กระบือบาล ตอนที่ 9 (ต่อ)




สุบินนั่งอยู่กับอรอนงค์ โดยมีเจนจิรานั่งอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องไปที่ใจเด็ดในลานรำวงไม่วางตา

“คุณเจนไม่ออกไปรำวงเหรอคะ” อรอนงค์ถาม
“เอ่อ...ไม่หรอกคะ...คือ...ฉันไม่ค่อยชอบเรื่องนี้เท่าไหร่”
“อ๋อ...เหรอ...ไอ้เราก็นึกว่าที่ไม่ไปก็เพราะ...” สุบินพูดแล้วเหล่มองเจนจิรา
เจนจิราเหล่กลับ “ทำไม...เพราะอะไร”
สุบินกวนใส่ “เพราะไม่ชอบไง”
อรอนงค์ทำหน้างงกับคำพูดที่วกวนของสุบิน เจนจิรามองสุบินอย่างเคืองๆ
“ประสาท”
ระหว่างนั้นเกริกไกรถือน้ำจรวดเข้ามาสี่แก้ว
“มาแล้วครับน้ำจรวดหวานชื่นใจ...อ้ะ...นี่ครับของคุณสุบิน”
เกริกไกรแจกจ่ายให้กับสุบินและเจนจิรา ก่อนจะส่งแก้วให้กับอรอนงค์เป็นคนสุดท้าย
“เป็นยังไงครับคุณอร...หายมึนหรือยังครับ”
“ยังค่ะ...ยาที่ฉันโดนมันเป็นยาอะไรเหรอคะ”
“เป็นพวกยาสลบน่ะครับ...ไอ้พวกนี้มันจะออกฤทธิ์สามสี่ชั่วโมง...ผมอยากรู้จริงๆ ว่าใครที่มันทำชั่วๆ อย่างนี้...ฮึ่ยย์” เกริกไกรฮึดฮัด
“ท่าทางหมอคงโกรธไอ้พวกนั้นมาก” สุบินแซว
“แน่นอนครับ...รู้มั้ยว่าผมเตรียมท่ารำวงมากี่ท่า...พวกมันทำให้ผมอดรำวงกับคุณอร...ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ถึงฉันจะไม่ได้รำวง...แต่แค่นั่งดูอยู่ตรงนี้ฉันก็มีความสุขแล้ว”
อรอนงค์ยิ้มเยื้อนให้เกริกไกร จึงทำให้เกริกไกรอารมณ์เย็นลง ระหว่างนั้นสุบินถามขึ้น
“เออ...ผมอยากรู้มานานแล้ว...ที่นี่เขามีแต่ประกวดเทพีเหรอครับ...ทำไมไม่มีเทพบุตรบ้างละครับ”
“ทำไม...คุณจะลงประกวดหรือไง” เจนจิราประชด
“ถ้าผมลง...คุณจะเชียร์ผมหรือเปล่าละ”
เจนจิราเบ้ปากใส่อย่างรังเกียจ
“โอ๊ย...ไม่มีน่ะดีแล้วครับ” เกริกไกรโพล่งขึ้นมา สุบินกับอรอนงค์สงสัย “ไม่งั้นไอ้เด็ดมันคงได้เป็นเทพบุตรทุกปี...ไอ้หมอนี่มันขวัญใจคนที่นี่ครับ” เกริกไกรชายตามองไปทางลานรำวง “ดีนะครับที่คุณนุชเป็นผู้หญิง...ไม่อย่างนั้นไอ้เด็ดคงจะเจอคู่แข่งคนสำคัญแน่นอน...ดูซิครับ...ผมไม่เคยเห็นชาวบ้านจะชอบคนต่างถิ่นมากเท่าคุณนุชมาก่อน”
ทุกคนมองไปก็เห็นอย่างที่เกริกไกรว่าเพราะชาวบ้านต่างเข้ามาโค้งขอรำวงกับสรนุช
“แหม...สงสัยพวกนั้นคงอยากหาเมียให้ไอ้เด็ดเต็มที”
เจนจิรานั่งฟังอยู่นานก็ทนไม่ได้ถึงกับลุกพรวดขึ้นแล้วเดินออกไป สุบินมองตามอย่างรู้ทัน

เจนจิราเดินหงุดหงิดออกมาอีกมุมหนึ่ง ระหว่างนั้นเสียงของสุบินดังขึ้น
“กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่าคุณแอบชอบหัวหน้าตัวเองน่ะ”
เจนจิราได้ยินเสียงก็หันไปก่อนจะเห็นสุบินเดินตามเข้ามา
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“อย่าเพิ่งไล่กันซิคุณ...ผมตามมานี่เพราะผมอยากจะช่วยคุณจริงๆ นะ”
เจนจิราเหล่มองสุบินอย่างสงสัย
“คุณรู้มั้ยว่าไอ้ที่คุณทำเนี่ย...มันเหมือนพวกตัวอิจฉาในละครมาก”
เจนจิรา อึ้ง แล้วปรี๊ดขึ้นมา นึกได้ว่าถูกด่า “นี่..!”
“หรือว่าไม่จริง...คุณเคยดูละครมั้ย...เอาง่ายๆผมตั้งเป็นสมการให้ฟัง...นายเอกับนางบียังไม่รู้ว่าตัวเองชอบกันอยู่...แต่มีนางซีที่แอบชอบนายเอ...ก็เลยพยายามไปดึงนายดีมาจีบนางบีเพื่อที่นางซีจะได้เก็บนายเอไว้...แล้วพอ...”
เจนจิราไม่อยากฟัง ขัดขึ้นทันที “ถ้าฉันจะทำอย่างนั้นจริงแล้วมันผิดตรงไหน” สุบินชะงักไปเมื่อเห็นเจนจิราจริงจัง “คุณรู้มั้ยว่าหัวหน้ามีความสำคัญกับสถานี...กับคนที่นี่...กับบ้านหนองระบือนี้มากแค่ไหน”
“แต่ถ้าคุณใจเด็ดจะชอบเพื่อนผมขึ้นมาจริงๆ...คุณก็ควรปล่อยให้มันเป็นไป...คุณไม่ใช่เจ้าชีวิตของคุณใจเด็ด” สุบินท้วง
“แต่พี่ใจเด็ดคือชีวิตจิตใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่...เพราะฉะนั้น...ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งหัวหน้าไปจากพวกเรา”
สุบินได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป

ด้านชิดชัยกับลูกน้องค่อยย่องเข้ามาหลังต้นไม้ก่อนจะมองไปที่แผงควบคุมแสงและเสียงที่อยู่ข้างเวทีรำวง ชิดชัยบุ้ยปากให้ลูกน้องเข้าไป
“ไปซิวะ” ชิดชัยเร่ง
ลูกน้องกำลังจะไปแล้วนึกได้ “เอ่อ...ขอทวนแผนอีกทีได้มั้ยครับ”
“ไอ้นี่...เอาง่ายๆ นะ...เดี๋ยวพอฉันดับไฟ...แกทำยังไงก็ได้...พาไอ้ใจเด็ดมาตรงนี้”
ลูกน้องหน้าจ๋อยก่อนจะค่อยๆ ย่องออกไป ชิดชัยหันมองไปที่ลานรำวงสายตาจับจ้องไปที่ใจเด็ด

ใจเด็ดกำลังรำวงกับช่อผกาไปอย่างนั้น ระหว่างนั้นปุยฝ้ายเข้ามาเบียดช่อผกาจนกระเด็น
“ขอสักเพลงนะหัวหน้า”
“ครับ” ใจเด็ดยิ้มให้
ช่อผกาโผเข้ามาเอาเรื่องปุยฝ้าย
“หาเรื่องหรือไงยัยช้างน้ำ...พี่เด็ดต้องคู่กับฉันคนเดียว”
“หล่อนมีสิทธิอะไร...หัวหน้าเขาไม่ได้เป็นของหล่อนนะยะ” ปุยฝ้ายไม่ยอม
“ใช่...งั้นป้าขอต่อจากปุยฝ้ายมันแล้วกันนะหัวหน้า” ป้าบอกยิ้มๆ
ใจเด็ดยิ้มให้ก่อนจะเริ่มเห็นคุณยายคุณป้าต่างเข้ามาขอเต้นรำกับใจเด็ด จนทำให้ช่อผกาถูกเบียดออกไป ใจเด็ดแอบชำเลืองมองสรนุชกำลังรำวงกับชาวบ้านอย่างสนุกสนาน
ทั้งใจเด็ดกับสรนุชต่างรำวงกับชาวบ้านหลายๆคน จนวนไปมาทำให้ทั้งสองอยู่ใกล้กันโดยไม่รู้ตัว
ใจเด็ดกับสรนุชหันมาเห็นกันต่างก็ชะงัก
ทันใดนั้นไฟที่งานรำวงก็ดับพรึ่บลง พร้อมกับเสียงเพลงที่ดับลงเช่นกัน ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงโวยวาย

ชิดชัยซึ่งยืนอยู่ที่แผงควบคุมไฟและเสียงก่อนจะหันมองไปที่ความวุ่นวายที่งานรำวงด้วยสายตาอำมหิต

ใจเด็ดพยายามตะโกนบอกชาวบ้าน
“ทุกคนอย่าวิ่ง...อย่าวิ่ง...ไม่มีอะไร...เดี๋ยวไฟก็มา”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเหมือนโดนใครคนหนึ่งกระแทกเข้าด้านหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงร้องตามมา
“โอ๊ย”
“เป็นไรหรือเปล่าคุณ”
“เจ็บซิถามได้” ที่แท้เป็นสรนุช
ใจเด็ดถึงบางอ้อ “คุณนี่เอง”
สรนุชจำเสียงใจเด็ดได้เหมือนกัน “รู้ได้ยังไงว่าเป็นฉัน”
“น้ำเสียงกับคำพูดอย่างนี้...ต่อให้ผมตาบอดก็จำได้”
“ชิ...แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ระหว่างนั้นลูกน้องของชิดชัยวิ่งเข้ามาที่ใจเด็ด
“หัวหน้าใจเด็ดครับ...หลวงพ่อให้มาไปที่แผงควบคุมไฟครับ”
ด้วยความมืดทำให้ใจเด็ดมองไม่เห็นว่าคนที่มาบอกคือลูกน้องของชิดชัย
“ได้” ใจเด็ดหันมาบอกสรนุช “คุณอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะ”
ว่าแล้วใจเด็ดก็รีบวิ่งตามลูกน้องชิดชัยออกไป
ใจเด็ดวิ่งตามลูกน้องของชิดชัยตรงเข้ามาที่แผงควบคุมไฟ
“เกิดอะไรขึ้น...ไฟช๊อตเหรอ”
ใจเด็ดรีบตรงเข้าไปที่แผงควบคุมไฟ โดยไม่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งย่องเข้ามาที่ด้านหลัง
ใจเด็ดกำลังดูแผงไฟก่อนจะเอะใจขึ้นมาจึงหันไปถามลูกน้อง
“แล้วหลวงพ่...!”
ใจเด็ดพูดได้แค่นั้นก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือชิดชัยที่ใส่หน้ากากไอ้โม่ง ก่อนที่มันจะหวดไม้เข้าที่หัวของใจเด็ดเต็มแรง เสียงดังผัวะ !
ใจเด็ดล้มคว่ำลงไปกับพื้น !!!

อีกมุมหนึ่งของงาน หลวงพ่อรีบเข้ามาพร้อมกับไฟฉาย มาเจอกับโชคชัยพอดี
“เกิดอะไรขึ้นครับหลวงพ่อ”
“อาตมาว่าจะมาถามนายกอยู่เหมือนกัน...”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมลองไปดูที่แผงควบคุมดู” โชคชัยบอก
“ฝากด้วยแล้วกันนะนายก”
หลวงพ่อมองตามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ด้านสรนุชเดินหลบมาอยู่ที่มุมหนึ่งที่คิดว่าปลอดภัย แต่สีหน้าไม่คลายความกังวลรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา

ส่วนใจเด็ดล้มอยู่กับพื้น ชิดชัยที่สวมหน้ากากไอ้โม่งกำลังจะตามเข้ามาซ้ำ แต่ลูกน้องกลับดึงเอาไว้
“อะไรวะ” ชิดัยขัดใจ
“เดี๋ยวมันก็ตายหรอกพี่”
“เออ...ก็ดีซิวะ”
ชิดชัยผลักลูกน้องออกไปก่อนจะตามเข้าซ้ำใจเด็ด ใจเด็ดกลิ้งตัวหลบไม้ของพวกมันได้ทันหวุดหวิด ก่อนจะลุกขึ้นตั้งหลักได้
หนึ่งในสองกระโดดเข้ามาฟาดใจเด็ดด้วยไม้ ใจเด็ดหลบได้แต่ไม่ทันระวังอีกคนที่อยู่ด้านหลัง ใจเด็ดจึงโดนไม้ฟาดเข้าที่หน้าเต็มๆ สลบไป
ระหว่างนั้นเสียงของโชคชัยดังขึ้น “หยุดนะ”
เสียงของโชคชัยทำให้พวกมันที่กำลังจะซ้ำใจเด็ดที่สลบไปถึงกับชะงัก
“ไม่อยากเจ็บตัวก็ไปไกลๆ” ชิดชัยบอก
โชคชัยมองไปที่พื้นแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นใจเด็ด
“ใจเด็ด”
“อยากเจ็บตัวใช่มั้ย” ชิดชัยโมโหมากๆที่ถูกขัดจังหวะ
โชคชัยรีบเข้ามาดูใจเด็ดที่เจ็บอยู่ แล้วพวกมันสองคนก็พุ่งเข้ามาหาโชคชัยเพื่อจัดการ
“ระวัง”
เสียงของใจเด็ดทำให้โชคชัยหลบไม้ที่โชคชัยเข้ามาฟาดทางด้านหลังเอาไว้ได้ ก่อนที่โชคชัยจะสวนหมัดเข้าไปที่หน้าของชิดชัยเต็มๆ ชิดชัยโดนหมัดของโชคชัยก็ทำให้ไม้หลุดจากมือ ร่างเซถลาออกไปลูกน้องรีบเข้ามาประคองชิดชัยเอาไว้
“พี่”
ชิดชัยกับลูกน้องมองโชคชัยเพื่อหยั่งเชิง โชคชัยรีบคว้าไม้ที่ชิดชัยทำหล่นขึ้นมาเป็นอาวุธ ระหว่างนั้นเสียงชาวบ้านโวยวายเริ่มดังขึ้น
ชิดชัยดูสถานการณ์แล้วเห็นท่าไม่ดี
“ไปเว้ย”
ลูกน้องเห็นชิดชัยวิ่งหนี ตัวเองก็ใจเสียไม่รู้จะอยู่ทำไมจึงปล่อยใจเด็ดแล้วรีบวิ่งออกไปเช่นกัน
โชคชัยเห็นผู้ร้ายวิ่งหนีไปก็รีบวิ่งเข้ามาดูใจเด็ดที่ทรุดกองลงกับพื้น
“ใจเด็ด !! ใจเด็ด”
ใจเด็ดสลบเลือดโชกเต็มหน้า

ขณะเดียวกันสรนุชยืนรออยู่ที่มุมหนึ่งอย่างกระวนกระวายใจ ระหว่างนั้นสรนุชหันไปเห็นเงาตะคุ่มๆ สองเงาวิ่งออกไป สรนุชเห็นว่าสองคนนั้นใส่หมวกไอ้โม่งก็เกิดเอะใจขึ้นมาทันที สรนุชรีบตามออกไป
ชิดชัยกับลูกน้องวิ่งมาถึงห้องเก็บของของวัดซึ่งเป็นมุมที่ปลอดคน สรนุชแอบย่องตามมาโดยที่ชิดชัยกับลูกน้องไม่รู้ตัว
“ไอ้นายกมันจะจำพวกเราได้มั้ยพี่” ลูกสมุนชิดชัยเอ่ยขึ้น
“จำได้ก็บ้าแล้ว” ชิดชัยเจ็บใจไม่หาย “ฮึ่ยย์...แส่ไม่เข้าเรื่อง...ถ้าไอ้นายกไม่เข้ามายุ่งละก็...ไอ้ใจเด็ดนั่นได้เจ็บหนักกว่านี้แน่”
“แต่แค่นี้มันก็เกือบตายแล้วนะพี่...ผมว่าถ้าหนักกว่านี้...พวกเราอาจจะซวยได้นะพี่” ลูกน้องบอก
“แกจะกลัวอะไรนักหนาวะ...ตอนนี้ที่แกต้องกลัวก็คือ...ต่อจากนี้ไป...เราจะทำยอดขายกันแทบไม่ทันมากกว่า”
คำพูดของชิดชัยทำให้สรนุชถึงกับชะงัก ระหว่างนั้นชิดชัยกับลูกน้องถอดหมวกไอ้โม่งออก
สรนุชเห็นอย่างนั้นก็พยายามเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นหน้า แต่ทันทีที่สรนุชก้าวออกไป เธอก็เหยียบกิ่งไม้เสียงดัง แกร๊ก !
ชิดชัยกับลูกน้องต่างก็ชะงักหันมองมาทางเสียงทันที สรนุชใจหายวาบ
“ทำไงดี”
สรนุชเหลือบไปเห็นประตูห้องเก็บของ จึงรีบเปิดประตูเข้าไปหลบทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ชิดชัยและลูกน้องเดินเข้ามาพอดี สรนุชรอดไปอย่างฉิวเฉียด
“ไม่มีอะไรมั้งพี่”
ชิดชัยยกมือห้ามลูกน้อง สายตาจับจ้องไปที่ประตูห้องเก็บของ
สรนุชแอบอยู่หลังประตู สายตาสอดส่ายผ่านช่องประตูออกไปแล้วสรนุชก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชิดชัยเข้ามายืนอยู่หน้าประตู
สรนุชใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ชิดชัยเอื้อมมือกำลังจะเปิดประตู แต่แล้วทันใดนั้นไฟหน้าห้องเก็บของก็สว่างขึ้น พรึ่บ !!!
สรนุชถึงกับอึ้งไปเพราะแสงไฟทำให้เห็นหน้าของชิดชัยได้อย่างชัดเจน ชิดชัยกับลูกน้องต่างตกใจที่อยู่ๆ ไฟก็มา
“พวกมันคงแก้ไฟเสร็จแล้ว...ไปเถอะลูกพี่”
ชิดชัยละมือจากลูกบิดก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไป
หลังจากชิดชัยกับลูกน้องออกไปไม่นาน สรนุชก็เปิดประตูออกมา สีหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงใจเด็ด
“เมื่อกี้พวกมันพูดถึงใจเด็ด” แล้วสรนุชก็นึกได้ รู้สึกตกใจ “หรือว่า..”
ไวเท่าความคิด สรนุชวิ่งกลับมาบริเวณลานรำวง ก่อนจะเห็นว่าชาวบ้านต่างกำลังรุมล้อมหลวงพ่อ
“ใจเย็นนะโยม...ไม่มีอะไร”
สรนุชเดินฝ่ากลุ่มชาวบ้านเข้ามาอย่างร้อนใจ “หลวงพ่อคะ...เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ก็หัวหน้าใจเด็ดน่ะ...โดนไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ตีหัว...เลือดงี้โชกเลย” ชาวบ้านในนั้นบอก
สรนุชอึ้งไป “จริงเหรอคะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อพยักหน้าให้
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนคะ”

ที่โรงพยาบาลหนองระบือ ภายในห้องฉุกเฉิน...หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันทำแผลให้กับใจเด็ดอย่างวุ่นวาย
โชคชัย เกริกไกร สุบิน อรอนงค์ ภิรมย์ สมหญิง เจนจิรานั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย
ภิรมย์บ่นอย่างเคียดแค้น “ไอ้พวกหมาลอบกัด !! หมอ...ผมว่ามันต้องเป็นผู้พันแน่ๆ เลย”
“ใช่ค่ะ...เพราะนายกบอกว่ามันมีสองคน...คนนึงต้องเป็นผู้พัน...ส่วนอีกคนต้องเป็นไอ้สมคิดแน่ๆคะ” สมหญิงผสมโรง
โชคชัยนิ่ง หน้าเครียด “อย่าเพิ่งเดาเลย”
ภิรมย์ยังไม่ยอมหยุด “หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องเป็นไอ้พวกคาบาตี้...วันนี้มันโดนหัวหน้าหักหน้ากลับไป...ต้องเป็นพวกมันแน่ๆ หมอ”
“ใช่คะ...คนนึงต้องเป็นไอ้ตัวหัวหน้าที่คิ้วเข้มๆ...ส่วนอีกคนก็เป็นลูกน้องมัน” สมหญิงตามติด
“ฮึ่ยย์...นี่แกจะมีความคิดเป็นของตัวเองบ้างมั้ยเนี่ย”
“เงียบได้มั้ย...ตอนนี้สิ่งที่เป็นห่วงที่สุดก็คือ..” เกริกไกรเอ็ดแล้วหันมองไปทางห้องฉุกเฉิน
ทุกคนเงียบลงอย่างเคร่งเครียดอีก สมหญิงกระวนกระวายใจกว่าใครๆ
“คุณเจนขา...หัวหน้าจะเป็นไรมั้ยคะ”
“พี่เด็ดต้องไม่เป็นไร”
สุบินหันมองเจนจิรา รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่เจนจิรามีต่อใจเด็ด
“แล้วถ้าหัวหน้าเกิดความจำเสื่อม...จำสมหญิงไม่ได้ละ”
“โอ๊ย...ห่วงอยู่เรื่องเดียวละนะ...คนขี้เหร่อย่างแกไม่มีใครเขาลืมหรอก” ภิรมย์เย้า
ระหว่างนั้นสรนุชวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่หน้าห้องฉุกเฉิน สุบินกับอรอนงค์รีบเข้ามาดู
“นุช...แกหายไปไหนมา”
โชคชัยรีบเข้ามาหาสรนุชด้วยความเป็นห่วง “คุณนุชไม่เป็นไรน่ะครับ”
“ค่ะ...คุณใจเด็ดเป็นไงบ้างคะ”
“หมอยังไม่ออกมาเลย” สุบินบอก
สรนุชนิ่งไปด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิด ระหว่างนั้นหมอเดินออกมาจากห้องผ่าตัดพอดี ทุกคนรีบเข้าไปถามด้วยความร้อนใจ
“หัวหน้าเป็นไรมั้ยคะ”
หมอนิ่งงันไปสีหน้าเครียด ทำเอาทุกคนต่างเครียดตาม

ช่อผกาในชุดประกวดนางงามวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาที่โรงพยาบาล
“พี่เด็ด...พี่เด็ด”
ช่อผการีบวิ่งเข้าไปถามพยาบาล “พี่เด็ดอยู่ไหน”
“หัวหน้าใจเด็ดน่ะเหรอคะ”
“เออ...อยู่ไหน”
“ห้องฉุกเฉินค่ะ”
ช่อผกาไม่ถามอะไรอีก รีบผละจากพยาบาลแล้ววิ่งออกไปทันที
ภายในห้องฉุกเฉิน หญิงคนหนึ่งนอนแบบอยู่บนเตียงขาหยั่งเหงื่อแตก สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เบ่งครับ...เบ่งอีก”
ทั้งหมอ พยาบาลและสามีของหญิงท้องแก่ ต่างให้กำลังใจ ระหว่างนั้นช่อผกาเปิดผัวะเข้ามาในห้องฉุกเฉิน
“พี่เด็ด...พี่เด็ด” ช่อผกาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นร่างหนึ่งนอนอยู่บนขาหยั่ง
“ห๊า...พี่เด็ด...พี่เด็ดกำลังจะคลอดลูก”
ระหว่างนั้นพยาบาลรีบเข้ามาหาช่อผกา “นี่คุณผกา...เข้ามาทำอะไรในนี้”
“ฉันก็มาหาพี่เด็ดไง...ถอยซิ”
“โน่น...หัวหน้าใจเด็ดอยู่ห้องฉุกเฉินโน่น...นี่เขาเรียกว่าห้องผ่าตัด” พยาบาลบอก
ช่อผกาชะงักก่อนจะหันมองหมอ พยาบาล หญิงท้องแก่ และสามีที่หันมองเธอเป็นตาเดียวก่อนหน้าแตกดังเพล้ง

ทุกคนเดินออกมาจากห้องพัก หมอเดินตามออกมาเป็นคนสุดท้ายก่อนจะบอกกับทุกคน
“ตอนนี้หัวหน้าใจเด็ดไม่เป็นไรแล้ว...แต่ที่ผมห่วงก็คือ...” หมอเว้นวรรค ทุกคนลุ้น
“อะไรคะหมอ” เจนจิราทนไม่ไหว
“หัวหน้าใจเด็ดอาจได้รับการกระทบกระเทือนที่ศรีษะ...ถ้าให้ดี...น่าจะนำตัวหัวหน้าเขาไปโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือเครื่องไม้ที่ดีกว่าที่นี่” หมอบอก
ทุกคนอึ้งไป สมหญิงได้ยินอย่างนั้นก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา “หัวหน้า...หัวหน้า”
“ตอนนี้มันอาจจะยังไม่แสดงอาการ...แต่ผมอยากให้ใจเด็ดเขาตรวจคลื่นสมองอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อดูว่ามีเลือดคั่งในสมองหรือเปล่า”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาก็ดังแหววเข้ามา
“พี่เด็ด...พี่เด็ด”
ทุกคนหันไปก็เห็นช่อผกาวิ่งถลกชุดไทยเข้ามา ทำท่าจะวิ่งเข้าไปภายในห้องคนไข้
“พี่เด็ด”
เจนจิรารีบเข้ามาขวาง “จะทำอะไร”
“ฉันก็จะเข้าไปหาพี่เด็ดไง”
“ตอนนี้พี่เด็ดยังไม่ฟื้น”
“โกหก...เธอไม่อยากให้ฉันเจอพี่เด็ดใช่มั้ย” ช่อผกาโวย ไม่ยอมฟัง
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไงว่าพี่เด็ดยังไม่ฟื้น” เจนจิราฉุนขาด
“ฉันไม่เชื่อ” ว่าแล้วช่อผกาก็ตะโกนเสียงดังลั่น “พี่เด็ด...ผกาอยู่นี่...พี่เด็ดไม่เป็นไรแล้วนะ”
“ขอโทษนะคะหมอ...สมหญิง”
เจนจิราพยักหน้าให้สมหญิง ทั้งสมหญิงกับเจนจิราเข้าไปช่วยกันลากช่อผกาออกไปจากตรงนั้นอย่างวุ่นวาย สรนุชสีหน้าเครียด มีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกภายในใจมากขึ้นๆ

อรอนงค์ สุบินเดินขึ้นมาบนเรือนรับรองอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะที่สรนุชเดินตามขึ้นมาคนสุดท้าย
สุบินลงนอนแผ่หรา “เฮ้อ...จบซักทีวันที่วุ่นวาย”
อรอนงค์ลงนั่งอย่างเหน็ดเหนื่อยอีกคน ระหว่างนั้นสรนุชก็ตัดสินใจพูดขึ้น
“พวกแกไปโรงพักกับฉันหน่อยซิ”
สุบินกับอรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็หันมองสรนุชด้วยความแปลกใจ
“แกจะไปทำไม”
“ฉันจะไปแจ้งความจับไอ้พวกที่ทำร้ายนายใจเด็ด”
“เฮอะๆ...ท่าประสาท...หรือว่าพวกมันตีหัวคุณใจเด็ดเสร็จแล้ว...วิ่งไปตีหัวแกอีกที...ยัยนุช...ถึงแกไปก็ทำอะไรไม่ได้...นอกจากแกจะรู้ว่า...ใครเป็นคนที่ตีหัวคุณใจเด็ด”
สรนุชนิ่งไป จนทำให้สุบินกับอรอนงค์สงสัยขึ้นมา
“หรือ...แกรู้ว่าเป็นใคร”

อรอนงค์กับสุบินตกใจมาก หลังจากสรนุชเล่าเรื่องให้ฟัง
“อะไรนะ...คุณใจเด็ดโดนพวกคาบาตี้ทำร้ายเหรอ”
สรนุชพยักหน้าสีหน้าเครียด “เลิกถามแล้วก็ไปโรงพักกับฉันได้หรือยัง”
สรนุชลุกขึ้นจะเดินไป สุบินไตร่ตรองใคร่ครวญก่อนจะรีบลุกไปขวาง
“ไม่ได้...แก...ห้ามบอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
“อะไรของแก...ฉันไม่ชอบวิธีที่พวกนั้นทำ”
“แล้วยังไง...แกจะไปแจ้งจับพวกมัน...อย่างมากพวกมันก็แค่โดนไล่ออก...แล้วถ้าเกิดมีตำรวจเป็นพวกมันอยู่แล้วไปบอกว่าแกเป็นคนไปแจ้ง...พวกมันไม่กลับมาเล่นแกตายหรือไง”
“ฉันก็จะบอกพวกมันไปว่า...ฉันเป็นอะไรกับณวัต”
“นั่นแหละที่แกห้ามพูดเด็ดขาด...เพราะแกแฉพวกมันได้...พวกมันก็แฉแกได้เหมือนกัน”
คำพูดของสุบิน ทำเอาสรนุชถึงกับพูดไม่ออก
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง”
“ไม่ต้องทำอะไร...อยู่นิ่งๆ...ไม่อย่างนั้น...แกจะทำให้พวกเราซวยไปด้วย”
สรนุชนิ่งงันไปสีหน้าเครียดจัด

กลางดึกคืนนั้น สรนุชนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด ขณะที่อรอนงค์นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า สรนุชรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ได้กับเรื่องของใจเด็ด

“ฉันขอโทษ...”









Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:21:25 น.
Counter : 256 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 9 (ต่อ)




สรนุชออกตามหาอรอนงค์ และเดินชะเง้อหามาตามทางในวัด จนพัวตัวเองหลุดมาจากบริเวณจัดงานที่พลุกพล่าน มายังบริเวณที่แสงสลัว สรนุชป้องปากตะโกนด้วยความเป็นห่วง

“ยัยอร...แกอยู่ตรงนี้รึเปล่า...ได้ยินแล้วตอบฉันด้วย...ยัยอร”
สรนุชมัวแต่มองหาจึงไม่ทันมองทาง เลยเหยียบเข้ากับกองไม้ที่วางอยู่จนขาพลิกเสียหลัก
“ว้าย!”
สรนุชใกล้จะล้มหงายหลัง แต่ใจเด็ดที่ตามมา รีบก้าวเข้ามาโอบรับไว้ทัน
“ระวัง! เป็นไงบ้างคุณ?”
สรนุชหันมามองใจเด็ด ดันเขาออก
“ไม่ต้องมาห่วงฉัน ห่วงยัยอรโน่น ทำไมไม่ช่วยกันออกตามหาให้ทั่วๆ คุณจะตามฉันมาทำไม!”
“แล้วคุณจะตีโพยตีพายให้มันได้อะไรขึ้นมา ทุกคนก็ช่วยออกตามหากันอยู่ แล้วถ้าผมไม่ตามคุณมานี่ เมื่อกี้คุณก็คงล้มหงายหลัง ถูกไอ้ตะปูขึ้นสนิมนั่นทิ่มทะลุเซ่งจี๊ไปแล้ว”
ใจเด็ดชี้ไปยังตะปูตัวเขื่องที่ตอกติดหงายอยู่กับแผ่นไม้
สรนุชหันไปมองแล้วใจหายวาบ เถียงไม่ออก พอหันตัวจะก้าวเดินแต่เจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าพลิกเมื่อครู่
“โอ๊ะ!”
สรนุชก้มลงจับข้อเท้า ใจเด็ดเห็นแล้วยืนถอนหายใจอย่างเซ็ง
สรนุชเม้มปาก ยันขาพยายามฝืนตัวเดินต่อ ใจเด็ดสุดจะทนดู คว้าแขนช่วยประคอง
สรนุชอวดดีสะบัดมือออก “จิ๊! ไม่ต้อง ฉันเดินเอง!”
“ขืนรอให้คุณเดินเอง แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะตามหาคุณอรเจอ!”
สรนุชเงียบ นึกห่วงอรอนงค์ขึ้นมาครามครัน
“งั้นก็รีบๆ ไปตามหาสิคุณ...ฉันเป็นห่วงยัยอรจะแย่อยู่แล้ว” สรนุชร้องตะโกนออกไป “ยัยอร”
“คุณอรครับ!”
ใจเด็ดกับสรนุชเกาะเดินตะโกนกันไปทางโกดังเก็บศพของวัด

ทางด้านเกริกไกรกับภิรมย์ก็กำลังเดินออกตามหา ทั้งคู่เดินมาตามทางที่จะไปหลังวัด
“คุณอรคร๊าบ คุณอรอยู่ไหนครับ...วู้!!!”
“เฮ้อ ไม่เห็นแม้แต่เงาหรือได้ยินแม้แต่เสียงกระซิบเลยครับหมอ” ภิรมย์บอก
“แถวนี้มันกว้างซะด้วยสิ แยกกันหาดีกว่า” เกริกไกรว่า
ภิรมย์ชี้ไปทางหนึ่ง “งั้นผมไปดูทางโน้นเอง”
เกริกไกรพยักหน้า “ฉันจะไปดูแถวหลังวัดด้านโน้น”
เกริกไกรกับภิรมย์แยกกันไปทางซ้ายขวา
ทั้งคู่ตะโกนเรียงเสียงดังพร้อมๆ กัน “คุณอร”

ส่วนเจนจิรากับสุบินก็มาตามหา บริเวณข้างโบสถ์ที่เงียบ มืด วังเวง
“อยู่ไหนคะคุณอร...คุณอร”
“ยัยอร...ถ้าใครกำลังทำอะไรแก...ส่งเสียงกรี๊ดหน่อยสิวะ ฉันจะได้ไปช่วยแก...ยัยอร! บรื๋อ...เกิดมาไม่เคยมาเดินอยู่หลังโบสถ์ในวัดกลางค่ำกลางคืนแบบนี้มาก่อน มันวิเวกวังเวงโหวงเหวงยังไงก็ไม่รู้”
หมาวัดที่นอนอยู่ใกล้ๆ เห็นสุบินเดินมาก็เห่าใส่
“เย้ย...อย่าเห่าซีวะ คนยิ่งขนหัวลุกอยู่ บอกให้หุบปาก ชิ้ววว”
จู่ๆมือข้างหนึ่งเจนจิราตบเข้าที่บ่าสุบิน สุบินแหกปากร้องลั่น
“อ๊าก....ผี...กลัวแล้วคร๊าบ!”
“ผีบ้าผีบออะไร ฉันเอง”
สุบินหยุดชะงัก อ้าปากค้าง หันมามองเจนจิรา
“โธ่คุณเจน....เล่นเอาฉี่จะราดเลยนะเนี่ย”
“คุณนี่มีอะไรดีบ้างมั้ย นอกจากจะหน้าตาไม่ดี...ปากเสีย...แล้วยังจะตาขาวอีกต่างหาก ตรงนี้ไม่มีคุณอรหรอก ไปดูหลังเมรุเผาศพโน่นดีกว่า”
“หา! ปะ ปะไปดูทำไมตรงนั้นอ่ะ?”
“งั้นคุณก็ยืนอยู่ตรงนี้แหละ ฉันไปเอง”
เจนจิราหันเดินไป สุบินรีบเดินไปเกาะแขนเจนจิราแจ
“รอด้วยซิ!”
“มาจับแขนฉันทำไมเนี่ย”
เจนจิราพยายามแกะออก แต่สุบินเกาะแน่น ไม่ยอมปล่อย
“ขอเกาะให้อุ่นใจหน่อยน่าเจ๊ บรรยากาศแบบในหนังบ้านผีปอบแบบนี้ ผมไม่มีจิตวิตถารทำอะไรคุณลงหรอกน่า”
เจนจิราเซ็ง ไม่อยากต่อปากต่อคำ ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป

อรอนงค์ที่ทุกคนออกตามหายังคงนอนสลบไม่ได้สติอยู่บนแคร่ไม้ในกระท่อมหลังวัด ขณะที่ชาญณรงค์ยังคงดื่มโด๊บตัวเอง เทยาดองในไหใส่แก้วเป็นหยดสุดท้าย
“เฮ้ย...อะไรวะ โด๊บยาดองจนหมดไหแล้ว ยังไม่ปึ๋งปั๋งเลย” ชาญณรงค์หงุดหงิด ขยี้หัวตัวเอง “โธ่ไอ้คิด...แกเอาอะไรมาให้ฉันกระเดือกวะเนี่ย หนอย...ช้างกระทืบโลง เดี๋ยวฉันนี่แหละจะออกไปกระทืบแกไอ้คิด”
ชาญณรงค์มองไปที่ร่างอรอนงค์
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะน้องอร พี่ไม่ปล่อยให้น้องต้องนอนคอยเก้อหรอกจ้ะ”
ชาญณรงค์เดินเข้าไปที่แคร่ ทำเหมือนจะปล้ำอรอนงค์ แต่นายพันชรากลับจับขอบแคร่ไม้ แล้ววิดพื้นซะงั้น
“อึ๊บ...หนึ่ง...สอง...ซ่ำ...สี่..แค่ขอเวลาพี่สองสามนาทีเรียกความฟิตแป๊บบบบนึงนะจ๊ะ อึ๊บ...หนึ่ง...สอง...ซ่ำ...สี่”
ชาญณรงค์งัดท่าสารพัดออกมาเรียกความฟิต ทั้งยกขา ซิตอัพ โยคะขาเดียว ดัดตน

ใจเด็ดกับสรนุชเดินตามหาอรอนงค์มาจนถึงบริเวณโกดังเก็บโลงศพ
“คุณอรครับ!”
“ยัยอรแกอยู่ไหนอ่ะ?”
ใจเด็ดชักกังวล “ไม่เห็นวี่แววเลยล่ะคุณ”
“ทำไงดีล่ะ โธ่...ยัยอร”
แล้วจังหวะนั้นสายตาสรนุชก็เห็นร่างตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าเป็นสัปเหร่อถือไฟฉายแว๊บๆเดินมาหยุดที่หน้าโกดังไม้เก่าๆ
“คะ..คุณ... มีใครอยู่ตรงนั้น!”
“ไหน?”
ใจเด็ดมองไป แต่ร่างนั้นก็เปิดประตูเข้าโกดังไปแล้ว
“เค้าเข้าไปข้างในนั่นแล้ว ท่าทางลับๆ ล่อๆ ยัยอรอาจจะถูกจับตัวอยู่ในนั้นก็ได้”
สรนุชพูดพลางจะเดินไป แต่ใจเด็ดคว้าแขนเอาไว้
“คุณรออยู่ที่นี่แหละ ผมไปดูเอง”
“แต่...” สรนุชอิดออด
“ผมบอกยังไง คุณก็ทำตามที่บอกเถอะน่า! ถ้าคุณเห็นผมเข้าไปนานหรือว่าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ก็รีบไปตามคนมาช่วยก็แล้วกัน”
ใจเด็ดหันจะเดินไป แต่สรนุชดึงแขนไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
ใจเด็ดหันมาหน้าเซ็งๆ “อะไรอีก?”
“ระวังตัวนะ” สรนุชบอก
สีหน้าสรนุชเป็นห่วงจริงใจ แววตาใจเด็ดอ่อนลงเป็นห่วงใย ก่อนจะบอกออกมา
“คุณก็...ระวังตัวด้วยเหมือนกัน”
สรนุชพยักหน้าให้ ใจเด็ดเดินตรงไปที่โกดัง สรนุชยืนลุ้น

ในขณะเดียวกันเกริกไกรเดินตามหาจนเหนื่อยมาหยุดยืนเท้าเข่าอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่
“อย่าเป็นอะไรไปนะครับคุณอรของผม”
เกริกไกรหันไปเห็นต้นไม้ มีผ้าสีๆผูกโดยเหล่าคนขูดหวย เลยหันไปพูดขอ
“ท่านรุกขเทวดา ผีไทรผีโศก เห็นคุณอรของผมผ่านมาทางนี้บ้างมั้ยครับ ช่วยชี้ทางบอกผมที”
จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทันตา “เห็น”
เสียงตอบดังมาจากต้นไม้ ทำเอาเกริกไกรถึงกับตกใจตาเหลือกเข่าทรุดลงนั่งคุกเข่าทันที
“เย้ย! ทะๆท่านเห็นคุณอรของผมเหรอครับ”
“ไม่รู้จะใช่คุณอรของหมอรึเปล่านะ แต่เห็นมีคนอุ้มไปทางนู้น” เสียงนั้นว่า
“ทะ...ทะทางโน้นน่ะทางไหนล่ะครับท่าน?”
โทนกระโดดพรวดลงมาจากต้นไม้พลางชี้นิ้วไป “ก็ทางโน้นไง!”
ทำเอาเกริกไกรตกใจหงายหลังร้องลั่น
“จ๊าก...ผีกุมารทอง”
“ผีกุมารทองที่ไหน ฉันเองหมอ”
เกริกไกรเพ่งมองชัดๆ ขยี้ตาอีกครั้ง เห็นเป็นโทนยืนอยู่
“อ้าว...เอ็งเองเหรอไอ้โทน”
โทนหัวเราะขำ โดยมีเพื่อนเด็กวัดวัยเดียวกัน2คนนั่งหัวเราะอยู่บนต้นไม้ด้วย
“โธ่เอ้ย...นึกว่าผีเด็ก”
“แบร่...”
โทนทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ เกริกไกรลุกมาคว้าตัว
“นี่ๆ เลิกเล่น! ไหน...เล่าไปสิโทน เอ็งเห็นใครอุ้มใครไปทางไหน”

ส่วนภายในโกดังเก็บโลงศพ ใจเด็ดค่อยๆ ก้าวเดินระแวดระวังมองหาอรอนงค์อยู่ภายในโกดัง รอบๆ เห็นมีแต่โลงศพที่วางระเกะระกะ พวงหรีดเก่าๆ กระถางธูป ถังสี ม้วนสายสิญจน์ฯลฯ แต่ไม่เห็นใครอยู่ข้างในสักคน
แต่แล้วใจเด็ดก็ได้ยินอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ที่ด้านหลังตู้เหล็กเก่าๆใบหนึ่งข้างผนัง
ใจเด็ดหันขวับ หาอาวุธทันที! คว้าได้ฆ้อนที่วางอยู่ข้างโลงที่ยังต่อไม่เสร็จ เดินถือกระชับไว้ในมือ แล้วค่อยๆเปิดแง้มบานตู้ออก ผงะเล็กๆ เห็นโปสเตอร์หนังผีไทยแปะอยู่ในตู้ พร้อมกับกะโหลกขาวโพลน แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีแมวดำตัวหนึ่งกระโจนออกมา
“เงี้ยว”
ใจเด็ดร้องลั่น “เฮ้ย”
แมวกระโจนหนีไป ใจเด็ดยืนโล่งอก แต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นสรนุชยืนอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย!”
สรนุชพลอยตกใจไปด้วย “ว๊าย”
“โธ่คุณ...ตกใจหมดเลย บอกให้รออยู่ข้างนอก เข้ามาทำไม”
“ก็เห็นคุณเข้ามาตั้งนาน ก็เลยห่วง แล้วไหนล่ะ เจอยัยอรมั้ย”
“หึ ผมรู้ว่าคุณห่วงเพื่อน ไม่ต้องมาโกหกว่าห่วงผมหรอก”
“รู้ก็ดี ว๊าย”
สรนุชตกใจเมื่อมองไปเห็นตุ๊กแกหัวโตโผล่ออกมาจากหลังตู้ จนโผกอดซุกหน้ากับอกใจเด็ดเสียแน่น
ใจเด็ดยืนช็อกเหมือนโดนไฟทั้งหม้อแปลงช็อต มือค่อยๆ ปล่อยฆ้อนร่วงใส่เท้าตัวเอง
ใจเด็ดสะดุ้งกระโดดเหย็งเพราะเจ็บ “อ๊าก!” พอสติคืนมาก็หันมาเอ็ด “คุณตกใจอะไร”
“ตะๆๆตุ๊กแกมันอยู่หลังตู้อ่ะ หัวเท่ากำปั้นเลยอ่ะ”
ใจเด็ดเซ็งอีกรอบ “นี่คุณ...ตุ๊กแกมันไม่ทำอะไรหรอกน่า...ผมว่าคุณน่าจะตกใจขนจั๊กกะแร้ตัวเองมากกว่า”
จากที่สรนุชกำลังตกใจอยู่ พอได้ยินที่ใจเด็ดพูดอย่างนั้นก็เปลี่ยนอารมณ์เป็นปรี๊ดทันที
“ว่าไงนะ...” สรนุชชี้หน้า “นาย...นาย”
“ผมว่าคุณอย่ายกแขนดีกว่า...ดู...ดู...แลบออกมาแล้ว”
สรนุชเหลืออดระดมตีใจเด็ดไม่ยั้งเพราะทั้งโกรธทั้งอาย

เวลาเดียวกันที่หน้าโกดัง สัปเหร่อเฒ่าเดินหนีบขวดเหล้าขาวเมาเป๋ออกมาจากโกดังแล้วก็จัดการล็อกกุญแจด้านนอก จากนั้นก็เดินเอียงไปเอียงมากลับไปทางวัด สวนกับชาวบ้าน 2 ผัวเมียที่กำลังเดินกลับบ้าน
“แกนะแก...ทางดีๆ มีไม่เดิน พาเดินผ่านโกดังเก็บโลงผี” เมียบ่น
“ก็ไปทางลัด มันเร็วกว่า” ผัวว่า
“เฮ้ย...ทำไมทางมันเอียงนักวะ” สัปเหร่อเอ่ยขึ้น
“ทางมันไม่เอียงหรอกตาจุก แกนั่นแหละเอียง” เมียว่าเซ็งๆ
สัปเหร่อจุกเมาปลิ้นย้อนถาม “หา...ว่าไงนะ?”
“พูดไป แกก็ไม่ได้ยินหรอก ไอ้หูตึง”
“เอ่อว่ะ” เมียโบกมือบอก “ไม่มีอะไรหรอกลุง ไปเหอะ”
สัปเหร่อจุกเดินเอียงร้องเพลงผ่านไป
“เมียมี...เมียพี่ต้องมา นี่เมียไม่มาก็เพราะว่าเมียไม่มี”
ปล่อยให้สองผัวเมียเดินตรงมาทางหน้าโกดังเก็บศพ

ภายในโกดังสรนุชยังคงตีใจเด็ดไม่ยั้ง
“โอ๊ย...ผมเจ็บนะคุณ”
“เจ็บเหรอ...แค่นี้มันยังไม่เจ็บเท่าสิ่งที่นายย่ำยีศักดิ์ศรีฉัน”
“แค่ขนจั๊กแร้เนี่ยนะ”
“ยังจะพูดอีก”
สรนุชฉุนนักระดมตีใจเด็ดหนักกว่าเดิม จนทำให้ใจเด็ดถอยกรูดไปชนกับฝา ทำให้ผนังไม้สั่นไหว ตุ๊กแกที่เกาะอยู่ข้างฝาเลยหล่นตุ้บลงมาที่พื้น
ใจเด็ดกับสรนุชมองตุ๊กแกเป็นตาเดียว แล้วทันใดนั้นสรนุชก็สติแตก ผละออกจากใจเด็ดวิ่งหนีพร้อมกับกรี๊ดสุดเสียง
“อ๊ายยย”

เวลาเดียวกันด้านนอกโกดัง สองผัวเมียที่กำลังจะเดินผ่านไปพอดี ก็ตกใจยืนตัวแข็ง เมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดของผู้หญิงดังมาจากข้างในโกดัง ทั้งสองหน้าซีด หันมามองหน้ากัน
“กะ...แกได้ยินเสียงนั่นมั้ย?”
“อึ๋ย ได้ยินชัดเลย”

ส่วนสรนุชวิ่งเตลิดมาที่ประตูโกดัง พยายามจะเปิด แต่ประตูถูกล็อก
“เปิดซี...ปล่อยฉันออกไป...เปิดๆ” สรนุชเขย่าประตูสุดแรง

สองผัวเมียถึงกับตาเหลือกหัวตั้ง เมื่อเห็นประตูโกดังถูกเขย่าจากข้างในไปมาพร้อมกับเสียงของผู้หญิงร้องดังออกมา
“ช่วยฉันด้วย...ใครก็ได้ช่วยฉันออกไปที มันจะกินตับฉัน”
“อ๊ากกกก”
สองผัวเมียร้องลั่น วิ่งขนหัวลุกกลับไปทางวัด ในสภาพล้มลุกคลุกคลานไป

ทางด้านชาญณรงค์เสร็จจากออกแรงฟิต บิดคอไปมา
“เอาล่ะ...ปืนต่อสู้อากาศยานของพี่พร้อมรบแล้วน้องอร”
ชาญณรงค์หันมา เหงื่อแตกซิกทั้งร่าง หน้าตาแดงกล่ำเพราะยาดองกำลังออกฤทธิ์
ชาญณรงค์ค่อยๆ เดินโงนเงนเข้าไปหาอรอนงค์ที่ยังคงนอนสลบอยู่ พลางร้องเพลง
“เธอคือนางแมวยั่วสวาท...เหมียววว เธอคือปีศาจหุ่นเซ็กซี่...แฮ่”
ชาญณรงค์มองไปที่อรอนงค์ภาพในกรอบสายตาผู้พันเฒ่าเบลอขึ้นเรื่อยๆ จนชาญณรงค์มาหยุดยืนอยู่ข้างแคร่ มองจ้องอรอนงค์ตาเยิ้ม
“หึๆๆๆ น้องอรจ๋า...ป๋ามาแล้วจ้ะ”
ชาญณรงค์โน้มตัวจะโถมเข้าใส่อรอนงค์

เวลาเดียวกันสมคิดยืนฉี่อยู่ที่ต้นไม้ข้างกระท่อม
“ป่านนี้ผู้พันคงจะเสร็จสมอารมณ์หมายไปแล้ว หึๆๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีให้ไอ้แสนคมสมคิด มือขวาผู้ชาญฉลาด หึๆๆๆ”
พอฉี่เสร็จหันมาต้องตกใจเมื่อมองไปเห็นแสงไฟฉายแว๊บๆ อยู่ไม่ไกล
“เฮ้ย...แสงอะไรแว๊บๆวะ”
สมคิดตกใจ มองเพ่งไป เห็นเป็นเกริกไกรกำลังเดินส่องไฟฉายมองหามากับโทน
“เอ็งแน่ใจนะไอ้โทน ว่าเห็นพามาทางนี้?”
“แน่ใจสิหมอ”
สมคิดตาเหลือก เมื่อเห็นแสงไฟกระทบหน้าเกริกไกรชัดๆ
“เย้ย...มะๆๆหมอเกริก….ฉิบหายแล้ว”
สมคิด เหงื่อแตกพลั่ก สัญชาตญาณทหารเกณฑ์เข้าสิงทันที...สมคิดทิ้งตัวนอนลงกับพื้น แล้วรีบคลานศอกไปที่กระท่อมทันที
เป็นจังหวะที่เกริกไกรสาดส่องไฟฉายมาพอดี แล้วก็เห็นกระท่อม
“เอ๊ะ...ตรงนั้นมีกระท่อม”

สมคิดค่อยๆ เปิดประตูกระท่อมคลานศอกเข้ามา พร้อมส่งเสียงกระซิบกระซาบเรียก
“ผู้พันครับพ้ม...ข้าศึกบุกเข้าประชิดแล้ว ทราบแล้วเปลี่ยน ผู้พันได้ยินมั้ย เย้ย”
สมคิดตกใจอ้าปากค้าง เพราะเห็นร่างผู้พันเมาหลับคาแคร่อยู่ข้างๆ ร่างอรอนงค์ สมคิดรีบลุกเข้าไปปลุก
“ผู้พันครับ ปล้ำคุณอรจนเหนื่อยเลยเหรอ”
“คร่อก....”
“อย่างงี้ชัวร์เลย นกกระจอกไม่ทันได้กินน้ำ” สมคิดตบแก้มปลุก “ผู้พันครับ ตื่นครับตื่น...ไอ้หมอควายมันตามเรามาถูกแล้ว...ตื่นซิผู้พัน”
“คร่อกฟี้...”
“หลับลึกเลยเว้ยเฮ้ย ทำไงดีวะกรู ถ้าถูกจับได้...ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว” สมคิดไล่นับนิ้วทีละข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเรา...ทำร้ายร่างกาย...อนาจาร...สมรู้ร่วมคิด...จิตวิตถาร...เย้ย...หลายกระทงเลยเว้ยเฮ้ย มีหวังต้องกินถั่วดำตายในคุกแน่”
สมคิดหันมองไปรอบๆ เห็นมีหน้าต่างอยู่หลังกระท่อม
“เอาวะ ยังมีทางรอด”
สมคิดรีบลากร่างชาญณรงค์ออกไปทางหน้าต่างอย่างทุลักทุเล
เพียงแค่เสี้ยวนาที...เกริกไกรก็เปิดประตูผัวะเข้ามา เห็นอรอนงค์นอนนิ่งอยู่บนแคร่
“คุณอร! “
เกริกไกรรีบถลาเข้ามาดูอรอนงค์ โทนตามเข้ามายืนดูดด้วย
“คุณอรครับคุณอร...ได้ยินผมมั้ย....คุณอร”
เกริกไกรเขย่าปลุกอย่างแรง อรอนงค์ที่ฤทธิ์ยาสลบเริ่มหมด ขยับตัวไปมา แต่ยังเบลอๆ ลืมตาไม่ขึ้น
“เอาไฟฉายไปไอ้โทน ช่วยส่องทางให้ที ฉันจะอุ้มคุณอรไป”
เกริกไกรส่งไฟฉายให้โทนแล้วรีบช้อนตัวอรอนงค์ขึ้น อุ้มพาออกจากกระท่อมไปอย่างเร็ว

ส่วนใจเด็ดกำลังเขย่าประตูพยายามจะเปิดออกไป แต่เปิดไม่ออก เริ่มฉุน จนตบประตู
“ประตูมันล็อกได้ยังไงนะ ตอนเข้ามายังไม่ล็อกเลย”
สรนุชเยาะ “ผีคงมันล็อกมั้ง”
ใจเด็ดถอนหายใจหันไปมองสรนุชที่ยืนตัวลีบ ตาระแวดระวังกลัวทั้งตุ๊กแกและบรรยากาศรายรอบ
“ก็เพราะคุณบอกว่าเห็นคนเดินเข้ามาในนี้ ผมถึงเข้ามา แล้วก็มาติดอยู่ยังงี้”
“นี่ คุณอย่ามาโทษฉันนะ ก็ฉันเห็นจริงๆ นี่”
“แล้วไหนล่ะ ไม่เห็นมีใครสักคน”
“ฉันจะไปรู้ได้ไง ก็ฉันเห็นคนเข้ามาจริงๆ ฉันสาบานได้”
ใจเด็ดประชด “หึ งั้นประตูนี้คงถูกผีล็อกจริงๆอย่างที่คุณว่า” ใจเด็ดแกล้งชี้ “นั่นไง มันอยู่ข้างหลังคุณ”
สรนุชร้องกรี๊ด “อ๊าย”
สรนุชตกใจ กระโดดเข้าหาใจเด็ด จนชนล้มลงไปนอนทับกันอยู่บนโลงใหม่ที่ยังต่อไม่เสร็จ
“เฮ้ย!”
ใบหน้าของทั้งสองคนจ่อกันอยู่แค่คืบ...ทั้งคู่อึ้งมองกัน นิ่งไปชั่วขณะ
ขณะเดียวกันประตูโกดังก็เปิดออก...พร้อมกับแสงไฟฉายที่ระดมส่องเข้ามา ตามด้วยเสียงของหลวงพ่อ
“เอ้า..ดูซะ ผีสางที่ไหนกัน อาตมาบวชจำพรรษาอยู่ที่นี่มาตั้งนานยังไม่เคยเจอเลย”
ใจเด็ดกับสรนุช หลุดออกจากภวังค์ ทั้งคู่หันไปมองเห็นเป็นหลวงพ่อ กลุ่มชาวบ้านและสัปเหร่อจุกที่ยืนถือกุญแจอยู่ ต่างฝ่ายต่างชะงัก ช็อกกันไป
“เอ่อ...แฮ่ม...อาตมาก็บอกพวกโยมแล้ว ว่าที่นี่ไม่มีผีหรอก”
“มีแต่ผิดผี ฮ่ะๆๆๆ”
สัปเหร่อจุกว่า ก่อนจะหัวเราะอย่างคนเมา ทำเอาสรนุชกับใจเด็ดตกใจรีบผละออกจากกันอย่างยากเย็น
“คุณปล่อยฉันซี”
“คุณก็ลุกออกไปจากตัวผมก่อนซิ”
ทั้งสองรีบผละออกจากกันอย่างทุลักทุเล แล้วมายืนทำหน้าไม่ถูกต่อหน้าทุกคน
“เอ่อคือ...หลวงพ่อกับพี่ป้าน้าอาทุกคนอย่าเข้าใจผิดนะครับ”
“เอ่อ...ชะใช่ค่ะ...ภาพที่เห็น มันไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่าเข้าใจผิด”
สัปเหร่อจุกอาสาถาม “ไหน...มีครายเข้าใจผิดยกมือขึ้น”
นิ่ง...ไม่มีใครยกมือสักคน
สัปเหร่อจุกชี้ร่างโงนเงน “แหะๆๆ เห็นมั้ยว่า ทุกคนเข้าใจถูกกันทั้งน้านฮ่ะๆๆๆๆ”
หลวงพ่อได้แต่หลับตาปลงอาบัติ
สรนุชกับใจเด็ดอ้าปากค้าง พยายามจะอธิบาย แต่ว่าภิรมย์วิ่งแทรกผู้คนเข้ามาเสียก่อน
“หัวหน้าใจเด็ดครับ คุณนุช” ภิรมย์หอบ “หมอเจอตัวคุณอรแล้วครับ”
“จริงๆเหรอ ดีใจจังเลย”
สรนุชดีใจลืมตัว หันมาจับมือใจเด็ดอย่างดี ทุกคนมองเขม็ง สรนุชรีบปล่อยมือใจเด็ด
“อึ๋ย”

ไม่นานต่อมาสรนุชกับใจเด็ดรีบเดินเข้ามาที่หลังเวทีพร้อมภิรมย์...เห็นทุกคนกำลังรายล้อมอรอนงค์ที่นั่งเบลอๆ อยู่
“ดื่มน้ำชาร้อนๆ นี่หน่อยนะครับคุณอร จะได้รู้สึกดีขึ้น
“ยัยอร!” สรนุชถลาเข้ากอดอรอนงค์
“ดีใจจริงๆ ที่แกไม่เป็นอะไรไป”
“แล้วฉันเป็นอะไรไปล่ะ?” อรอนงค์งงๆ อยู่
“อ้าว เห็นภิรมย์บอกว่าหมอไปเจอคุณนอนไม่ได้สติอยู่ในกระท่อมที่หลังวัด คุณไม่รู้เหรอครับ ว่าไปนอนอยู่ที่นั่นได้ยังไง?” ใจเด็ดถาม
อรอนงค์ ส่ายหน้า “ฉันนึกอะไรไม่ออก...โอ๊ย มันมึนหัวจัง” อรอนงค์จับขมับหน้านิ่ว
“คุณอรคงยังมีอาการข้างเคียงจากฤทธิ์ยาสลบอยู่น่ะครับ” เกริกไกรบอก
อรอนงค์ เอียงคอถามงงๆ “ยาสลบอะไรเหรอคะ?”
สรนุชกอดปลอบ “โธ่ยัยอร...ใครนะมันทำกับแก คอยดูนะ ถ้าจับได้ ฉันจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุดเลย”
“ว่าแต่แกจะขึ้นประกวดไหวไหวมั้ย?”
“ไหวมั้ง...” อรอนงค์ว่า
“นี่กี่นิ้ว” เกริกไกรถามขึ้น
สุบินเลยชูหนึ่งนิ้วขึ้นทดสอบ อรอนงค์มองเพ่งอย่างตาลาย
“3 นิ้ว”
ทุกคนหน้าแหย
“โอ้โห...ชัดเลย! แบบนี้มีหวังยังไม่ทันขึ้นเวทีก็ตกบันไดแล้ว”
ใจเด็ดมองอรอนงค์อย่างครุ่นคิดก่อนจะทำท่าเดินออกไป
“แกจะไปไหน”
“ฉันจะไปสละสิทธิ์” ใจเด็ดบอก
ทุกคนนิ่งไปเหมือนยอมรับการตัดสินใจของใจเด็ด ระหว่างนั้นสมหญิงนึกขึ้นได้
“คุณเจนไงคะหัวหน้า...ให้คุณเจนลงประกวดแทนก็ได้นี่คะ”
“จริงด้วย...คุณเจนมีประสบการณ์อยู่แล้ว...รับรองปีนี้ต้องได้เป็นเทพีแน่นอนครับ”
เจนจิรารู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีราคา เลยทำเป็นจริตแต่พองาม “ในเมื่อไม่มีทางอื่น...เจนก็ยินดีค่ะ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังโล่งใจที่เจอทางออก อยู่ๆ สุบินก็พูดขึ้น
“แต่ผมว่าอย่าดีกว่า...ปีที่แล้วได้ที่สอง...ปีนี้ไม่ได้ที่สามเหรอครับ”
“สุบิน...แกหุบปากไปเลย” สรนุชฉุนที่สุบินไม่รู้กาละเทศะ
“เอ้า...นี่ฉันพูดด้วยความหวังดีนะ...ก็ในเมื่อปีที่แล้วคุณเจนแพ้ยัยช่อผกานั่น...ปีนี้ก็คงเหมือนเดิม...แล้วอีกอย่าง...ถ้าผมเป็นชาวบ้าน...ผมก็ต้องการเห็นความแปลกใหม่” สุบินโบ้ย
เจนจิราได้ยินที่สุบินพูดอย่างนั้นก็ปรี๊ดขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นหาคนอื่นแล้วกัน”
เจนจิราพูดเสร็จก็เดินออกไปเลย ใจเด็ดเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน...เจน...เจน!”
“อ้าว...แล้วคราวนี้จะทำยังไง”
สุบินถึงกับชะงักเพิ่งรู้ตัวว่าความปากหมาของตนนำความเดือดร้อนให้คนอื่น สรนุชเห็นทุกคนกำลังเครียด คนนั้นก็ไม่ได้คนนี้ก็ไม่ได้ ทันใดนั้นสรนุชจึงพูดขึ้น
“ฉันเข้าประกวดเอง”
สรนุชพูดขึ้นก่อนพร้อมกับก้าวเข้าไปหาสองหนุ่ม ขณะที่ทุกคนหันมามองอย่างแปลกใจ
“คุณพูดว่าไงนะ?” ใจเด็ดถามย้ำ
“ฉัน-บอก-ว่า...ฉันจะขึ้นประกวดแทนยัยอรเอง”
“จะได้เหรอคุณ ขาคุณเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ที่แท้ใจเด็ดเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ขาฉันค่อยยังชั่วแล้ว ในฐานะที่ยัยอรเป็นเพื่อนฉัน ฉันต้องทำหน้าที่รับผิดชอบแทนเพื่อนฉัน”

ใจเด็ดอึ้งไปชั่วครู่ ในขณะที่เกริกไกร และทุกคนลุ้นว่าเขาจะยินยอมมั้ย
เวลาเดียวกันนั้นที่ด้านหลังเวทีประกวดนางงาม โชคชัยกับสมหญิงรอกำลังอรอนงค์อยู่ด้วยความเป็นห่วง

“มาช้าเอาเปรียบชาวบ้านแบบนี้ ตัดสิทธิ์ให้ออกจากการประกวดไปเลยค่ะนายก เหลือฉันกับยัยปุยฟาย 2 คนก็พอ เพราะถึงยังไงคนที่จะได้รับตำแหน่งเทพีก็ต้องเป็นชั้นอยู่ดี” ช่อผกาเยาะเย้ยถากถาง
สมหญิงยังไม่รู้เรื่องส่งสรนุชประกวดแทน เลยพูดไม่ออก
“เอ่อคือ...”
“นี่นายกจะเอาไง จะรอแม่สาวชาวกรุงนั่นจนถึงสว่างเลยหรือไง” ช่อผกาตะโกนถาม

ระหว่างนั้นก็มีเสียงดังแทรกขึ้น “ไม่ต้องรอหรอก ฉันมาแล้ว”
ทุกคนชะงักหันไปมองเห็นสรนุชในชุดประกวดที่อรอนงค์เคยใส่เดินสวยนวยนาดเข้ามาชุด หน้า ผม เป๊ะ เตรียมพร้อมมาอย่างดี
ทุกคนช็อก สมหญิงดีใจถลาเข้ามาหา
“อุ้ยต๊ายตาย...สวยยังกับดาราแน่ะคุณนุช”
โดยไม่ต้องสงสัย เฉพาะโชคชัยนั้นถึงกับตะลึงงัน
“ตะลึงในความงามของคุณนุชจนพูดไม่ออกเลยเหรอคะนายก” เจนจิราที่ตามมาพยายามพูดชงให้
โชคชัยยิ้มเขินๆ “เอ่อ...ครับ คุณนุชสวยมาก สวยจนผมใจสั่นเลย”
โชคชัยยกมือทาบอก ตามองสรนุชอย่างปิ๊งๆ ทำเอาสรนุชต้องหลบตา ส่วนเจนจิราแอบยิ้มสมใจ
ช่อผกาแถเข้ามาหาสรนุชถามขึ้นทันควัน
“แม่สรนุช! เธอแต่งตัวอย่างงี้หมายความว่ายังไงยะ?”
“ก็หมายความว่าฉันจะขึ้นประกวดแทนยัยอรที่ป่วยกะทันหันน่ะสิ”
“ทำยังงี้ไม่ได้นะ!” ช่อผกาโวยวายลั่น
“ทำไมจะไม่ได้ มีกฎข้อไหนห้ามเหรอคะ นายกโชคชัย?”
“ไม่มีครับ” โชคชัยรับรองขึงขัง
“เห็นมั้ย...หรือว่าเธอกลัว” สรนุชเยาะ
“ฉันเนี่ยนะกลัวหล่อน...ชิ...ยิ่งชนะสบายละไม่ว่า”
ช่อผกาสะบัดหน้าพรืดแล้วเดินออกไป
โชคชัยตัดบท “เอาล่ะครับ ในเมื่อมาแล้ว คุณนุชก็เตรียมขึ้นเวทีเลยดีกว่าครับ”
เมื่อถึงเวลาจริงๆ สีหน้ามั่นๆ ของสรนุชเปลี่ยนมายิ้มแหยไม่มั่นใจขึ้นมาทันที
“เอ่อ...ขึ้นเลยเหรอคะ?”
“เดี๋ยวคุณนุชจะขึ้นต่อจากช่อผกาเขา...เตรียมตัวอยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้ครับ”
สรนุชหลับตายกมือไหว้ “คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกช้างด้วย”
สรนุชพยายามสูดลมหายใจเข้าเรียกความกล้า

ขณะเดียวกันใจเด็ดกับเกริกไกรเดินกลับมาที่หน้าเวที ใจเด็ดตื่นเต้นเร่งยิกๆ จนออกนอกหน้า
“เดินเร็วๆ สิไอ้หมอ...ชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”
“อะไรนี่! ทุกปีไม่เคยเห็นนายจะสนใจไปดูการประกวดเลย นี่พอคุณนุชจะขึ้นประกวด นายตื่นเต้นขนาดนี้เลยเหรอ?”
ถูกเพื่อนซี้กระเซ้า ใจเด็ดหยุดกึก
“เอ่อ...ฉันก็แค่จะไปดูว่า ยัยนั่นจะทำขายหน้าอะไรบนเวทีบ้าง ก็เท่านั้นเอง”
ใจเด็ดทำเป็นหน้าตายเดินใจเย็นลง
แต่พอเดินผ่านกลุ่มชาวบ้าน ที่กำลังจับกลุ่มคุยกัน พลางหันมามองที่เขาเป็นตาเดียว โดยเฉพาะ2ผัวเมียกับสัปเหร่อจุกที่กำลังซุบซิบอย่างเมามันอยู่กับมหาเหม็น
เห็นเท่านั้นใจเด็ดก็รู้ทันทีว่าตนกำลังถูกซุบซิบเรื่องอะไร พยายามเดินก้มหลบหน้าหลบตาไม่มอง
แต่แล้วมหาเหม็นเดินเข้ามาขวางหน้าไว้
“ฉันล่ะนับถือหัวหน้าจริงจริ๊ง ขนาดฉันเป็นหมอผี ยังไม่เค๊ยไม่เคยกล้าพาแม่ไอ้โทนไปพลอดรักกันในโลงศพเลยซักที ฮ่ะๆๆๆๆ”
“อะไรนะ! ใครวิตถารไปพลอดรักกันในโลงศพนะ?” เกริกไกรยังไม่รู้ เลยมึนตึ๊บ
“อ้าว...หมอไม่รู้เหรอ ก็หัวหน้าใจเด็ดกับคุณนุชน่ะสิแอบไปสวีทกันที่โกดังเก็บโลงโน่น” มหาเหม็นจัดให้
“ฮ้า! จริงเหรอใจเด็ด? นี่นาย...”
“เฮ้ย...ไม่ใช่อย่างงั้น ฉันไม่ได้อุตริ...”
มหาเหม็นพูดขัดขึ้น “ไม่ใช่ได้ไง ชาวบ้านเค้าเห็นกันทั่ว ถ้าไม่เชื่อ ท้าให้ไปถามหลวงพ่อได้เลย หลวงพ่อก็เห็น รับรองว่าพระไม่โกหกหรอก”
ใจเด็ดยืนอึ้งทำหน้ายังกับกินอะไรติดคอ จะกลืนก็ไม่ได้ คายก็ไม่ออก
ในขณะที่เกริกไกรชอบใจยกใหญ่ตบไหล่ใจเด็ดจนคะมำ
“ฮะฮ่า...แจ๋วจริงๆ ว่ะไอ้เด็ด แกไปรอเชียร์หวานใจแกที่หน้าเวทีก่อน ฉันขอตัวไปดูหวานใจฉันบ้างดีกว่า”
“เฮ้ย...เดี๋ยว”
เกริกไกรรีบผละไป ทิ้งใจเด็ดไว้ มหาเหม็นยืนมองใจเด็ด อมยิ้มกรุ้มกริ่ม

ด้านอรอนงค์อยู่กับสุบิน นั่งดมยาดมจนดูเหมือนสติสตังจะเริ่มดีขึ้นแล้ว
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะยัยนุชอยากจะกุมหัวใจชาวบ้าน ฉันว่า...ต่อให้เอาช้างม้าวัวควายมาลาก มันคงไม่ยอมลดตัวไปเข้าประกวดเทพีระดับชาวบ้านเด็ดขาด” สุบินบอก
“แกก็มองมันในแง่ร้ายอย่างเดียว ไม่คิดบ้างล่ะ บางทีมันอาจจะเต็มใจช่วยคุณใจเด็ดจริงๆ ก็ได้” อรอนงค์แย้ง
“อ๋อเหรอ เต็มใจช่วย หึ ถ้ามันจะทำอย่างงั้นได้ ก็เพราะเหตุผลเดียว”
“เหตุผลอะไรของแก?” อรอนงค์สงสัย
“มันก็ต้องมีใจให้นายใจเด็ดน่ะดิ”
“หา!” อรอนงค์ยกมือทาบอกไม่อยากจะเชื่อ “ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ ยุ่งเลยนะแก”
เกริกไกรป้องหูเดินเข้ามา
“เอ๊ะ..ได้ยินเสียงหวานๆ เจื้อยแจ้วแบบนี้ แสดงว่าคุณอรของผมอาการดีขึ้นแล้วสิครับ”
“เอ่อค่ะ ไม่ปวดหัวเท่าไหร่แล้ว”
“ถ้าอย่างงั้นขอทดสอบหน่อยนะครับ นี่กี่นิ้วครับ?”
ว่าแล้วเกริกไกรก็ยกมือทำมือเป็นไอ เลิฟ ยู ให้อรอนงค์ดู สุบินขำอยากจะบ้าตาย
“รู้สึกว่าฉันจะปวดหัวแทน รู้สึกคลื่นเหียนยังไงก็ไม่รู้”
อรอนงค์ศอกใส่สุบิน แล้วยิ้มให้เกริกไกร
“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณหมอเลย ที่ตามไปช่วยฉันไว้”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ รักผมก็พอ”
เจอมุกนี้เข้า อรอนงค์ถึงกับยิ้มเขินอาย
“คุยกันอยู่ 2 คนก็แล้วกันนะ ตามบาย ฉันไปดูยัยนุชขึ้นเวทีประกวดดีกว่า” สุบินไม่อยากเป็นกอขอคอ
“เดี๋ยวสิ ฉันไปดูด้วย!
อรอนงค์ลุกตามแล้วเซ เกริกไกรประคองไว้
“โอ๊ะ...ระวังสิครับคุณอร คุณยังไม่หายดี ให้ผมประคองไปดีกว่านะครับ”
เกริกไกรประคองพาอรอนงค์เดินไป

การประกวดเทพีหรองระบือเริ่มขึ้นแล้ว ครูสีดาก้าวขึ้นประกาศบนเวที
“และต่อไป...ผู้เข้าประกวดคนนี้เป็นเจ้าของเทพีหนองระบือปีที่แล้ว...ขอทุกคนพบกับ...นางสาว...ช่อผกากากากากากา” ครูสีดาใส่มุกเพิ่มแอ็คโค่เอง
ช่อผกาเดินขึ้นเวทีมาพร้อมกับเสียงปรบมือเปาะแปะ ช่อผกายกมือไหว้ค้อมตัวแทบจะติดพื้นเวที ในมาดนางงามตจว. ก่อนจะเดินโบกมือไปรอบๆ เวที แล้วเดินตรงมาที่ครูสีดา
“สวัสดีจ้ะ...ตื่นเต้นมั้ยจ้ะ” ครูสีดาถามยิ้มเยื้อน
“นิดหน่อยค่ะ”
“แล้วคิดว่าจะรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้มั้ย”
“แหม...คำถามนี้...คงต้องถามทุกคนดูว่าอยากให้ผการับใช้ทุกคนอีกหรือเปล่า”
ทันทีที่ช่อผกาพูดจบก็ได้ยินเสียงโห่ดังขึ้น จนครูสีดาต้องรีบเบรก
“ฟังจากเสียงชื่นชมแล้ว...คิดว่าต้องรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้แน่นอน...เอาละมาถึงคำถามประจำปีนี้ดีกว่า...ถ้าคุณช่อผกาได้กลับมาเป็นเทพีบ้านหนองระบืออีก...คุณช่อผกาจะทำยังไงให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี”
“ขอบคุณสำหรับคำถามนะคะ...เป็นคำถามที่ดีจริงๆคะ...สิ่งที่ช่อผกาจะทำนั่นก็คือ...การแจกเงินค่ะ” คนดูทุกคนร้องครางเสียงฮือฮา “ทุกคนก็รู้ว่าทุกวันนี้...เงินที่เราได้จากรัฐบาลคงไม่พอให้ทุกคนได้เลี้ยงตัวเอง...เพราะฉะนั้น...ดิฉันได้คุยกับพ่ออยู่เหมือนกัน...ว่าทุกเดือน...เราจะมอบเงินให้กับชาวบ้าน...เดือนละหนึ่งพันบาทค่ะ”
ชาวบ้านที่อยู่หน้าเวทีบ้างก็ชอบ บ้างก็งงๆ ส่วนกรรมการที่นั่งอยู่ก็มีซุบซิบคุยกัน ครูสีดาเห็นจึงรีบตัดบทเพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเสียง
“แล้วก็ขอบคุณสำหรับคำตอบนะคะ...ต่อไปอีกคำถามนึง...อยากให้คุณช่อผกาพูดระหว่างความรักกับควายให้ฟังหน่อยจ้ะ”
“แหม...คำถามแบบนี้อีกแล้ว...คิดว่าช่อผกาไม่รู้คำตอบเหรอคะ...คำตอบก็คือ...ดิฉันไม่รู้หรอกค่ะ...เพราะดิฉันไม่ใช่ควาย”
ช่อผกาพูดเสร็จก็ยิ้มแฉ่งเพราะคิดว่าคำถามที่ถามเป็นปัญหาเชาว์กวนๆ แบบสมัยนี้ ครูสีดาถึงกับมึนตึ๊บ
“เอ่อ...แล้วนั่นก็คือ...คุณช่อผกา”
ครูสีดาผายมือ มีเสียงตบมือดังเปาะแปะ ขณะที่ช่อผกาก้มหัวไหว้แทบติดดินอีกครั้ง

เจนจิรากับสมหญิงเดินออกมาจากหลังเวที สมหญิงเห็นใจเด็ด
“หัวหน้ายืนอยู่นั่นค่ะ แหม...ชิดขอบเวทีเลย”
เจนจิรามองตามเห็นใจเด็ดยืนชะเง้อรอเวลาที่จะได้เห็นสรนุชขึ้นเวที เจนจิราเดินนำสมหญิงเข้ามายืนข้างๆใจเด็ด
“ดูหัวหน้าตื่นเต้นนะคะ”
ใจเด็ดชะงักหันมามอง “เอ่อ...ตื่นเต้นอะไรเหรอเจน”
“ตื่นเต้นที่จะได้เห็นคุณนุชขึ้นประกวดเทพีมังคะ”
“ตื่นเต้นกลัวยัยนั่นจะทำเปิ่นบนเวทีสิไม่ว่า หึๆ”
พูดจบใจเด็ดหันกลับไปมองเวทีด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบไปด้วยรอยยิ้มและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนเจนจิราลอบมองใจเด็ด ได้แต่เจ็บจี๊ดอยู่ข้างใน
ครูสีดาประกาศบนเวที
“แล้วก็มาถึงผู้เข้าประกวดคนสุดท้าย...ส่งเข้าประกวดโดยสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์...ขอเชิญทุกท่านพบกับผู้ประกวดหมายเลข 3 คุณสรนุชครับ”
สมหญิงกับภิรมย์ส่งเสียงกรี๊ดและเป่าปากนำ ชาวบ้านพากันตบมือต้อนรับกันเกรียวกราว
ที่บริเวณข้างๆ เวที...สรนุชกำลังจะเดินขึ้นเวที แต่เพราะความประหม่าทำให้สรนุชสะดุดจนส้นสูงลงไปติดอยู่ในร่องไม้พื้นเวที ยิ่งเห็นใจเด็ดคลายยิ้มอดขำไม่ได้ขำมองเห็นไรฟันขาว ยิ่งทำให้สรนุชใจสั่นไปหมด
โชคชัยเห็นอย่างนั้นรีบเข้ามาดูสรนุช
“ให้ผมช่วยมั้ยครับคุณนุช?”
สรนุชดึงส้นสูงขึ้นมาได้พอดี “แฮ่...ไม่เป็นไรค่ะ”
ใจเด็ดยิ้มชะงัก รู้สึกขัดหูขัดตาที่เห็นโชคชัยเข้ามาทำท่าเป็นห่วงเป็นใยสรนุชแบบนั้น
สรนุชก้าวขึ้นบนเวที ย่อเข่าก้มลงไหว้อย่างสวยงาม
ใจเด็ดตะลึงมอง เพราะสรนุชในชุดประกวดนางงามสวยอ่อนหวานอย่างที่เขาคิดไม่ถึง
เจนจิราหันมองเสี้ยวหน้าของใจเด็ด...แววตาเป็นประกายของใจเด็ดที่มองสรนุช ทำให้เจนจิราได้แต่ยืนน้ำตาตกใน เจนจิราค่อยๆ หันเดินออกไปเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต
สุบิน เกริกไกร อรอนงค์เพิ่งเข้ามาถึง ยืนยิ้มตบมือมองไปที่สรนุชเดินโชว์ความงามบนเวที
“ดูสิคะหมอ...ยัยนุชสวยจังเลยค่ะ”
สุบินหันไปเห็นเจนจิรากำลังเดินหลบออกไปจากบริเวณเวทีประกวด เลยหันเดินตาม
“อ้าว จะไปไหนสุบิน?”
“เดี๋ยวฉันมา”
สุบินรีบเดินตามเจนจิราไปอย่างไว

สุบินเดินมองหาเจนจิรามา แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกดังแว่วมา สุบินค่อยๆ เดินย่องเบาๆ ไปตามเสียง และแล้วก็เห็นเจนจิรายืนร้องไห้อยู่คนเดียว
สุบินได้แต่ยืนเกาะต้นไม้มองเจนจิราอยู่อย่างนั้นด้วยความเห็นใจ
“ยัยนุชเอ้ย...ขออย่าให้แกกับนายใจเด็ดเกิดชอบกันขึ้นมาจริงๆอย่างที่ฉันกลัวเลย เพราะแกจะต้องทำร้ายจิตใจใครหลายคน รวมทั้งตัวแกเองด้วย เฮ้ออ”
สุบินเศร้าจริงอะไรจริง

ที่บนเวทีเวลานั้น สรนุชกำลังเดินอวดโฉมให้กับชาวบ้านได้ดู เดินตรงมาหยุดยืนต่อหน้ากรรมการแล้วถอนสายบัวไหว้อย่างงาม ก่อนที่จะเดินกลับมาที่ครูสีดาเพื่อตอบคำถาม
“มาตอบคำถามแรกกันดีกว่า...ถ้าคุณสรนุชได้ตำแหน่งเทพีหนองระบือในปีนี้...คุณจะทำอะไรให้ชาวบ้านที่นี่อยู่ดีกินดี”
สรนุชนิ่งไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วพูดขึ้น
“ถ้าให้ตอบตรงๆ...ดิฉันก็จะบอกว่า...ดิฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ”
สิ้นคำถามสรนุช ทุกคนก็ถึงกับฮือฮา ใจเด็ดเองก็งงเช่นกัน
“อ้าว...ทำไมคุณนุชตอบอย่างนั้นละคะหัวหน้า” สมหญิงงง
“รอให้เธอตอบให้จบก่อนดีกว่า” ใจเด็ดบอกทั้งที่ก็งงเช่นกัน
ส่วนบนเวที...สรนุชมองชาวบ้านทุกคนก่อนจะพูดต่อ
“ที่ดิฉันบอกว่าทำไม่ได้...ก็เพราะว่าแค่ตำแหน่งเทพีคงทำอะไรไม่ได้มาก...แต่ถ้าเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดิฉันคิดว่า...ดิฉันจะสอนให้ทุกคนจับปลาค่ะ”
ทุกคนงงกับคำพูดของสรนุช ตัดมาด้านหลังเวทีเห็นช่อผกาหัวเราะคิกคัก
“หึ...บ้าไปแล้ว...สอนให้จับปลา...โง่จริงๆ”
สรนุชพูดต่อ
“บางคนอยากให้ประชากรของตัวเองอยู่ดีกินดี...ก็เลยเอาปลามาให้ถึงหน้าบ้าน...แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง...เขาไม่ได้เอาปลามาให้...ทุกคนก็จะนั่งรอเพราะว่าตัวเองจับปลาไม่เป็น...ดิฉันเลยบอกว่าสิ่งที่ฉันอยากจะทำ...นั่นก็คือ...สอนให้ทุกคนจับปลาค่ะ...แม้ว่ามันจะเหนื่อยยากในวันนี้...แต่มันจะยั่งยืนไปจนตราบรุ่นลูกรุ่นหลานเราค่ะ”
ทุกคนได้ยินที่สรนุชบอกก็พยักหน้าเห็นด้วย ใจเด็ดมองสรนุชด้วยสายตาปลื้มโครตๆ
“งั้นก็มาถึงคำถามสุดท้าย...ช่วยบอกพวกเราหน่อยซิว่าความรักกับควายในความคิดของคุณมันคืออะไร”
“เอ่อ...จริงๆ แล้วดิฉันก็ไม่ค่อยรู้จักควายเท่าไหร่...รู้แต่ว่ามันมาก่อนคอคน (ฅ)”
พอสรนุชพูดจบทุกคนก็เงียบกริบ
“เอ่อ...ก่อนที่ดิฉันจะมาที่หนองระบือแห่งนี้...ดิฉันได้ยินมาว่าผู้คนที่นี่รักควายมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านควาย...ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงได้รักควายมากขนาดนั้น...ทั้งๆ ที่มันสกปรก...น่าเกลียด” ทุกคนเริ่มฮือฮากับสิ่งที่สรนุชพูด “จนกระทั่งที่ดิฉันมาถึงนี่...แรกๆ ดิฉันก็ยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่...แต่หลังจากที่ดิฉันได้อยู่ที่นี่...ดิฉันเริ่มเห็นแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้รักควาย”
สรนุชหยุดไปก่อนจะค่อยหันมองไปที่ใจเด็ด
“นั่นก็เพราะว่า...ควายรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข”
ทุกคนได้ยินคำตอบก็นิ่งไป จนกระทั่งกรรมการคนหนึ่งทนดีใจไม่ไหว ค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะตบมือออกมา แล้วทันใดนั้นชาวบ้านคนอื่นๆก็ค่อยๆตบมือตามก่อนจะดังสนั่นไปทั้งวัด
สรนุชยิ้มให้กับเสียงตบมือนั้น ขณะที่ใจเด็ดเองก็มองสรนุชด้วยความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เวลาผ่านไป สรนุชยืนยื้มสวยบนตัวคาดสายสะพาย ใส่มงกุฎให้และรับถ้วยรางวัลจากนายกเทศมนตรี
สรนุชอ้าปากค้างยกมือปิดปากในท่านางงามเลย ส่วนกองเชียร์ข้างล่างส่งเสียงกรี๊ดอย่างดีใจ
ใจเด็ดยิ้มแฉ่งดีใจสุดๆ เช่นเดียวกับอรอนงค์ เกริกไกร สมหญิง ภิรมย์ แม้แต่เจนจิราก็ตบมือให้
“ขอแสดงความยินดีกับเทพีคนใหม่ของเรา” ครูสีดากล่าวชื่นชม
สรนุชชูถ้วยรางวัลดีใจจนลืมตัวอินไปกับบทบาทนางงาม สุบินแอบกระซิบพูดกับอรอนงค์
“ดูเพื่อนแกทำ...มันคงลืมนึกไปมั้ง ว่าต่อจากนี้ไปนอกจากภารกิจเดิมที่มันต้องทำแล้ว มันยังต้องเจอภารกิจอันใหญ่หลวงที่ต้องทำในฐานะเทพีขวัญใจชาวหนองระบือด้วย”
อรอนงค์มีสีหน้าหนักใจ ขณะมองไปที่สรนุช ซึ่งกำลังเดินโบกไม้โบกมือให้ทุกคนบนเวที

หลังการประกวดช่อผกาก็มาร้องไห้กับใจเด็ด
“ฮือๆๆๆๆๆๆ”
“จะร้องไห้ไปทำไมกันผกา”
“ก็ผกาแพ้อย่างไม่เป็นธรรมนี่พี่เด็ด” ช่อผกาว่าไปนั่น
“เหอะๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่าแพ้อย่างไม่มีทางสู้ต่างหาก” เกริกไกรว่า
“นั่นสิครับ ขนาดหัวหน้ายังไม่ให้ลูกโป่ง เอาไปให้ปุยฝ้ายเฉยเลย” ภิรมย์ออกความเห็น
“ฮือๆๆๆๆๆ ช่อผกายิ่งร้องดัง
“พวกนายก็เหมือนกัน! ไปซ้ำเติมผกาเค้าทำไม เอาน่าผกา ปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าก็ยังมี ค่อยประกวดใหม่นะ”
“แหม..คู่นี้เค้าน่ารักกันจริงนะ เห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจกันตลอด” สรนุชประชดส่ง
ใจเด็ดหันมามอง เห็นสรนุชเดินเข้ามา
“สงสัยว่าชาตินี้คงจะเกิดมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกันจริงๆ” ต่ออีกดอก
ใจเด็ดมองสรนุชอย่างหมั่นไส้ในท่าทาง ขณะที่ช่อผกากอดแขนใจเด็ดหมับ
“ก็แหงล่ะย่ะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนสามารถเข้ามาสอดแทรกระหว่างกลางความรักของฉันกับพี่เด็ดได้เด็ดขาด แม้แต่พวกได้ตำแหน่งเทพีก็อย่าได้ฝันไปเลย”
“ต๊าย นี่คุณผกาคิดว่าคุณนุชจะมารักมาชอบกับหัวหน้าของสมหญิงเหรอคะ?”
คำพูดของสมหญิงทำให้สรนุชกับใจเด็ดต้องชะงักไป
ใจเด็ดกับสรนุชอึกอักเหมือนกัน “เอ่อ...”
อรอนงค์กับสุบินแอบสบตากัน แต่เจนจิรารีบชิงพูดขึ้นมาก่อน
“เป็นไปไม่ได้หรอกสมหญิง คุณนุชทั้งเก่งทั้งสวยขนาดนี้ เธอมีคนอื่นหมายปองอยู่แล้วล่ะ!”
ทุกคนหันมามองเจนจิราเป็นตาเดียว สุบินอึ้งมองเจนจิรา ไม่อยากเชื่อว่าเจนจิราจะพูดแบบนี้ออกมา
“ใครคะคุณเจน ใครชอบคุณนุช?”
สมหญิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เจนจิราอึกอักเพราะไม่ได้ตั้งใจจะพูด แค่เผลอหลุดปากออกไป แต่แล้วเสียงโชคชัยก็ดังขึ้น
“คุณนุชครับ”
สรนุชค่อยๆ หันไปมองโชคชัย เช่นเดียวกับสายตาทุกคนที่จ้องมาที่โชคชัยเป็นตาเดียว
“ผมดีใจด้วยครับที่คุณได้รับตำแหน่งเทพีขวัญใจหนองระบือของเราในปีนี้”
โชคชัยพูดพลางยื่นดอกไม้ให้ สรนุชอึ้งค้าง สมหญิงกับช่อผกาถึงบางอ้อ ใจเด็ดแอบอารมณ์เสีย
“ช่วยรับดอกไม้จากใจจริงของผมไปด้วยนะครับ”
“เอ่อ...ดอกไม้ อ๋อ...ขอบคุณมากค่ะ”
“อุ้ยต๊ายตาย นึกว่าใครที่ไหน นายกโชคชัยนี่เองเหรอที่ชอบคุณนุช”
สรนุชซึ่งกำลังรับดอกไม้ถึงกับเบรกเอี๊ยด อ้าปากค้าง ก่อนหันขวับมาต่อว่าช่อผกา
“นี่คุณ อย่ามาพูดอะไรอย่างงี้นะ คุณนายกน่ะเหรอจะมาชอบฉัน ไม่จริงหรอก ใช่มั้ยคะคุณโชคชัย?”
สรนุชหันมามองหน้าโชคชัย ในขณะที่โชคชัยกลับเอาแต่ยืนยิ้มๆ มองมาที่สรนุชด้วยสายตาที่บ่งบอกความในใจ เจนจิรามีสีหน้าพอใจ ที่โชคชัยไม่กลัวที่จะแสดงความในใจออกมาให้ทุกคนเห็น
สรนุชยืนอึ้งกิมกี่ไปเลย ก่อนจะฝืนยิ้มแล้วแค่นหัวเราะออกมา
“แหะๆๆ คงไม่ใช่คุณโชคชัยคนเดียวหรอกที่ชอบฉัน คนคงชอบกันทั้งวัดแหละเนอะ ไม่งั้นฉันคงไม่ได้คะแนนโหวตล้นหลามจนได้ตำแหน่งมาอย่างงี้หรอก แหะๆๆ”
“เฮ้อ...ผมหวังว่าได้ตำแหน่งแล้ว คุณคงไม่หลงลืมตัวจนเกินไป ว่ามีแต่คนรักคนชอบนะครับ เราไปที่เวทีรำวงกันดีกว่า”
ใจเด็ดเดินนำทุกคนไป สรนุชกัดปากมองตามใจเด็ดอย่างเจ็บใจ
ขณะที่สุบินแอบกระซิบพูดที่ข้างหูเจนจิราก่อนเดินตามคนอื่นๆ ไป
“เข้าใจทำนี่คุณ”
เจนจิราตกใจ มองตามสุบิน ไม่คิดว่าสุบินจะจับได้

กลางดึกคืนนั้นชาญณรงค์นอนเมาหมดสภาพอยู่ที่โซฟา…ค่อยๆ ขยับ รู้สึกตัวได้สติ
“โอย...ทำไมปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัวอย่างงี้วะ อึ๋ย!”
ชาญณรงค์สะดุ้งตื่นรู้สึกปวดฉี่ เลยลุกเดินเมาไปที่ห้องน้ำอย่างคุ้นชินทาง ทั้งๆ ที่ตายังลืมไม่ขึ้น ผลักประตูเข้าไป
ผู้พันชรายืนฉี่ สติสตังค์เริ่มมา ขมวดคิ้วพลางคิด
“เอ้...น้องอร...ใช่...เมื่อตะกี้ฉันอยู่กับน้องอรนี่หว่า” ฉี่เสร็จพอดีก็เรียกหาอรอนงค์ “น้องอรจ๋า”
ชาญณรงค์หันมองหาอรอนงค์ ขณะที่ตาลืมปรือขึ้นมอง เห็นหน้าตัวเองแว้บๆ ในกระจก แล้วต้องแหกปากลั่นตาสว่าง
“อ๊าก”
ชาญณรงค์มองจ้องหน้าตัวเองในกระจก จับหน้าที่ฟกช้ำ ปากเจ่อเป็นพญาครุฑ แล้วหุนหันออกจากห้องน้ำตะโกนลั่น
“ไอ้คิด...ไอ้คิด”
สมคิดวิ่งพรวดพราดหน้าตาตื่นเข้ามา
“ผู้พันสร่างแล้วเหรอครับ”
“ทำไมหน้าตาฉันยับเยินยังกับไปฟัดกับสุนัขมาอย่างงี้วะ แล้วน้องอร...น้องอรของฉันอยู่ที่ไหน ทำไมฉันกลับมาอยู่ที่บ้านได้วะ” ชาญณรงค์โวยวายลั่นบ้าน
“คำอธิบายง่ายมากเลยครับผู้พัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพราะยาดองไหนั้นที่ผู้พันกินเข้าไป จนเมาแอ๋น่ะครับ” สมคิดเล่าให้ฟัง
“ห่ะ แกอย่าบอกนะ ว่าฉันเมาจนไม่มีแรงปล้ำน้องอรน่ะ”
“ปล้ำอะไรล่ะครับพ้ม ผู้พันเมาหัวทิ่ม เอ่อ...จนหน้าคว่ำยับเยินอย่างที่เห็นนี่แหละ ผมถึงต้องรีบแบกผู้พันกลับมา เพราะไอ้หมอเกริกมันดันตามมาเจอแม่อรอนงค์ที่กระท่อมเข้า”
“โธ่เว้ย! จ๊าก”
ชาญณรงค์เตะขาโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย ดันเจ็บตัวอีก
“ก็เพราะแกตัวเดียว ไอ้สมคิด ดันเอาไอ้ช้างกระทืบโลงมาให้ฉันกิน นี่ๆ”
ชาญณรงค์คว้าผลไม้ปลอมใกล้มือปาใส่กระบาลสมคิด สมคิดยกมือปิดป้องหัวหนีตายพัลวัน

โชคชัยยืนอยู่กลางเวทีรำวงกำลังประกาศ
“ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยแล้ว...นั่นก็คือการ...”
โชคชัยเงียบเสียงเพื่อให้ชาวบ้านตะโกนตอบ
“รำวง”
โชคชัยยิ้มก่อนจะหันไปเห็นสรนุชเดินเข้ามาที่เวทีพร้อมกับสุบินและอรอนงค์
“แล้วก็เป็นเหมือนทุกปีที่เราต้องให้เกียรติเทพีของเรา...ขอเชิญเทพีบ้านหนองระบือ...คุณสรนุช บนเวทีด้วยครับ”
สรนุชที่เพิ่งเดินเข้ามาก็ถึงกับหน้าเหวอขึ้นมาทันที “ฮ้า ! เอ่อ...เอาไงดี”
สรนุชหันไปหาสุบินกับอรอนงค์ก่อนจะเห็นสุบินกับอรอนงค์พร้อมใจกันก้าวถอยหลังทำให้สรนุชเด่นขึ้นมาทันที เสียงตบมือดังกึกก้องทำให้สรนุชต้องเดินเข้าไปในเวที ยิ้มโปรยเล่นบทนางงามอีกครั้ง
“คุณสรนุชนึกไว้หรือยังครับว่าจะเลือกใคร” โชคชัยถาม
“เอ่อ...”
ระหว่างนั้นคุณลุงคนหนึ่งยกมือขึ้น
โชคชัยถามออกไป “ลุงแช่มอยากเต้นกับคุณนุชหรือไง”
“เปล่า...ผมจะบอกว่าคุณนุชน่ะต้องคู่กับหัวหน้าใจเด็ด”
ใจเด็ดที่ยืนอยู่ได้ยินก็ถึงกับอึ้ง “เดี๋ยวๆ”
“แหม...ไม่ต้องเขินหรอกหัวหน้า...จะได้จัดการเรื่องในกระท่อมเมื่อกี้ให้เสร็จไง”
ลุงแช่มพูดจบ ชาวบ้านหัวเราะกันครืนใหญ่ ก่อนจะเห็นชาวบ้านต่างส่งเสียงร้องเชียร์
“ใจเด็ด...ใจเด็ด...ใจเด็ด”
สรนุชกับใจเด็ดต่างสบตากันด้วยความลำบากใจทั้งคู่
ระหว่างนั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็แหวขึ้น
“ หยุด”
ทุกคนหันมองไปก็เห็นช่อผกาเดินปรี่เข้ามาหาใจเด็ด ก่อนจะคล้องแขนแสดงความเป็นเจ้าของทันที
“พี่ใจเด็ดต้องคู่กับฉันคนเดียว” ช่อผกาเออออไปเองคนเดียว
“อ้าว...ได้ยังไงนังผกา ธรรมเนียมเขาก็มีอยู่ ถ้าคุณนุชจะเลือกหัวหน้า แกจะทำไม” ลุงแช่มไม่พอใจ
“ต๊าย...จริงเหรอ ! แย่งตำแหน่งไปจากฉันแล้ว...ยังจะกล้าแย่งพี่เด็ดอีกหรือไง” ช่อผกาเยาะ
“นี่คุณพูดดีๆ นะ...เพื่อนผมไปแย่งตำแหน่งอะไร” สุบินเหลืออด
ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น
“สุบิน!” สรนุชปราม ทุกคนเงียบแล้วหันมองสรนุช “คือ...ฉันขอบคุณทุกคนนะคะ...แล้วก็รู้ว่าทุกคนอยากให้ฉันกับคุณใจเด็ดได้คู่กัน...แต่...มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
สรนุชกับใจเด็ดสบตากัน
“คือ...ฉันกับคุณใจเด็ดไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด...แล้วที่ทุกคนเห็นก็เป็นแค่อุบัติเหตุ” สรนุชแจง
“แล้วอย่างนี้คุณจะเลือกใครละ” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
สรนุชมองไปที่ใจเด็ดที่มีช่อผกากอดแขนเหนียวแน่นหนึบ ก็เกิดความรู้สึกหึงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณโชคชัยค่ะ”
ทันทีที่สรนุชบอก ชาวบ้านก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที อรอนงค์ทำหน้างงหันไปถามสุบิน
“อ้าว...ก็ไหนยัยนุชบอกว่าจะไม่เลือกคุณโชคชัยไง”
“เออดิ...มันคิดอะไรของมันวะ” สุบินงง
สรนุชหันมาทางโชคชัย “คุณโชคชัยจะเป็นคู่ให้ฉันได้มั้ยคะ”
โชคชัยตื่นเต้น ไม่คิดไม่ฝัน “ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”
สรนุชแค่นยิ้มให้กับโชคชัย ก่อนจะแอบมองไปทางใจเด็ดกับช่อผกาไม่รู้ตัว ระหว่างนั้นเสียงเพลงรำวงดังแทรกเข้ามา

ลูกน้องของชิดชัยค่อยๆ เดินเข้ามาสอดส่องอยู่หลังต้นไม้ก่อนจะหันไปบอกกับชิดชัยที่อยู่ด้านหลัง
“ทางสะดวกครับพี่...”
ชิดชัยค่อยๆ ย่องเข้ามา
“พี่แน่ใจเหรอว่าจะทำอย่างนี้นะ
“เออ...แล้วแกจะให้ฉันอยู่เฉยๆ รอวันตายหรือไง” ชิดชัยโพล่งขึ้นมา
“แต่ถ้าโดนจับได้...คุกเลยนะพี่” ลูกน้องแย้งเหมือนไม่เห็นด้วย
“จะอยู่เฉยๆ แล้วโดนไล่ออกหรือว่าจะเสี่ยงแล้วได้เลื่อนขั้น...ห๊ะ...เลิกถามได้แล้วไอ้นี่...ไป...ทำตามที่สั่งเข้าใจมั้ย”
ลูกน้องพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ชิดชัยมองเข้าไปในงานด้วยความแค้น
“ไอ้ใจเด็ด...คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของแก”
ชิดชัยสีหน้าโกรธขึ้งขึ้นมาทันที

เสียงเพลงจังหวะคึกคักดังขึ้นขับเน้นบรรยากาศรำวงของชาวบ้านหนองระบือให้สนุกสนานยิ่งขึ้น
สรนุชกับโชคชัยรำวงคู่กันอยู่
“ไม่น่าเชื่อนะคะว่าที่นี่ยังมีการรำวงแบบนี้อยู่อีก”
“ครับ...คนที่นี่พยายามอนุรักษ์ทุกอย่างเอาไว้ให้ได้มากที่สุด...”
“เรื่องนั้นฉันก็พอจะเดาได้อยู่...” สรนุชแอบบ่นออกมาเบาๆ “ไม่งั้นคงไม่ใช้ควายไถนาอยู่อย่างนี้หรอก”
สรนุชพูดไปก็แอบลอบมองใจเด็ดกับช่อผกาที่รำวงห่างออกไปไม่ไกล เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดหันมองมาพอดี สรนุชรีบหันหน้าหลบ
ช่อผกาเห็นใจเด็ดมองไปทางอื่นก็ขัดใจนัก “มีอะไรเหรอคะพี่เด็ด”
“เปล่าจ้ะ”
“พี่เด็ดอ่ะ...ไม่อยากคู่กับผกาหรือไง...ทำไมพี่เด็ดไม่เห็นยิ้มเลย”
“เอ่อ...พี่คงจะเหนื่อยน่ะ...ไม่มีอะไรหรอก”
ช่อผกาคิดไปคิดมา “ถ้างั้นลองวิธีของผกาดูนะ”
ว่าแล้วช่อผกาก็จับไปที่มุมปากของใจเด็ดก่อนจะฉีกยิ้ม ช่างขัดกับหน้าตาที่เคร่งเครียดของใจเด็ดเหลือเกิน
“นี่...มันต้องอย่างนี้”
สรนุชรำวงคู่กับโชคชัยก็แอบมองไปที่ใจเด็ดกับช่อผกา สรนุชเหลือบมาเห็นตอนที่ช่อผกาจับใจเด็ดฉีกยิ้มเสร็จพอดีก็เข้าใจว่าใจเด็ดยิ้มอย่างมีความสุขก็เหยียดปากหมั่นไส้
“คุณนุชครับ”
“เอ่อ...คะ”
“คุณนุชรู้มั้ยครับว่าคุณนุชเป็นคนที่รำสวยมาก”
สรนุชชะงักไปเพราะรู้สึกว่าโชคชัยกำลังรุกหน้าเข้ามาเรื่อยๆ แต่ลุงแช่มก็เข้ามาขัดจังหวะช่วยสรนุชที่กำลังอึดอัดทันพอดี
“นายก...ขอผมรำกับคุณนุชบ้างซิครับ”
โชคชัยกับสรนุชหันมองหน้ากัน สรนุชรีบตอบทันทีเพราะที่เลือกคู่กับโชคชัยเพราะต้องการประชดใจเด็ด
“ได้ค่ะ”
แต่แล้วพวกชาวบ้านทั้งหนุ่มทั้งแก่พอเห็นว่าลุงแช่มรำวงกับสรนุชได้ต่างก็กรูกันเข้ามาขอรำวงคู่กับสรนุชบ้าง
“ถ้างั้นลุงต่อไอ้แช่มมันนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งว่า
“ได้ไงลุง...ผมมาก่อนนะ” อีกคนไม่ยอม
แล้วหลังจากนั้นสรนุชก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลังไปด้วยชายในหมู่บ้าน ช่อผกาที่รำวงอยู่กับใจเด็ดเห็นก็หมั่นไส้สุดๆ
“พี่เด็ดคะ...ผกาว่าปีหน้าก่อนที่เราจะมีงานขวัญควาย...ผกาว่าเราน่าจะหาอะไรเสริมสร้างไอคิวให้พวกชาวบ้านก็ดีนะคะ”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นละผกา”
“ไม่ได้หรอกค่ะ...ดูซิคะ...เลือกให้นังนั่นเป็นเทพีได้ยังไง...ไม่มีสมองจริงๆ ไอ้พวกนี้”
“พวกชาวบ้านอาจจะไม่มีสมอง...แต่พวกเขาอาจจะสายตาดีก็ได้นะ”
ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็ขัดหู หันขวับมาทางใจเด็ดทันที “หมายความว่าไงคะพี่เด็ด”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ”

ใจเด็ดตัดบทชวนช่อผการำวงต่อ แต่ไม่วายแอบชำเลืองมองไปที่สรนุช









Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:19:43 น.
Counter : 202 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 9




วันที่สองของงานขวัญควาย ช่วงเช้ามีการจัดประกวดควายขึ้น ส่วนตอนค่ำไฮไลท์เป็นการประกวดเทพีหนองระบือ กล้องแฮนดี้แคมในมือของสุบินที่กำลังบันทึกภาพบรรยากาศภายในงาน ชาวบ้านต่างกำลังเดินชมควายของแต่ละบ้านที่เตรียมมาประกวด

“โห...ควายบางตัวตัวใหญ่กว่าฉันอีกว่ะ”
สุบินเอ่ยขึ้นขณะกำลังถือกล้องวิดีโอ โดยมีอรอนงค์กับสรนุชเดินอยู่ด้วย สรนุชมองไปรอบๆเหมือนหาบางอย่าง
สุบินเดินไปมองสรนุชไป ขณะเดียวกันสรนุชเองก็เห็นใจเด็ดพอดี แต่เสียจังหวะตรงที่สุบินเอ่ยขึ้นเสียก่อน
“แกหาใครวะนุช”
“เอ่อ...ว่าไงนะ”
“ก็แกเหมือนกำลังมองหาใครอยู่ไง” สุบินคาดคั้น
“เอ่อ...เปล่า..เปล่านี่ไม่ได้มองหาใครซะหน่อย” สรนุชรีบเอาตัวมาบังทิศทางที่หันไปเห็นใจเด็ดเพราะกลัวว่าสุบินจะเห็นว่าเธอมองใจเด็ดอยู่ “ไปเถอะ...งานจะเริ่มแล้ว”
สรนุชรีบดึงอรอนงค์กับสุบินออกไป ก่อนที่ตัวเองจะเหลือบไปมองใจเด็ดแวบหนึ่ง
สรนุช อรอนงค์ สุบินเดินเข้ามาภายในงาน
ครูสีดาทำหน้าที่พิธีกร กำลังประกาศอยู่ที่กลางลาน
“สวัสดีจ้ะพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายาย...อาก๋งอาม่า...คุณอาคุณน้าคุณหลาน...ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะนำควายมาอวดกันว่า...ปีที่ผ่านมา...ได้ฝึกให้มันแสนรู้ขึ้นยังไงบ้าง”
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ควายแสนรู้..?” อรอนงค์จ้องหน้าสุบิน
“ไม่ต้องมามองหน้าฉัน...ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นยังไง”
สุบินกับอรอนงค์เอาแต่สนใจที่การประกวด ขณะที่สรนุชเองเอาแต่มองหาใจเด็ด
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา...ขอเชิญพบกับไอ้ทิว...ควายของตาเท่งเลย”
ชาวบ้านตบมือชอบใจก่อนจะเห็นตาเท่งจูงควายออกมา แล้วออกคำสั่งให้ควายหมอบ ควายนั่งสองขา ก่อนที่ตาเท่งจะจูงควายวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง มุดห่วงไฟ
สุบินกับอรอนงค์ถึงกับอ้าปากหวอ ตะลึงในสิ่งที่เห็น สรนุชฉวยโอกาสนั้นค่อยๆ ทำเนียนเลี่ยงออกมา

สรนุชเดินปะปนอยู่กับฝูงชนในงาน ก่อนเลี่ยงออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่า นายทำอย่างที่สมหญิงบอกจริงหรือเปล่า”

อีกมุมหนึ่ง เป็นเต็นท์ผ้าใบที่ตั้งอยู่ในวัด ซึ่งชาญณรงค์แอบตั้งโต๊ะรับพนันประกวดควาย เห็นแผ่นชาร์ทเขียนราคาต่อรองเอาไว้ว่าควายคนนั้นจะได้ราคากี่เท่า โดยมีช่อผกาคอยช่วยอยู่ข้างๆ
“ว่าไงลุง...จะเล่นตัวไหน”
“ข้าไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรหรอกนะ...แต่เอาเป็นควายของหัวหน้าใจเด็ดแล้วกัน”
ชาญณรงค์ที่กำลังเขียนโพยอยู่ได้ยินก็ถึงกับลุกออกมาเอง
“เปลี่ยนตัวไม่ดีเหรอ...ของไอ้ใจเด็ดได้แค่สองเท่าเองนะ” ชาญณรงค์บอกเสียงเข้ม
“พ่อ...เขาจะเล่นอะไรก็ปล่อยเขาเถอะน่า” ช่อผกาท้วง
“นั่นซิ...สองเท่าก็เอา...เพราะข้าเห็นควายของหัวหน้าใจเด็ดชนะทุกปี” ลุงบอก
“แต่ไม่ใช่ปีนี้...ฉันมีสายวงในบอกมาว่า...ปีนี้ควายไอ้สักมันจะได้...ว่าไง...ยังจะเล่นควายไอ้ใจเด็ดอีกหรือเปล่า”
“เล่น”
ชาญณรงค์ได้ยินลุงว่าอย่างนั้นก็ถึงกับหงุดหงิด
ชาญณรงค์ เอามาๆ...แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน
พอลุงคนนั้นเดินออกไป ชาญณรงค์ก็หยิบจดโพยของช่อผกามาดู ชาญณรงค์ถึงกับโมโหปาสมุดลงพื้น
“อะไรวะ...ทำไมพวกมันเล่นแต่ควายไอ้ใจเด็ดนั่นเลย”
“เอ้า...พ่อไม่รู้จริงๆเหรอ...ก็ควายของพี่เด็ดน่ะ...ใหญ่จะตาย” ช่อผกายิ้มระรื่น
“นังนี่...ออกเสียงควายให้มันชัดๆ หน่อย”
ระหว่างนั้นสมคิดวิ่งเข้ามา “ผู้พันครับ...ผู้พัน”
“มีอะไร” ชาญณรงค์ถามฉุนๆ
“ผมเห็นไอ้ใจเด็ดมันกำลังเดินมาทางนี้...ผมว่าเราเก็บโต๊ะก่อนมั้ยครับ”
“อะไรของมันวะ...คนจะหารายได้พิเศษ” แล้วชาญณรงค์นึกแผนขึ้นมาได้ จึงหันไปมองช่อผกา “ไง...แกอยากไปหาไอ้ใจเด็ดมันไม่ใช่เหรอ...ไปซิ”
“จริงเหรอพ่อ”
“เออ...แล้วช่วยลากมันไปไกลๆ ด้วย”
ช่อผการีบเดินระริกระรี้ออกไปทันที ชาญณรงค์มองตามด้วยความเจ็บใจ
“คอยดูเถอะ...ควายแกจะชนะทุกปีก็ให้มันรู้ไปซิวะ”

ทางด้านสรนุชเดินชะเง้อมองหาใจเด็ดมาตามทาง “ไปไหนแล้วเนี่ย”
สรนุชชักจะหงุดหงิด แต่แล้วจังหวะที่สรนุชหันหลังจะเดินกลับไปอีกทางก็เจอะเข้ากับใจเด็ด
“เฮ้ย”
ใจเด็ดแปลกใจท่าทีของสรนุช “อะไรของคุณ”
“เอ่อ...เปล่า” สรนุชตั้งตัวไม่ติดรีบหันหลัง “ทำไงดี...ดันโผล่มาตอนยังไม่ได้คิดคำถามด้วย”
“เป็นไรหรือเปล่าคุณ”
สรนุชค่อยๆ หันมา “เอ่อ...เปล่า...” ในที่สุดก็ตัดสินใจถาม “นี่...ฉันมีเรื่องจะถามนายหน่อย”
“เรื่องอะไร...”
“ก็...ก็เรื่อง...ที่...ที่” สรนุชดันพูดไม่ออกเพราะมัวแต่เขิน
ระหว่างที่สรนุชพยายามจะพูด อยู่ๆ ช่อผกาก็โผล่แวบเข้ามาคล้องแขนใจเด็ดทันที
“พี่เด็ดมาอยู่นี่เอง...ผกาตามหาพี่เด็ดทั้งงานเลย”
“ตามหาพี่...? ทำไมเหรอผกา”
“เอ่อ...ก็ผกา...ผกาอยากเห็นควายพี่เด็ดน่ะซิ...พี่เด็ดพาผกาไปดูหน่อยนะคะ...นะคะ”
ใจเด็ดพยักหน้า ก่อนจะนึกได้หันมาถามสรนุช “คุณจะถามอะไรผมนะ”
“เอ่อ...เปล่าหรอก...ฉันแค่จะถามว่าเห็นเพื่อนฉันมั้ย...พอดีคนมันเยอะแล้วฉันหาเพื่อนไม่เจอ”
“อะไร...ถ้าเป็นเด็กก็ว่าไปอย่าง...นี่...ทีหลังน่ะเวลามาเที่ยวงานที่มันคนเยอะๆอย่างนี้ก็หัดเขียนชื่อที่อยู่ใส่กระเป๋าไว้นะ...จะได้ไม่หลง...” ช่อผกาเยาะแล้วก็ดึงใจเด็ดออกไปเลย “ไปกันเถอะค่ะ”
สรนุชมองด้วยความเจ็บใจที่ช่อผกามาขัดจังหวะเสียก่อน

ครูสีดากำลังประกาศกลางลานประกวดควาย
“หลังจากที่ทุกคนได้เห็นความแสนรู้ของควายไปแล้ว...ต่อไป...ก็จะเป็นประเภทควายสมบูรณ์...รักใครเชียร์ใครก็ขอให้สมใจกันนะ”
ชาวบ้านต่างจูงควายเดินออกมาให้กรรมการที่นั่งอยู่ในเต็นท์ดู ก่อนจะเห็นกรรมการชูป้ายคะแนนราวกับให้คะแนนนักกีฬายิมนาสติค
ต่อมามีชาวบ้านเดินจูงควายมาหลายตัว ตัดไปฝั่งสุบินก็ถ่ายวิดีโอด้วยความทึ่ง
ไม่นาน...เจนจิราก็จูงควายของสถานีออกมา ท่ามกลางเสียงตบมือของชาวบ้านที่ดังกว่าปกติ

ไม่นานต่อมาชาญณรงค์กำลังออกอาการเดือดดาลเป็นที่สุด “ฮึ่ยย์...เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมครับนาย...หรือว่านายไม่ได้ยินที่เขาประกาศว่าควายที่ชนะปีนี้คือควายของ...”
สมคิดยังไม่ทันพูดจบก็โดนชาญณรงค์ตบปากผัวะเข้าให้
“รู้แล้วเว้ยว่าควายไอ้เด็ดมันชนะ...อะไรวะ...ควายมันจะชนะทุกปีได้ยังไง”
ระหว่างนั้นเสียงกระแอมดังขัดจังหวะขึ้น “อะแฮ่ม...”
ชาญณรงค์หันไปก็เห็นมหาเหม็นเข้ามาแบมือก่อนจะดีดนิ้วไปมาเรียกเงิน
“ถ้าคุยกันเสร็จแล้ว...ฉันก็ขอเงินฉันด้วยนะผู้พัน”
“อะไรวะ...แกแทงควายตัวไหน”
“เอ้า...ก็ควายหัวหน้าใจเด็ดไง...มามะ...สองเท่าก็เป็น...สี่พันใช่มั้ย”
“ไม่จ่ายเว้ย...ไอ้ใจเด็ดมันโกง...ไม่อย่างนั้นควายมันจะชนะทุกปีอย่างนี้ได้ยังไง”
“เอ้า...ดาบกันอย่างนี้มันไม่ดีนะผู้พัน...แล้วฉันจะบอกให้ว่าที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะผู้พันไม่เชื่อฉันเอง”
ช่อผกาสงสัย “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องนางฟ้าคนนั้นไง...ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าผู้พันอยากชนะใจเด็ด...ผู้พันต้องได้นางฟ้าคนนั้นมาเป็นเมีย...เพื่อที่จะเสริมดวงชะตาข่มกับดวงของใจเด็ดไง”
ชาญณรงค์หรี่ตาร้ายลงทันที

ตกกลางคืนบรรยากาศงานวัดย่งคึกคักครึกครื้น...ชาวบ้านชาวช่องเริ่มมาจนหนาตา เวทีประกวดจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย
ใจเด็ดกับเกริกไกรยืนอยู่ด้านหน้าเวที
“แกกำลังคิดเรื่องผู้พันเหมือนฉันหรือเปล่า” ใจเด็ดถาม
“เปล่า...” เกริกไกรบอกแล้วยกป้ายไฟชื่ออรอนงค์ให้ใจเด็ดดู “แกว่าป้ายนี้มันสวยหรือยังวะ”
ใจเด็ดทำหน้าเซ็ง
“แกเลิกห่วงคุณอรสักพักได้มั้ย...ฉันว่าคืนนี้...เราน่าจะจัดให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาหน่อย”
“แกกลัวอะไรวะ”
“ก็เรื่องที่ผู้พันเขาเสียพนันไปเยอะไง...แกก็รู้ว่าคนอย่างผู้พันเป็นยังไง”
เกริกไกรนิ่งไป ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจ “ฉันรู้แล้ว...”
ใจเด็ดสนใจขึ้นมาทันที
“ว่า...จะทำยังไงให้คุณอรได้เป็นเทพีบ้านหนองระบือ...ไอ้เด็ด...เดี๋ยวมานะเว้ย”
เกริกไกรรีบวิ่งออกไปทันที
“หมอ...หมอ”
ใจเด็ดส่ายหน้าเซ็งๆ ความสงสัยในตัวสรนุชยิ่งมากขึ้น

อรอนงค์นั่งแต่งหน้าทำผมอยู่ที่หน้ากระจก บริเวณหลังเวที สรนุชเดินไปมาอย่างคนที่ไม่หายข้องใจ
“แกไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้นะ”
“หือ...อะไรของแก”
“ก็ฉันเห็นแกเดินไปเดินมา...แถมหน้าตาอย่างนั้น...หรือว่าแกไม่ได้ปวด”
สรนุชได้จังหวะที่จะออกไปหาใจเด็ดทันที “เอ่อ...งั้นฉันออกไปก่อน...ไม่ต้องห่วงนะ...เดี๋ยวฉันจัดการธุระเสร็จจะรีบมา”
สรนุชรีบวิ่งออกไป อรอนงค์มองตาม

สมคิดกับชาญณรงค์อยู่ที่กระท่อมหลังวัด เวลานั้นสมคิดจุดเทียนเสร็จพอดี
“เรียบร้อยครับนาย”
ชาญณรงค์กวาดตามองเห็น มีเพียงเทียนเล่มเดียวที่ให้แสงสว่างกลางกระท่อม
“เนี่ยนะโรแมนติกของแก”
“เอ้า...ก็ผมเห็นพวกในละครเขาชอบทำนี่ครับ” สมคิดยิ้มกรุ้มกริ่ม “แล้วอีกอย่าง...ไอ้เรื่องอย่างนี้ใครเขาทำกันสว่างๆ ครับนาย”
ชาญณรงค์คิดตาม ชักเห็นด้วย “ก็จริงของแก”
ระหว่างนั้นสมคิดนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “โอ้...เกือบลืมเลยนาย”
ว่าแล้วสมคิดก็หยิบโหลยาดองออกจากย่าม
“อะไรของแกวะ”
“ช้างกระทืบโรงครับ...มันจะได้คึกคักซู่ซ่าซาบซ่าน”
ชาญณรงค์ชอบใจนัก “แล้ว...กินยังไงวะ”
“ไม่ยากครับนาย...ก็กินจนกว่า” สมคิดใช้สายตามองไปยังเบื้องล่างของชาญณรงค์ สื่อความนัย “งวงมันแปร๋นนั่นแหละครับ”
ชาญณรงค์รับโหลยาดองมายิ้มกรุ้มกริ่ม “ไป...ไปได้แล้ว...อย่าให้ใครจับได้ละ”
“รับรองครับ...ระดับไอ้คิดแล้ว...ไม่ทำให้เสียชื่อแน่นอน”
ว่าแล้วสมคิดก็หยิบย่ามก่อนจะวิ่งหายออกไป ชาญณรงค์มองโหลยาดองยิ้มกรุ่มกริ่ม

ขณะเดียวกันสรนุชเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงทักดังขึ้น “ไม่กลัวหรือไง”
สรนุชชะงักแล้วหันมาเห็นใจเด็ดเดินเข้ามา
“ออกมาเดินที่เปลี่ยวๆ อย่างนี้...ระวังเถอะ”
“ไม่ต้องมาหลอกฉัน...เจอนายก็ดีแล้ว”
ใจเด็ดแปลกใจ
“เอ่อ...นาย...นายเป็นคนดูแลฉันตอนที่ฉันไม่สบายหรือไง”
สรนุชโพล่งออกมา ใจเด็ดชะงักไป
“เมื่อเช้าคุณจะถามผมเรื่องนี้ใช่มั้ย”
“กรุณาตอบให้ตรงคำถามด้วย”
“ใช่...แล้วไง”
“ใครให้นายมาดูแลฉัน”
ใจเด็ดซึ่งตอนแรกคิดว่าจะได้คำขอบคุณจึงเหวอไป “อ๋อ...ผมนึกว่าอะไรที่แท้อยากจะด่าผมนี่เอง”
“ฉันจะไม่ด่านายแน่ถ้านายไม่ได้เช็ดตัวให้ฉัน”
“หือ..?”
สรนุชชักแปลกใจ “สมหญิงบอกว่านายเช็ดตัวให้ฉัน...หรือว่านายไม่ได้เช็ด”
ใจเด็ดอยากแกล้ง “ก็แค่เช็ดตัว...ทำไมต้องโกรธด้วย”
“ฮึ่ยย์...แล้ว...แล้วนายเห็นอะไรบ้าง” สรนุชฉุน
“ก็...เช็ดตรงไหนก็เห็นตรงนั้นนั่นแหละ”
สรนุชอึ้ง รู้สึกอายขึ้นมา “แล้วมันตรงไหนเล่า”
“ขนาดผมยังไม่บอกคุณยังโมโหขนาดนี้...ถ้าพูดไป...ไม่แย่ไปกว่านี้เหรอ”
ใจเด็ดพูดแล้วก็เดินออกไปเลย สรนุชถึงกับเหวอ
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง” สรนุชรีบเอามือปิดตามเนื้อตามตัว “หรือว่า...?” สรนุชตะโกนเรียก “นี่...บอกมานะว่านายเห็นอะไรบ้าง”
สรนุชรีบเดินตามใจเด็ดออกไปทันที

ที่หน้าห้องน้ำในวัด ภิรมย์ยืนรอบิดไปบิดมาอยู่ ภิรมย์ทนไม่ไหวก็เคาะประตูเรียกคนที่อยู่ข้างใน
“เสร็จยัง...ให้คนอื่นเข้าบ้างซิ”
ไม่นาน...ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ภิรมย์ถึงกับผงะเมื่อเห็นสมคิดแต่งเป็นผู้หญิง แต่ออกไปทางน่ากลัวเพราะไม่เคยแต่งหน้ามาก่อน
“ผี”
“ผีบ้าอะไร...เดี๋ยวต่อยฟันหลุด” สมคิดโมโห
ภิรมย์ได้ยินเสียงสมคิดก็คุ้นหูทำหน้าแปลกใจ “หือ..!”
สมคิดรู้ตัวรีบดัดเสียงแอ๊บหญิง “ผีบ้าอะไรจะสวยขนาดนี้...ไปก่อนนะจ้ะสุดหล่อ”
สมคิดขยิบตาให้ภิรมย์ก่อนจะเดินจากไป ภิรมย์อึ้งค้างไป

ที่หลังเวทีอรอนงค์เดินมาหยิบชุดที่มุมหนึ่งด้านหลังเวที ซึ่งเป็นมุมที่ไม่ค่อยมีคน อรอนงค์ไม่รู้ว่ามีสายตาของใครบางคนที่กำลังย่องเข้ามาทางด้านหลังของอรอนงค์ เสียงดนตรีออกแนวระทึกขวัญ
สายตาคู่นั้นเดินมาหยุดที่ด้านหลังของอรอนงค์ อรอนงค์รู้สึกถึงความคุกคามจึงหันไปมอง แล้วอรอนงค์ก็อุทานออกมา
“หมอ”
เกริกไกรยิ้มกริ่มพร้อมกับป้ายไฟในมือที่มีชื่ออรอนงค์พร้อมกับรูปหัวใจ
“เป็นไงครับ...นี่ผมนั่งทำให้คุณอรทั้งคืนเลยนะครับเนี่ย”
“ขอบคุณมากคะหมอ” อรอนงค์มองไปที่ป้ายไฟที่รอยเจิม “แล้วนี่อะไรคะ”
“อ๋อ...ผมให้หลวงพ่อเจิมมาเมื่อกี้น่ะครับ...รับรองครับว่าคุณอรต้องได้เป็นเทพีแห่งบ้านหนองระบือปีนี้แน่นอน”
ระหว่างนั้นสมคิดในร่างของช่างแต่งหน้าเดินเข้ามาที่ศาลา แต่พอเห็นเกริกไกรอยู่กับอรอนงค์ก็ตกใจ
“เฮ้ย”
เสียงตกใจของสมคิดทำให้อรอนงค์กับเกริกไกรหันมาเห็น สมคิดจะเดินหนีก็หนีไม่ได้เลยต้องเลยตามเลย
“สวัสดีค่ะ...ดิฉันเป็นช่างแต่งหน้ามาแต่งหน้าให้คุณอรน่ะค่ะ”
เกริกไกรกับอรอนงค์ทำหน้าสงสัย “ช่างแต่งหน้า..? มีด้วยเหรอ”
“เอ่อ...ค่ะ...ก็เห็นคนจัดงานบอกว่าอยากยกระดับเวทีการประกวดนี้ขึ้นสู่เวทีโลก...ก็เลยต้องทำทุกอย่างให้เป็นมืออาชีพน่ะค่ะ”
เกริกไกรมองสมคิดด้วยความสงสัย สมคิดรีบก้มหน้าก้มหน้าทำเป็นเขิน
“ผมว่าหน้าคุณคุ้นมากนะ”
“อ๋อ...เหรอคะ...คือ...ใครๆก็ชอบบอกว่าเดี๊ยนเหมือนอั้ม...พัชราภาน่ะค่ะ...หุหุหุ...เอ่อ...เดี๊ยนว่าเรารีบแต่งหน้ากันเถอะค่ะ...เดี๋ยวจะขึ้นเวทีไม่ทันนะคะ”
สมคิดทำเป็นเดินหันหลังตรงมาที่อรอนงค์ เกริกไกรยืนนิ่ง สมคิดครุ่นคิดก่อนจะหันไปบอกกับเกริกไกร
“เอ่อ...เดี๊ยนว่าคุณหมอไปรอข้างนอกดีมั้ยคะ”
“ทำไมล่ะครับ...แค่แต่งหน้าไม่ใช่เหรอ”
“แค่เหรอคะ...แหม...ท่าทางคุณหมอคงไม่รู้ว่าการแต่งหน้าเป็นศิลปะอย่างนึงที่ต้องใช้สมาธิอย่างแรงกล้า...ถ้าเกิดเสียสมาธิเพียงนิดเดียว...อาจจะไม่สวยได้นะคะ”
เกริกไกรทำหน้าครุ่นคิด อรอนงค์พูดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกค่ะหมอ”
“งั้นก็ได้ครับ...แต่ก่อนที่จะไปผมขอบอกคุณช่างแต่งหน้าไว้ก่อน” เกริกไกรว่า สมคิดชะงักเพราะคิดว่าเกริกไกรสงสัย แต่แล้วเกริกไกรกลับเอ่ยต่ออีกเรื่อง “ว่าที่คุณอรชนะ...ไม่ใช่เพราะการแต่งหน้าของคุณ...แต่เป็นเพราะป้ายไฟของผม”
สมคิดโล่งอก “อ๋อ...ค่ะ...เป็นเพราะป้ายไฟหมอค่ะ”
เกริกไกรยิ้มให้อรอนงค์อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป สมคิดโล่งอกที่ทำให้เกริกไกรออกไปได้ ก่อนจะหันมองอรอนงค์หรี่ตาร้ายมีแผน
เกริกไกรออกมาจากด้านหลังเวที แล้วมองขึ้นไปด้วยความสงสัย
“ช่างแต่งหน้า...? แต่งหน้าตัวเองยังเละขนาดนั้น...แล้วคุณอรจะสวยมั้ยเนี่ย”
แม้ว่าเกริกไกรจะสงสัยแต่ก็เหมือนไม่ติดใจอะไร

อรอนงค์นั่งมองกระจกแล้วชวนสมคิดคุย “แล้วคนอื่น...พี่แต่งให้แล้วเหรอคะ”
สมคิดที่ยืนอยู่ด้านหลัง กำลังเทยาบางอย่างลงในผ้าเช็ดหน้า
“ค่ะ...ก็เหลือแต่คุณอรเนี่ยแหละค่ะ เดี๋ยวเดี๊ยนขอลบหน้าก่อนนะคะ”
ยังไม่ทันที่อรอนงค์จะตอบ ทันใดนั้นสมคิดก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เทยาสลบโปะเข้าไปที่หน้าของอรอนงค์ทันที อรอนงค์ดิ้นทุรนทุราย
“อื้อ...อื้อ”
แต่แค่เพียงชั่วครูอรอนงค์ก็สิ้นฤทธิ์สลบไปทันที สมคิดยิ้มร้ายอย่างพอใจออกมา

สมคิดแบกอรอนงค์ที่อยู่ในห่อผ้าดิบมาตามทางอย่างทุลักทุเล
“หือ...คนสวยทำไมถึงตัวหนักอย่างนี้วะ”
ระหว่างนั้นโทนเดินพ้นมุมกุฏิออกมาพอดี สมคิดไม่ทันเห็นเลยเดินชนเข้ากับโทนเต็มๆ จนโทนล้ม
“โอ๊ย ! โห...น้าเดินไม่ดูทางเลยหรือไง”
แล้วโทนก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าสมคิดแบกอะไรบางอย่างที่อยู่ในห่อผ้าดิบก็รู้สึกถึงความผิดปกติทันที
“อะไรน่ะน้า”
สมคิดเดินเข้ามาตบหัว “ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
โทนจะเดินเข้าไปดูว่าที่สมคิดแบกอยู่มันเป็นอะไร สมคิดเหลืออดเลยเข้าไปกระชากคอโทน
“อยากตายหรือไงไอ้เด็กเปรต”
โทนส่ายหน้าตกใจ จนตาเหลือก
“งั้นก็อย่ายุ่ง...แล้วก็ห้ามบอกใครเรื่องนี้...ไม่อย่างนั้นเอ็งไม่ได้อยู่ถึงโตแน่”
โทนพยักหน้ารับด้วยความกลัวก่อนจะเห็นสมคิดแบกห่อผ้าดิบที่มีอรอนงค์อยู่ข้างในออกไป พอโทนเห็นสมคิดออกไปก็รีบวิ่งออกไปทางตรงกันข้ามทันที

เกริกไกรเดินเข้ามาบริเวณด้านหลังเวที เห็นคนอื่นกำลังง่วนกับการแต่งตัว เกริกไกรหันมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นอรอนงค์ เกริกไกรเดินไปถามผู้เข้าประกวดอีกคนที่กำลังแต่งตัวอยู่
“โทษนะครับ...เห็นผู้หญิงที่นั่งแต่งหน้าตรงนี้มั้ยครับ”
ผู้เข้าประกวดคนนั้นส่ายหน้าก่อนจะเดินออกไป เกริกไกรเดินเข้ามาที่เก้าอี้ที่อรอนงค์นั่งแต่งหน้าก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
“ไปไหน”
แล้วเกริกไกรก็เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งตกอยู่ที่พื้น เกริกไกรหยิบขึ้นมาดูแล้วเกริกไกรก็ชะงักกึกเพราะกลิ่นยาโชยเตะจมูก
เกริกไกรที่เป็นสัตวแพทย์จึงรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นยาอะไร ก่อนจะใจหายแวบรู้สึกถึงความผิดปกติขึ้นมาทันที
“คุณอร”

ชาญณรงค์เทยาดองช้างกระทืบโรงลงใส่จอกก่อนจะยกดื่มจนหมด แล้วก้มมองลงไปที่เป้าของตน ก่อนจะทำหน้าแปลกใจ
“ทำไมมันยังไม่แปร๋นซะทีวะ” แล้วก็คิดไปเอง “หรือว่า...พลังช้างมันยังน้อยไป”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็เทยาดองใส่อีกหลายจอกแล้วยกดื่ม...ยกดื่มเพื่อเร่งพลังช้าง

จากพิธีกรประกวดควายเมื่อบ่าย ตกกลางคืนครูสีดามายืนเป็นพิธีกรประกวดเทพีอยู่บนเวทีประกวด
“เวลาที่พวกเรารอคอยก็มาถึงแล้ว...มาดูกันว่าปีนี้ใครจะได้เป็นเทพีบ้านหนองระบือ...สำหรับ...ผู้เข้าประกวดคนแรก...เธอบอกว่าเธออยากทำให้บ้านหนองระบือของเรา...ระบือไปทั้งประเทศเหมือนเช่นชื่อของตำบลเรา...เชิญพบกับเธอได้เลยครับ”
ที่ด้านข้างเวทีเวลานั้นโชคชัยยืนอยู่ด้านหลังคอยดูแลความเรียบร้อยก่อนที่ผู้เข้าประกวดจะเดินขึ้นมาเวที
“คุณปุยฝ้าย...เชิญครับ”
ปุยฝ้ายในชุดเข้าประกวดเดินขึ้นมาบนเวที ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้กับเสียงตบมือที่ดังขึ้น

สุบิน เจนจิรา ภิรมย์ สมหญิงอยู่ด้านหน้าเวที
“อยากเห็นคุณอรเร็วๆจัง...คุณอรต้องสวยมากแน่ๆ” สมหญิงเอ่ยขึ้น
เจนจิราหน้านิ่งไม่แสดงออกถึงความช้ำใจที่ชวดการประกวด
“แต่ผมอยากเห็นคุณเจนมากกว่า...ตอนที่คุณเจนประกวด...สวยมั้ยสมหญิง”
“โอ๊ย...สวยอีหลีคะคุณ...สวยม๊ากกกกกก...นี่ถ้ายัยช่อผกาไม่โกงละก็...ปีที่แล้วคุณเจนต้องได้เป็นเทพีบ้านหนองระบือไปแล้ว” สมหญิงบอก
เจนจิราฉุนขาด เหมือนยิ่งโดนตอกย้ำ “สมหญิง..! พอได้แล้ว”
อีกมุมหนึ่งเห็นร่างใจเด็ดเดินเข้ามา โดยมีสรนุชเดินตาม
“ถ้านายไม่บอกนายตายแน่”
ระหว่างนั้นสรนุชก็ต้องเบรกเอี๊ยดเพราะใจเด็ดเล่นเดินตรงเข้าไปที่กลุ่ม
“อ้าว...หัวหน้า...ไปไหนมาคะ” สมหญิงหันไปเห็นสรนุช “อุ้ย...คุณนุชด้วย”
เจนจิราเหล่มองใจเด็ดกับสรนุชด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ไง...อยากจะให้ผมบอกตรงนี้มั้ยว่าผมเห็นอะไรบ้าง”
สรนุชเจ็บใจ ถึงกับพูดไม่ออก “นาย...นาย”
“นุช...แกไปไหนมา...ดูลกๆ นะ” สุบินสงสัย
สรนุชรู้สึกตัวรีบเปลี่ยนสีหน้า “เอ่อ...ก็เดินเล่นแถวนี้แหละ”
ระหว่างนั้นเกริกไกรวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “ไอ้เด็ด...ไอ้เด็ด”
“มีอะไรหมอ”
“คุณอรหายไป”
ทุกคนได้ยินเริ่มตื่นตระหนกว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เกริกไกรจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ใจเด็ด
“ฉันเจอนี่อยู่ในห้องแต่งตัวของคุณอร...แกลองดมดูซิว่าเป็นกลิ่นอะไร”
เกริกไกรยื่นผ้าเช็ดหน้า ใจเด็ดรับมาแล้วปัดๆที่จมูก
“คลอโรฟอร์ม”
“แล้วมันคืออะไร” สรนุชงง
“ยาสลบ” ใจเด็ดบอก
“คุณใจเด็ดอย่าบอกนะว่า...” สุบินเหวอไปอีก
“คุณอรอาจจะโดนลักพาตัว”
คำพูดใจเด็ด ทำเอาทุกคนตรงนั้นมีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที

สรนุชเดินหุนหันออกจากบริเวณหน้าเวทีการประกวดเพื่อไปตามหาอรอนงค์ด้วยความร้อนใจ ใจเด็ดรีบตามมาคว้าแขนไว้
“เดี๋ยว! คุณจะไปไหน?”
“ฉันจะไปตามหาเพื่อนฉันน่ะสิ! ป่านนี้จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้”
ระหว่างนั้นเกริกไกร เจนจิรา สุบิน ภิรมย์ สมหญิงรีบตามออกมา
“ใจเย็นก่อนสิคุณ ผมแค่สันนิษฐาน คุณอรอาจจะออกมาเดินแถวๆ นี้ก็ได้”
“คนจะขึ้นเวทีประกวดอยู่แล้วจะออกมาทำอะไร” สรนุชส่ายหน้า “ฉันสังหรณ์ใจว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับยัยอรแน่ๆ ปล่อย!”
สรนุชสะบัดมือใจเด็ดหลุด รีบเดินไป เกริกไกรก็ร้อนใจรีบเข้ามาพูดกับใจเด็ด
“ฉันก็คิดอย่างคุณนุชว่ะ เรารีบออกตามหากันดีกว่า”
“งั้นพวกเราแยกย้ายกัน หมอกับภิรมย์ไปดูแถวหลังวัด เจนกับคุณสุบินไปดูแถวโบสถ์ ส่วนสมหญิงไปถ่วงเวลาที่เวทีไว้ก่อน แต่อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับใคร เดี๋ยวจะตกอกตกใจกันไปทั้งวัด ฉันจะตามคุณนุชไปเอง”
ทุกคนพยักหน้าแล้วรีบแยกกันไปคนละทาง เจนจิรามองใจเด็ดพลางคิดในใจ...เอาอีกแล้ว เอะอะก็ตามสรนุช แต่เธอก็ตามสุบินไปอย่างไม่ปริปาก

เวลาเดียวกันร่างของอรอนงค์ถูกวางบนแคร่ในกระท่อม ชาญณรงค์ที่หน้าแดงกล่ำด้วยฤทธิ์ยาดอง มองตาเยิ้ม
ชาญณรงค์มองตาฉ่ำเยิ้ม “งามแต๊ๆ แม่คุณเอ๋ย”
สมคิดยืนม้วนผมบิดไปมา ชื่นชมกับผลงานของตัวเอง ไม่ยอมออกไปซักที
“ไอ้คิด! ยืนทำพระแสงอะไร ออกไปเฝ้าต้นทาง ไป๊!”
“ครับพ้ม!”
สมคิดรีบเผ่นออกไป ปิดประตูทันที ในขณะที่ชาญณรงค์ยืนมองอรอนงค์ที่สลบไม่ได้สติด้วยอารมณ์หื่น

ที่หลังเวทีเวลานั้น ช่อผกายืนยิ้มกระหยิ่มเตรียมตัวขึ้นโชว์โฉมอยู่หลังเวที ช่อผกาวางมาดเดินเชิดจะไปขึ้นเวที แต่แล้วก็ได้ยินเสียงครูสีดาประกาศบนเวที
“ก่อนที่พ่อแม่พี่น้องจะได้ยลโฉมผู้เข้าประกวดคนต่อไป...ผมขอคั่นรายการ...ด้วยการแสดงดนตรีก่อนนะจ๊ะ”
ช่อผกาที่กำลังก้าวขึ้นบันได ถึงกับก้าวพลาดจนเกือบร่วง
“อ้าว แล้วกัน”
ช่อผกาหันไปเหวี่ยงใส่โชคชัยที่ยืนอยู่ข้างเวที เข้าไปเท้าสะเอวเม้งทันที
“มันยังไงกันคะนายก จะมาคั่นรายกงรายการทำไม ฉันพร้อมที่จะขึ้นไปเดินโชว์โฉมนานแล้วนะ”
“คือ...คุณอรน่ะสิครับ สมหญิงมาบอกว่าขอเวลารอคุณอรอีกแป๊บนึง”
โชคชัยพูดพลางมองไปที่มุมไกล เห็นสมหญิงยืนชะเง้อรออรอนงค์อยู่อย่างกระวนกระวาย
“อะไร...ใครไม่มาก็ปรับแพ้ไปเลย...อย่างนี้ก็เสียเวลาคนอื่นซิ” ช่อผกาโวย
“รอหน่อยนะครับคุณผกา เดี๋ยวคุณอรก็มา รับรองคุณได้ขึ้นเวทีแน่” โชคชัยว่า

ช่อผกาได้แต่ยืนขัดใจ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างแรง








Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 13:54:59 น.
Counter : 278 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 8 (ต่อ)




เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ อรอนงค์ สุบิน และเกริกไกรเดินเข้ามาพร้อมๆ กันที่บริเวณหน้าเรือนรับรอง

“คุณเจนแกดูอารมณ์ไม่ค่อยดี...เป็นเพราะพวกเราไปรบกวนเวลาเธอหรือเปล่าคะ” อรอนงค์ปรารภ
สุบินหลุดปากเหมือนรู้ดี “ไม่เกี่ยวหรอก”
อรอนงค์กับเกริกไกรหันมองหน้าสุบินพร้อมกัน สุบินนึกได้รีบแก้ตัว
“คือ...ถ้าใช่พวกเราคงโดนอะไรไปแล้วละ...แต่นี่คุณเจนก็ไม่เห็นพูดอะไร...ฉันว่า...เขาอาจจะกำลังเครียดเรื่องการประกวดควายมากกว่าแหละ
“ก็อาจจะเป็นได้ครับ” เกริกไกรเห็นด้วย
ระหว่างนั้นมีเสียงของสรนุชดังมาจากในห้องบนเรือนรับรอง
“เอ่อ...มันไม่ใหญ่ไปเหรอคะ คุณโชคชัย”
เกริกไกร สุบิน และอรอนงค์ได้ยินอย่างนั้น ก็หันมามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ก่อนที่ทั้งสามจะค่อยๆ เดินย่องขึ้นไปบนเรือนรับรอง
เสียงของโชคชัยดังตอบต่อเนื่อง
“อ้ากว้างๆ ซิครับ...อ้าอีกครับ”
ทั้งสามหูผึ่ง หยุดชะงัก อรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็หน้าแดงเพราะคิดไปไกล
“เอ่อ...เสียงคุณนุชกับนายกโชคชัยนี่ครับ” เกริกไกรเอ่ยขึ้น
“สองคนนั่นทำอะไรกันอยู่เหรอคะ” อรอนงค์สงสัย
แล้วเสียงของสรนุชก็ดังลอดออกมาอีก
“ ทำไมมันแหยะๆ อย่างนี้ล่ะคะ”
อรอนงค์ทนฟังไม่ไหว ตัดสินใจเดินปรี่ตรงเข้าไปที่ห้อง เกริกไกรกับสุบินรีบตามไป อรอนงค์พรวดพราดเข้ามาในห้องพร้อมกับส่งเสียงโวยวาย
“ทำอะไรน่ะยัยนุช”
แต่แล้วอรอนงค์ก็ต้องเป็นฝ่ายอึ้งไปเพราะภาพที่เห็นคือ โชคชัยกำลังป้อนโจ๊กให้สรนุชที่นอนอยู่บนเตียง
“อร”
“อ้าว...คุณนุชเป็นอะไรเหรอครับ”
“เป็นไข้น่ะครับ...สงสัยจะเพราะโดนฝนเมื่อคืน”
“เป็นไข้เหรอ...แล้วเมื่อเช้าแกไปไหนมา” สุบินซัก
“สภาพนี้จะไปไหนได้...ถ้าคุณโชคชัยไม่มาเจอฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง”
เกริกไกรหัวเราะร่าก่อนจะหันไปบอกกับอรอนงค์
“ไงครับ...เห็นมั้ยว่ามันไม่ใช่อย่างที่คุณอรคิด”
สรนุชงง “อร...แกคิดอะไร”
“เปล๊า...ไม่ได้คิดอะไรเลย” อรอนงค์รีบเข้ามารับชามโจ๊กไป “มาค่ะ...เดี๋ยวฉันป้อนนุชให้เอง”
โชคชัยลุกขึ้น แต่ยังเป็นห่วงสรนุชไม่หาย “ไม่ไปอนามัยจริงๆ เหรอครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ...ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว...นอนพักอีกสักคืนก็คงหาย...ไม่ต้องห่วงหรอกคะ...ยังไงฉันก็ไม่ยอมพลาดงานทำขวัญควายพรุ่งนี้แน่ๆ ค่ะ” สรนุชยืนยัน
“ก็ได้ครับ...ถ้าอย่างนั้น...ผมกลับก่อนนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณโชคชัย”
โชคชัยยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป
เกริกไกรมองอรอนงค์ขำๆ อรอนงค์ทำกลบเกลื่อนแก้เขินด้วยการป้อนโจ๊กให้สรนุชต่อ

ค่ำคืนนั้นชาญณรงค์เดินลงมาจากบ้านมองไปรอบๆ ก่อนจะส่งเสียงเรียกดังลั่นบ้าน
“ไอ้คิด...ไอ้คิดเว้ย”
ไม่นานนักสมคิดในสภาพที่เตรียมพร้อมจะนอนก็วิ่งเข้ามาหาหน้าตาตื่น
“ครับนาย...มีอะไรเหรอครับ”
“เห็นลูกฉันมั้ย”
“อืม...ไม่เห็นครับ...เห็นว่าไปหาหมอ...สงสัยยังไม่กลับมั้งครับนาย”
“อะไรวะ...เป็นสาวเป็นนาง...หรือว่าไปหาไอ้ใจเด็ด” ชาญณรงค์ครุ่นคิด
“โอ๊ย...ไม่ต้องห่วงหรอกนาย...สภาพคุณหนูตอนนี้เดินนอกบ้านตอนกลางวันได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว...ฮ่าๆ”
ในระหว่างที่สมคิดกำลังหัวเราะชอบใจก็เห็นมือข้างหนึ่งเข้ามาที่ข้างหูก่อนจะดีดใบหูสมคิดเข้าเต็มแรง
“โอ๊ย!” สมคิดฉุนขาด หันขวับพร้อมจะมีเรื่อง “ใครวะ...” แล้วก็ตกใจ “เฮ้ย! คุณหนู”
“เมื่อกี้แกว่าใคร” ช่อผกาแว้ดใส่
“เอ่อ...”
“วิ่งรอบบ้านยี่สิบรอบ” ช่อผกาออกคำสั่ง
“แต่ผมอาบน้ำแล้วนะครับ”
“ก็ดี...จะได้ไม่ต้องอาบอีก...ไป”
สมคิดรีบวิ่งออกไปทันทีที่ช่อผกาตวาดใส่ ช่อผกายี้ปากมองตาม
“แล้วพรุ่งนี้แกจะหายทันประกวดมั้ย...ฮ้า ! นังผกา”
ช่อผกาค่อยๆ ปลดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นว่ารอยผื่นแดงที่ใบหน้าเริ่มจางลงแล้ว
“หมอเค้าบอกว่าหนูแพ้อาหารเท่านั้นเอง ฉีดยาเข็มเดียวพรุ่งนี้ก็หายแล้ว”
“เฮ้อ...โล่งอก นี่ถ้าขืนหน้าแกไม่หายแล้วยังได้ตำแหน่ง...คนอื่นเขาก็รู้หมดว่าฉันติดสินบนไอ้พวกกรรมการ”
“นี่พ่อ!!! ความสวยของฉันน่ะเริดที่สุดในหนองระบือแล้ว พ่อจะไปเสียเงินติดสินบนไอ้พวกนั้นทำไม ยังไงตำแหน่งเทพีก็ต้องเป็นของฉันอยู่แล้ว ชิ..ทำอะไรไม่เข้าเรื่อง”
ช่อผกาเดินเชิดหน้าขึ้นบ้านไป
“อ๋อเหรอ...ข้ามันยุ่งไม่เข้าเรื่องซินะ”
ชาญณรงค์มองตามช่อผกาไป แล้วก็ส่ายหน้า ระอาใจกับความมั่นเต็มเปี่ยมของลูกสาวตัวเอง

ค่ำคืนเดียวกันนั้นสรนุชตีแขนอรอนงค์ดังเผียะ !!!
“คิดได้ยังไงว่าฉันกับคุณโชคชัยจะทำเรื่องอย่างนั้น”
“เอ้า...ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”
“จะไปโกรธอรมันทำไม...เพราะอีกหน่อยมันอาจเป็นจริงอย่างที่อรคิดก็ได้” สุบินว่า
“ไอ้สุบิน...ถ้าฉันลุกแล้วไม่เวียนหัวละก็...ฉันจะลุกไปเตะปากนายเดี๋ยวนี้เลย” สรนุชแหวใส่
“อุ้ย...ใจเย็นครับเพื่อน...ก็มันจริงนี่...ละครที่ฉันทำก็เป็นอย่างนี้แหละ...ตอนแรกๆก็ไม่คิดอะไรหรอก...แต่พอได้อยู่ใกล้...ได้ใกล้ชิด...สุดท้ายก็ลงเอยกันนั่นแหละ”
สรนุชนิ่งไปนาน จนสุบินกับอรอนงค์สงสัย
“เป็นไรนุช...หรือว่าไข้กลับ” อรอนงค์ถามออกมา
“ก็ตอนที่ฉันไม่สบาย...ฉันรู้สึกว่าคนที่ดูแลฉันไม่ใช่คุณโชคชัยน่ะซิ”
สุบินกับอรอนงค์หันมองหน้ากัน
“แกอย่าบอกนะว่า...ผีบ้านผีเรือนเป็นคนดูแลแก” สุบินแหกออกไปโน่น
“ว้าย...สุบิน...จะพูดทำไมเนี่ย” อรอนงค์ผวา
“เอ้า...ไม่เชื่อก็ลองถามคนที่อยู่หลังเธอดูซิ”
“อ๊าย... ! ไปเลย...ไป๊”
อรอนงค์ปาหมอนใส่สุบิน แต่ก็ไม่ทันเพราะสุบินวิ่งจู๊ดออกไปแล้ว อรอนงค์หันมาถามสรนุช
“นุช...แกอย่าบอกนะว่าไอ้ที่สุบินพูดมันเป็นเรื่องจริง”
“บ้าเหรอไง...”
“อ้าว...แล้วถ้าไม่ใช่คุณโชคชัยแล้วจะเป็นใคร”
สรนุชนิ่งไป ปากอยากจะบอกว่าเป็นใจเด็ดแต่ก็ไม่แน่ใจ

ส่วนใจเด็ดนั่งอยู่ริมบึงภายในสถานี มองเสื้อที่จะให้สรนุชด้วยความรู้สึกที่ปวดใจบอกไม่ถูก ใจเด็ดไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้มีความรู้สึกอย่างนี้

เช้าวันงานทำขวัญควายมาถึง เสียงเพลงจากแตรวงดังเข้ามา ที่ถนนหน้าวัด...ขบวนแห่นำโดยแตรวงเดินขบวนบ่ายหน้าเข้ามายังหน้าวัด ชาวบ้านเดินตามหลายร้อยชีวิต คล้ายๆ กับการแห่ผีตาโขนยังไงยังงั้น ชาวบ้านหลายคนใส่หัวเป็นหน้าผีตลก ขณะที่บางคนกำลังจูงลูกควายมาร่วมพิธี
ในขบวนอีกมุมหนึ่ง ใจเด็ดกับเกริกไกรกำลังช่วยกันรับลูกควายจากชาวบ้านที่นำมาลงทะเบียนเกริกไกรมองไปรอบๆ อย่างร้อนใจ ใจเด็ดเห็นก็สงสัย
“เป็นไรของแก”
“เปล่า...ฉันก็เห็นว่าคนมันเยอะ...ฉันกลัวว่าคุณอรแกจะหลงน่ะ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็นึกถึงสรนุชขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกเคืองๆ เรื่องโชคชัย
“ไม่ต้องห่วง...ยัยนั่นเขามีคนดูแลอยู่ทั้งคนแล้ว”
“ใคร..? แกหมายถึงใคร”
เกริกไกรทำท่าโวยวายขึ้นเลยทำให้ใจเด็ดชะงักรู้สึกตัว
“ก็เพื่อนเขาไง...คุณนุชกับคุณสุบินก็อยู่...แกจะห่วงอะไร”
“แล้วไป...ฉันก็นึกว่าเป็นนายกโชคชัยซะอีก”
คำพูดของเกริกไกรทำให้ใจเด็ดอึ้งไปอีก

ช่อผกาในชุดเสื้อสายเดี่ยวสีแดงแปร๊ด เดินเชิดหน้าเข้ามาในวัดอย่างมั่นใจ ชาวบ้านที่เห็นต่างก็จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์
ช่อผกายิ่งมั่นใจที่เห็นคนมอง “เอ้า...ไม่เคยเห็นก็ดูไว้...ฉันนี่แหละนางงามบ้านหนองระบือปีนี้...นี่...เอางี้นะ...ตอนนี้ฉันยังว่าง...ถ้าอยากจะขอลายเซ็นก็ขอซะตอนนี้...เพราะถ้าฉันได้ตำแหน่งเมื่อไหร่...กว่าจะได้เซ็นให้พวกแกอีกทีก็คงจะปีหน้า...ว่าไง” ว่าพลางหยิบปากกาขึ้นมา “มาซิ”
ที่ชาวบ้านต่างตาโตด้วยความดีใจ ก่อนจะพากันวิ่งเข้ามาหาช่อผกาทั้งกลุ่ม ช่อผกายิ้มเชิดในความสวย แต่แล้วช่อผกาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชาวบ้านต่างวิ่งเลยเธอไป
ร่างช่อผกาถูกกระแทก...เด้งไปเด้งมา “อ๊าย”
ช่อผกาหันไปทางที่ชาวบ้านวิ่งไป แล้วก็ต้องหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อเห็นชาวบ้านไปรุมล้อมสรนุช อรอนงค์และสุบิน ช่อผกาเดินแสยะยิ้มอย่างดูถูกเข้ามา
“เจอพวกเธอก็ดีแล้ว...” ทั้งสามคนหันมามองช่อผกา “ในฐานะที่ฉันเป็นนางงามบ้านหนองระบือมาก่อน...ฉันก็อยากจะเตือนพวกเธอว่า...ถ้าพวกเธอถอนตัวจากการประกวดตอนนี้ก็ยังไม่สายนะ”
ทุกคนหันมองหน้ากันเพราะงงที่ช่อผกาเข้ามาหาเรื่องชัดๆ แต่มีหรือที่สรนุชจะยอม
สรนุชเดินทำจมูกฟุดฟิดดมไปรอบๆ ตัวช่อผกา จังหวะหนึ่งสรนุชทำเป็นเอามือปิดจมูก
“ฉันละอยากรู้จริงๆ ไอ้กลิ่นขี้ควายนี่...ออกมาจากตัวหรือออกมาจากปากกันแน่”
ช่อผการีบดมตามเนื้อตามตัวทันที “อ๊าย...แก...แกหมายความว่ายังไง”
“แหม...ก็ชื่อเสียงของเธอมันโฉ่ไปทั้งตำบล...จะขยับตัวทำอะไรก็เป็นข่าวไปซะหมด” สรนุชว่า
“ในเมื่อรู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว...พวกเธอก็ถอนตัวซะ...เพราะพี่เด็ดคงไม่ชอบใจเท่าไหร่ถ้ามีใครมาประกวดแข่งกับฉัน”
“เอ...แต่เท่าที่ผมได้ข่าวมานี่...คุณใจเด็ดสนับสนุนให้พวกผมลงประกวดคราวนี้นะครับ” สุบินสอดขึ้น
ช่อผกาถึงกับหน้าแตกเพล้ง แต่ก็พยายามทำสีหน้าและน้ำเสียงปกติ
“เหรอ...พี่เด็ดเขาคงต้องการให้คนที่มาแข่งกับฉันมันดูสมน้ำสมเนื้อเท่านั้นแหละ” ช่อผการีบเกทับ “เพราะถ้าพี่เด็ดเขาอยากให้พวกเธอชนะจริงๆ...เมื่อวานนี้พี่เด็ดคงไม่มาอยู่กับฉันทั้งวันหรอก”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกจุกที่คอขึ้นมาทันที
“คุณใจเด็ดน่ะนะอยู่กับเธอทั้งวัน” อรอนงค์ไม่อยากเชื่อ
“ใช่...พี่เด็ดเขามาช่วยดูชุดที่จะประกวดให้ฉัน...” ช่อผกาเน้นเสียงพูดส่อสุดชีวิต “มาช่วยจับตรงโน้น...ตรงนั้น...ตรงนี้”
ช่อผกาตั้งใจพูดกระแทกเสียงใส่เพื่อให้ทั้งสามอิจฉา สรนุชพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนจะพูดกับช่อผกาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เรียบๆ
“ผกา...รู้อะไรมั้ย”
“อะไร”
“พวกฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของเธอเลย...โทษนะ”
ว่าแล้วสรนุชก็เดินออกไปเลย สุบินหันมายิ้มเยาะก่อนจะเดินออกไปกับอรอนงค์ ช่อผกาถึงกับโกรธตัวสั่นที่ต้องหน้าแตกซ้ำสอง
“อ๊าย!!! อีพวกบ้า”

สรนุชเดินหน้าง้ำมาตามทาง สุบินกับอรอนงค์เดินตามมา สุบินถือกล้องแฮนดี้แคมอยู่ในมือ
“ฉันรู้แล้วว่ายัยช่อผกาจะเข้าประกวดท่าไหน”
อรอนงค์ งง “ท่าไหน”
“ก็ท่านี้ไง” ว่าแล้วสุบินก็เดินเงยหน้าให้อรอนงค์กับสรนุชดู
“ท่าอะไรของแก” อรอนงค์งงต่อ
“ก็ท่าที่โดนยัยนุชตอกหน้าหงายไง...” สุบินพูดพร้อมกับเอากล้องขึ้นมาสาดส่องดู “รับรองว่าถ้าฉันถ่ายท่านี้ได้...จะต้องเป็นท่าเดินประกวดที่ดังไปทั่วโลก”
“แล้วนี่แกเอากล้องมาถ่ายทำไม” สรนุชสงสัย
“เอ้า...ก็ไอ้งานอย่างนี้ฉันไม่ค่อยได้เห็นนี่ว่า...ก็ถ่ายๆ เก็บไว้เผื่อได้ใช้” สุบินพูดกับสรนุช “แกเป็นไรของแก...รู้สึกวันนี้ของขึ้นผิดปกติ”
สรนุชชะงักไป “เอ่อ...ก็...ก็ฉันโมโหที่ยัยนั่นมาว่าอรไง”
สุบินโพล่งแทงใจดำออกมา “งั้นก็โล่งอกไปที...ไอ้ฉันก็คิดว่าเพราะคุณใจเด็ดซะอีก”
สรนุชร้อนตัว “บ้า...พูดอะไรของแก”
สุบินตะโกนเรียก “อ้าว...คุณใจเด็ด”
“คิดว่าฉันจะเชื่อแกหรือไง...ป่านนี้นายนั่นคงกำลังไปช่วยยัยช่อผกาจับโน่น...จับนั่น...จับนี่อยู่น่ะซิ”
สรนุชพูดแล้วก็หันหลังจะเดินต่อ แต่แล้วสรนุชก็เดินชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเต็มๆ
“โอ๊ย” สรนุชต้องอึ้งไปเมื่อเห็นใจเด็ดยืนอยู่
“คุณว่าผมไปช่วยใครจับอะไรนะ” ใจเด็ดถาม
สรนุชเชิดหน้าใส่ “ก็ช่อผกาไง...เธอบอกว่าเมื่อวานนายไปช่วยดูชุดให้เธอ” สรนุชพูดเน้นๆ “ทั้งวัน”
สรนุชตั้งใจพูดอย่างนั้น เพื่ออยากได้ยินคำแก้ตัวของใจเด็ด แต่ใจเด็ดเองก็ยังนึกถึงภาพที่ตัวเองโดนโชคชัยแย่งความดีความชอบไปเลยตอบประชดกลับว่า
“ก็ถ้าผมจะทำอย่างนั้น...มันผิดเหรอไง”
สรนุชได้ยินก็อึ้งไปเพราะเหมือนว่าใจเด็ดยอมรับไปโดยปริยาย ขณะที่สุบินกับอรอนงค์เองก็อึ้งไม่แพ้กัน
ขณะนั้น จู่ๆ สรนุชเกิดหน้ามืดขึ้นมา ทำให้เซไปเล็กน้อย ใจเด็ดรีบเข้ามาประคอง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ”
ใจเด็ดที่เข้ามาประคองทำให้รู้สึกว่าตัวของสรนุชยังร้อนอยู่ สรนุชชักแขนที่ใจเด็ดประคองเอาไว้กลับทันที
“ไม่ต้องยุ่ง...”
สรนุชพูดจบก็เดินกระแทกไหล่ใจเด็ดออกไปอย่างหงุดหงิด สุบินกับอรอนงค์เองก็ยืนงงว่าสรนุชเป็นอะไร
“เอ่อ...ขอโทษแทนยัยนุชด้วยนะครับ สงสัยไข้จะกลับ..ยัยนุช...รอด้วยเว้ย...เดี๋ยวก็เป็นลมหรอก”
สุบินกับอรอนงค์รีบเดินตามสรนุชออกไป ใจเด็ดมองตามอดรู้สึกเป็นห่วงสรนุชขึ้นมาไม่ได้

ใจเด็ดเดินมาตามทางด้วยความรู้สึกเป็นห่วงสรนุช เดินเรื่อยมาถึงบริเวณต้นไม้อธิษฐาน ใจเด็ดมองต้นไม้เนิ่นนานครุ่นคิดบางอย่างในใจ

ชาวบ้านนั่งอยู่กันเต็มศาลาการเปรียญ ใจเด็ดนั่งอยู่กับเกริกไกร เจนจิรา ภิรมย์ และสมหญิง ส่วนสรนุชนั่งอยู่กับอรอนงค์ และสุบิน
เกริกไกรพยายามนั่งมองอรอนงค์ที่สวยผิดตา ทั้งที่ยังไม่ได้ใส่ชุดประกวด ก่อนจะหันไปบอกใจเด็ด ที่แอบมองสรนุชด้วยความเป็นห่วง
“ไอ้เด็ด...เดี๋ยวฉันมานะ”
ว่าพลางเกริกไกรก็ลุกขึ้น ก่อนจะลงมาเบียดแทรกที่ระหว่างสรนุชกับอรอนงค์เพื่อที่จะนั่งข้างๆ อรอนงค์
“โทษนะครับคุณนุช”
ทำให้สรนุชถูกเบียดไปนั่งกับใจเด็ด
“แหม...อากาศตรงนี้มันชื่นใจจริงๆ นะครับคุณอร”
สรนุชพูดขึ้นมาลอยๆ “แต่ทำไมตรงนี้มันเหม็นกลิ่นหื่น...เอ๊ย...หืนยังไงชอบกล”
ใจเด็ดได้ยินก็เหล่มองสรนุช สรนุชลอยหน้าลอยตาใส่ใจเด็ด ใจเด็ดไม่อยากต่อปากต่อคำเลยนิ่งไว้ ระหว่างนั้นชาญณรงค์ ช่อผกา และโชคชัยเดินขึ้นมาบนศาลา
“อ้าว...หวัดดีทุกคน...หวัดดีๆ”
ช่อผกาพยายามกวาดสายตามองหาใจเด็ด ก่อนจะเห็นว่าใจเด็ดนั่งอยู่แถวหน้า
“พี่เด็ด”
ไวเท่าความคิดช่อผกาก็วิ่งพรวดๆ ข้ามหัวชาวบ้านจนวงแตกกระเจิง แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างใจเด็ดเบียดสรนุชกระเด็น
“โอ๊ย”
“อุ้ย...โทษที...ไม่เห็นน่ะ”
สรนุชเหล่มองหน้าขวางจะเอาเรื่อง แต่ระหว่างนั้นโชคชัยก็เข้ามาหา
“ผมว่าเราไปนั่งตรงนั้นดีมั้ยครับ”
สรนุชหันมาเห็นโชคชัย “เอ่อ...ก็ได้ค่ะ”
สรนุชค่อยๆ ลุกตามโชคชัยออกไป ใจเด็ดที่นั่งอยู่กับช่อผกาแอบเหลือบมอง เช่นเดียวกับสรนุชก็แอบเหลือบมองใจเด็ดกับช่อผกาเช่นกัน
ระหว่างนั้นชาญณรงค์ก็เดินเข้ามาด้านหลังเกริกไกรกับอรอนงค์
“อ้าว...เถิบหน่อยซิหมอ”
“แล้วทำไมผู้พันต้องมานั่งตรงนี้ละ...ที่อื่นมีตั้งเยอะแยะ” เกริกไกรไม่ยอมขยับ
“ก็ฉันจะนั่งตรงนี้มีปัญหาอะไรมั้ย” ชาญณรงค์เริ่มเบ่ง
“ก็ผู้พันอยากมีหรือเปล่าละ”
เกริกไกรกับชาญณรงค์ลุกขึ้นทำท่าจะมีเรื่องกัน ระหว่างนั้นเสียงอรอนงค์ดังขึ้น
“หยุดด”
ทุกคนหันไปก็เห็นอรอนงค์ลุกขึ้นมาคั่นกลางระหว่างเกริกไกรกับชาญณรงค์ เกริกไกรกับชาญณรงค์ต่างหันมองอรอนงค์ด้วยความสงสัย
เวลาต่อมาเกริกไกรกับชาญณรงค์นั่งพนมมือหน้าตึงอยู่ข้างกัน อรอนงค์นั่งถัดไปกับสุบิน
“แหม...เสน่ห์แรงจริงๆ แม่คุณ” สุบินประชด
อรอนงค์พูดพาซื่อ “เสน่ห์อะไร...ก็ฉันเห็นว่าหมอกับผู้พันเขาอยากนั่งตรงนั้น...ฉันก็เลยลุกให้ไง”
สุบินทำหน้าเซ็งกับความซื่อของอรอนงค์ ขณะที่ใจเด็ดก็แอบเหล่มองสรนุชที่นั่งอยู่กับโชคชัยเป็นระยะ ช่อผกาเห็นใจเด็ดแอบมองสรนุชก็เลยรีบดึงความสนใจกลับ
“คนเราเนี่ย...บางทีดูเฉพาะหน้าตาก็ไม่ได้นะคะพี่เด็ด...เขายิ้มให้เรา...แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร...ดูซิคะ...นั่งอี๋อ๋อกันอย่างนั้นได้ยังไง...ในวัดในวา”
ช่อผกาพูดไปโดยไม่ดูว่าตัวเองก็พยายามเบียดใจเด็ดเช่นกัน ใจเด็ดเริ่มรู้สึกอึดอัด ระหว่างนั้นเสียงชาวบ้านดังขึ้น
“หลวงพ่อมาแล้ว”
ทุกคนหันไปก็เห็นหลวงพ่อเดินเข้ามาก่อนจะลงนั่งต่อหน้าชาวบ้านทุกคน
“ขอบใจทุกคนมากนะที่มาร่วมงานเหมือนทุกปี...ปีนี้ไม่มีใครขาดใช่มั้ย” ชาวบ้านต่างเงียบกันไป “ดีแล้ว...”
จู่ๆ เสียงชาญณรงค์ดังแทรกขึ้น
“ปีนี้ไม่มีขาดครับ...มีแต่จะเพิ่ม”
หลวงพ่อสงสัย “ใครจะมาอีกหรือไงผู้พัน”
ชาญณรงค์ไม่ตอบแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ใจเด็ดมองชาญณรงค์ด้วยความสงสัยพร้อมกับรู้สึกสังหรณ์ใจ

ลูกน้องของชิดชัยตั้งโต๊ะสยามคาบาตี้อยู่ที่หน้าวัด ซึ่งประดับประดาตกแต่งด้วยสีสันแสบทรวงเพื่อเรียกความสนใจ และมีเสียงเพลงเปิดดังคึกคัก ชิดชัยยื่นเสื้อให้กับชาวบ้านที่กำลังเดินเข้าวัด
“สวัสดีครับ...เสื้อแจกฟรีครับ”
ชาวบ้านมองเสื้อในมือชิดชัยด้วยความแปลกใจ “เสื้ออะไร”
“อ๋อ...เป็นเสื้อที่หลวงพ่อให้ทุกคนเอาไว้ใส่เข้าไปในงานน่ะครับ”
ชาวบ้านต่างมองหน้ากันงงๆ
ชิดชัยรีบพูดก่อนที่ชาวบ้านจะสงสัยมากกว่านี้ “ปีนี้เป็นปีแรกน่ะครับ...หลวงพ่อท่านอยากให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน...ก็เลยให้ใส่เสื้อเหมือนกัน...ของคุณพี่ใส่เบอร์อะไร...” มองพินิจไซส์ “ผมว่าน่าจะเป็นเบอร์แอลน่ะครับ...เอาไปเลยครับ..” มองไปในกลุ่ม “มากันสามคน...ถ้างั้นเอาไปเลยครับ”
ชาวบ้านต่างรับเสื้อจากชิดชัยแล้วพากันเดินเข้าวัดไป
“โห...พี่เอาหลวงพ่อมาอ้างอย่างนี้ไม่กลัวบาปเหรอพี่” ลูกน้องชิดชัยบ่น
“บาป...? หน้าตาเป็นไงวะ...ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่รู้เลยว่าบาปมันมีจริงหรือเปล่า...แต่ที่มีจริงน่ะซองขาว...แกเคยเห็นมั้ย”
“อุ้ย...” ลูกน้องเปลี่ยนท่าทีทันที รีบตะโกนเรียกเหมือนพ่อค้าในตลาดนัด “เร่เข้ามาครับ...เสื้อแจกฟรีทางนี้เลยครับ”
ชาวบ้านต่างพากันเดินเข้ามา ในขณะที่ชิดชัยมองภาพที่ลูกน้องของตัวเองแจกเสื้อให้ชาวบ้านด้วยแววตาร้ายกาจ
“งานขวัญควาย...หึ..! ฉันอยากเห็นหน้าพวกแกจริงๆ ว่างานควายแต่มีเสื้อรถไถมันจะเป็นยังไง”

ชิดชัยมองเข้าไปในวัดด้วยแววตาร้ายกาจ
บนศาลาการเปรียญเวลานั้น ใจเด็ดกำลังยกถาดอาหารเพื่อถวายเพลให้กับหลวงพ่อ ช่อผการีบขยับเข้ามาจับมือใจเด็ด

“แหม...ชาติหน้าเราจะได้เกิดมาคู่กันอีกนะคะพี่เด็ด”
สรนุชเห็นช่อผกาอี๋อ๋อกับใจเด็ดก็นึกหมั่นไส้ รีบยกถาดตัวเองขึ้นถวายหลวงพ่อ
โชคชัยเห็นจึงรีบเข้ามาช่วย “มาครับผมช่วย”
จากนั้นทั้งสองคู่สี่คนก็เบียดเสียดกันเพื่อแย่งกันประเคนหน้าหลวงพ่อ
“นี่...ไม่เห็นหรือไงว่าฉันประเคนก่อน” ช่อผกาโวยใส่
“ก็เร็วๆ ซิ...ไม่เห็นหรือไงว่ามีชาวบ้านอีกเยอะรออยู่” สรนุชกวนกลับ
“เอ้า...รอได้มั้ย...รอไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ”
คำพูดของช่อผกาทำเอาหลวงพ่อถึงกับสะดุ้ง
“โยม...โยม...ใจเย็นๆกันก่อนนะ...การทำบุญ...ใครทำคนนั้นก็ได้...ไม่ต้องแย่งกัน...ทำบุญนะไม่ใช่ต่อคิวซื้อโดนัท”
ใจเด็ดเหล่มองสรนุช ขณะที่สรนุชเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้
ระหว่างนั้นเสียงของชิดชัยดังขึ้นที่หน้าศาลาการเปรียญ
“หลวงพ่อ...หลวงพ่อครับ”
ทุกคนหันมองไปทางด้านล่างด้วยความแปลกใจ

หลวงพ่อเดินนำทุกคนลงมาจากกุฏิ แล้วทุกคนก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นชิดชัยกับลูกน้องยืนอยู่
“สวัสดีครับหลวงพ่อ...”
“ไอ้พวกคาบาตี้” ใจเด็ดฉุน
“พอดีผมเห็นว่าวันนี้เป็นวันทำบุญใหญ่...ผมก็เลยอยากทำบุญด้วยคนครับ”
สรนุชถึงกับทำหน้าเอือมที่พวกนั้นทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่องขึ้นมา ขณะที่ใจเด็ดและพวกต่างมองชิดชัยนิ่งเพื่อดูท่าที
“แล้วอีกอย่าง...ผมก็เห็นว่าที่วัดนี่ยังขาดปัจจัยในการจัดงาน...ก็เลยตั้งใจว่าจะมาถวายปัจจัยให้หลวงพ่อน่ะครับ”
ชิดชัยหยิบสมุดเช็คขึ้นมาก่อนจะส่งให้กับหลวงพ่อ
“เอาเลยครับหลวงพ่อ...อยากเขียนเท่าไหร่ก็เขียนเลยครับ...บริษัทคาบาตี้ชอบเรื่องทำบุญอยู่แล้ว”
สุบินหันไปแซวสรนุช “จริงเหรอวะนุช”
สรนุชไม่ตอบแต่เอาศอกกระทุ้งใส่สุบินแทน แล้วทุกคนก็อึ้งไปเมื่อใจเด็ดดึงสมุดเช็คจากชิดชัยมาเขียนๆๆ ก่อนจะส่งคืนให้กับชิดชัย
ชิดชัยพูดยิ้มๆ “แหม...แค่ร้อยล้านเองเหรอ” แล้วชิดชัยนึกได้ “เฮ้ย! จะบ้าหรือเปล่า...ใครจะบ้าทำบุญตั้งร้อยล้าน”
“ก็คุณเป็นคนบอกเองนี่ว่าเท่าไหร่ก็ได้” เกริกไกรเยาะ
ชาญณรงค์รีบเข้ามาช่วยแก้ทันที “แต่มันก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย...จริงมั้ยคุณชิดชัย”
“ใช่ครับ...” ชิดชัยรีบฉีกเช็คทิ้งทันที “ถ้างั้น...ผมเปลี่ยนใหม่ก็ได้ครับ...ผมขอเป็นทำบุญกับพวกเราชาวบ้านแทนแล้วกัน...” หันไปหยิบเสื้อขึ้นมา “นี่เป็นเสื้อที่พวกเราคาบาตี้ทำมาจากใจ...คือพวกเราเห็นว่าถ้าทุกคนใส่เสื้อเหมือนๆ กัน...มันจะแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน...แล้วที่สำคัญ...เสื้อของเราสวยมาก”
ว่าแล้วชิดชัยก็กางเสื้อออกจนเห็นเสื้อที่สกรีนโลโก้ของคาบาตี้พร้อมกับรถไถอย่างชัดเจน
“โยม...อาตมาว่า...”
ชิดชัยเข้าใจผิดคิดว่าหลวงพ่ออยากได้ “โอ้ๆ...ไม่ต้องห่วงครับ...ผมไม่ลืมหลวงพ่อแน่นอน...” ว่าพลางก็หันไปหยิบจีวรขึ้นมากางออกโชว์ “นี่ครับ...จีวรของหลวงพ่อก็มีเหมือนกัน...แต่...ยังไม่หมดครับ...” หันไปหยิบอีก “นี่ก็ตาลปัตรอันใหม่สำหรับหลวงพ่อ”
ชิดชัยรีบเอาทั้งจีวรและตาลปัตรมาให้หลวงพ่อ ระหว่างนั้นใจเด็ดสวนขึ้น
“มันจะมากเกินไปแล้ว”
พร้อมกันนั้นมีเสียงของชาวบ้านคนหนึ่งดังขึ้น “โกหก”
ใจเด็ดและทุกคนอึ้งไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น ชิดชัยที่ยิ้มอยู่ถึงกับหน้าหุบยิ้มทันที
“ว่าไงนะ...”
“ไหนบอกว่าเป็นเสื้อที่หลวงพ่อเอามาแจกไง” ชาวบ้านอีกคนบอก
ว่าแล้วชาวบ้านคนนั้นก็ปาเสื้อใส่ชิดชัย
“อ้าวเฮ้ย ! นี่ฉันให้พวกแกไงนะ”
“ถ้าพวกเรารู้ว่าเป็นเสื้อของแก...แถมเงินให้พวกเราก็ไม่เอา” ชาวบ้านอีกคนแถวนั้นบอกอย่างดูแคลน
ว่าแล้วชาวบ้านคนนั้นก็ปาเสื้อใส่ชิดชัยอีกคน ก่อนจะเห็นว่าชาวบ้านต่างก็เริ่มปาเสื้อใส่ชิดชัยกับลูกน้องพร้อมตะโกนไล่ส่ง “กลับไป...กลับไป...กลับไป” บรรดาชาวบ้านต่างเดินเข้ามาหาชิดชัยกับลูกน้อง ชิดชัยกับลูกน้องเห็นท่าไม่ดีก็รีบวิ่งออกไปทันที
ใจเด็ดและพวกกระบือบาลต่างมองด้วยความปลื้มใจ ชาญณรงค์ทำหน้าเจ็บใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ขณะที่สรนุชเองก็นิ่งงันไปเมื่อเห็นความรักควายของชาวบ้าน

เวลาผ่านไป ขณะที่สรนุชเดินมากับโชคชัยท่ามกลางชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมา โชคชัยเห็นใบหน้าของสรนุชเคร่งเครียดก็สงสัย
“หายตกใจหรือยังครับ”
สรนุชงงคำถาม
“ก็เรื่องที่พวกคาบาตี้มาหาเรื่องเมื่อกี้ไงครับ”
“เอ่อ...ไม่ได้ตกใจอะไรหรอกค่ะ...” สรนุชตัดสินใจถาม “พวกชาวบ้านเขารักควายมากขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“ครับ...ทั้งหมดนี่ต้องยกความดีให้นายใจเด็ดน่ะครับ...ตั้งแต่ใจเด็ดมาอยู่ที่นี่...ทุกคนก็เริ่มหันมารักควาย”
สรนุชนิ่งอึ้งไปเหมือนได้ยินความลับสุดยอด “เพราะเขาเหรอคะ”
“ใช่ครับ...ถ้าไม่มีใจเด็ด...ป่านนี้ควายที่บ้านหนองระบือคงได้ตกงานกันหมดแล้ว...ไปกันเถอะครับ...งานต่อไปกำลังจะเริ่มแล้ว”
สรนุชรู้ได้ทันทีว่าถ้าเธอเปลี่ยนความคิดใจเด็ดได้เพียงคนเดียว ชาวบ้านทุกคนก็จะเปลี่ยความคิดตาม

ในเวลาต่อมาโชคชัยกำลังประกาศอยู่บนเวที
“ตอนนี้ก็ถึงเวลาสำคัญซึ่งเป็นหัวใจของงานนี้...นั่นก็คือการบายศรีสู่ขวัญให้กับลูกควายของพวกเรา”
ชาวบ้านทุกคนที่ยืนอยู่ด้านล่างต่างส่งเสียงร้องเฮ !
“แต่ก่อนอื่น...เราก็ต้องทำกันเหมือนทุกปี...นั่นคือการจับคู่พ่อแม่ให้กับลูกควายของเรา”
อรอนงค์กำลังทำหน้าสงสัย ระหว่างนั้นชาญณรงค์รีบแถเข้ามา
“แหม...พิธีมันช่างเหมาะกับเราสองคนจริงๆนะหนูอร...พี่เป็นพ่อ...ส่วนหนูอรก็เป็นแม่”
จู่ๆ เสียงของเกริกไกรดังขึ้นดับฝันผู้พันวัยทอง
“สงสัยจะไม่ได้ครับผู้พัน”
“ทำไม...ฉันมาขอน้องอรก่อนเว้ย”
แต่แล้วทันใดนั้นเกริกไกรก็ชูนิ้วก้อยของเขาที่มีสายสิญจน์พันอยู่กับนิ้วก้อยของอรอนงค์ขึ้นให้ชาญณรงค์ดู
เกริกไกรยิ้มเยาะ “โทษทีนะผู้พัน...” แล้วรีบดึงอรอนงค์ออกไป “ไปตรงนั้นกันเถอะจ้ะแม่จ๋า”
เกริกไกรรีบพาอรอนงค์ออกไป ชาญณรงค์ได้แต่ยืนเจ็บใจก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
ส่วนใจเด็ดกับสรนุชก็เหล่มองกัน ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาก็ดังขึ้นพร้อมกับโผเข้ามากอดแขนใจเด็ด
“ปีนี้เราคู่กันเหมือนเดิมนะคะพี่เด็ด”
“เอ่อ...พี่ว่า” ใจเด็ดอึกอัก
“ไม่เอาซิคะ...ปีที่แล้วเราก็คู่กัน...เกิดปีนี้เราเปลี่ยนคู่...เดี๋ยวลูกควายจะหาว่าชีวิตคู่เรามีปัญหานะคะ”ช่อผกาอ้างส่งเดช
ใจเด็ดหน้าเซ็งๆต้องยอม สรนุชยี้ปากอย่างหมั่นไส้
จังหวะนั้นกล้องแฮนดี้แคมของสุบินจับภาพเจนจิราออกอาการหมั่นไส้ไม่แพ้สรนุช แต่เจนจิราหันมาเห็นกล้องของสุบินก็ตกใจ
“ทำอะไรน่ะ”
“แหม...หงุดหงิดคนอื่นก็อย่ามาลงที่ผมซิครับ...ว่าแต่ตอนนี้เขาก็จับคู่พ่อแม่กันไปหมดแล้ว...ก็...เหลือแต่ผมกับ..” สุบินส่งสายตายั่วล้อ
“ฉันไม่ว่าง”
เจนจิราฉุยจึงเดินออกไปทันที สุบินพยายามร้องเรียกไว้
“อ้าวคุณ...อย่างนี้เดี๋ยวควายมันกำพร้าแม่นะ”

ทุกคนยืนกันอยู่ที่คอกควาย โดยจับกันเป็นคู่ๆ มีภิรมย์ สมหญิงและเจนจิราคอยจับลูกควายให้ชาวบ้านทำขวัญควาย
ใจเด็ดกับช่อผกาถือสายสิญจน์คู่กัน ส่วนสรนุชก็คู่กับโชคชัย ซึ่งทั้งสองคู่ดันมาอยู่ติดกันซะงั้น
“ต้องทำยังไงบ้างคะ” สรนุชถาม
“ก็เดี๋ยวเราให้พรเจ้าลูกควายนี่...แล้วก็ผูกกระดึงให้มันก็เสร็จพิธีแล้วครับ”
ช่อผกาที่อยู่กับใจเด็ดพอเห็นลูกควายก็ทำแอ๊บรักควายขึ้นมาทันที
“อุ้ย...น่ารักจังเลยคะ...ดูซิพี่เด็ด...ดูมันมองเราเหมือนพ่อแม่จริงๆ ของมันเลย...ไง...พ่อกับแม่เหมาะสมกันมั้ยจ๊ะ”
ใจเด็ดรักษามารยาทฝืนยิ้มให้ ส่วนสรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หมั่นไส้
“พูดกับควายก็ได้...สงสัยจะสปีชี่เดียวกัน”
ช่อผกาฉุนขาดได้ยินเต็มๆ “เธอพูดอะไร...ฉันได้ยินนะ”
“อุ้ย...ฟังภาษาคนออกด้วยเหรอเนี่ย...ฉันก็คิดว่า...ฟังได้แต่ภาษา” สรนุชพูดแต่ไม่ออกเสียง “ควาย”
สองคนทำท่าจะทะเลาะกันต่อ ใจเด็ดต้องรีบห้าม “ผมว่าเราเริ่มกันเลยดีกว่าครับ”
ช่อผกายังโกรธสรนุชไม่เลิกก็หาเรื่องผ่านการทำขวัญควาย
“ตัวผู้หรือตัวเมียคะพี่เด็ด”
“ตัวเมียครับ...ตัวนี้คงอายุประมาณหกเจ็ดเดือน”
ช่อผกาทำหน้าจริงจังก่อนจะเอากระดึงไปถูที่หน้าผากควาย
“นี่...เป็นผู้หญิงยิงเรือโตขึ้นน่ะ...ก็หัดรักนวลสงวนตัวนะ...ไม่ใช่พอมาต่างถิ่นแล้วก็ไปยั่วควายเจ้าถิ่นละ”
สรนุชได้ยินเข้าก็ชะงักกึกเพราะรู้ว่าช่อผกากำลังกระทบกระเทียบตน
สรนุชเอาเชือกถูที่หน้าผากควายของตัวเอง “อย่างเธอเนี่ย...ไม่ต้องยั่ว...พวกควายหนุ่มเจ้าถิ่นก็พร้อมจะเดินตามเธออยู่แล้ว...ฉันรู้นะว่าเป็นเพราะอะไร...เพราะไอ้พวกควายสาวที่อยู่มาก่อนมันไม่น่าสนใจไง”
ช่อผกาได้ยินอย่างนั้นก็โกรธตัวสั่น แต่ก็ต้องสะกดอารมณ์เพราะอยู่ต่อหน้าใจเด็ด แต่ช่อผกาก็แกล้งเซไปเหยียบเท้าของสรนุช
“โอ๊ย”
“อุ้ย...โทษจ้ะ...พอดี...เจ้าตัวเล็กมันดิ้นน่ะ”
โชคชัยเข้ามาดูสรนุช “เป็นไรมั้ยครับ”
สรนุชส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะหันไปทำพิธีต่อ ระหว่างนั้นสรนุชเห็นปลายเชือกสายสิญจน์ ซึ่งขนาดเส้นใหญ่หน่อยเพราะต้องใช้มัดกับกระดึง
สรนุชยิ้มร้าย ก่อนจะแกล้งเซไปโดนช่อผกาคืน
“อุ้ย...พอดีไอ้ตัวเล็กของฉันมันก็ดิ้นเหมือนกัน”
ระหว่างที่สรนุชแกล้งเซไปโดนช่อผกานั่น เธอก็แกล้งเอาสายสิญจน์สอดเข้าไปในหูกางเกงของช่อผกา ก่อนจะหันมายิ้มให้ช่อผกา
สรนุชก็เอาปลายเชือกอีกด้านมามัดเข้ากับกระดึงที่อยู่ที่คอควาย
“เรียบร้อยค่ะ”
สรนุชพูดกับโชคชัย ลุกขึ้นก่อนจะตบไปที่ก้นของลูกควายให้วิ่งออกไป แล้วทันใดนั้นช่อผกาก็เหมือนมีอะไรมาดึงที่หูกางเกงจนตัวเธอไปติดกับไม้กั้นคอก
“อ๊าย...! อะไร...อะไร”
สรนุชยิ้มสะใจก่อนจะหันไปบอกกับโชคชัย
“ไปกันเถอะค่ะ”
สรนุชรีบพาโชคชัยเดินออกไป ขณะที่ใจเด็ดรีบเข้ามาดูช่อผกา
“พี่เด็ด...พี่เด็ดช่วยผกาด้วย”

ชิดชัยกลับมาที่ออฟฟิศบริษัทคาบาตี้ หนองระบือ และกำลังระเบิดอารมณ์ด้วยการปาเสื้อลงไปในกองรวมกับเสื้อที่ยังไม่ได้แจกชาวบ้านอีกเป็นตั้ง
“ไอ้พวกโง่...ต่อไปอย่าคิดว่าจะได้อะไรจากคาบาตี้อีกเลย”
“แล้วจะทำยังไงต่อละพี่...ผมไม่อยากตกงานนะพี่”
ชิดชัยครุ่นคิดอย่างหนัก
“ยังมีเวลาอีกวัน...ทุกปีวันที่สองพวกมันทำอะไรกัน”
ลูกน้องคิดไปคิดมา “ถ้าผมจำไม่ผิด...เห็นว่าประกวดควายกันมั้งครับ”
“ประกวดควายเหรอ...?”
ชิดชัยไม่ตอบแต่เห็นแววตาเปลี่ยนเป็นเลือดเย็น

สรนุชหลบมานั่งดูเท้าตัวเองที่โดนช่อผกาเหยียบ ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินเข้ามาเจอพอดี
“ผมรู้นะว่าเมื่อกี้มันเป็นฝีมือคุณ”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็ชะงัก
“ใช่...ฉันทำเอง...ทำไม...นายจะมาว่าฉันที่แกล้งแฟนนายหรือไง...แล้วทำไมทีตอนแฟนนายเหยียบเท้าฉัน...นายไม่ว่าแฟนนายบ้างละ”
ระหว่างนั้นโชคชัยเดินเข้ามาพอดี
“คุณนุช...อ้าว...ใจเด็ด...ถึงเวลาอธิษฐานกับต้นไม้แล้ว”
สรนุชรีบหาทางชิ่งจากตรงนั้นพอดี “เหรอคะ...นุชอยากอธิษฐานแล้วค่ะ”
สรนุชรีบใส่รองเท้าก่อนจะรีบเดินออกไปกับโชคชัย ใจเด็ดมองตามสรนุชอย่างเหนื่อยใจ

เกริกไกร อรอนงค์ ภิรมย์ สมหญิงเดินมาที่ต้นไม้อธิษฐาน
“ทำไมต้องมาขอพรกับต้นไม้ด้วยล่ะคะ”
“เป็นความเชื่อของคนที่นี่น่ะครับ” เกริกไกรบอก
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะคะ...ที่จริงแล้ว...หมอต้องบอกว่าเพราะความศักดิ์สิทธิของต้นไม้อธิษฐานนี่...เลยทำให้เกิดเป็นความเชื่อ” สมหญิงเสริม
“ศักดิ์สิทธิ์เหรอคะ..?” อรอนงค์สงสัย
“ครับ...ชาวบ้านที่นี่จะมาขอพรที่นี่ทุกปี...แล้วทุกคนก็จะได้รับพรที่ขอกันทุกคน” ภิรมย์ว่า
อรอนงค์อึ้ง “โห...ถ้าอย่างนั้นชาวบ้านทำไมไม่ขอให้ตัวเองรวยๆละคะ” อรอนงค์พูดพาซื่อ
เกริกไกร สมหญิง และภิรมย์หันมองหน้ากันอึ้งๆ ก่อนที่เกริกไกรจะหันมาบอกกับอรอนงค์
“เพราะพรที่พวกเขาขอ...เป็นพรที่ขอให้คนอื่นไงครับ” เห็นอรอนงค์งง เกริกไกรก็พูดต่อ “ก็อย่างเช่น...เราขอพรให้พ่อแม่ของเราสุขภาพแข็งแรง...ขอให้ควายเราไม่เจ็บไม่ป่วย”
“ดีจังเลยนะคะ...อรก็ว่าแล้ว..เพราะถ้าขอให้ตัวเองได้...คงจะเหมือนที่อื่นที่มีแต่ชาวบ้านมาขูดหวยกันทุกเดือน” อรอนงค์เอ่ยขึ้น
“ถูกต้องครับ...ผมเลยว่าต้นไม้อธิษฐานนี่เป็นความโชคดีของหมู่บ้านหนองระบืออีกอย่างนึง...ไปครับ...ไปอธิษฐานกันดีกว่า” เกริกไกรอออกปากชวน
สมหญิงกับภิรมย์ก็เอาลูกยางมาให้เกริกไกรกับอรอนงค์ อรอนงค์รับมา ระหว่างนั้นเกริกไกรทักขึ้น
“แต่คุณอรไม่ต้องอธิษฐานให้ผมชอบคุณอรน่ะครับ...เพราะยังไงผมก็ชอบคุณอรอยู่แล้ว”
ภิรมย์กับสมหญิงประสานเสียง “อ้วก”
อรอนงค์ยิ้มก่อนจะเดินออกไป เกริกไกรหันมาดุภิรมย์สมหญิงแล้วเดินตามอรอนงค์ออกไปเช่นกัน

ทุกคนยังอยู่ที่ลานต้นไม้อธิษฐานภายในวัด สุบินยืนอยู่กับเจนจิรา สุบินกำลูกยางในมือก่อนจะอธิษฐานเสียงดังให้เจนจิราได้ยิน
“ถ้าต้นไม้อธิษฐานนี่ศักดิ์สิทธิจริง...ลูกขอให้คนที่ไกลก็ขอให้เป็นคนใกล้...คนที่ไม่ก็ขอให้เป็นคนใช่...” แล้วสุบินก็เข้าไปพูดใกล้ๆเจนจิราให้เจนจิราได้ยิน “คนที่โกรธก็ขอให้หายโกรธ...สาธุ”
สุบินก็ปาลูกยางขึ้นไปบนต้นไม้ศักดิ์สิทธิก่อนจะหันมามองเจนจิราที่ยืนมองเขาอยู่
“โอ้โฮ...ต้นไม้ศักดิ์สิทธิจริงๆ ด้วย...คุณหายโกรธผมแล้วใช่มั้ย”
“เปล่า...ฉันกำลังจะบอกนายว่า...เวลาอธิษฐานแล้วให้คนอื่นได้ยินน่ะ...มันจะไม่เป็นจริง”
ว่าแล้วเจนจิราก็เดินออกไปเลย สุบินงงเหวอกันไป
“อ้าว...ไม่เป็นจริง..? โห...มิน่าละ...เดี๋ยวก่อนคุณเจน”
ระหว่างนั้นเห็นสรนุชกับโชคชัยเดินเข้ามาอีกมุม โชคชัยหยิบลูกยางก่อนจะหยิบกระดาษและเชือกมามัดแล้วส่งให้สรนุช สรนุชเขียนคำอธิษฐานลงในกระดาษก่อนจะยกมือขึ้นอธิษฐานอีกรอบ
เช่นเดียวกับโชคชัย พอสรนุชลืมตา โชคชัยก็เลียบๆ เคียงๆ ถาม
“อธิษฐานอะไรเหรอครับ”
“มาถามกันอย่างนี้ได้ยังไงคะ...ไม่เคยได้ยินเหรอคะว่าถ้าคนอื่นรู้คำอธิษฐานของเรามันจะไม่เป็นจริงนะคะ” สรนุชเหล่มองไม่ไว้ใจ “ฉันไปตรงนั้นดีกว่า
ว่าแล้วสรนุชก็ถือลูกยางฉีกไปอีกมุม โชคชัยมองตามยิ้มให้อย่างเอ็นดูในความน่ารักของสรนุช

สรนุชเดินถือลูกยางเข้ามาที่ต้นไม้อีกมุม ก่อนจะยกมือขึ้นจดศีษะ
“ขอให้คำอธิษฐานของลูกเป็นจริงด้วยเถิด”
ว่าแล้วสรนุชก็ปาลูกยางขึ้นไปบนต้นไม้สุดแรง
ลูกยางของสรนุชลอยละล่องขึ้นไปที่ต้นไม้ แต่แล้วทันใดนั้นลูกยางของสรนุชก็ดันไปชนเข้ากับลูกยางอีกอันที่ติดอยู่แล้วบนต้นไม้
“เฮ้ย” สรนุชร้องเสียงหลง
ลูกยางพร้อมคำอธิษฐานของใครคนหนึ่ง โดนลูกยางของสรนุชจนหล่นร่วงลงมาที่พื้น
ชาวบ้านต่างหันมามองเป็นตาเดียว สรนุชรีบเข้าไปหยิบลูกยางพร้อมคำอธิษฐานนั้นใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้กับชาวบ้านแล้วรีบเดินออกไป

เวลาเคลื่อนคล้อยจนเย็นย่ำ ค่ำวันนั้น โชคชัยเดินมาส่งสรนุช อรอนงค์ และสุบิน
“ขอบคุณคุณโชคชัยมากนะคะที่มาส่ง”
“คุณโชคชัยเขาไม่ได้มาส่งแก...เขามาส่งยัยนุช” สุบินแซว
สรนุชฉุนกึก “สุบิน”
“อ้าว...ก็มันจริงๆ นี่...จริงมั้ยครับคุณโชคชัย”
โชคชัยเหล่มองรู้ว่าสรนุชไม่ชอบใจ
“ไม่หรอกครับ...ผมตั้งใจมาส่งทุกคนอยู่แล้ว...” โชคชัยหันมาพูดกับสรนุช ฎรีบพักผ่อนนะครับ...พรุ่งนี้ละจะเป็นวันที่สนุกที่สุดของการทำขวัญควาย”
“ขอบคุณนะคะ...แล้วพรุ่งนี้เจอกันค่ะ”
“ครับ...”
สรนุช สุบิน และอรอนงค์เดินขึ้นเรือนรับรองไป โชคชัยยืนมองตามสรนุชจนลับสายตา

ครู่ตามทั้งสามเพื่อนซี้ก็เดินขึ้นมาบนเรือนรับรอง จังหวะหนึ่งสุบินเอ่ยขึ้น
“ฉันว่าไอ้ยุทธศาสตร์ดาวเปื้อนดินกำลังได้ผล”
“ได้ผลอะไรของแก” อรอนงค์สงสัย
“ไม่เห็นหรือไงว่าน้องนุชเพื่อนเรานี่...เล่นซะตานายกนั่นมองตามจนตาเยิ้มเลย”
“ไอ้นี่...เลิกปากเสียได้แล้ว...ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขา” สรนุชไม่ดีใจแต่หงุดหงิด
“แต่แกก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกับแก” สุบินว่า
“แต่ตอนนี้ฉันรู้ว่า...ถ้าเราจะบุกตลาดที่นี่ได้...ต้องทำยังไง”
สุบินกับอรอนงค์หันมองสรนุชด้วยความสงสัย
“เอาไว้ให้ฉันคิดอะไรดีๆ ได้ก่อน...แล้วฉันจะบอกแกสองคน”
พูดจบสรนุชก็เดินเข้าห้องไป สุบินกับอรอนงค์มองตามด้วยความอยากรู้

สรนุชเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงด้วยความเมื่อยขบ
“โอ๊ย...ทำไมมันเมื่อยอย่างนี้”
ระหว่างที่สรนุชพลิกตัวก็รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋ากางเกง สรนุชหยิบออกมาดูแล้วก็พบว่าเป็นลูกยางพร้อมคำอธิษฐานที่เธอเก็บมานั่นเอง
สรนุชกำลังจะอ่านคำอธิษฐาน แต่แล้วก็ชะงัก
“ไม่ได้...แอบอ่านความลับของคนอื่นมันเสียมารยาท”
สรนุชทำท่าจะโยนลงถังขยะ แต่แล้วก็ชะงักอีก
“แต่ตอนนี้ต้นไม้คงตอบคำอธิษฐานไปแล้วละ...ไม่เป็นไรหรอก”
ว่าแล้วสรนุชก็ค่อยๆ หยิบคำอธิษฐานมาอ่าน
“ขอให้คุณนุชหายป่วยไวๆ ด้วยครับ”
สรนุชค่อยๆ ไล่สายตาไปจนเห็นชื่อของผู้เขียนว่า “ใจเด็ด”
สรนุชถึงกับอึ้งไป

ค่ำคืนนั้นใจเด็ดกำลังแหงนมองต้นไม้อธิษฐานอยู่ภายในวัดด้วยจิตศรัทธา นึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน

เวลานั้นใจเด็ดค่อยๆ หยิบลูกยางขึ้นมาก่อนจะเขียนคำอธิษฐานลงในกระดาษ
ใจเด็ดมองไปยังต้นไม้ “อย่าให้คุณนุชเป็นอะไรมากเลยนะครับ”
ใจเด็ดก็กำลูกยางด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจก่อนจะปาขึ้นไปบนต้นไม้ ใจเด็ดมองลูกยางบนต้นไม้ด้วยความศรัทธา

นึกถึงตรงนี้ ใจเด็ดก็เอ่ยออกมาด้วยความศรัทธา
“ขอบคุณครับ”
ใจเด็ดขอบคุณที่ต้นไม้อธิษฐาน ที่ทำให้คำอธิษฐานของเขาเป็นจริง

เวลาเดียวกันสรนุชหลบมานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในสถานี ใคร่ครวญครุ่นคิดไปมาจนหัวแทบแตก
“เป็นไปไม่ได้...ก็หมอนั่นบอกว่าอยู่กับยัยช่อผกาทั้งวัน...จะมารู้ว่าเราไม่สบายได้ยังไง”
สรนุชมองที่คำอธิษฐานของใจเด็ดอีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างครุ่นคิด แต่แล้วทันใดนั้นสรนุชก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสมหญิงทาแป้งขาววอกจ้องอยู่ข้างหน้า
“ว้าย”
“คุณนุชมานั่งทำอะไรตรงนี้”
“โธ่...สมหญิง...เอ่อ...ฉัน...ฉันนอนไม่หลับน่ะก็เลยออกมาเดินเล่น”
“แต่สมหญิงว่าคุณนุชกลับไปที่เรือนดีกว่าค่ะ...เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอกคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ...ฉันแข็งแรงดีแล้ว”
“สมหญิงไม่ได้ห่วงคุณเท่าไหร่หรอก...สมหญิงห่วงหัวหน้า...กลัวแกต้องรีบไปหายาให้คุณอีก” สมหญิงบอกออกมา
“หัวหน้าสมหญิงเอายาให้ฉันเหรอ” สรนุชตะลึง เพราะไม่รู้เรื่องมาก่อน แถมโชคชัยก็สมอ้างว่าเช็ดตัวให้ ดูแลตอนเธอนอนซม
“อ้าว...นี่คุณไม่รู้เหรอคะ...วันนั้นคุณตัวร้อนมาก หัวหน้ากลัวคุณจะช็อกก็เลยให้สมหญิงดูแลคุณก่อน...ส่วนหัวหน้าก็รีบไปที่อนามัยเพื่อเอายามาให้คุณ”

สรนุชได้ยินอย่างนั้นถึงกับอึ้งไป







Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 13:52:00 น.
Counter : 351 Pageviews.

0 comment
กระบือบาล ตอนที่ 8




ไม่นานหลังจากนั้นผู้พันชาญณรงค์ก็พาตัวเองมาเดินเมียงๆ มองๆ ส่องสายตาหาอรอนงค์ในสถานี โดยมีสมคิดหิ้วถุงหมูย่างตามมาข้างหลัง มองอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นใครสักคน

“มันหายหัวไปไหนกันหมดวะ”
สมคิดหันไปเห็นเกริกไกรกับอรอนงค์กำลังเดินคุยกันกลับมาจากที่ฝึกซ้อมหลังสถานี
“ผู้พันครับ อยู่โน่นครับ”
ชาญณรงค์หันมาเห็นทั้งคู่ยิ้มหัวเราะกันอย่างสนิทสนมก็ควันออกหู
“ไอ้หมอควาย... หนอยคิดจะมาสอยนางฟ้าของฉันเหรอ”
ผู้พันชาญณรงค์เดินอาดๆเข้าไป เหมือนว่าจะไปลุย สมคิดตกใจ รีบตามไปห้าม
“เย้ย...เดี๋ยวครับผู้พัน”
ชาญณรงค์เข้าไปยืนขวางหน้าเกริกไกรกับอรอนงค์ ทั้งสองชะงักหันไปมองหน้า
“อุ้ย ผู้พัน ตกใจหมดเลย อยู่ๆ ก็โผล่มา”
ผู้พันมองหน้าเกริกไกรเขม็ง
สมคิดตามมาทัน “อย่าวู่วามนะครับผู้พัน ผมขอร้อง”
“ขอร้องอะไรเล่า” ชาญณรงค์ตบหัวสมคิดผัวะ “เอาหมูย่างมานี่” พลางคว้าถุงหมูย่างไปยื่นให้อรอนงค์ “หนูอรจ้ะ ดูสิโถๆๆๆ มาอยู่สถานีเลี้ยงควายนี่ไม่ทันไร ดูสิผอมลงเป็นกอง คงไม่ค่อยได้กินอะไรดีๆ ฉันก็เลยซื้อหมูย่างมาให้”
“โธ่เอ้ย...คิดว่าจะลุย”
ชาญณรงค์ดีดส้นหลังใส่สมคิด จนร่างสมคิดกระเด็นไป
“ขอบคุณมากนะครับผู้พัน แหม...เกรงใจจริงๆ”
เกริกไกรคว้าถุงหมูย่าง แล้วจูงมืออรเดินไปเลย
“เฮ้ย...เกรงใจอะไรของแกวะ คว้าไปหน้าตาเฉย เอาคืนมานะ ฉันซื้อมาให้หนูอร”

เวลาต่อมาสมหญิงเทหมูย่างลงในจาน “โอ้โห...หมูย่าง”
ชาญณรงค์แอบกัด “ก็หมูย่างน่ะสิ ไม่ใช่ควายย่าง!” หันมายิ้มให้อรอนงค์ “ฉันคิดว่าหนูอรคงจะซ้อมเตรียมตัวลงประกวดเทพีหนองระบือหนักน่ะ ก็เลยซื้อมาให้กิน จะได้มีแรง”
“แหม...ขอบใจมากครับผู้พัน พวกเรากำลังหิวอยู่พอดี มา...สมหญิง นั่งๆ มากินด้วยกัน วันนี้ลาภปาก”
เกริกไกรชวน ภิรมย์ สมหญิงนั่งล้อมวงกิน
“นี่ๆ...ไม่ได้ยินหรือไง ผู้พันบอกว่าซื้อมาให้คุณอรกินนะ โซ๊ยกันใหญ่”
“ก็ทานด้วยกันแหละค่ะ ตั้งเยอะแยะ อรทานคนเดียวไม่หมดหรอก” อรอนงค์ว่า
เกริกไกรแทะกระดูกหมูเต็มปาก “ฮื้อหือ...อร่อยจริงๆหมูย่างเงินผู้พันนี่” หยิบหมูชิ้นหนึ่งโยนไปให้หมา “เอ๊า...ไอ้แดง...ช่วยชิมหน่อย”
“ไอ้คิด”
ชาญณรงค์ขบกรามกรอด แล้วขยิบตาแอบยื่นนิ้วไปให้สมคิดด้านหลัง สมคิดล้วงขวดน้ำมันพรายออกมา แอบเหยาะๆ น้ำพรายออกมาใส่นิ้วผู้พัน ขณะที่สายตาผู้พันจับจ้องไปยังอรอนงค์ที่นั่งละเลียดหมูย่างเหมือนไม่อยากกิน
สมคิดแอบกระซิบ “ตอนนี้แหละผู้พัน ดีดเลย”
ผู้พันทำท่าจะดีดใส่ แต่อรอนงค์หันขวับมา
“ไม่ทานด้วยกันเหรอคะผู้พัน”
ชาญณรงค์รีบซ่อนนิ้ว แล้วเอ่ยคำหวาน “อ๋อ...ไม่ล่ะจ้ะ แค่ฉันเห็นหน้าหนู ก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชะโลมใจ ไม่ต้องกินอะไร ก็อิ่มใจแล้ว”
“โอ๊ก....ขอน้ำหน่อยสมหญิง รู้สึกว่ากินมากไป มันชักจะเลี่ยน”
ระหว่างนั้นผู้พันเล็งนิ้วจะดีดน้ำมันพรายไปใส่อรอนงค์ ภิรมย์เดินสูดกลิ่นหอมๆ หมูย่างตามเข้ามาข้างหลัง
“กลิ่นอะไรหอมๆ วะ” ภิรมย์มองไปเห็นหมูย่างที่โต๊ะ “เฮ้ย...หมูย่าง ลาภปาก”
ภิรมย์ถลาเข้ามาที่โต๊ะ ไหล่เฉี่ยวเข้ากับหลังผู้พันชาญณรงค์ในจังหวะที่กำลังดีดน้ำมันพรายพอดี
“ชะเอ้ย”
ชาญณรงค์ผงะ ทำให้น้ำมันพรายกระเด็นไปตามแรง หยดน้ำมันพรายพุ่งแหมะไปเข้าตาสมหญิง
“อ๊าย...อะไรเข้าตา”
ชาญณรงค์ช็อก ตาเหลือก “เย้ย”
“ว้ายตายแล้ว...แสบๆๆๆ” สมหญิงร้องลั่น
“ไหนให้ฉันดูสิสมหญิง อะไรเข้าตา?” อรอนงค์ดู “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
ภิรมย์เยาะ “คงจะกินมูมมาม น้ำจิ้มหมูย่างเข้าตาน่ะซิ๊ ไปล้างที่ห้องน้ำโน่นไป๊”
“ฉันว่าเป็นน้ำลายแกมากกว่าไอ้ภิรมย์ มาถึงก็พูดมาก หึ”
สมหญิงฉุนขาดลุกเดินออกไป
สมคิดแอบกระซิบนาย “ซวยแล้วผู้พัน”
“แล้วจะอยู่ทำอะไรล่ะ รีบเผ่นสิ เอ่อ...พอดีฉันมีธุระ ต้องรีบไปก่อนนะหนูอร” ชาญณรงค์บอก
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับหมูย่าง”
ชาญณรงค์กับสมคิดไม่รีรอ รีบจ้ำอ้าวไปแล้ว เกริกไกรมองตามอย่างแปลกใจ
“เอ้...วันนี้มาแปลก ทุกทีไม่ไล่ไม่กลับ”
“มีคุณอรอยู่ด้วยนี่ดีๆจริงๆนะครับ มีคนส่งเสบียงถึงที่ อิๆๆ” ภิรมย์ว่า

ผู้พันชาญณรงค์เดินหัวเสียกลับมาที่รถพร้อมกับสมคิด
“อี่ย์...เสียเส้นๆจริงๆโว้ย ดันดีดพลาด ไปโดนนังสมหญิงได้ เพราะไอ้ตะกละภิรมย์นั่นคนเดียว”
“แต่นังสมหญิงมันโดนน้ำมันพรายเหน่งๆ กระฉูดถึงเบ้าตา ไม่เห็นมันจะปึ๋ง ชอบผู้พันขึ้นมาเลย”
ชาญณรงค์เขกหัวสมคิดดังโป๊ก
“โธ่...ไอ้ปลวก! แล้วแกจะพูดทำไมวะ ฉันยิ่งเสียวๆ อยู่ ถึงได้รีบเผ่นนี่ไง”
สมคิดลูบกระบาลยิ้มแหย ถึงรถรีบเปิดประตูรถให้ “เชิญผู้พัน ครับพ้ม”
ผู้พันชาญณรงค์ก้าวเข้าไปนั่งปั้บ สมคิดปิดประตูปัง แต่แล้วชาญณรงค์ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปเห็นสมหญิงนั่งยิ้มตากระพริบปริบๆ ยั่วยวนอยู่แล้ว
“เอิ้ก...นังสมหญิง”
“ขา...เรียกสมหญิงทำไมก๊ะผู้พัน”
สมหญิงพูดพลางยื่นมือจับไปที่อกผู้พัน
“เย้ย! เอามือกระดำกระด่างของแกออกไปจากอกฉันเดี๋ยวนี้”
“ถึงข้างนอกจะกระดำกระด่าง แต่ข้างในตะติ๊งโหน่งนะก๊ะผู้พัน ไม่เชื่อ...มามะ...มาสนุกกัน”
ว่าแล้วสมหญิงก็ปล้ำกอดผู้พัน
“อ๊ากก...ไอ้คิด ช่วยฉันด้วย”
สมคิดเพิ่งเปิดประตูเข้ามานั่ง
“ช่วยอะไรครับพ้มผู้พัน” สมคิดมองกระจกหลังเห็นสมหญิงกำลังปล้ำกอดผู้พันอยู่ “เย้ย...นังสมหญิง แกโผล่มาได้ยังไงเนี่ย”
“จะมัวถามทำไมวะ ช่วยฉันซี”
“จะ...จะ ให้ช่วยยังไงล่ะครับ”
“ก็ช่วยทำอย่างงี้ไงไอ้โง่”
ผู้พันชาญณรงค์ยกเท้าถีบสมคิดหน้าหงาย
“อ๋อ...เข้าใจแล้วครับพ้ม”
ไม่นานต่อมาร่างสมหญิงถูกถีบกระเด็นตกลงมาจากนอกรถ ร้องเสียงหลง
“อ๊าย”
“เร็วซีวะ...มันมาแล้ว...รีบออกรถเร็วๆๆ”
สมคิดรีบขับรถออกไป ขณะที่สมหญิงลุกวิ่งตามรถไปติดๆ
“ผู้พันขา...ผู้พันของสมหญิงจะทิ้งกันไปไหน...กลับมาก่อน...ไอเลิฟยู”
ภายในรถเวลานั้นผู้พันชาญณรงค์หันไปมองกระจกหลัง เห็นสมหญิงวิ่งตามรถที่ทิ้งห่างออกมาแล้ว ผู้พันชราถึงกับเป่าปากทิ้งตัวลงกับเบาะราวกับรอดตายหวุดหวิด

ด้านใจเด็ดกับสรนุชกำลังขับรถกลับจากบ้านครูสีดา สรนุชนั่งอมยิ้ม
“สนุกจังเลยนะคะ ที่ได้มาช่วยชาวบ้านทำอะไรแบบนี้”
สรนุชมองพวงมะโหดอันเล็กๆ ที่ติดมือมาด้วย ใจเด็ดหันมามองแล้วขำ เพราะหน้าสรนุชที่เลอะสียังไม่ได้ล้างออก
“ฮ่ะๆๆ”
“หัวเราะอะไร ฉันพูดขำตรงไหนเหรอ”
“ขำหน้าคุณ”
“ฉันก็ขำหน้าคุณเหมือนกัน เลอะเทอะมอมแมมที่สุด ฮ่ะๆๆ”
สรนุชชี้หน้าใจเด็ดที่ยังไม่ได้ล้างเหมือนกัน
“ก็ผมจะล้าง คุณก็รีบ”
“จะรีบล้างออกทำไม นานน๊านจะได้มีโอกาสทำอะไรสนุกๆ แบบนี้ซะที แม้แต่ตอนสมัยเรียนวิศวะ ฉันก็เรียนหนักเสียจนไม่ค่อยได้ไปสนุกเฮฮากับเพื่อน”
“คุณเรียนจบวิศวะเหรอ แล้วทำไมมาทำงานด้านสารคดี”
สรนุชแอบทำหน้าตกใจคิดหนักในใจ...เวรกรรม...ดันเผลอหลุดปาก
“คือ...มันไม่รุ่งไง ฉันก็เลยเบนเข็มมาทำงานด้านนี้ ซึ่งฉันค้นพบว่า มันเหมาะกับฉันมากๆ เลยล่ะ แหะๆ”
“แต่มันก็น่าเสียดายความรู้ทางด้านวิศวของคุณนะ คุณจะเป็นวิศวกรสาวเก่งๆ ได้”
สรนุชอึดอัดอัดหาทางเปลี่ยนเรื่อง หันไปเห็นป่าข้างทาง
“ตรงนั้นใช่มั้ยที่เราไปเจอลำธารกลางป่ากัน”
“ใช่...”
ใจเด็ดพูดพลางชะลอความเร็วลง สรนุชกดกระจกลงพิงคางกับขอบกระจกรถ มองออกไป
“ฉันประทับใจสะพานนั่นมากเลยนายรู้มั้ย สักวันหนึ่ง...ฉันจะมาอีก”
ใจเด็ดมองไปที่เสี้ยวหน้าของสรนุช ภายในใจบอกว่าเขาก็ประทับใจเช่นกัน
รถค่อยๆ แล่นผ่านไปช้าๆ โดยมีมือของสรนุชยื่นออกมาโบกกับสายลมอย่างมีความสุข

ผู้พันชาญณรงค์กับสมคิดกลับเข้าบ้านมา...สีหน้าเหนื่อยอ่อนทั้งคู่ จู่ๆ ก็มีไอ้โม่งคนหนึ่งโผล่ออกมา
“เฮ้ย! แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันทำไม”
“ใส่หมวกเป็นไอ้โม่งแบบนี้ ยังจะถามอีก โจรชัดๆ ครับผู้พัน”
ไอ้โม่งได้แต่ยืนโบกมือส่ายหัว พูดอะไรไม่ทัน
“เข้ามาปล้นบ้านฉันเหรอ แกตาย”
ผู้พันชาญณรงค์คว้าไม้กอล์ฟมาตี แต่ไอ้โม่งหลบทัน เลยฟาดผิดไปโดนข้าวของบนโต๊ะกระจาย
“อ๊าย” ช่อผการ้องลั่น
“เป็นโจรผู้หญิงซะด้วยครับผู้พัน” สมคิดออกความเห็น
“ผู้หญิงสมัยนี้ มันหากินกันไม่ได้แล้วเหรอ ถึงต้องมาเป็นโจรขโมยเค้ากิน จับตัวมันไว้สิวะไอ้คิด อย่าให้หนี”
“แบบนี้มันต้องจับมาเป็นเมียซะให้เข็ด แหะๆๆๆ ซ๊วบ...จับได้แล้ว” สมคิดเข้ารวบตัวไว้ได้
“ปล่อยฉันนะไอ้บ้า ปล่อย!”
“ไหนขอดูหน้าโจรสาวหน่อยสิ”
ชาญณรงค์ดึงหมวกไอ้โม่งออกแล้วต้องตกใจ เมื่อเห็นเป็นหน้าช่อผกาที่มีตุ่มแดงขึ้นเต็มใบหน้า แถมปากก็บวมเป่ง
“หา...แกเองเหรอนังผกา!”
“ก็ฉันน่ะสิ นี่แน่ะ...มาจับฉันทำไมไอ้บ้า”
ช่อผกาโมโหกระทืบเท้าใส่สมคิดเต็มแรง สมคิดร้องลั่นปล่อยมือ
“อ๊ากกก”
“แล้วทำไม นะๆ หน้าแกเป็นอย่างงี้ล่ะ” ชาญณรงค์แปลกใจ
“ก็ไอ้อาหารเสริมความงามหม้อนั้นน่ะสิ มันทำพิษ” ช่อผกาโวย
“โฮ้ย...ฉันก็เตือนแกแล้ว แกก็ไม่เชื่อ แล้วทีนี้จะทำไงล่ะ งานทำบุญขวัญควายก็ใกล้เข้ามาแล้ว มันจะหายทันลงประกวดเทพีมั้ยเนี่ย?”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงพ่อก็ต้องช่วยฉัน ฉันจะต้องเป็นเทพีหนองระบืออีกสมัยให้ได้ เพื่อพี่เด็ดของฉัน!”
“แกนะแก...หาแต่เรื่องมาให้ฉัน” ชาญณรงค์ระอาใจ
ช่อผการ้องไห้โวยวายลั่นบ้าน

เจนจิรายืนชะเง้อรอใจเด็ด เดินไปเดินมา ก่อนจะยืนพิงต้นไม้ก้มหน้าเศร้าๆ ระหว่างนั้นมีเสียงรถแล่นเข้ามาในสถานีเจนจิราเงยหน้ามองทันที
ใจเด็ดขับรถเข้ามาที่หน้าสถานี เจนจิราเห็นรีบเดินเข้ามาหา แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นใจเด็ดลงจากรถพร้อมสรนุชด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนาน ใจเด็ดหันมาก็เจอเข้ากับเจนจิรายืนรออยู่
“อ้าวเจน”
“ไปทำอะไรกันมาคะเนี่ย?”
เจนจิราพูดพลางมองไปที่หน้าของทั้ง 2 ที่ยังเลอะเทอะอยู่ ใจเด็ดจับไปที่หน้าตัวเอง
“อ๋อ...ไปช่วยครูสีดาทำพวงมะโหดที่จะใช้ตกแต่งในงานขวัญควายน่ะ”
“คงสนุกมากสิคะ หน้าตาถึงกลับมาแบบนี้”
เจนจิราพยายามทำเป็นฝืนยิ้ม
“สนุกมากเลยค่ะ ดูหน้าหัวหน้าคุณซิคะ ฉันขอตัวไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะคะ”
สรนุชเดินไปทันที
“วันนี้ฝึกควายไถนาเป็นไงมั่งเจน?”
“หัวหน้าไม่อยู่ช่วย มันจะดีได้ยังไงล่ะคะ” เจนจิราตัดพ้อ
“ก็พอดีคุณสรนุชเค้า...”
“เจนเข้าใจค่ะ แต่คราวหน้าอยากให้หัวหน้าอยู่ด้วย จะได้ช่วยกันดูไงคะ”
“จ้ะ รับรองคราวหน้าพี่จะอยู่ช่วย พี่ไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ”
เจนจิรายิ้มให้ ใจเด็ดเดินไป สีหน้าเจนจิรากลับมาเศร้า

ใจเด็ดเดินมายังก๊อกน้ำ เปิดน้ำกำลังจะก้มล้างหน้า สายตามองเห็นกระจกบานเล็กๆ ที่ภิรมย์เอามาแขวนไว้เสริมหล่อ ใจเด็ดหยุดมองหน้าตัวเอง
นึกถึงเหตุการณ์วันนี้ใจเด็ดยิ้มน้อยๆ กับสิ่งเล็กๆ ที่ทำให้ประทับใจ

ไม่ต่างใบหน้าสรนุชเองก็กำลังเท้าคางด้วยประทับใจเช่นกัน อรอนงค์กับสุบินเดินเข้ามา
“เหม่ออะไรอยู่ยัยนุช?” อรอนงค์ถาม
สรนุชสะดุ้งรีบแก้ตัว “เหม่ออะไร เปล๊า! ฉันกำลังคิดเรื่องงานของฉันอยู่”
“เล่นหายไปกับนายใจเด็ดทั้งวัน ได้อะไรมามั่ง” สุบินถาม
“เพียบเลย...โดยเฉพาะความลับของนายใจเด็ด”
“ความลับอะไรวะ?” สุบินสงสัย ไม่ต่างจากอรอนงค์
“สถานะการเงินของสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์นี่น่ะสิ กำลังง่อนแง่น ทุกวันนี้ สถานีนี้อยู่ได้ก็ด้วยเงินของนายใจเด็ด ทางราชการไม่มีงบประมาณมาช่วยเหลือเลย” สรนุชพูดอย่างภูมิใจ
“คุณพระช่วย! น่าเห็นใจคุณใจเด็ดจริงๆ เลย” อรอนงค์ทั้งตกใจทั้งเห็นใจ
“ช่วยไม่ได้ ก็อยากดันทุรังจะอนุรักษ์ควาย แอนตี้รถไถ ก็เลยต้องพบกับชะตากรรมแบบนี้” สรนุชเยาะแกมหยัน
“ถ้าสภาพการณ์เป็นยังงี้ แกไม่ต้องเหนื่อยทำอะไรนายใจเด็ดหรอกนุช เดี๋ยวสถานีนี้ ก็คงอยู่ไม่ได้เอง” สุบินว่า
“แต่บริษัทเค้าไม่มานั่งรอหรอก เค้าต้องการให้เปิดตลาดรถไถที่นี่ให้ได้วันนี้ เดี๋ยวนี้ แล้วฉันก็มีเวลาแค่ 1 เดือนเท่านั้นเอง ฉันเดินทางมาไกลแล้ว อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว พวกแก 2 คน ต้องเดินหน้าต่อไป ช่วยฉันนะ!”
สุบินกับอรอนงค์ได้แต่มองหน้ากันอย่างเซ็งๆ

ครู่ต่อมาสรนุชดึงสุบินที่สลึมสะลือออกมาจากห้อง
“ขออีกหน่อยไม่ได้หรือไง” สุบินต่อรอง
“ไม่ได้...นกที่ตื่นเช้าก็จะหาหนอนได้ก่อน”
“หือ...แล้วแกไม่คิดว่าหนอนมันจะตื่นสายบ้างหรือไง”
สุบินล้มเผละลงที่โซฟา
“ก็ได้...ฉันจะไปอาบน้ำก่อน...ถ้าฉันออกมานายต้องลุกเดี๋ยวนี้...โอเค๊”
สุบินส่งนิ้วเป็นสัญญาณว่าโอเค สรนุชส่ายหน้าเซ็งก่อนจะเดินออกไป

ระหว่างนั้นครูสีดาก็เดินขึ้นมาบนเรือนรับรอง แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสุบินนอนอยู่ สุบินได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็คิดว่าเป็นอรอนงค์
“อรที่รัก...นวดมือให้หน่อยนะ”
สุบินส่งมือให้โดยไม่รู้ว่าเป็นครูสีดา ครูสีดาอมยิ้มได้แตะเนื้อต้องตัวผู้ชายจึงค่อยๆ บีบนวดให้
สุบินสบายจนเคลิ้ม “มือเธอใหญ่ขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”
“แล้วไม่ชอบเหรอ”
สุบินได้ยินเสียงครูสีดาก็ลืมตาขึ้นทันที แต่แล้วสุบินก็ต้องตกใจเมื่อเห็นครูสีดาอยู่ตรงหน้า
“เฮ้ย !!! แกเป็นใครวะ...ถอยไปนะเว้ย”
สุบินกระโดดผึงลุกขึ้นชี้หน้าโวยวาย อรอนงค์รีบวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ
“มีอะไร !” พอเห็นครูสีดาก็ตกใจเหมือนกัน “หือ !...ใครอ่ะ”
“โอ้ว...นี่ต้องเป็นคุณอร...ที่จะลงประกวดเทพีแน่ๆ เลย” ครูสีดาเข้าไปจับมือก่อนจะดึงขึ้นมาจูบ “ยินดีที่ได้รู้จั...”
ครูสีดายังไม่ทันได้แนะนำตัวเสร็จ สุบินก็ผ่ากลางวงเข้ามาแล้วเอาตัวขวางอรอนงค์เอาไว้
“ไอ้ฝรั่งชีกอ...ผู้หญิงไทยไม่ได้ง่ายทุกคนนะเว้ย” สุบินของขึ้น
“เหรอ...แล้วชายไทยละ” ครูสีดากวนกลับ
“ก็ว่าไปอย่าง” สุบินนึกได้ “อ้าวเฮ้ย ! ไอ้ฝรั่งนี่กวนซะแล้ว..!”
ระหว่างที่สุบินจะเข้าไปเอาเรื่องครูสีดา เสียงของสรนุชก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“ครูสีดา”
ครูสีดาหันมาทักทาย “อรุณสวัสดิ์จ้ะ”
สุบินรีบกระโดดเข้ามาหารวมกลุ่ม
“เมื่อกี้เธอเรียกไอ้ฝรั่งนี่ว่าอะไรนะ”
“ครูสีดาไง” สรนุชหันมาทางครูสีดา “ครูสีดามาได้ไงคะ”
สรนุชเดินเข้าไปหาครูสีดา สุบินหันไปบ่นกับอรอนงค์
“ครูบ้าอะไรวะ...กล้ามใหญ่กว่านักมวยปล้ำอีก”
“ก็คราวที่แล้วเธอยังไม่ได้ผ้ามาตัดชุดประกวดให้เพื่อนไม่ใช่เหรอ” ครูสีดารีบส่งผ้าให้ “นี่จ้ะ...นี่เป็นผ้าผืนที่สวยที่สุดเลยนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ...แต่แค่นี้ครูไม่น่าต้องลำบากมาเองเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ...ที่จริงแล้ววันนี้ฉันต้องมาตกแต่งต้นไม้อธิษฐาน...ก็เลยติดไม้ติดมือมาให้น่ะ”
สรนุชหูผึ่ง “ต้นไม้อธิษฐานเหรอคะ”
“จ้ะ...ไปด้วยกันมั้ย...ปีนี้ท่าทางงานขวัญควายจะจัดใหญ่กว่าทุกปีเจ้าพวกภิรมย์...สมหญิงดูยุ่งๆ...ฉันก็เลยไม่อยากกวน...”
“ก็เลยมากวนพวกเราแทน” สุบินประชดส่ง
“อย่าเรียกว่ากวนซิ...เรียกว่ามาบอกบุญมากกว่า...รู้มั้ยว่าต้นไม้อธิษฐานนี่เป็นจุดศูนย์รวมชาวบ้านเลยนะ...นะ...ไปด้วยกันนะ”
สรนุชนิ่งไปสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ในเวลาต่อมาครูสีดากับสรนุชก็เดินมาที่ต้นไม้อธิษฐานภายในวัด สรนุชมองไปรอบๆ เห็นชาวบ้านกำลังช่วยกันตกแต่งพวงมะโหดที่เคยทำที่บ้านครูสีดา
“นี่น่ะเหรอคะต้นไม้อธิษฐาน”
ครูสีดากำลังพินิจพิเคราะห์ดูความสวยงามของต้นไม้อธิษฐาน
“ตอนที่ฉันมาอยู่ที่นี่แรกๆ...ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่หนองระบือจะมีเรื่องต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อะไรนี่...จนชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุนับร้อยปีแล้ว...ชาวบ้านที่นี่เชื่อกันว่าที่หมู่บ้านนี้อยู่รอดปลอดภัยมาได้ก็เพราะเทวดาที่อยู่ในต้นไม้นี้คอยปกปักรักษา”
สรนุชแอบบ่นเบาๆ “งมงายจริงๆ...” แล้วหันมาพูดกับครูสีดา “แล้วครูจะให้ฉันทำอะไรเหรอคะ”
ครูสีดายิ้มแทนคำตอบให้สรนุช

เวลาเดียวกันชาวบ้าน 3 คน นั่งทำตาปริบๆ อยู่ภายในห้องทำงานของชิดชัย ผู้จัดการบริษัทสยามคาบาตี้สาขาหนองระบือ ระหว่างนั้นลูกน้องเอาแผ่นพับโบชัวร์รถไถมาแจกให้ทั้งสาม
ชิดชัยเดินเข้ามาด้านหลังของทั้งสามเริ่มขายของทันที
“ที่เราเชิญพวกนายมาในวันนี้...ก็เพราะพวกนายได้รับสิทธิพิเศษจากคาบาตี้...แล้วที่ทุกคนเห็นอยู่ในมือก็คือรถไถรุ่นใหม่ล่าสุดของคาบาตี้”
“เรียกพวกข้ามาบอกแค่นี้เรอะ” ชาวบ้าน 1 ใน 3 ถาม
“อะไร...ฉันบอกแล้วว่าพวกนายคือคนที่รับสิทธิพิเศษจากเรา...เพราะฉะนั้นรถไถที่เห็นอยู่ในมือตอนนี้...ราคาแค่สามแสนนิดๆ...แต่ถ้าพวกนายอยากได้ฉันลดให้เลยสามแสนถ้วน...แล้ว...พวกนายก็สามารถเป็นเจ้าของได้ทันทีแค่เงินดาวน์เพียงห้าพัน...เท่านั้น”
“แล้วไอ้สามแสนที่ว่าละ” ชายชาวบ้านคนเดิมถาม
“ก็ผ่อนง่ายๆ สบายๆ แค่สี่ปีเอง” ชิดชัยบอก
“นี่พวกข้าต้องเป็นหนี้เพราะไอ้รถไถนี่สี่ปีเลยเร๊อะ” ชายคนที่ 2 ถาม
ชิดชัยชะงัก “เอ่อ...อย่าเรียกว่าเป็นหนี้...เขาเรียกว่าการลงทุน...คิดดูซิ...ถ้ามีไอ้รถไถนี่...พวกนายก็สามารถเก็บผลผลิตเร็วขึ้น...จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นกันไง”
คราวนี้ชายชาวบ้านคนที่ 3 สงสัย “ทำอะไร”
ชิดชัยอึ้งไป “เอ่อ...”
“ให้พวกข้าเสร็จเร็วก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร...แล้วอีกอย่างข้าว่านะ...เงินที่ได้แต่ละปีมันก็ไม่ได้มากมายอะไร...แล้วนี่ข้าต้องเอาเงินมาใช้หนี้รถไถนี่อีกหรือไง” ชายคนเดิมว่า
ชายชาวบ้านคนแรกเห็นด้วย “เออ...แล้วไหนจะค่าน้ำมันอีก” หันมองพรรคพวก “เอาไง”
ชาวบ้านทั้งสามมองหน้ากัน พยักหน้าให้กัน ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นทันที
ชิดชัยทำใจดีสู้เสือเอาไว้ “แหม...อยากไปดูของจริงกันใช่มั้ย”
“ข้าว่าพวกข้ากลับไปใช้ควายเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว...ค่าน้ำมันก็ไม่ต้องเสีย...แถมยังมีเงินเก็บอีก” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ว่าแล้วชาวบ้านก็เดินออกไปเลย ชิดชัยพยายามเดินตามพร้อมข้อเสนอพรั่งพรูออกจากปาก
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันให้ใช้ฟรีหกเดือนเลย” ชาวบ้านยังเดินไม่หยุด “หนึ่งปีก็ได้ !!!
สุดท้ายชาวบ้านก็เดินออกไปจากห้องจนหมด โดยไม่สนใจเงื่อนไขชิดชัยเลยสักคนเดียว ชิดชัยโมโหถึงกับตะโกนไล่หลัง
“ไอ้พวกโง่...!” ชิดชัยสบถ
“แล้ว...แล้วเราจะทำยังไงดีละพี่...นี่ก็หลายเดือนแล้วนะที่เราขายไม่ได้เลย”
ลูกน้องถามจี้จุด ชิดชัยถึงกับสติแตก “โว้ย..! จะมาถามอะไรตอนนี้วะ...ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ยอมโดนไล่ออกแน่”
ชิดชัยสีหน้าเครียดร้อนรนในใจ

ส่วนใจเด็ดเดินเข้ามาภายในวัด เจอเข้ากับลุงแช่มพอดี
“ขยันจังนะหัวหน้า...จัดงานคนเดียวทุกปีอย่างนี้ไม่เบื่อหรือไง”
“ไม่เบื่อหรอกลุง...ถ้าเราเบื่อแล้วงานขวัญควายของเราจะดังไปทั่วประเทศได้ยังไง”
“ก็จริงของหัวหน้า...เอ้าๆ...ถ้าหัวหน้าอยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกนะ” ลุงแช่มทอดไมตรี
“ไม่ต้องช่วยอะไรหรอกลุง...แค่เอาควายมาทำขวัญวันงานก็พอแล้ว”
ลุงแช่มโบกไม้โบกมือให้ใจเด็ดก่อนจะเดินออกไป จังหวะนั้นมีเสียงผ่านเครื่องขยายเสียงดังขึ้น
“อยากขายจ๊ะอยากขาย...ทุกอย่างยี่สิบจ้า”
ใจเด็ดเดินเข้ามาที่รถขายของ
“หวัดดีค่ะหัวหน้า...มาทำอะไรคะวันนี้” ป้าคนขายทักทายอย่างคุ้นเคย
“นับควายที่จะไปงานขวัญควายน่ะป้า” ใจเด็ดมองไปที่เสื้อที่วางอยู่ “ตัวเท่าไหร่น่ะป้า”
ใจเด็ดหยิบเสื้อลายลูกไม้สีขาวที่เหมือนกับเสื้อของคนแก่ใส่ไปวัดขึ้นดู ในใจนึกถึงสรนุชว่าถ้าใส่แล้วจะเป็นยังไง
“สามร้อยจ้ะหัวหน้า...” ป้าคนขายชักสงสัย “หัวหน้าจะซื้อไปให้ใครใส่”
ใจเด็ดร้อนตัว “เอ่อ...จะซื้อไปใส่เองน่ะครับ” เห็นสีหน้าป้าตกใจก็เริ่มคิดได้ “เอ๊ย...เอ่อ...เปล่าครับ...ผมแค่อยากถามดูน่ะครับ...ผมไปก่อนน่ะครับ”
ใจเด็ดยกมือไหว้ลาป้าก่อนจะรีบเดินออกมา ป้ามองตามด้วยความสงสัย
ใจเด็ดเดินมาได้สักระยะก็แอบหลบหลังต้นไม้ถอนหายใจ
“พูดอะไรออกไปวะเรา”
ใจเด็ดหันกลับไปมองที่รถขายของอีกครั้ง สายตาจดจ้องที่เสื้อตัวนั้นด้วยความลังเล

ด้านสรนุชเอาพวงมะโหดอันสุดท้ายติดไว้กับต้นไม้เสร็จเรียบร้อย ตามคำแนะนำของครูสีดา
“นี่เสร็จแล้วเหรอคะ”
ครูสีดาเดินเข้ามาหาสรนุชพร้อมกับกระดาษที่มีเชือกผูกเอาไว้ ครูสีดาก้มลงหยิบลูกยางขึ้นมาก่อนจะมัดกระดาษติดไว้กับลูกยาง
“เอาซิ...อธิษฐานเลย” ครูสีดาบอก
“ฮ้า ! เอ่อ...”
“ขอแค่เชื่อ...แล้วคำอธิษฐานของเธอจะเป็นจริง” ครูสีดายัดลูกยางใส่มือสรนุช “เดี๋ยวฉันไปหาหลวงพ่อก่อน”
ครูสีดายิ้มให้สรนุชอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป สรนุชมองลูกยางในมืออย่างงงๆ
“คิดว่าฉันเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้หรือไง”
สรนุชกำลังจะโยนลูกยางทิ้งแต่แล้วก็ชะงัก ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา
“แต่...ลองหน่อยก็ได้”
ว่าแล้วสรนุชก็เอาปากกาขึ้นมาเขียนคำอธิษฐานลงในกระดาษก่อนจะยกมือขึ้นพนม หลับตา
“ถ้าต้นไม้อธิษฐานศักดิ์สิทธิจริง...ขอให้การทำงานของลูกในครั้งนี้สำเร็..” สรนุชจะพูดคำว่า ‘สำเร็จ’ แต่ก็ค้างคำพูดนั้นไว้ เพราะนึกลังเล จิตใจเริ่มโน้มเอียง และเริ่มรู้สึกผิด “เอ่อ...เปลี่ยนใหม่นะเจ้าคะ...ขอให้ลูกมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตก็แล้วกันค่ะ”
สรนุชอธิษฐานแบบครอบคลุมไม่อยากอธิษฐานเจาะจง ว่าพลางสรนุชยกมือขึ้นจบศีษะแล้วเหวี่ยงลูกยางขึ้นไปบนต้นยางเต็มแรง
“ไปเลย”
สรนุชมองตามลูกยางที่ลอยละลิ่วไปตามแรงเหวี่ยง ก่อนจะเห็นว่าลูกยางลอยข้ามต้นยางไป
“อ้าว...”
สรนุชเซ็งที่ลูกยางดันเลยต้นไม้ไป แต่แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงใครบางคนร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย”

สรนุชตกใจขึ้นมาทันที

สรนุชวิ่งมาอีกด้านหนึ่งของต้นไม้อธิษฐาน ก่อนจะเห็นคนหนึ่งกุมหน้าอยู่ด้วยความเจ็บปวด
“เป็นไรมั้ยคุณ”
พอชายดวงซวยหันมา สรนุชก็ต้องอึ้งไปทันที เพราะชายคนนั้นคือใจเด็ดนั่นเอง
“นาย”
“คุณ ! ...คุณมาทำอะไรที่นี่” ใจเด็ดเองก็งง
“ฉันก็มาช่วยครูสีดาแต่งต้นไม้อธิษฐานนี่...แล้วนายล่ะมาทำอะไร”
“ผมรับผิดชอบในการทำคอกที่วัดนี่..มาดูความเรียบร้อยมันแปลกมากเหรอคุณ”
ขณะพูดใจเด็ดมองไปที่ลูกยางที่มีกระดาษคำอธิษฐานของสรนุชตกอยู่ ใจเด็ดเดินไปหยิบขึ้นมา
“นี่คุณเล่นอะไรของคุณ”
สรนุชตกใจรีบวิ่งเข้าไปแย่งลูกยางจากใจเด็ด ใจเด็ดไม่ยอมให้ ต่างสองต่างยื้อแย่งกันไปมา
“นี่...อย่าอ่านนะ”
ใจเด็ดชูลูกยางขึ้นเหนือหัว สรนุชเข้าใกล้ในระยะประชิดเพื่อที่ต้องการจะแย่งลูกยาง
“เอามานี่”
แต่แล้วสรนุชกับใจเด็ดก็ต้องชะงักไปเมื่อใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
ใจเด็ดยื่นคืนให้ “เอาไปซิ”
สรนุชรับมาในอาการงอนนิดๆ “คนไม่มีมารยาท”

ทั้งสองคนต่างเชิดใส่กัน ทำหน้าไม่ถูก เพราะรู้สึกวาบหวิวภายในใจ

เวลาผ่านไป...รถกะบะของใจเด็ดแล่นมาตามถนน ส่วนภายในรถ สรนุชกำลังดูลูกยางและกระดาษคำอธิษฐาน
“หึ...พบสิ่งดีๆ ในชีวิตน่ะเหรอ” สรนุชเหล่มองใจเด็ด “สิ่งเลวร้ายมากกว่า”
ใจเด็ดได้ยินที่สรนุชบ่นก็เหล่กลับ ”บ่นอะไรของคุณ”
“เปล๊า!”
“คนที่บ่นน่าจะเป็นผมมากกว่าหรือเปล่า...อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีใครมาตีหัว...สงสัยคุณคงอธิษฐานขอให้ลูกยางนี่ไปตกใส่หัวคนที่คุณเกลียดละซิ”
“ใครบอก...ฉันอธิษฐานว่า” สรนุชชะงักไป เกือบหลุดปาก “หึ...คิดว่าฉันเชื่อเรื่องอย่างนี้หรือไง”
ใจเด็ดยิ้มเยาะ สรนุชไม่ชอบใจรอยยิ้มนั้น “ยิ้มอะไร”
“เปล๊า”
จู่ๆ รถของใจเด็ดเกิดอาการกระตุกขึ้น
“รถเป็นอะไรน่ะคุณ”
ใจเด็ดมองไปที่หน้าปัด สีหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ใจเด็ดตบไฟรถเลี้ยวเข้าข้างทั้งคู่ลงมาจากรถ ใจเด็ดลงมาเปิดฝากระโปรงรถ สรนุชเข้ามาถามด้วยความกังวล
“ไม่เป็นไรมากใช่มั้ยอ่ะ”
ใจเด็ดเหล่มองสีหน้าเอือมก่อนจะก้มลงไปดูในห้องเครื่อง สรนุชยืนลุ้นอยู่ข้างๆ
“นี่...นี่”
“อะไรของคุณอีก”
“ให้ฉันดูให้มั้ย”
ใจเด็ดสงสัย “ทำไม...คุณซ่อมรถเป็นหรือไง”
“ใช่...เพราะฉันเป็น...เป็น” สรนุชชะงักคำพูดไป แต่ก็ต้องพูดต่อเพราะพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว “เป็นวิศวกรเครื่องยนต์ไง...แต่ว่า...มันคงไม่เหมือนกันหรอกเนอะ”
ใจเด็ดเครียดหนักกว่าเดิมก่อนจะก้มลงไปดูห้องเครื่องต่อ ไม่นานใจเด็ดก็ผลุบออกมาพร้อมกับสายยางดำ สรนุชดีใจ
สรนุชแกล้งโง่เพราะกลัวใจเด็ดสงสัย “โธ่...ที่แท้ก็มีเชือกเข้าไปติดนี่เอง...ไปต่อได้แล้วใช่มั้ย”
“ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ละ...ก็นายเอาออกมาแล้วนี่”
“อันนี้เขาเรียกว่าสายพาน...ตอนนี้มันสายพานขาด...รถก็ขับไม่ได้เข้าใจมั้ย”
สรนุชแอบพูดคนเดียว “รู้หรอกน่า” แล้วแกล้งทำเป็นตกใจ “แล้ว...แล้วทำไง...นายโทร.ตามใครมาลากได้มั้ย” สรนุชยิ้มเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ผมไม่มีโทรศัพท์”
สรนุชตกใจจริง “ฮ้า ! อย่าบอกนะว่าเราต้องเดินกลับสถานี”
“หรือคุณจะเดินกลับไปที่วัดก็ได้เพราะระยะทางมันพอๆ กัน”
“นี่...ไม่กวนฉันซักนาทีมันจะตายมั้ย” สรนุชเริ่มนึกออก “จริงซิ...นายก็เดินกลับไปที่สถานีเรียกคนมาลากรถ...ส่วนฉันก็จะนั่งรอตรงนี้ไง...ดีมั้ย”
แต่ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องดังครืนใหญ่
ใจเด็ดเหล่มองสรนุชแล้วเดินออกไป สรนุชอ้ำอึ้ง คิดใจในว่าเอาไงดี จังหวะนั้นก็เกิดฟ้าแลบแปล๊บขึ้น
“ว้าย ! เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน...รอฉันด้วย”
สรนุชรีบวิ่งตามใจเด็ดออกไป

ใจเด็ดเดินจ้ำอ้าวๆ มาตามทาง มีสรนุชกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาข้างหลัง
“นี่...รอฉันด้วยซิ”
จังหวะนั้นใจเด็ดหยุดกึก กะทันหันเพราะเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้สรนุชชนเข้ากับใจเด็ดเต็มๆ
“โอ๊ย ! จะหยุดทำไมไม่บอกเนี่ย”
ใจเด็ดไม่ได้สนใจคำพูดสรนุช เพราะตามองไปยังสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า “กระท่อม...ผมว่าเราเข้าไปหลบฝนในนั้นก่อนดีกว่า”
สรนุชมองเข้าไปที่กระท่อมแล้วก็เกิดกลัวขึ้น “ไม่...ยังไงฉันก็ไม่ไป”
ทันทีที่จบคำพูดของสรนุช ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ใจเด็ดไม่รอให้สรนุชพูดอะไร คว้ามือดึงร่างสรนุชวิ่งไปที่กระท่อมทันที
“ว้าย” สรนุชร้องเสียงหลง

ใจเด็ดกับสรนุชปัดเนื้อปัดตัวที่เปียกปอนเพียงนิดหน่อย ขณะที่ได้ยินเสียงฝนตกลงมาเฉียดฉิวหวุดหวิด
“ไงละ...เกือบไม่ทันเห็นมั้ย”
“ทำไม...นายกำลังจะบอกว่าความผิดฉันหรือไง...ถ้าจะมีคนผิดก็คือนาย ที่ไม่ดูแลรักษารถให้มันดี”
“อย่างนี้แหละผมถึงเบื่อพวกเครื่องจักร”
“แต่ถ้านายขี่ควายกลับก็ไม่ทันฝนเหมือนกัน”
ใจเด็ดเหล่มองสรนุช สรนุชนึกได้ว่าออกตัวปกป้องพวกรถไถมากไปเลยเฉไปเรื่องอื่น
“แล้วเราต้องติดอยู่ในกระท่อมนี่อีกนานแค่ไหนเนี่ย”
ใจเด็ดมองประเมินลักษณะฝนที่อยู่ด้านนอก “ตกหนักขนาดนี้ไม่น่าจะนาน”
“ก็ดี...”
“แต่ผมว่าคุณลองติดฝนอยู่ที่นี่ซักคืนก็ดีเหมือนกัน”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็รีบจับคอเสื้อขึ้นปิดคอ แล้วเหล่มองใจเด็ดแปลกๆ ขณะที่ใจเด็ดไม่รู้เลยว่าสรนุชคิดอะไรเพราะเอาแต่มองสายฝนนอกกระท่อม
“อยู่ที่กรุงเทพฯ คุณคงไม่เคยนอนฟังเสียงฝน...ได้กลิ่นไอฝนเหมือนที่นี่...ผมว่าระหว่างที่เรารอฝนหยุดคุณจะนอนพักก็ได้”

ใจเด็ดมองออกไปเบื้องหน้าอย่างสบายๆ ไม่กังวลใดๆ ในขณะที่สรนุชเหล่มองใจเด็ดอย่างไม่วางใจนัก
ส่วนเหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ เจนจิรากำลังยืนเหม่อมองสายฝนที่เริ่มตกโปรยปรายและในใจก็ยิ่งนึกเป็นห่วงใจเด็ดครามครัน ระหว่างนั้นเสียงสุบินก็ครวญเป็นเพลงดังขึ้น

“เขาบอกว่าฟ้าร้องไห้ออกมาเป็นสายฝน...อยากรู้นักฟ้าที่เบื้องบน...ต้องมาร้องไห้เพราะใคร”
“นาย..!” เจนจิราฉุนนัก
“รอคุณใจเด็ดอยู่เหรอครับ” สุบินใส่อีกดอก
“ถ้านายไม่มีอะไรจะพูดก็หุบปากไปเลย”
“อะไรกันคุณ...ผมอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนคุณเพื่อตอบแทนที่คุณสอนผมไถนานะเนี่ย”
“ฉันไม่ได้อ้อนวอนซะหน่อย...นายอยากจะไปไหนก็ไป...ฉันอยากอยู่คนเดียว”
พูดจบเจนจิราก็หันหนีไปมองความมืดเบื้องหน้า สุบินแอบมองแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทัน

เวลาเดียวกันภายในกระท่อมกลางนา สรนุชนั่งมองสายฝนที่ตกหนักกว่าเดิมอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะหยุดอย่างที่นายว่าเลย”
สรนุชหันไปมองก็เห็นใจเด็ดนอนคุดคู้อยู่ สรนุชยี้ปากหมั่นไส้
“นอนได้นอนดี...หึ !”
สรนุชหันกลับไปมองสายฝนต่อ ระหว่างนั้นมีแมงมุมตัวหนึ่งค่อยๆ ไต่มาตามพื้นก่อนจะไต่มาที่ขาของสรนุช
สรนุชสะดุ้งนิดหนึ่งแยกเขี้ยว
“ฉันนึกแล้วว่านายมันไอ้พวกลา...”สรนุชจะพูดคำว่าลามกออกมา
สรนุชคว้าหมับไปที่แมงมุมเพราะคิดว่าเป็นมือของใจเด็ด ทันใดนั้นสรนุชก็ต้องตกใจตาเหลือเพราะแมงมุมติดอยู่ที่มือของตน
“อ๊าย”
สรนุชตกใจกรีดร้องลั่นก่อนจะวิ่งพรวดออกจากกระท่อมไป ใจเด็ดสะดุ้งตื่นเห็นสรนุชวิ่งออกไปพอดี
“คุณ! คุณ!”
ใจเด็ดกระโดดพรวดวิ่งตามสรนุชออกไปทันที

สรนุชวิ่งตกใจออกมากลางทุ่งนาโดยไม่สนใจว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง ด้วยอารมณ์ตกใจกลัวสุดชีวิต ใจเด็ดวิ่งตามมาติดๆ จนมาทันก่อนจะคว้าแขนสรนุชเอาไว้ได้
“เป็นไรคุณ”
“มะมะมะแมง...แมงมุม”
“แมงมุม”
ใจเด็ดทำหน้าเอือม ก่อนจะดึงแขนสรนุช
“เข้าไปได้แล้ว...ตากฝนอย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี”
“ไม่...ยังไงฉันก็ไม่เข้าไป”
ใจเด็ดไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา จึงคว้าตัวสรนุชขึ้นบ่า
“อ๊าย ! ทำบ้าอะไรของนาย...ปล่อย...ปล่อยฉัน”
ใจเด็ดไม่สนใจแบกสรนุชกระเตงๆ เดินฝ่าสายฝนกลับไปที่กระท่อมท่ามกลางเสียงโวยวายของสรนุช

ใจเด็ดจะถอดเสื้อ สรนุชตกใจ รีบหันหลังให้
“เฮ้ย ! นายทำอะไรน่ะ”
“ผมหนาวจะตายอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมต้องมาเปลี่ยนต่อหน้าฉัน” สรนุชโวยลั่น
“กระท่อมมันก็มีอยู่แค่นี้...จะให้ผมถอดที่ไหนล่ะ”
สรนุชพูดไม่ออก เห็นใจเด็ดเปลี่ยนเสื้อผ้า
“เสร็จยัง?”
“เสร็จแล้ว”
สรนุชหันมาแล้วตกใจรีบปิดตา “ไหนบอกว่าเสร็จแล้วไง...ทำไมยังแก้ผ้าอยู่”
“แก้ผ้าที่ไหน? ไม่เห็นจะโป๊ซักนิด”
“ทำไมไม่ใส่เสื้อ”
“ที่ผมไม่ใส่เสื้อก็เพราะว่าเสื้อมันเปียก...แล้วที่มันเปียกก็เพราะว่าผมวิ่งตามคุณ...เข้าใจ๊”
สรนุชนิ่งเงียบพูดไม่ออกเพราะมันเป็นความผิดเธอเต็มๆ ใจเด็ดมองสรนุชก่อนจะอ่อนลง
“ใส่เสื้อเปียกๆ น่ะมันจะไม่สบาย...คุณเองก็เหมือนกัน...ถอดเสื้อซะ”
“เฮ้ย ! นั่นไง...ฉันว่าแล้วนายมัน...”
ใจเด็ดต่อให้ทันที “...นายมันคนฉวยโอกาส...นายมันบ้าลามกโรคจิต...นี่คุณ...ถ้าผมจะทำอะไรคุณผมทำไปนานแล้ว...”
สรนุชยี้ปากหมั่นไส้

เวลาผ่านไป...ใจเด็ดกับสรนุชนั่งมองสายฝนอยู่ด้วยกัน สรนุชนั่งหันหน้าไปคนละทางเพราะใจเด็ดถอดเสื้อเลยทำให้สรนุชไม่กล้าหันมองมาแถมยังนั่งสั่นด้วยความหนาว
สรนุชเสียงสั่น “ทำไมไม่มีใครคิดจะออกมาตามหาเราเลยหรือไง”
“นี่คุณ...ไอ้ฝนตกนี่มันธรรมดาของที่นี่...” ใจเด็ดอยากให้สรนุชหายเครียด “รู้มั้ยว่าใครกลัวฝน”
“ใคร..?”
“เจ้าสาว” ใจเด็ดว่า สรนุชยิ่งทำหน้าสงสัย “ก็เจ้าสาวที่กลัวฝนไง...” ใจเด็ดร้องเพลงออกมา “หากเธอคิดพบรักที่ชื่นฉ่ำ...อย่ามัวทำตามความคิดเดิม”
สรนุชอมยิ้มแล้วหัวเราะ
ใจเด็ดยิ้มให้ “ขำละซิ”
“ใช่...แต่ฉันไม่ได้ขำมุขนายนะ...” สรนุชเน้นเสียง “แต่ฉันขำที่มันแป้ก”
ใจเด็ดจากหน้าที่ยิ้มอยู่เลยกลายเป็นหน้าเจื่อนลงสนิท
แล้วทุกอย่างก็เงียบงันลงอีก สรนุชเห็นว่าโอกาสเหมาะที่จะลองพูดคุยเรื่องควายเลยชวนใจเด็ดคุย
“นายไม่คิดจะมีชีวิตปกติธรรมดาอย่างคนอื่นเขาบ้างหรือไง”
“แล้วชีวิตผมมันไม่ธรรมดาตรงไหน”
“ก็ตรงที่มันมีแต่ควายไง”
ใจเด็ดนิ่งไปอย่างครุ่นคิดภายในใจ
“คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ...ฉันรู้ว่านายรู้สึกผิดที่ตอนเป็นเด็กนายช่วยควายตัวเองไว้ไม่ได้”
ใจเด็ดชะงักหันมองสรนุช ทำเอาสรนุชชะงักไปก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกไป
“เอ่อ...หมอเกริกไกรเขาเล่าให้ฉันฟังน่ะ” สรนุชแล้วรีบเข้าประเด็น “ฉันแค่อยากจะบอกนายว่า...ถ้านายยังทิ้งเรื่องในอดีตไม่ได้...ชีวิตนายก็จะติดอยู่แต่ตรงนี้...นายต้องช่วยควายอีกกี่ร้อยกี่พันตัวมันถึงลบแผลในใจของนายได้”
ใจเด็ดจ้องหน้าสรนุชเขม็งเต็มไปด้วยความฉงน
“คุณเข้าใจว่าผมมาอยู่ตรงนี้เพราะเรื่องในอดีตหรือไง”
“หรือว่าไม่ใช่ละ”
“ผมยอมรับว่าตอนแรกมันก็เป็นอย่างที่คุณว่า...แต่ตอนนี้ไม่ใช่”
สรนุชแปลกใจก่อนจะอยากรู้เหตุผลของใจเด็ด
“คุณรู้มั้ยว่าคนกับควายต่างกันตรงไหน”
สรนุชส่ายหน้า
“ควายรักเราโดยไม่มีเงื่อนไข”
สรนุชนิ่งงันไปเมื่อรู้ความลับของใจเด็ดอีกอย่าง ระหว่างนั้นเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เปรี้ยงงง!!!
“ว้าย”
อารามตกใจเสียงฟ้าร้องจนสรนุชเผลอกระโดดเข้าไปกอดใจเด็ด ครั้นพอทุกอย่างสงบลงสรนุชกับใจเด็ดก็สบตากันซึ้ง บรรยากาศทุกอย่างเป็นใจ หัวใจของทั้งคู่เต้นโครมคราม แต่ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังสบตากันซึ้ง จู่ๆสรนุชก็จามออกมาซะงั้น
“เช้ย”
ใจเด็ดสะดุ้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำลายสรนุช เลยทำให้มู้ดโรแมนติกเสียหมดเลย ทั้งสองรีบเด้งผึง ! ออกจากกันทันที แล้วแยกไปนั่งเขินกันคนละมุม

ส่วนที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ เจนจิราเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย โดยมีสุบิน เกริกไกรและอรอนงค์นั่งรออยู่ด้วย
“หมอ...เจนออกไปตามหัวหน้านะคะ”
“จะออกไปหาทำไม...ไอ้เด็ดมันไม่ใช่เด็กสองขวบนะ” เกริกไกรบอก
“เอ...หรือว่าคุณห่วงยัยนุช” สุบินประชดเจนจิรา
อรอนงค์ไม่รู้เลยว่าสุบินเขาแค่พูดแหย่เจนจิรา แต่ดันเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ “จริงเหรอคะคุณเจน...คุณเจนเป็นคนดีจัง...พวกเรารู้จักกันไม่เท่าไหร่แต่คุณเจนก็ยังเป็นห่วงพวกเราขนาดนี้”
เจนจิราน้ำท่วมปากพูดไม่ออก “เอ่อ...”
สุบินโพล่งขึ้น “อ้าว...คุณใจเด็ด”
เจนจิราหันขวับไปทันที แต่ก็พบกับความว่างเปล่า สุบินกลั้นยิ้มขำ
“ผมลองเสียงน่ะครับ...เผื่อเวลาคุณใจเด็ดกลับมาจะได้รู้ว่าต้องตกใจคีย์ไหน”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของนาย” เจนจิราฉุนขาด
สุบินมองไปด้านหลังอีกที “อ้าว...คุณใจเด็ด”
เจนจิรากำหมัดโกรธจนตัวสั่นขณะเดินเข้ามากระชากคอเสื้อสุบิน ทุกคนต้องกรูเข้าไปห้ามกันวุ่นวาย
“ถ้านายพูดอีกทีละก็...”
เจนจิราพูดไม่ทันจบ ระหว่างนั้นเสียงของใจเด็ดก็ดังขึ้นจริงๆ
“ทำอะไรน่ะทุกคน”
ทุกคนหันไปก็เห็นใจเด็ดกับสรนุชยืนอยู่ สุบินรีบดึงมือเจนจิราออกจากคอเสื้อ
“ไง...คิดว่าผมพูดเล่นหรือไง...อ้าว...นี่ไงคุณใจเด็ดเขากลับมาแล้ว...จะเป็นห่วงเป็นใยอะไรก็เชิญ”
สุบินพูดประชดประชันเจนจิราที่คิดว่าเขาโกหก แต่เจนจิรากลับหน้ามุ่ยด้วยความโมโห เพราะคิดว่าสุบินกำลังขายเธอ เจนจิราเดินหงุดหงิดออกไป ทุกคนมองตามด้วยความสงสัย

เย็นนั้นอรอนงค์จับเนื้อจับตัวสรนุชหมุนไปหมุนมาอย่างเป็นห่วง
“แกเป็นอะไรรึเปล่านุช...คุณใจเด็ดปล้ำแกรึเปล่า”
“พูดบ้าๆ น่าอร...ลองกล้าทำสิ...ฉันได้เอาหมัดกระทุ้งปากให้เป็นผีเฝ้ากระท่อมเลย”
“แต่ก็ไม่แน่นะ...เมื่อกี้เธอบอกว่า...เธอติดอยู่ที่กระท่อมกลางทุ่งนาใช่มั้ย” สุบินว่า
“ใช่” สรนุชรับคำ
“ท่ามกลางฝนที่โปรยปราย” สุบินถาม
“ใช่” สรนุชรับคำอีก
สุบินดีดนิ้วดังเปาะ! “แหม...นี่มันละครไทยชัดๆ...พระเอกนางเอกมันจะได้กันก็ฉากนี้แหละวะ”
สรนุชหมั่นไส้หันไปฉีกปากสุบิน “ได้อะไร...ได้อะไร...ฮ้า”
“โอ๊ย” สุบินร้องลั่น
“แล้วแกติดอยู่กับคุณใจเด็ดสองสามชั่วโมงทำอะไรกันมั่งน่ะนุช”
สรนุชนิ่งไปเรื่องความลับของใจเด็ด “เอ่อ...ก็ไม่ได้ทำอะไร...ต่างคนต่างนอน”
สุบินตกใจตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน “นอน”
“อยากโดนอีกใช่มั้ย” สุบินยิ้มแหย สรนุชพูดต่อ “พวกแกสองคนฟังนะ...ฉันกับนายใจเด็ดไม่ได้มีอะไร...ไม่ได้รักกันไม่ได้คุยกัน...ไม่ได้ๆๆๆๆ เข้าใจหรือยัง”
สรนุชรีบเดินจากไปเพราะเบื่อตอบคำถาม อรอนงค์กับสุบินมองตามอย่างสงสัย

ใจเด็ดกับเกริกไกรกลับเข้ามาภายในบ้านพัก เกริกไกรยังไม่หายสงสัย
“แกบอกฉันมาสักทีสิวะใจเด็ด...ตกลงแกกับคุณนุช...อืม...กันแล้วเหรอวะ”
ใจเด็ดตกใจ “หมอ !!...พูดอย่างนี้ใครมาได้ยินเข้า...ฉันเสียหายนะ”
เกริกไกรตะลึง สีหน้าขึ้งโกรธ “แก...แก”
ใจเด็ดรีบห้ามเกริกไกรเพราะคิดว่าเกริกไกรโกรธ
“ไอ้หมอใจเย็นๆ...ฉันกับคุณนุช…”
เกริกไกรพุ่งพรวดเข้ามาหาใจเด็ดพร้อมกับกอดขากอดแขน
“อาจารย์...!” ใจเด็ดงง เกริกไกรพ่นออกมา “อาจารย์ช่วยสอนไอ้วิธี...อืม...ให้ผมหน่อยนะ”
ใจเด็ดไม่เก็ท ทำหน้างง “ไอ้หมอ ! ฉันบอกว่าฉันกับคุณนุช...ไม่ได้มีอะไรกันเว้ย...แล้วฉันก็ไม่อยากให้แกคิดอย่างนั้นเพราะคุณนุชเขาจะเสียหาย”
ใจเด็ดดันหน้าเกริกไกรออก ก่อนจะเดินชิ่งหนีออกไปเลย
“อาจารย์...อาจารย์รอศิษย์ด้วย” เกริกไกรร้องตามหลัง

ใจเด็ดนอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียงในห้องนอนที่บ้านพัก คิดไปถึงตอนที่อยู่ในกระท่อมกับสรนุช

เช่นเดียวกับสรนุชนั่งอยู่ที่แคร่ คิดถึงเรื่องที่อยู่ภายในกระท่อมกับใจเด็ดเช่นกัน ระหว่างนั้นสรนุชจามฟอดเบ้อเริ่ม
“ฮ้าดดเช้ยย” สรนุชเอามือยีจมูกฟุดฟิด “หรือว่านายนั่นกำลังคิดถึงเราเหมือนกัน” สรนุชสะบัดหัวไล่ความคิด “บ้าแล้วๆ...คิดอะไรบ้าๆเนี่ยเรา” แล้วก็รู้สึกมึนหัวขึ้นมา “โอ๊ย...ทำไมมันมึนหัวอย่างนี้”
สรนุชพยายามจะยันตัวลุกจากแคร่เพื่อขึ้นเรือน จู่ๆ สายตาของสรนุชเห็นภาพเบื้องหน้าส่ายไปมาเหมือนโลกหมุน ทันใดนั้นสรนุชก็ฟุบเป็นลมหมดสติอยู่ที่ด้านหลังแคร่ สรนุชหายใจหอบโยนด้วยพิษไข้

รุ่งเช้าวันต่อมา อรอนงค์อยู่ในชุดนอนเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน ก่อนจะเจอสุบินที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
“ยัยนุชละ”
“อยู่ด้วยกันทั้งคืน...เรื่องอะไรมาถามฉันละ”
อรอนงค์ทำหน้าแปลกใจ “เอ้า...ก็ถ้ายัยนุชอยู่ฉันจะถามแกทำไมละ”
“โอเคๆ...สรุปว่ายัยนุชไม่อยู่...ก็แค่นั้น”
สุบินจะเดินไป อรอนงค์เรียกเอาไว้
“แล้วนายไม่สงสัยหรือไงว่ายัยนุชหายไปไหนแต่เช้า”
“ทำไมต้องสงสัย...ยัยนุชมันโตแล้ว...จะไปไหนก็ปล่อยไปเถอะ” สุบินชะงัก “หรือว่า...ยัยนุชอาจจะติดใจคุณใจเด็ด...ก็เลยแอบย่องออกไปตอนกลางคืน”
“บ้า ! คิดได้แค่นี้หรือไง”
“เออ...ฉันคิดได้แค่นี้พอใจหรือยัง...เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องถามฉันอีก...เพราะฉันคิดได้แค่นี้...โอเค๊”
สุบินเดินเช็ดหัวออกไป อรอนงค์ได้แต่สงสัย
“ไปไหนแต่เช้านะยัยนุช”

เวลาเดียวกันนั้นผู้พันชาญณรงค์อยู่ในชุดวอร์มเตรียมพร้อมจะไปออกกำลังกาย
“แกคิดว่าวิธีนี้หนูอรเขาจะหันมาสนใจฉันจริงๆ เหรอวะ” ชาญณรงค์หันมาถามบ่าวคนสนิท
“อ้ะ...แน่นอนครับนาย...นายไม่เคยได้ยินเพลงของไอ้หนุ่มแขนซ้ายลายมังกรเหรอครับ...” สมคิดว่าพลางก็เอื้อนเพลงลูกทุ่ง “มีเมียเด็ก...ต้องหมั่นตรวจเช็คร่างกาย”
ชาญณรงค์หัวเราะชอบใจ “เออ...จริงของเอ็ง...แหมได้ยินเพลงแล้วเลือดลมมันสูบฉีด”
ระหว่างนั้นมีเสียงใครบางคนดังขึ้น “สวัสดีครับผู้พัน...”
ชาญณรงค์กับสมคิดหันไปก็เห็นชิดชัยเดินยกมือสวัสดีเข้ามา
“หวัดดีๆ...ไปข้างหน้าก่อนไป”
“เดี๋ยวซิครับผู้พัน...ผมไม่ได้จะมาขายรถไถให้ผู้พันซะหน่อย” ชิดชัยบอก
ชาญณรงค์เหล่มอง
“ในฐานะที่เราทั้งคู่เกลียดควายเหมือนกัน...ผมว่าเราน่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์ให้ไอ้พวกกระบือบาลในวันงานทำขวัญควายหน่อยดีมั้ยครับ”
ชาญณรงค์มองจ้องชิดชัยที่ยิ้มร้ายเหมือนมีแผนในใจ

อรอนงค์ เกริกไกร สุบิน และเจนจิราเดินเข้ามาภายในวัด เจนจิรามีหน้าตาดูไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ สุบินเห็นอย่างนั้นก็แซวทันที
“เข้าวัดไม่ได้เหรอคุณ”
เจนจิราหันขวับ เหล่มองด้วยความหงุดหงิด “อะไร”
“เอ้า...ก็ดูคุณทำหน้าซิ...เหมือนร้อนๆ ยังไงไม่รู้...นี่...มันต้องยิ้มแบบนี้...” สุบินยิ้มแป้นโชว์ “ให้มันมีความสุข”
“แต่ฉันว่าหน้าคุณมันไม่เหมือนคนมีความสุขเท่าไหร่นะ” เจนจิรากัด
“แล้วเหมือนอะไร”
“เหมือนคนบ้า!” สุบินสะดุ้ง เจนจิราหันไปถามเกริกไกร “ทำไมหมอต้องบังคับให้มาด้วย งานเจนที่สถานียังไม่เรียบร้อยเลยนะคะ”
“ต้องขอโทษคุณเจนด้วยนะคะ...ที่พวกเรารบกวนให้พามาที่วัด” อรอนงค์รู้สึกผิด
“ถ้าจะโทษต้องโทษยัยนุช...ไม่รู้จะมาวัดทำไมแต่เช้า” สุบินบ่น
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณอร...ก็ดีเหมือนกัน พรุ่งนี้เป็นงานขวัญควาย...พวกเรามาไหว้ขอพรหน่อยก็ดี...เผื่ออะไรๆ มันจะได้ราบรื่น”
ระหว่างนั้นมีเสียงดังขึ้นด้านหลัง “สวัสดีครับทุกคน”
ทุกคนหันไปก็เห็นโชคชัยเดินเข้ามา
“หวัดดีครับคุณโชคชัย” สุบินเอ่ยทัก
“หวัดดีครับ” โชคชัยมองหาสรนุช “แล้วคุณนุชละครับ”
“อ้าว...ยัยนุชไม่อยู่ที่นี่เหรอคะ” อรอนงค์งง
“ไม่นี่ครับ...ผมมาช่วยหลวงพ่อท่านเตรียมงานตั้งแต่เช้าก็ยังไม่เห็นเลย” โชคชัยแปลกใจแกมเป็นห่วง “ทำไมครับ...คุณนุชหายตัวไปเหรอครับ”
“โอ๊ย...อย่าพูดให้ดูน่ากลัวอย่างนั้นเลยครับ...ถ้ายัยนุชไม่อยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่ที่สถานี...บางทียัยนุชอาจจะอยู่กับคุณใจเด็ดก็ได้นะ” สุบินโพล่งออกมา
“บ้า ! คิดได้แค่นี้หรือไง” อรอนงค์ฉุน
คำพูดของสุบินทำให้ทั้งโชคชัยและเจนจิราต่างชะงักไป
“ทำไมคุณนุชต้องอยู่กับใจเด็ดครับ
“เอ้า...ก็เหมือนวานสองคนนั้นติดฝนด้วยกันมาไงครับ”
“นี่...แกไม่ต้องพูดเลยสุบิน...จะขายยัยนุชมากเกินไปแล้วนะ” อรอนงค์เอ็ดเอา
“ขายอะไร...คนเราติดอยู่ในกระท่อมด้วยกันนานสองนาน...มันก็ต้องมีพูดคุยกันบ้าง...ฉันไม่ได้คิดอะไรอย่างที่แกคิดหรอกน่า”
ฟังที่สุบินพูด ทำเอาโชคชัยมีสีหน้าเครียดกว่าเดิม อย่างใช้ความคิดหนัก
ภิรมย์เดินจูงควายสามตัวที่ช่วยกันลากรถใจเด็ดเข้ามาที่สถานี “เอ้า...ยอ...ยอ”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินออกมาพอดี
“ขอบใจมากนะภิรมย์...ไป...รีบพาเจ้าพวกนี้ไปแช่ปลักไป”
“หัวหน้าจะไม่ถ่ายรูปเก็บไว้หน่อยเหรอครับ”
“ถ่ายรูป..?”
“เอ้า...ก็ควายลากรถไงครับ...ชาวบ้านจะได้เห็นว่ายังไง๊ยังไงควายก็ดีกว่าพวกเครื่องจักร”
“ไม่ต้องหรอก...ฉันว่าชาวบ้านเขารู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้ว...ไป...เดี๋ยวฉันดูทางนี้ต่อเอง”
ภิรมย์ปลดเชือกและพาควายทั้งสามไปแช่ปลัก ใจเด็ดเดินเข้ามาดูที่รถแล้วเปิดประตูรถ ทันทีที่ประตูรถเปิดออก ใจเด็ดก็ต้องชะงักเมื่อเห็นถุงเสื้อที่เขาซื้อมาฝากสรนุชยังวางอยู่ที่เบาะหลัง
ใจเด็ดรีบเดินมาที่เรือนรับรอง ระหว่างนั้นสายตาของเขาเหลือบไปเห็นสรนุชนอนหมดสติอยู่ที่พื้นหลังแคร่หน้าบ้านนั่นเอง
“คุณ..!” ใจเด็ดตกใจสุดขีด
สมหญิงเดินผ่านมา ได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งเข้ามาดู
ใจเด็ดสะดุ้งเพราะเนื้อตัวของสรนุชร้อนกว่าปกติ ลองเอามือขึ้นมาอังหน้าผากสรนุช จึงรู้ได้ทันทีว่าสรนุชเป็นไข้
“คุณนุช”

ไม่นานหลังจากนั้นใจเด็ดค่อยๆ วางสรนุชลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ครู่ต่อมาใจเด็ดกำลังบิดผ้าขนหนูพอหมาด แล้วเริ่มเช็ดตัวให้กับสรนุช ก่อนจะเอาผ้าเช็ดหน้ามาวางอังที่หน้าผากด้วยความเป็นห่วง
ระหว่างนั้นสรนุชเริ่มรู้สึกตัว สายตาของสรนุชที่พร่ามัวเห็นชายคนหนึ่งกำลังดูแลเธออยู่

สมหญิงไปเอายาลดไข้ในออฟฟิศมาให้ใจเด็ด “ทำไมคุณนุชไม่สบายเหรอคะ”
ใจเด็ดพยักหน้าเครียดๆ “สงสัยจะเป็นเพราะตากฝนเมื่อคืน”
“แล้วทำยังไงดีล่ะคะ” สมหญิงนึกหวั่นวิตกไม่แพ้ใจเด็ด
ใจเด็ดคิดไปคิดมา “ไข้สูงขนาดนี้ฉันกลัวคุณนุชจะช็อก เดี๋ยวฉันจะไปตามหมอที่อนามัย...ฝากดูคุณนุชด้วยนะสมหญิง”
พูดจบใจเด็ดก็รีบวิ่งออกไป
ครู่ต่อมาใจเด็ดเดินมาที่รถอีกคันของสถานีแล้วรีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว

เวลานั้นช่อผกาใส่แว่นดำ เอาผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาเดินเข้ามาที่สถานีอนามัย ก่อนจะเดินมาหาพยาบาลเวรตรงเคาน์เตอร์
“ที่นี่มีหมอผิวหนังมั้ย”
พยาบาลเงยหน้าขึ้นมอง เห็นช่อผกาที่ปิดหน้าปิดตาราวกับดาราก็แปลกใจ
“แล้วคุณเป็นอะไรมาคะ”
“ฉันถามเธอว่าที่นี่มีหมอผิวหนังมั้ย...ไม่ใช่ให้หล่อนมาถามฉันกลับ” ช่อผกาแว้ดกลับ
“ก็ถ้าคุณไม่บอกว่าเป็นอะไร...เราก็ไม่รู้ว่าจะรักษายังไงนะคะ” พยาบาลบอก
“เว้ย ! เรื่องมากจริง” ช่อผกาเหวี่ยงตามนิสัย
ระหว่างนั้นช่อผกาเห็นใจเด็ดกำลังลงจากรถ ช่อผกาจ้องเขม็งดึงแว่นกันแดดออกมอง
“พี่เด็ดนี่.. !!! ไม่ได้...ถ้าพี่เด็ดเห็นเราตอนนี้พี่เด็ดต้องเกลียดเราแน่ๆเลย”
ช่อผกาหันรีหันขวางก่อนจะเดินหลบออกไปด้านหลัง แต่แล้วช่อผกาก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แต่ถ้าเราบอกพี่เด็ดว่าที่เราเป็นอย่างนี้เพราะพวกกรุงเทพฯแกล้งเรา...บางทีเราอาจชนะโดยไม่ต้องประกวดก็ได้”
ช่อผกาผุดยิ้มร้ายให้กับแผนที่คิดขึ้น แล้วรีบแถเดินตามใจเด็ดไปทันที
“พี่เด็ดขา...พี่เด็ด”

ใจเด็ดกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามทางด้วยความรีบร้อน โดยไม่เห็นว่าช่อผกาเดินตามมาทางข้างหลัง
“พี่เด็ด...รอผกาด้วย...พี่เด็ด”
ใจเด็ดชะงักไปเหมือนได้ยินเสียงคนเรียกจึงหันกลับไปมอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นช่อผกา
“ผกา”
ใจเด็ดมองเห็นห้องตรวจอยู่ข้างหน้า จึงรีบหลบเข้าไปทันที

ช่อผกาเดินเข้ามาในห้องตรวจพร้อมกับร้องโหวกเหวกโวยวายหาใจเด็ด “พี่เด็ด...พี่เด็ด”
“อ้าว...คุณผกา...มีอะไรครับ...” หมอมองหน้าแล้วสงสัย “หน้าไปโดนอะไรมาครับ”
“หมอไม่ต้องยุ่ง...” ช่อผกไม่ใส่ใจ ในขณะที่หมอสะดุ้งที่โดนช่อผกาเอ็ดเข้าให้ “พี่เด็ดอยู่ไหน”
“หัวหน้าใจเด็ด..? หัวหน้าใจเด็ดเขาจะเข้ามาที่นี่ทำไม”
“โกหก...” ช่อผกาตวาดแว้ดหมอถึงกับผงะ “ก็ฉันเห็นกับตาว่าพี่เด็ดเข้ามาในนี้”
“คุณช่อผกาครับ...ผมคงต้องขอให้คุณออกไปก่อน เพราะมันรบกวนคนไข้ของผม”
หมอหันมองไปทางเตียงที่มีผ้าม่านปิดล้อมรอบ ช่อผกาหรี่ตาสงสัยก่อนจะเดินตรงไปที่ผ้าม่าน
“จะทำอะไรน่ะ”
สิ้นเสียงหมอ ช่อผกาก็กระตุกม่านบังเตียงเปิดออก ก่อนที่จะตกใจเมื่อเห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง
“อุ้ย”
“ก็บอกแล้วไงว่าหัวหน้าเขาไม่ได้อยู่ในนี้”
ช่อผกาฮึดฮัดก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจไป
คล้อยหลังช่อผกาไปไม่นาน ใจเด็ดก็โผล่หน้าออกมาจากใต้โต๊ะที่ทำงานของหมอ
“ขอบคุณมากนะหมอ”
“ไม่เป็นไร...” หมอส่งถุงยาให้ “ทานยานี่ไปก่อนนะ...วันนี้คนไข้เยอะจริงๆ มีเคสหนักด้วย ผมทิ้งไปไม่ได้จริงๆ”
ใจเด็ดมองถุงยาในมือรู้สึกใจชื้นขึ้นเป็นกอง

สรนุชนอนสงบนิ่งอยู่ที่เตียง สีหน้าเริ่มดีขึ้นหลังจากได้เช็ดเนื้อเช็ดตัว สมหญิงอยู่ที่หน้าต่างมองออกไปใจจดจ่อรอคอยใจเด็ด
“ไปเอายาถึงไหนเนี่ยหัวหน้า...เฮ้อ”
ระหว่างนั้นเสียงท้องของสมหญิงร้องขึ้นมา ดังจ๊อก
“อุ้ย...เอาไงดี” สมหญิงคิดไปคิดมา “ไปเอาข้าวแป๊บเดียวคุณนุชคงไม่เป็นไรมั้ง”
สมหญิงค่อยๆ ย่องออกไป ปล่อยให้สรนุชนอนหลับอยู่ที่เตียง

โชคชัยเดินมาเจอสมหญิงในสถานีพอดี “สมหญิง...ไปไหนกันหมด...ฉันไม่เห็นใครเลย”
“คนอื่นสมหญิงไม่รู้หรอกค่ะ...รู้แต่ว่าหัวหน้าไปเอายาที่อนามัยให้คุณนุช”
โชคชัยฟังแล้วตกใจมาก “คุณนุชเป็นอะไร”
เวลาต่อมาสรนุชยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือ ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นฟื้นจากพิษไข้
“คุณนุช...คุณนุชครับ”
สายตาสรนุชค่อยๆ ปรับโฟกัสจนเห็นว่าเป็นนายกโชคชัยนั่นเอง
“คุณโชคชัย...”
เสียงของสรนุชแหบพร่า เธอพยายามจะยันตัวลุกขึ้น โชคชัยรีบเข้าช่วยประคอง
“ระวังนะครับ...ดื่มน้ำซะหน่อยดีกว่าครับ”
โชคชัยค่อยๆ ป้อนน้ำให้สรนุชดื่ม สรนุชมองโชคชัยด้วยความไม่แน่ใจ
“คุณโชคชัยเช็ดตัวให้นุชเหรอคะ”
โชคชัยนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจตอบ “ครับ...ทำไมเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ”
สรนุชนิ่งไปเพราะเธอคลับคล้ายคลับคลาว่าเงาที่เธอเห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่โชคชัย
โชคชัยกับสรนุชไม่รู้ว่าเวลานั้นใจเด็ดยืนอยู่หน้าห้อง และได้ยินที่ทั้งคู่คุยกัน

จังหวะนั้นใจเด็ดก้มมองถุงยาในมือที่ไปเอามาจากอนามัย แล้วนิ่งงันไปด้วยความปวดใจ






Create Date : 04 เมษายน 2555
Last Update : 4 เมษายน 2555 13:49:39 น.
Counter : 311 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]