walk in the dark! 11




เธอกับชานนย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ตอนนั้นเขาเรียนอยู่ชั้น ม.3 เขารู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว

“ทำมันมันเงียบจังเลยป้า” เขากวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณบ้าน“ข้างนอกก็มืดตึ๊ดตื๋อ”

“เงียบสิดีไม่ต้องมีอะไรมารบกวน” เธอจัดห้องนอนตัวเองไว้สองห้อง ชั้นบนอยู่ติดกับห้องชานนและชั้นล่างอีกหนึ่งห้อง แรก ๆ เธอก็นอนห้องชั้นบนและเปิดประตูโล่งไว้“ถ้าลูกมีอะไรก็เรียกป้าได้นะ ห้องป้าไม่ได้ล็อค” เขาพยักหน้ารับยิ้มอาย ๆที่ป้ารู้ทันว่าเขากลัวความมืด เธอนอนหลับสนิทได้ไม่กี่คืนก็เริ่มรู้สึกอึดอัดข่มตาให้หลับอย่างไรก็หลับไม่ลง เสียงรบกวนดังมาจากทั่วสารทิศเสียงแมลงร้องจนแสบแก้วหู เสียงนกฮูกที่ร้องครางอื๊ด ๆ มาจากที่ไกล ๆเสียงเดินยวบยาบของตะขาบที่ออกหากินยามค่ำคืน แถมยังรู้สึก ปวดเมื่อยตามแข้งขา เธอเหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้องมันบอกเวลาสี่ทุ่มเมื่อทนไม่ได้ก็ต้องลุกเดิน เริ่มจากเดินวนไปวนมารอบ ๆ ห้อง ตอนนี้หลานชายคงหลับปุ๋ยไปแล้วเธอจึงเดินลงบันไดไปชั้นล่าง พอถึงชั้นล่างอดสอดส่ายสายตามองออกไปข้างนอกไม่ได้อากาศคงเย็นสบายกว่าในบ้าน มันคงช่วยผ่อนคลายได้บ้าง คิดดังนั้นเธอก็เปิดประตูบ้านเยื้อย่างก้าวออกไปลมเย็น ๆ ยามค่ำคืนลอยมาปะทะหน้าทำให้รู้สึกสดชื่น เธอจึงเดินเล่นไปเรื่อย ๆยามวิกาลอย่างนี้ไม่มีผู้คนสัญจรไปมา เธอจึงรู้สึกเพลิดเพลินยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวอาการปวดเมื่อยบริเวณแข้งขาก็หายไป เธอเดินตามถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าสวนยางพาราที่ต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันแผ่กิ่งก้านปกคลุมแข่งกับความมืดไปทั่วมองเข้าไปในสวนรู้สึกตื่นเต้นที่เห็นดวงตาสีเขียวของสุนัขเฝ้าสวน สองสามคู่ส่องแสงแวววาวอยู่ข้างๆ ต้นยาง เธออดยิ้มไม่ได้ที่เห็นพวกมันนั่งหางเหน็บก้นก้มหัวต่ำจนเกือบจะแนบชิดติดพื้นขณะที่เธอเดินผ่าน มีตัวหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่สีดำจากรูปร่างหน้าตาคงเป็นพันธุ์ร็อดผสมกับอัลเซเซี่ยนมันทำเสียงขู่คำรามในลำคอเบา ๆ เธอไม่ได้ให้ความสนใจมันมากนักคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างสบายอารมณ์ ไม่นานก็ถึงสวนของพ่อ มองเห็นบ้านไม้ยกพื้นสูงที่มันมีขนาดใหญ่กว่ากระท่อมทั่วๆ ไป บ้านที่พ่อเคยพำนักอาศัยอยู่เกือบครึ่งชีวิต บันไดที่พาดอยู่เชื้อเชิญให้เธอขึ้นไปเปิดประตูห้อง เดินสำรวจดูรอบ ๆ นั่งเล่นบนเตียงเก่าที่เต็มไปด้วยหยากไย่ กลิ่นสาบคุ้นจมูกทิ้งตัวลงนอนบนเตียง สูดหายใจลึก ๆ หลับตาพริ้มจนพออกพอใจ จากนั้นก็เดินกลับเส้นทางเดิม ตื่นขึ้นมาตอนเช้า พยายามทบทวนความทรงจำไม่แน่ใจว่ามันเป็นจริงหรือว่าฝันไป ก้มลงมองขากางเกงชุดนอนเห็นเม็ดหญ้าแห้งเกาะติดเต็มขาเธอเผลอเอามือปิดปาก มืออีกข้างทาบอก ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่เป็นไรตราบใดที่ไม่มีใครพบเห็นเข้า และถ้าไม่ปริปากพูดคงไม่มีใครรู้หวังว่าเหตุการณ์เช่นคืนนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก จากนั้นก็ไปทำงานตามปกติตกเย็นเธอเดินสูดอากาศเล่น สุนัขพันธ์อัลเซเซี่ยนร็อดตัวที่เห็นเมื่อคืนกระโจนเข้าหาเธอทำท่าจะกัดเธอหยุดกึกยืนนิ่งอยู่กับที่ มันก็หยุดกึกเช่นกันพร้อมกับส่งเสียงคำรามในลำคอเบา ๆ ยิงฟันโชว์เขี้ยวหมาทั้งสองข้างที่ดูแข็งแกร่งเลื่อมเป็นมันวาววับจากนั้นมันก็หันหลังกลับเดินอย่างเชื่องช้าราวกับพญาราชสีห์ที่ไม่หวั่นเกรงกลัวใครในรัศมีที่มันครอบครองอยู่

“คนไข้ถูกสุนัขกัดที่แขนมาหรือครับ” เธอได้ยินเสียงบุรุษพยาบาลที่ตรงรี่มาหาเธอทันทีที่โผล่เข้าไปโรงพยาบาลนาทรายเขาพาเธอไปห้องฉุกเฉินตะโกนบอกเพื่อร่วมงาน เธอก้มมองดูแขนขวาที่มีรอยเขี้ยวเป็นรูลึกโบ๋โชคดีที่ไม่โดนเส้นเลือดดำ เลือดสีแดงไหลลงเป็นทางเธอหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด พยาบาลคนหนึ่งล้างแผลอีกคนคอยซักถาม

“คนไข้โดนหมากัดที่ไหนคะ”

“จำไม่ได้”

“โดนหมาที่บ้านกัดหรือคะ”

“ที่บ้านไม่มีหมาค่ะ”

“อ้าว แล้วคนไข้ไปไหนมาไหนดึกดื่นจนโดนกัด”

“ไม่รู้ นึกไม่ออก”

“จะให้ดิฉันเขียนรายงานอย่างไรล่ะคนไข้มาทำแผลดึกดื่นเที่ยงคืนเพราะโดนหมากัด แต่พอถามกลับจำอะไรไม่ได้เลย” พยาบาลมองหน้าเธอแล้วทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “คนไข้ไปเข้าบ้านใครมารึเปล่า”

“เอ่อ เปล่า เปล่า” เธอรู้ตัวว่าเผลอหลับไปบนเตียงเก่าของพ่อมารู้สึกตัวก็เลยเที่ยงคืนไปแล้วต้องรีบกลับบ้านแปลกใจว่าขากลับหนทางมันมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็นอาศัยความคุ้นเคยเส้นทางขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าเดินเพราะเกรงว่าเผื่อมีคนผ่านมาเห็นเข้า พอเดินผ่านสวนยางสุนัขเฝ้าสวนส่งเสียงเห่ากันขรมและแล้วเจ้าตัวที่ไม่ได้เห่ากลับทะยานพุ่งออกมา เจ้าอัลเซเซี่ยนร็อดนั่นเอง มันกระโจนพุ่งออกมาจากข้างทางพร้อมกับโชว์เขี้ยวสีขาวๆ ทั้งสองข้าง เธอยกแขนขึ้นปกป้องมันจึงฝังเขี้ยวลงไปที่แขนแล้วสะบัดอย่างแรงเธอร้องอ๊ากลั่นป่า ถ้าเธอเล่าความจริงว่าแท้ที่จริงมันเป็นยังไง ต้องมีคำถามต่ออีกแน่ๆ ว่าเธอไปไหนยามค่ำคืน เธอจึงเก็บเงียบไว้ดีกว่า กลับบ้านคืนนั้น เธอมองนาฬิกาเกือบตีหนึ่ง ความแค้นเคืองเจ้าหมาตัวนั้นยังครุกรุ่นอยู่ในหัวเจ็บแผลแล้วยังต้องมาเจ็บเพราะเข็มฉีดยาที่ฉีดทั้งทดลองเซรุ่มฉีดเข้าแผลที่หัวไหล่และที่สะโพกอีก นับรวมแล้วได้ 6 เข็ม โชคดีที่หลานชายตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเห็นผ้าพันแผลที่แขนป้าแต่ไม่ถามมากความเธอบอกเพียงว่าหกล้มตอนไปปิดประตูหน้าบ้านเห็นลูกเข้านอนแล้วจึงไม่ปลุก

คืนต่อมาเธอก็เหมือนฝัน เหมือนจริง ว่าได้เจอเจ้าอัลเซเซี่ยนร็อดตัวนั้นอีกมันแยกเขี้ยวทะยานพุ่งใส่เธออีก มีการปลุกปล้ำกันชุลมุนสะบัดเหวี่ยงเต็มแรงแล้วก็ได้ยินเสียงมันร้องเอ๋ง สุดเสียงด้วยความเจ็บปวด จากนั้นภาพความจำก็เลือนรางเหมือนมีเมฆหมอกหนาทึบมาบดบังทำให้มองอะไรไม่เห็น พอรุ่งเช้าเธอได้ยินสุนัขเฝ้าสวนยางตัวอื่น ๆส่งเสียงเห่ากันขรม ดังแว่วมาจนหนวกหู บางตัวร้องโหยหวนบางตัวส่งเสียงเห่าสลับกันไป แรก ๆ เธอก็ไม่ได้สนใจ แต่มีอะไรบางอย่างสะกิดใจ ทำให้ต้องเดินไปดูให้เห็นด้วยตาพอเข้าไปใกล้เห็นสุนัขตัวอื่น ๆ พากันมายืนอออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางเดินแต่ละตัวแหงนหน้ามองขึ้นเบื้องบน สูงขึ้นไปซากเจ้าอัลเซเซี่ยลร็อดท้องเสียบอยู่บนกิ่งไม้แห้งส่วนหัวและหางห้อยลงมา ลิ้นซีดเผือดของมันแลบออกมาเปลือกตาถลน เลือดไหลเป็นทางลงมาตามโคนต้นไม้ส่งกลิ่นคาวคุ้งทั่วทั้งบริเวณคนงานสวนยางกับภรรยาเดินวนรอบ ๆ พร้อมกับเอามือปิดจมูก กำลังหาทางเอาซากของมันลงมา

“โอ้! ทำไมโหดเหี้ยมทำทารุณขนาดนี้ เหมือนไม่ใช่น้ำมือมนุษย์ ” ผู้เป็นสามีพูด

“น่ากลัวนะครู”ภรรยาเขาหันมาพูดกับเธอทันทีที่เธอไปถึง

“หมาหนักตั้งเกือบสามสิบกิโล คนที่ทำต้องเป็นคนแข็งแรงหรือไม่ก็ต้องมีมากกว่าหนึ่งคนถึงยกมันขึ้นไหว”เมียของเขาพูดเสริม

“ฆ่าแล้วทิ้งข้างทางก็พอว่าแล้วนี่ทำกันขนาดนี้เพราะอะไร” สามีออกความเห็นต่อ ส่วนเธอรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนแทบจะอ๊วกต้องเอามือปิดปากไว้

“ครูอย่ามองสิมันไม่น่าดูเลย น่ากลัวด้วยซ้ำ” ผู้เป็นภรรยาบอกด้วยความห่วงใย กลับบ้านวันนั้นเธอพยายามทบทวนความจำภาพที่จำได้ก็เพียงแค่เห็นมันกระโจนพุ่งใส่เธอ ส่วนมันตายยังไงเธอจำไม่ได้แล้วอีกอย่างแขนของเธอก็ยังเจ็บอยู่ และมีผ้าพันแผลพันรอบเธอคงไม่มีแรงที่จะยกมันขึ้นไปเสียบกิ่งไม้ได้ เรื่องหมาดำของเธอก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก แต่เธอเคยถามแม่แล้ว แม่บอกว่าพ่อไม่เคยมีอะไรแต่เธอก็ยังไม่แน่ใจ วันต่อมาเพื่อนครูที่โรงเรียนชวนกันไปถวายสังฆทานที่วัดป่าซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนราวสามสิบกิโลเมตร หลังจากถวายเสร็จแล้ว เธอกับเพื่อน ๆก็พากันไปให้อาหารปลา มียายแก่คนหนึ่งถือตะกร้าเดินออกมาจากทางเดินแคบ ๆที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่

“อ้าวยาย ไปไหนมา” เธอร้องทักพอเป็นมารยาท

“อ้อยายเอาน้ำไปให้แม่ชี ท่านเพิ่งเดินทางมาถึงตอนเช้าตรู่วันนี้เห็นว่าจะพักสักคืนสองคืนแล้วจะไปต่อ

“แม่ชีกี่คนคะ”

“คนเดียวท่านเดินมานะ ค่ำไหนนอนนั่นเห็นว่าพื้นเพเป็นคนปทุมธานีแน่ะ” มีอะไรบางอย่างในใจทำให้เธออยากพบแม่ชีคนที่ยายพูดถึง เธอจึงหาโอกาสปลีกตัวหลบออกมาจากกลุ่มเพื่อนและเดินตามเส้นทางที่ยายเดินออกมาเพื่อไปหาแม่ชี

“ลูกมานี่ด้วยเรื่องอันใด” แม่ชีวัยห้าสิบกว่าๆถามเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าไหม้เกรียมแดดและมีฝ้าขึ้นเต็มหน้า

“คือ เอ่อ มีบางอย่างที่ลูกไม่เข้าใจแม่ชีพอรู้เรื่องของรักษา หรือของขลังบ้างไหมคะ” เธอก้มหน้าไม่กล้าสบตาแม่ชีเกรงว่าท่านจะหัวเราะว่าเป็นเรื่องเหลวไหล

“พวกมนต์ดำ ศาสตร์ดำน่ะไม่เกี่ยวกับศาสนานะลูกแต่หลายคนก็เชื่อว่ามันมีจริง แล้วลูกมีแบบไหนล่ะ”

“คือเอ่อ ก่อนพ่อจะตาย พ่อได้มอบสิ่งหนึ่งให้ลูก ลูกไม่แน่ใจว่าได้มันมาหรือเปล่า”

“พ่อของลูกได้บอกไหมว่ามันคืออะไร”

“ไม่ค่ะ พ่อบอกแต่ว่ามันเป็นของดีให้เก็บเอาไว้ พ่อเรียกมันว่า ไม้ท่อนจิ๋ว” รอยยิ้มบนใบหน้าแม่ชีเจื่อนหายไปแววตาอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นดุดัน เคร่งขรึม และจ้องหน้าเธอเขม็งต่างคนต่างเงียบกันไปชั่วครู่ จนเธอรู้สึกอึดอัด

“เอางี้”สีหน้าแม่ชีกลับมาเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม “เมื่อพ่อของลูกบอกว่าเป็นของดี มันก็อาจจะดีอย่างที่ว่าตอนนี้ลูกต้องการทราบว่า ไม้ท่อนจิ๋วที่พ่อให้มาน่ะ ลูกได้มันมาหรือไม่ใช่หรือไม่”

“ค่ะ ใช่ค่ะ”

“แล้วมันเป็นยังไงล่ะลองเล่าให้แม่ฟังซิ”

“เพราะ เอ่อ เหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป”แม่ชีใบหน้าเคร่งขรึมจ้องมองหน้าเธออีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจ

“ลูกตอบคำถามตัวเองแล้วว่าลูกเปลี่ยนแปลงไป เอาล่ะ แม่ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะมองอะไร ๆ ด้วยญาณทิพย์ แต่แม่จะให้ลูกเสี่ยงทายเองก็แล้วกันคำตอบที่ได้มันจะบอกลูกเอง” ว่าแล้วแม่ชีก็หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งก้มเขียนอะไรบางอย่าง จากนั่นก็วางลงตรงหน้าเธอ

“นี่เป็นภาษาทางธรรม แม่เขียนไว้ 5 คำให้ลูกเลือกเอาสามคำ แล้วเขียนใส่ฝ่ามือ แล้วกำมือไว้ แม่ก็จะเลือกเอาสามคำ เขียนลงฝ่ามือเช่นกันจากนั้นแม่จะนับสาม เราต่างต้องหงายมือ ถ้าคำที่ลูกและแม่เลือกตรงกันทั้งสามคำคำตอบคือ ใช่ ลูกได้มันมา” แม่ชีก้มเขียนก่อน แล้วยื่นปากกาให้เธอเธอพยายามเพ่งมองคำทั้ง 5 มันเป็นคำโดดที่สะกดแปลก ๆเธอจำเอารูปร่างหน้าตามันมากกว่าจะจำเป็นคำอ่าน เพ่งมองและเลือกสลับกันไปมา พอเขียนเสร็จเธอยื่นปากกาคืนให้แม่ชีรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นโครมคราม เหมือนรอลุ้นอะไรสักอย่าง แม่ชีเริ่มนับ หนึ่ง สองพอสาม ทั้งเธอและแม่ชีต่างแบมือวางตรงหน้า คำที่หนึ่ง สอง สาม ทั้งบนฝ่ามือของเธอและฝ่ามือของแม่ชี เป็นคำเดียวกัน เรียงลำดับเหมือนกับทำสำเนา เธอเป็นคนแรกที่พูดขึ้นก่อน

“แสดงว่าลูกได้มันมา”

“ใช่ ของรักษาก็คือของรักษาลูกต้องรักษามันให้ดี ๆ ทุกอย่างมีสองด้าน ดี ร้าย มืด สว่าง ขอให้ลูกโชคดี”พูดจบแม่ชีขอตัวเข้าห้องพัก ไม่เปิดโอกาสให้เธอถามอะไรอีกเลย ทั้ง ๆที่เธอมีคำถามมากมาย เธอได้มันมาหรือแต่กลับไม่ดีใจเลย ทั้ง ๆที่เป็นสิ่งที่พ่อมอบให้ ในบรรดาลูก ๆ ของพ่อทั้งหมดสิบคน เธอคือคนที่พ่อเลือกคือคนที่พ่อไว้วางใจที่สุดใช่หรือไม่ คำถามที่ตามมาอีกคือ ทำไมจึงต้องเป็นเธอ

กลับบ้านวันนั้นเธอหาโอกาสไปพบแม่เพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้ง

“ไม่มี พ่อไม่เคยมีอะไร” แม่ยืนยันคำเดิม

“แม่ก็บอกแต่ว่าไม่มี ๆ แม่ลองคิดดูดีๆ สิ ว่าพ่อเคยเล่าหรือเคยบอกอะไรไหม”

“ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา จนตายจากกันแม่ก็ไม่เห็นพ่อแกมีอะไร นอกจากซื่อสัตย์ ขยันก็เท่านั้น”

“แต่หนูจำตอนนั้นได้นะแม่ตอนที่มีรถขายแหนมตราหมูคู่จากนครพนมเข้ามาขายในหมู่บ้านเราครั้งแรก ห่อละบาทน่ะ หนูซื้อไปฝากพ่อ สองห่อ พ่อบอกว่าอร่อยรอบที่สองหนูซื้อไปฝากอีก แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ” แหนมเป็นการแปรรูปอาหารแบบใหม่ในสมัยนั้นและเป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านในหมู่บ้านของเธอรู้จักแหนม ซึ่งทำมาจากเนื้อหมูสับละเอียด ปรุงรส และห่อมาในใบตองกล้วยมัดแน่นเหมือนห่อข้าวต้มมัด

“ครั้งแรกมันใช่เนื้อหมูแต่ครั้งหลังมันไม่ใช่ เขาคงเอาเนื้อหมามาทำ” พ่อบอกเธอแค่นั้นแต่สำหรับพ่อมันไม่แค่นั้น รอบ ๆ ริมฝีปากพ่อ เป็นตุ่มหนอง พุพองเปื่อยน้ำเหลืองไหลย้อย เธอเห็นพ่อเด็ดดอกไม้ป่าพร้อมเทียนเหลืองเล่มเล็ก ๆ แต่งขันธ์ห้านั่งท่าเทพบุตรยกขันธ์ห้าขึ้นเหนือหัว ปากท่องขมุบขมิบอยู่หลายวัน

“แม่จำได้ไหมว่า พ่อแพ้แหนมนั่น และหลายปีต่อมาก็มีอาการเดียวกันที่ซื้อแหนมมาจากตลาด” แม่ทำท่าครุ่นคิด

“เออ แม่พอนึกออกแล้วก่อนเอ็งเกิดนิดหนึ่ง พ่อเคยขอผ้าขาวม้าผืนหนึ่ง กับเงิน สามสิบห้าบาทพร้อมดอกไม้เทียนคู่ พ่อบอกว่ามีนักพรตมาจากไหนไม่รู้ แม่รู้แค่นั้น” ถึงแม้จะแค่นั้นของแม่ แต่เธอก็ได้คำตอบที่ต้องการ ในที่สุดก็ได้รู้ว่าพ่อมีของดีของรักษาจริงและเธอเดาคำตอบเองได้ว่าของรักษาพ่อคืออะไร มิน่าล่ะพ่อถึงปลีกตัวออกไปอยู่ตามท้องนา อยู่สวนเพราะพ่อไม่ชอบความวุ่นวายเวลาไปไหนมาไหนยามค่ำคืน พ่อไม่เคยถือไฟฉาย แล้วตอนนี้สิ่งนั้นมันตกมาอยู่กับเธอเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไงกับมัน ถ้าเธอไม่ขอรับมัน หรือทิ้งมันไปจะได้ไหม นั่นคือปัญหาที่ทำให้เธอต้องขบคิด ธอเริ่มมองเห็นแล้วว่าชีวิตเธอเริ่มไม่เป็นปกติสุขแผลหมากัดยังคอยตอกย้ำ และภาพซากหมาบนต้นไม้นั่นก็ยังคงเป็นปริศนา เรื่องนี้แม่ก็คงให้คำปรึกษาหรือคำตอบอะไรไม่ได้เธอต้องตามหาคนที่รู้เรื่องพวกนี้ดี พลันเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้ฟังตอนสมัยยังเด็กก็ผุดขึ้นมาในหัวผู้เฒ่าแห่งคุ้งห้วยน้ำดำ ถ้าเรื่องที่พ่อเล่าเป็นจริง ผู้เฒ่าตนนั้นก็ต้องมีจริงผู้เฒ่าตนนั้นอาจรู้จักพ่อดี และคงมีญาณทิพย์พอที่จะรู้อะไร ๆและอาจช่วยเธอหรือให้คำแนะนำแก่เธอได้เธอจึงตัดสินใจจะไปพบผู้เฒ่าแห่งคุ้งห้วยน้ำดำ




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 16:55:08 น.
Counter : 491 Pageviews.

1 comments
  
สวัสดีนะจ้ะ แวะมาเยี่ยมนะจ้าาา sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4057910 วันที่: 23 สิงหาคม 2560 เวลา:18:25:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety