|
Canada - D-Day at Seattle
D-Day at Seattle: ยกพลขึ้นบก ณ. ซีแอตเติล
หลังจากที่เดินทางออกจากท่าอากาศยานกรุงเทพ ด้วยสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์แล้ว ซึ่งตอนนั้นประมาณสักหกชั่วโมงก็มาถึงที่นาริตะมาเปลี่ยนเครื่องต่อไปยังซีแอตเติลเลย ใจก็ประหวั่นเหมือนกันว่าหากสหรัฐบุกอิรักในวันนี้ เกิดสายการบินยกเลิก หรือว่าเพื่อป้องกันการต่อต้านหรือก่อการร้ายนี่ เราจะทำอย่างไร หรือคงจะมีการตรวจกันเข้มก่อนขึ้นเครื่องอีกเป็นแน่ แต่แล้วก็หมดห่วงผ่านมายังนาริตะได้ โดยที่มีเครื่องบินรออยู่ให้เราไปซีแอตเติลได้อีก อย่างน้อยพรุ่งนี้เช้าก็ถึงซีแอตเติลแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปยังเมืองนี้ไม่เคยไปมาก่อน แต่ก็พอรู้เลาๆว่าจะต้องไปทางไหนต่อไหนบ้าง ก็สืบเสาะเอาจากแผนที่นี่แหละครับ พอไปถึงก็ต่อรถเข้าไปที่โรงแรมเป็นอย่างแรกเลย เปิดทีวีดูเห็นว่ายิงกันตั้งแต่ตอนกลางคืนแล้ว ถล่มกันไปเยอะ พอรุ่งเช้าพวกรถถังต่างๆก็บุกันเข้าไปกันใหญ่ เปิดไปช่องไหนต่อไหนก็เห็นจะมีแต่ข่าวบุคอิรักอย่างเดียว ในเมืองซีแอตเติลก็มีคนมาเดินขบวนประท้วงกันอยู่กลุ่มใหญ่ ชูป้ายเป็นคำพูดต่างๆที่ไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ไปสำรวจที่ทางก่อนของสถานทูตแคนาดาที่นั่นก่อนดีกว่า ว่าจะต้องเดินทางไปอย่างไรใช้เวลาเท่าไร วันรุ่งขึ้นเป็นวันนัดสัมภาษณ์จะได้ไม่ไปผิดพลาด
สถานทูตอยู่ห่างจากโรงแรมที่พักประมาณสักสี่ห้าบล๊อคถัดไป ซีแอตเติลวันนั้นฝนก็โปรยปรายอยู่ตลอดเวลา ได้มีโอกาสเดินไปสำรวจสถานที่แล้ว ไม่ผิดพลาดแน่ๆ ก็กลับมาพักผ่อนเตรียมสัมภาษณ์เล็กน้อยก่อนวันรุ่งขึ้น ข่าวคราวต่างๆที่สหรัฐบุกอิรักก็ไม่ยอมหยุดเลย รายงานกันทั้งวัน ยังจำได้ว่านักข่าวซีเอ็นเอ็นที่นั่งไปกับรถถังด้วย รายงานมาจากรถถังตลอด เออ ก็แปลกดีทำข่าวแบบเกาะติดกันเลยนะนี่
พอถึงวันสัมภาษณ์ก็ไปตามกำหนดนัดหมายก่อนสักสิบห้านาที ตอนแรกนึกว่าจะมีคนเข้าแถวรอยาวกันเป็นคิว แต่ที่ไหนได้ มีเพียงแค่เราและครอบครัวคนจีน อุ้มลูกมาด้วยคนนึงอยู่เท่านั้นเอง หลังจากที่ยื่นใบนัดสัมภาษณ์แล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้เรานั่งรออยู่ข้างนอก จากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่แคนาเดียน เรียกให้ไปนั่งในช่องเหมือนที่เขาสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตอเมริกาเลย อยู่คนละฝั่งไม่สามารถแตะเนื้องต้องตัวกันได้
ตามธรรมเนียมเมื่อพบกันก็กล่าวคำทักทายของที่นี่ ให้เราดูว่าไม่ประหม่าจนเกินไป เจ้าหน้าที่ก็พลิกแฟ้มประวัติเราไปเรื่อยๆ ตำถามแรกทีเจอ ก็คือทำไมถึงไปอยากอยู่แคนาดา หวานหมูก็เตียมมาเรียบร้อยแล้ว ก็ร่ายกันไปตามที่เตรียมมา จากนั้นก็มาถึงตรงเรื่องงานเก่าๆที่ได้ทำมา มีอยู่งานนึงที่เรามีหนังสือรับรองจากทางบริษัทแล้ว แต่เผอิญว่าเจ้าหนังสือนี้มันอยู่ในซองพลาสติกที่เราเก็บเอาไว้อย่างดี ผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว หนังสือฉบับนี้ก็ยังใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม ให้ตายซิ เจ้าหน้าทีขอดูเอกสารตัวจริงว่าเราเอามาหรือเปล่า เขาดูแล้วบอกว่า ทำไมมันใหม่จัง อ้าวแล้วกรูจะรู้เหรอว่าทำไมมันไม่เก่าอ่ะ ก็มันอยู่ในซองพลาสติกนี่หน่า ต้องอธิบายกันตั้งนาน แกก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจเลย ซักถามใหญ่ว่าทำงานเกี่ยวกับอะไร ก็ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องงานกันยกใหญ่ สุดท้ายแกก็บอกว่า อึมคิดว่าคำร้องขอที่จะอยู่แคนาดาของคุณน่ะไม่น่าจะมีปัญหานะ เออ แล้วไงต่อ แต่ว่าผมอยากได้เอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานอันนี้น่ะ แค่นี้น้อยไป หาเอกสารมาประกอบอีกหน่อยนะ แล้วผมจะออกวีซ่าให้ โห... หาอะไรกันอีกล่ะนี่ เลยต้องบอกแกไปว่า คือเอ่อ ผมไม่รู้ว่าจะหาได้หรือไม่นะ มันก็นานมาแล้ว ไม่รู้ว่ามีหลักฐานอะไรหรือเปล่าที่ยังหลงเหลืออยู่ แกก็บอกว่าลองไปเอาเอกสารใบสมัครที่ทำงานปัจจุบันมาซิ น่าจะมีเอกสารอยู่นะว่าเราสมัครด้วยตำแหน่งนี้ ให้ลองไปหามาแล้วรีบส่งมาให้ผมนะ นี่นามบัตรผม แล้วผมจะรีบออกวีซ่าให้ จากนั้นก็ร่ำลากันไป
เดินออกมาจากสถานทูตก็งงๆว่า เออนี่เราจะได้ไหมนี่ แต่ก็โอเคล่ะครับ ไม่มีอะไรนอกเสียจากว่าหาหลักฐานเพิ่มเติม ก็คงไม่มีอะไรมาก หาเท่าที่หาได้ละกัน กลับไปเมืองไทยแล้วค่อยไปว่ากันใหม่ เดินผ่านกลุ่มผู้ประท้วงนิดหน่อย กลับไปที่พัก แล้วก็ออกมาเดินหาร้าน Starbucks เจ้าแรกเสียหน่อยมาถึงซีแอตเติลแล้วให้เห็นเป็นขวัญตาว่าหน้าตาร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงก้องโลกนี้ ร้านแรกเป็นอย่างไร เที่ยวชมเมืองนิดหน่อยก่อนที่จะไปนอน แล้วแพคของกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น งานนี้เรียกว่ามาสัมภาษณ์โดยแท้แน่นอนเลยครับ
หลังจากที่ถึงบ้าน ก็ควานหาเอกสารเก่าเป็นการยกใหญ่ ค้นกองเอกสารต่างๆที่มีอยุ่ในห้อง โชคดีทีว่าเป็นคนขี้เก็บครับ ติดนิสัยมาจากคุณแม่ เก็บตลอดก็เลยเจอนามบัตรเก่าของเรา แล้วเอกสารหนังสือมอบฉันทะจากบริษัทอันเก่าตอนประมูลงาน อันนี้เก่าแน่เหลืออ๋อยเลย จากนั้นก็หาใบสมัครงานอันเก่านี้ ก็ได้ แล้วก็รีบจัดการเขียนจดหมายชี้แจงว่าอะไรเป็นอะไรไปให้สมบูรณ์ พร้อมกับแสดงความขอบคุณสักหน่อยที่กำลังจะให้วีซ่าเรา
หลังจากนั้นสองอาทิตย์ก็ได้รับจดหมายตอบว่าให้นำพาสปอรต์ไปประทับวีซ่าได้ ส่งมาที่ซีแอตเติล แล้วเขาจะส่งกลับไปเองในที่อยู่ที่อเมริกา ไม่ส่งออกนอกอเมริกา เอาแล้วไหมล่ะ ต้องไปรบกวนน้าที่อยู่ที่แอตแลนต้าให้รับเอกสารให้อีก สองเดือนต่อมาก็ได้รับพาสปอร์ตตัวจริง พร้อมวีซ่าเข้าประเทศแคนาดาครั้งเดียวใบเดียว หมดอายุ 8 กุมภาพันธ์ 2004 นั่นคือวันสุดท้ายที่เราจะใช้วีซ่านี้เข้าแคนาดาไปแลนด์ได้ พร้อมทั้งขอใบพีอาร์หรือกรีนการ์ดที่นี่มาเชยชม และเอกสารการแลนด์อีกปึกนึงที่จะต้องนำไปแลนด์ด้วย เสร็จสิ้นกระบวนการเสียที นับจากนี้ไปก็คงต้องคิดกันล่ะว่า จะไปเมื่อไรมีเวลาอีกแปดเดือนในการคิดตัดสินใจว่าจะไปแบบไหน แล้วเอาไว้คิดกันต่อละกัน
อาทิตย์นี้คงต้องออกไปทำงานในฟิลด์สักสี่วัน คงจะไมได้มีเวลามาอัพบล๊อคเล่น โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
Create Date : 04 มิถุนายน 2549 | | |
Last Update : 4 มิถุนายน 2549 11:43:00 น. |
Counter : 336 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Canada - Prepare yourself for an interview
Prepare yourself for an interview: เตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์
หลังจากที่ได้รับแฟ็กซ์จากทางสถานทูตแล้ว โอย ดีใจครับ ลิงโลดเลยทีเดียว คิดว่ายังไงซะก็คงจะได้ไปแน่ๆแล้วล่ะ ไม่ช้าก็เร็ว รุ่งขึ้นอีกวันก็จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินเลยครับ คงจะลางานไปได้ไม่มากนัก ก็กะว่าแค่ไปสัมภาษณ์แล้วพักอีกคืนก็ค่อยกลับ เป็นครั้งแรกที่เดินทางไปกลับระหว่างเมืองไทย และสหรัฐอเมริกาที่สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือสี่วันแล้วก็กลับเหมือนกับว่าไม่ได้จากเมืองไทยไปไหนเลย แค่นั่งเครื่องบินไปเล่นที่ซีแอตเติลเอง
ตอนนั้นโชคดีที่บริษัททีปรึกษายังอยู่ ก็เลยยังมีหนี้ติดค้างกันเรื่องการโค้ชชิ่งสำหรับการสอบสัมภาษณ์ เพราะว่าหลังจากนั้นไม่ได้นานได้ยินข่าวว่า บริษัทปิดตัวหายต๋อมไปแล้ว คืนเอกสารให้กับคนสมัครทีเหลือที่ยังไม่ได้เรียกสัมภาษณ์ให้ไปตามเวรตามกรรมเอาเอง ส่วนเจ้าของบริษัทคิดว่าหอมเงินหลายล้านไปซื้อบ้านหลังโตๆ ที่โตรอนโต้แล้วสบายไป ใครอยากไปตามเอาเงินคืนก็ตั้งกลุ่มฟ้องร้องกัน แต่ก็ไม่ได้ผลสักเท่าไร เพราะว่าเจ้าของหนีไปแคนาดาเรียบร้อยแล้ว คงต้องหาพีอาร์ไปตามล้างตามเช็ดกันต่อไป
เมื่อติดต่อขอโต้ชชิ่งได้แล้ว ก็นัดไปหารือกันว่าจะต้องเตรียมตัวสัมภาษณ์อะไรบ้าง ก็มีเจ้าหน้าที่ท่านนึง มาเปิดเทปของการสัมภาษณ์ให้เราฟัง ไม่รู้ว่าแอบไปอัดมาจากไหน หรือว่าทำทีว่าอัดมาจากสัมภาษณ์ก็ไม่รู้ แต่ก็พอเป็นแนวทางให้เราได้ล่ะ ในเทปฟังว่าเป็นชาวฮ่องกง ที่จะไปอาศัยอยู่ที่นั่น คำถามต่างๆก็เป็นแนวๆ ที่ว่าจะมาด้วยเหตุผลอะไร คิดอย่างไร ทำไมถึงเลือกมาแคนาดา แล้วมีการเตรียมตัวอย่างไร หน้าที่การงานที่ทำคิดว่าจะหางานอย่างไร เป็นในแนวทางพวกนี้ ก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าหน้าที่เขาจะถามอะไรบ้างแล้ว ใช้เวลาประมาณสักชั่วโมงนึงก็เสร็จการโค๊ช จากนั้นก็มีเอกสารแบบคำถามคำตอบมาให้เราได้อ่านเตรียมตัวกันต่อไป ก็คงหมดหน้าที่ของบริษัทที่ปรึกษาเพียงแค่นี้ ก็คงจะไม่ได้พบกันอีกต่อไปแล้ว และก็จริงๆด้วยว่าหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสแวะไปที่นั่นอีกเลย
อาทิตย์ต่อมาก็ได้รับจดหมายเป็นทางการจากสถานทูตส่งมาที่บ้าน ก็แนะนำว่าให้ตรวจร่างกายไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาส่งเรื่องไปอีก ทำให้เวลาเราไปสัมภาษณ์นั้นเรื่องการตรวจร่างกายจะได้ไปรอเอาไว้เลย เหลือเพียงแค่การอนุมัติหลังจากการสอบสัมภาษณ์เท่านั้น แต่ก็อีกนั่นแหละวีซ่าจะมีอายุหนึ่งปันับจากวันที่ตรวจร่างกาย หากตรวจเร็วไป เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ก็ต้องรีบเข้าประเทศแคนาดาให้ทันก่อนวีซ่าหมดอายุ ไม่งั้นก็ต้องไปเริ่มต้นยื่นเรื่องกันใหม่อีก หมอที่ได้รับการอนุมัติให้ทำการตรวจก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ก็เลยเลือกเอาที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ที่เรามีประวัติอยู่แล้วดีกว่า แต่ก็ไม่ได้นำมาใช้สักเท่าไร ตรวจเสร็จก็ต้องจ่ายเงินให้หมอเอาเอกสารไปส่งให้อีก เรานำไปเองไม่ได้เพราะเป็นความลับ กลัวว่าหากเราไปเปิดดูว่าผลการตรวจร่างกายเป็นอย่างไร แล้วจะไปสลับสับเปลี่ยนกันได้ ตรวจเสร็จเลยต้องให้เงินหมอไปอีกพันกว่าบาท เป็นค่าเอกสารลงทะเบียนไปที่ออตาวา
แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว ตั๋วเครื่องบินก็จองแล้ว ตรวจร่างกายก็เสร็จเรียบร้อย ลางานก็ลาแล้ว คราวนี้คงจะถึงเวลาไปสัมภาษณ์ล่ะ แต่ก่อนสัมภาษณ์นี่ซิเจ้าสหรัฐอเมริกากำลังทำท่าจะบุกอิรักอยู่พอดีเลย หิ้มๆกันมาหลายเดือนแล้วไม่ยอมบุกกันสักที ขออย่าให้บุกกันตอนที่เราเดินทางไปเล้ย เดี๋ยวเผื่อเกิดเครื่องบินดีเลย์ ไปไม่ทันซวยแย่เลยเรา เดี๋ยวมาต่อตอนที่เดินทางดีกว่าครับ ออกเดินทางปุ๊บ แหมสหรัฐบุกปั๊บเลย แล้วจะมาเล่าต่อว่าสัมภาษณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ
Create Date : 02 มิถุนายน 2549 | | |
Last Update : 2 มิถุนายน 2549 11:41:01 น. |
Counter : 372 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Canada - Be patient, the time will come
Be patient, the time will come: การรอคอยอันยาวนาน
ต้องขอโทษที่ไม่ได้เข้ามาอัพเดทเรื่องราวต่างๆในช่วงสองอาทิตย์ ที่ผ่านมานะครับ เนื่องจากว่าต้องเดินทางไปเข้าอบรมอีกเมืองนึง ซึ่งเป็นศูนยฝึกอบรมของบริษัท ทำให้ไม่มีเวลาเข้ามาอัพเดทเรื่องราวที่ได้เกริ่นเอาไว้ เพราะการเทรนที่นี่ต้องบอกว่า เป็นแบบตามมาตราฐานจริงๆ คือหากคุณไม่ผ่าน 80% ก็ไม่สามารถที่จะนับได้ว่าคุณได้ผ่านกระบวนการอบรมแล้ว และไม่สามารถที่จะก้าวไปยังตำแหน่งที่สูงกว่าได้ พอกลับมาก็ต้องมาทำงานต่ออีกอาทิตย์นึงเลยทำให้เหนื่อย กว่าจะมาอัพเดทได้ก็ปาเข้าไปเกือบสามอาทิตย์แล้วครับ โชคดีทีได้มีวันหยุดยาวๆหน่อย
หลังจากที่ได้ตัดสินใจว่าเรามีคุณสมบัติในการทำงานแบบนี้ แต่ทำงานมาด้านสายพาณิชย์ อยู่สถานทูตฯเป็นส่วนมาก ไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษาในระดับวิศวกรรมเลย ท่าทางหากจะทำเองนี่ก็คงจะไม่ค่อยจะประสีประสาเท่าไรนัก อาจจะไม่ผ่านในการยื่นให้เทียบเข้ากับวุฒิวิศวฯ ที่เรามีได้ อีกอย่างก็เพื่อเป็นการเร่งตัวเองให้รีบทำเอกสารด้วย ไม่ต้องไปรีรอหาข้อมูลอีกต่อไป ก็เลยตัดสินใจว่าจ้างที่ปรึกษทำเป็นเรื่องเป็นราวซะเลย ค่าจ้างหรือครับ หลายอยู่นะครับ ก็หากมีคนมาทำสักสิบคนนี่ก็ล้านได้ล่ะครับ คิดเอาเองว่าประมาณสักเท่าไร ซึ่งตอนนั้นไม่ซีเรียสมากเรื่องค่าสมัครครับ เคยเสียเงินเยอะๆมาหลายคราแล้ว แค่ตรงนี้ไม่ค่อยจะซีเรียสเท่าไรนัก ถือเอาว่าหากดำเนินเรื่องได้เร็วก็จะได้ประโยชน์กับเราเอง
ตอนนั้นเป็นปลายเดือนสิงหาคม ปี 2000 ครับ ที่เตรียมเอกสารได้หมด แล้วก็นำส่งไปที่ Buffalo ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะว่าตอนนั้นยังสามารถยื่นเรื่องไปสัมภาษณ์ที่สาขาอื่นๆได้นอกเหนือจากสิงค์โปร ด้วยเหตุที่ที่ปรึกษาแนะนำว่าจะมีโอกาสได้เร็วไม่ต้องรอคิวเยอะเหมือนกับที่สิงค์โปร์ ได้รับหนังสือตอบรับจาก Buffalo พร้อมกับเปิดไฟล์ประจำตัวเราเมื่อตอนเดือนมกราคม 2001 ซึ่งตอนนั้นสบายใจว่าหนังสือนั้นมาจากทางสถานทูตเอง อย่างน้อยก็คงไมเสียเงินฟรีๆแล้ว ในเดือนมีนาคม 2001 ได้รับหนังสือย้ายเรื่องจาก Buffalo ว่าเอกสารเราจะถูกส่งไปที่ Seattle เพื่อรอสัมภาษณ์ต่อไป ทุกๆอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีครับ ใช้เวลาที่เหลืออยู่ รอ ร้อ รอ ว่าเมื่อไรจะได้มีการมาเรียกสัมภาษณ์เสียที หลังจากนั้น 12 เดือนผ่านไป ทุกอย่างยังเงียบฉี่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ไม่มีการตอบรับหรือหนังสืออะไรเพิ่มเติมจากทาง Seattle อีกเลย ด้วยใจที่จดจ่อกระวนกระวายอยากได้พีอาร์เร็วๆครับ อยากไปอยู่แคนาดาแล้ว ซึ่งตอนนั้นกำลังไฟแรง หากมาอยู่ได้ณ. ตอนนั้นก็คงได้ลุยเต็มที่ หลักจากที่ไม่ได้เรื่องอะไรตอบรับมา ก็พยายามติดต่อไปที่บริษัทที่ปรึกษาหลายๆครั้ง จนกระทั่งคนที่ดูแลเรื่องของเรา ลาออกไป มีคนใหม่เข้ามา ก็ได้คุยกัน ทำความรู้จักกันใหม่ ตามเรื่องให้ใหม่ แล้วก็เงียบอีก แล้วคนที่มาดูเรื่องของเราคนที่สองลาออกไป บริษัทย้ายที่ใหม่ เริ่มแปลกใจแล้วเหมือนกันว่าทำไมต้องย้ายบ่อย แล้วคนที่มาทำงานต้องลาออกบ่อยๆ ยังดีที่ได้เบอร์โทรศัพท์ของพี่ที่ดูแลเรื่องให้ผมตั้งแต่ตอนแรก ได้โทรไปคุยกันเป็นการส่วนตัว ก็เลยรู้ว่าบริษัทที่ปรึกษานี้เขาทำอะไรให้เราไม่ได้มาก ทุกๆวัน มีแต่คนทีสมัครเอาไว้โทรมาตามเรื่อง แล้วก็โดนด่ากลับไป ทำให้พนักงานเครียดกันทุกคน เพราะว่าไม่รู้ว่าจะบริการได้อย่างไร ในเมื่อมันเกินความสามารถของเขาที่จะไปเร่งให้ทางสถานทูตฯให้พิจารณาเรื่องเร็วๆได้ คนใหม่มาก็โดนต่อว่าอีก เป็นใครก็คงอยู่ไม่ได้เช่นกัน จนกระทั่งเหลือเพียงแต่ผู้ประสานงานที่ยืนหยัดอยู่คนเดียว คงจะได้รับส่วนแบ่งจากงานนี้ด้วย เลยสามารถที่จะรับภาระหนังหน้าไฟแบบนี้ได้ ก็โดนจวกกันไปตามๆกัน หลายเที่ยวทีเดียวที่ต้องคิดต่อกับผู้ประสานงานหญิงคนนี้ และทุกครั้งก็จะได้คำตอบที่เหมือนเดิมคือจะติดตามให้ จะเร่งเรื่องให้ แต่แล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าขึ้นมา
จิตใจที่เร่าร้อนเป็นไฟ ที่จะเตรียมตัวลุยแคนาดาก็จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่คิดว่าจะไปแล้ว หลายๆอย่างที่ดำเนินการมามันไม่เหมือนที่ได้คุยเอาไว้ ได้แต่รอเวลาอย่างเดียว โดยที่ไม่รู้ว่าจะได้อนุมัติเมื่อไร โชตดีที่หูตาสว่างขึ้นมาบ้างได้ไปเสาะหาข้อมูลมาเอง แล้วได้รู้ว่าคิวคนที่รอขอพีอาร์นั้น เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย เอกสารทำกันไม่ทัน ด้วยที่ว่าเจ้าหน้าที่น้อย และต้องดูแลเอกสารตั้งแต่ต้นจนจบเป็นรายๆไป รายได้มีเอกสารไม่ชัดเจน ก็ต้องตามให้ได้อย่างถี่ถ้วนสามารถยืนยันได้ แล้วค่อยมาเรียกสัมภาษณ์กันอีกที ได้เข้าไปสำรวจในเว็บของ CIC ก็รู้ว่าผู้ที่ยื่นเรื่องในปี 2000 นั้นจะต้องได้รับคำตอบ และเรียกสัมภาษณ์ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 2003 ด้วยเหตุที่ทางรัฐบาลแคนาดาได้รับเสียงบ่นมากมายจากผู้สมัครทั้งในและนอกแคนาดา เพราะเขาแต่ละคนเหล่านั้นก็จ่ายค่าสมัครกันหลายร้อยเช่นกัน
ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงมั่นใจว่าไม่นานนักและภายในมีนาคม 2003 จะต้องได้เรียกสัมภาษณ์เป็นอย่างแน่นอน 24 เดือนผ่านไปเหมือนไวเสียนี่กระไร แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2003 เวลาประมาณตีห้า ของเมืองไทย ได้รับโทรศัพท์จากทางสถานทูตซีแอตเติลที่พยายามจะส่งแฟ็กซ์ นัดหมายให้ไปสัมภาษณ์ให้เราให้ได้ ด้วยที่เขาคิดว่าเป็นเบอร์แฟกซ์อัตโนมัติ เลยโทรเข้ามา ด้วยเหตุที่รอคอยอยู่เลยทำให้หูไวในวันนั้น ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพุดกรอกไป ทำให้เขาได้ยินเสียงเรา แล้วก็ได้สนทนากันว่า จะนัดสัมภาษณ์เมื่อไร แล้วมาให้ได้นะ ด้วยความที่ว่าจะต้องส่งจดหมายให้ผู้สัมภาษณ์ได้เตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 60วัน มิฉะนั้นจะถือว่าดำเนินเรื่องไม่สมบูรณ์ ผู้สมัครอาจจะไม่พร้อมที่จะเดินทางมาสัมภาษณ์ได้ และถือว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำตามระเบียบที่ได้วางไว้
เล่ามายาวแล้ว เอาไว้แค่นี้ก่อนดีกว่าครับ คราวหน้าจะมาเล่าถึงเรื่องว่าจะเดินทางไปสัมภาษณ์อย่างไร แล้วทำอะไรบ้าง ติดตามตอนต่อไปครับ
Create Date : 30 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 30 พฤษภาคม 2549 11:54:36 น. |
Counter : 262 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
Canada - Taking a risk in application
Taking a risk in application: เมื่อคิดที่จะเสี่ยงก็ต้องเสี่ยง
หลังจากที่ได้รู้ว่ามีการเปิดให้คนยื่นขอ Permanent Residence เพื่อเข้าไปอยู่ในประเทศแคนาดาแล้วจากบริษัทที่ปรึกษา ใจนึงก็นึกว่าจะจริงไหมหนอ อีกใจนึงก็กลัวว่าจะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ในตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะต้องหาข้อมูลจากที่ไหน มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไปให้ได้โดยเร็ววันเท่านั้นเอง จากที่ดูรอบๆด้านในบริษัทแล้ว ก็เห็นว่าน่าที่จะพอเชื่อถือได้ มีเอกสารหลายๆอย่างเช่นกันที่พอที่จะยอมรับได้ว่าเขาทำธุรกิจด้านนี้จริงๆ
ขณะนั้นตอนที่เราทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ ไม่ได้ทำงานในสาขาด้านวิศวกรรมที่เราเรียนมาตั้งแต่ต้นมากนัก อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการกำหนดเรื่องการขอวีซ่าก็ได้ ซึ่งยังไม่รู้ข้อมูลมากนักว่าจะมีอาชีพไหนบ้างที่สามารถเข้าไปทำงานในแคนาดาได้ และคุณสมบัติอะไรถึงจะต้องผ่าน หากเขาช่วยให้เราไปได้ ก็น่าจะคุ้มเพราะอย่างน้อย เราก็ได้ในสิ่งที่หวังเอาไว้ที่จะได้มาอยู่ที่แคนาดาอย่างจริงจัง ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังถดถอยนั้น อะไรต่างๆก็แพงและแน่ใจทีเดียวว่ามีใครหลายๆคนที่รู้ว่าหากต้องใช้เงินมากในการทำเรื่องเข้าแคนาดา ก็คงจะถอยเหมือนกัน เลยถือโอกาสว่าเมื่อมีคนสมัครน้อย เราก็รีบสมัครเพื่อที่จะได้ให้ได้รับการอนุมัติ พอคนมีเงินกันมากขึ้น มีโอกาสที่จะทำเรื่องได้มากขึ้นก็คงจะมีคนมาแห่สมัครกันเป็นแน่แท้ทีเดียว เลยตัดสินใจในการสมัครและให้บริษัทที่ปรึกษาเป็นคนดำเนินการให้ เพราะอย่างน้อยหากไม่รีบสมัครไม่มีอะไรมาบังคับตัวเรา เราก็คงจะหาเรื่องกว่าจะได้สมัครก็อีกหลายเดือน ทั้งเรื่องประวัติต่างๆ ก็คงจะไม่รีบเร่งทำ ต้องบอกว่าพนักงานที่คุยกับเรานั้น มีอุปนิสัยทีดีมาก และเชื่อมั่นว่าเราสามารถที่จะไปได้ เมื่อตัดสินใจเซ็นต์สัญญาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างต้องรวบรวมให้เสร็จภายในสองอาทิตย์ นี่คือเส้นตายที่บริษัทยื่นมา หากคุณช้า ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยิ่งช้าก็ยิ่งนับเวลาเข้าแคนาดาออกไปเรื่อยๆ
ดังนั้นเราจึงเริ่มเอาเอกสารทุกอย่างทะยอยออกมาตามที่บริษัทต้องการ และก็ทำได้ภายใน 2 อาทิตย์ เช่นกันจากนั้นเอกสารทั้งหมดก็ถูกตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนที่จะส่งไปยังอเมริกา ตามคำแนะนำของบริษัทฯ เพราะว่าหากส่งไปอเมริกา ณ. ตอนนั้นก็จะทำให้ได้รับการสัมภาษณ์เร็วขึ้น แน่นอนว่าไม่มีปัญหาสำหรับการเดินทางไปอเมริกาอย่างแน่นอน มีวีซ่าพร้อมอยู่แล้ว ขอให้ยื่นไปที่ไหนก็ได้เถอะให้ได้เร็วๆก็แล้วกัน สามเดือนจากนั้นก็ได้รับจดหมายตอบรับการสมัครอย่างเป็นทางการจาก บัฟฟาโล แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการทำธุรกิจของเขา อีกเดือนถัดมาหนังสือจากซีแอตเติลได้ส่งมาที่บ้าน บอกว่าได้ย้ายมาที่ซีแอตเติลแล้ว กำลังเดินเรื่องต่อไป และก็จะแจ้งให้ทราบกำหนดการสัมภาษณ์โดยเร็ววัน หลังจากนั้นก็คือการรอ ที่แสนจะทรมาณกับการขอพีอาร์
ช่วงนี้ก็มีเวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับแคนาดามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งได้พบกับแหล่งข้อมูลที่ดีมากของรัฐบาลแคนาดาเอง ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่าการสมัครนั้นสามารถทำได้เอง โดยไม่ต้องพึงใครทั้งนั้น หากเราทำความเข้าใจได้ จากนั้นเป็นต้นมา ก็ใช้เวลาอ่านทุกหน้าทุกตัวอักษรที่เป็นภาษาอังกฤษของเว็บไซต์นั้น แล้วทำความเข้าใจจนถ่องแท้ทุกอย่างว่า ตั้งแต่ต้นจนจบต้องทำอะไรบ้าง มีขั้นตอนอย่างไร แล้วได้มองเห็นว่าที่ปรึกษานั้นไม่มีความหมายทำอะไรไม่ได้จริงๆ
ช่างมันเถอะในเมื่อเสียค่าโง่แล้วก็เสียไป ยังมีเรื่องสอบสัมภาษณ์ที่เขาจะต้องติวเราอีก อย่างน้อยก็ถือว่าเอาประโยชน์จากตรงนี้ล่ะ เอกสารจากบริษัทที่ปรึกษาก็ส่งมายังบ้านเรื่อยๆ ให้อ่านว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร มีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจ อินเตอร์เน็ตในสมัยนั้นยังไม่ได้ใช้เป็นช่องทางในการหาข้อมูลมากนัก เลยต้องพึ่งเอกสารต่างๆ จนกระทั่งได้มีอินเตอร์เน็ตแล้วก็ได้เรียนรู้อะไรจากห้องสมุดไซเบอร์แห่งนี้ว่ามีความสำคัญเพียงใด ทำให้เราได้รู้เรื่องที่จะไป เกี่ยวกับแคนาดา และเมืองต่างๆที่จะไปได้อย่างทุกซอกทุกมุม นี่คือการเตรียมตัวขั้นแรกสำหรับคนที่จะมาอยู่ที่แคนาดา หากไม่รู้ว่าบ้านเมืองเขาเป็นอย่างไร อยู่กันอย่างไร อย่างน้อยก็ต้องสำรวจก่อนว่าจะไปที่ไหน และทำอย่างไร เข็มทิศที่จะตั้งต้นนั้น ควรหันมาที่ไหน เพราะอะไรจะได้เตรียมตัวให้พร้อมเวลามาถึงที่นี่
ตอนหน้าจะบอกเล่าถึงความไม่ได้เรื่องของบริษัทที่ปรึกษาว่าเป็นอย่างไร แล้วทำไมจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เลย ติดตามตอนต่อไปนะครับ
Create Date : 14 พฤษภาคม 2549 | | |
Last Update : 14 พฤษภาคม 2549 8:40:19 น. |
Counter : 265 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
Red Deer, Alberta Canada
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
Hi' I'm ming, born in Bangkok, Thailand. I moved to Canada on February 1, 2006 to settle my life permanently in Alberta. I graduated from Production Engineering, KMIT-NB in 1992 and Master in Marketing, Thammasat University in 2003. Following my graduation, I served as an engineer for oil/gas well services in Thailand, working for Coil Tubing services and drilling technology. Then, working as a Commercial Specialist at U.S. Commercial Service, Department of Commerce, American Embassy in Thailand for 9 years before migrating to Canada.
|
|
|
|
|
|
|
|