ขุนเดช ตอนที่ 1 (ต่อ)



ดาราแกะมือประดับแล้วผลัก ประดับยังตื้อไม่หยุดจะเข้ามาจับมืออีก ดาราเลยต้องเอากระเป๋าถือฟาดใส่ พวกลูกน้องประดับรีบเข้ามาแย่งกระเป๋าของดาราออกไปจากมือ
“เอากระเป๋าชั้นคืนมานะ เอาคืนมา!!”
พวกประดับไม่ยอมคืนให้แถมยังกลั่นแกล้งดาราให้วิ่งวนไปมา ทันใดนั้นเองยงยุทธก็ปรี่เข้ามาชกหน้ามัน..โครม
“หมาหมู่กับผู้หญิงแบบนี้ กลับบ้านไปขอกระโปรงแม่พวกแกใส่เถอะว่ะ”
ประดับมองหน้ายงยุทธอย่างไม่พอใจหันไปพยักหน้าให้พรรคพวกอีกคนปรี่เข้าไปเล่นงาน แต่พอมันพุ่งเข้าใส่ ยงยุทธก็แค่เอี้ยวตัวหลบแล้วสวนกลับด้วยท่าฟันศอกเข้าแสกหน้ากระเด็นเลือดโชกเต็มจมูก
“จะเอาอีกมั้ย ไอ้ตัวหัวหน้าลุยมาเลยก็ได้ จะเตะแข้งให้หักเหมือนเตะต้นกล้วยเลย”
ประดับโกรธขบกรามเอาเรื่องพยักหน้าบอกพรรคพวกทุกคน พวกมันเลยพร้อมใจกันเอามีดสปริงออกมา ดีดมีดออกมาอย่างพร้อมเพรียง ยงยุทธชะงัก
“เวรแล้วไง”ยงยุทธรู้ว่าเจอแบบนี้เอาไม่อยู่แน่เลยรีบถอยไปยืนใกล้ๆ ดารา “จำตอนที่เคยวิ่งแข่งกับผมกับไอ้ขุนเดชได้ใช่มั้ยดารา”
“จำได้”
“ดี…วิ่งให้เร็วกว่านั้นสองเท่าเลยนะ”
“ฮะ” ดาราหันมามองยงยุทธอย่างตกใจ
“วิ่งเลยดารา”
ยงยุทธคว้าข้อมือดาราแล้วตรงไปยันยอดอกประดับจนกระเด็นเพื่อเปิดทางวิ่งพาดาราหนีไปอย่างรวดเร็ว

ยงยุทธจูงมือพาดาราวิ่งหนีพวกประดับที่ไล่กวดมาห่างๆ ดาราเริ่มเหนื่อยจะไม่มีแรงวิ่งตาม ยงยุทธเห็นหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องทำอะไรสักอย่าง
“ดารา...มาทางนี้”
ยงยุทธฉุดดาราเข้าไปหลบที่ซอกแคบๆ ซึ่งมีกองลังกระดาษสุม ที่แคบมากจนตัวต้องเบียดกัน ยงยุทธกอด ดาราไว้แนบอก
“ชู่วววว์ เงียบไว้นะดารา อย่าให้พวกมันได้ยิน”
ดาราพยักหน้ารับแล้วปิดปากเงียบหลับตาปี๋ พวกประดับตามเข้ามาแล้วหยุดมองหา
“หายไปไหนแล้ววะ” พวกประดับมองหา ยงยุทธยิ่งกอดดาราเอาไว้แน่นจนหน้าดาราแทบชิดหน้ายงยุทธ
“สงสัยจะไปทางนั้น ตามไป”
ประดับยกพวกพากันออกไป ยงยุทธหายใจโล่งอกก่อนจะเห็นดาราหลับตาปี๋ซบหน้ากับแผ่นอกเขาตัวสั่นกลัว
“พวก...พวกมันไปรึยัง” ดาราถามทั้งที่ยังหลับตาปี๋
“ชู่ว์...เบาๆ ดารา พวกมันยังไม่ไป”
ดาราอยากรู้เลยค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าพวกนั้นไปแล้ว
“พวกมันไปแล้วนี่...โกหกชั้นเหรอยงยุทธ”
ดาราไม่พอใจทุบหน้าอกยงยุทธเป็นการใหญ่ แต่เพราะที่แคบยงยุทธเลยจับมือดาราไว้แล้วหน้าก็ชิดกันจนเกือบหายใจรดกันได้ ดาราชะงักเมื่อเจอสายตาที่ยงยุทธมองเธอ สองคนสบตากันไปมาได้ครู่
“ดารา”
ดาราสะดุ้งหันไปเห็นขุนเดชก็รีบผลักยงยุทธออกห่างจากตัวเพราะไม่อยากให้ขุนเดชเห็น ยงยุทธหน้าเสียที่เห็นท่าทางของดาราที่กลัวขุนเดชจะเข้าใจผิด

ขุนเดชกับยงยุทธพาดารากลับมาที่บ้าน
“พวกมันเป็นใคร ท่าทางไม่ใช่เพิ่งจะตามรังควาญดาราครั้งแรกแน่”
ยงยุทธถาม ดารามีสีหน้าหนักใจ
“มันชื่อประดับ ชั้นเจอมันตอนที่ตามพ่อไปรับงานหล่อพระให้นายพล”
“นึกแล้ว กร่างซะขนาดนั้นที่แท้ก็ลูกพวกมีสี”
“มันพยายามตามตื้อชั้นมาหลายครั้ง แต่นึกไม่ถึงว่าจะตามมาถึงที่นี่”
“ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง มันคงไม่เลิกยุ่งกับดาราแน่”
“ไอ้อะไรสักอย่างของแก ตรงกับที่ชั้นคิดเลยใช่มั้ยเพื่อน”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากัน ดารารู้สองคนหมายถึงอะไรเลยรีบปราม
“อย่านะ ชั้นห้ามไม่ให้พวกนายไปยุ่งกับมันเด็ดขาด”
“แต่เราปล่อยให้มันมารังควาญดาราแบบนี้ไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงชั้นหรอก ชั้นดูแลตัวเองได้ แต่ชั้นไม่อยากให้พวกนายเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ถ้ามีเรื่องขึ้นมายงยุทธจะทำยังไงจะยอมให้อนาคตตำรวจดับเหรอ” ยงยุทธนิ่งไป “แล้วขุนเดชล่ะ อยากโดนไล่ออกจากศิลปากรเหรอ”
“แต่พวกที่ชอบใช้อำนาจข่มเหงรังแกคนอื่น ถ้าไม่ตาต่อตาฟันต่อฟัน มันไม่มีทางหยุด”
“ขุนเดช”
เถินเดินเข้ามาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“อ้าว...มาสุมหัวทำอะไรกันตรงนี้ นัดกันจะไปเที่ยวไหนเหรอ”
ดาราหันมาลงที่พ่อทันที
“เพราะพ่อคนเดียวเลย เป็นช่างหล่อพระอะไรถึงไปสอนให้คนอื่น ชอบแต่เรื่องตีรันฟันแทง”
ดาราหัวเสียงอนรีบเดินจ้ำเข้าบ้านทันที
“อ้าว...ทำไมลุงโดนลูกด่าซะงั้นล่ะ” เถินทำหน้างง
ดารารีบเดินกลับออกมาอีก เถินตกใจสะดุ้ง ดาราหน้าตึงยังโกรธแต่ก็เอาห่อยาจีนในกระเป๋ามายัดใส่มือขุนเดช
“ยาแก้ปวดหัว กินให้หมดด้วย!”
ดารากำชับขึงขังแล้วเดินเชิดเข้าบ้านไปปิดประตูปังไม่ออกมาอีก
“ไอ้ลูกคนนี้ ตกลงมีเรื่องอะไรกันเนี่ย”

ขุนเดชกับยงยุทธและเถินเดินคุยกันในบริเวณโรงหล่อพระ ซึ่งมีพระพุทธรูปที่หล่อเสร็จแล้วตั้งเรียงรายสวยงาม
“อ๋อ...ที่แท้ก็ไอ้ลูกชายนายพลนั่น เคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามันชอบฉุดผู้หญิงขึ้นรถเป็นคดีอยู่บ่อยๆ แต่เรื่องก็เงียบทุกที”
“บารมีพ่อที่สนับสนุนให้ลูกทำแต่เรื่องเลวๆ แบบนี้ไม่สมควรให้ชาวบ้านเคารพ”
สีหน้าของขุนเดชดูท่าทางจะโกรธจริงๆ จังๆ ยงยุทธเองก็มีอารมณ์ร่วม
“เฮ้ยๆ พวกเอ็งสองคนอย่าได้ไปยุ่งกับมันเชียวนะ ข้ามันนักเลงเก่า ไอ้เรื่องแบบนี้ผ่านมาหมดแล้ว ใจร้อนวู่วามไปสุดท้ายก็พังกันหมด ข้าถึงต้องเลิกหันมาหล่อพระนี่ไง”
“พูดแบบนี้ลุงไม่ห่วงลูกสาวเหรอ”
“ว่ะไอ้ยงยุทธ...ลูกสาวคนเดียวข้าก็ต้องห่วงสิวะ แต่ข้าจะคอยกำชับดาราไม่ให้ไปไหนมา ไหนคนเดียว จะได้ตัดปัญหาพอมันมายุ่งไม่ได้ เดี๋ยวมันก็เบื่อไปเอง”
ขุนเดชกับยงยุทธนิ่งไป ระหว่างนั้นลูกจ้างของเถินรีบเดินเข้ามาหน้าตาเคร่งเครียด
“พี่เถิน แย่แล้วพี่ พระพุทธรูปที่นายพลสั่งให้เราหล่อถวายวัด โดนสั่งยกเลิกหมดเลย แถมใบสั่งของคนอื่นก็ระงับหมด อยู่ๆ ก็บอกว่าจะไปจ้างโรงหล่ออื่นแทน เอาไงดีพี่”
“จะเอาไง...ก็ชิบหายน่ะสิ” เถินหันมาหน้าเครียด “มีเรื่องกับลูกมันไม่ทันไร มันเล่นกูซะแล้ว”
ขุนเดชกับยงยุทธได้ยินเต็มๆ สองคนหันมามองหน้ากันโดยไม่ต้องนัด

เย็นวันนั้นภายในห้องน้ำของวัดที่เป็นบ่อน้ำรวมให้ตักอาบ ยงยุทธนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโชว์กล้ามตักน้ำราดใส่ตัวแล้วถูสบู่ใหญ่ ขุนเดชนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวโชว์กล้ามเข้ามาอาบเหมือนกัน สองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“ทำไมวันนี้รีบมาอาบน้ำแต่เย็นเลยวะไอ้ยงยุทธ”
“แล้วแกล่ะ”
“วันนี้ชั้นต้องท่องหนังสือ เลยรีบมาอาบก่อน”
“ชั้นก็ต้องท่องหนังสือเหมือนกัน”
ขุนเดชหรี่ตามองเพื่อนรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร ขุนเดชรีบตักน้ำในบ่อขึ้นมาอาบซู่ๆๆ แล้วรีบถูสบู่ ยงยุทธเองก็รู้ว่า ขุนเดชคิดอะไรอยู่หรี่ตามองแล้วรีบจ้วงน้ำมาอาบเร่งทำเวลาแข่งกับขุนเดช สองคนแข่งกันอาบน้ำสุดฤทธิ์

ขุนเดชกับยงยุทธนั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือ กางตำราเรียนทำทีเป็นสนใจกับการท่องตำราแต่อ่านตำราไปหางตาก็เหลือบมามองกันเอง ระหว่างนั้นหลวงพี่เดินเข้ามาดู
“สงสัยวันนี้ฝนจะตก พวกเอ็งถึงมานั่งท่องตำรากันแต่หัวค่ำ”
“คืนนี้อยากนอนเร็วครับหลวงพี่”
“อยากนอนเร็วหรืออยากไปทำอย่างอื่นว่ะไอ้ยงยุทธ” ขุนเดชถามอย่างรู้ทัน
“แล้วแกล่ะไอ้ขุนเดช” หลวงพ่อย้อนถาม
“วันนี้ผมง่วงมากอยากรีบนอนครับหลวงพี่”
“แน่ใจเหรอวะว่าง่วงจริงๆ” ยงยุทธถาม
ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองหน้ากันอย่างรู้ทัน
“เอาล่ะๆ ท่องตำราเยอะๆ น่ะดี หลวงพ่อจะได้หายห่วงเรื่องเรียนของพวกเอ็ง เสร็จแล้วก็ดับตะเกียงด้วยล่ะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาช่วยบิณฑบาต”
“ครับหลวงพี่”
สองคนตอบหลวงพี่ไปแต่ก็ยังมองหน้ากันอยู่อย่างทันเชิงกัน

ไฟจากตะเกียงที่สว่างเห็นได้จากหน้าต่างดับลง ภายในกุฏิขุนเดชกับยงยุทธนอนอยู่ในมุ้งของตัวเองคนละมุมห้อง
“เฮ้ย...ขุนเดช ชั้นหลับแล้วนะเว้ย” ยงยุทธบอก
“เออ...ชั้นก็ง่วงแล้ว หลับแล้วเหมือนกัน” ขุนเดชบอก
“หลับแล้วยังพูดอยู่ทำไมวะ”
“แกก็หุบปากสิวะ”
ยงยุทธกับขุนเดชนอนตะแคงหันหลังให้กัน
ฝั่งขุนเดชปากทำเป็นบอกว่าง่วงนอนแต่หน้าตายังขึงขังจริงจัง มือเอื้อมไปหยิบบางอย่างออกมาจากใต้หมอน มันคือดาบไม้ที่เตรียมพร้อมสำหรับการมีเรื่อง ขุนเดชกำดาบไว้แน่นก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองที่มุ้งของยงยุทธ เห็นเงาตะคุ่มๆ ของยงยุทธนอนอยู่ในมุ้ง ขุนเดชแน่ใจว่ายงยุทธหลับไปแล้วเลยค่อยๆ เลิกมุ้งออกแล้วเดินไปที่ประตูจะเปิดออกไป แต่ประตูดันเปิดไม่ออก เพราะถูกล็อคจากข้างนอกพยายามเขย่าแต่เปิดยังไงก็เปิดไม่ออก
ขุนเดชสงสัยรีบไปเปิดมุ้งยงยุทธดู เห็นมีแต่หมอนที่ซุกอยู่ในผ้าห่ม ส่วนยงยุทธหายไปแล้ว
“ไอ้ยงยุทธ !!”

หน้าไนต์คลับ ประดับกับพวกลูกน้องเมาแอ๋หิ้วนักร้องในไนต์คลับออกมา ประดับชวนนักร้องสาวสวยที่สุดในกลุ่มขึ้นรถ พวกลูกน้องจะขึ้นตาม
“เฮ้ยๆๆๆ...พวกเอ็งไม่ต้อง...แยกย้ายกันได้แล้ว บ้านใครบ้านมันเว้ย”
“ขอตามไปดูอย่างเดียวไม่ได้เหรอครับลูกพี่”
“จะดูเหรอ...ได้”
ประดับเดินเข้าไปหาลูกน้องแล้วเปิดเอวให้ดูปืนที่พกอยู่
“สำหรับพวกเอ็ง ให้ดูได้แค่ลูกปืน แต่สำหรับคนสวยในรถข้าให้ดูปืนทั้งดุ้นเลย ฮ่าๆๆๆ”
ประดับตบหน้าลูกน้องหยอกเย้าเบาๆ หัวเราะร่าแล้วเดินไปขึ้นรถพานักร้องสาวออกไปด้วยกันสองต่อสอง
ประดับขับออกไปผ่านยงยุทธที่ซุ่มมองอยู่ ยงยุทธมีสีหน้าเอาจริงจะตามไปแต่ขุนเดชยื่นมือมาจับไหล่รั้งไว้
“แกคนเดียวจะสู้กับลูกปืนมันเลยเหรอวะไอ้ยงยุทธ”
“ไอ้ขุนเดช! อย่ามายุ่งนะเว้ย กลับวัดไปซะ คนเดียวชั้นเอาอยู่”
“แต่ชั้นปล่อยให้แกไปมีเรื่องคนเดียวไม่ได้”
ยงยุทธผลักอกขุนเดช
“ดาราเขาชอบแก เขาถึงเป็นห่วงหาซื้อหยูกยาให้ กำชับไม่ให้แกมีเรื่องกับไอ้ประดับ แต่ชั้นไม่เคยอยู่ในสายตาของดารา เพราะฉะนั้น...ชั้นมีเรื่องได้”
ขุนเดชอึ้ง
“ไอ้ยงยุทธ...นี่แก”
ยงยุทธมองหน้าขุนเดชแล้วหันไปที่พวกลูกน้องประดับที่ยังสุมหัวกันอยู่หน้าไนต์คลับ
“เฮ้ย...พวกเอ็ง ใครอยากโดนกระทืบก็เข้ามาเลย”
พวกลูกน้องประดับหันมา จำได้ว่าเป็นยงยุทธที่เพิ่งจะมีเรื่องไปเมื่อกลางวัน พวกมันรีบวิ่งเข้ามาทันที ยงยุทธหันมาที่ขุนเดชแล้วชกท้องขุนเดชทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว ขุนเดชจุกตัวงอ
“ขี้กลากอย่างพวกมันแกคนเดียวรับมือสบาย ส่วนไอ้ขี้โอ่ลูกนายพลนั่น ชั้นจะสั่งสอน มันไม่ให้มายุ่งกับดาราอีก”
ยงยุทธบอกแล้วรีบไป ขุนเดชจะตามแต่ยังจุกอยู่ แถมพวกลูกน้องประดับตามเข้ามาอีก

รถของประดับจอดที่ข้างถนนเปลี่ยว ประดับปลุกปล้ำอยู่กับนักร้องสาวที่เบาะหลังรถ
“ไปโรงแรมไม่ดีกว่าเหรอพี่ เดี๋ยวตำรวจก็มาเห็นเข้าหรอก” นักร้องบอก
“ตำรวจเห็นสิดี จะได้โชว์หนังสดให้ดู”
ประดับไม่สนใจแสดงอาการหื่นปลุกปล้ำนักร้องต่ออย่างเมามันส์ ทันใดนั้นเสียงกระจกแตกดัง...เพล้ง!!
ประดับชะงักตกใจรีบหันไปดูก็พบว่ากระจกมองข้างรถตัวเองแตกกระจาย ประดับรีบลงจากรถ
“เฮ้ย...กระจกรถกู ใครวะ...ใครมาทะลึ่งกับกู”
ประดับพยายามหันไปมองรอบๆ แต่ไม่เห็นใครเลย เสียงกระจกข้างรถยนต์อีกอันแตกดังเพล้งอีก
“ไอ้เวรเอ้ย...โผล่หัวออกมานะเว้ย ไม่รู้ซะแล้วว่ากูลูกใคร”
ยงยุทธก้าวออกมาโดยมีผ้าขาวม้าพันปิดหน้าเหลือแค่ลูกตา ในมือมีหนังสติ๊กเป็นอาวุธยิงกระจกรถของประดับ
“มึงเป็นใคร...มาหาเรื่องกูแบบนี้ อยากโดนกูยิงไส้แตกใช่มั้ย”
ประดับชักปืนออกจากเอวแล้วจะยิงใส่ แต่ยงยุทธไวกว่ายิงหนังสติ๊กโดนเข้าที่มือทำให้ปืนหลุดจากมือประดับ
นักร้องสาวเห็นท่าทางไม่ได้เรื่องเลยรีบหอบเสื้อผ้าวิ่งหนี ประดับเห็นไอ้โม่งกวักนิ้วเรียกให้ตามไปก็ขบฟันกรอด
“ยั่วกูเหรอ...มึงตายแน่”

ขณะนั้นขุนเดชกำลังต่อสู้อยู่กับพวกลูกน้องประดับ 4 คน ขุนเดชใช้ดาบไม้สู้กับพวกมันที่มีมีดสปริงเป็น อาวุธ ทั้งจ้วงทั้งแทง แต่ขุนเดชจัดการได้หมด 3 คนลงไปนอนเจ็บระบมมือข้อมือและลำตัวเพราะโดนขุนเดชใช้ ดาบไม้ฟาดสั่งสอน เหลือคนสุดท้ายที่อยากลองดีปรี่เข้ามาแทง ขุนเดชตั้งรับได้แล้วจะฟันสวนกลับแต่อาการปวดหัวแปล่บขึ้นมาซะก่อน ขุนเดชเริ่มปวดหัวแต่ก็ยังไม่หยุดมือ ตามฟาดฟันไปเรื่อย พวกคนร้ายตกใจหลบเป็นพัลวัน

ขุนเดชปวดหัวแล้วนึกถึงเหตุการณ์ตอนเด็ก ขุนเดชตอนเด็กอยู่ในอาการอาการตื่นตระหนกตกใจ ร้องครวญครางเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลุ้มคลั่งเที่ยวฟาดฟันทุกอย่างรอบตัว
“นี่แน่ะ...ตาย...ตายให้หมด...ตาย...ตาย ข้าจะฆ่าให้ตายให้หมด”
หลวงพ่อสุขเห็นอาการของขุนเดชถึงกับผงะอึ้ง ภาพพ่อถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาอย่างสยดสยองทำให้ขุนเดชช็อกจนขาดสติ หลวงพ่อสุขต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ขุนเดชสงบจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาขุนเดชพร้อมกับตั้งจิตอฐิษฐาน แผ่เมตตาให้ ขุนเดชฟาดฟันอย่างบ้าคลั่งไม่รู้ว่ามีพระกำลังเข้ามา แต่เรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อหลวงพ่อสุขเข้าไปเกือบถึงตัว ขุนเดชก็เริ่มสงบและคุกเข่าร้องห่มร้องไห้สะอึกสะอื้น หลวงพ่อสุขลูบหัวขุนเดชอย่างเวทนาก่อนจะเป่ากระหม่อม ขุนเดชแน่นิ่งหมดสติไปแทบจะคาตักหลวงพ่อสุขที่ลูบหัวขุนเดช
“เวรกรรม...นี่มันเวรกรรมอะไรของเอ็ง...ขุนเดช”

กลับมาปัจจุบัน ขุนเดชไล่ฟาดฟันมั่วไปหมดจนพวกคนร้ายตกใจหนีกระเจิง ขุนเดชจึงหยุดอยู่ในท่าชันเข่าปัก ดาบไม้ลงพื้นหน้าก้มลงมองพื้นดิน ฟ้าร้องครืนๆ น่ากลัว ขุนเดชค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแววตาของขุนเดชเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่ขุนเดชคนเดิม เป็นแววตาที่น่ากลัว เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว ราวกับว่ายักษ์ทวารบาลที่เฝ้าหน้าประตูโบสถ์ได้เข้าสิงสู่ในร่างของขุนเดช

ดาราก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเตรียมสอบ มีหนังสือและภาพเกี่ยวกับโบราณสถานมากมายกองอยู่เต็มโต๊ะ
เถินอาบน้ำอาบท่าเสร็จเดินผ่านมาเห็นลูกกำลังขมักเขม้น
“นี่ลูกต้องดูหนังสือพวกนี้หมดเลยเหรอดารา”
“จ้ะพ่อ...ถ้าดาราเข้าศิลปากรได้เมื่อไหร่ จะได้ทำคะแนนได้ไม่น้อยหน้าขุนเดช”
เถินยิ้มรับลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดูแล้วหันไปเห็นภาพวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งอย่างสนใจ
“นี่รูปอะไรเหรอลูก”
“ไหนจ๊ะพ่อ...อ๋อ...ภาพถ่ายประตูทวารบาลไม้แกะสลัก จากประตูปรางค์วัดมหาธาตุ เมืองเชลียง ศรีสัชนาลัยจ้ะ”
“ทวารบาล ผู้พิทักษ์ปกป้องพุทธสถานตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชน”
“จ้ะพ่อ…พ่อนี่ตาถึงนะ ทวารบาลไม้แกะสลักอันนี้เป็นชิ้นที่เก่าแก่ที่สุด มีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์และความเชื่อของคนไทยเลย”
“ไอ้เรื่องนั้นพ่อไม่ทันคิดถึงหรอก สนใจดาบที่อยู่ในมือเทวดาท่านต่างหาก ท่านคงจะทำหน้าที่ปกป้องพุทธสถานอย่างถึงที่สุด…สู้จนดาบหัก”
“พ่อ! คิดแต่เรื่องแบบนี้อยู่เรื่อย คงจะแตกหักเสียหายก่อนจะมีคนไปค้นพบต่างหาก”
เถินยิ้มรับ
“พ่อไม่กวนแล้ว อ่านหนังสือต่อเถอะ”
เถินเข้าห้องนอนไป ส่วนดาราหยิบภาพถ่ายทวารบาลขึ้นมาดูแล้วอดคิดคล้อยตามพ่อไม่ได้เหมือนกัน
“หรือที่พ่อคิดจะเป็นเรื่องจริง…” ดารานิ่งไปแล้วส่ายหน้า “ไปกันใหญ่แล้วเรา”
ดาราวางภาพทวารบาลแล้วหันไปอ่านหนังสือต่อ
จบตอน 1

ขุนเดช ตอน 2.1
ประดับถือปืนตามเข้ามาถึงบริเวณชุมทางรถไฟเปลี่ยว
“มึงแน่จริงก็ออกมาลุยกับกูสิวะ อย่าดีแต่หลบ ไอ้ขี้ขลาด”
เสียงคนวิ่งผ่านข้างหลังไป ประดับหันกระบอกปืนไล่ยิง...ปังๆๆๆๆ
เสียงปืนดังสนั่นก้องไปทั่วบริเวณ ยงยุทธหลอกล่อให้ประดับยิงปืนจนหมดลูกโม่แล้วจึงโผล่มาข้างหลังขณะที่
ประดับกำลังเติมกระสุนปืน ประดับหันปากกระบอกปืนมา ยงยุทธจับข้อมือบิดปืนร่วงแล้วซ้ำด้วยหมัดเข่าศอก เล่นงานจนประดับทรุด
“ยอมแล้วๆๆ อยากได้อะไรก็เอาไป”
ประดับรีบปลดนาฬิกาข้อมือ แหวน สร้อย ราคาแพงให้
“กูไม่ได้มาปล้นมึง...แต่กูจะสั่งสอนให้มึงจำใส่กะโหลกเอาไว้ พ่อมึงไม่ได้ใหญ่คับฟ้า อยู่คนเดียว ถ้ามึงยังไม่
เลิกรังควาญคนอื่น กูจะตามล่ามึงเหมือนหมาล่าเนื้อ”
“จ้ะๆ...สาบาน จะให้ทำอะไรยอมแล้วจ้ะ”
ประดับรีบก้มลงกราบสายตาก็เหลือบไปที่ท่อนไม้ใกล้ๆ มือ ยงยุทธสั่งสอนประดับจนพอใจแล้วก็จะเดิน
ออกไป แต่ประดับเงยหน้าขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มร้ายพร้อมกับคว้าท่อนไม้ตามไปฟาดเข้าที่ท้ายทอยยงยุทธเต็มแรง...ผัวะ
ยงยุทธโดนเข้าอย่างจังตั้งตัวไม่ติด ประดับตามไปใช้ท่อนไม้ในมือกระหน่ำฟาดใส่ยงยุทธไม่ยั้ง
“จะเป็นหมาล่าเนื้อกูเหรอไอ้สวะ...อย่างมึงก็แค่หมาขี้เรื้อนให้กูไล่กระทืบนั้นแหละโว้ย”
ประดับกระหน่ำฟาดๆๆๆ จนยงยุทธเจ็บระบมไปทั้งตัวและหมดสติ ประดับเห็นยงยุทธลุกไม่ขึ้นก็เข้าไป
กระชาก ผ้าขาวม้าที่พันหน้าออก เลยรู้ว่าเป็นยงยุทธ
“ที่แท้ก็มึงนี่เอง ไอ้เด็กวัด...งั้นแค่นี้ยังไม่หนำใจกูหรอก...หึๆๆๆ”

ยงยุทธในสภาพหมดสติถูกสาดน้ำเข้าหน้าจนรู้สึกตัวแล้วพบว่าตัวเองถูกจับมัดขึงอยู่กับรั้ว ในท่ากางเขน
ส่วนประดับเอากระเป๋าสตางค์ของยงยุทธมาค้นดู
“กล้ามากนะมึง เป็นแค่นักเรียนตำรวจแต่คิดจะตั้งศาลเตี้ยมาเล่นงานกู”
“ไอ้สารเลว...ถึงเวลาของกูเมื่อไหร่ มึงไม่ได้มายืนกร่างแบบนี้แน่”
“คิดว่ามึงจะมีโอกาสแบบนั้นเหรอ...อวดเก่งกว่ามึงยังโดนพ่อกูดองเค็มเลย แล้วอย่างมึงน่ะเหรอ หมดอนาคต
ได้ใส่เครื่องแบบตั้งแต่วันนี้แล้ว”
ประดับปากระเป๋าสตางค์ใส่หน้า ยงยุทธเจ็บใจพยายามจะดิ้นให้หลุดจากเชือกที่มัดตัวแต่ดิ้นไม่หลุด
“กูไม่สนเครื่องแบบเว้ย ถ้ามึงไม่เลิกยุ่งกับครอบครัวของดารา กูจะเป็นเงาตามล่ามึง”
ประดับหัวเราะ
“เอาตัวเองไม่รอดแล้วยังเห่าอีก...ไอ้หมาขี้เรื้อนเอ้ย!!”
ประดับฮุคเข้าที่ท้องยงยุทธอย่างแรงเล่นเอาจุกตัวงอ ประดับซ้ำอีกหมัดเข้าที่หน้า ยงยุทธเลือดกลบปากก่อน
จะมองไปเห็นเงาตะคุ่มดำๆ ยืนอยู่ข้างหลัง ยงยุทธหรี่ตามอง
“ขุน…ขุนเดช”
ประดับสงสัยหันกลับไป เงาตะคุ่มนั้นก้าวเข้ามาเผยให้เห็นว่าเป็นขุนเดชที่มีดาบไม้ในมือ แต่ใบหน้าและ
ท่าทางนั้นดูไม่เหมือนขุนเดชคนเดิม ดวงตาแข็งกร้าวน่ากลัวราวกับยักษ์
“มีพรรคพวกมาด้วยเหรอ…มาเลย…อยากโดนลูกปืนกูแสกหน้าก็เข้ามา”
ประดับชักปืนขึ้นแล้วจะยิงแต่ขุนเดชตวัดดาบไม้ในมืออย่างรวดเร็ว...ฟึ่บ !!
ประดับร้องครวญครางโอดโอยดังลั่นเพราะโดนฟาดเข้าที่ท่อนแขนจนแขนหัก
“โอ๊ยยยยย…ช่วยด้วย….แขน…แขนกู…โอ้ยยยยยย”
ประดับดิ้นพราดๆ เจ็บปวดครวญคราง ขุนเดชยืนมองด้วยสายตาดุดันไร้ความปรานี
“ขุนเดช”
ยงยุทธพยายามเรียกแต่ดูเหมือนว่าขุนเดชจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ย่างสามขุมเข้าหาประดับ
“อย่า…อย่านะ...ชั้น…ชั้นยอมแล้ว ชั้นจะปล่อยพวกแก จะไม่ยุ่งกับพวกแกอีก”
ขุนเดชไม่ฟังฟาดดาบใส่ ประดับเอี้ยวตัวหลบได้อย่างหวุดหวิดก่อนจะรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดออกไปทันทีขุนเดช
มองตามด้วยแววตาเอาเรื่องเดินไล่ตามมันไปอย่างสุขุมแต่น่ากลัว
“อย่านะเว้ยขุนเดช อย่าทำอะไรบ้าๆ...ทำไมมันไม่ฟังเลยว่ะ เกิดอะไรขึ้นกับมันวะเนี่ย”
ยงยุทธชักสังหรณ์ใจไม่ดีพยายามออกแรงบิดข้อมือดึงเชือกที่มัดเอาไว้ให้คลายปมอย่างแรง

ประดับล้มลุกคลุกคลานร้องเจ็บปวดโอดโอยเพราะแขนหัก
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...โอ้ยยยย”
ประดับพยายามจะหนีต่อแต่ขุนเดชก้าวเข้ามายืนขวาง ประดับผงะรีบวิ่งหนีไปอีกทางแต่ขุนเดชสะบัดดาบไม้
พุ่งไปปักที่พื้นขวางทาง ประดับใช้มืออีกข้างที่ยังใช้การได้รีบดึงดาบขึ้นมาแล้วหันมาใช้จู่โจมขุนเดช ขุนเดชหลบหลีกการฟาดฟันของประดับได้อย่างง่ายดายเหมือนสอนเชิงมวยให้เด็กประถม ล่อให้ประดับไล่ฟาด ฟันจนเหนื่อยหอบ ขุนเดชจึงสวนกลับด้วยหมัดเข้าดั้งประดับอย่างจัง ประดับหงายหลังเลือดเต็มหน้า ขุนเดชตามไปหยิบดาบไม้ขึ้นมา วาดเชิงดาบด้วยท่วงท่าดูน่าเกรงขาม
“มึงตาย!!”
ขุนเดชฟาดดาบลง ประดับเหวอตาตั้ง แต่ทันใดนั้นยงยุทธตามเข้ามาใช้ท่อนไม้รับดาบไม้ของขุนเดชไว้ ก่อนที่
จะเข้าตีแสกหน้าประดับได้อย่างเฉียดฉิว
“หยุดได้แล้วขุนเดช แค่สั่งสอนมันก็พอ”
ขุนเดชตาแข็งกร้าวมองแล้วออกแรงกดดาบไม้ลงไป ยงยุทธต้องรับแรงเพิ่มขึ้นจนแปลกใจ เพราะนั่นไม่ใช่
สายตาของเพื่อนรักที่เคยรู้จัก
“ขุนเดช...หยุดเถอะ เป็นอะไรของแกวะ ไม่ได้ยินที่ชั้นพูดเหรอไง” ขุนเดชไม่รู้สึกตัวยิ่งออกแรงกดยงยุทธถึงกับ
เข่าทรุด “นี่แกเป็นบ้าไปแล้วเหรอ มีสติหน่อย ถ้าแกฆ่ามัน แกจะเป็นฆาตกร!”
ยงยุทธออกแรงขืนดันขุนเดชออกไปอย่างแรง ประดับอาศัยช่วงชุลมุนรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด ขุนเดชลุกขึ้นได้ก็จะตามประดับไป แต่ไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ขุนเดชก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง...โอ๊ย!
ยงยุทธตกใจรีบเข้าไปประครองเพื่อน
“ขุนเดช...ขุนเดช”
“ยงยุทธ…”
ขุนเดชเรียกชื่อเพื่อนออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา สายตาพร่าเลือนก่อนจะหมดสติคาอ้อมแขนเพื่อน
“ขุนเดช...ไอ้ขุนเดช”
ยงยุทธประครองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ระหว่างนั้นแสงไฟจากรถคันหนึ่งขับผ่านเข้ามา ก่อนจะมาจอดใกล้ๆ อาจารย์ประทีปที่ขับรถจี๊ปผ่านมารีบลงจากรถมาดูด้วยความสงสัย
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคุณ”

รถจี๊ปของอาจารย์ประทีปแล่นมาจอดที่หน้าศาลาวัด ยงยุทธประครองขุนเดชลงมาพากลับที่พัก
“แน่ใจเหรอว่าจะไม่พาเพื่อนไปหาหมอสักหน่อย” อาจารย์ประทีปถาม
“ไม่เป็นไรหรอกครับเพื่อนผมมันเป็นแบบนี้ประจำเดี๋ยวก็หาย ขอบคุณมากนะครับ” ขุนเดชแรงไม่ค่อยมียงยุทธต้องประครองขึ้นมา “ถึงวัดแล้ว แข็งใจหน่อยนะเว้ยไอ้ขุนเดช”
ขุนเดชพยักหน้ารับอย่างอ่อนแรงก่อนจะให้ยงยุทธช่วยพาเข้าไป อาจารย์ประทีปได้ยินชื่อที่ยงยุทธเรียกขุนเดชแล้วรู้สึกสะดุดคุ้นหู แต่หันมาอีกทีไม่เจอสองหนุ่มนั่นแล้ว และได้เห็นพระสงฆ์ท่าทางน่าเลื่อมใสองค์หนึ่งยืนมองมาจากบนศาลาแทน อาจารย์ประทีปยกมือไหว้ หลวงพ่อสุขพยักหน้ารับไหว้ก่อนจะเดินกลับเข้าไป อาจารย์ประทีปมีความรู้สึกเหมือนเคยพบเคยเจอพระองค์นี้ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก

วันต่อมาลูกน้องประดับ 5-6 คนพร้อมอาวุธปืน ขับรถเข้ามาจอดถึงหน้าโบสถ์ หลวงพ่อสุขก้าวออกมาจากโบสถ์ด้วยท่าทีสงบ
“หยุดอยู่แค่นั้นเถอะโยม อาตมาขอ ที่นี่เป็นเขตวัด คงไม่เหมาะถ้าโยมจะนำอาวุธเข้ามา”
ประดับก้าวออกมายืนหน้าพวกลูกน้องที่แขนของประดับต้องเข้าเฝือก หน้าตายังมีรอยฟกช้ำ ใบหน้ากวนๆ
“ผมก็อยากทำตามคำขอของหลวงพ่อ แต่ในเมื่อที่นี่เลี้ยงอันธพาลเอาไว้ ผมคงเลี่ยง ไม่ได้ที่จะต้องให้คนของผมนำอาวุธเข้าไปจับกุมพวกมัน”
ประดับหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องที่มาด้วยบุกเข้าไปในวัด
“ค้นให้ทุกตารางนิ้ว หาพวกมันให้เจอ”
พวกลูกน้องพากันยกกำลังกระจายออกไปตรวจค้นโดยไม่มีการขออนุญาตจากหลวงพ่อสุข
“จะไม่อธิบายให้อาตมาฟังสักหน่อยเลยเหรอโยมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ประดับก้าวเข้ามามองหน้าหลวงพ่อสุขด้วยสีหน้าไม่เกรงใจผ้าเหลือง
“หลวงพ่อเห็นนี่มั้ย...” ประดับชี้เฝือกที่แขน “ที่ผมต้องเป็นแบบนี้เพราะฝีมือลูกศิษย์อันธพาลของ หลวงพ่อ เพราะฉะนั้นอย่าว่าผมไม่เกรงใจพระเลย ไว้ยกมือไหว้ได้เมื่อไหร่ ผมจะกลับ มาไหว้ขอขมาทีหลัง”
ประดับเดินผ่านหลวงพ่อสุขไปอย่างหยิ่งยโส กร่างได้แม้แต่กับพระสงฆ์องคเจ้า
ขณะนั้นยงยุทธกำลังเร่งรีบเก็บข้าวของส่วนตัวใส่กระเป๋าเตรียมหนี ยงยุทธหันไปเร่งขุนเดชที่หยุดนิ่งคิดบางอย่าง
“เร็วเข้าสิวะขุนเดช...พวกมันมากันแล้วนะเว้ย”
ขุนเดชตัดสินใจ
“ยงยุทธ...อีกไม่กี่ปีแกก็จะได้เป็นตำรวจ ไม่สมควรที่แกจะเอาอนาคตมาทิ้งแบบนี้ ชั้นจะรับผิดชอบเอง”
ขุนเดชจะเดินออกไปแต่ยงยุทธรีบเข้ามาขวางแล้วผลักอกเพื่อน
“แล้วไอ้อนาคตนักวิชาการโบราณคดีของแกล่ะ หน้าที่ปกป้องหลักฐานของมนุษยชาติ ปกป้องรากเหง้าของประเทศนี้ล่ะ แกจะทิ้งมันไปเหมือนกันเหรอ”
ขุนเดชนิ่งไปครู่
“แต่ชั้นเป็นคนเล่นงานมัน ชั้นก็ควรจะต้องกลับไปรับผิดชอบ”
ยงยุทธกระชากคอเสื้อขุนเดชมาจ้องหน้า
“นั่นไม่ใช่แก ตอนนั้นแกบ้าเลือดจนลืมตัวต่างหาก ขนาดชั้นเรียกเท่าไหร่แกก็ไม่รู้ตัว ชั้นจะไม่ปล่อยให้แกกลับไปเจอหน้ามันอีก”
ขุนเดชกับยงยุทธมองหน้ากันอย่างลูกผู้ชาย

พวกลูกน้องประดับเข้าตรวจค้นทั่วบริเวณวัด บุกขึ้นศาลาเข้าไปรื้อค้นกระจุยกระจาย บุกเข้าไปในโบสถ์ ตามหาแม้กระทั่งหลังองค์พระประธาน จนพวกพระ เณร เด็กวัดพากันตกใจกลัว

ขุนเดชมองหน้ายงยุทธแล้วตัดสินใจ
“ยงยุทธ...ชั้นดีใจที่หลวงพ่อพาชั้นมาเลี้ยงและให้ชั้นได้รู้จักแก แกเป็นเพื่อนตายของชั้น เพราะฉะนั้น ชั้นจะไม่ยอมให้แกต้องเดือดร้อนเด็ดขาด”
ขุนเดชผลักยงยุทธแล้วจะออกไป ยงยุทธไม่ต้องการให้ขุนเดชเสียสละแบบนี้เลยหันไปคว้าแจกันทองเหลืองมาฟาดใส่ที่ท้ายทอยขุนเดชทันที...พลัก !! ขุนเดชทรุดฮวบหมดสติ
“แต่ถ้าดาราต้องเสียใจเพราะจะไม่ได้เจอแกอีก ชั้นก็ต้องเดือดร้อนเหมือนกัน”

พวกลูกน้องประดับบุกเข้ามาที่หน้าประตูกุฎิที่พักของสองหนุ่ม ทุกคนกระชับปืนพร้อมถ้ามีการตอบโต้ หนึ่งในกลุ่มลูกน้องก้าว ออกมาแล้วถีบประตูเข้าไปอย่างแรง พวกลูกน้องประดับกรูกันเข้ามาในห้องแล้วส่ายปืนหาตัวขุนเดชกับยงยุทธ แต่พบว่าทั้งห้องว่างเปล่า ประดับตามเข้ามา
“ยังไม่เจอพวกมันอีกเหรอ”
“ค้นทั่ววัดแล้วไม่เจอเลยครับ พวกมันคงหนีไปแล้ว”
ลูกน้องรายงาน ประดับหันมาด้วยสีหน้าเจ็บใจโกรธแค้นมาก
“ไอ้ขุนเดช ไอ้ยงยุทธ...กูนี่แหละจะเป็นพรานล่าเนื้อพวกมึง”
ประดับหันไปเอามือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกกวาดข้าวของบนโต๊ะระเบิดอารมณ์โกรธแค้น

ยงยุทธประครองขุนเดชที่หมดสติพาออกมาวางที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบึงบัว เหนื่อยหอบแทบหมดแรงระหว่างนั้นเสียงเท้าคนเดินเข้ามายงยุทธหันขวับพร้อมจะสู้ แต่พบว่าเป็นหลวงพ่อสุข
“หลวงพ่อ” หลวงพ่อสุขยืนสงบนิ่ง ยงยุทธรีบคุกเข่าพนมมือกราบทันที “หลวงพ่อ...ผมกราบขอโทษที่ทำให้หลวงพ่อต้องเดือดร้อน”
“แล้วก่อนทำ ทำไมไม่รู้จักคิด”
ยงยุทธหน้าสลด
“ผมยอมรับครับว่าผมผิด แต่พวกมันไม่ใช่คนดี มันใช้อิทธิพลกลั่นแกล้งคนบริสุทธิ์ แม้แต่กฏหมายก็ไปแตะต้องมันไม่ได้ ผมถึงจำเป็นต้องใช้ศาลเตี้ยกับมัน”
“ถ้าเอ็งคิดว่ากฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจะอยากเป็นตำรวจทำไม”
ยงยุทธนิ่งไป
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรม แต่ผมเป็นห่วงเพื่อน เป็นห่วงดารา เมื่อไหร่ที่ผมเห็นว่าพวกเขาปลอดภัยดี ผมจะยอมรับความผิดนี้ด้วยตัวเอง”
หลวงพ่อมองยงยุทธแล้วมองไปที่ขุนเดชซึ่งยังนอนหมดสติ
“เอ็งสองคนมีชะตาที่ต้องร่วมเวรร่วมกรรมกันอีก จำคำข้าไว้ให้ดี ไม่มีใครลิขิตชีวิต ได้นอกจากตัวเอง เมื่อเลือกเดินทางไหนแล้ว พวกเอ็งต้องรับผิดชอบในสิ่งเลือก”
ยงยุทธเข้าไปก้มกราบหลวงพ่อสุขแทบเท้า หลวงพ่อสุขมองลูกศิษย์ทั้งสองก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ดาราเดินไปเดินมารอขุนเดชกับยงยุทธอยู่หน้าโรงหล่อพระ
“สายป่านนี้แล้ว ทำไมยังไม่มากันอีก”
ดาราเริ่มบ่น ระหว่างนั้นเถินกลับจากเอาพระไปส่งวัดกลับมาพอดี
“อ้าว ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ พ่อก็นึกว่าจะไปอยุธยาถ่ายรูปโบราณสถานกันแล้วซะอีก”
ดาราหน้างอ
“ก็ขุนเดชกับนายยงยุทธน่ะสิ ป่านนี้ยังไม่โผล่มาเลย ไม่รู้ลืมรึเปล่าไ
“ไม่น่าจะลืมนะ อาจจะติดธุระอยู่ที่วัดก็ได้ ลองไปตามสิ”
“ทำไมดาราต้องไปตามเขาด้วยล่ะพ่อ เขาบอกจะมารับดาราก็ต้องมาให้ตรงเวลาสิ คอยดูนะถ้าอีก 5 นาทียังไม่โผล่มาล่ะก็ ดาราไปเองคนเดียวก็ได้”
ดาราไปนั่งลงอย่างงอนๆ เริ่มโกรธ เถินขำที่ลูกสาวงอน ระหว่างนั้นเด็กวัดคนหนึ่งขี่จักรยานเข้ามาหน้าตาตื่นตกใจ
“พี่ดารา...พี่ดารา แย่แล้วพี่ พี่ขุนเดชกับพี่ยงยุทธแย่แล้ว”
“เหมือนเดิมอีกแล้วใช่มั้ย คราวนี้พี่ไม่ยุ่งแล้ว จะตีกันให้ตายพี่ก็จะไม่ยุ่งอีก”
“เปล่าพี่...พี่ขุนเดชกับพี่ยงยุทธไม่ได้ลองฝีมือกันเอง คราวนี้แย่หนักจริงๆ”
ดารากับเถินมองเด็กวัดแล้วสงสัย

อีกด้านหนึ่งขณะนั้นอาจารย์ประทีปกำลังนั่งพิมพ์ดีดบทความอยู่ในห้องทำงาน ผู้ช่วยของอาจารย์หอบตำราและเอกสารเกี่ยวกับโบราณคดีเข้ามาให้
“อาจารย์ครับ...อาจารย์เห็นข่าวหนังสือพิมพ์วันนี้รึยังครับ”
“เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เร็วๆ นี้อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่บ้านเมืองไม่สงบได้” อาจารย์ประทีปรู้สึกเครียดถือไปป์เดินมองนอกหน้าต่าง “อำนาจอยู่ในมือใคร คนนั้นก็คือผู้ชนะ ทั้งๆ ที่มีตัวอย่างให้เห็นกันมาในอดีตเยอะแยะ ว่าการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ล้วนแต่ทำให้เกิดซากปรักหักพังทั้งทางวัตถุและจิตใจ แต่ก็ ไม่มีใครคิดจะเอาอดีตมาเป็นบทเรียนเลย”
อาจารย์ประทีปถอนใจ เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะดัง อาจารย์ประทีปเดินไปรับสาย
“...ไม่เจอเหรอ ขอบใจมาก ยังไงก็ฝากช่วยตามหาต่อด้วยนะ”
อาจารย์ประทีปวางสาย ผู้ช่วยเข้ามาถาม
“ยังไม่มีวี่แววของเศียรพระศิลาที่อาจารย์ตามหาเลยเหรอครับ”
อาจารย์ประทีปถอนใจอย่างหนักอก นึกไปถึงอดีต

ภายในถ้ำศิลาเศียรพระศิลาถูกตัดจนเหลือแค่พระศอ ส่วนศพของนายเดื่องมีผ้าคลุมนอนตายอยู่ใกล้ๆ อาจารย์ประทีปรวมทั้งทีมงานโบราณคดีและชาวบ้านต่างพากันยืนสลดเสียใจ
จ่าแท่นยืนมองศพของนายเดื่อง มือกำหมัดแน่นขบกรามด้วยความเจ็บแค้น
“ไอ้สารเลว ชาติชั่ว...กูจะตามไปลากคอพวกมึงให้มากราบขมาศพพี่เดื่องให้ได้”
จ่าแท่นจะหุนหันออกไปแต่อาจารย์ประทีปรีบรั้งตัวไว้
“ใจเย็นๆ ก่อนจ่า เรายังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร”
“จะเป็นฝีมือใครได้อีกล่ะครับอาจารย์ ทั้งฆ่าพี่เดื่อง ทั้งตัดเศียรพระศิลาไปแบบนี้ ฝีมือ ไอ้พวกโจรลักลอบขุดกรุแน่”
ระหว่างนั้นเสียงของคำปันดังเข้ามาแต่ไกล ทุกคนหันไปเห็นคำปันร้องไห้วิ่งแหวกกลุ่มชาวบ้านเข้ามา
“พี่เดื่อง...พี่เดื่อง...” คำปันเห็นศพถูกคลุมผ้า “ไม่จริง…ชั้นไม่เชื่อ”
คำปันจะเข้าไปที่ศพแต่โดนจ่าแท่นดึงเอาไว้
“อย่าคำปัน”
“ปล่อยชั้นนะพี่แท่น…ชั้นจะไปหาพี่เดื่อง”
“แต่พี่ไม่อยากให้เอ็งเห็นสภาพศพพี่เดื่อง”
“ทำไม…ทำไมล่ะพี่”
“ชื่อพี่เถอะคำปัน”
“ไม่!”
คำปันแกะมือจ่าแท่นแล้ววิ่งไปที่ร่างของนายเดื่องเปิดผ้าคลุมศพออก คำปันตกใจหน้าเสียเมื่อพบว่าศพของ นายเดื่องถูกฆ่าตัดคอ ส่วนหัวถูกนำมาวางอยู่ข้างตัว
“พี่เดื่อง!”

ศพของนายเดื่องถูกชาวบ้านช่วยกันยกวางบนแคร่แล้วใส่ขึ้นรถพาออกไป คำปันร้องห่มร้องไห้เสียใจโดยมีจ่า แท่นยืนโอบกอดปลอบใจเอาไว้
“พี่เดื่อง...ฮือๆๆๆ”
“ไม่ต้องห่วงนะคำปัน นายเดื่องเสียสละชีวิตตัวเองในหน้าที่ความรับผิดชอบของชั้น ชั้นจะจัดการงานศพให้อย่างดี ส่วนขุนเดชชั้นจะรับเลี้ยงเขาจะส่งให้เรียนสูงๆ วิญญาณของนายเดื่องจะได้ไม่ต้องมีห่วง” อาจารย์ประทีปบอก
“ตอนนี้เอ็งกลับบ้านไปดูแลขุนเดชเถอะ อย่าเพิ่งบอกเรื่องพี่เดื่องให้รู้ ไว้พี่กับอาจารย์ ประทีปจะเป็นคนบอกเอง”
“ขุนเดชไม่ได้อยู่กับอาจารย์เหรอคะ” คำปันถามอย่างตกใจ
“เปล่านี่”
“งั้นขุนเดชอยู่ไหน เมื่อวานขุนเดชบอกว่าจะมาช่วยพ่อเฝ้าพระศิลา”
อาจารย์ประทีปกับจ่าแท่นถึงกับตกใจหันมามองหน้ากัน

อาจารย์ประทีปถอนใจกับเรื่องราวในอดีต
“สิบปีแล้วที่ผมต้องเสียคนดีมีฝีมือ คนที่มีอุดมการณ์อย่างนายเดื่อง ส่วนขุนเดชลูกชาย ของเขาก็หายสาบสูญไม่มีใครได้พบตัวอีกเลย” อาจารย์ประทีปพูดถึงชื่อขุนเดชขึ้นมาแล้วก็พาลนึกขึ้นได้ “ขุนเดช”

ดาราขี่จักรยานเข้ามาตามหาร้องตะโกนเรียกขุนเดชกับยงยุทธแถวบึงบัว
“ขุนเดช...ยงยุทธ...พวกนายอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้...ขุนเดช ยงยุทธ”
ดาราพยายามร้องเรียกแต่ไม่มีวี่แววของทั้งคู่ ดาราหันมาครุ่นคิดว่าจะมีที่ไหนที่ขุนเดชกับยงยุทธหนีไปได้อีก

ดาราเข้ามาในห้องเก็บของของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งซึ่งภายในห้องเก็บของรกไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ และเต็มไปด้วยฝุ่น ครู่หนึ่งมีมือยื่นเข้ามาปิดปากดาราเอาไว้ ดาราตกใจพยายามดิ้นจนหลุดแล้วรีบคว้าไม้กวาดมาตีไม่ยั้ง
“หยุดได้แล้วดารา นี่ผมเอง! โอ้ย...อู้ยยย...กลางกบาลเลย”
ดาราชะงัก
“นายยงยุทธ”
“ดารา…คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเรามาหลบอยู่ที่นี่”
ขุนเดชปรากฎตัวถามอย่างแปลกใจ

ยงยุทธแง้มหน้าต่างห้องเก็บของดูว่ามีใครเห็นพวกเขาบ้างรึเปล่า ส่วนขุนเดชกับดารานั่งอยู่ใกล้ๆ
“ชั้นจำได้ว่าตอนเรียน เวลาพวกนายไปมีเรื่องแล้วโดนอาจารย์ไล่จับทีไร ต้องมาหลบกันอยู่ที่นี่ก็เลยลองมาดู”
“รู้จักพวกเราดีแบบนี้นี่เอง มิน่าตอนนั้นเราถึงโดนอาจารย์ตามเจอ ต้องตัดหญ้าสนามฟุตบอลอยู่เป็นเดือน”
“นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะยงยุทธ รู้มั้ยว่าที่พวกนายทำลงไปมันกลายเป็นเรื่องใหญ่มากขนาดไหน”
“ไม่ใช่ความผิดของไอ้ยงยุทธมันหรอกดารา ผมเองที่เล่นงานไอ้ประดับ ทั้งๆ ที่มันพยายาม ห้ามแล้วแต่ผมก็ไม่ฟัง”
“ไม่ใช่นะดารา ผมต่างหากที่ไปมีเรื่องกับมันก่อนแล้วไปลากให้ขุนเดชมาซวยด้วย”
“หยุด! ไม่ต้องมาแย่งกันรับผิดชอบ ผิดด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละถึงวันนี้พวกนายจะหนีรอด แต่สักวันพวกมันก็ต้องตามเจอ” ยงยุทธกับขุนเดชนิ่งไป ดาราเข้าไปแตะมือขุนเดช “ถึงพวกมันจะมีอิทธพล แต่คนดีอย่างพวกนายพระต้องคุ้มครอง และชั้นก็สัญญาว่าจะหาทางช่วยพวกนายให้ได้”
ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองหน้ากัน

เย็นวันนั้นขณะที่อาทิตย์กำลังตกดิน ท้องฟ้าแดงฉาน
ตรงหน้าของเถินคือหีบเหล็กเก่าๆ ที่มีฝุ่นจับหนาและมีกุญแจล็อกอย่างแน่นหนา เถินไขกุญแจแล้วเปิดหีบออก เถินเพ่งมองของบางอย่างที่เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีด้วยแววตาหนักแน่นขึงขัง เมื่อหยิบขึ้นมามันคือดาบดำ แบบเดียวกับที่นายเดื่องพ่อของขุนเดชมี

เถินนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เถินถือดาบยืนจังก้าอยู่ตรงกลางระหว่างขุนเดชกับยงยุทธ ท่ามกลางแสงไฟจากคบไฟที่จุดเรียงรายขับเน้นให้บรรยากาศดูจริงจัง
“แน่ใจนะลุงว่าจะรับมือพวกเราสองคนพร้อมๆ กัน” ยงยุทธถาม
“ข้าสอนพวกเอ็งจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ถ้าพวกเอ็งยังเอาชนะข้าไม่ได้ ก็ถือว่าข้ามันบุญน้อยที่ดันเลือกสอนลูกศิษย์ไม่เอาถ่าน”
ขุนเดชยกมือไหว้
“งั้นผมต้องขอโทษลุงด้วย...ที่ผมต้องเอาจริง”
ขุนเดชควงดาบปรี่เข้าไปฟาดฟันต่อสู้กับเถินที่ใช้วิชาเชิงดาบระดับอาจารย์ตอบโต้ขุนเดชได้หมด แถมยังเล่น งานกลับจนขุนเดชกระเด็น ยงยุทธเห็นเพื่อนโดนเล่นงานก็ตามเข้าไปสู้ด้วย ทั้งขุนเดชและยงยุทธรุมฟาดฟันใส่เถินไม่ยั้งมือ เถินโชว์ความเก๋ารับดาบยงยุทธแล้วศอกกลับหลังเข้าหน้า แถมยังตวัดดาบทีเดียวดาบยงยุทธก็หลุดจากมือไปปักพื้น
“เสร็จไปหนึ่ง...ว่าไงไอ้ขุนเดช”
ขุนเดชหนักใจกำดาบแน่น
“อย่ายอมนะเว้ยขุนเดช วันนี้ศิษย์ล้างครูไม่บาปเว้ย”
“ไอ้ยงยุทธ...ไอ้ปากเสีย”
เถินหันมาด่ายงยุทธ ขุนเดชเลยได้โอกาสร้องเสียงดังควงดาบปรี่เข้าใส่เถินตกใจเกือบเสียหลักแต่ก็ใช้ดาบรับการฟาดฟันของขุนเดชได้ สองคนผลัดกันรุกผลัดกันรับไปมา ขุนเดชก็กระโจนลอยตัวแล้วฟาดดาบลงไปอย่างแรง เถินยกดาบขึ้นรับ
“เฮ้ย!”
ยงยุทธตกใจหน้าเสียที่เห็นขุนเดชกับเถินพากันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น ขุนเดชลดดาบลงถึงได้เห็นว่าดาบในมือ หักครึ่งเพราะแรงฟาดฟันอย่างแรง
“เก่งมากไอ้ขุนเดช นี่ถ้าดาบเอ็งไม่เปราะหักซะก่อน หัวข้าได้แบะเป็นลูกแตงโมผ่าซีกแน่”
“ผมขอโทษด้วยครับลุง”
“ไม่ต้อง แบบนี้น่ะดีแล้ว เมื่อข้าตายข้าจะได้ภูมิใจที่วิชาเชิงดาบของข้าไม่ตายไปพร้อมกับข้าด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงดาราดังเข้ามา
“พ่อ...พ่อ”
“เวรแล้วไง แม่ข้ากลับมาแล้ว นี่ถ้ารู้ว่าข้าสอนตีรันฟันแทงให้พวกเอ็ง มีหวังบ่นจนหูชาแน่ ไอ้ยงยุทธไปรับหน้าดาราให้ข้าที”
“ได้เลยครับอาจารย์”
ยงยุทธรีบเดินออกไป ขุนเดชมองดาบที่ฟันจนหักแล้วเสียดาย
“ดาบของครูหักแบบนี้คงใช้การไม่ได้อีกแล้ว ไว้ผมจะตีเล่มใหม่ให้นะครับ”
“เฮ้ย...ไม่ต้องหรอก ดาบนั่นมันไม่เหมาะกับเอ็ง...ตามข้ามา ข้าจะให้ดูอะไร”

เถินหยิบดาบดำออกมาจากหีบแล้วค่อยๆ ชักดาบดำออกมาจากฝักเผยให้เห็นความงามและความน่าเกรงขามของดาบดำซึ่งแตกต่างจากดาบอื่นๆ ตรงที่เนื้อเหล็กเป็นสีดำสนิท แต่คมดาบกลับมีสีเงินแววประกายวับ
“ดาบที่เอ็งเห็นอยู่นี่เรียกว่าดาบดำ ข้าได้มาจากปู่ของข้าตอนที่ข้ายังเป็นนักเลงดาบ” เถินถือดาบดำเดินไปที่เสาไม้แล้วตวัดทีเดียว เสาไม้ขาดครึ่งเพราะคมดาบที่คมกริบ ขุนเดชอดทึ่งไม่ได้ “ปู่ของข้าเป็นคนสุโขทัย เคยเล่าให้ข้าฟังว่าถึงตำนานของดาบดำว่าเป็นดาบที่ตีขึ้นโดยช่างตีดาบกลุ่มหนึ่ง ในสมัยที่เมืองสุโขทัยกำลังเผชิญกับการแย่งชิงอำนาจ บ้านเมือง ถูกละเลย ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาสู้รบกับพวกโจรที่เหิมเกริมไม่เกรงกลัวกฏหมาย ลำพัง แค่จอบเสียมยังไงก็สู้กับพวกโจรไม่ได้ มีแต่ดาบดำนี่แหละที่ใช้ฟาดฟันต่อสู้ ปกป้อง พ่อแม่พี่น้องและบ้านเรือนไม่ให้พวกโจรมันมาปล้น เผา ทำลาย วิชาตีดาบดำก็เลย สืบทอดกันมาในกลุ่มลูกหลานช่างตีดาบกลุ่มนั้นที่เรียกตัวเองว่า...ทหารของพระร่วง” สายตาของขุนเดชจับจ้องที่ดาบดำในมือของเถินด้วยความสนใจ “เอ็งกำลังสงสัยว่าตำนานเรื่องดาบดำที่ข้าเล่าให้ฟัง ไม่เคยผ่านหูผ่านตาในวิชาเรียน ของเอ็งเลยใช่มั้ย”
“ครับลุง”
“การที่ประวัติศาสตร์ไม่ได้พูดถึง ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี สิ่งที่เอ็งเห็นอยู่ตรงหน้านี่ ต่างหาก ที่จะทำให้เอ็งเชื่อ...หรือไม่เชื่อ” ขุนเดชนิ่งไปเพ่งมองดาบดำแล้วเริ่มรู้สึกแปลกๆ “เอ็งอยากลองจับดูมั้ย...ขุนเดช”
เถินยื่นดาบให้ขุนเดชค่อยๆ เอามือแตะเบาๆ แต่พอมือสัมผัสโดนดาบดำ ขุนเดชก็มีอาการปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“ขุนเดช”

เถินมองดาบดำในมือ
“ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย ประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยเปลี่ยน บ้านเมืองไร้การเหลียวแล แผ่นดิน เป็นของโจร”
เถินกำดาบดำแน่นก่อนที่เสียงลูกน้องจะเรียกเข้ามา
“ลูกพี่...แย่แล้ว พวกทหารบุกเข้ามาเต็มเลย”
เถินหันไปมองสีหน้าสงสัย

เถินรีบตามออกมาพบลูกน้องประดับกำลังรื้อค้นโรงหล่อพระกระจุยกระจาย ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม
“ทำอะไรกันน่ะ หยุดนะ”
เถินรีบเข้าไปห้ามลูกน้องประดับคนหนึ่งที่กำลังไปทุบปูนที่หุ้มองค์พระ
“บอกให้หยุด ไม่ได้ยินเหรอไง”
เถินกำลังจะกระชากมันออกมาแต่เจออีกสองคนกรูเข้ามาล็อกแขนเถินเอาไว้ แล้วให้อีกคนเอาพานท้ายปืนกระแทกเข้าท้องจนเถินจุก พวกลูกน้องเถิงตกใจจะเข้าไปช่วยแต่พวกมันก็ยกปืนขึ้นเล็ง ทุกคนพากันอึ้ง
“อย่า...นี่...นี่มันเรื่องอะไรกัน”
ประดับก้าวเข้ามาหน้าตากวนประสาทเอามากๆ
“พวกเราสงสัยว่าคุณลุงจะให้ที่ซ่อนตัวกับพวกอันธพาลที่เรากำลังตามหาตัวอยู่”
“แหกตาดูซะมั่ง ที่นี่มีแต่พระพุทธรูปที่พวกแกกำลังย่ำยี ไม่มีคนที่พวกแกตามหา”
“อย่ามาโกหกกันดีกว่าน่าลุง ชั้นสืบมาหมดแล้วว่าไอ้สองคนนั่นมันชอบมาป้วนเปี้ยน อยู่กับดาราที่นี่”
“ถ้าแกไม่เชื่อ ก็ค้นดูได้ แต่ห้ามยุ่งกับพระพุทธรูป”
“ค้นให้ทั่ว สงสัยตรงไหน ไม่ต้องสนใจ เอาตัวไอ้สองตัวนั่นมาให้ได้”
ประดับหันไปสั่งลูกน้อง เถินอึ้งขบกรามแน่นจะลุกไปเอาเรื่องพวกลูกน้องประดับกรูเข้ามาแล้วใช้พานท้ายกระแทกหน้าเถิน...พลัก จนเถินหงายหลังหมดสติ

คืนนั้นดาราพาขุนเดชกับยงยุทธเข้ามาที่โรงหล่อพระ
“ก่อนจะพาพวกนายไปมอบตัว ชั้นจะลองปรึกษากับพ่อก่อน เผื่อจะมีใครที่พ่อพอรู้จัก ช่วยพวกนายได้บ้าง”
ดาราก้าวเข้ามาได้ไม่ทันไรก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าสภาพโรงหล่อถูกรื้อค้นจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ พระพุทธรูป หลายองค์ถูกทำลาย ส่วนลูกน้องของนายเถินก็ถูกซ้อมนอนเจ็บอยู่หลายคน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้”
ดาราถามอย่างตกใจ
“คุณ...คุณดารา พวก...พวกไอ้ประดับมัน...มันบุกมาที่นี่” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
“แล้วพ่อชั้นล่ะ”
“ลูก...ลูกพี่...โดนมันจับตัวไป”
“ทำไมมันถึงจับตัวลุงเถินไป”
“มัน...มันยัดข้อหากบฏเป็นภัยต่อความมั่นคงให้ลูกพี่”
“พ่อ”
ดารารีบวิ่งออกไปทันที ยงยุทธเป็นห่วงรีบตามไปด้วย
“ดารา”
ขุนเดชยืนกำหมัด ขบกรามแน่น แล้วหันไปมององค์พระดินเหนียวที่ถูกทำลายจนเหลือแต่พระศอ
“ไอ้ประดับ”

ยงยุทธวิ่งตามดาราออกมาแล้วรีบเข้าไปคว้าตัวเอาไว้
“อย่านะดารา คุณไปไม่ได้”
“ปล่อยชั้นนะยงยุทธ พ่อชั้นไม่ผิด ชั้นต้องไปพาพ่อกลับมา”
“พวกมันใช้หลักฐานเท็จกล่าวลุงเถินไปแล้ว คุณไปพูดยังไงมันก็ไม่ปล่อยออกมาหรอก”
“งั้นชั้นจะไปคุยกับนายประดับเอง”
ดาราผลักยงยุทธแล้วจะไป ยงยุทธรีบดึงแขนดาราแล้วเอาเธอมาโอบกอดไว้แน่น
“ผมปล่อยคุณไปหามันไม่ได้ เพราะถ้าคุณไป…คุณจะไม่ได้กลับมาอีกเลย”
“ยงยุทธ”
ขุนเดชก้าวเข้ามายืนมองยงยุทธที่กอดดาราเอาไว้ในอ้อมกอดแน่น
“ที่ไอ้ประดับมันตามทำลายชีวิตผม ไอ้ขุนเดชและลุงเถินก็เพราะมันต้องการบีบให้คุณ เดินไปติดหลุมพรางของมัน แต่ผมจะไม่มีวันยอมให้มันพรากเอาคนที่ผมรักไปเด็ดขาด”
“ยงยุทธ…นี่นาย”
“ผมรู้ว่าผมไม่เคยอยู่ในสายตาคุณเหมือนอย่างเวลาที่คุณมองขุนเดช แต่ผมก็ดีใจที่อย่างน้อยก็ยังเป็นไอ้ขุนเดช เพื่อนรักคนเดียวของผม” ยงยุทธยกมือขึ้นปัดไรผมของดาราแล้วลูบแก้มเธอเบาๆ “คุณอยู่ที่นี่เถอะนะ ผมจะไปจบปัญหากับไอ้ประดับแล้วช่วยลุงเถินกลับมาให้เอง”
ดาราส่ายหน้า
“ไม่นะยงยุทธ…ถ้านายทำอย่างนั้นก็เท่ากับนายจงใจเดินไปตาย”
“ถ้าผมกลัวตายผมไม่เลือกอนาคตเป็นตำรวจหรอกดารา ไม่ต้องห้ามผมนะ ขอให้ผมได้ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องคนที่ผมรักกับเพื่อนรักของผม”
ยงยุทธสบตาดารา ขุนเดชที่เฝ้ามองทั้งคู่อยู่ห่างค่อยๆ หันหลังให้แล้วเดินกลับเข้าไปในโรงหล่อพระ

ขุนเดชเดินเข้ามาหยุดที่หน้าหีบเก็บดาบดำของลุงเถิน ขุนเดชพังกุญแจล็อกด้วยชะแลงก่อนจะเปิดหีบออก แล้วหยิบเอาดาบดำที่อยู่ในฝักขึ้นมามอง แววตาของขุนเดชกร้าวแข็งน่ากลัว
ดาบดำค่อยๆ ถูกชักออกจากฝัก อาการเจ็บปวดจนจี๊ดขึ้นสมองของคุณเดชกำเริบ...ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่ขุนเดชคลุ้มคลั่งใช้ดาบดำฟาดฟันไปทั่วหวนกลับมา ขุนเดชเดินตาลอยมองดาบดำในมือแล้วแสดงอาการตื่นตระหนกตกใจ ร้องครวญครางเหมือนสัตว์ป่าที่กำลัง บ้าคลุ้มคลั่ง เที่ยวฟาดฟันทุกอย่างรอบตัว
“นี่แน๊ะ...ตาย...ตายให้หมด...ตาย...ตาย ข้าจะฆ่าให้ตายให้หมด”
ขุนเดชเงยหน้าขึ้น แววตาเปลี่ยนไปเป็นแววตาของเพชฌฆาต ดุดันน่ากลัวโดยที่ขุนเดชไม่รู้สึกตัว

หลวงพ่อสุขนั่งสมาธิกรรมฐานอยู่ในกุฏิ แล้วหลวงพ่อสุขก็นิมิตเห็นบางอย่าง ภาพนิมิตของหลวงพ่อสุขที่ได้มาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลา ณ ปัจจุบัน ภาพรถไฟฟ้าวิ่งขวักไขว่ / ภาพผู้คนในยุคนี้เบียดเสียดแย่งกันเดินบนถนน / ภาพรถติดบนถนนรถชนกันทะเลาะชกต่อยกัน / ภาพการซื้อขายเศียรพระในตลาดนัดให้นักท่องเที่ยว / ภาพพระพุทธรูปถูกชาวบ้านเอาแป้งเข้าไปขัดถูดูหวย / ภาพพระพุทธรูปที่ชาวบ้านกราบไหว้ต้องอยู่ ในกรงกั้นคอกไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปกราบไหว้ใกล้ๆ

หลวงพ่อสุขลืมตาขึ้นจากการที่ได้เห็นนิมิตเหล่านั้น ใบหน้าของหลวงพ่อสุขสลดลงและอาการวัณโรคของหลวงพ่อสุขก็กำเริบไอไม่หยุดจนกระอักเลือดออกมา หลวงพ่อสุขต้องเอาผ้ามาซับเลือดและรู้ตัวว่าได้เวลาต้อง นับถอยหลังแล้วระหว่างนั้นพระลูกวัดเข้ามา
“หลวงพ่อครับ…มีโยมต้องการมาขอพบหลวงพ่อ”
“เข้ามาเถอะโยมประทีป อาตมารอโยมอยู่นานแล้ว”
อาจารย์ประทีปก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าแปลกใจสงสัยที่หลวงพ่อสุขบอกว่ารอเขาอยู่นานแล้ว

ยงยุทธพาดารากลับเข้ามาในโรงหล่อพระ ลูกน้องเถินได้รับการปฐมพยาบาลขั้นต้นจากขุนเดชไปแล้ว
“ขุนเดชล่ะ” ยงยุทธถามหาขุนเดช
“เพิ่งจะเอารถของลูกพี่ขับออกไปเมื่อกี้เอง”
“ไอ้ขุนเดช…ไอ้เวรเอ้ย”
ยงยุทธรู้ว่าขุนเดชกำลังไปทำอะไรหันรีหันขวางไปเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ ยงยุทธรีบโดดขึ้นคร่อมเบาะสตาร์ทเครื่อง บิดคันเร่ง ล้อฟรีพุ่งออกไปทันที
“ยงยุทธ”

ที่วัดอาจารย์ประทีปกราบหลวงพ่อสุข
“หลวงพ่อบอกว่ากำลังรอผมอยู่ หลวงพ่อรู้ได้ยังไงครับว่าผมจะมาพบหลวงพ่อ” อาจารย์ประทีปถามอย่างแปลกใจ
“อาตมารู้เพราะโยมคิดว่ากำลังเจอสิ่งที่ตามหามาตลอด เพียงแต่โยมไม่แน่ใจเลยต้องการให้อาตมายืนยัน”
“ครับ…ถ้าผมจำไม่ผิดหลวงพ่อคือพระธุดงค์ที่ผมเคยเจอบนเขาหลวงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว”
“ใช่แล้วโยม”
“ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อก็จำนายเดื่องกับลูกชายเขาได้”
“ขุนเดช”
“ครับ...ขุนเดชลูกชายนายเดื่องที่หายสาบสูญไปหลังจากที่นายเดื่องถูกโจรลักขุดกรุฆ่า”
หลวงพ่อสุขหันไปเลื่อนกล่องไม้ที่วางอยู่ข้างตัวแล้วเปิดให้อาจารย์ประทีปดู อาจารย์ประทีปพบว่าในนั้นคือดาบดำของนายเดื่อง อาจารย์ประทีปชักดาบออกจากฝักแล้วอึ้งไปเพราะดาบดำของนายเดื่องหักเหลือแค่เพียงครึ่งด้ามเท่านั้น









Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:40:53 น.
Counter : 267 Pageviews.

0 comment
ขุนเดช ตอนที่ 1



ภายในโบสถ์วัดหลวงพ่อสุขมีพระประธานสีทองอร่ามงดงาม พระพักตร์เหมือนเพ่งมองพุทธบริษัทด้วยความกรุณาปรานี

ขุนเดชกับยงยุทธก้มกราบองค์พระพร้อมถวายดอกไม้ธูปเทียนแด่องค์พระ หลังจากกราบพระแล้วเสร็จสองหนุ่มก็หันไปหยิบเชือกป่านที่อยู่ในพานข้างตัวขึ้นมาพันที่ข้อมือเรื่อยจนถึงกำปั้น สายตาของสองหนุ่มจ้องหน้า กันอย่างเอาจริงเอาจังและดุดัน

อีกด้านหนึ่งหลวงพ่อสุขนั่งสมาธิเจริญภาวนาอยู่กลางโบราณสถานแห่งหนึ่ง หลวงพ่อสุขลืมตาขึ้นหลังจากการเจริญภาวนาจบลง สายตาทอดมองไปที่พระพุทธรูปที่เรียงรายตลอดสองข้าง พระพุทธรูปแต่ละองค์ล้วนถูกตัดเศียรจนเหลือแต่พระศอ แววตาของหลวงพ่อสุขมีแต่ความกังวล อาการป่วยด้วยวัณโรคของหลวงพ่อสุขทำให้ไอออกมาจนมีเลือดติดจีวร หลวงพ่อสุขรู้ตัวว่าคงเหลือเวลาอีกไม่นาน

ขุนเดชกับยงยุทธก้าวเข้ามาที่ลานวัดอย่างพร้อมแล้วสำหรับการต่อสู้ สองหมัดของทั้งคู่รัดแน่นด้วยเชือกป่าน ขุนเดชกับยงยุทธถอดเสื้อออกเห็นกล้ามเนื้ออัดแน่นของวัยหนุ่ม เสียงเชียร์ถือหางของพวกชาวบ้านและเด็กวัดส่งเสียงเชียร์ชื่อ ขุนเดชๆๆ และ ยงยุทธๆๆ ดังจนอื้ออึง ยงยุทธเดินออกมาที่กลางลาน ขยับคอจนดัง..กร่อบ! แล้วยิ้มอย่างกวนๆ ยวนประสาทกระดิกนิ้วเรียกขุนเดช ขุนเดชมองยงยุทธด้วยสีหน้าสงบนิ่งก่อนจะหันไปไหว้ครูก่อนเริ่มการชก

ที่โรงหล่อพระนายเถิน เถินกำลังทำงานหล่อพระอยู่กับพวกคนงาน เถินนั่งอยู่บนนั่งร้าน ค่อยๆ ทุบแม่พิมพ์เอาดินที่พอกอยู่ออกอย่างชำนาญ เนื้อดินแห้งๆ ค่อยๆ แตกออก เผยให้เห็นเนื้อทองขององค์พระงามอร่าม
เถินหันมายิ้มภูมิใจกับลูกน้องได้ครู่ ดารา ลูกสาวคนสวยของเถินก็ปั่นจักรยานส่งเสียงดังเข้ามา
“พ่อ...พ่อ...อยู่ไหนเนี่ย”
ดาราหันรีหันขวางก่อนจะเห็นว่าพ่ออยู่บนนั่งร้าน ดารารีบเข้าไปเขย่านั่งร้านเรียก
“ลงมาเร็วพ่อ รีบไปเร็วเข้า”
“เฮ้ยๆๆๆ อย่าเขย่านั่งร้านสิลูก เดี๋ยวพ่อก็ตกลงไปคอหักตายหรอก”
นั่งร้านส่ายไปมา เถินรีบหาที่เกาะแทบไม่ทัน
“แต่ถ้าพ่อไม่รีบไปห้ามขุนเดชกับนายยงยุทธ ต้องมีใครสักคนถูกหามส่งโรงพยาบาลแน่”
เถินแปลกใจรีบปีนลงมาจากนั่งร้าน
“เกิดอะไรขึ้น”
ดารามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ

ที่ลานวัดขุนเดชโดนยงยุทธถีบเข้ายอดอกกระเด็น เสียงเฮของพวกเด็กวัดที่เชียร์ยงยุทธเฮลั่น ขุนเดชล้มคะมำเจ็บจุกยันตัวลุกขึ้น ยงยุทธไม่ปล่อยโอกาสผ่านไป ตามไปใช้แม่ไม้มวยไทยซ้ำ หักคอเอราวัณ โน้มคอขุนเดชมาตีเข่าแสกเข้าหน้าหงาย โอกาสได้เปรียบเป็นของยงยุทธตามเข้าไปชกซ้ำทั้งลำตัวและใบหน้า รัวหมัดใส่ขุนเดชไม่หยุด ขุนเดชยกการ์ดขึ้นป้อง แต่ก็ทนพายุหมัดของยงยุทธไม่ได้ ยงยุทธกระโดดเหยียบเข่าแล้วศอกลงที่กลางหน้าผาก ขุนเดชทรุดฮวบ เลือดไหลลงมาปิดตาสองข้างจนทำให้มองไม่เห็น ยงยุทธเห็นสภาพของขุนเดชแล้วเลยเดินไปหยิบผ้าขาวที่แขวนอยู่ที่กิ่งไม้มาโยนลงตรงหน้าขุนเดช
“หยิบผ้าขาวขึ้นมา แสดงว่าแกยอมแพ้ชั้นเถอะขุนเดช” ยงยุทธบอก
เลือดเข้าตาขุนเดชจนแสบตาไปหมด แถมเจ็บกระอักเพราะฤทธิ์หมัดของยงยุทธ มือของขุนเดชค่อยๆ เอื้อมไปหยิบผ้าขาวขึ้นมากำไว้ พวกชาวบ้านกับพวกเด็กวัดที่เชียร์ขุนเดชพากันส่งเสียงฮือ ขุนเดชกำผ้าขาวขึ้นมา ยงยุทธกำลังยิ้มพอใจที่ได้รับชัยชนะ แต่ต้องชะงักเมื่อขุนเดชเอาผ้าขาวขึ้นมาเช็ดเลือด ที่เข้าตาแล้วโยนทิ้งพื้น
“เมื่อกี้แค่อุ่นเครื่อง ของจริงมันต้องดูกันตอนนี้ต่างหากไอ้ยงยุทธ”
ยงยุทธหงุดหงิดอารมณ์เสีย
“โธ่เว้ย...แกนี่มันไอ้อึดจริงๆ เอาว่ะ...เมื่อกี้ชั้นก็แค่อุ่นเครื่อง ของจริงกำลังจะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ยงยุทธตั้งท่ามวยไทยแล้วปรี่เข้าไปหา แต่คราวนี้ขุนเดชหลบหมัดยงยุทธได้อย่างสวยงามก่อนจะประเคน สองหมัดทิ่มเข้าใต้คางเป็นท่าหนุมานถวายแหวนซัดซะจนยงยุทธกระเด็น

เถินวิ่งขึ้นมาที่เรือนตรงดิ่งไปที่ผนังเรือนซึ่งมีดาบไทยแขวนเรียงรายเพราะเป็นของสะสมของเถิน
“พ่อ...ทำไมยังไม่รีบไปห้ามพวกนั้นล่ะ” เถินไม่ตอบลูกสาวเข้าไปคว้าดาบไทยสองเล่มลงมาจากผนัง
“พ่อ...พ่อจะเอาดาบไปทำไม”
เถินไม่ตอบมองดาบสองเล่มในมืออย่างมั่นใจแล้วรีบวิ่งลงจากเรือนไปทันที ดาราสุดแสนจะงงไม่เข้าใจ
“พ่อ !!”

บริเวณที่ท้ายวัด ยงยุทธโดนขุนเดชไล่ถลุงจระเข้ฟาดหางกระเด็นจนล้มกลิ้ง กลุ่มพวกกองเชียร์ตามมา เฮเชียร์ต่อ เพราะตอนนี้ขุนเดชเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยงยุทธโดนทั้งหมัด เข่า ศอก ของขุนเดชประเคนใส่ไม่หยุด จนทุกคนคิดว่าขุนเดชกำลังจะชนะ แต่พอขุนเดช ตามเข้าไปชกหน้า ยงยุทธกลับใช้มือเดียวรับหมัดขุนเดชก่อนจะถึงดั้งจมูกเฉียดฉิว ขุนเดชอึ้ง
“พอได้แล้วไอ้ขุนเดช ออมมือให้หน่อยเอาใหญ่เลย แกทำให้เครื่องชั้นร้อนจนต้อง ระเบิดแล้ว”
ยงยุทธผลักขุนเดชกระเด็นด้วยการถีบยอดอก ขุนเดชเสียหลัก ยงยุทธตามเข้าไปเถรกวาดลานเตะตัดทีเดียว ขุนเดชล้มลงไปกองกับพื้น คราวนี้ยงยุทธตามไปใช้เข่ากดหน้าอกขุนเดชลงกับพื้น ขุนเดชจะยันตัวลุกแต่โดนน้ำหนักเข่าของยงยุทธกดทับให้ลุกไม่ขึ้น
“เลิกดันทุรังซะทีเถอะวะเพื่อน ถ้าเป็นเชิงมวย ยอมรับเถอะว่าแกสู้ชั้นไม่ได้” ขุนเดชยังดื้อฮึดฮัดจะลุก “ดื้ออย่างแก สงสัยต้องซัดให้สลบถึงจะยอม”
ยงยุทธง้างหมัดเตรียมจะชก แต่เสียงของเถินดังเข้ามา
“พอได้แล้วไอ้ยงยุทธ !”
ทั้งยงยุทธกับขุนเดชพากันชะงักหันไปมองเถินที่มาพร้อมกับดารา
“ลุงเถิน”
“ดารา”
เถินรีบเข้าไปแยกสองคนให้ออกห่างกัน มองสภาพของทั้งคู่ที่สะบักสบอมหน้าแตกปากแตกเลือดเกรอะหน้า
“สภาพดูไม่จืดแบบนี้ คงจะซัดกันเต็มเหนี่ยวเลยล่ะสิ”
“ครับลุง แถมรู้ผลแพ้ชนะแล้วด้วย”
ยงยุทธพูดไปก็ยืดใส่ขุนเดชที่ยังฮึดฮัดดูจะยังไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้
“ยัง...อย่าเพิ่งสรุปว่ามีคนชนะ เพราะข้าไม่ได้สอนเชิงมวยให้พวกเอ็งอย่างเดียว”
เถินพูดไปก็กระแทกดาบไทยที่เอามาด้วยให้ทั้งขุนเดชกับยงยุทธรับไป ขุนเดชกับยงยุทธรู้ว่าเถินกำลังสั่งให้ทำอะไร ทั้งคู่รับดาบมาแล้วก็ชักดาบออกจากฝัก ดาราตกใจ
“อ...นั่นพ่อจะทำอะไร ชั้นให้พ่อมาห้ามพวกเขานะ ไม่ใช่ให้มายุ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่าดารา ลูกผู้ชายเขาจะวัดฝีมือกัน มันไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอก”
“พ่อนะพ่อ...โธ่เอ้ย” ดาราโกรธมากสะบัดหน้างอนเดินออกไปทันที
“ดารา”
ยงยุทธจะตามดาราไปแต่ขุนเดชยื่นปลายดาบไปขวางและหันคมดาบเข้าด้วย ยงยุทธชะงัก
“แกจะยอมแพ้ชั้นซะตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้นะ…ไอ้ยงยุทธ”
ยงยุทธชะงักหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท สีหน้าเอาจริงขึ้นมาทันที

ดาราเดินอารมณ์เสียออกมาที่บริเวณท่าน้ำวัด
“เจ็บตัวขึ้นมาทีไรคนเดือดร้อนก็เป็นเราทุกที...หึ !!”
ดาราบ่นไปได้ครู่สายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กๆ กำลังใช้หนังสติ๊กเล็งยิงนกบนต้นไม้สนุกสนาน
“เร็วๆสิวะ เดี๋ยวหลวงพ่อกลับจากธุดงค์มาเจอก็ซวยกันพอดี”
“เด็กพวกนี้นี่...มาแอบยิงนกกันในวัดอีกแล้ว ไม่กลัวบาปกลัวกรรมกันเหรอไง ไปเดี๋ยวนี้นะ”
ดาราเข้าไปไล่ พวกเด็กๆ ตกใจพากันวิ่งหนีวงแตกทิ้งหนังสติ๊กเอาไว้ ดาราเห็นแล้วคิดอะไรขึ้นมาได้

ที่ท้ายวัดขุนเดชกับยงยุทธประฝีมือกันด้วยชั้นเชิงดาบ ฟาดฟัน จ้วงแทง ทั้งรับและรุกใส่กันจนไฟแล่บ
ชั้นเชิงฝีมือทางเพลงดาบของขุนเดชคล่องแคล่วว่องไวและเหนือกว่าของยงยุทธ ขุนเดชรุกเข้าใส่จนยงยุทธ ต้องกลายเป็นฝ่ายตั้งรับและล่าถอยสู้ไม่ได้ ยงยุทธพยายามตอบโต้กลับแต่ก็โดนขุนเดชฟาดฟัน สะบัดอย่างแรงจนทำให้ดาบในมือยงยุทธกระเด็น
ดาบของยงยุทธกระเด็นหมุนเป็นใบพัดไปปัก…ฉึก ! ที่ต้นไม้ เฉียดฉิวหน้าชาวบ้านที่มาเชียร์ไม่ ถึงนิ้ว ชาวบ้านถึงกับตาตั้งเข่าอ่อนพาลจะเป็นลม ยงยุทธจะตามไปเก็บดาบ แต่ถูกขุนเดชเอาปลายดาบชี้หน้าขวางไว้พร้อมกับยิ้มกวนๆ ใส่บ้าง
“เชิงมวยชั้นอาจจะสู้แกไม่ได้ แต่เชิงดาบของแกมันห่างจากชั้นเยอะว่ะเพื่อน”
“ยังเว้ย...ชั้นยังไม่ยอมแพ้แกหรอก”
“ได้เลยไอ้เกลอ ถ้าอยากให้ชั้นตอกย้ำว่าเชิงดาบแกมันอ่อนจริงๆ”
ขุนเดชควงดาบอย่างเท่แล้วกลับด้านที่เป็นด้ามดาบยื่นให้ยงยุทธ
“แกใช้ดาบ ชั้นมือเปล่า” ขุนเดชอมยิ้มกวนประสาททำให้ยงยุทธนึกฉุน
“ไอ้...ไอ้เพื่อนเวร!”
ยงยุทธอารมณ์พุ่งปรี๊ดใช้ดาบฟันซ้ายขวา แต่ขุนเดชอ่านเชิงดาบออกหมดเลยหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว แถมยังตอบโต้กลับชกหน้า ถีบอก ยงยุทธเลือดขึ้นหน้าเหลืออด ปักดาบลงที่พื้นแล้วปรี่เข้าไปแลกหมัด สองคนล้มกลิ้งไปตามพื้นเริ่มซัดกันนัวเนียไม่เป็นศิลปะแล้ว แลกหมัดซัดกันจนปากแตก เลือดกำเดาไหล
“อ้าวเฮ้ย...นี่มันซัดกันจริงๆ แล้วนี่หว่า พอได้แล้วไอ้ขุนเดช ไอ้ยงยุทธ แยกๆๆ”
เถินจะเข้าไปแยกแต่สองคนกำลังเมาหมัดลืมตัว แม้แต่เถินก็ห้ามไม่อยู่
“หลบไปพ่อ ห้ามไม่ฟังก็ต้องเจอแบบนี้”
เสียงดาราดังขึ้น เถินหันไปมองเห็นดาราเข้ามาพร้อมกับเหนี่ยวหนังสติ๊กเล็งใส่ขุนเดชกับยงยุทธ...ฟิ้ววววว ลูกแรกโดนเข้ากลางหัวยงยุทธ
“อู้ยยย...เฮ้ย ใครแซววะ เดี๋ยวมีสวยหรอก”
“ชั้นเอง สวยอยู่แล้ว มีอะไรมั้ย”
ขุนเดชกับยงยุทธหันมาเห็นดาราใส่กระสุนนัดที่สองแล้วยกหนังสติ๊กขึ้นเล็งเหนี่ยวหน้าเอาจริงก็เหวอตกใจ
ฟิ้วววว...ขุนเดชโโนกระสุนลูกที่สองเข้าที่แสกหน้าร้องเจ็บดังลั่น....โอ้ยยยย

ที่สะพานไม้ซึ่งทอดยาวเข้าไปเป็นท่าน้ำในสระบัว ขุนเดชกับยงยุทธร้องซี้ดเอายามาทารักษาแผลบนหน้า
“อู้ยยย...ออมมือให้หน่อยใส่ใหญ่เลยนะไอ้ขุนเดช”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดพระเอกเลย ออมมืออะไรวะซัดซะดั้งชั้นเกือบยุบ เอายามาทามั่ง”
ยงยุทธยื่นขวดยาให้ แต่พอขุนเดชเอามาทากลับพบว่ายงยุทธใช้หมดแล้ว
“เฮ้ย...นี่แกใช้คนเดียวหมดเลยเหรอวะ”
“ก็มันเหลือนิดเดียวแล้วนี่หว่า”
ดาราเดินเข้ามา
“ทีอย่างนี้ล่ะมาแย่งยากัน ทีตอนตีกันทำไมไม่คิด” ขุนเดชกับยงยุทธหันมามองดารา “ทีหลังถ้าชั้นเห็นพวกนายเล่นอะไรกันแบบนี้อีก ชั้นจะไม่ห้ามแล้ว จะปล่อยให้ถูกหาม ส่งโรงพยาบาลทั้งคู่เลย” ขุนเดชกับยงยุทธพยักหน้าให้กันอย่างเจ้าเล่ห์ “นี่...มองชั้นแบบนั้น อย่าบอกนะว่าคิดจะแก้แค้นชั้น” ขุนเดชพยักหน้าให้ยงยุทธเป็นคนลงมือ ยงยุทธยิ้มร้ายหักนิ้วดังกร่อบ ดาราเริ่มไม่ไว้ใจจะถอยหนี “ไม่นะ...ไม่เอา อย่า...ชั้น...ชั้นขอโทษ ก็ชั้นไม่ชอบเห็นพวกนายสู้กันนี่” ยงยุทธไม่สนใจเข้าไปจับตัวดาราขึ้นมาพาดบ่า ดาราร้องโวยวาย “ปล่อยชั้นนะนายยงยุทธ ปล่อยนะ ชั้นไม่อยากเปียก ขุนเดช ช่วยด้วย”
ขุนเดชกอดอกโบกมือบ๊ายบายกวนๆ ให้ไม่ยอมช่วย ปล่อยให้ยงยุทธอุ้มพาไปโยนลงสระบัว...ตูม ดาราลุกพรวดขึ้นจากสระก็กำโคลนขึ้นมาเต็มสองมือแล้วปาใส่ยงยุทธเข้าหน้า ยงยุทธรีบตามลงไปในสระแล้ว สนุกสนานเล่นสงครามโคลนกับดารากันอย่างน่ารัก
ขุนเดชยืนมองอยู่บนฝั่งสนุกสนานขำไปด้วย แต่แล้วอยู่ๆ ขุนเดชก็มีอาการปวดจี๊ดขึ้นมาที่ขมับ ภาพบางอย่าง แว่บขึ้นมาในหัวของขุนเดช

ในอดีตขุนเดชตอน 10 ขวบหน้าตาตื่นตกใจกลัวหลบอยูในซอกหินภายในถ้ำศิลา ประกายไฟและเสียงดาบกระทบกัน ทำให้ขุนเดชต้องเอามืออุดหูหลับตาปี๋เพราะกลัวก่อนที่เสียงปืนดัง…ปัง!! เสียงปืนดังขึ้นและกึกก้องไปทั้งถ้ำศิลา ขุนเดชลืมตาขึ้นมองไปเห็นเงาที่ผนังถ้ำ
ภาพเงาบนผนังถ้ำเป็นภาพนายเดื่อง พ่อของขุนเดชคุกเข่าแล้วถูกฟันด้วยมีดทีเดียวคอหลุดจากบ่า...ฉับ ขุนเดชช็อกตาเหลือก

กลับมาปัจจุบันขุนเดชเอามือกุมขมับด้วยความเจ็บปวด ดารากับยงยุทธหันมาเห็นก็แปลกใจรีบพากันขึ้น มาหาด้วยความเป็นห่วง
“ขุนเดช...เป็นอะไร”
“นี่แกปวดหัวอีกแล้วเหรอ”
ดาราหันไปตีแขนยงยุทธทันที
“เห็นมั้ย...ชั้นบอกแล้วไงจับดาบขึ้นมาสู้กันทีไร ขุนเดช ต้องเป็นแบบนี้ทุกที”
“มาโทษผมได้ยังไงล่ะดารา ไอ้ขุนเดชมันก็เป็นของมันแบบนี้ตั้งแต่หลวงตาพามาอยู่ที่ วัดนี่แล้ว ผมไม่ได้เพิ่งไปทำให้มันเป็นซะหน่อย”
ยงยุทธเถียง ดาราจึงหันไปถามขุนเดชอย่างเป็นห่วง
“ชั้นว่าไปหาหมอดีกว่ามั้ย รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ขุนเดชจะเป็นบ่อยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกดารา เป็นแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย” ขุนเดชบอก
“มาชั้นช่วย”
ดาราเข้าไปช่วยประครองขุนเดชให้ลุกขึ้นอย่างเป็นห่วงแล้วพาไปนั่งในรถที่ขับมา ยงยุทธยืนมองท่าทีของดาราที่เป็นห่วงเป็นใยขุนเดชมากแล้วรู้สึกใจเสียหวิวขึ้นมาทันที ดาราสตาร์ทเครื่อง
“ดารา...แล้วผมล่ะ” ยงยุทธรีบถาม
“ยืนตากโคลนให้แห้งไปคนเดียวแล้วกัน โทษฐานที่จับชั้นโยนสระบัว...เชอะ”
ดาราแลบลิ้นให้อย่างน่ารักแล้วขับรถพาขุนเดชกลับวัด

บรรยากาศวัดเวลากลางคืนเงียบสงบ ภายในโบสถ์ขุนเดชกับยงยุทธนั่งจ๋อยเพราะกำลังโดนหลวงพ่อสุขดุ
“ที่นี่เป็นเขตวัด เป็นเขตอภัยทาน ไม่ใช่สนามมวยที่ไว้ให้พวกเอ็งมาตีรันฟันแทงกัน”
“แต่ผมกับไอ้ขุนเดชไม่ได้ทะเลาะกันนะครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อสุขหันมาตาดุแล้วใช้ไม้เรียวฟาดเข้าที่ต้นแขนยงยุทธทันที ยงยุทธสะดุ้งโหยง
“อู้ยยยยย แสบๆๆๆ แสบครับหลวงพ่อ”
“อย่าไปว่าไอ้ยงยุทธมันเลยครับ ผมช่วยเป็นคู่ซ้อมมวยให้มัน เพราะเปิดเทอมมันต้องลง แข่งกีฬาเป็นตัวแทนนักเรียนนายร้อย”
“ครับหลวงพ่อ แถวนี้ก็มีแต่ไอ้ขุนเดชที่พอฟัดพอเหวี่ยงเป็นคู่ซ้อมให้ผมได้”
“ก็ไม่บอกตั้งแต่ทีแรก”
“ก็หลวงพ่อไม่ถาม มาถึงก็ตีผมเลย”
“ไอ้ยงยุทธ ! เอ็งนี่มันทั้งกะล่อน ทั้งหัวหมอ ข้าชักเป็นห่วงแล้ว ถ้าเอ็งจบมาเอ็งจะทำให้ วงการตำรวจเขาเสีย”
“ไม่หรอกครับหลวงพ่อ เห็นมันทั้งกะล่อนทั้งกวนบาทาแบบนี้ แต่ถ้าไอ้ยงยุทธได้เป็น ตำรวจเมื่อไหร่ ผมมั่นใจว่ามันจะเป็นตำรวจที่ดีที่สุด”
ขุนเดชหันไปมองเพื่อนอย่างมั่นใจ ยงยุทธยิ้มรับแต่ตบบ่าเพื่อนแล้วส่ายหน้า
“ขอบใจว่ะเพื่อน ถึงแกจะชมชั้นยังไงก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ชั้นโดนหลวงพ่อตีอยู่ คนเดียว มันต้องรับเท่าๆ กันเว้ย”
ยงยุทธจะดันให้ขุนเดชโดนหลวงพ่อสุขทำโทษด้วย แต่ระหว่างนั้นหลวงพ่อสุขเริ่มมีอาการไอไม่ไหยุด
“หลวงพ่อ”
หลวงพ่อสุขยกมือห้าม
“ไม่ต้อง…ข้าไม่เป็นอะไร คืนนี้เอ็งต้องนั่งสมาธิท่องบทสวดอยู่ที่นี่จนถึง เช้า ห้ามขัดคำสั่งข้าเด็ดขาด เข้าใจมั้ยไอ้ขุนเดช”
หลวงพ่อสุขกำชับหนักแน่นก่อนจะเดินออกจากโบสถ์โดยไม่บอกว่าทำไมต้องเฉพาะเจาะจงไปที่ขุนเดช
“หลวงพ่อกำชับแต่แกแบบนี้ แสดงว่าชั้นรอดแล้วว่ะเพื่อน โชคดีนะ”
ยงยุทธตบบ่าขุนเดชแล้วหัวเราะชอบใจ ส่วนขุนเดชก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมหลวงพ่อสุขต้องกำชับแต่เขา

ภายในกุฎิหลวงพ่อสุข หลวงพ่อสุขเปิดตู้เก็บของออกแล้วหยิบดาบพกที่ตัวปลอกดาบมีสีดำทะมึน ลงลวดลายด้วยอักขระภาษาโบราณแต่เริ่มเลือนรางเพราะความเก่าและมีฝุ่นจับเขรอะ หลวงพ่อสุขค่อยๆ ชักดาบออกจากฝัก เผยให้เห็นตัวดาบไทยที่มีสีดำทะมึนเช่นเดียวกับฝัก แต่ที่คมดาบกลับมี สีเงิน เพราะเป็นเทคนิควิธีการตีดาบแบบเฉพาะที่ใช้เหล็กที่มีความแข็งแทรกอยู่ในเนื้อเหล็กดำที่เป็นตัวดาบ เป็นการใช้ความแข็งและอ่อนรวมอยู่ในดาบเดียว
หลวงพ่อสุขค่อยๆ ชักดาบออกมาอย่างช้าๆ แต่เมื่อถึงกึ่งกลางดาบกลับพบว่าดาบนั้นหักเหลือเพียงครึ่ง สีหน้า ของหลวงพ่อสุขจับจรดอยู่ที่ดาบหักในมือแล้วอดคิดถึงที่มาของมันไม่ได้

10 ปีก่อนที่หน้าถ้ำศิลาบนเขาหลวง หลวงพ่อสุขถือกลดธุดงค์เดินเข้าผ่านมาหยุดดู ทีมงานขุดแต่งโบราณสถานทยอยนำวัตถุโบราณที่ค้นพบในถ้ำศิลาออกมาขึ้นรถ เพื่อนำกลับไปศึกษาและเก็บในพิพิธภัณฑ์ ขุนเดชในวัยซุกซนตอนนั้นตามดูโบราณวัตถุที่ทีมงานนำออกมาจากถ้ำอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ขุดเจอกรุพระเครื่องด้วยเหรอครับพ่อ ขอผมดูใกล้ๆ ได้มั้ยครับ”
ขุนเดชวัยเด็กถามนายเดื่องผู้เป็นพ่อ
“ดูอย่างเดียวนะขุนเดช มือห้ามจับ เดี๋ยวจะแตกหักเสียหาย”
“ผมรู้ครับพ่อ ของเก่าของโบราณเราต้องระมัดระวัง ดูแลให้ดี เพราะมันมีคุณค่ามาก ทางประวัติศาสตร์”
ขุนเดชตอบอย่างฉะฉานทำเอาอาจารย์ประทีป หัวหน้าคณะ ศึกษาโบราณคดีของกรมศิลป์ อดลูบหัวชื่นชมไม่ได้
“สมกับเป็นลูกของนายเดื่องจริงๆ ตัวแค่นี้ก็รู้เรื่องรู้ราวแล้ว”
“โตขึ้นผมอยากเป็นนักโบราณคดี อยากทำงานอย่างพ่ออย่างอาจารย์ครับ” ขุนเดชบอก
สองคนหัวเราะชอบใจความช่างพูดของขุนเดช ระหว่างนั้นนายเดื่องสังเกตเห็นมีพระธุดงค์องค์หนึ่งยืนมองอยู่

นายเดื่องพาขุนเดชมากราบหลวงพ่อสุข
“เจริญพรเถอะโยม”
“ผมต้องกราบขอขมาหลวงพ่อด้วย ไม่ทราบว่ามีพระมาธุดงค์ปักกลดแถวนี้ พวกผมทำงานกันเสียงดังเลยไปรบกวนหลวงพ่อ”
“ไม่เป็นไรหรอกโยม อาตมาเป็นเพียงพระธุดงค์ผ่านมา แต่ของเก่าของบรรพบุรุษอยู่ที่นี่ มาก่อน อาตมาต่างหากที่ต้องไป”
“แต่นี่ก็จะมืดแล้ว นิมนต์หลวงพ่อปักกลดอยู่แถวนี้ดีกว่า อีกสักเดี๋ยวพวกผมก็จะเสร็จ งาน เหลือแค่ผมที่เฝ้าพระศิลาอยู่ในถ้ำคนเดียว”
“อ้าว...ทำไมต้องอยู่เฝ้าด้วยล่ะพ่อ ผมนึกว่าพ่อจะกลับพร้อมกันซะอีก” ขุนเดชถามอย่างแปลกใจ
“พ่อทิ้งพระศิลาไว้ไม่ได้หรอกขุนเดช เราไม่รู้ว่าข่าวการขุดพบครั้งนี้จะไปถึงหูใครบ้าง พ่อต้องเฝ้าอยู่ที่นี่จนกว่าทางราชการจะส่งเจ้าหน้าที่มาดูแล”
“เรื่องนี้ชั้นก็เป็นห่วงนายเดื่องอยู่ ชั้นมีปืนอยู่ที่ท้ายรถ นายเดื่องควรจะติดตัวเอาไว้” อาจารย์ประทีปบอก
“ไม่ต้องหรอกครับอาจารย์ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องปืนเท่าไหร่ แค่ดาบดำของผมเล่มเดียว ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ผมเอาอยู่ครับ”
นายเดื่องพูดไปก็ตบที่ดาบดำซึ่งเหน็บอยู่ข้างเอว หลวงพ่อสุขมองตามที่ดาบดำ

ขุนเดชนั่งสมาธิอยู่หน้าองค์พระประธานตามคำสั่งของหลวงพ่อสุข ระหว่างที่ขุนเดชกำลังเข้าสมาธิอย่าง สงบ อยู่ๆ ภาพที่ขุนเดชเห็นก็แว่บเข้ามาทำให้ขุนเดชรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก

ในอดีตขุนเดชวิ่งล้มลุกคลุกคลานตื่นตระหนกตกใจกลัว เนื้อตัวมอมแมม ในมือของขุนเดชข้างหนึ่งถือดาบดำของนายเดื่องที่หักกลางเหลือเพียงครึ่ง อีกมือก็ถือปลอกดาบกำแน่น เสียงนกแสกร้องดัง สลับกับฟ้าแลบฟ้าร้องครืนๆ ขุนเดชวิ่งหนีพวกโจรมายืนเคว้งอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว
“พ่อ…พ่อ…ฮือๆๆๆ”
เสียงฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยง! ขุนเดชสะดุ้งสุดตัว เสียงเสือแชนกับเสือชิดตะโกนดังโหวกเหวกเข้ามา
“หาให้เจอ แล้วฆ่าปิดปากมันซะ”
ขุนเดชยิ่งตกใจกลัวรีบวิ่งหนีไปต่อทันทีพร้อมกับดาบดำในมือ
เสือแชนกับเสือชิดรวมทั้งพรรคพวกของมันอีกสองคนพากันเข้ามา หน้าตาของพวกมันโหดเหี้ยม มีอาวุธครบมือ

ขุนเดชสะดุ้งเฮือกตกใจกับภาพที่แว่บเข้ามาในหัว อาการปวดหัวจี๊ดขึ้นจนขุนเดชต้องมือกุมขมับ
“โอ๊ย”
“ตั้งจิตสมาธิให้มั่น สวดแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์และเจ้ากรรมนายเวร เมื่อเอ็งนิ่ง ความ เจ็บปวดก็จะทุเลา” หลวงพ่อสุข ปรากฎตัวบอก
“หลวงพ่อ...เกิดอะไรขึ้นกับผมเหรอครับ ทุกครั้งที่ผมปวดหัวผมจะต้องเห็นภาพที่ไม่ เคยเห็น ได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยิน มีแต่เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวด ทรมาน”
“ทำตามที่หลวงพ่อบอกเถอะขุนเดช จิตใจของเอ็งต้องนิ่ง ตั้งมั่นอยู่ในศีลอยู่ใน ธรรม ละเว้นบาป แล้วหนักจะเป็นเบา”
“ครับหลวงพ่อ”
ขุนเดชพนมมือไหว้หลวงพ่อแล้วหันมานั่งสมาธิสงบจิตและแผ่เมตตาตามที่หลวงพ่อสุขสั่ง

หลวงพ่อสุขเดินออกมาจากโบสถ์ ทิ้งให้ขุนเดชแผ่เมตตาตามลำพังในโบสถ์ หลวงพ่อสุขมองขุนเดชแล้วแววตามีแต่ความวิตกกังวลหนักใจกับชะตากรรมที่มองเห็นแต่ผู้เดียว
“ความจริงเป็นสิ่งหนีไม่พ้น อาตมาพยายามช่วยแล้ว แต่ก็คงฝืนกรรมลิขิตของเอ็งไว้ไม่ ได้อีกแล้ว...ขุนเดช”
หลวงพ่อสุขถอนใจแล้วปิดประตูโบสถ์เข้ามาจนชิดสนิทก่อนจะเพ่งมอง ภาพที่ประตูโบสถ์ซึ่งเป็นภาพเขียนของ “ทวารบาล” ยักษ์หน้าตาดุดันที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูโบสถ์ สัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์ปกป้องศาสนสถาน

ภาพนิมิตรในอนาคตของหลวงพ่อสุข หลวงพ่อสุขเห็นโจรอุ้มเศียรพระพุทธรูปที่ลักตัดมาวิ่งกระหืดกระหอบอย่างตกใจกลัวก่อนจะหยุดชะงักกึกตาเหลือก ร่างของโจรทรุดฮวบลงเพราะถูกฟันอย่างแรงที่กลางหลัง เผยให้เห็นขุนเดชในอนาคตที่ยืนหน้าตาถมึงถึงในมือถือดาบดำที่เพิ่งใช้ฟันโจรไป ขุนเดชย่างสามขุมเข้าหาโจรที่พยายามร้องขอชีวิต
“อย่า...อย่า...อย่าฆ่าชั้น” ขุนเดชหน้านิ่งไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ไม่สนใจเสียงร้องขอชีวิตของโจรตรงเข้าไปแล้วตวัดดาบดำใส่....ฉับ!! “อ๊ากกกกกกกกก”
เสียงโจรร้องโหยหวนดังก้องก่อนจะสิ้นใจ ขุนเดชตวัดดาบดำเสียบกลับคืนฝัก ใบหน้าดูขึงขังและดุดัน
ภาพไฟลุกโชนขึ้นข้างหลังขุนเดช แสดงความกราดเกรี้ยวและน่ากลัวราวกับขุนเดชคือยักษ์ทวารบาลที่มีหน้าที่ปกป้องพุทธสถานให้กับลูกหลานสืบไป

วันใหม่บรรยากาศย่านตลาดเก่าช่วง พ.ศ. 2500 มีแผงขายของและร้านรวงตึกไม้สองข้างทาง ยงยุทธขี่จักรยานพาดาราที่นั่งซ้อนท้ายขี่มาตามทาง
“ตอนอ่านเป็นหนังสือว่าเล็บครุฑสนุกแล้ว พอทำเป็นหนังยิ่งสนุกใหญ่ ยิงกันหูดับตับ ไหม้เลย ว่ามั้ยดารา”
ดาราทำหน้าเบื่อ
“มีแต่ยิงกันไม่เห็นสนุกเลย อยากดูยอดเยาวมาลย์ ไม่ได้อยากดูเล็บครุฑ”
ยงยุทธเบรคจักรยานเอี๊ยดทันที
“อ้าว...ทำไมดาราไม่บอกผมล่ะ”
“ก็ยงยุทธเป็นคนจ่ายค่าตั๋ว ชั้นเกรงใจ”
“โธ่...ทีหลังอย่าเกรงใจผมอีกนะ เห็นดาราอ่านหนังสือเตรียมสอบหน้าดำคร่ำเครียด ผมก็อยากให้ดาราได้พักสมองบ้าง”
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่จะสอบเข้าโบราณคดีศิลปากรไม่ใช่ง่าย ดาราไม่ได้เก่งเหมือน ขุนเดชที่จำรายละเอียดโบราณสถานได้หมด คะแนนของขุนเดชถึงเป็นที่หนึ่งในคณะ”
“ดาราไม่รู้เหรอว่าไอ้ขุนเดชมันเป็นมนุษย์โบราณมาเกิด ชาติที่แล้วมันเป็นมนุษย์ถ้ำ หน้ามันถึงได้ไม่ค่อยยิ้มหงิกแบบมนุษย์โครมันยองไง”
ดาราตีแขนยงยุทธทันที
“บ้า! ไปว่าขุนเดชแบบนั้นได้ยังไง เออ...ใช่ ยงยุทธรออยู่นี่นะ เราไปซื้อของแป๊บนึงเดี๋ยวมา”
“เดี๋ยวสิดารา จะไปซื้ออะไร”

ดารามาที่ร้านขายยาจีน หมอจีนจัดยาใส่ห่อกระดาษให้ดารา
“กินแล้วหายแน่นะอาแปะ”
“หายซี่...ซูสีไทเฮาก็กินแบบที่อั้วจัดให้นี่แหละ”
ดารายิ้มชอบใจรีบรับห่อยามาใส่กระเป๋า แต่พอจะก้าวเท้าออกจากร้านก็ต้องชะงักเมื่อเจอประดับ ลูกชายนายทหารนิสัยเกกมะเหรกเกเรเพราะมีพ่อเป็นนายทหารยศใหญ่โตจึงกร่างไม่กลัวใคร ประดับมองดาราด้วยสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย มีพรรคพวกของประดับอีกสองสามคนยืนประกบโชว์ความกร่าง
“เพิ่งรู้ว่าคุณดาราอยากเป็นซูสีไทเฮา ตรงกับที่ผมกำลังมองหาซูสีไทเฮาอยู่เหมือนกัน”
ประดับพูดไปก็เข้ามาเชยคางดาราอย่างจงใจลวนลาม ดาราไม่พอใจรีบปัดมือประดับ

ขณะนั้นยงยุทธรอดาราอยู่ที่ริมถนนเห็นดาราหายไปนานก็ชักเป็นห่วง
“ทำไมไปนานจัง”
ยงยุทธหันไปเห็นดารากำลังเดินมาแต่ไม่ได้มาคนเดียวเพราะมีกลุ่มพวกประดับกับพรรคพวกตามมาล้อมหน้า ล้อมหลังพยายามเจ๊าะแจ๊ะกับดารา
“ไปให้พ้นนะ อย่ามายุ่งกับชั้น”
“ไม่เอาน่าคุณดารา ผมก็แค่อยากชวนคุณคุยเล่นสนุกๆ ทำไมต้องซีเรียสด้วย
“ชั้นไม่ชอบพวกทำตัวไร้สาระไปวันๆ ถอยไป”
“เดี๋ยวสิครับ คุณยังไม่เคยลองนั่งรถผมไปกินลมชมวิว ลองไปบางปูกับผมสักครั้ง รับรองว่าคุณจะต้องติดใจ”
ประดับเข้าไปจับข้อมือดาราทันที ดาราตกใจ

“ปล่อยนะ...ปล่อยมือชั้น”








Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:39:27 น.
Counter : 759 Pageviews.

0 comment
ขุนเดช ตอนที่ 1 เริ่ม 9 เมษายนนี้



เรื่องย่อ จบบริบูรณ์ แนะนำตัวละคร

“ ขุนเดช ”


บทประพันธ์ : สุจิตต์ วงศ์เทศ
บทโทรทัศน์ : แพรพริมา
กำกับการแสดง : สยาม น่วมเศรษฐี
ผลิต : บริษัท พอดีคำ จำกัด โดยธงชัย - มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
แนวละคร : ดราม่า แอ็คชั่น อิงประวัติศาสตร์
ออกอากาศ : วันพุธ-วันพฤหัสบดี เวลา 20.25 น. ทางโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555 -
จำนวนตอนออกอากาศ :

นายเดื่อง (วินัย ไกรบุตร) หัวหน้าคนงานขุดแต่งโบราณสถาน รับปาก อาจารย์ประทีป (วันชัย เผ่าวิบูลย์ ) หัวหน้า คณะศึกษาโบราณคดีของกรมศิลป์ว่าจะปักหลักเฝ้าพระศิลา พระพุทธรูปที่ถูกค้นพบ ในถ้ำศิลาบนเขาหลวง สุโขทัย ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกโจรใจบาปที่จ้องจะมา ลักตัดเศียรพระศิลา

โดยเฉพาะกับ กำนันบุญ สุโขทัย (สุรวุฑ ไหมกัน) ซึ่งมีนิสัยขี้โกงชอบสะสมและ ลักลอบซื้อขายวัตถุโบราณ เมื่อกำนันบุญรู้เรื่องพระศิลาที่ถูกค้นพบ เลยอยากมาได้ไว้ ในครอบครองจึงเดินทางจากสุโขทัยมาศรีสัชนาลัยบ้านของนายเดื่อง เพื่อขอให้นายเดื่องเปิดทางให้เข้าไปลักตัดเศียรพระ แต่กำนันบุญ ถูกนายเดื่องปฏิเสธและไล่ ตะเพิดอย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพล นายเดื่องเป็นห่วงพระศิลาเลย จำเป็นต้องฝาก ขุนเดช ลูกชายวัย 10 ขวบไว้กับ คำปัน (รชยา รักษ์กสิกรณ์) หญิงสาวที่แอบชอบพ่อของขุนเดช และคอยช่วยเลี้ยงดู ขุนเดชเหมือนลูกแท้ๆ แต่ความอยากรู้อยากเห็นของขุนเดชที่มีใจรักและ สนใจในศิลปะโบราณซึ่งถูกถ่ายทอดมาจากพ่อ ทำให้ขุนเดชแอบขึ้นรถของอาจารย์ประทีปตาม ไปหาพ่อที่ถ้ำศิลา อาจารย์ประทีปกลัวภัยจะเกิดกับนายเดื่องจึงให้ปืนไว้เพื่อป้องกันตัว แต่นายเดื่องปฏิเสธยืนยันว่าจะใช้แค่ "ดาบนิล" อาวุธคู่กายสมบัติเก่าแก่ที่นายเดื่องได้รับตกทอดจากบรรพบุรุษ

ดาบนิลเป็นดาบเหล็กเนื้อดีที่มีสีดำปลอดตั้งแต่ด้ามและตัวปลอก ซึ่งทำจากเขาควายตายฟ้าผ่า ส่วนเนื้อเหล็กนั้นเป็นเหล็กกล้าชั้นดี ผ่านการตีจากช่างยอดฝีมือในศรีสัชนาลัย ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถตีดาบให้ออกมาเป็นสีดำถึงเนื้อในเหล็กได้ ดาบนิลจึงมีความคมกริบและเป็นสมบัติหายาก นายเดื่องรักษาไว้อย่างดีเพราะคำสั่งเสียของบรรพบุรุษที่สั่งไว้สืบต่อกันมา ว่าต้องใช้ดาบนิลเพื่อปกป้องแผ่นดินเท่านั้น ฟาก กำนันบุญที่โกรธแค้นนายเดื่องมากจึงสั่ง ให้ เสือแชน (ยุพข่าน ดัสกร) กับ เสือชิด (ณรงค์ เจนครองธรรม) ลูกน้องคนสนิทพา พวกบุกไปที่ถ้ำ ศิลาเพื่อจัดการกับนายเดื่องและเอา เศียรพระศิลามาให้ได้

ขุนเดชที่แอบตามอาจารย์ประทีปมาหาพ่อที่เขาหลวงแต่เกิดพลัดหลงอยู่ในป่า หาทางไปหาพ่อที่ถ้ำศิลาไม่ได้ โชคดีที่เจอ หลวงพ่อสุข (ธีรยุทธ ปรัชญาบำรุง) พระธุดงค์ที่มาปักกลดอยู่ใน บริเวณเขาหลวง หลวงพ่อสุขเคยเจอกับนายเดื่องที่บริเวณถ้ำศิลาจึงพาขุนเดชไปหาพ่อ นายเดื่องโกรธลูกชาย มากที่แอบหนีมาจะลงมือตี แต่หลวงพ่อสุขห้ามไว้บอกพรุ่งนี้เช้า จะเป็นคนพาขุนเดชกลับไปที่ ศรีสัชฯเอง คืนนั้นนายเดื่องจึงจำเป็นต้องให้ขุนเดชนอนค้างอยู่ในถ้ำ ขุนเดชนอนฟังพ่อเล่าเรื่อง ความเชื่อเกี่ยวกับเขาหลวงให้ฟังว่า เขาหลวงแห่งนี้ก็คือ “พระขพุง ผีเทวดาที่สถิตย์อยู่ที่นี่ยิ่ง ใหญ่กว่าเทวดาในเมืองสุโขทัย หากผู้ครองเมืองสุโขทัยจะเป็นผู้ใดก็ตาม รู้จักนบไหว้และทำพิธีเซ่นสรวงถูกต้องแล้ว เมืองสุโขทัยย่อมตั้งมั่นถาวรยั่งยืน แต่หากไม่รู้จักนบไหว้ ไม่มีการพลีบูชาตามแบบ แผนแล้ว ผีในเขาหลวงจะไม่คุ้มไม่เกรง เมืองสุโขทัยก็จะล่มจม” เพราะเหตุนี้นายเดื่อง จึงต้องมาเฝ้าพระศิลาเอาไว้จากพวกคนใจบาป ขุนเดชเองก็รับปากพ่อว่าเมื่อโตขึ้นจะใช้ดาบนิลทำหน้าที่รักษาสมบัติของชาติแบบพ่อ

แต่ระหว่างนั้นพวกเสือแชน และเสือชิดก็บุกเข้ามา นายเดื่องเป็นห่วงลูกชายจึงสั่งให้ขุนเดชไปหลบซ่อนตัว แล้วใช้ดาบนิลเข้าต่อสู้ กับพวกเสือแชน เสือชิด แต่สุดท้ายนายเดื่องก็สู้พวกมันไม่ได้ เพราะในระหว่างการต่อสู้ ดาบนิลเกิดหักเพราะความเก่าแก่ของดาบที่ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน นายเดื่อง ถูกพวกมันฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดทารุณต่อหน้าต่อตาขุนเดชแล้วตัดเอาเศียรพระศิลาไป เสือชิดได้ยินเสียงของขุนเดชที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ จึงคิดจะจัดการลูกชายนายเดื่องด้วยอีกคนแต่ขุนเดชก็คว้าเอาดาบนิลที่บัดนี้ เป็นเพียงแค่ดาบหักมาเป็นอาวุธป้องกันตัวและหลบหนีพวกมันเข้าหายไปในป่าเขาหลวง

กลางดึกคืนนั้นขณะที่หลวงพ่อสุขกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่ในกลด หลวงพ่อสุขได้ เห็นนิมิตรบางอย่างที่น่าตกใจ ในนิมิตรนั้นหลวงพ่อเห็นความเสื่อมทรามของผู้คนที่ไม่เคารพต่อพระพุทธศาสนา ศิลปะโบราณวัตถุถูกย่ำยีกลายเป็นเครื่องประดับข้างฝาบ้าน พระพุทธรูปต้องอยู่หลังกรงขังกั้นไม่ให้ผู้มีจิตศรัทธากราบไหว้ บางองค์ก็ถูกรุมขัดถู เพื่อขอหวยมัวเมาในกิเลศ พระพุทธรูปที่งดงามตามโบราณสถานก็ถูกตัดเศียรเรียงราย จนน่าเวทนา หลวงพ่อสุขสะดุ้งตื่น จากนิมิตรพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือจาก ขุนเดชที่กำลังถูกพวกเสือแชน เสือชิดไล่ตามล่า และคิดว่าขุนเดชตกหน้าผาตายไปแล้วจึงพากันกลับไป แต่ที่จริงแล้วขุนเดชหลบซ่อนตัวอยู่ในซอกหินด้วยความตื่นกลัว และตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก ภาพของพ่อที่ถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าต่อตา ภาพของพระศิลาที่ถูกตัดเศียรทำให้ขุนเดชกลัวจนช็อคหมดสติ

ต่อมาหลวงพ่อสุขไปพบนายเดื่องถูกฆ่าตายที่ถ้ำศิลา จึงออกตามหาขุนเดชด้วยความ เป็นห่วงและได้พบขุนเดชสลบอยู่ที่ซอกหินจึงปลุกขุนเดชให้ตื่น แต่ขุนเดชกลับลุกขึ้น มาแสดงอาการเกรี้ยวกราด ดุดัน ใช้ดาบนิลหักที่กำไว้แน่นไล่ทำร้ายหลวงพ่อเหมือนกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง หลวงพ่อรู้ว่าที่ขุนเดชเป็นอย่างนี้เพราะอาการช็อกตกใจกลัวจนเสียสติ ควบคุมตัวเองไม่ได้ หลวงพ่อนั่งนิ่งและแผ่ เมตตาให้ขุนเดชใจสงบ ซึ่งก็ได้ผลขุนเดชสงบนิ่งไปและเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายน่าเวทนา หลวงพ่อสุขจำเป็นต้องเป่ากะหม่อมขุนเดชให้หลับอย่างสงบ

ข่าวการตายของนายเดื่องและการหายตัวไปของขุนเดชลูกชายนายเดื่อง เป็นที่ โจษจันไปทั่วสุโขทัยว่าเป็นฝีมือของพวกโจรใจบาป จ่าแท่น (วีระชัย หัตถโกวิท) ซึ่งรักและเคารพนายเดื่องเหมือนพี่ชายคิดว่าขุนเดชน่าจะยังมีชีวิตอยู่ จึงชวนคำปันซึ่งเป็นน้องสาวออกตามหา ขุนเดช แต่ทั้งคู่ก็ไม่พบร่องรอยของขุนเดช คำปันร้องไห้เสียใจทำใจไม่ได้ว่าขุนเดชจะตาย ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องผีๆสางๆ พากันพูดกันปากต่อปากว่า พระขผุงคงเอาตัวขุนเดช ไปอยู่ด้วยที่เขาหลวง

10 ปีต่อมา หลวงพ่อสุขซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เลี้ยงดู ขุนเดช (วีรภาพ สุภาพไพบูลย์) จนเติบโตเป็นหนุ่มหน้าตาดี มีความฉลาดเฉลียว โดยสามารถสอบเข้าเรียนเป็น นักศึกษาในคณะโบราณคดีด้วยคะแนนสูงสุด แต่ขุนเดชจำเรื่องราวเมื่อ 10 ปีก่อนไม่ได้ เพราะผลจากการตกใจ กลัวจนช็อก ส่วนดาบนิลหักของนายเดื่องที่ติดตัวขุนเดชมา หลวงพ่อสุขก็เก็บรักษาเอาไว้ในกุฎิ ไม่เคยนำมาให้ขุนเดชเห็นเพราะเกรงว่า ถ้าขุนเดชจับดาบนิลนี้อีกครั้ง ความโกรธแค้นเกรี้ยว กราดราวกับสัตว์ร้ายที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของขุนเดช อย่างที่หลวงพ่อเจอในอดีตจะกลับมาสิงสู่ในร่างของขุนเดชอีกครั้ง แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยรู้ว่าหลายต่อหลายคืนขุนเดชมักจะฝันร้ายเห็นภาพเศียรพระศิลาถูกตัด ซึ่งขุนดชเองก็ไม่กล้าเล่าให้หลวงพ่อฟัง เพราะกลัวว่าจะทำให้อาการอาพาธของหลวงพ่อที่ไม่ค่อยดีอยู่จะทรุดหนักขึ้น

ใกล้ๆ วัดที่ขุนเดชอาศัยอยู่เป็นโรงหล่อพระของ ลุงเถิน (ธนา สินประสาธน์) ที่เอ็นดูขุนเดชเพราะเป็นเด็กหนุ่มเอาการเอางานมักมาช่วยงานลุงเถินเสมอๆ แถมขุนเดชยังช่วยติวหนังสือให้ ดารา (อคัมย์สิริ สุวรรณศุข) ลูกสาวคนสวยของลุงเถิน ที่อยากจะสอบเข้าเรียนในคณะโบราณคดีเหมือนอย่างขุนเดช ดารามักจะค่อนขอดและงอนพ่อบ่อยๆหาว่าพ่อรักขุนเดชเหมือนลูกชาย ที่เป็นอย่างนั้นเพราะลุงเถินมักจะชวนขุนเดชให้อยู่คุยเรื่องในอดีต เมื่อครั้งที่ลุงเถินเคยเป็นนักเลงเพลงดาบ โดยได้ฝีมือตีเหล็กตีดาบมาจากปู่ที่เป็นคนสุโขทัย ลุงเถินให้ขุนเดชดูดาบที่ลุงเถินกับพ่อช่วยกันตีตอนเป็นหนุ่ม มันคือดาบสีดำปลอดที่ด้ามและตัวปลอกทำจากเขาควายตายฟ้าผ่าซึ่งเรียกว่า ดาบนิล ที่ตอนนี้หาช่างตีอีกไม่ได้แล้ว เมื่อตอนลุงเถินเป็นหนุ่มๆ เคยใช้ดาบนิลออกไปมีเรื่องมีราวตามประสาวัยรุ่นเลือดร้อน ทั้งๆที่บรรพ บุรุษเคยสั่งไว้ว่าดาบนิลตีขึ้นเพื่อปกป้องแผ่นดินเท่านั้น ผลก็เลยทำให้ลุงเถินชีวิตไม่เจริญก้าวหน้าจนเกือบตายหลายครั้ง ลุงเถินจึงเลิกเป็นนักเลงดาบ หันมาใช้วิชาความรู้ มาหล่อพระแทนเพราะไม่อยากทำบาปอีก ส่วนดาบนิลก็เก็บรักษาไว้อย่างดี ลุงเถินกลัวว่าถ้าตัวเองตายไปจะถ่ายทอดวิชาพวกนี้ให้ลูกสาวไม่ได้ จึงสอนให้ขุนเดชทั้งวิชาเชิงดาบ เชิงมวยคาดเชือก และการตีดาบไว้เป็นความรู้ติดตัว เพราะเชื่อในความเป็นคนดีของขุนเดชว่าจะไม่ใช่ในทางที่ผิด

เวลาที่ขุนเดชไปไหนมาไหนกับดารา ใครๆ มักจะคิดว่าสองคนเป็นคนรักกัน แม้แต่ ย้ง หรือ ยงยุทธ (ศุกลวัฒน์ คณารศ) เพื่อนสนิทของขุนเดชที่กำลังสอบเข้าเรียนตำรวจก็คิดอย่างนั้น ขุนเดชอ่านใจของเพื่อนได้ว่า ย้งเองก็แอบชอบดาราแต่ไม่กล้าแสดงออก เลยคิดจะช่วยให้ย้งได้มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับดารา โดยขุนเดชชักชวนไปเที่ยวอยุธยากันเพื่อชมโบราณสถาน แต่พอรู้ตัวว่าขุนเดชทำเพื่อย้ง ดาราเลยน้อยใจเพราะตัวเองก็แอบชอบขุนเดชอยู่ ดาราจึงคิดจะนั่งรถบัสกลับกรุงเทพฯ เองคนเดียว แต่ระหว่างทางไปเจอกับ ประดับ (ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์) ลูกชายนายทหารนิสัยเกกมะเหรกเกเรเพราะมีพ่อเป็นนายทหารยศใหญ่โต จึงกร่างไม่กลัวใคร ประดับกับเพื่อนฝูงพยายามที่จะชวนดาราให้ขึ้นรถไปด้วยกัน ขุนเดชกับย้งตามมาเจอเข้าเลยมีเรื่องกับประดับ และเข้าตาจนถูกพวกประดับล้อมกรอบ โชคดีที่อาจารย์ประทีปและคณะนักศึกษาโบราณคดีขับรถผ่านมาพบเข้า พวกประดับจึงต้องล่าถอยไป แต่ก็เก็บสมุดจดบันทึกของดาราได้ ทำให้ประดับรู้ว่าดาราเป็นใครและเรียนอยู่ที่ไหน

อาจารย์ ประทีปอาสาพาพวกขุนเดชไปส่งที่กรุงเทพฯ เพราะกำลังไปที่นั่นเหมือนกัน และ อาจารย์ประทีปก็สะดุดชื่อของขุนเดชเป็นอย่างมาก ยิ่งได้รู้ว่าขุนเดชเป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่ในวัดและเป็นนักศึกษาโบราณคดี ที่มีความรู้เกี่ยวกับสุโขทัยจนหาตัวจับได้ยาก ก็ยิ่งสนใจ

ขุนเดชกลับมาที่วัดก็ทราบข่าวร้ายว่าหลวงพ่อสุขอาพาธหนัก แต่ไม่ยอมไปโรงพยาบาลเพราะคิดว่าเมื่อถึงเวลาต้องละสังขารก็ขอให้เป็นไปตามกรรม ส่วนอาจารย์ประทีปด้วยความสงสัยว่าทำไมหลวงพ่อสุขถึงตั้งชื่อเด็กที่เอามาเลี้ยงว่าขุนเดช จึงขอเข้าไปมนัสการกราบหลวงพ่อ และก็จำได้ว่าหลวงพ่อสุขคือพระธุดงค์องค์เดียวกันกับที่เคยเจอที่เขาหลวงเมื่อ 10 ปีก่อน เลยยิ่งมั่นใจว่าต้องเกี่ยวข้องกับขุนเดช ลูกชายนายเดื่องที่หาศพไม่พบจนทุกวันนี้ หลวงพ่อเลยเล่าให้อาจารย์ประทีปฟังถึงสาเหตุที่ต้องพาขุนเดชมาอยู่ที่วัดและเลี้ยงดูขุนเดช เพราะขุนเดชเห็นภาพพ่อตัวเองถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา จึงช็อกและจำความไม่ได้ หลวงพ่อกลัวว่าถ้าโจรพวกนั้นรู้ว่าขุนเดชยังมีชีวิตอยู่จะเป็นอันตราย จึงพาขุนเดชมาที่กรุงเทพฯ แต่ขุนเดชก็ยังคงมีจิตวิญญาณของคนศรีสัชนาลัย เพียงแค่ภาพโบราณสถานของสุโขทัยจากในหนังสือ ขุนเดชก็สามารถจดจำรายละเอียดที่มาได้หมด หลวงพ่อสุขเอาดาบนิลหักของนายเดื่องออกมาให้ อาจารย์ประทีปดูเพื่อ ยืนยันว่าเป็นขุนเดชลูกชายนายเดื่องจริงๆ หลวงพ่ออยากให้อาจารย์ประทีปรับปากว่าจะ คืนดาบนิลอันนี้ให้ขุนเดช ก็ต่อเมื่อจิตใจของขุนเดชนิ่งสงบพอและรู้จักคำว่า อโหสิ เพราะถ้าขุนเดชยังมีจิตที่ไม่นิ่ง แม้ดาบนิลนี้จะเป็นเพียงแค่ดาบหักและมีแต่รอยบิ่น แต่ความกราดเกรี้ยวของขุนเดชจะทำให้ดาบหักกลับมามีความคมยิ่งกว่าเก่าไม่ต่างอะไร กับคมดาบในมือของทหารพระร่วง

ประดับตามมาหาดาราถึงที่โรงหล่อพระแต่ถูกลุงเถินกับขุนเดชไล่ตะเพิดเพราะ ดันมาลองดีกับเถินนักเลงเก่า ประดับเจ็บแค้นที่ถูกด่าสาดเสียเทเสีย จึงใช้อิทธิพลของพ่อพาทหารบุกไปโรงหล่อพระ แจ้งข้อหาเท็จกับนายเถินว่าซ่องสุมอาวุธสงคราม เพื่อเป็นประโยชน์ให้พวกกบฏ เถินปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับอาวุธสงคราม และไม่สนใจการเมือง ประดับจึงสั่งให้พรรคพวกบุกทุบทำลายพระพุทรูปที่หล่อเสร็จ แล้วต่อหน้าต่อตาดาราและนายเถินที่แทบหัวใจสลายที่เห็นพระพุทธรูปถูกทำลาย ประดับเอาปืนที่นำมายัดไว้ในองค์พระเพื่อเป็นหลักฐาน เล่นงานนายเถินให้ถูกจับกุม

ขุนเดชต้องพาดาราให้ไปพักอยู่กับย้งที่บ้านเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้ถูกประดับ ตามมารังควาญอีก ย้งกับดารารู้สึกกลัวแววตาของขุนเดชที่บอกว่าจะจัดการทุกอย่างให้ เมื่อย้งถามว่า ขุนเดชคิดจะทำอะไร ขุนเดชก็ไม่ปริปากพูดสักคำ ขุนเดชไปที่โรงหล่อ พระที่เหลือแต่เศษซาก ของพระพุทธรูปที่ถูกทำลาย เศียรพระที่ถูกทุบทำลายจนหลุด จากบ่าทำให้ภาพอดีตในวัยเด็ก ของขุนเดชผุดเข้ามาสร้างความเจ็บปวดให้ขุนเดชอีก แต่ขุนเดชก็ยังไม่รู้ว่าภาพเหล่านั้นคืออะไรและเกี่ยวข้องกับตัวเองยังไง ขุนเดชรู้ว่า ดาบนิลของลุงเถินที่เคยใช้เมื่อวัยหนุ่มเก็บซ่อนไว้ ที่ไหน ขุนเดชนำมันออกมาแล้ว มุ่งหน้าไปหาประดับที่กำลังดื่มกินอยู่ในบาร์

คืนนั้นเองที่อาการอาพาธของหลวงพ่อสุขกำเริบหนัก หลวงพ่อสุขถามหาขุนเดชแต่ไม่มีใครรู้ว่าขุนเดชอยู่ที่ไหน ดาบนิลหักตกลงมาจากชั้นวาง นิมิตรที่หลวงพ่อเคยเห็น เมื่อ 10 ปี ก่อนกลับมาอีกครั้ง เศษซากปรักหักพังของโบราณสถานถูกทำลาย เศียรพระเป็นเพียงเครื่องประดับข้างฝาบ้าน ภาพพระพุทธองค์กลายเป็นภาพประดับ ข้างฝาห้องน้ำของฝรั่งต่างชาติ หลวงพ่อสุขหายใจรวยรินพูดเป็นคำสุดท้ายก่อนมรณภาพว่า “จากนี้ไปไม่มีใครหยุดขุนเดช ได้อีกแล้ว”

ขุนเดชควงดาบนิลของลุงเถินบุกเข้าไปเล่นงานพวกประดับจนเกิดการต่อสู้โรม รันพันตู แต่ด้วยดาบเพียงเล่มเดียวขุนเดชเลยพลาดท่าถูกพวกประดับจับตัวได้ พวกมัน ซ้อมขุนเดชทั้งเตะทั้งอัดจนสบักสะบอม ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่โดนทำร้ายกระตุ้น ให้ภาพในอดีตของขุนเดชกลับคืนมาอีกครั้ง คราวนี้ขุนเดชเริ่มประติประต่อเรื่องราว เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขุนเดชจำได้ว่าเขาคือลูกชายนายเดื่อง ผู้ที่สาบานว่าจะถวายชีวิตปกป้องสมบัติของพระร่วงไม่ให้ใครย่ำยี ขุนเดชเองก็สาบาน กับพ่อว่าจะถวายชีวิตเป็นทหารของพระร่วง แห่งศรีสัชนาลัย พวกประดับเห็นขุนเดชนิ่ง ไปก็นึกว่าหมดสภาพแล้ว แต่ขุนเดชกลับลุกขึ้นมา ด้วยแววตากราดเกรี้ยวน่ากลัวราวกับว่ามีสัตว์ร้ายเข้ามาสิงสู่ ขุนเดชคว้าดาบนิลได้และเกือบจะสังหารประดับด้วยการบั่นคอ แต่ขุนเดชก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีกลุ่มทหารเข้ามายุติการก่อเหตุวิวาท ประดับนึกว่าคนของพ่อมาช่วยแต่ประดับคิดผิด เพราะทหารที่บุกเข้ามายุติเหตุการณ์เป็นทหารฝ่ายปฏิวัติ เพราะเวลานี้ รัฐบาลทหาร (จอมพล ป.) ถูก คณะปฏิวัติ (จอมพลสฤษดิ์) เข้ายึดอำนาจหลัง เกิดการเลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชนอย่างหนัก

ประดับและครอบครัวต้องหลบหนีภัยการเมืองออกนอกประเทศ ลุงเถินถูก ปล่อยตัวออกจากคุกให้เป็นอิสระ ส่วนขุนเดชกลับมาไม่ทันได้กราบหลวงพ่อสุขที่ มรณภาพไปในคืนนั้น ในงานศพของหลวงพ่อสุข ขุนเดชบอกอาจารย์ประทีปว่าตนเอง จำความได้แล้วว่าเป็นลูกชาย นายเดื่องที่หลวงพ่อช่วยชีวิตเอาไว้ เวลานี้เมื่อสิ้นบุญหลวง พ่อแล้วก็ถึงเวลาที่เขาควรจะกลับไป ยังบ้านเกิดที่ศรีสัชนาลัย แต่อาจารย์ประทีปทักท้วง อยากให้ขุนเดชได้เรียนโบราณคดีต่อให้จบ จะได้บรรจุเข้ารับราชการ ขุนเดชปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าอยากจะสานต่องานที่พ่อทำ เพราะรับปากพ่อไว้ก่อนตาย อาจารย์ประทีป ไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของขุนเดช จึงรับปากว่าจะช่วยให้ขุนเดชทำงานขุดแต่ง โบราณสถานที่ศรีสัชนาลัยซึ่งกำลังขาดคนอยู่ ขุนเดชกราบขอบคุณอาจารย์ประทีป และพร้อมจะเดินทางกลับบ้านเกิดทันที อาจารย์ประทีปตามไปที่กุฏิหลวงพ่อสุข ถามหาดาบนิลที่หลวงพ่อเก็บเอาไว้ แต่ลูกศิษย์วัดบอกว่าขุนเดชได้มาเอาดาบนิลนั้น ไปแล้ว อาจารย์ประทีปรู้สึกใจคอไม่ดี เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อสุขที่กำชับไว้ว่า

“อย่าคืนดาบนิลหักนี้ให้ขุนเดชจนกว่า จิตใจของขุนเดชจะนิ่งสงบพอและรู้จักคำว่า อโหสิ เพราะถ้าขุนเดชยังมีจิตที่ไม่นิ่ง แม้ดาบนิลนี้จะเป็นเพียงแค่ดาบหักและมีแต่ รอยบิ่น แต่ความกราดเกรี้ยวของขุนเดช จะทำให้ดาบหักกลับมามีความคมยิ่งกว่าเก่า ไม่ต่างอะไรกับ คมดาบในมือของทหาร พระร่วง”


ขุนเดชจากไปอย่างเงียบๆ แม้แต่ย้งกับดาราก็ไม่รู้ว่าขุนเดชหายไปไหน เพราะขุนเดชไม่ยอมบอกใครถึงอดีตของตัวเอง คงมีแต่ลุงเถินคนเดียวที่ได้พบขุนเดช เป็นคนสุดท้าย ขุนเดชเอาดาบนิลของลุงเถินมาคืนและให้ลุงเถินดูดาบนิลหักของพ่อ รวมถึงได้เล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองให้ฟัง ลุงเถินดีใจและคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ชีวิตขุนเดชจะกลับมาวนเวียนกับดาบนิล อีกครั้ง เพราะเพราะขุนเดชคือลูกหลานสุโขทัย สืบเชื้อสายจากทหารของพระร่วงที่มีดาบนิลเป็นอาวุธ ลุงเถินจึงไม่รับดาบนิลของ ตัวเองคืน และมอบให้กับขุนเดชเก็บเอาไว้เพื่อเตือนสติตัวเองว่า “ ถึงดาบจะเป็นอาวุธ ที่อันตราย แต่สิ่งที่อันตรายกว่าคมดาบก็คือใจ ขอให้ขุนเดชใช้ดาบนิลเพื่อปกป้อง แผ่นดิน”

10 ปีผ่านไป...ศรีสัชนาลัยงดงามและมีมนต์ขลังด้วยศิลปะโบราณวัตถุอันทรง คุณค่า ขุนเดชทำงานเป็นหัวหน้าคนงานขุดแต่งโบราณสถานให้กับอาจารย์ประทีป และตั้งหน้าตั้งตา ทำนุบำรุงโบราณสถานที่ตัวเองรักยิ่งชีวิต หลังจากที่ขุนเดชทำงานเสร็จจึงมาเดินเที่ยวชมวัด และได้เข้าไปไหว้พระอจนะ ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดศรีชุม ในขณะที่กำลังไหว้พระอยู่ก็ได้ยินเสียงเสี่ยงเซียมซี จึงหันไปตามเสียงที่ได้ยินและได้พบกับ บัวทอง (อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล) เด็กสาวสวยวัยเพิ่งจะ 19 กำลังเขย่ากระบอกเซียมซีเสียงดัง และอธิษฐานขอพรขมุบขมิบตามประสาเด็กสาววัยรุ่น ขุนเดชรู้สึกขำท่าทีของเด็กสาวจึงแกล้งพูดแหย่เล่นด้วยความเอ็นดู บัวทองไม่พอใจจึงลุกเดินหนีไป ขุนเดชเดินตาม บัวทองจึงรีบวิ่งไปหาแม่

ขุนเดชเห็นแม่ของบัวทองจึงจำได้ว่าเป็น น้าคำปัน ที่เคยเลี้ยงดูขุนเดชตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ขุนเดชดีใจที่ได้เจอน้าคำปันที่นี่อีกครั้ง เพราะไม่ได้เจอกันตั้งแต่คราวที่พ่อถูกฆ่าตาย เมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ได้กลับมาที่ศรีสัชนาลัยก็ได้ ข่าวว่าน้าคำปันกับจ่าแท่นพากันย้ายจากศรีสัชฯไปตั้งรกรากที่อื่น น้าคำปันกอดขุนเดชด้วย น้ำตาว่าเพิ่งจะรู้เรื่องขุนเดชเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง เพราะตอนที่ย้ายจากศรีสัชฯไปเป็นการย้าย เพราะกลัวพวกโจรที่ฆ่าพ่อขุนเดชจะย้อนมาทำร้าย ส่วนจ่าแท่นก็โดนย้ายตามเจ้านาย แต่ตอนนี้สามีของน้าคำปันเพิ่งเสียและจ่าแท่นก็เพิ่งจะได้ย้ายกลับมาที่ศรีสัชฯแล้ว น้าคำปันแนะนำให้ ขุนเดชรู้จักกับบัวทองลูกสาวของน้าคำปัน ขุนเดชยิ้มให้บัวทองอย่างเอ็นดูและชมว่าสวย เหมือนน้าสมัยสาวๆ แต่บัวทองกลับแลบลิ้นใส่ขุนเดชเพราะรู้สึกหมั่นไส้ ที่ทำเป็นอวดเก่ง อวดภูมิความรู้เรื่องโบราณสถาน และทำมาเป็นสั่งสอน คำปันต้องปรามลูกสาวที่แก่นแก้วเป็น ม้าดีดกะโหลก ขุนเดชไม่ติดใจอะไร บอกเด็กก็คงเป็นเด็ก บัวทองสวนขุนเดชกลับทันทีว่าปีนี้ อายุ 19 ไม่ใช่เด็กอีกแล้ว น้าคำปันอ่อนอกอ่อนใจฝากขุนเดชช่วยดูแลน้องด้วย ขุนเดชรับปาก อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

ที่วัดพระพายหลวง สุโขทัย ขณะที่ขุนเดชกำลังยืนแจกชะแลงและเครื่องมือให้กับคนงานอยู่ แต่มีคนงานคนหนึ่งซึ่งมีท่าทีแปลกๆ มันชื่อ ไอ้เถร พ่อแม่ของมันพามาฝากให้ทำงาน กับขุนเดชเพราะฐานะทางบ้านยากจน ขุนเดชจึงรับไว้ให้มาทำงานเป็นคนงานขุดแต่งโบราณ สถาน ไอ้เถรมีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อยและชอบขโมยพระในกรุ ขุนเดชสงสัยในท่าทางมีพิรุธ แต่ไม่ได้ติดใจอะไรปล่อยในทำงานปกติ พอตกกลางคืนเถรแอบใช้ชะแลงที่ขุนเดชแจกให้ทำงาน เข้าไปขุดกรุขโมยพระเพื่อไปขายให้กับกำนันบุญ พอรุ่งเช้าขุนเดชมาเจอร่อยรอยการขโมยพระ และเห็นรอยชะแลงที่หน้าดินซึ่งชะแลงแต่ละอันขุนเดชจะทำรอยตำหนิเอาไว้ ทำให้ขุนเดชรู้ว่าใครเป็นคนขุด

ตกดึกขุนเดชจึงไปลากตัวเถรและเอาชะแลงของเถรมาที่กรุพระ แล้วให้เถรนำ ชะแลงไปเทียบกับรอยดินว่าเป็นชะแลงอันเดียวกันรึป่าว แต่เถรขัดขืนจึงต่อสู้กัน จนเถรยอมเอา ชะแลงไปเทียบกับรอยดิน พบว่าเป็นรอยเดียวกัน เถรรีบปฏิเสธ แล้วบอกว่าอาจจะมีคนขโมย ชะแลงของตนเองไปทำความผิดก็ได้ ขุนเดชจึงให้เถรสาบานโดย การเอามือล้วงเข้าไปในข้องปลา พร้อมทั้งสาบานว่าหากเอามือล้วงไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นแสดงว่าไม่ได้ทำความผิด ซึ่งในข้องนั้นขุนเดชได้แอบเอางูเห่าใส่ไว้อยู่ พอเถรล้วงลงไปจึงโดนงูกัด แต่เถรแสร้งทำเป็นไม่มี อะไรเกิดขึ้น ขุนเดชจึงปล่อยตัวเถรไป ระหว่างทางพิษของงูออกฤทธิ์ เถรจึงหมดลมเสียชีวิต เพราะพิษงู รุ่งเช้าที่ร้านของคู่ผัวเมีย นายฮวด กับ สาลี่ ร้านกาแฟ ประจำหมู่บ้าน พวกชาว บ้านต่างพากันโจษจันพูดคุยกันถึงเรื่องการตายของไอ้เถร นายฮวด ถามจ่าแท่นที่เป็นลูกค้า ประจำของที่ร้าน เพราะชอบมาฟังพวกชาวบ้านคุยกัน ว่าคิดยังไงกับ การตายของไอ้เถร ซึ่งขุนเดชก็นั่งฟังอยู่ จ่าแท่นบอกเพียงแต่ว่าเถรถูกงูเห่ากัดตาย ขุนเดช บอกสมควรแล้วที่เป็น แบบนั้น ขุนเดชจ่ายเงินค่ากาแฟแล้วจะไปทำงานต่อ แต่จ่าแท่นรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ เจ้านายคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาประจำที่โรงพักของศรีสัชฯ จ่าแท่นแนะนำ ร.ต.ท.ยงยุทธ หรือ หมวดยงยุทธที่เพิ่งย้ายมาประจำอยู่ที่ศรีสัชฯให้ทุกคนได้รู้จัก ขุนเดชกับหมวดยงยุทธพบหน้า กันก็จำได้ดีว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันนั่นเอง

วันคืนเก่าๆของหมวดยงยุทธกับขุนเดชกลายมาเป็นเรื่องคุยกันที่บ้านพักของหมวด ยงยุทธ ขุนเดชถามหมวดถึงดาราเพราะไม่ได้ข่าวเลยตั้งแต่ขุนเดชย้ายมาอยู่ที่ศรีสัชฯ ผู้หมวด อ้ำๆอึ้งๆหนักใจที่จะพูดถึงดารา บอกขุนเดชเพียงแต่ว่าดาราเป็นอาจารย์อยู่ที่คณะโบราณคดี อย่างที่ฝันไว้ และตัวเองก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเพราะต้องย้ายไปทำงานหลายจังหวัด ยงยุทธ ชวนขุนเดชวกกลับมาคุยเรื่องการตายของไอ้เถร เพราะเกิดความสงสัยว่าไม่น่าจะเกิดจากงูกัด จนเสียชีวิตเพียงอย่างเดียว เนื่องจากตอนไปชัณสูตรศพเห็นร่อยรอยการถูกตีด้วยของแข็งตามร่างกาย แต่ไม่รู้ว่าของแข็งนั้นคืออะไร จ่าแทนสงสัยถามย้อนว่าหมวดคิดว่านี่เป็นคดีฆาตกรรม หมวดยงยุทธตอบว่าค่อนข้างแน่ใจ แต่จ่าแท่นไม่คล้อยตามข้อสันนิษฐานของหมวดคิดว่าในศรีสัชฯไม่มีฆาตกร เพราะชื่อศรีสัชนาลัยหมายความว่าเป็นเมืองของคนดี ขุนเดชได้แต่ฟัง เงียบๆ ในขณะที่หมวด ยงยุทธสนใจดาบที่ขุนเดชพกอยู่ ขุนเดชบอกเพียงแต่ว่าเป็นดาบของพ่อที่ทิ้งไว้ให้ก่อนตาย หมวดยงยุทธอยากจะขอดู ขุนเดชว่ามันเป็นเพียงแค่ดาบหักที่มีแต่สนิมใช้ขุดหญ้าดายหญ้ายังไม่ได้เลย

ต่อมาไม่นานได้มีคณะอาจารย์และนิสิตนักศึกษาจากกรุงเทพฯ มาเรียนรู้และ ดูงาน เกี่ยวกับเรื่องโบราณสถาน อาจารย์ประทีปแนะนำให้ขุนเดชรู้จักกับอาจารย์ดารา เมื่อทั้งคู่ ได้พบกันขุนเดชจึงนึกได้ว่าท่าทีอ้ำๆอึ้งๆของหมวดยงยุทธ มีความหมาย ซ่อนเร้น แท้จริงก็คือ ทุกวันนี้หมวดยงยุทธก็ยังพยายามตามจีบดาราอยู่ เพราะเป็นผู้ชายตรงๆ จีบผู้หญิงไม่เป็น ทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถเอาชนะใจดาราได้ เมื่อสบโอกาสรู้ว่าอาจารย์ดาราจะ มาปักหลักทำงานที่ศรีสัชฯจึงทำเรื่องขอย้ายตามมา เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆนั่นเอง ขุนเดชถาม อาจารย์ดาราถึงลุงเถิน ดาราบอกพ่อเสียไปเมื่อ 3 ปีก่อน ขุนเดชรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ไปเคารพศพ ดาราชวนจึงชวนขุนเดชไปทำบุญ ทำสังฆทานให้พ่อด้วยกัน แต่ระหว่างที่ทำบุญด้วยกันที่วัด อาจารย์ดาราได้เจอบัวทอง ดาราสังเกตเห็นท่าทีของบัวทองที่สนิทสนมกับขุนเดช ก็พอจะเดาออกว่าขุนเดชกับ บัวทองน่าจะมีใจให้กัน และทำใจยอมรับว่าขุนเดชไม่เคยมองเธอในฐานะคนรักเลย สักครั้ง อาจารย์ดาราจึงยับยั่งชั่งใจและเริ่มเปิดใจให้กับหมวดยงยุทธ

ระหว่างนั้นกำนันบุญและลูกชายชื่อ สัมฤทธิ์ ซึ่งมีนิสัยไม่ต่างจากพ่อทั้งขี้โกง เจ้าชู้ และชอบเก็บสะสมวัตถุโบราณโดยเฉพาะพระเครื่อง พระผงที่อยู่ในกรุเจดีย์ สองพ่อลูกคิดแผนชั่วจะขโมยวัตถุโบราณและตัดเศียรพระ แต่หาคนฝีมือดีไม่ได้เพราะลูกน้องที่ใช้ให้ไปทำก็ถูกขุนเดชจัดการจนเกือบหมด จึงนึกถึงนายเปรื่อง อยุธยา หรือฉายา เปรื่อง เสียงแปล่ง โจรมืออาชีพลักลอบขุดเจาะขโมยพระ ทำมาทั่วทุกสารทิศ เปรื่องเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับพระองค์ ใหญ่ที่ร้านกาแฟนายฮวด ขุนเดชรู้สึกสงสัยในตัวเปรื่อง จึงแอบตามไปพบเปรื่องกำลังขโมยตัด เศียรพระองค์ใหญ่ขุนเดชจึงเข้าไปจัดการเปรื่อง ทั้งคู่ต่อสู้กัน เปรื่องล้มไปใส่องค์พระ เศียรพระที่เปรื่องเจาะไว้จึงตกลงมาทับร่างเปรื่องเสียชีวิต

แต่กระนั้นโจรชั่วหนักแผ่นดินก็ยังไม่หมดไป ยังมีสองพ่อลูก ผู้ใหญ่น่วม กับ ลูกชายชื่อ น้ำ ที่มีนิสัยนักเลงอันธพาล คบโจร โกงการพนัน ฉุดผู้หญิง ชอบขโมยขุดพระขุดเจดีย์ รู้มาว่าเจดีย์บนเขามีสมบัติและกรุพระเก่าอยู่ จึงขึ้นเขาไประเบิดเจดีย์เพื่อขโมยพระในกรุ แต่ก็ถูกขุนเดชตามฆ่า โดยใช้ดาบนิลของลุงเถินที่เหมือนกับดาบนิลของพ่อซึ่งใช้การไม่ได้ มาเป็นอาวุธ ต่อสู้กับพวกคนเลวทั้งสองคน ขุนเดชใช้เชือกรัดคอน้ำโหนกับต้นไม้ตายแล้วนำศพมาประจาน

เหตุการณ์ของโจรขโมยพระที่ถูกฆ่าตายหลายคน ทำให้หมวดยงยุทธสงสัยและเริ่มตามสืบหาฝีมือของฆาตกรรายนี้ แต่หมวดยงยุทธก็จนปัญญาจนเมื่อผลการพิสูจน์หลักฐานแน่ชัดว่าของแข็งที่ใช้ทำร้ายพวกคนร้าย มีลักษณะตรงกับปลอกดาบที่ขุนเดชพกติดตัวทุกประการ หมวดยงยุทธจึงมั่นใจว่าเป็นฝีมือของขุนเดช ซึ่งตั้งศาลเตี้ยลงทัณฑ์พวกโจรใจบาปโดยไม่สนใจกฎหมาย ทำให้หมวดยงยุทธไม่พอใจขุนเดชและคอยจับผิด ว่าขุนเดชจะต้องมีดาบเล่มอื่นอีกที่ไม่ใช่แค่ดาบนิลหักของพ่อ ซึ่งพกไว้ตบตาคนอื่น หมวดยงยุทธพยายามพูดกับจ่าแท่น ให้เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นฝีมือของขุนเดชและกล่าวว่าขุนเดชเป็นวีรบุรุษบาป ให้จ่าแท่นช่วยกันหาหลักฐานมามัดตัวขุนเดชให้ได้ แม้ว่าขุนเดชจะเป็นเพื่อนเก่า แต่กฏหมายก็ต้องศักดิ์สิทธิ์เมื่ออยู่ในมือผู้พิทักสันติราษฎร์

หลังจากที่กำนันบุญทำงานไม่สำเร็จ ไม่มีสมบัติโบราณส่งไปให้ตามใบสั่งจากกรุงเทพฯ เพราะถูกขัดขวางจากขุนเดชตลอด ทำให้ ท่านรัฐมนตรีปราชญ์ ผู้ชื่นชอบในวัตถุโบราณ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังใบสั่งที่ส่งไปให้กำนันบุญจัดหามาให้เริ่มแสดงอาการไม่พอใจ แต่ด้วยความที่เป็นถึงรัฐมนตรีจึงไม่สามารถออกหน้าได้ รัฐมนตรีปราชญ์จึงเรียกประดับทนายความและเลขาประจำตัวมาจัดการทุกอย่างให้ได้ตามประสงค์ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังจากที่ประดับหนีภัยการเมืองไปอยู่เมืองนอก ประดับเรียนจบทางด้านกฏหมายและเดินทางกลับมาทำงานเป็นทนาย และเลขาส่วนตัวให้กับท่านรัฐมนตรี เพราะมีจุดประสงค์ที่อยากจะก้าวขึ้นสู่อำนาจอีกครั้งหลังจากที่พ่อต้องตายอยู่ที่เมืองนอก ประดับจึงจำยอมให้ท่านรัฐมนตรีโขกสับต่างๆ นาๆ โดยในระหว่างนั้นก็วางแผนตีสนิทกับ ปารมี ลูกสาวคนสวยวัยเพียง 16 ของท่าน รัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นสะพานให้ตัวเองยกฐานะเป็นลูกเขยท่าน ซึ่งแผนการของประดับก็ดูจะสดใสเพราะปารมี เป็นเด็กสาวแก่แดด ชอบช้อบปิ้ง และชอบหนุ่มหล่อๆ ซึ่งประดับก็เรียกความสนใจได้ไม่น้อยทีเดียว แต่ประดับต้องทำอย่างลับๆไม่ให้ท่านรัฐมนตรีรู้แผนการและไม่ให้ปารมีรู้ด้วยว่าประดับ มีคู่ขาเป็น คำผกา นักร้องในบาร์ที่นอกจากจะขายเสียงแล้วยังขายร่างกายเพื่อแลกกับเงิน และยอมทำตามทุกอย่างที่ประดับเรียกใช้ เพราะหวังว่าเมื่อวันที่ประดับขึ้นมามีอำนาจยิ่งใหญ่ เธอก็จะได้อานิสสงค์จากประดับ

ท่านรัฐมนตรีมีใบสั่งที่ให้ประดับไปจัดการหามาให้ได้ ประดับรู้จักกับ แจ็ค ฝรั่งพูดไทย คล่อง เป็นพ่อค้าวัตถุโบราณที่กรุงเทพฯ เดินทางมาขโมยวัตถุโบราณด้วยตนเอง โดยให้กำนันบุญคอยช่วยเหลือ แจ๊คระเบิดเจดีย์ แล้วใช้รถพังวัตถุโบราณต่างๆ พังเป็นหน้ากอง โดยไม่เกรงกลัวความผิด เพราะถือว่ามีเส้นสายใหญ่เป็นถึงรัฐมนตรี ขุนเดชรู้เรื่องจึงไปจัดการฆ่าโดยการแขวนคอแจ๊คหน้าเจดีย์ การตายของแจ็คทำให้ประดับต้องโดนท่านรัฐมนตรีเรียกไปด่า ประดับ จึงต้องอาศัยอำนาจของท่านรัฐมนตรีมากดดันตำรวจในพื้นที่ให้เร่งมือจัดการตามล่าตัวฆาตรที่กำลังลอยนวลอยู่นั่นเองที่ทำให้ประดับได้เจอกับหมวดยงยุทธ ดารา และขุนเดช ประดับแสดงท่าทางเจ้าชู้กับดาราเหมือนเมื่อก่อน แต่คราวนี้ประดับโดนหมวดยงยุทธขู่จะเล่นงาน ถ้ามายุ่งกับดาราอีก ประดับเลยขู่หมวดยงยุทธว่าจะอยู่ในหน้าที่ตำรวจได้อีกไม่นาน เมื่อไหร่ที่เขามีอำนาจทั้งสามคนต้องโดนแก้แค้นชนิดหาแผ่นดินยืนไม่มี แต่ประดับก็อยู่ในสุโขทัยได้ไม่นานต้องรีบกลับกรุงเทพฯ เพราะท่านรัฐมนตรีเรียกตัวให้กลับด่วน แต่ประดับต้องการรู้ความเคลื่อน ไหวของพวกขุนเดชอริเก่า และประดับก็ไม่ค่อยไว้ใจพวกกำนันบุญอยู่เป็นทุนเดิม จึงสั่งให้คำผกาย้ายเข้ามาอยู่ที่ศรีสัชฯเพื่อเป็นหูเป็นตาให้ คอยส่งข่าวคราวให้ประดับรู้ตลอดเวลา แต่คำผกามาอยู่ที่ศรีสัชฯได้วันแรกก็มีเรื่องมีราวกับบัวทอง เพราะไปดูถูก บัวทองกับคำปันจนมีเรื่องมีราวทำให้คำผกากับบัวทองเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน

ส่วนเรื่องด่วนนั่นก็คือท่านรัฐมนตรี จับได้ว่าประดับกับปารมีแอบลักลอบมีความสัมพันธ์ กันจนปารมีตั้งท้อง ประดับโดนท่านรัฐมนตรีเรียกคนมาซ้อมเพราะไม่พอใจ แต่ท่านรัฐมนตรีก็ไม่กล้าเอาเรื่องประดับถึงโรงพักฐานพรากผู้เยาว์ เพราะกลัวจะเป็นข่าวฉาวโฉ่ ปารมีก็มาอ้อนวอนพ่อ ขอร้องให้ไว้ชีวิตประดับเพราะรักกันจริงๆ และให้เห็นแก่ลูกในท้อง ท่านรัฐมนตรีทำอะไรไม่ได้ จำเป็นต้องเลื่อนฐานะประดับให้ขึ้นมาเป็นลูกเขย ซึ่งก็สมใจประดับทันที

กำนันบุญเริ่มหงุดหงิดหัวเสียไม่รู้จะไปพึ่งใครให้ทำงานให้ ทำให้รู้สึกขวางหูขวางตาลงไม้ลงมือกับทุกคนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ รำพัน เมียใหม่ของกำนันและเป็นแม่เลี้ยงของ สัมฤทธิ์ ก็โดนกำนันตบตีระบายอารมณ์ เพียงเพราะรำพันปล่อยให้ ทิพย์ ลูกสาววัย 12 ที่เกิดกับกำนันบุญซึ่งเป็นปัญญาอ่อนชอบฟ้อนรำรบกวนอารมณ์กำนัน จนกำนันคิดจะส่งทิพย์ให้ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า แต่รำพันก็อ้อนวอนขอเลี้ยงไว้เพราะยังไงก็ลูก กำนันบุญเริ่มเบื่อเมียอย่างรำพันจึงหันไปสนใจคำผกา พยายามให้แก้วแหวนเงินทองปรนเปรอคำผกาทุกอย่าง ซึ่งคำผกาก็ชอบอกชอบใจเพราะเป็นคนเห็นแก่เงิน จึงใช้มารยายั่วให้กำนันหลงหัวปักหัวปำหลอกเอาทรัพย์สินเงินทอง แต่เมื่อวันที่คำผการู้ว่าประดับจะต้องแต่งงานกับปารมี และเห็นเค้าลางว่าตัวเองอาจจะถูกประดับเฉดหัวส่ง คำผกาจึงยอมตกเป็นของกำนันบุญ ใช้ความเป็นหญิงสองผัวหลอกเอาสมบัติจากกำนันอย่างไม่อายฟ้าอายดิน

กำนันบุญนึกถึงเสือแชน ลูกน้องเก่าซึ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วเป็นผู้ลงมือฆ่าพ่อของ ขุนเดชให้กลับมาช่วยงานขโมยพระ เสือแชนไม่ชอบสะสมวัตถุโบราณ แต่จะชอบสะสมอาวุธโบราณ เช่น มีด หอก ดาบ เมื่อตำรวจสืบทราบจึงส่งสายตำรวจชื่อ นายเหลือง เข้าไปตีสนิทโดยเอาดาบโบราณไปให้เสือแชนเพื่อสร้างความไว้วางใจ เหลืองบอกเสือแชนว่าถ้าอยากได้อีกก็ยังมีอีกเยอะ เพราะรู้แหล่งที่ฝังสมบัติอยู่ในถ้ำบนเขา เสือแชนหลงกลเชื่อจึงตามเหลืองขึ้นไปในถ้ำ เมื่อสบโอกาสเหลืองผลักเสือแชนตกลงไปก้นถ้ำ แล้วออกมาตามหมวดยงยุทธกับจ่าแท่นซึ่งรออยู่ด้านนอกเพื่อรอจับ แต่ระหว่างนั้นขุนเดชซึ่งซ่อนตัวอยู่ในถ้ำก็ได้โอกาสล้างแค้นให้พ่อ โดยปล่อยงูจงอาจให้กัดเสือแชน แล้วใช้ดาบนิลฟันคอเสือแชนจนหลุดจากบ่า พอตำรวจเข้ามาก็เจอแต่สภาพศพของเสือแชนที่ถูกฆ่าตายอย่างทารุณ ซึ่งสร้างความสงสัยให้กับหมวดยงยุทธว่าต้องเป็นฝีมือของขุนเดชแน่ๆ

การตายของเสือแชนทำให้กำนันบุญแค้นใจมาก จึงสั่งคนไปลอบยิงขุนเดชขณะที่กำลังตกแต่งเจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ ขุนเดชร่วงลงมาจากยอดเจดีย์แต่รอดตายเพราะตกลงมาในดงต้นพุทธรักษา ในขณะที่ขุนเดชถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหมวดยงยุทธกับ จ่าแท่นก็มาตรวจที่เกิดเหตุ จ่าแท่นเจอดาบนิลของขุนเดชที่ตกอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู แต่พอชักดาบออกมาพบว่าข้างใน ไม่ใช่ดาบหักอย่างที่ขุนเดชเอาให้ดูมาตลอด แต่มันเป็นดาบนิลที่คมกริบ จ่าแท่นตกใจมาก หรือว่าที่หมวดยงยุทธสงสัยจะเป็นเรื่องจริง แต่พอหมวดยงยุทธเดินมา จ่าแท่นรีบเก็บดาบเข้าฝักแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น จ่าแท่นรีบตามไปที่ โรงพยาบาลแล้วฝากดาบนิลให้บัวทอง เอาไปคืนขุนเดชโดยที่ยังเก็บเอาความสงสัยไว้กับตัว

ด้านกำนันบุญพอรู้ว่าขุนเดชยังไม่ตาย จึงได้ปรึกษาหารือกับ วงศ์ เจ้าของบ่อนพนัน ที่คอยสนับสนุนและทำงานให้กำนันบุญมาโดยตลอด ว่าจะจัดการขุนเดชกับพวกคนอื่นๆที่ คอยขัดขวางอย่างไรดี จึงสั่งให้วงศ์รวบรวมลูกน้องไปก่อกวนสถานที่ต่างๆ จนสร้างความโกลาหล โดยเฉพาะกับกลุ่มนักศึกษาชายและหญิงของอาจารย์ดาราที่โดนพวกนักเลงบ่อนของวงศ์คุกคามความปลอดภัย บุกเข้าไปทำอนาจารนักศึกษาสาวๆ เมื่ออาจารย์ดาราจะเอาเรื่อง วงศ์ก็หัวหมอใช้อิทธิพลของกำนันบุญเอาตัวรอดจากคุกจากตะรางออกมาได้ ทำให้อาจารย์ดาราไม่พอใจหมวดยงยุทธที่ปล่อยให้พวกนอกกฏหมายทำอะไรได้ตามอำเภอใจ หมวดยงยุทธเองซึ่งถูกผู้ใหญ่กดดันมาเรื่องฆาตกรฆ่าโจรก็หลุดปากสวนกลับเพราะไม่พอใจที่ถูกอาจารย์ดาราต่อว่า และคิดว่าอาจารย์ดาราเห็นด้วยกับการกระทำของวีรบุรุษบาปที่พวกชาวบ้านกำลังยกย่องเชิดชู แต่สิ่งที่มันทำก็ไม่ต่างจากอาชญากรคนหนึ่ง!!

วงศ์ย่ามใจทำเรื่องผิดกฎหมายได้โดยไม่เกรงกลัวเพราะถือว่ามีกำนันบุญและรัฐมนตรี ที่คอยหนุนหลังกำนันบุญช่วยอยู่ และเมื่อรู้เรื่องว่ามีสมบัติอยู่บนเขาจึงได้ชักชวน นางหวาด ซึ่งเป็นเมียขึ้นไปขุดสมบัติด้วยกัน เมื่อวงศ์ขุดเจอดาบทองคำส่วนหวาดเจอกำไลทองจึงดีใจพากันกลับบ้าน พอรุ่งเช้าวงศ์ถูกผีเข้าสิงเอาดาบทองคำไล่ฟันเมีย หวาดจึงต่อสู้แล้วใช้มีดฟันวงศ์จนตาย ส่วนตนเองพอฆ่าผัวตายจึงเป็นบ้าเอาดาบและกำไลทองคำหนีเข้าป่าหายสาบสูบไป

สำหรับนายสัมฤทธิ์ลูกชายของกำนันบุญ ซึ่งเคยเจอบัวทองในงานวัดจึงรู้สึกถูกตาต้องใจในความสวยของบัวทอง สัมฤทธิ์พยายามตามจีบและเอาของมีค่ามาให้บัวทองเพื่อหวังจะชนะใจ แต่บัวทองไม่เล่นด้วยแถมยังเกลียดเข้าไส้ คำผกาเองก็เกลียดบัวทองอยู่แล้วจึงเป่าหูให้สัมฤทธิ์วางแผนฉุดบัวทองมาทำเมีย สัมฤทธิ์เห็นด้วยจึงวางแผนให้ลูกน้องและ จำเริญ คนงานเก่าของขุนเดชมาช่วยฉุดบัวทองไปไว้ที่กระท่อมร้าง บัวทองเกือบจะตกเป็นของสัมฤทธิ์ โชคดีที่นางหวาดโผล่มาอาละวาดเอาดาบไล่ฟันสัมฤทธิ์ บัวทองจึงหนีหลุดไปได้ สัมฤทธิ์โกรธมากจึงยิงนางหวาดตายและเอากำไลทองมาจากนางหวาด พอตำรวจรู้เรื่องจาก หมอน้อย หมอประจำหมู่บ้านที่เป็นที่เคารพของทุกคน ซึ่งเห็นเหตุการณ์บัวทองถูกฉุดและมาแจ้งความให้ตำรวจไปช่วยบัวทอง จ่าแท่นจึงนำกำลังมาช่วยหลาน จำเริญซึ่งคอยดูต้นทางอยู่ได้ยินพวกลูกน้องของสัมฤทธิ์คุยกันว่า บัวทองเป็นแฟนของขุนเดชจึงตกใจมาก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าบัวทองเป็นแฟนของขุนเดชซึ่งเป็นหัวหน้าเก่า

สาเหตุที่จำเริญยอมทำชั่วช่วยสัมฤทธิ์ฉุดบัวทอง ทำไปเพราะอยากได้เงินไปให้แม่ที่กำลังป่วยและจะบวชทดแทนบุญคุณให้แม่ แต่พอรู้ว่าบัวทอง เป็นแฟนของขุนเดช จำเริญเริ่มกลัวจึงรีบหนีไป ส่วนสัมฤทธิ์ก็เกือบโดนตำรวจจับได้ แต่ได้มา เจอ เสือเพิก เพื่อนเก่าของกำนันบุญมาช่วยไว้ แล้วพาไปอยู่ที่ซุ้มโจรด้วยกันช่วยกันออกปล้น ฆ่าชาวบ้าน แต่สัมฤทธิ์คิดชั่วอยากได้ลูกน้องของเสือเพิกมาเป็นของตัวเอง จึงหักหลังฆ่าเสือเพิกแล้วตั้งตัวเป็นหัวหน้าโจรซะเอง

หลังจากที่จำเริญกับพวกคนอื่นๆหนีตำรวจมาได้ก็มาถูกขุนเดชไล่ล่าฆ่าตายที่ละคน เหลือแต่จำเริญที่หนีมาบวชเพื่อทดแทนคุณแม่จนได้ เพราะกลับตัวกลับใจสำนึกผิดหวังว่าการบวชครั้งนี้นอกจากทดแทนบุญคุญแม่แล้วยังจะช่วยลบล้างความผิดที่ทำมา ขุนเดชตามมางานบวชของจำเริญ โดยมีหมวดยงยุทธกับจ่าแท่นแอบตามมาดูขุนเดชว่าจะฆ่าจำเริญหรือไม่ แต่เมื่อขุนเดชมาเจอจำเริญที่อยู่ในผ้าเหลืองแล้วจึงอโหสิกรรมทุกอย่างให้กับจำเริญ จ่าแท่นจึงรู้สึกโล่งใจที่ขุนเดชไม่ทำอะไรวู่ว่ามลงไป
คำว่าอโหสิกรรมที่ขุนเดชกล่าวต่อหน้าพระจำเริญทำให้ขุนเดชเริ่มคิดได้ และการดูแลเอาใจใส่ของบัวทองในระหว่างที่ขุนเดชพักรักษาตัวตอนที่ถูกยิง ก็ทำให้หัวใจของขุนเดชที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่มีความรักให้ใครก็เริ่มอ่อนผ่อนลง เมื่อรู้ข่าวเรื่องโจรขโมยพระ ขุนเดชก็พยายามถอยและไม่ลงมือเอง แต่ส่งเบาะแสให้กับตำรวจให้เป็นฝ่ายจัดการ จนกระทั่งมีชายเชื้อสายจีนไว้ผมเปียยาว ขายของเด็กเล่น อาศัยอยู่บนเรือ ชาวบ้านเรียกเค้าว่า จีนเปีย เข้ามาในศรีสัชฯ ขุนเดชรู้สึกสงสัยในท่าทีมีพิรุธจึงพยายามสืบจนรู้ว่าเป็นพวกขโมยพระแล้วนำพระมาซ่อนไว้บนเรือ ขุนเดชจึงให้เบาะแสกับตำรวจจนตำรวจสามารถจับจีนเปียไว้ได้

จีนเปียถูกขังอยู่ในตะรางแต่ได้วางแผนจะแหกคุกออกไปจึงโกหกว่าหิวน้ำ ให้ตำรวจเอาน้ำมาให้ พอตำรวจเผลอจึงเอามีดเล็กที่ซ่อนอยู่ที่ผมเปียออกมาปาดคอตำรวจตายแล้วหลบหนีออกไป ตำรวจพยายามไล่ล่าจีนเปีย แต่จีนเปียก็สามารถหนีไปได้ ขุนเดชจึงต้องออกโรงด้วยตนเอง จัดการฆ่าจีนเปียแล้วนำศพมาส่งให้ที่สถานีตำรวจ

หลังจากที่สัมฤทธิ์เป็นหัวหน้าโจรปล้นฆ่าชาวบ้าน จนถูกทางการกดดันตามล่าตัว สัมฤทธิ์จึงหนีกลับมากบดานที่บ้านกำนันบุญที่ใช้อิทธิพลของตัวเองซ่อนลูกชายเอาไว้ไม่ให้ใครกล้าเข้ามายุ่ง ทางฟากรัฐมนตรีปราชญ์ที่พยายามปกปิดเรื่องลูกสาวท้องโตในวัยเรียนมาตลอด แต่เรื่องอื้อฉาวก็ไม่สามารถปกปิดได้ สาเหตุเพราะประดับทะเลาะกับปารมี เนื่องจากไปจับได้ว่าประดับไปมีอะไรกับคำผกาโสเภณีร่านราคาถูก และรู้ความจริงว่าประดับไม่เคยรักเธอเลย คิดแต่จะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อได้เข้ามาเป็นลูกเขยรัฐมนตรี ปารมีน้อยใจประดับขับรถออกจากบ้านแล้วไปชนแม่ค้าข้างถนนตาย กลายเป็นข่าวครึกโครม ลูกสาวรัฐมนตรีท้องโตขับรถชนคนตาย ชื่อเสียงของรัฐมนตรี ปราชญเสียหายหนัก จนมีข่าวแว่วมาว่ามีสิทธิ์จะถูกถอดถอน ประดับกลัวว่าตัวเองจะเสียโอกาสถ้าไม่มีพ่อตาเป็นรัฐมนตรี จึงอาสาว่าจะทำทุกอย่างไม่ให้ท่านรัฐมนตรีหลุดจากเก้าอี้ รัฐมนตรีปราชญ์รู้มาว่าถ้าสามารถหาเครื่องชามสังคโลกโบราณที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาเป็นสินบนให้กับผู้ใหญ่ในพรรคได้ เก้าอี้ของตัวเองก็จะไม่หลุด เพราะเครื่องชามสังคโลกที่ยังสมบูรณ์และงดงามไร้ที่ติ ไม่ได้ใช่ของหากันง่ายๆ เท่าที่มีอยู่ก็มีแต่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเท่านั้น ประดับอาสาว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เองเพราะก่อนหน้านี้ได้ข่าวจาก ทางกำนันบุญว่ามีการค้นพบเครื่องชามสังคโลกในสภาพสมบูรณ์ที่ศรีสัชฯ

ประดับเดินทางมาหากำนันบุญ ซึ่งได้ยืนยันเรื่องเครื่องชามสังคโลกว่ามีการค้นพบแล้วจริงๆ โดยรู้มาจากลูกน้องที่เคยแอบเข้าไปลักขุดขโมยของโบราณในที่ดินของหมอน้อย และรู้ว่าหมอน้อยมีเครื่องชามสังคโลกโบราณอยู่ กำนันบุญจึงไปทาบทามขอซื้อแต่ถูกหมอน้อยปฏิเสธ หมอน้อยบอกกำนันบุญว่าได้บริจาคที่ดินรวมถึงเครื่องชามสังคโลกให้กับทางการหมดแล้วเพื่อเป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน กำนันบุญโกรธมากจึงให้สัมฤทธิ์พาลูกน้องไปปล้นที่บ้านหมอน้อย สัมฤทธิ์ฆ่าหมอน้อย เมียและลูก รวมถึงนายชื่นคนงานเฝ้าไร่ตายทั้งบ้าน แต่โชคดีที่นายชื่นแค่บาดเจ็บ จึงมาบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าพวกสัมฤทธิ์เป็นคนลงมือฆ่าหมอน้อยและครอบครัว หมวดยงยุทธบุกไปตามจับสัมฤทธิ์ที่บ้านกำนันบุญ แต่กำนันบุญรู้ตัวว่าตำรวจจะมาเพราะจับลูกชายเพราะรำพันแอบส่งข่าวให้ตำรวจรู้ว่าสัมฤทธิ์กบดานอยู่ที่บ้าน สัมฤทธิ์รอดไปได้โดยส่งให้ไปกบดานอยู่กับ นายซ้อน ลูกน้องเก่าที่ทำไร่อยู่ที่เขาพนมเพลิง ส่วนรำพันถูกกำนันบุญตบตีทำร้ายจะเอาถึงตาย ทิพย์ร้องไห้กระจองอแงเข้าไปกอดไม่ให้พ่อทำร้ายแม่ กำนันโกรธลูกสาวปัญญาอ่อนและทนรำคาญไม่ไหว คำผกายุส่งให้กำนันบุญจับลากตัวไปส่งโรงพยาบาลบ้า เพราะทนรำคาญทิพย์ที่ชอบมาทำให้เธอหงุดหงิดอารมณ์เสียอยู่บ่อยๆ

แต่ระหว่างฉุดกระชากลากถูทิพย์สะบัดตัวหนี กำนันบุญกับคำผกาที่ช่วยกันจับตัวทิพย์อยู่เกิดพลาดท่าตกบันไดลงมาหมดสติทั้งคู่ ซึ่งในระหว่างที่หมดสติไปนั่นเอง กำนันบุญได้ฝันเห็นภาพในอดีตของตัวเองที่เคยไปลักตัดเศียรพระ และได้เจองูเห่านับเป็นสิบๆตัวเลื้อยปกป้ององค์พระ พวกลูกน้องพากันกลัวว่าเป็นงูเจ้าไม่ควรไปยุ่งหรือไปทำร้ายไม่อย่างนั้นบาปจะติดตัว แต่กำนันบุญไม่เกรงกลัวบาปกลัวกรรมเอาถังน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาฆ่างูเจ้าจนตายเกลี้ยง หลังจากนั้นไม่นานรำพันก็คลอดลูกออกมาเป็นทิพย์ ที่ตอนเกิดมีเกล็ดตามตัวเหมือนเกล็ดงู และเมื่อโตขึ้นทิพย์ก็มีอาการปัญญาอ่อนไม่สมประกอบ ส่วนคำผกาก็ฝันเห็นภาพตัวเองตอนเป็นเด็กยากจนไม่มีข้าวกิน จนต้องไปลักขโมยข้าวแม่ค้าคนหนึ่งเป็นประจำ จนวันนึงเขาจับได้และสั่งไม่ให้ขโมยอีกถ้าอยากกินก็ให้มาขอ แต่เพราะสันดานชอบลักเล็กขโมยน้อยที่ติดเป็นนิสัย เมื่อเห็นแม่ค้ามีสร้อยทองใส่ก็อยากได้จึงแอบขโมยมาเก็บไว้ เมื่อแม่ค้าจับได้คำผกาก็ผลักแม่ค้าล้มลงไปที่ถนนจนถูกรถชนตาย

เมื่อกำนันบุญกับคำผกาฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารำพันได้พาทิพย์หนีไปแล้ว ส่วนกำนันบุญเมื่อพยายามจะลุกขึ้นก็ทำไม่ได้อย่างเหมือนก่อน เพราะแข้งขาไม่มีเรี่ยวมีแรงจะขยับไปไหนก็ต้องใช้วิธีเลื้อยเอาคล้ายกับงูที่ต้องเลื้อยไปมา หมอบอกว่าที่กำนันบุญเป็นอย่างนี้สาเหตุมาจากการตกบันไดทำให้เส้นประสาทที่ขาเสียหาย คำผกาเห็นเข้าก็รู้สึกทุเรศลูกตาไม่สนใจใยดีกำนันบุญอีก และแอบขโมยกุญแจห้องเก็บสมบัติของกำนันเพื่อเข้าไปลักเอาแก้วแหวนเงินทองของกำนัน โดยเฉพาะกับกำไลทองที่สัมฤทธิ์เอามาจากศพนางหวาด แต่เมื่อคำผกาเอากำลังมาสวม คำผกาก็มีอาการไม่ต่างจากนางหวาดที่คลุ้มคลั่ง ควงดาบออกไล่ฟันลูกน้องกำนันบุญ และหนีมาเจอประดับ คำผกาก็พยายามทำร้ายประดับ ในที่สุดก็ถูกประดับยิงตายและเก็บเอากำไลทองจากคำผกามาไว้กับตัวเอง

กำนันบุญเริ่มกังวลและคิดถึงบาปกรรมที่เคยทำไว้กับงูเจ้าในอดีต ประดับมาหากำนันบุญเพื่อขอเอาชามสังคโลกที่ได้มาจากหมอน้อย กำนันบุญยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมนอกจากเรื่องเงินแล้ว อยากจะขอให้ท่านรัฐมนตรีช่วยเหลือลูกชายให้พ้นคดี และช่วยหาหมอเก่งๆมารักษาให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง เพราะเกรงกลัวว่าถ้าไอ้ขุนเดชมันรู้ตัวเองกลายเป็นแค่ไอ้พิการ มันต้องตามมาจัดการฆ่าแก้แค้นที่เคยไปฆ่าพ่อมันแน่ๆ ประดับเลยได้รู้ว่าขุนเดชศัตรูในอดีตที่เคยฝากความแค้นกันไว้นั้นตอนนี้มันก็ยังตามรังควาญเขาไม่หยุด ประดับคิดแผนการบางอย่างที่จะจัดการกับขุนเดชเพื่อสางความแค้น เลยทำเป็นรับปากกับกำนันบุญว่าจะจัดการตามที่ต้องการทุกอย่าง แต่พอลงจากเรือนของกำนันบุญได้ไม่เท่าไหร่ ประดับก็สั่งลูกน้องให้จัดการเผาบ้านกำนันบุญ ทรัพย์สมบัติของกำนันบุญก็สั่งให้คนขนออกมาจนเกลี้ยง ลูกน้องคนไหนที่ไม่ยอมแปรพักต์ก็จัดการฆ่าตายให้หมด แล้วใช้เลือดเขียนบนผนังเรือนว่านี่คือการ แก้แค้นของขุนเดช

การตายของหมอน้อยพร้อมกับครอบครัว สร้างความเสียใจให้กับทุกคนในศรีสัชฯที่ ต้องสิ้นคนดี ขุนเดชรักและเคารพหมอน้อยเหมือนญาติผู้ใหญ่จึงโกรธแค้นเป็นอย่างมากและ คิดแก้แค้นให้หมอน้อย นายซ้อนซึ่งให้ที่พักกับสัมฤทธิ์แอบมาพบกับขุนเดชเพื่อส่งข่าวเรื่องของสัมฤทธิ์ให้รู้ ถึงนายซ้อนจะเคยเป็นลูกน้องของกำนันบุญ แต่ตอนนี้ก็กลับตัวกลับใจแล้ว จึงขอให้ขุนเดชไปจัดการกับนายสัมฤทธิ์ที่เขาพนมเพลิง ขุนเดชจึงตามไปฆ่าโดยขุดหลุมพราง ให้สัมฤทธิ์ตกไปในหลุมแล้วใช้น้ำมันราดเผาสัมฤทธิ์ทั้งเป็น และยืนดูมันตายอย่างทรมาณให้สาสมกับความผิดที่เคยทำ หมวดยงยุทธตามมาพบขุนเดชฆ่านายสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นหลักฐานคาตา ยงยุทธขอให้ขุนเดชมอบตัว เพราะตอนนี้ขุนเดชกลายเป็นอาชญากรที่ตำรวจต้องการ หลังจากที่ไปปล้นเผาบ้านของกำนันบุญ ขุนเดชปฏิเสธไม่ได้เป็นคนไปปล้นบ้านกำนันบุญ หมวดยงยุทธและจ่าแท่นเชื่อว่าขุนเดชไม่ได้ทำและโดนใส่ร้าย จึงต้องขอร้องให้ขุนเดชมอบตัวเพื่อไปพิสูจน์ความจริงกับศาล แต่ขุนเดชไม่ยอมมอบตัวสู้และเข้าต่อสู้กับหมวดยงยุทธจนเอาตัวรอดหนีไปได้

ที่จริงแล้วกำนันบุญยังไม่ตาย แต่ถูกประดับจับตัวเอาไว้เพื่อเรียกให้ขุนเดชมา จัดการ โดยประดับเตรียมซ้อนแผนให้ตำรวจมาพบตอนที่ขุนเดชฆ่ากำนันบุญ ประดับส่งข่าวเรื่อง กำนันบุญให้ขุนเดชรู้ผ่านทางอาจารย์ดาราว่ากำนันบุญอยู่ที่ถ้ำ พระศิลาบนเขาหลวง ที่ๆพ่อของขุนเดชถูกฆ่าตาย อาจารย์ดาราเตือนขุนเดชไม่ให้ไป ตกหลุมพรางของประดับ และอาจารย์ประทีปก็เอาคำพูดของหลวงพ่อสุข ที่เคยเตือน เอาไว้พูดให้ขุนเดชรู้ แต่ขุนเดชยืนยันว่าชีวิตเขาเกิดมาเพื่อปกป้องสมบัติของชาติ เขาคือทหารของพระร่วง ขุนเดชเดินทางไปที่ถ้ำศิลาและได้พบกำนันบุญในสภาพนั่งรถเข็นน่าเวทนา กำนันบุญขอร้องขุนเดชให้ไว้ชีวิต อ้างว่าตอนนี้ตัวเองก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้วได้รับกรรมที่เคยทำไว้แล้วอยากให้ขุนเดชอโหสิให้ ขุนเดชลังเลใจนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อสุขที่อาจารย์ประทีปบอกไว้และคำสัญญากับบัวทองว่าจะใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบ ขุนเดชคิดจะอโหสิให้กำนันบุญ แต่กลับถูกกำนันยิงเข้ากลางอกด้วยปืนที่ซุกเอาไว้ในรถเข็น

ขุนเดชทรุดฮวบหายใจรวยรินเจ็บใจที่โดนกำนันบุญหลอก ประดับโผล่เข้ามา หัวเราะสะใจที่ขุนเดชโดนเล่นงาน กำนันบุญอ้างว่าประดับสั่งให้ทำ ประดับเข้ามาจิกหัวขุนเดช สมเพชเวทนาอยากเห็นขุนเดชตายต่อหน้าต่อตา เพราะถ้า ขืนปล่อยให้ตำรวจได้ตัวไป วันนึงขุนเดชก็ต้องพ้นโทษออกมาอีก ประดับทิ้งขุนเดชไว้ ในถ้ำกับกำนันบุญ ขุนเดชเกือบจะตายอยู่แล้วแต่ด้วยคำพูดของพ่อที่พูดถึง พระขพุงผี ผีเทวดาที่ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาใดๆบนเขาหลวง ขุนเดชก็ฮึดลุกขึ้นมา กำนันบุญจะยิง ขุนเดชซ้ำแต่ขุนเดชก็ฟันฉับเข้าที่คอด้วยดาบนิล กำนันบุญคอขาด กระเด็นสาสมกับ กรรมที่ทำไว้

หมวดยงยุทธกับจ่าแท่นและกำลังตำรวจตามมาที่เขาหลวงเพื่อต้องการระงับเหตุและจับตัวขุนเดช บัวทองกับอาจารย์ดาราตามจ่าแท่นมาด้วยเพราะเป็นห่วงขุนเดช แต่หมวดยงยุทธสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นไปที่เขาหลวง อาจารย์ดาราขอร้องหมวดยงยุทธให้ ปบล่อยขุนเดชไป แต่หมวดยงยุทธยืนยันว่าเขาต้องทำทุกอย่างตามความถูกต้อง เพราะ ถ้าเขาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องชาตินี้เขาก็คงทนมองหน้าใครไม่ได้อีก และอาจารย์ดาราก็คงจะ ภูมิใจในตัวเขาไม่ได้ อาจารย์ดาราน้ำตารื้นยอมเข้าใจว่าหมวดยงยุทธมีความจำเป็น จึงยอมอยู่กับบัวทองที่ตีนเขาหลวง

ขุนเดชในสภาพที่บาดเจ็บหนักไล่ล่าตามหาตัวประดับในป่าบนเขาหลวง ประดับคิดว่าตัวเองน่าจะหาทางออกได้แต่ก็เกิดเรื่องน่าอัศจรรย์ เมื่อทางออกที่เคยเดิน กลับไม่เหมือนเดิม ประดับเริ่มเดินวนเวียนอยู่ในป่าจนหลวงทาง และได้ยินเสียงหวีด ร้องน่ากลัวไปทั่วป่า ประดับยิงปืนไปทั่วเพราะคิดว่าเป็นฝีมือของขุนเดช แต่ภาพที่ ประดับเห็นกลับเป็นภาพของนักรบโบราณเดินไปเดินมาอยู่รอบตัว และหนึ่งในกลุ่ม นักรบโบราณก็คือขุนเดชที่ยืนจังก้า ในมือถือดาบนิลที่ชักออกมาเป็นดาบคมกริบ ขุนเดชตวัดดาบเข้าสู้กับประดับและใช้มันเสียบทะลุหัวใจของประดับจนตายคาที่ จ่าแท่นกับหมวดยงยุทธตามมาพบขุนเดชในสภาพหายใจรวยริน ขุนเดชบอกหมวด ยงยุทธว่าเสียใจที่ให้หมวดจับเข้าคุกไม่ได้ เพราะคงสิ้นลมหายใจอยู่ที่เขาหลวงแห่งนี้ ขุนเดชขอร้องหมวดยงยุทธว่าปล่อยให้เขาตายอยู่ที่นี่ จะได้เป็นผีเฝ้าสมบัติของ บรรพบุรุษจากพวกใจบาป ขุนเดชแน่นิ่งไปต่อหน้าต่อตาหมวดยงยุทธ

รัฐมนตรีปราชญ์มาที่สุโขทัยเพื่อรับถ้วยชามสังคโลกที่ประดับเก็บไว้ให้ เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องของประดับที่ไปเกี่ยวข้องกับพวกค้าวัตถุโบราณ ท่านรัฐมนตรีด่าประดับว่าเป็นพวกสารเลวและเพิ่งรู้เห็นความเลวของมันเหมือนกันสาสมที่มันตายซะได้แถมยังรับปากกับประชาชนว่าจะกวาดล้างพวกขายสมบัติชาติให้สิ้นซาก แต่ครั้นเมื่อท่านรัฐมนตรีกลับมาถึงบ้านก็พบว่าประดับได้ส่งของขวัญมาให้ปารมี โดยสั่งให้ลูกน้องเอามาให้ก่อนที่ประดับจะตาย ปารมีเปิดกล่องของขวัญออกมาพบว่าเป็นกำไลทอง ปารมีเห็นว่าสวยดีจึงสวมกำไลทอง เข้าไปแล้วก็เกิดอาการคุ้มคลั่ง ลุกขึ้นมาไล่ทำร้ายรัฐมนตรีปราชญ์จนตกบันไดคอหักตายคาที่ ส่วนปารมีก็กลายเป็นบ้าเดินเพ้อละเมอว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหายออกจากบ้านไป

หมวดยงยุทธกับจ่าแท่นและชาวบ้านทุกคนร่วมกันจัดงานเผาศพให้ขุนเดช ทุกคนมาร่วมงานศพ บัวทองยืนร้องไห้เสียใจ แค้นที่คนดีๆอย่างขุนเดชต้องมาตายเพราะฝีมือคนชั่ว บัวทองเสียใจมากจึงได้เดินหลบออกไป จ่าแท่นเดินตามมาแล้วเล่าความจริงให้บัวทองฟังว่าขุนเดชยังไม่ตาย ตอนนี้หลบพักรักษาตัวอยู่ และเป็นความตั้งใจของหมวดยงยุทธที่จะให้ทุกคนเข้าใจว่าวีรบุรุษบาปอย่างขุนเดชได้ตายจากไปแล้ว บัวทอง ดีใจเมื่อรู้ดังนั้น จึงพาแม่ไปอาศัยอยู่กับขุนเดชไปปลูกไร่ ไถ่นาอยู่กันตามประสาอย่างมีความสุข โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าขุนเดชยังมีชีวิตอยู่ ส่วนหมวดยงยุทธได้เลื่อนยศขึ้นเป็น ผู้การที่จังหวัดสุโขทัยและได้แต่งงานกับอาจารย์ดารา

ทุกๆ วันหมวดยงยุทธมักจะยืนมองโบราณสถานที่ยังทรงคุณค่า และนึกขอบใจขุนเดชที่เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องสมบัติและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ให้อยู่สืบไป

จบบริบูรณ์

ใครเป็นใคร ในละคร “ขุนเดช”

วีรภาพ สุภาพไพบูลย์ รับบท ขุนเดช
ศุกลวัฒน์ คณารศ รับบท ร.ต.ท.ยงยุทธ
อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล รับบท บัวทอง
อคัมย์สิริ สุวรรณศุข รับบท อาจารย์ดารา
สุรวุฑ ไหมกัน รับบท กำนันบุญ สุโขทัย
ณัฐวัฒน์ เปล่งศิริวัธน์ รับบท ประดับ (ลูกเขยปราชญ์)
อุษณีย์ วัฒฐานะ รับบท คำผกา
ขวัญกวินท์ ธำรงรัฐเศรษฐ์ รับบท ปารมี (ลูกรมต.)
พิชยดนย์ พึ่งพันธ์ รับบท สัมฤทธิ์ (ลูกบุญ)
เกริกเกียรติ พันธุ์พิพัฒน์ รับบท รัฐมนตรีปราชญ์
ภารดี อยู่ผาสุข รับบท คุณหญิง
วันชัย เผ่าวิบูลย์ รับบท อาจารย์ประทีป
วินัย ไกรบุตร รับบท เดื่อง (พ่อขุนเดช)
รชยา รักษ์กสิกรณ์ รับบท คำปัน (แม่บัวทอง)
วีระชัย หัตถโกวิท รับบท จ่าแท่น (ลุงบัวทอง)
ธนา สินประสาธน์ รับบท เถิน (พ่อดารา)
ตฤณ เศรษฐโชค รับบท หมอน้อย
น้ำทิพย์ เสียมทอง รับบท มะลิ
ประถมาภรณ์ รัตนภักดี รับบท สาลี่
ธีรยุทธ ปรัชญาบำรุง รับบท หลวงพ่อสุข
ยอดชาย เมฆสุวรรณ รับบท หลวงลุง
ฆนัท นาคถนอมทรัพย์ รับบท อาจารย์ดำรง
พิพัฒน์พล โกมารทัต รับบท ฮวด
ปริษา ทนาวิวัฒน์ รับบท รำพัน (เมียใหม่บุญ)
ณปภัช วรพฤทธานนท์ รับบท ทิพย์ (ลูกรำพันบุญ)
พชร กระต่ายทอง รับบท เปี๊ยะ (น.ศ.)
ชญานี ธิติ รับบท กบ (น.ศ.)
ธัชพร วาจา รับบท หยิน (น.ศ.)

รายชื่อนักแสดงรับเชิญใน ละคร ขุนเดช

สุรพันธุ์ ศรีวิลัย รับบท เสือเพิก (เพื่อนเก่า)
ณรงค์ เจนครองธรรม รับบท เสือชิด (ลูกน้อง)
ยุพข่าน ดัสกร รับบท เสือแชน (ลูกน้อง)
ณรัฐ พัฒนาพงศ์ชัย รับบท ลูกน้องประดับ
เนรัญ ศรีสันต์ รับบท ลูกน้องกำนันบุญ
ชมวิชัย เมฆสุวรรณ รับบท ลูกน้องสัมฤทธิ์
จิรกิตติ์ สุวรรณภาพ รับบท เถร
เวนซ์ ฟอลโคเนอร์ รับบท เปรื่อง อยุธยา
พงศนารถ วินศิริ รับบท ผู้ใหญ่น่วม
รอน สมูเรนเบิร์ก รับบท แจ๊ค
โอลิเวอร์ บีเวอร์ รับบท วงศ์
ณรงค์ฤทธิ์ ป้อมภู่ รับบท จำเริญ
นิมิตร ทยานุวัฒน์ รับบท จีนเปีย
ธนัช ศรีบรรจง รับบท ตากล้ำ (พ่อเถร)
พจนี ใยละออ รับบท ยายแช่ม (แม่เถร)
จิณณะ จอมขันเงิน รับบท น้ำ (ลูกน่วม)
ปวารา อภิพูนลาภ รับบท หวาด (เมียวงศ์)
โชคดี พักภู่ รับบท ชื่น (คนงานหมอน้อย)
อิทธิกร สาธุกรรม รับบท ซ้อน เขาพนมเพลิง

โปรดติดตามอ่านเรื่องราวสนุกสนาน ในรูปแบบนิยายจากบทโทรทัศน์ช่อง 7 สี ละเอียดทุกลมหายใจตัวละคร ทางละครออนไลน์ เริ่มวันแรก 9 เมษายน นี้









Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:38:32 น.
Counter : 732 Pageviews.

0 comment
1  2  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]