… GREATEST LOVE OF ALL …

I believe the children are our future. Teach them well and let them lead the way
Show them all the beauty they possess inside. Give them a sense of pride to make it easier
Let the children's laughter remind us how we used to be

Everybody's searching for a hero. People need someone to look up to
I never found anyone who fulfilled my needs. A lonely place to be and so I learned to depend on me

I decided long ago. Never to walk in anyone's shadows. If I fail, If I succeed
At least I lived as I believed. No matter what they take from me. They can't take away my dignity

Because the greatest love of all is happening to me. I've found the greatest love of all inside of me
The greatest love of all is easy to achieve. Learning to love yourself, it is the greatest love of all

And if by chance that special place. That you've been dreaming of
Leads you to a lonely place. Find your strength in love ….

MiniPenzman
Location :
Quebec, Canada

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ไดอารี่ออนไลน์เล่มนี้
แม่ตั้งใจทำเก็บไว้ให้ ลูกน้อยของแม่
ที่กำลังจะเกิดมาเป็นกำลังใจ
ให้แม่ดำเนินชีวิตต่อไป
อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน
และมีความหวังมากยิ่งขึ้น
อย่างที่แม่และพ่อเอง
ก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชีวิตของเรา
จะมีเป้าหมายชีวิตที่มีความชัดเจน
ได้มากมายถึงเพียงนี้




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add MiniPenzman's blog to your web]
Links
 

 
SOLUTION เพื่ออนาคตของหนู

SEPTEMBER 2007……บทสรุปทางออกของเรา เพื่ออนาคตของหนู..

หนูรุ้มั้ย แม่กับพ่อตัดสินใจกันแล้วว่า เราจะทิ้งทุกอย่างที่มี ที่เป็น ที่ทำให้เราอยู่อย่างสุขสบายในเมืองไทย ไปอยู่แคนาดา
บ้านเกิดเมืองนอนของพ่อหนู แม่ว่า มันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของหนที่ต้องมีชีวิตอยู่ไปอีกอย่างน้อยๆ ก็ 60-70 ปีข้างหน้า

สำหรับแม่แล้ว แม่รู้สึกว่า มันเป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่เลยก็ว่าได้ เพราะอยู่เมืองไทย แม่ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรอีก ทุกวันนี้แม่อยู่ได้อย่างสบายๆ ไม่เดือดร้อนใคร แม้กระทั่งพ่อของหนู หากวันใดวันหนึ่ง พ่อของลูกเกิดจากไป จะด้วยเหตุผลใดๆ ก็แล้วแต่ แม่ก็อยู่ได้ด้วยตัวของแม่เองอย่างไม่ลำบากเลย แต่... แต่ที่แม่และพ่อตัดสินใจทิ้งทุกอย่างที่เมืองไทย ไปเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ที่แคนาดา เป็นเพราะแม่คิดถึงอนาคตของหนูว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป ทั้งๆที่ตอนที่แม่คิดเรื่องนี้ แม่เพิ่งจะตั้งท้องหนูได้แค่ 5 เดือนเศษๆ ..

แม่ตั้งคำถามกับตัวเอง... ครอบครัวเราจะเป็นอย่างไรต่อไป หลังจากมีหนู..
ความมั่นคงในครอบครัวจะเป็นอย่างไร...
สถานะทางการเงินจะเป็นอย่างไร...
อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่เราสามารถวางแผนได้เพื่ออนาคตอันไม่แน่นอนของเราทั้ง 3 คน...
ตอนนี้แม่อายุ 36 ปี กว่าจะคลอดหนูก็ปาเข้าไป 37 พอดี แม่ลองนับนิ้วไป กว่าแม่จะเลี้ยงหนูโต จนเรียนจบปริญญาตรี แม่ก็อายุ 37+23 = 60 ปี ส่วนพ่อ ก็ปาเข้าไป 44 + 23 = 67 ปี แม่เกษียณแล้ว ลูกยังเรียนไม่จบเลย ส่วนพ่อไม่ต้องพูดถึง จะอยู่ถึง 67 มั้ย เพราะสูบบุหรี่จัดเหลือเกิน สูบมาตั้ง 25-26 ปีแล้ว เพิ่งจะมาตัดสินใจเลิกก็เมื่อรู้ว่า กำลังจะมีลูกนี้เอง

แม่คิดๆ ดู เราสองคน พ่อกับแม่ อยู่ในโลกนี้ได้อีกอย่างมากก็ไม่น่าจะเกิน 30 ปี ซึ่งถ้าแม่อยู่ได้ถึงวันนั้นก็คงจะดี แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่แม่อยากให้มันเป็นล่ะ.. ถ้าแม่เกิดเป็นอะไรตายขึ้นมาก่อนที่หนูจะเรียนจบล่ะ หนูจะทำยังไง ใครจะเลี้ยง ใครจะส่งเสียหนู แล้วชีวิตหนูจะเป็นอย่างไร.. (พ่อหนูชมว่าแม่ เป็นคนมองการไกล และเป็นนักวางแผนที่ดี (ไม่รู้ชม หรือเหน็บว่า แม่เป็นคนคิดมากเพราะแม่เล่นคิดข้ามช๊อตทีเดียว 30 ปี พ่อเหน็บแม่ว่า นิสัยไม่เหมือนคนไทย เกิดผิดที่หรือเปล่า คนไทยเขาไม่คิดกันยาวๆ ขนาดนั้นหรอกนะ ขนาดคนที่บริหารประเทศ หรือพวกนักการเมืองยังไม่คิดยาว 30-40 ปี แบบแม่เลย... (นึกในใจ เอ..นี่กำลังเหน็บตรู หรือนักการเมืองไทยฟ่ะเนี่ย)

แม่คิดไป.. จริงอยู่ พี่ป้าน้าอาที่เมืองไทย คงจะไม่ทอดทิ้งหนูหรอก เขาคงเลี้ยงดูหนูได้ แต่แม่คิดว่า มันไม่ถูกต้อง ที่แม่จะทิ้งหนูไว้ที่เมืองไทยให้เป็นภาระของพี่ป้าน้าอา เพราะแต่ละคนก็มีครอบครัวของตัวเอง มีภาระต้องเลี้ยงดูลูกๆ ของตัวเองกันทั้งนั้น อีกอย่างหากแม่เป็นอะไรไป ้าๆ อาๆ หนูก็คงไม่อยู่ในโลกนี้แล้วล่ะ คงจะเหลือก็แค่อาคนเล็ก และหลานๆ ของแม่ ซึ่งก็อายุไล่ๆ กับหนูนั้นแหละ แก่กว่ากันก็เต็มที่ 10 ปี หากเหตุการณ์ที่แม่สมมติมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วแม่จะทำอย่างไรดี เพื่อให้มัน safe ที่สุดสำหรับอนาคตของหนู..

แม่จึงไตร่ตรองดูว่า หากเราย้ายไปอยู่แคนาดา อย่างน้อยหนูก็จะได้รับการศึกษาจากระบบที่ดี ที่มีมาตรฐานมากกว่าระบบการศึกษาของบ้านเรามาก เมื่อหนูเรียนจบ หนูอยากจะไปทำงานที่ไหนในโลกก็ได้ เพราะระบบการศึกษาของแคนาดาเป็นที่ยอมรับอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งดีกว่าบ้านเรามากมาย
แม่จึงคิดว่า อย่างน้อย แม่ก็ควรจะปูพื้นฐานทางด้านการศึกษาที่ดีให้ลูก ตั้งแต่หนูยังเล็ก หากแม่มีอันต้องจากโลกนี้ไปก่อน หนูก็ยังมีโอกาสที่ดี และยังสามารถเอาพื้นฐานทางการศึกษาของตัวเองไปต่อยอดให้ตัวเองมีอนาคตที่ดีได้ อีกอย่าง เห็นพ่อบอกว่า.. ที่นู๊นรัฐบาลมีสวัสดิการให้เด็กเรียนหนังสือฟรีจนหนูอายุ 18 แล้วยังมีเงินสงเคาะห์บุตรให้อีกเดือนหนึ่งก็หลายตังค์ ตั้งแต่เกิดจนดหนูอายุครบ 18
เงินสงเคราะห์ที่ได้จากรัฐมา แม่ก็จะเก็บไว้เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้หนู เผื่อหนูอยากเรียนสูงๆ ส่วนเงินเก็บของแม่และพ่อ ที่มีก็คงต้องเป็นของหนูอีกเหมือนกันเมื่อหนูโตขึ้น

ส่วนเรื่องที่ต้องลำบากเพราะต้องไปเริ่มทุกอย่างใหม่จากศูนย์ แม่คิดว่า คงไม่เป็นไร ชีวิตเราคงไม่มีอะไรยากเกินกว่าความตั้งใจจริง ขอเพียงแค่เราไม่จำกัดตัวเองว่า อันนี้เราทำได้ อันนั้นเราทำไม่ได้ คนเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชควาสนา แม่ว่ามันขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความพยายาม ถ้าเราตั้งใจและพยายามจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ มันก็ต้องสำเร็จ ขอเพียงอย่าท้อ อย่าทิ้ง หรือลืมเป้าหมายที่เราตั้งใจจะไปให้ถึงเท่านั้น และจงเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า เรามีศักยภาพเพียงพอ ที่จะทำได้ โลกนี้ไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจของมนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราหรอก..คนอื่นเขาลำบากกว่าเราตั้งเยอะ เขายังเอาตัวรอดเลย ในแมื่อคนอื่นเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ซิ..

พ่อบอกไปอยู่แคนาดา เราก็ไม่ถึงกับลำบากหรอก เพียงแต่อาจจะเก็บเงินได้น้อยกว่าอยู่เมืองไทย เพราะต้องจ่ายภาษีเข้ารัฐเยอะ แต่เราก็มั่นใจได้ว่า ภาษีที่จ่ายเข้ารัฐ มันจะเป็นสวัสดิการสังคมที่ย้อนกลับมาให้ลูกเราได้รับในเรื่องการศึกษา เรื่องสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในหลายๆ ด้าน เพราะบ้านเมืองเขาไม่มีคอรัปชั่นอย่างบ้านเรา

ด้วยความเป็นคนที่อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง หรือที่บางคนชอบว่า ว่าแม่เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย หรือคิดมาก มันจึงทำให้แม่คิดข้ามช๊อตไปอีกหนึ่งช๊อตว่า หากย้ายไปอยู่แคนาดา แล้ววันหนึ่ง พ่อหนูเกิดไปติดใจผู้หญิงอื่น แล้วทิ้งแม่ล่ะ แม่จะทำยังไง...
แม่ต้องคิดร้ายๆ เผื่อเอาไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะอนาคตมันไม่แน่นอน ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็ถือเป็นโชควาสนาของแม่ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ล่ะ แม่จะแก้ปัญหาอย่างไร แม่ต้องเตรียมการ อะไรเผื่อไว้แต่เนิ่นๆ หรือเปล่า ซึ่งไม่ต้องห่วงนะลูก แม่มี Solution เตรียมเอาไว้ให้เราแล้ว หากมันมีอันต้องเกิดขึ้นจริงๆ มันไม่ยากเกินไปนักที่ต้องเผชิญและแก้ปัญหา แม่มั่นใจว่าเรา 2 คน จะอยู่กันได้อย่างไม่ลำบาก โดยไม่ต้องย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยด้วยซ้ำ ..

ส่วนพ่อของหนูเหรอ... เขาดีใจมากมายที่แม่ชวนเขากลับไปอยู่แคนาดา ไปเริ่มต้นกันใหม่ เพื่อเหตุผลเดียวก็คือ อนาคตของหนู เหมือนที่แม่บอกไปนั้นแหละ พ่อบอก พ่อเห็นด้วยอย่างมาก เพราะพ่อเป็นห่วงอนาคตของหนู พ่อบอก ปีแรกๆ ที่อยู่เมืองไทย ดูเหมือนเมืองไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่มากเหลือเกิน แต่หลังจาก 5 ปีผ่านไป พ่อกลับรู้สึกว่า สิ่งสวยงามที่พ่อเห็นตอนแรก เป็นแค่ภาพลวงตา ยิ่งอยู่นานๆ พ่อยิ่งสติแตก ยิ่งรู้ว่า ใกล้จะได้กลับไปอยู่แคนาดา ยิ่งสติแตกมากกว่าเดิม แม่รู้สึกได้เลยว่า พ่อเริ่มนับถอบหลังที่จะได้กลับไปอยู่แคนาดาทุกวัน เดี๋ยวนี้ พูดทุกวัน อีกไม่กี่เดือนก็จะได้กลับไปอยู่บ้านแล้ว หลุดพ้นกับความเครียดทั้งหลายทั้งแหล่ที่เมืองไทยเสียที อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องประสาทเสียทุกครั้งที่ขับรถออกนอกบ้าน ว่าวันนี้จะตายบนถนนหรือเปล่า มันทำให้แม่รู้สึกเลยว่าที่ผ่านมา พ่อต้องอดทนอยู่เมืองไทย เพราะความรักที่มีต่อแม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นเอง แม่รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ที่ไม่อยากทิ้งบ้านเกิดเมืองนอน พ่อแม่พี่น้องและความสะดวกสบายของตัวเองไปอยู่แคนาดา เมื่อครั้งที่พ่อถามแม่ ตอนที่เราเพิ่งจีบกันใหม่ๆ...

พ่อบอกว่า ไม่อยากให้หนูโตมาในสังคมไทยที่เขาเห็น เขารู้ อย่างทุกวันนี้ พ่อบอกคนไทยน่ารัก อัธยาศัยดี ยิ้มง่าย รักสนุก ชอบสังสรรค์ เฮฮาปาร์ตี้ แต่คนไทยเป็นคนไม่มีวินัย มักง่าย ทำอะไรฉาบฉวย ลูบหน้าปะจมูก ทำอะไรเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ เรื่องง่ายๆ ขำๆ ไปซะหมด อะไรๆ ก็ชอบพูดว่า ใจเย็นๆ.. สบายๆ.. ไม่เป็นไร... ไม่ต้องซีเรียส ไม่ใช่เรื่องของเรา อยู่เฉยๆ เดี๋ยวดีเอง นิสัยการขับรถก็แย่ ประมาทและคึกคะนองกันเหลือเกิน มีอุบัติเหตุให้ตายกันได้ทุกวัน หากต้องให้ลูกเสี่ยงชีวิตบนถนน เพื่อไปโรงเรียนวันละ 2 ครั้ง อาทิตย์ละ 10 ครั้ง เดือนละ 40 ครั้ง ปีละอย่างน้อย 480 หน กับคนที่สักแต่ว่า ขับรถได้ ไม่ใช่ขับรถเป็น หรือพวกเมาแล้วขับ กว่าลูกจะเรียนจบ อัตราเสี่ยงตั้งกี่เปอร์เซ็นต์ พ่อคงทำใจไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งรู้ว่า ลูกต้องจากไปเพราะคนบางคนขับรถด้วยความประมาท หรือคึกคะนอง ไม่กลัวกฏหมาย ไม่สนใจกฏจราจร มีที่ไหน คนขับรถถูกกฏจราจร โดนตะโกนด่าหยาบๆ คายๆ เกือบโดนยิง เพราะขับช้า และไม่ยอมหลีกทางให้ทั้งๆ ที่อยู่เลนกลางแท้ๆ.. ตำรวจบ้านเราก็อย่างว่า พ่อบอก ไม่เห็นพึ่งอะไรได้เลย เผลอๆ ทำตัวเป็นมาเฟียเองเสียอีก โดนจับบนถนนเหรอ ไม่ยากแค่จ่าย 50 บาท พี่ตำรวจก็ปล่อยแล้ว เผลอๆ ไม่ได้ทำผิดอะไร โดนเรียกจอด อ้างนู๊น อ้างนี่ขอเงินเฉยๆ ซะงั้นแหละ พ่อบอก POLICE FORCE บ้านเรามันห่วยแตก...

ไหนจะปัญหา CORRUPTION อีก มีกันทุกหย่อมหญ้า ทุกองค์กรมีหมด ไม่ว่าจะเอกชน หรือหน่วยงานของรัฐ พ่อบอกเอาง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว เรื่อง CORRUPTION ในบริษัทที่แม่ทำงาน ซึ่งแม่เคยเล่าให้พ่อฟัง .. ขนาดผู้บริหารระดับสูงยังไม่สนใจเลย ไม่มีใครสนใจทั้งนั้น เพราะทุกคนคิดว่า ไม่ใช่เเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่อยากเดือนร้อน แม่อุตส่าห์ยอมเสี่ยงเดินไปคุยกับผู้บริหารระดับสูงให้ตรวจสอบ พร้อมทั้งมีหลักฐานและข้อมูลให้ด้วย แม่ทำเพราะ แม่รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับแม่ และพนักงานอีกหลายร้อยคนที่เหลือที่เขาทำงานด้วยความจริงจัง และตั้งใจ เพียงเพื่ออยากให้เงินเดือนขึ้น และได้โบนัสเยอะๆ เหมือนกันทุกๆ คน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งได้ไปปีหนึ่งเป็นล้านๆ แบบลับๆ แล้วไอ้เงินก้อนนั้นก็กลับกลายเป็นค่าใช้จ่าย ที่บริษัทเอามาหักลบจากยอดผลประกอบการ แทนที่ผลกำไรจะมากขึ้น กลับน้อยลง เพราะส่วนต่างมันอยู่ในกระเป๋าคนบางคนที่ Corruption พอกำไรน้อย แล้วโบนัส กับเงินเดือนขึ้นของพนักงานคนอื่นมันจะเหลือได้อย่างไร แม่คิดว่าคนที่กำลัง corruption ในบริษัทกำลังเอาเปรียบแม่ และพนักงานคนอื่นๆ อยู่ แม่จึงตัดสินใจเสี่ยงเดินไปคุยกับผู้บริหารระดับสูง แต่ผลปรากฏว่า เขาไม่ทำอะไรเลย จนทุกวันนี้ แม่ลาออกจากบริษัทมาตั้งหลายเดือนแล้ว แม่ก็ยังได้ข่าวว่า พวกที่ CORRUPTION ก็ยังทำงานอยู่ในบริษัทฯ อย่างอยู่ดี มีสุข รวยเอา รวยเอา มีรถหลายคัน มีบ้านหลังใหญ่โต ทั้งๆ ที่เขาเงินเดือนน้อยกว่าแม่อีก.. มันเป็นอะไรกันหนอ สังคมนี้

พ่อบอกเอาแค่ใกล้ๆ ตัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อสิทธิ ขายแสียง เรื่องการเมือง หรือเรื่องเห็นแก่ อามิตสินจ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากได้ โดยไม่สนใจว่า ใครจะเป็นไงอีก พ่อบอกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเนี่ยสะท้อนให้เห็นเลยว่า สังคมไทยเป็นอย่างไร แล้วไอ้ที่พ่อเจอมากับตัว ได้เห็น ได้รู้ ได้ยิน จากเพื่อนๆ ฝรั่ง หรือจากเพื่อนๆ นักการเมืองท้องถิ่นที่พ่อรู้จักอีล่ะ จากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ และไอ้ที่ไม่เป็นข่าวอีกล่ะ ตลอด 5 ปีที่อยู่เมืองไทยอย่างคนเสพข่าวสารข้อมูลมากๆ พ่อบอกว่า บอกตรงๆ เขามองไม่เห็นอนาคตของลูก ถ้าต้องอยู่และเติบโตที่เมืองไทย...

เฮ้อ... แม่พูดไม่ออกเลย เสียใจและหมดหวังลึกๆ กับความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา
ไม่อยากเชื่อเลย จากฝรั่งคนหนึ่งที่เคยรักเมืองไทยสุดๆ คนที่เคยทำตัวเป็นฑูตการท่องเที่ยว ชวนเพื่อนๆ ให้มาเที่ยวเมืองไทย คนที่เคยคิดว่า เมืองไทยเป็น Heaven on Earth เมื่อสมัยปีแรกที่มาอยู่ แต่ตอนนี้กลับมีความคิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่จะว่าไปทุกอย่างที่พ่อพูด แม่เถียงไม่ออกสักคำ เพราะมันเป็นตรรกะที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตและสังคมไทย ที่คนไทยอย่างแม่เห็นเป็นความเคยชิน ไม่ใช่เรื่องแย่ หรือแปลกประหลาดอะไร... แต่ตอนนี้แม่บอกตรงๆ แม่เริ่มมีความคิดเห็นคล้ายๆ พ่อของลูกแล้วแหละ... ยิ่งนับวัน แม่ยิ่งรู้สึกว่า บ้านเมือง และสังคมมันแย่ลงทุกวันจริงๆ บ้านเรามันชักจะไม่น่าอยู่ขึ้นทุกวัน... เฮ้อ สงสารในหลวง และประเทศชาติ ..

สรุป...
คิดไป คิดมา หลายร้อยตลบ ทั้งเรื่องอนาคตและความปลอดภัยในชีวิตของหนู เรื่องงาน เรื่องสังคม สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต เปรียบเทียบกับความยากลำบากที่แม่จะต้องเผชิญ เรื่องความเป็นอยู่ที่ต้องประหยัด จับจ่ายใช้สอยไม่คล่องมือเหมือนอยู่เมืองไทย ไหนจะเรื่องศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจที่ไปไหนมาไหน ก็มีแต่คนรู้จัก และให้เกียรติ์อีก เราอยู่เมืองไทย เราเป็นคนไทย ถือเป็น First Class Citizen เราจะเดินยืดหน้า ยืดตาด้วยความภาคภูมิใจ ไปไหนมาไหนก็สบายใจ เพราะเรารู้สึกว่า เมืองไทยเป็นบ้านเรา ประเทศของเรา จะดีจะชั่ว เราก็ภูมิใจที่ได้เกิดและเป็นคนไทย แต่หากไปอยู่แคนาดา ก็ต้องกลายเป็น Second class citizen ยังไงความรู้สึกมันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพราะมันไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา ฝรั่งดีๆ ที่รู้จักเราเขาก็คงให้เกียรติ์เรา แต่ฝรั่งแย่ๆ โลกแคบๆ ที่มีประสบการณ์ไม่ดีกับหญิงไทยบางกลุ่ม ก็คงดูถูกเรา เรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องที่ผู้หญิงไทยอย่างแม่ต้องอับอาย และต้องคอยมานั่งอธิบายให้ฝรั่งฟังเพราะการกระทำของหญิงไทยบางกลุ่ม ที่มักง่าย..

คิดไป คิดมา สำหรับแม่ ถึงแม้มันจะเป็นความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่แม่กำลังเผชิญ..
แต่แม่ก็คิดว่า มันคุ้ม ที่แม่ตัดสินใจแบบนี้ อย่างน้อยแม่ก็รู้สึกนับถือตัวเอง ที่กำลังแสดงความรับผิดชอบต่อชีวิตน้อยๆ ชีวิตหนึ่งที่แม่ทำให้เขาเกิดมา ด้วยการให้อนาคตที่แม่ตัดสินจากประสบการณ์ชีวิตของแม่เอาเองว่า มันจะดีกว่าสำหรับหนู และครอบครัวของหนูต่อไปในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ไม่ว่าแม่จะยังอยู่ในโลกนี้หรือไม่ก็ตาม หากหนูเติบใหญ่ เป็นเด็กดี มีอนาคต ประสบความสำเร็จในชีวิต และไม่ทำตัวให้เป็นภาระของสังคมและคนอื่น แม่ก็คงจะยิ่งภาคภูมิใจในตัวหนู และรู้สึกนับถือตัวเองยิ่งขึ้นไปอีกที่ในชีวิตแม่ แม่ไม่เคยทำตัวให้เป็นภาระ หรือสร้างภาระใดๆ ทิ้งไว้ให้กับสังคมเบื้องหลัง หรืออย่างน้อยแม่ก็เชื่อว่า ลูกของแม่จะภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ เหมือนที่แม่ภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของคุณตากับคุณยาย..



Create Date : 03 มกราคม 2551
Last Update : 4 มกราคม 2551 18:18:05 น. 1 comments
Counter : 282 Pageviews.

 


โดย: dogamania วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:1:49:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.