Group Blog
 
All Blogs
 

auto -- ขึ้นเขา -- ลงเขา ...(1)

ขับรถขี้นลงเขาเกียร์1-2 ลาก3000กว่ารอบตลอดอันตายต่อเครื่องมั๊ยครับ
เที่ยวดอย เกียร์ออโต้ ขับ1-2 แต่ลากรอบ3000กว่าตลอดเลย
ใช้อย่างนี้นานๆบ่อยๆ เกียร์จะพังหรือเปล่าครับ
แล้วมีวิธีแนะนำไหมครับ จะไปภูอีกทริป 8 วัน

จากคุณ : ake - [ 25 ม.ค. 52 09:59:53 A:192.168.0.17 X:124.121.19.250 TicketID:163713 ]


-------------------------------------------------------------------------------


ความคิดเห็นที่ 1

เครื่องมันไม่พังหรอกครับ

ถ้าไม่ใช้ engine brake ช่วย ตกเขาไป จะยิ่งกว่าเครื่องพังครับ


ขาขึ้นอาจจะมีเครื่องฮีทบ้าง ก็ธรรมดาครับ พักแป๊บ ก็หาย

จากคุณ : `SEPULTURA_`FROM_`HELL - [ 25 ม.ค. 52 10:09:41 ]

: K.Senior






ความคิดเห็นที่ 2

เครื่องไม่พังหรอกครับ วิศวกรเขาออกแบบมาให้ขึ้น-ลงเขา ใช้เกียร์ต่ำอยู่แล้ว เพราะถ้าขืนไปใช้เกียร์สูงเกียร์จะพังเอานะครับ
และที่สำคัญ อันตรายด้วยอาจไหลตกเขาได้ง่ายๆ !!!!!!!

จากคุณ : สุรวงศ์ - [ 25 ม.ค. 52 10:14:49 ]







ความคิดเห็นที่ 3

เครื่องไม่เป้นไรหรอกครับ 3000 นี่ เด็กๆ เลย ปกติขับกันที่ 120 รอบก็ราวๆนี้

แต่ห่วงเรื่องเกียร์มากกว่า

จากคุณ : G23 - 40S&W - [ 25 ม.ค. 52 10:19:35 ]







ความคิดเห็นที่ 4

ใครเป็นคนแรกที่ บอกว่า ห้ามขับเกินรอบ 3000 อ่ะ
ไม่เข้าใจจริงๆ เพื่อนผม มันก็บ่นตอนที่ผมไปขับรถมัน
ตอนแซงผม kick down รอบไป 4 พัน มันบ่นยับเลย(2เลน แถวๆภูเรือ )

ถ้าเร่งเกิน red line ก็ว่าไปอย่าง

จากคุณ : ... - [ 25 ม.ค. 52 10:37:58 A:222.123.13.78 X: TicketID:135285 ]







ความคิดเห็นที่ 5

ขึ้นเขา สัก 3 - 3.5 พันรอบ กำลังสวยครับ แต่ถ้าเกินนี้ระดับ 4 -5 พันรอบ ขึ้นเขายาวๆ อันนี้ไม่ควรนะครับ รถผมพัง เพราะลากเกียร์ 1 ขึ้นอ่างขาง ระดับ 4-5 พันรอบนี่แหละ

เหตุเพราะ รถวิ่งช้า แต่รอบสูง เครื่องทำงานหนัก อุณหภูมิสูง แล้วออยล์เกียร์ที่อยู่ในหม้อน้ำ ก็ร้อนตามไปด้วย น้ำมันเกียร์เลยร้อน ผลคือ คลัชท์ไหม้ทั้งหมดครับ

จากคุณ : เด็กบูรพา - [ 25 ม.ค. 52 10:46:23 ]







ความคิดเห็นที่ 6

กล่อง ECU มันจะเอ๋อเหร๋อ รวน ทำให้รอบเครื่องไม่นิ่ง วืดวาดๆๆ โดยเฉพาะ อีซูซุ เพื่อนเพิ่งไปซ่อมมา ขึ้นดอยลากรอบใช้แต่เกียร์1-2 นี่แหละ

จากคุณ : จ่าแห้ว - [ 25 ม.ค. 52 11:16:13 ]







ความคิดเห็นที่ 7

ถ้าลากนานๆจะเป็นอันตรายต่อเครื่องในกรณีเครื่องฮีตครับ
เครื่องทำงานรอบสูงแต่ระบายความร้อนไม่ค่อยได้เนื่องจากความเร็วต่ำ

ขับรถขึ้นเขารอบสูงก็ควรใช้ความเร็วต่ำอย่าใจร้อนและพักรถบ้าง
จะให้ได้ความเร็วเหมือนวิ่งทางราบมันก็เป็นไปไม่ได้
ส่วนขับลงเขาไม่ใช่ว่าใช้เอนจิ้นเบรคอย่างเดียว ต้องเบรคบ้างเป็นระยะๆ
จะได้แบ่งเบาการทำงานของเครื่อง
ค่อยๆขึ้นค่อยๆลงเก็บชีวิตและรถไว้เที่ยวให้ครบทุกดอยดีกว่าขึ้นและลงดอยนี้เป็นดอยสุดท้ายของชีวิตครับ

จากคุณ : yozzy - [ 25 ม.ค. 52 11:33:51 ]

: K.Senior






ความคิดเห็นที่ 8

เมื่อก่อน Auto ผมใช้ 1-2 ลงเขายาวตลอด กลิ่นน้ำมันเกียร์มันร้อนโชยหึ่งเลยครับ
ตอนหลังเลยต้องปรับเปลี้ยนวิธี

เกียร์ ออโต้ มันไม่เหมือน เกียร์ Manual เอาหลัก Manualมาใช้ด้วยกับ Autoไม่เหมาะครับ
เกียร์ออโต้ ใช้เกียร์ 1-2หรือ engine brake ตอนที่จำเป็น เช่นตรงที่ลงชันมากๆ
engine brakeไม่ควรใช้ตลอดครับเกียร์พังครับ ตรงไหนไม่ชันมากก็ใส่ D ไป ไม่ต้องใช้ความเร็วสูง

แล้วใช้เบรคให้คุ้ม แต่อย่าไปเลียเบรคเด็ดขาด เบรคเมื่อต้องเบรค ถ้าเริ่มได้กลิ่นเหม็นไหม้ก็จอด พอเย็นก็ไปต่อ แต่ถ้าเกียร์พังลากกลับอย่างเดียว

เครื่องก็ดูว่าอย่าให้รอบจัดครับ ขึ้นไปเรื่อยๆสังเกตุความร้อนเป็นหลักครับ

ถ้าเครื่องมันไม่ไว้มันจะฟ้องที่เกยจ์ความร้อนครับ เข็มมันจะขยับขึ้นกว่าปกติครับ เราก็ลดรอบ
แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 52 11:41:30

จากคุณ : Poonoi - [ 25 ม.ค. 52 11:37:00 ]








ความคิดเห็นที่ 9

รอบสูง ทำไมเครื่องถึงทำงานหนักล่ะ โหลดมันน่าจะน้อยกว่ารอบต่ำเกียร์สูงนิ เมื่อรอบสูงมันก็มีความเร็วมากกว่าค่อยๆไต่ ระบายความร้อนดีกว่า


ไม่เข้าใจ

จากคุณ : หมูน่ารักจริงๆ - [ 25 ม.ค. 52 18:16:15 ]







ความคิดเห็นที่ 10

--Auto ผมใช้ 1-2 ลงเขายาวตลอด กลิ่นน้ำมันเกียร์มันร้อนโชยหึ่งเลยครับ

--เกียร์ ออโต้ มันไม่เหมือน เกียร์ Manual เอาหลัก Manualมาใช้ด้วยกับ Autoไม่เหมาะครับ
>>>>>>>>>>>

(บอกตรงๆว่า เข้ามาจับผิด แหะ แหะ )

คุณผู้น้อยพูดอย่างนี้ แสดงว่าไม่เข้าใจกลไกของมัน

อยากให้คุณดูเรื่อง Retarder ที่เขา design มาใช้กับรถใหญ่ Truck
ให้ใช้เป็น Engine Brake โดยเฉพาะครับ

เจ้าตัวนี้ภายในมันเหมือน Torque converter อย่างไรอย่างนั้น

ที่คุณไม่รู้อีกอย่างหนึ่ง คือ ATF น้ำมันเกียร์ออโต้ มันทนความร้อนได้ดีมาก
เพราะเนื้อน้ำมันเขาต้องการ VI สูง จึงพยายามแยก impurity กำจัดออกให้หมด มีคุณสมบัติคล้าย Synthetic ลองดูค่า VI ของน้ำมันเกียร์ออโต้ซิครับ
ที่คุณบอกว่าได้กลิ่นน้ำมันโชยมานั่น ถ้าคุณมีโอกาสเอาน้ำมันไปตรวจ คุณจะทราบว่า น้ำมันยังมีสภาพดี
ผมไม่ได้มาจับผิดอย่างที่ ไตเติ้ลไว้หรอกครับ ผมเพียงอยากให้ข้อมูลมีความชัดเจน มีเหตุผลที่ถูกต้อง เพื่อคนจะได้ใช้เกียร์อย่างถูกต้องครับ

ขับลงเขาชันๆต่อเนื่อง เราจำเป็นต้องใช้ Engine brake ครับ

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ม.ค. 52 18:19:24 ]

: dum.d, K.Senior






ความคิดเห็นที่ 11

แต่ลากรอบ3000กว่าตลอดเลย
>>>>>>>>

ผมสงสัยจริงๆ ใครเป็นคนครอบงำความเชื่ออย่างนี้
เครื่องยนต์รถนั่ง รอบสูงสุดว่ากันที่ 6000 รอบ
ความเร็วรอบ 3 พันเรื่องเล็กครับ

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ม.ค. 52 18:23:41 ]

: dum.d






ความคิดเห็นที่ 12

2-3000 รอบ ยังไม่ถึงแรงบิดสูงสุดเลยนะครับ

อย่างที่คุณช่างกล-หนุ่มว่าไว้

รอบเครื่องก่อน redline 6000 รอบ แค่้ 3000 รอบ ธรรมดาครับ

ผมไปเชียงราย ลาก เกียร์ 2-3 ที่ 3500+ ตลอดครับ ให้อยู่ในย่านแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์

จากคุณ : Arc_ - [ 25 ม.ค. 52 18:43:50 ]







ความคิดเห็นที่ 13

ผมขับ ลำปาง แม่ฮ่องสอน ปาย เชียงใหม่ เชียงราย ร่วมๆ 2500โค้ง ก็ใช้ engineเป็นหลักนะ แทบไม่แตะเบรคเลยเพราะพยายามไม่ขับช้า

เวลาขึ้นลงที่ชันใช้เกียร์ชลอ ไม่จำเป็นก็ไม่แตะเบรก เพราะลดความเร็วด้วยการไม่เร่งเครื่องมากตั้งแต่เนิ่นๆอยู่แล้ว
ถ้าเจอรถช้าขวางทาง ก็พยายามแซงไปเร็วๆ เพื่อเลี่ยงการแตะเบรก




ว่าแต่ว่านะ รถทะเบียน กทม. เวลาขับช้าบนเขา มักไม่ค่อยหลบชิดซ้ายกัน ไม่รู้ว่าทำไม??? (เจอตอนเที่ยวปีใหม่)

จากคุณ : ImKraZy - [ 25 ม.ค. 52 20:18:55 ]







ความคิดเห็นที่ 14

ใช่แล้วครับ

ถ้าอยากถนอมเกียร์ ถนอมเครื่อง
ก็เปลืองเบรคครับ

และผมเชื่อว่าท่านก็ไม่เลียเบรคลงเขายาว ๆ หรอก
ใช่มั๊ยครับ ?

จากคุณ : แม่ฮ่องสอน - [ 25 ม.ค. 52 20:44:54 ]







ความคิดเห็นที่ 15

ถามหน่อยครับ กรณีขับลงเขา ใช้เกียร์ต่ำ รอบเครื่องจะสูง แต่...เราไม่ได้เหยียบคันเร่งเลย จะกินน้ำมันเชื้อเพลิงไหมครับ เมื่อเทียบกับขับทางราบที่เกียร์เดียวกันรอบเท่ากัน คือเครื่องจะ่ายน้ำมันเท่ากับรอบเดินเบาใช่ไหมครับ แล้วอย่างนี้ไม่lean burn เหรอ ครับ สงสัยมานานแล้ว

จากคุณ : Nuudam - [ 25 ม.ค. 52 20:54:07 ]







ความคิดเห็นที่ 16

ลงเขา ใช้เกียร์ต่ำ รอบเครื่องสูง จะตัดน้ำมัน

lean burn ประมาณ15.5/1 ใช้ตอนความเร็วคงที่
ประมาณ16.5/1 ห้องเผาไหม้จะร้อนมาก
เกิน18/1 เผาไหม้ไม่หมดมี เชื้อเพลิงแห้ง UHC ปล่อยออกมา

ขับรถลงเขาควรอ่านคู่มือให้ดี เกียร์บางตำแหน่งไม่เกิดเอนจินเบรค

จากคุณ : ป๋า - [ 25 ม.ค. 52 21:51:44 A:202.44.210.32 X: TicketID:110672 ]







ความคิดเห็นที่ 17

คุณช่างกล-หนุ่ม

ที่ผมว่าไว้นั้นผมเจอมาเองใช้ Auto ลงเขาชันยาว ผมก็ใส่ 2 บ้าง 1 บ้าง ยาวตลอด เพราะมันชันยาวต่อเนื่อง
เพราะปกติผมคุ้นกับ แมนนวล ชินกับการลงเขาด้วย engine brake อยู่แล้วและผมก็ไม่คิดว่า การลากเกียร์ออโต้ ใส่เกียร์ต่ำเพื่อใช้enginebrake จะมีผลอะไร

ผมได้ กลิ่นโชยออกมาพอสมควรซึ่งเป็นลักษณะกลิ่นที่น้ำมันโดนความร้อน ซึ่งผมไม่คิดว่ามันจะเป็นกลิ่นของน้ำมันเครื่องแน่ๆ
แล้วตอนที่ลากขึ้นทางชันยาว ผมก็ได้กลิ่นเช่นกันครับ แต่ผมไม่ได้ลากเครื่องแน่อุณหภูมิปกติดีครับ

ตอนขับทางไกลใช้ความเร็วสูง กลิ่นนี้ไม่มี

ช่วยวิเคราะห์หน่อยว่าเพราะอะไรครับ

ตอนหลังบังเอิญผมมาเจอบทความของท่านนึงที่เป็นนักจัดรายการด้วย ซื่งในบทความนั้นคล้ายกับที่ผมเจอ (ผมกำลังค้นหาบทความนั้น) แต่มันออกไปทางตรงข้ามกับคุณช่างกลเลยครับ


แก้ไขเมื่อ 25 ม.ค. 52 22:20:07

จากคุณ : Poonoi - [ 25 ม.ค. 52 22:12:29 ]

(ต่อ) .. (2)

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=mm7&month=19-02-2009&group=3&gblog=1




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2552 13:00:48 น.
Counter : 592 Pageviews.  

auto -- ขึ้นเขา -- ลงเขา ...(2)

ความคิดเห็นที่ 18

คห.9
เมื่อรอบสูง ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีของลูกสูบและการระเบิดก็สูงตามครับ และมันสูงเกินกว่าที่ลมที่พัดเข้ารถอันเนื่องจากความเร็วมันจะช่วยระบายความร้อนได้ทัน

สมมติว่าขับรอบ 5000 เหมือนกัน แต่ใช้เกียร์ 5 วิ่ง 200 โอเค ลมพัดเข้าแรง ระบายความร้อนได้
แต่กรณีนี้ เกียร์ 1 วิ่งได้แค่ 40 ความเร็วลมมันคนละเรื่องกันเลยครับ แต่ความร้อนที่เกิดจากเครื่องยนต์ดันเพิ่มเท่ากัน ลากนานๆเครื่องก็พังสิครับ

จากคุณ : ob the air - [ 25 ม.ค. 52 23:27:34 ]







ความคิดเห็นที่ 19

คุณ Poonoi ผมไม่ได้เถียงในแง่ที่ว่าไม่มีกลิ่น การได้กลิ่นน้ำมันออโต้ เหมือนน้ำมันทอดกล้วยแขก หรืออะไรประมาณนี้ ผมไม่เถียง
แต่ผมไม่สามารถบอกได้ว่ากลิ่นเกิดจากอะไร บางคันล้นออกมาทาง vent ไปโดนเครื่องร้อนๆ ถึงกับมีควันก็มี
ผมตั้งใจจะชี้แจงว่า ในการทดสอบน้ำมันที่ HT เขาทดลองระดับ 150C
และถ้าน้ำมันร้อนในระดับนี้ ความร้อนจะส่งมาถึงหม้อน้ำ ทำให้เข็มความร้อนน้ำเพิ่มขึ้นจนสังเกตได้

ผมเถียงในประเด็นที่คุณบอกว่า เอาหลักการขับลงเขาของ Manual มาใช้กับ Auto ไม่เหมาะ ผมเกรงว่าอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่ให้ใช้ engine brake ลงเขา ครับ
ผมจึงเอาระบบ Retarder ที่เขาใช้ช่วยเบรค ใช้กับรถใหญ่มาเป็นตัวอย่าง
ซึ่งระบบนี้ก็มีลักษณะการทำงานด้วยใบพัดเช่นเดียวกับ Torque converter ของเกียร์ Auto

engine brake ของเกียร์ออโต้ มันไม่มีทุกเกียร์ ที่ 2 และ 1 จะมี engine brake ( 3 ผมไม่แน่ใจ)
แต่ในทางกลับกันเมื่อเข้า D แล้วขับลงเขารถวิ่งช้าลงเรื่อยๆ
จนเกียร์ลดลงเป็น 1 , เกียร์ D-1 นี้ไม่มี engine brake ครับ

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ม.ค. 52 23:44:15 ]







ความคิดเห็นที่ 20

ที่จริง ความร้อนของน้ำมันเกียร์จะมีมาก เมือตอนขาขึ้น
เพราะรถจะมีโหลดหนัก ต้องออกแรงเครื่องมาก ความร้อนระบายให้หม้อน้ำจะมีมาก ประกอบกับ Ram-Air น้อย ทำให้น้ำร้อนจัด ส่งผลให้น้ำมันเกียร์

ทำนองเดียวกับ Stall-Test ที่เราเร่งเครื่องเต็มที่และเบรครถเอาไว้
ถ้าทำนาน จะมีความร้อนจัด ครับ

แต่การใช้ engine brake ตอนลงเขา ความร้อนที่เพิ่ม คือ การเปลี่ยนพลังงานจลชลอความเร็ว ===> เมื่อคิดแรงเบรคออกมาเป็น HP-ขาลง
กับ HP-ขาขึ้น ซึ่งต้องใช้กำลังของเครื่องยนต์มาช่วย + heat reject ของเครื่อง จะเห็นว่า ความร้อนขาขึ้น มีมากกว่า ขาลง ... ผมคิดอย่างนี้ ถูกไหม ?

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ม.ค. 52 23:50:32 ]







ความคิดเห็นที่ 21

เกียร์บางตำแหน่งไม่เกิดเอนจินเบรค
>>>>>>>

ถูกแล้ว

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 25 ม.ค. 52 23:51:46 ]







ความคิดเห็นที่ 22

เห็นสงสัยมานาน เอาให้เคลียร์ไปเลย

1) รอบเครื่องจะสูง แต่...เราไม่ได้เหยียบคันเร่งเลย จะกินน้ำมันเชื้อเพลิงไหมครับ เมื่อเทียบกับขับทางราบที่เกียร์เดียวกันรอบเท่ากัน
>>>>>>>>>
ไม่กินเชื้อเพลิง เพราะระบบหัวฉีดมีระบบ Fuel Cutoff
เมื่อเกิดอาการ engine brake หัวฉีดจะหยุดฉีดน้ำมันทั้งหมด
ยืนยันครับ "หยุดฉีดเลย" .... คุณคงจะสงสัย มีคำถามต่อว่า
"แล้วเครื่องไม่ดับหรือ" จริงๆ มันดับ จนกระทั่งความเร็วรอบลดลงถึง
.... xxx คือ เร็วกว่ารอบเดินเบานิดหนึ่ง เช่น 1000 รตน.(ตัวอย่าง)
หรือบางคันเกินพันนิดๆ ระบบฉีดน้ำมันจะกระตุ้นคือ เริ่มฉีดน้ำมันอีกครั้ง
เพื่อไม่ให้เครื่องดับ วิธีนี้ทำให้รถประหยัดน้ำมันครับ
ผมถึงเตือนทุกครั้ง ที่มีกระทู้ถามว่า ก่อนถึงไฟแดง ปลด N ปล่อยไหล เพื่อให้ประหยัด ความคิดเช่นนี้ เป็นความคิดที่ผิด เพราะเขาไม่รู้ว่า ถ้าใส่ D ปล่อยให้เกิด Fuel Cut-off รถเขาจะประหยัดกว่า เข้าเกียร์ว่าง แล้วปล่อยไหล ครับ
(รถ BMW สมัยใช้คาร์บูก็มีระบบ Fuel cut-off ครับ)
---------------------

2) เครื่องจะ่ายน้ำมันเท่ากับรอบเดินเบาใช่ไหมครับ
>>>>>>>>>

ไม่จ่ายน้ำมันเลยครับ ตามที่อธิบายข้างบน
Fuel cut-off หยุดจ่ายน้ำมันทั้งหมด
แต่พอรอบลดลงมาใกล้ๆ รอบเดินเบา คือ เร็วกว่ารอบเดินเบานิดหนึ่ง
(แปลว่า ใกล้ดับ ) ระบบจะรีบจ่ายน้ำมันทันที เครื่องก็จะเข้าระบบ idle
จ่ายน้ำมันให้เดินเบาตามปกติครับ

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 ม.ค. 52 00:01:54 ]







ความคิดเห็นที่ 23

Deceleration Fuel Cut

During closed throttle deceleration periods from higher engine speeds, fuel delivery is not necessary. In fact, deceleration emissions and fuel economy are adversely affected if fuel is delivered during deceleration.

To prevent excessive decel emissions and improve fuel economy, the ECU stops injection pulses completely during certain deceleration conditions.

• When the IDL contacts close with engine rpm above a given speed, the ECU cuts injection operation completely.

• When the engine falls below the threshold rpm,
or when the throttle is opened, fuel injection is resumed.

- เครดิต คุณ ป๋า ให้ลิ้งค์นี้ครับ

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 ม.ค. 52 00:19:52 ]







ความคิดเห็นที่ 24

ขอลบออก
ภาพใหญ่เกินไป
แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 00:28:09

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 ม.ค. 52 00:26:38 ]








ความคิดเห็นที่ 25

กราฟ Feul Cutoff




จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 ม.ค. 52 00:28:50 ]







ความคิดเห็นที่ 26

ถามคุณช่างกลอีกทีเพื่อจะสรุปนะครับ

การเกิดแรงบิดสูงๆในเกียร์ออโต้ เป็นเวลานานต่อเนื่อง ขึ้นเขา ลงเขาชันๆยาวๆ บวกกับ การไหลของน้ำมันไปกอง ข้างหน้า หรือ หลังห้องเกียร์ และ การระบายความร้อนน้อยลง เพราะความเร็วที่ช้า นั้นมีผลโอกาสทำให้น้ำมันเกียร์ร้อนจนเป็นเหตุให้พังได้มีมากแค่ไหนครับ


ปล.จากข้างบนอย่าเพิ่งเข้าใจว่าผมไม่ให้ใช้ EngineBrake นะครับ ผมพูดในแง่ของระวังการลากยาวๆต่อเนื่อง เท่านั้น เพราะผมเจอมากับตัวเอง +บวกกับเจอข้อมูลจากทางอื่นๆที่มันสอดคล้องกัน

จากคุณ : Poonoi - [ 26 ม.ค. 52 10:14:26 ]







ความคิดเห็นที่ 27

ถามคุณช่างกลอีกทีเพื่อจะสรุปนะครับ

การเกิดแรงบิดสูงๆในเกียร์ออโต้ เป็นเวลานานต่อเนื่อง ขึ้นเขา ลงเขาชันๆยาวๆ บวกกับ การไหลของน้ำมันไปกอง ข้างหน้า หรือ หลังห้องเกียร์ และ การระบายความร้อนน้อยลง เพราะความเร็วที่ช้า นั้นมีผลโอกาสทำให้น้ำมันเกียร์ร้อนจนเป็นเหตุให้พังได้มีมากแค่ไหนครับ

>>>>>>>>

คำถามนี้มีเงื่อนไขมากมายรวมกันมาหลายอย่าง !!
แต่ละอย่างมีโอกาสทำให้เกิดความร้อนได้

ถ้ายำกันอย่างนี้ ก็ทำให้เกิดภาพลวงว่า จะเกิด Heat มากมาย .... ใช่ไหมครับ ?

จะต้องแยกให้ชัดเจนเป็นเรื่องๆ
ดังนี้

1) การเกิด max-Torque หรือ ภาวะ max-ratio ของ Torque converter
ติดต่อกันนานๆ ทำให้เกิดความร้อนสะสมจนสูงขึ้น

สูง แค่ไหน ?
และ เป็นอันตรายหรือไม่ ?

2) ขึ้นเขา กับ ลงเขา อะไรที่จะร้อนมากกว่า
และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

3) ขึ้นเขา กับ ลงเขา ยาวๆ อะไรที่ร้อนกว่า ?
และยาวแค่ไหน ? มีอะไรเป็น indicator ว่าถึง limit

4) รถเอียงทำให้น้ำมันเกียร์ ไหลไปกองข้างหน้า หรือ ข้างหลัง
มีผลกับความร้อน .... หรือ ไม่
และเอียงได้เท่าไร ?

5) รถช้าลง Ram Air ย่อมน้อยลง อันนี้เป็น Fact ที่มองเห็นได้
แล้วมันมีผลกับความร้อนน้ำมันเกียร์อย่างไร ?

จากผลข้างต้น สรุปคำถาม

มีผลโอกาสทำให้น้ำมันเกียร์ร้อนจนเป็นเหตุให้พังได้มีมากแค่ไหนครับ ??

ผมยังไม่ตอบ เพียงส่งประเด็นสรุปมาให้คุณ Poonoi พิจารณาก่อน
บางทีคุณอาจจะได้คำตอบ ที่จะนำไปสู่ข้อสรุป ด้วยตัวเอง

แล้วลองเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ท่านได้รับจากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก
ว่าเขาแยกคำถาม แสดงเหตุผลเป็นข้อๆ อย่างนี้หรือไม่

ถ้าเขาแยกละเอียดอย่างนี้
เราก็จะมาเปรียบเทียบกันทีละข้อ อย่างนี้ดีไหมครับ ?

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 ม.ค. 52 19:08:11 ]







ความคิดเห็นที่ 28

เพราะผมเจอมากับตัวเอง +บวกกับเจอข้อมูลจากทางอื่นๆที่มันสอดคล้องกัน
>>>>>>>>>

1) สิ่งที่คุณ Poonoi เจอกับตัวเอง คือ "ได้กลิ่นน้ำมันโชยมา"
ลักษณะกลิ่นเหมือนเราเดินตลาดสด เมื่อเดินผ่านใกล้ๆ กระทะทอดกล้วยแขก หรือ ทอดปาท่องโก เรามักได้กลิ่นน้ำมันทอด ....

2) ข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น เขาบอกว่า วิ่งขึ้นเขา, ใช้โหลดสูง เช่น ลากรถพ่วง ติดต่อกันนานๆ น้ำมันเกียร์จะร้อน

ข้อมูลทั้ง 2 ข้อ สอดคล้องกันก็จริง
แต่เราควรจะพิจารณาว่า
ที่ว่า
ร้อนนั้น ร้อนได้เท่าไร ?
ร้อนถึงจุดไหนที่จะเป็นอันตราย ?
แก้ไขเมื่อ 26 ม.ค. 52 19:45:01

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 ม.ค. 52 19:43:04 ]








ความคิดเห็นที่ 29

อยากให้คุณ Poonoi ช่วยตรวจดูว่า

ผมแยกคำถามครอบคลุมคำถามของท่านทั้งหมด หรือยัง ?
หากมีอะไรขาดตกบกพร่อง
ช่วยเพิ่มเติมให้ครบ แล้วจะได้ช่วยกันพิจารณาต่อไปครับ

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 26 ม.ค. 52 19:49:35 ]







ความคิดเห็นที่ 30

ผมลองค้นข้อมูลเรื่องน้ำมันเกียร์ออโต้ร้อน
เจอแต่เขาพูดเรื่อง up-hill and towing load

อาทิ
uphill in low gear and burning smell
บางคนได้กลิ่น rubber burning smell

ไม่เจอ down-hill engine brake and burning smell

ข้อมูลพวกนี้จะนำไปสู่คำตอบ คห. 27
ข้อ 2) ขึ้นเขา กับ ลงเขา อะไรที่จะร้อนมากกว่า

ตอบ: ขาขึ้นจะร้อนกว่า

มีคำถามอีกว่า
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ตอบ: ขึ้นเขา Heat มาจาก 2 แหล่ง

1) Heat rejected จากเครื่องยนต์ ซึ่งออกแรงมากก็ร้อนมาก
2) Heat จากน้ำมันเกียร์ เมื่อ torque converter ทำงานหนัก
น้ำมันเกียร์ที่ร้อนๆส่งมาระบายที่หม้อน้ำ
ซึ่งมี T-1 สูงกว่าปกติ ก็จะระบายได้น้อยกว่า

===> ความร้อนขาขึ้นจึงสูงกว่า

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ม.ค. 52 21:24:12 ]







ความคิดเห็นที่ 31

1) การเกิด max-Torque หรือ ภาวะ max-ratio ของ Torque converter
ติดต่อกันนานๆ ทำให้เกิดความร้อนสะสมจนสูงขึ้น

สูง แค่ไหน ?
และ เป็นอันตรายหรือไม่ ?
>>>>>>>>>>>

คำถามข้อนี้ .. ถามให้ถึงที่สุดไปถึง upper limit

ภาวะ Max-Torque หรือ Max-ratio ของ Torque converter
ทำให้น้ำมันเกียร์เกิดความร้อนได้สูงสุด ===> จริง

แต่ ..... ไม่มีอันตราย

เหตุที่ไม่เป็นอันตราย เพราะ max-ratio ของ Torque converter
จะเกิดขึ้นได้เมื่อ output-shaft = หยุดหมุน

ที่จุดนี้
ความเร็วรอบ input กับ output จะเป็นอย่างนี้
-- input-shaft จะมี rpm = stall-speed
-- output-shaft จะมี rpm = 0

===> รถหยุดวิ่งค้างอยู่เฉยๆ วิ่งขึ้นไม่ได้

จะได้คำตอบ จุด upper limit
ความร้อนน้ำมันเกียร์จะขึ้นสูงสุดเมื่อถึง stall speed

ในทางปฏิบัติเราๆไม่เคยขับถึงจุดนี้

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ม.ค. 52 21:49:50 ]







ความคิดเห็นที่ 32

3) ขึ้นเขา กับ ลงเขา ยาวๆ อะไรที่ร้อนกว่า ?
และยาวแค่ไหน ? มีอะไรเป็น indicator ว่าถึง limit
>>>>>>>>>>

ขึ้น หรือ ลงยาวๆ อะไรร้อนกว่า ได้คำตอบแล้ว
และ upper limit อยู่ที่ stall คือ ขึ้นไปจนหยุดคาเนิน จอดตายคาเนิน นั่นแหละ

ในทางปฏิบัติ เรารู้ว่า ATF ควรจะทนได้สูงถึง 150 C
ผมดูจาก test method ของ API เขาทดสอบ HT high temperature ของน้ำมันเครื่องที่อุณหภูมิสูง 150 องศา C
แต่ผมไม่รู้ว่า ATF เขาทดสอบที่จุดไหน เพราะ test method ASTM บางอย่าง เขาไม่รวมถึง ATF เช่น ทดสอบการเกิดฟอง
เพิ่งจะเริ่มปี 2008 ที่การทดสอบนี้รวมถึง ATF ด้วย
(ดู paper API 2008-9)

แต่เรารู้ว่า property ของ ATF ดีกว่าน้ำมันเครื่อง ผมอนุโลมให้ ATF ทน HT ได้เท่ากัน คือ 150 C

ตัวที่จะเป็น indicator บอกได้ดีคือ
"เข็มความร้อนน้ำ" จุดเดือดของน้ำในหม้อน้ำรถอยู่ที่ 130C (เมื่อเติมน้ำยาหม้อน้ำถูกต้อง)
ตามปกติอุณหภูมิน้ำมันเครื่องจะสูงกว่าหม้อน้ำอยู่ 10 องศา

เมื่อหม้อน้ำเดือด ความร้อนน้ำมันเกียร์จะอยู่ที่ 140C ... หม้อน้ำเดือดเป็นจุดบังคับให้เราหยุดพัก ครับ

เมื่อขับขึ้นเขานานๆ เกจ์ความร้อนหม้อน้ำอาจขึ้นแตะระดับ 120 C
แสดงว่า น้ำมันเกียร์อยู่ที่ 130 C

ทีนี้ มาดูส่วนประกอบของน้ำมันเกียร์ ATF
น้ำมันเกียร์ประกอบด้วย CH หลายกลุ่ม CH กลุ่ม Aromatic ชื่อของมันบอกว่ามี Odor กลิ่นน้ำมันมาจาก CH กลุ่มนี้
ตั้งแต่อุณหภูมิ 90-100C เราจะเริ่มได้กลิ่นน้ำมันโชยมาแตะจมูก
ทดลองเอาไปทอดในกระทะแบนๆ ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟสักพัก จะเริ่มมีควันจางๆ และเราได้กลิ่นน้ำมัน แต่น้ำมันยังไม่ไหม้ จนกระทั่งร้อนจัดน้ำมันหมดสภาพ จะทิ้งรอยไหม้เป็นคราบติดกระทะ รอยไหม้นี้เกิดจาก oxidation

ถ้าเราเคยดูเขายกเครื่อง ถอดชิ้นส่วนออกมา เราจะเห็นคราบรอยไหม้ในเครื่องยนต์ แต่ถ้าเราถอดเกียร์ออโต้ออกมาดู โดยเฉพาะ Torque converter (ถ้าถอดได้แบบรถใหญ่) เราจะเห็นชิ้นส่วนภายในเกียร์ออโต้ ใหม่เอี่ยม สภาพดีเหมือนใหม่ ไม่เห็นร่องรอยไหม้ภายในห้องเกียร์
ที่ทำงานผมเป็นโรงซ่อมเกียร์ออโต้ ผมเห็นพวกนี้ทุกเช้า จนจำได้ดี
เหล่านี้น่าจะพอเป็นเครื่องยืนยันได้ .. การใช้ engine brake ขับลงเขา
ต่อเนื่องนานๆ ไม่ควรจะทำให้น้ำมันเกียร์ร้อนจัดจนทำให้เกียร์พังครับ

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ม.ค. 52 22:44:06 ]







ความคิดเห็นที่ 33

แต่ในทางกลับกัน ถ้าขับขึ้นเขาและลากรถเพิ่มโหลดหนักๆ น้ำมันเกียร์อาจร้อนจัดจนเป็นอย่างนี้ ครับ









จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 27 ม.ค. 52 22:48:52 ]







ความคิดเห็นที่ 34

^
^

ในกรณีที่ใช้งานหนักๆ มี extra load หนักๆ น้ำมันเกียร์จะร้อนจัด
จำเป็นต้องใช้ Oil cooler เพิ่ม

แต่การเพิ่ม Transmission Oil cooler จะต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้เย็นเกินไป

น้ำมันเกียร์จะทำงานได้ดีที่ optimum temperature

ถ้าติด Oil Cooler ใหญ่เกินไป น้ำมันเกียร์เย็นเกิน

จะเห็นได้ว่า cooler น้ำมันเกียร์ที่ฝังในหม้อน้ำ โรงงานเขาออกแบบให้เป็นท่อขนาดเล็กฝังในหม้อน้ำ ด้วยเหตุผล

1) ต้องการ keep temperature ให้อยู่ในระดับ optimum เพื่อจะทำงานได้ดี

2) Operation temperature ของน้ำมันเกียร์
ตอนที่ design เขาคิดที่ 80 องศา C
ซึ่งเป็นความร้อนระดับเดียวกับ
operation temperature ของเครื่องยนต์

การออกแบบให้ Oil cooler ฝังในหม้อน้ำ
มีข้อดี
ที่เราจะดูจาก เกจ์ความร้อนน้ำ เป็น indicator ว่า
ที่เรากำลังขับรถขึ้นเขาชันๆ ระยะทางยาวต่อเนื่อง นั้น
น้ำมันเกียร์ร้อนเกินไปหรือไม่ .... โดยที่
จุดเดือดของหม้อน้ำจะเป็นตัวกำหนดโดยอัตโนมัติ
และจากการเฝ้าดูเกจ์ความร้อนน้ำของคนขับ ใช้ประกอบกัน 2 อย่าง
...ทำให้คนขับมีข้อมูลการขับเกียร์ออโต้ ขึ้น/ลงเขา
เพิ่มความมั่นใจว่า
ขณะนั้น..
ความร้อนน้ำมันเกียร์ ใกล้จะถึงจุดอันตรายหรือยัง ?

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 28 ม.ค. 52 09:59:13 ]







ความคิดเห็นที่ 35

ผมเอารูป คห 33 มาให้ดู "สุดโต่ง" น้ำมันเกียร์ร้อนแบบนี้
ถ้าใครได้เห็นอย่างนี้ อย่าเพิ่งตกใจ
เราควรจะรู้ว่า upper limit ของน้ำมันเกียร์ เราจะดูได้จากอะไรบ้าง

อาทิ อุปกรณ์พื้นๆ

1) เกจ์ความร้อนน้ำ อุปกรณ์ตัวนี้ติดรถแทบทุกคัน มันมีประโยชน์มาก
เมื่อไรที่น้ำมันเกียร์ Temperature ร้อน"เข้าใกล้ขีดจำกัด"
เกจ์ความร้อนน้ำมันจะฟ้องเราก่อน ครับ

2) upper limit Temperature ของ Transmission Oil มันอยู่ที่เท่าไร ?

ถ้าเรามีข้อมูลแค่สองตัวนี้อยู่ในมือ
มันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจการขับขี่รถออโต้ของเรา

เมื่อเราขับรถขึ้น- หรือ ลง-เขา เกิดได้กลิ่นแปลกปลอม หรือ กลิ่นไหม้
เราจะได้ไม่ตื่นตกใจ


แก้ไขเมื่อ 06 ก.พ. 52 10:44:07

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 6 ก.พ. 52 10:40:09 ]








ความคิดเห็นที่ 36

รายละเอียดเพิ่มเติม ดูที่นี่ ครับ

1) Specification Transmission Oil

//www.digi-panel.com/digidevicesweb/specifications.htm

2) Temperature Transmission Oil

//www.digi-panel.com/digidevicesweb/trannyoil.htm

จากคุณ : ช่างกล-หนุ่ม - [ 6 ก.พ. 52 10:46:38 ]





go Top ....
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=mm7&month=19-02-2009&group=3&gblog=2




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2552    
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2552 13:07:43 น.
Counter : 533 Pageviews.  


ช่างกล-หนุ่ม
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ช่างกล-หนุ่ม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.