค่อยนอน แต่ว่าความง่วงมันมีอิทธิพลมากกว่าความรักความสะอาดหลายขุมนัก ก็เลยล้มตัวลงนอนทั้งที่เพิ่งจะกินข้าวมาซะเต็มกระเพาะ ลืมคิดเรื่องสุขอนามัยไปเลย แล้วก็ตั้งใจว่าจะตื่นมาอาบน้ำก่อนที่จะไปกินข้าวกลางวัน คิดอะไรอยู่ได้แป๊บเดียวก็หลับไปด้วยความเพลีย...

--ห้องนอนหมอแนน ตอน 12:00 น.--

โทรศัพท์ของคุณนิสิต ป.โท ดังขึ้น แล้วเจ้าตัวก็เรียกเราพร้อมกับบอกว่า
"เที่ยงแล้ว เดี๋ยวไอ้แนนจะพาไปกินส้มตำ"
จบประโยคนั้นไม่ถึงสิบนาที ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง ...แน่นอน เราก็ไม่ได้อาบน้ำอีกแล้วน่ะสิ...

อาหารกลางวันของพวกเราวันนี้เป็นข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ที่ร้านไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก คุณหมอฟันพาพวกเราไปกินพร้อมกับพี่ผู้ช่วยหมอฟัน และพี่หมอหญิง (แหม...อย่างกับแดจังกึมเลยนิ) อีกสองคน

เสร็จจากมื้อกลางวัน เราก็ไปนั่งสังเกตการณ์อยู่ในห้องทำงานของคุณหมอฟันจอมเฝ่อว วันเสาร์ก็ยังมีคนไข้ประปราย มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ก็มี และนั่นก็ทำให้เรารู้ว่าเพื่อนจอมเฝ่อวของเราที่เห็นกันมาตั้งแต่ ม.1 นั้น เวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือคนให้พ้นจากความเจ็บป่วยก็ดูแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง มันทำให้เราได้คิดว่า คนเราทุกคน มีบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง ตัวตนที่แท้จริงจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่เมื่อต้องทำหน้าที่ และรับบทบาทนั้นแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด และยังทำให้เราได้รู้จักเพื่อนของเราในอีกมุมหนึ่งมากกว่าที่เราเคยรู้จักอีกด้วย...

อยู่ที่ห้องฟัน (หมอแนนเรียกที่ทำงานของตัวเองว่าอย่างนี้) ได้สักพัก เรากับคุณนิสิต ป.โท ก็ตกลงใจชวนกันไปอาบน้ำ ส่วนคุณเซลส์สุดสวยที่ดูจะสบายกว่าใครเพื่อนก็อยู่เล่นเนตไฮสปีดที่ห้องฟันต่อไป และตอนนี้เองที่คุณเซฟตี้ตัวอ้วนโทรมาบอกว่าขึ้นรถจากหมอชิตแล้วทำให้พวกเราคำนวณเวลากันว่าน่าจะมาถึงประมาณสองทุ่ม

ก่อนที่เราจะกลับไปอาบน้ำ คุณหมอฟันจอมเฝ่อวก็บอกว่าสี่โมงครึ่งจะขึ้นไปจองที่ดูพระอาทิตย์ตก ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ เราเลยรีบกลับไปอาบน้ำสระผมหวังจะได้หลับอีกซักงีบก่อนจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ตก แต่แล้วก็ไม่ได้หลับอย่างที่ตั้งใจเพราะตาสว่างซะแล้ว...

วันนี้เล่าซะยาว...อีกนิดเดียวก็จะถึงไคลแมกซ์แล้ว งั้นก็อดใจอีกนิดละกันนะคะ ไม่รู้ว่าทั้งสี่สาวของเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกลอดช่องประตูอย่างที่ตั้งใจมาดูกันรึเปล่า ติดตามต่อข้างบนละกันค่ะ ^^




Create Date : 17 ตุลาคม 2549
Last Update : 22 ตุลาคม 2549 23:29:45 น.
Counter : 287 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มดน้อยต้อยตีวิด
Location :
นครปฐม  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Blog นี้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๙

-------------------------------------------------

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิดโดยการนำรูปภาพและข้อความต่างๆ บางส่วนหรือทั้งหมดใน Blog นี้ไปเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ส่วนตัวหรือในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่บัญญัติไว้สูงสุด
::ผลงาน::
New Comments