Group Blog
 
All blogs
 

ใต้เงาพยัคฆ์ บทที่ 1

ใต้เงาพยัคฆ์ บทที่ 1

อากาศเย็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ในอเมริกาไม่ได้ย่างกรายเข้ามาในสตูดิโอแต่งหน้าโชคดีที่เธอเลือกอาชีพถูก ไม่ต้องออกไปตากลมปั้นหน้าพูดตามบทบาทเหมือนดาราหน้ากล้องด้านนอกแต่ได้ใช้ความสามารถและฝีมือแต่งแต้มรังสรรค์สิ่งที่ชื่นชอบ

มาลิกาเกลี่ยสีแดงอมสีม่วงช้ำเลือดช้ำหนองบนผิวเนื้อเทียมที่สร้างขึ้นบนใบหน้าของชายที่หลับตานิ่งแล้วยิ้มน้อยๆ

อืม...ไอ้หน้าศพที่เหวอะเละจนจำไม่ได้เพราะถูกค้อนทุบจนยับเนื้อบี้กระดูกโผล่เนี่ยนะเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบ

ใช่อย่างน้อยเธอก็สนุกกับมัน บางครั้งถึงกับขนลุกด้วยความสยดสยองที่เธอแต้มแต่งด้วย

หญิงสาวเก็บตกรายละเอียดสุดท้ายแล้ววางแปรงลงบนโต๊ะ

“เรียบร้อยแล้ว”

ดาราสมทบผู้แสดงเป็นเหยื่อฆาตกรรมในภาพยนตร์ชุดเกี่ยวกับการสืบสวนชื่อดังของฮอลลีวูดมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งแรกแล้วสะดุ้งนิดๆ

“โอ้ ให้ตายสิมาร์นี่มันน่าขนลุกมาก ฝีมือคุณเยี่ยมยอดเกินไปแล้วหน้าผมอย่างกับโดนรถบรรทุกที่ไหนเหยียบมาอย่างงั้นแน่ะ”เขาพลิกดูซ้ายขวาก็ยิ่งทึ่งดวงตาเป็นประกายชื่นชมผลงานแต่งหน้าสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่มืออาชีพสาวใช้เวลาในการแต่งถึงสามชั่วโมง

“ไม่ใช่โดนรถบรรทุกเหยียบ คุณโดนฆาตกรเอาค้อนทุบจนเยินเพราะไม่ต้องการให้ใครจำคุณได้ต่างหาก”นี่ยังไม่นับบาดแผลภายนอกและการกลบเกลื่อนของฆาตกรอย่างเป็นต้นว่าลอกหนังฝ่ามือเพื่อลบลายนิ้วมือหรือถลกหนังที่แผ่นหลังเพราะไม่อยากให้ตำรวจสืบตัวตนของศพจากรอยสักผืนใหญ่

“นั่นแหละเหมือนกัน เละเสียจนผมจำตัวเองไม่ได้” เขายังคงมองกระจกเงาด้วยหนังตาที่ปูดย้อยลงมาตามประวัติการถูกชำเราของศพ

“ใครมาเห็นก็จำไม่ได้หรอก”หญิงสาวหัวเราะเธอเองที่เป็นคนแต่งหน้ายังเห็นความเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังชัดเจนเลย

“ขอบคุณมากมาร์ไม่เสียแรงที่นั่งหลังขดหลังแข็งให้คุณปะโน่นระบายนี่เสียหลายชั่วโมง” ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะเดินไปรอเข้าฉากที่กำลังจะถ่าย

มาลิกามองภาพประจำวัน...ชิ้นงานสำเร็จของเธออวดรูปร่างหน้าตาใหม่ให้คนที่อยู่ใกล้ๆดู เธอได้ยินเสียงอุทานและคำชมลอยมาตามลมความสุขใจที่เห็นงานตัวเองออกมาดีเติมเต็มในหัวใจ

เธอกำลังจะลุกไปหากาแฟเข้มๆร้อนๆ สักแก้วดื่มเมื่อเงาดำขยับเลื่อนมาตรงหน้า...เงาสองเงาเสียด้วย...

มาลิกาเงยหน้าขึ้นเตรียมจะทักทายผู้มาใหม่หากได้แต่อ้าปากค้างน้อยๆ หน้านิ่วครุ่นคิด เพราะคนตรงหน้าดูไม่คุ้นเสียทีเดียว...ไม่สิคนนึงไม่คุ้น แต่อีกคนเป็นคนที่เธอรู้จักห่างๆ เป็นอย่างดี

ปู่ของเธอ

โทดะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลยามากูชิชายเชื้อชาติญี่ปุ่นที่มาตั้งรกรากในเมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน หยั่งรากฐานธุรกิจมั่นคงด้วยการให้ลูกชายคนเดียวแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนสนิทที่มีกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับต้นๆในเมืองไทย เสียแต่ว่าสาวคนนั้นไม่ใช่แม่ของเธอ

เขามาทำอะไรที่นี่ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยปรากฎไม่เคยแม้แต่จะติดต่อมา เขาต้องการอะไรจากเธอ

มาลิกาลุกขึ้นยืนและเกร็งรออีกฝ่ายเผยความต้องการด้วยความระมัดระวัง

“มาริ”

เสียงแหบพร่าเรียกชื่อจริง...ชื่อที่เธอไม่เคยต้องการเปล่งมาจากปากของชายแก่ผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะ ไว้หนวดเคราติดเป็นพรืดแต่ขลิบเล็มเป็นอย่างดีเข้ากับชุดสูทสีครีมแบบสามชิ้น แม้ร่างกายจะผอมบางและดูเล็กแกร็นทว่าท่วงท่าที่เขาแสดงออกบ่งบอกว่าชายคนนี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาหากแผ่รังสีแห่งอำนาจชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกเกรงขาม

ยามากูชิ มาริหรือตามชื่อไทยที่แม่ตั้งให้ว่ามาลิกา หรือที่เพื่อนอเมริกันรวมทั้งเพื่อนเรียกสั้นๆว่ามาร์ มองชายแก่ที่เธอเคยเห็นแต่ในรูปภาพก่อนจะเบนสายตา...มองชายอีกคนด้วยหางตา

ผู้ชายที่อยู่ข้างกายเป็นเหมือนด้านตรงข้ามของโทดะอายุของเขาน่าจะเพียงครึ่งเดียวของชายแก่ผู้ทรงภูมิ เขาแต่งกายด้วยสูทสีดำเสื้อตัวในก็เป็นสีดำดุจเดียวกันผิวเขาขาวจัดจนเห็นเคราเขียวที่เหนือริมฝีปากและปลายคางเขาคงจะดูดีกว่านี้มากถ้าเขาไม่ทำหน้าบึ้งตึงพร้อมจะกัดคนที่ย่างกรายอาณาบริเวณของเขาได้ทุกเมื่อ

“คุณต้องการอะไร”มาลิกาถามตรงประเด็น เธอจะไม่ยอมเสียเวลามีค่าของเธอกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของยามากูชิเด็ดขาด

ผู้เฒ่าโทดะหัวเราะหึๆมุมปากเหี่ยวย่นเพราะกาลเวลายกขึ้นน้อยๆแม้จะไม่เคยได้พบตัวหลานสาวนอกสมรสตัวเป็นๆ แต่มาริก็เป็นยามากูชิทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ถอดแบบเขา...และหลานชายคนโต

หน้าเหมือนเจ้าอากิระไม่มีผิด...อ้อเสียแต่ว่าดันเป็นผู้หญิงเท่านั้นล่ะ

โทดะมองร่างสูงเพรียวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์คิ้วหนาตรงถูกขลิบเล็มเรียบร้อยรับกับดวงตาสีดำกลมโตเป็นประกายเหมือนเพชรดำที่หายากหางตาชี้ขึ้นนิดๆ ดูฉลาดเฉลียว ผมดำหนายาวถึงกลางหลังที่เจ้าตัวรวบไว้ลวกๆอย่างไม่ใส่ใจ จมูกเล็กตรง ริมฝีปากบางเม้มแน่น...ท่าทางไม่พอใจเขาอย่างเห็นได้ชัดคางผ่าตรงกลางเหมือนคางผู้ชาย ซึ่งควรจะทำให้หน้าสวยหวานดูแกร่งกร้าว หากกลับเสริมให้เจ้าตัวดูอ่อนหวานมากกว่าเดิมแล้วไหนจะยังท่าทางไม่กลัวเกรงยืนค้ำหัวเขาอย่างข่มขวัญนั่นอีกขนาดเขามีทาเคตะตัวใหญ่หน้ายักษ์ยืนอยู่ด้วย เขามิต้องกลัวเจ้าหลานบังเกิดเกล้าคนนี้เรอะคิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังยังมาซึ่งใบหน้าที่ยิ่งเรียบเฉยเย็นชาเหมือนน้ำแข็งของหญิงสาว

“ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ฉันขอตัวก่อนมีงานต้องทำอีกเยอะ” เธอเบื่อจะรอ...เบื่อให้เขามองเธอเหมือนสัตว์อนุรักษ์หายากสองขาก้าวเดินออกไป หากนายตัวโตเข้ามาขวางไว้

“อย่าเสียมารยาทกับคุณท่าน”เสียงห้าวลึกดังเป็นภาษาไทยชัดเจนเช่นเดียวกับสีหน้าคุกคามของทาเคตะ

มาลิกาเหลือบตามอง...ประสานตากับอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจคล้ายจะบอกว่าช่างมัน ฉันไม่แคร์

หญิงสาวเลี่ยงไปอีกทางแต่ทาเคตะขยับตาม

“คุณยังไปไม่ได้คุณท่านยังไม่เสร็จธุระกับคุณ”

มาลิกาข่มใจด้วยความอดทน“งั้นก็รีบพูดธุระของคุณมาสิ ฉันมีเวลาไม่มากหรอกนะ”

“อย่าใจร้อนมาริหลานจะต้องมีเวลาให้พวกเรา...ยามากูชิอีกนาน”

“ฉันไม่เคยมีเวลาให้พวกยามากูชิไม่คิดจะมี” หญิงสาวยืนยันเสียงกร้าว ตระกูลยามากูชิเคยให้อะไรกับเธอบ้างนอกจากชีวิตใหม่ในอเมริกา

“ผิดล่ะกฏเปลี่ยนไปแล้วหลานรัก”

น้ำเสียงและคำทิ้งท้ายของโทดะทำให้เธอเสียวสันหลังวาบ

หลานรักงั้นรึน่าหัวร่อจริงๆ เธอไม่เคยเป็นหลานรักของเขา

หากมาลิกาหัวเราะไม่ออกเมื่อผู้เฒ่าพูดต่อไป

“ฉันต้องการให้เธอกลับประเทศไทย”

‘ไม่ค่ะฉันไม่เคยคิดจะไปเหยียบประเทศไทย’

มาลิกาปฏิเสธข้อเรียกร้องที่ไม่เคยต้องการโดยไม่ไตร่ตรองเธอไม่ถามด้วยซ้ำว่าทำไมจู่ๆ ตระกูลยามากูชิถึงต้องการให้เธอกลับประเทศที่เธอจากมาตั้งแต่ยังไม่ออกจากท้องแม่เธอไม่อยากรู้ ไม่ต้องการเกี่ยวข้อง การมาของโทดะรบกวนจิตใจของเธอจนแทบไม่เป็นอันทำงานโชคยังดีที่วันนี้เลิกกองแต่หัววัน ไม่งั้นเธอคงไม่มีสมาธิทำงานให้ออกมาดี...เสียประวัติการทำงานแย่นี่ไม่รู้ว่าแม่รู้เรื่องโทดะหรือยัง เธอไม่อยากโทร.ไปถามเกรงจะทำให้ตัวเองยิ่งหงุดหงิด แต่กลับบ้านคงจะได้คุยกับแม่ยาว

หญิงสาวยืนอยู่หน้าทางเข้าสตูดิโอคนเดียวนอกจากกระเป๋าสะพายใบใหญ่ เธอทิ้งกล่องเครื่องสำอางแบบล้อลากไว้ที่ล็อกเกอร์ในสตูดิโอเนื่องจากพอไม่มีรถแล้วขนไปๆมาๆ ลำบาก เธอกอดอกและห่อตัวเมื่อลมพัดผ่านใจนึกก่นด่าคนที่ทำให้เธอต้องมายืนตากลมหนาว เธอมองไปรอบๆ นอกจากรถยนต์ที่วิ่งผ่านประตูหน้าโรงถ่ายภาพยนตร์ยังมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา หากไร้เงาของโทดะและผู้ติดตามแต่เธอไม่เชื่อว่าเขาจะยอมละความตั้งใจง่ายๆ เขายังไม่ได้บอกเหตุผลที่ต้องการให้เธอกลับประเทศไทยและเธอเชื่อว่าคนอย่างเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอเพียงแต่ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งแรกที่ยามากูชิได้รู้จักคำว่า ‘ไม่’

“มาร์”

มาลิกาหันไปตามเสียงทักลอเรน สาวผมทองวัยสามสิบสี่ผู้ร่วมอาชีพเดียวกับเธอเปิดหน้าต่างและชะโงกหน้าออกมาจากรถเก๋งคันเก่ง

“ยังไม่กลับอีกเหรอมายืนอะไรตรงนี้คนเดียว”

“รอเพื่อนอยู่น่ะ”

ลอเรนร้องอ๋อแล้วยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย“แพตล่ะสิ”

“อื้อ”

“โอเค เธอมีเทพบุตรมารอรับแล้วฉันจะได้ไม่ต้องห่วง ฉันไปก่อนล่ะ ฝากหวัดดีแพตด้วย”

มาลิกาโบกมือตอบ คร้านจะแก้ต่างว่าเทพบุตรแพตเป็นเพียงเพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นเพราะเคยบอกเพื่อนไปหลายครั้งแล้วแต่เพื่อนกลับไม่เชื่อการนิ่งเงียบเลยดูจะเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุด...แม้มันจะดูสิ้นคิดไปหน่อยก็เถอะ

ดวงตาสีดำทอดมองออกไปรถวิ่งผ่านไปมา บางคันก็จอดรอเสียนาน...กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเธอก้มมองนาฬิกาข้อมือ เลยเวลานัดมาสิบห้านาทีแล้ว ทำไมยังไม่มาเสียทีหนาวจะตายอยู่แล้วเนี่ย

หากบ่นไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์มือถือก็เรียกความสนใจของหญิงสาวได้เธอส่ายหน้านิดๆ เมื่อเห็นชื่อผู้โทร. เธอกดรับสายและทักทายด้วยน้ำเสียงอดทน

“อีกนานไหมปัตถ์”

ปัตถ์หรือที่เพื่อนฝรั่งมักเรียกคล่องปากว่า ‘แพต’เขาเป็นเพื่อนของเธอ รู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นลูกชายคนเดียวของชบาเพื่อนสนิทของมาลินมารดาเธอ บ้านของพวกเขาอยู่ติดกัน เรียกว่าเธอรู้จักเขามาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียวเขาทำงานเป็นสไตลิสต์ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง และเพราะที่ทำงานของเขาอยู่ใกล้กับเธอเขาจึงแวะมารับเธอกลับบ้านเนื่องจากรถของเธอเสียเมื่อหลายวันก่อนและยังซ่อมแซมไม่เสร็จเธอไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเขาเลย

“ใกล้จะถึงแล้ว ไม่เกินห้านาทีพอดีแม่ฝากซื้ออาหารจีน ที่ร้านคนเยอะเลยรอนานไปหน่อย ขอโทษที”

“ไม่เป็นไรเข้าใจแล้วละ รออยู่ข้างหน้าที่เดิมนะ แล้วเจอกัน”

มาลิกาวางสายเธอรอไม่นานเกินห้านาทีอย่างที่เขาบอก มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูสีดำคันใหญ่ก็จอดเทียบข้างเธอคนขับดันหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้น เปิดเผยดวงตาสีดำล้ำลึก ผมสีดำยาวระบ่าที่ถูกกัดและย้อมเป็นสีทองซุกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกสีเข้ม

“ขอโทษที่ทำให้รอนาน”เขาส่งหมวกกันน็อกอีกใบให้เธอ

หญิงสาวสั่นหน้า“ไม่เป็นไร เหตุสุดวิสัยนี่” เธอสวมหมวกแล้วขึ้นคร่อมซ้อนท้ายและไม่ลืมที่จะเกาะเอวเขาแน่นมอเตอร์ไซค์เคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว ผ่านหน้ารถยนต์อเมริกันสีเงินซึ่งขับตามพวกเขาไปไม่ห่าง

มาลิกาไม่รู้ว่ามีคนขับรถตามแต่เธอนิ่วหน้าเมื่อปัตถ์เลี้ยวรถออกนอกเส้นทางแถมยังขับวนไปวนมาอย่างน่าสงสัย

“เราไม่ได้จะกลับบ้านหรอกหรือ”เธอตะโกนถามเสียงอู้อี้ลอดออกจากหมวกกันน็อกผสมกับเสียงรถวิ่งบนถนนแล้วฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง

หากปัตถ์พอจะเดาได้ว่าเธอกำลังพูดอะไรเขาเริ่มรู้สึกตัวมาสักพักแล้วว่ารถเก๋งสีเงินติดฟิล์มดำด้านหลังขับตามพวกเขา และยิ่งแน่ใจว่าสังหรณ์ของเขาเป็นจริงเมื่อเขาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามซอกซอยที่เขาหลบเข้ามาโดยมีรถคันนั้นตามมาไม่ห่าง

“มีคนตามเรามา”ชายหนุ่มบอกเสียงดังพลางชี้นิ้วให้เธอมองกระจกด้านข้างเผื่อว่าเธอจะฟังไม่ออก

มาลิกามองตามเธอสังเกตเห็นสีเงินเบี่ยงหลบไปด้านหลังแวบๆและเธอเริ่มจะเข้าใจที่ปัตถ์พยายามสื่อ

ใครตามพวกเขากัน

หญิงสาวคอยมองกระจกอย่างระแวดระวังทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว ถอยร่นไปด้านหลัง ก่อนจะหายวับไปจากคลองจักษุ มาลิกาเอี้ยวตัวไปดูรถคันนั้นหายไปแล้วจริงๆ

พวกเขาต้องการอะไร

ปัตถ์ขับรถพาเธออ้อมโลกกว่าจะถึงบ้านของพวกเขาก็ช้ากว่ากำหนดไปมากกว่าครึ่งชั่วโมง หากทันทีที่จอดมอเตอร์ไซค์และลงมายืนบนพื้นเรียบร้อยมาลิกาก็มองเห็นรถยนต์สีเงินคันเดิมเคลื่อนออกจากซอยมาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านของเธอเธอเกร็งตัวรอรับสถานการณ์ คนสองคนลงจากรถ ทั้งคู่เป็นคนที่เธอจำได้เป็นอย่างดี

ยามากูชิ โทดะและบอดีการ์ดของเขา

เธอหนีเขาไม่พ้น!

“บ้าชิบ พวกมันตามมาได้ยังไง”ปัตถ์สบถลั่น เขารอดูทีท่าของทั้งสองซึ่งกำลังเดินตรงมาทางพวกเขา

“นี่พวกมันต้องการอะไร”

มาลิกาถอนหายใจ

“ฉัน” เธอตอบ

“อะไรนะ”ปัตถ์คิดว่าตัวเองหูเฝื่อน

“เขาต้องการฉัน”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรมาร์”ชายหนุ่มร้อง เขามองเธอทีและคนแปลกหน้าทีอย่างไม่เข้าใจ
“ยามากูชิ”

คำตอบของมาลิกาสร้างความตื่นตะลึงแก่ปัตถ์เขารู้จักตระกูลยามากูชิ ไดกะพ่อของเขาทำงานให้พวกยามากูชิ เป็นคนสนิทของฮายาโตะพ่อของมาลิกาแต่สุดท้ายแม่บอกว่าพวกเขาไปด้วยกันไม่ได้ แม่เลยพาเขาย้ายมาอยู่อเมริกาพร้อมกับมาลินแม่ของมาลิกา แล้วพวกเขาก็อยู่กับสองครอบครัวดุจพี่ดุจน้องมากว่ายี่สิบแปดปี

“พวกเขานั่นละยามากูชิ” เธอพยักพเยิดไปยังทั้งสอง

“พวกเขาต้องการเธอไปทำอะไร”

“เห็นว่าอยากให้กลับประเทศไทย”

“เพื่ออะไร”ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“ไม่รู้สิ”หญิงสาวยักไหล่ “ไม่สนใจเลยไม่ได้ถาม”

ปัตถ์ยืนตัวเกร็งอยู่ข้างๆไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองคนฝ่ายบิดาที่เขาไม่เคยเจอหน้าอย่างไรดี มาลิการอจนพวกเขาเดินมาหาเธอแล้วเอ่ย

“กลับไปซะเถอะเสียเวลาเปล่า ประเทศไทยไม่เคยอยู่ในแผนการชีวิตของฉัน”

“ฉันมาหาแม่ของเธอมาริ” โทดะตอบแล้วเดินผ่านหลานสาวไปทาเคตะเป็นคนกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านอย่างรู้ใจ

“แม่ไม่มีวันต้อนรับคุณ”หญิงสาวเดินตามเขา...พยายามจะขัดขวาง แต่นายยักษ์ทาเคตะขยับมายืนกั้นใช้ร่างที่สูงกว่าข่มเธอ มาลิกาหงุดหงิดที่ต้องแหงนมองเขาทั้งที่เธอก็จัดว่าเป็นผู้หญิงสูงมาก ทว่าก็ยังเตี้ยกว่าทาเคตะหลายเซนติเมตร

“เดี๋ยวก็รู้ มาริอย่าเพิ่งคาดเดาไป หลานยังไม่รู้อะไรอีกหลายอย่าง” ดวงตาสีดำคมปลาบตวัดมามองเธอ มาลิกาถึงกับหนาววูบๆวาบๆ ไปถึงสันหลัง

มาลินเปิดประตูออกหากดวงตาสีน้ำตาลคู่งามถึงกับเบิกกว้างอย่างลืมตัวเมื่อเห็นว่าแขกคนดังกล่าวเป็นใคร

“คุณท่าน”เธอกระซิบ ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเขาอีกครั้ง

“แม่คะ” มาลิกาขยับเข้าไปยืนประกบมารดาหมายปกป้องจากใครก็ตามที่เคยทำร้ายแม่ในอดีต

“มารี”มาลินพูดไม่ออกเมื่อเห็นลูกสาว...พร้อมหน้ากับประมุขตระกูลยามากูชิ

“ลูก...ลูกเจอคุณปู่แล้ว”

“ลินเราเข้าไปคุยข้างในกันเถอะ” ก่อนจะหันไปทางปัตถ์ที่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก

“ปัตถ์ ไปตามชบามาที่นี่ด้วย”เขาสั่งนิ่มๆ “บอกไปว่ายามากูชิ โทดะมาหา”

“เอ่อ...” ปัตถ์อึกอักเพราะยังไม่แน่ใจว่าแม่ของเขามาเกี่ยวอะไรด้วยนอกจากนี้ยังงุนงงที่อีกฝ่ายทราบชื่อคนไม่สำคัญอย่างเขา

“ทำตามที่คุณท่านสั่งเสียสิคำสั่งแค่นี้ไม่น่าจะยากเกินไปนะ” ทาเคตะเหน็บ

ปัตถ์สบตามาลินและเพื่อนสาวมาลิกาขึงตาใส่ห้ามๆ หากมาลินพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงอนุญาต เขาลังเลเพียงแวบเดียวก่อนจะตัดสินใจเลือกคำสั่งของผู้อาวุโสจึงรีบผลุนผลันกลับบ้านเพราะไม่อยากปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันนานเกินไป

ให้ตายสิถึงขนาดตามตัวแม่เขาด้วย นี่คงจะเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้วละ มาร์เอ๋ยเธอแย่แน่คราวนี้





10 ต.ค. 56

สวัสดีค่ะ

มิถุนาหายหน้าไปนานมาก...น่าจะปีกว่าแล้วยังจำกันได้ไหม หวังว่าจะยังพอจำกันได้นะคะ ที่หายไปก็ไม่ใช่อะไรค่ะ พอดีเปลี่ยนงานใหม่เลยออกจะยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลามากเท่าเมื่อก่อนแต่ก็ยังคิดถึงความรู้สึกตอนแปะนิยายและทักทายผู้อ่านเลยแวะมาแปะนิยายเรื่องใหม่ก่อนจะหมดปีนี้เสียก่อน หวังว่าผู้อ่านจะเป็นกำลังช่วยผลักดันให้มิถุนาขยันๆมากกว่านี้

เรื่องนี้แต่งขึ้นด้วยความรู้สึกหลายอย่างค่ะโดยเริ่มต้นมาจากอาชีพของมาร์หรือมาริที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรียลิตี้โชว์ชื่อ Face Off เกี่ยวกับนักแต่งหน้ากองหนังกองภาพยนตร์และความชอบส่วนตัวที่อยากแต่งนิยายที่มีตัวละครเยอะๆ ซับซ้อนอีกครั้ง(ถ้ายังจำกันได้ในรัตติลวง ซึ่งก็จะเป็นแนวๆ นั้นเลยแต่เรื่องนี้จะกุ๊กกิ๊กกว่าค่ะ) แค่เริ่มต้นก็มีพรรคพวกเพียบแล้ว รอติดตามกันต่อนะคะว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงมายังไงและมีอะไรใครขบคิดกัน ผังตัวละครจะตามมาในไม่ช้าค่ะ

ฝากนิยายเหมือนเคยค่ะ

มิถุนา

บล็อกรวมนิยาย (และเรื่องจิปาถะ) //mithuna.bloggang.com

มิถุนา Bloggang

แฟนเพจน้อยๆ https://www.facebook.com/MithunaNiyay

มิถุนา Facebook

อ่านนิยายตัวโตๆ สะใจได้ที่ //my.dek-d.com/Mithuna/control/writer.php

มิถุนา Dek-d


ผังตัวละคร





 

Create Date : 10 ตุลาคม 2556    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2557 23:59:58 น.
Counter : 1390 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

มิถุนายน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]





บล็อกนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมนิยายของมิถุนาให้เป็นหลักแหล่ง และต่อมาได้เพิ่มความชอบเกี่ยวกับเครื่องสำอาง การท่องเกี่ยว การกิน และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ค่ะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะคะ

มิถุนา (busaba401แอตhotmail.com)

แวะทักทาย/ฝากคำถามได้ที่ cbox นะคะ แล้วจะมาตอบให้ทุกคนค่า








Fanpage นิยายของมิถุนา
(เฉพาะนิยายนะคะ ไม่ได้อัพเรื่องเครื่องสำอางค่ะ)
มิถุนา Mithuna นิยาย

โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ



E-book ของมิถุนา
คืนปรารถนา
มิถุนายน
www.mebmarket.com
ทั้งหมดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด...อชิระคิดว่ามิลินท์หักหลังเขา เขาจึงใช้ความรักที่เธอมีให้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น มิลินท์จาก...
ร้ายนัก(ไม่)รักเสียดีไหม
มิถุนายน
www.mebmarket.com
เมื่อยอดคุณป๊า ที่ถือคติที่ว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” พยายามจับคู่ลูกๆ ที่เหลือให้ครบ อดีตคู่กัดสมัยละอ่อนเลยได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว...
New Comments
Friends' blogs
[Add มิถุนายน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.