All Blog
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 4 (ต่อ)



ตอนสายของวันถัดมา...นับดาวแต่งตัวอยู่บ้านใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นลายดอก ผมก็ติดกิ๊บเชยๆตัวใหญ่ๆ ม้วนโรล มาร์สหน้าขาวฟังเพลงจากไอพ็อดของยูกิ เธอฮัมเพลงยูกิอย่างไม่เป็นภาษาไปด้วย หนังสือนิตยสารสัมภาษณ์ยูกิถูกเปิดไว้ หน้าที่มีลายเซ็นยูกิบนรูปภาพของเธอ

นับดาวหัดเซ็นลายเซ็นยูกิให้คล่องมือ วราพรรณเดินเข้ามาในบ้าน
“เฮ้ย ทำอะไรอยู่วะ”
นับดาวตกใจสะดุ้ง รีบปัดกระดาษที่เซ็นลายเซ็นทิ้งไป
“มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
“แกหูหนวกเองต่างหาก”
“เออ ลืมไป”
“อะไร...อะไร เดี๋ยวพอกหน้าบำรุงผิวด้วยเหรอ”
“ฉันก็อยากสวยบ้าง ไม่ได้รึไง”
“เออ อยากทำอะไรก็ทำไป”
วราพรรณเห็นนับดาวฟังไอพ็อด ก็แซวๆ
“เฮ้ย นี่เดี๋ยวนี้ไอพ็อดเขาผลิตเครื่องช่วยฟังด้วยเหรอวะ”
นับดาว รับมุขที่เพื่อนประชด
“เออ ได้ยินชัดเลย”
วราพรรณหัวเราะ
“นี่แกไปขโมยไอพ็อดใครมา”
“นี่ ฉันไม่ได้ขี้ขโมยนะเว้ย แค่ยืมมา”
“แกมีเพื่อนคนอื่นที่เขาจะให้ยืมไอพ็อดด้วยเหรอ”
“นี่แกอย่ามาดูถูกฉันนะเว้ย ฉันไม่ธรรมดานะ”

นับดาวกับวราพรรณ คุยกันต่อ
“ว่าแต่ตกงานน่ะ หางานหาการทำรึยังเนี่ย”
“ได้แล้ว”
“จริงดิ งานไรวะ”
“แต่เป็นแค่งานชั่วคราวน่ะ เขายังหาคนมาทำไม่ได้ ฉันก็เลยทำไปก่อน”
“เป็นตัวแถมว่างั้นเถอะ”
“นี่แกจะพูดอะไรให้ฉันสบายใจไม่ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย”
“นี่มาทำงานแทนฉันมั้ย ฉันชักเบื่อการเป็นนักข่าวแล้วว่ะ”
นับดาวนึกได้
“เออนี่ แกเป็นนักข่าว พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับยูกิมั่งมั้ย”
“เมื่อวานฉันเพิ่งไปสัมภาษณ์เอง”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น อยากฟังเรื่องที่แบบว่า มั่นใจว่าคนเกิน 1 ล้านคนเกลียดยูกิ อะไรแบบนี้น่ะ แกว่าใครบ้างวะที่จะเกลียดยูกิแบบ เกลียดมากขนาดเอาไปขัง”
“ถ้าป็นฉัน ฉันก็จะเดาว่า ยายซีซีละมั้ง”
“ซีซี ทำไมล่ะ”
“ก็ยายนั่นน่ะ พอไอยูกิขึ้นมา หล่อนก็เงียบหายไปเลย พรีเซ็นต์เตอร์โฆษณาก็เปลี่ยนมาเป็นยูกิกันหมด”
นับดาวคิดตาม
“เหรอ...ถ้างั้นก็น่าจะเป็นไปได้นะ”
“ถามทำไม”
“เห็นช่วงนี้อะไรๆก็ยูกิ ฉันเลยถามบ้างอะไรบ้าง”
“เออ ตามสบาย แต่ฉันว่าพักหลังแกแปลกๆไปนะ”
นับดาวหลบตา
“แปลกอะไร...ไม่มี...ปกติมาก”
วราพรรณยังมองนับดาวอย่างสงสัย ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงรถมาหน้าบ้าน
“เอ๊ะใครมานะ ฉันว่าฉันไปดูก่อนดีกว่า”
นับดาวชิ่งหาเรื่องออกไปหน้าบ้านทันที

เป็นไทขับรถเข้ามาจอด นับดาวตกใจเพราะวราพรรณอยู่ในบ้านด้วย
“งานเข้าแล้วไง ไอ้นุ้ยเจอเข้าจับได้แน่ๆ”
เป็นไทลงจากรถมา นับดาวรีบวิ่งเข้าไปหาลากขึ้นรถทั้งที่ตัวเองก็ใส่ชุดอยู่บ้าน เสื้อยืดกางเกงขาสั้นลายดอก ม้วนโรล
“มาพอดีเลยค่ะ รีบไปกันเถอะ เร็วเข้า”
เป็นไทงงๆ ที่เห็นนับดาวรีบร้อนมากแต่เขาก็ขึ้นรถตามคำสั่ง เสียงวราพรรณดังไล่หลังมา
“ตกลงใครมาวะ”
นับดาวรีบพาเป็นไทขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย วราพรรณเดินออกมาไม่เจอใครก็งงๆ
“อ้าวไอ้นับดาว หายหัวไปไหนแล้วเนี่ย”

รถเป็นไทวิ่งห่างจากบ้านมา นับดาวหันหลังมองถอนหายใจโล่งอก
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
เป็นไทไม่เข้าใจ
“เกือบอะไรครับ”
“เปล่าค่ะ”
“ผมเอาสคริปเพลงมาปรึกษา ว่าคุณอยากแก้อะไรมั่ง เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า”
“เอ่อ...ฉันแค่อยากออกไปพักผ่อนซักวัน”
“ด้วยชุดนี้น่ะเหรอครับ”
เป็นไทมองสภาพนับดาวแล้วก็หัวเราะ นับดาวมองตัวเองแล้วสมเพช แต่ก็ทำกลบเกลื่อน
“ทำไมคะ แต่งตัวแบบนี้เที่ยวไม่ได้รึไง”
เป็นไทอมยิ้ม
“ได้สิครับ”
เป็นไทขับรถต่อไป นับดาวรู้สึกอายตัวเองเหมือนกัน

ยามาดะ หยิบรูปยูกิจากกล่องเหล็กขึ้นมาดู อยู่มุมหนึ่งของชายหาด
“รอผมหน่อยนะ ยูกิ ผมจะรีบสร้างฐานะเพื่อคุณ”
ทันใดนั้นเสียงยูกิดังเข้ามา
“ยามาดะ อยู่ที่ไหน”
ยามาดะรีบเก็บรูปลงกล่องเหล็ก แล้วใส่กุญแจล็อก ยูกิเข้ามาพอดีทักขึ้น
“ทำอะไรอยู่”
ยามาดะ หันกลับไปหา
“ไม่ต้องยุ่งสักเรื่องจะได้ไหม”
ยูกิแปลกใจ
“ถามแค่นี้ทำไมต้องกวนด้วย นายซ่อนอะไรไว้ในหีบเหรอ”
ยามาะดะรีบอุ้มหีบขึ้นมา
“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“ยิ่งพูดอย่างนี้ยิ่งอยากรู้เลย”
ยูกิจะคว้าหีบ ยามาดะรีบดึงหลบ แล้ววิ่งหนีไปเลย
“นายมีความลับอะไร ฉันต้องรู้ให้ได้”
ยูกิวิ่งตามออกไป...ยามาดะถือหีบเหล็ก วิ่งหนี ยูกิมาวิ่งไล่ตะโกนลั่น
“อย่าหนีนะ”
ยามาดะวิ่งไม่เหลียวหลัง แล้วทำ กุญแจหีบหล่นลง ยูกิที่วิ่งตามหลังมามองเห็นเก็บขึ้นมาถือ ก่อนจะตะโกนไป
“ฉันเก็บได้แล้ว”
ยามาดะชะงักหันไปเห็นยูกิ ชูลูกกุญแจทำหน้ายิ้มกวนเป็นต่ออยู่
“กุญแจ...”
ยามาดะหน้าเหวอ แล้วรีบวิ่งกลับไปหายูกิ จะคว้ากุญแจ
“เอาคืนมา”
ยูกิเหวี่ยงมือหนี ไม่ยอมคืนให้
“นายบอกมาก่อนสิ นายซ่อนอะไรไว้”
“เรื่องส่วนตัว”
“งั้นกุญแจนี่เป็นสมบัติส่วนตัวของฉันเหมือนกัน”
“จะมากไปแล้วนะ”
“ถ้านายอยากได้คืน ก็ต้องเอากล่องใบนั้นมาแลก”
“ไม่มีทาง”
ยามาดะทิ้งกล่องเหล็กลง แล้วพุ่งเข้าไปหา ยูกิเบี่ยงหลบ แต่ก็โดนเขาใช้วิชาการต่อสู้ จับมือจนปล่อยกุญแจร่วงมาใส่มือเขา ยูกิร้องลั่น ยามาดะยิ้มกระหยิ่ม
“พูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง ต้องให้ใช้กำลัง”
ยามาดะหันจะเดินไป ยูกิหมั่นไส้ยื่นขาออกไปขัดขา ยามาดะทำเป็นสะดุดจะล้ม แล้วเหวี่ยงมือออกไป เหมือนเหวี่ยงกุญแจไปในทะเล แท้จริงแล้วลูกกุญแจยังอยู่ในมือเขา
“โอ้ย...เฮ้ย”
ยูกิอึ้งนึกว่าลูกกุญแจตะทะเล ยามาดะทำเป็นซีเรียสจริงจังหันมาเล่นงานยูกิ
“เพราะเธอคนเดียวเลย เห็นไหมกุญแจตกน้ำไปแล้ว”
“เปล่านะ...ฉัน”
“อย่ามาแก้ตัว...เธอรู้มั้ย กุญแจดอกนั้นสำคัญกับฉันมากแค่ไหน”
ยูกิรู้สึกผิดกังวล
“ฉัน...ฉันจะหาคืนให้นายเอง”
ยามาดะชี้ไปที่ทะเล
“ในทะเลเนี้ยนะ อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้หน่อยเลย”
“เป็นไปได้สิ ถ้าเราตั้งใจจริง มันต้องหาเจอ”
“แค่นี้เธอก็ป่วนมากพอแล้วนะ ยูกิ เลิกยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉันเสียที”
ยามาดะทำหน้าบึ้ง แล้วหันเดินไปหยิบกล่องเหล็กเดินหนีไป ยูกิมองตามแล้วตะโกนอย่างมุ่งมั่น
“อย่ามาดูถูกฉันนะ ฉันจะหากุญแจมาคืนนายให้ได้”

ยามาดะเดินมาวางกล่องเหล็กลงบนโต๊ะที่หน้าบ้าน พยายามสงบสติอารมณ์
“เฮอะ ทำมาเป็นพูดจาดูดีให้ความหวัง เหมือนเมื่อก่อนเปี๊ยบเลย”
ยามาดะล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“เธอจะหาเจอได้ยังไง ในเมื่อกุญแจมันอยู่กับฉัน”
ยามาดะ โยนกุญแจขึ้นไป แล้วคว้ากลางอากาศ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

เป็นไทพานับดาวมาเดินสยาม เขาแอบอมยิ้มที่เห็นเธอแต่งตัวตลก คนในสยามก็หันมองซุบซิบกัน นับดาวหน้าเสียพึมพำคนเดียว
“เห็นฉันแต่งตัวแบบนี้ยังพามาเดินสยาม นายนี่มันร้ายนัก”
“บ่นอะไรครับยูกิ”
นับดาวยิ้มฝืนๆ
“แหล่งแฟชั่น เหมาะกับฉันดีค่ะ”
“ผมว่าคุณน่ะนำเทรนด์สุดในที่นี่แล้วละครับ ดูสิ ไม่มีใครแต่งตัวสู้คุณได้ซักคน”
นับดาวมองไปรอบข้าง แต่ก็ไม่กล้าสบสายตาผู้คนมากนัก ผู้คนที่ผ่านมาต่างซุบซิบกัน
“นั่นยูกิป่าววะแก”
“แต่งตัวแบบนี้ ฉันว่าถ่ายรายการอะไรแน่เลยว่ะ”
“ไม่ก็ถ่ายแบบนิตยสารเด็กแนวนะ ฉันว่า”
“ตัวจริงน่ารักเนอะ”
“เข้าไปขอลายเซ็นกันเหอะ”
วัยรุ่นกรูเข้ามาขอลายเซ็น พร้อมกับถ่ายรูปด้วย บางคนก็ชมว่าตัวจริงน่ารักมากเลย บางคนชมว่าแต่งตัวแนวมาก นับดาวยิ้มรับทุกคำชม ชอบใจ ทั้งที่งงๆว่ามันกลายเป็นดีไปได้ยังไง เป็นไทยืนมองอย่างเอ็นดู นับดาวหันไปถามวัยรุ่นอย่างแปลกใจ
“แต่งตัวแบบนี้ก็ว่าดีเหรอ”
วัยรุ่นพร้อมใจกันตอบ
“น่ารักมากเลยค่ะ”
นับดาวเอานิ้วทำแคะขี้มูก
“แล้วแบบนี้ล่ะ”
วัยรุ่นพร้อมใจกันตอบอีก
“เป็นกันเองมาก”
นับดาวเอานิ้วที่เพิ่งแคะขี้มูกทำท่าจะป้ายเหล่าแฟนคลับทั้งหลาย
“แล้วแบบนี้ล่ะ”
วัยรุ่นต่างยื่นหน้า ยื่นตา ชูไม้ชูมือจะให้เปื้อนขี้มูกยูกิให้ได้
“ป้ายหน้าหนูเลยค่ะ”
“ยูกิขยี้มาที่หัวหนู หนูขอร้อง”
“หนูขอเป็นที่ระลึกไปฝากแม่ด้วยค่ะ”
ทุกคนต่างแย่งกันใหญ่ นับดาวยิ่งงงว่าเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง

นับดาวกับเป็นไทนั่งทานอาหารด้วยกันอยู่ในร้านอาหาร นับดาวดูสคริปผ่านๆไม่ค่อยรู้เรื่อง
“คุณว่ายูกิทำบุญด้วยอะไรมา ไม่ว่าจะทำอะไรน่าเกลียดแค่ไหน ทุกคนก็เห็นว่าดีไปหมด”
“อ้าว...คุณก็น่าจะรู้ตัวดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันก็ถามไปงั้น กลัวบุญเก่าหมด จะได้รีบทำเพิ่ม”
“ผมว่าคุณคงทำบุญมาเยอะน่าดู”
“การเป็นดารานี่มันรู้สึกดีจังเลยเนอะ มีคนมาสนใจ จะพูดจะทำอะไรแค่ขยับตัวนิดเดียวก็ได้ดั่งใจแล้ว ไม่ต้องคอยตะโกน หรือเต้นแร้งเต้นกาให้คนหันมามอง”
“แต่นั่นมันก็ต้องแลกด้วยความเป็นส่วนตัวเหมือนกันนะครับ”
“ไม่เห็นต้องแลกเลย ฉันไม่ต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว”
“จริงเหรอ”
“ฉันส่วนตัวมาทั้งชีวิตแล้ว เบื่อส่วนตัวจะแย่”
เป็นไทหัวเราะ
“คุณยูกินี่มุกเยอะดีนะครับ”
นับดาวงงๆว่าสิ่งที่เธอพูดมันตลกตรงไหน ขณะที่ทั้งคู่กำลังคุยกันก็มีเด็กมาขายดอกไม้ นับดาวเหมาทั้งหมด ให้เขา เป็นไทเขินทำตัวไม่ถูก
“ให้ผมทำไมครับ”
“จะได้หายกันไง วันก่อนคุณก็เอาไปให้ที่บ้านฉันไม่ใช่เหรอ”
“แหม แต่ก็ไม่ต้องให้อะไรแบบนี้ก็ได้”
“คุณไม่รู้อะไร ฉันแทบจะนึกไม่ออกว่ายิ้ม หัวเราะตอนไหนบ้าง คุณทำให้ฉันรู้สึกมีค่าขึ้น”
เป็นไทงงๆ
“หือม์”
นับดาวเขิน พยายามกลบเกลื่อน
“นี่ที่ฉันปล่อยไปยังแค่มุกพื้นๆนะคะ คุณไทยังไม่เจอชุดใหญ่”
เป็นไทหัวเราะ
“คุณนี่น่ารักจริงๆ”
นับดาวเขินกับสายตาของเป็นไทที่มองมาที่เธอ

ยูกิเดินเอามือควานหากุญแจในทะเล ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง เธอปาดเหงื่อ อย่างเหนื่อยล้า
“อ๊อย ไม่ไหวแล้ว”
เธอทำท่าจะเดินขึ้นฝั่งแล้วชะงัก พูดกับตัวเอง
“ไม่ได้ ฉันต้องหากุญแจให้เจอ สัญญาต้องเป็นสัญญา”
ยูกิกลับไปงมหา กุญแจต่อทั้งๆที่เหนื่อยล้ามาก ยามาดะเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมตะโกนเรียก
“ยูกิ บ่ายมากแล้วนะ ทำไมยังไม่ไปเก็บผ้าอีก”
ยามาดะเหลียวหา ไม่มีเสียงตอบรับ
“ยูกิ...ยูกิ” ยามาดะฉุกคิดขึ้นมา “อย่าบอกนะว่า ยังอยู่ที่ทะเล”
ยามาดะอึ้ง แล้วรีบวิ่งออกไป...ยามาดะวิ่งมาที่ชายทะเล คิดว่าจะเจอยูกิแต่ปรากฏว่าทะเลว่างเปล่า...ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น เขาถอนหายใจเฮือก
“ฉันว่าแล้ว...เธอจะหาได้สักกี่น้ำ”
ยามาดะหันกำลังจะเดินกลับ ทันใดนั้นเสียงยูกิดังเข้ามา
“กุญแจ แกอยู่ที่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ยามาดะชะงักแล้วหันกลับไปมองที่ทะเลเห็นยูกิที่เหงื่อโทรมเดินลุยน้ำออกมาจากเหลี่ยมโขดหิน ยามาดะตะลึง นึกไม่ถึง
“ยูกิ!”
ยูกิหันมาเห็นยามาดะ แล้วยกมือโบก ยิ้มให้
“ใจเย็นๆนะ ฉันต้องหาเจอ!”
ยูกิก้มลงไป งมหากุญแจต่อ ยามาดะมองภาพตรงหน้า ด้วยความอึ้ง นึกไม่ถึงว่าเธอจะมุ่งมั่นมากขนาดนี้
แล้วเขาก็ทนไม่ไหว รีบวิ่งลงไปที่ทะเล วิ่งลุยน้ำเข้ามาที่ยูกิ ร้องตะโกนลั่น
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ยูกิหันมามองงงๆ
“เอ๊ะ...นายจะมาห้ามทำไม”
“เธอไม่มีทางหาเจอหรอก”
“เจอสิ ฉันเชื่อว่าฉันต้องหาเจอ”
ยูกิมองอย่างมุ่งมั่น จนยามาดะละอายใจ เธอหันไปจะงมต่อ เขาล้วงหยิบกุญแจออกมาชูขึ้น ยูกิได้ยินเสียงลูกกุญแจกระทบกันดังกริ๊งๆ เธอเอะใจหันกลับมามองอีกครั้ง แล้วอึ้งไป
“กุญแจอยู่กับฉัน”
ยูกิงงๆ
“นายแกล้งฉันเหรอ”
“เธอจะมาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ แบบนี้ทำไม ยูกิ...ทำไมเธอต้องจริงจังกับเรื่องของฉันด้วย”
ยูกิมองจริงใจ
“เพราะฉัน ไม่เคยเห็นของๆนายเป็นเรื่องเล็กน้อยนะสิ...อะไรที่นายคิดว่าสำคัญ มันก็เป็นของสำคัญของฉันด้วย”
ยามาดะอึ้ง ยูกิยิ้มให้อย่างโล่งใจ
“เฮ้อ...หมดห่วงเสียที”
ยูกิลุยน้ำจะเดินผ่านเขาออกไป ยามาดะดึงเธอเข้ามากอดแน่นไว้ในอ้อมอก โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว ยูกิตาโตนึกไม่ถึง ยามาดะค่อยกระซิบออกมาเบาๆ อย่างซึ้งใจ
“ขอบใจนะ”
ยูกิอึ้งเหวอ แต่ก็มีความสุข

ค่ำนั้น...นับดาวนั่งเหม่อ ยิ้มคนเดียวคิดถึงเป็นไท วราพรรณเดินเข้ามาในห้องตบหัวเพื่อนให้พ้นจากภวังค์
“หายไปไหนมาทั้งวันห๊ะแก”
นับดาวหันมอง
“อ้าว แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็เหมือนที่แกหายไปเมื่อกลางวันไง”
“เฮ้ยแก...แกเคยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงทั้งที่ไม่ได้แต่งตัวสวยๆรึเปล่าวะ”
“เพ้ออะไรอีกล่ะ”
“ก็แบบ...เป็นเหมือนนางซิน ที่ซ่อมซ่ออยู่ในห้องครัว แต่งตัวสกปรก แต่ก็มีเจ้าชายเดินเข้ามาหา โดยที่เขาไม่สนว่าแกมอมแมม อะไรแบบนี้”
“หืม น้ำเน่าว่ะ อ่านนิยายเล่มไหนมาอีกล่ะ”
“ทำไมคิดว่าฉันอ่านนิยายว่ะ มันอาจจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับฉันก็ได้นะเว้ย”
“ไม่มีอ่ะ คนอย่างแกก็มีแต่เพ้อ เพ้อ เพ้อ เท่านั้นแหละ”
วราพรรณเดินออกไปจากห้อง นับดาวยังเหม่อ ยิ้มคนเดียวต่อ

สายๆของวันใหม่...นับดาวพารจนานั่งรถเข็นมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ได้กลับบ้านซักทีนะย่านะ”
รจนาพยักหน้า แล้วขยุกขยิกปากกาเขียนลงในกระดาษ ว่า เอาเงินที่ไหนมาผ่าตัด
นับดาวอ่านแล้วไม่รู้จะตอบยังไง
“คือ...หนูได้งานแล้วน่ะ หนูเลยขอเบิกเงินล่วงหน้าเขามาใช้ก่อน แล้วค่อยทำงานใช้เขาอีกที ย่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกน่า”
รจนาเขียนในกระดาษอีก ถามว่า งานอะไร
“ก็เป็นงานรับจ้างทั่วไปแหละ แต่เจ้านายเขาใจดี”
พอพูดถึงเป็นไทเธอก็เขินๆ แต่ไม่ขาดคำ เป็นไทก็โผล่มาจากไหนไม่รู้
“อ้าวคุณ มาทำอะไรที่นี่เหรอ”
นับดาวตกใจ หันกลับมาตั้งสติ
“สงสัยฉันจะเพ้อมากไป จนเริ่มเห็นภาพหลอน”
เป็นไทสะกิด
“ยูกิจัง...”
นับดาวเอามือจับมือเป็นไทที่สัมผัสไหล่เธอ แล้วเอาเล็บจิก เป็นไทร้องลั่น
“คุณทำอะไรน่ะ”
“ฉันไม่ได้ฝันนี่”
“ก็ไม่ได้ฝันน่ะสิ”
นับดาวทำตัวไม่ถูก พยายามจะเอาย่าไปซ่อน แต่ก็ไม่ทัน เป็นไทมองรจนาคุ้นๆหน้า
“เอ...นี่ใครน่ะครับ ผมคุ้นหน้าจังเลย”
นับดาวอึกอักหาทางแก้
“คือ...เอ่อ คือ ฉันพาเจ้าของโฮมสเตย์ที่ฉันอยู่ด้วยมาหาหมอน่ะ”
รจนามองหน้าหลานสาวงอนๆ
“เป็นอะไรเหรอครับ”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แล้วคุณมาทำอะไรครับ”
“อ๋อ ผมมาเช็คหูผมน่ะครับ มันมีคนโรคจิตเคยตบหูผม ทำเอาเดินเซเลย”
นับดาวนึกถึงตอนที่ตัวเองใส่หมวกกันน็อคไปตบเป็นไทก็หน้าเสียยิ้มแหยๆ
“อูย แหะ แหะ”

นับดาวกับเป็นไทประคองรจนามาถึงโซฟาหน้าทีวี พอนั่งได้ รจนาก็สะบัด ทำไม่สนใจ
“งอนอะไรเนี่ย”
รจนาสะบัดไม่ให้แตะตัว
“แนะ พอถึงที่แล้วเล่นตัวใหญ่เลยนะ”
เป็นไทมองยิ้มๆ
“คนแก่ก็แบบนี้แหละครับ อารมณ์แปรปรวน”
รจนาได้ยินเป็นไทพูดหันมองขวับ เป็นไทไม่รู้ตัวยังพูดต่อ
“แกนี่น่าสงสารนะครับ แก่ป่านนี้กลับไม่มีลูกหลานมาคอยเลี้ยงดู ถึงว่าแกถึงเปิดบ้านเป็นโฮมเสตย์ จะได้ๆทั้งเพื่อน และได้เงินด้วย”
นับดาว เหลือบตามองย่าเกรงๆ
“แหะแหะ”
เป็นไทหันไปถามนับดาว
“แกเป็นใบ้มานานรึยังครับเนี่ย”
รจนาตาโตเมื่อได้ยินอย่างนั้น เป็นไทยังพูดต่อ
“อาภัพนะครับ เกิดมาเป็นใบ้ ลูกหลานยังทิ้งอีก ดีแล้วละครับ การที่คุณได้มาอยู่ที่นี่ก็ถือว่าทำบุญกับแกไปด้วย”
รจนาหน้าตาโกรธเมื่อได้ยิน นับดาวหันไปเห็นก็หวาดๆ
“ฉันว่าเราคุยกันเรื่องอื่นดีกว่าค่ะ”
นับดาวลากเป็นไทไปอีกมุม โดยลืมไปว่ามุมนั้นมีกรอบรูปของเธอในชุดนักเรียนไทย ถ่ายกับรจนาอยู่
“นั่นรูปอะไรครับ”
เป็นไทจะเอื้อมมาหยิบ นับดาวตกใจ หันไปเห็นรูป ขว้างทิ้งลงถังขยะไปเลย
“ไม่มีอะไรค่ะ ไม่ต้องไปสนใจ แหะ แหะ”
นับดาวพาเป็นไทมายืนอีกมุมหนึ่ง ก็มีใบกรอกสมัครงานที่ติดรูปถ่ายของเธอแลบออกมาจากลิ้นชัก เห็นรูปหรา
“นั่นอะไรน่ะครับ ระวังยับนะ”
นับดาวหันไปเห็นรีบยัดมันลงไปในลิ้นชักให้ลึกๆ รจนามองสิ่งที่นับดาวทำอย่างเสียใจ นับดาวรีบตัดบท
“ฉันว่าถ้าจะคุยธุระอะไร ไปคุยกันที่อื่นดีกว่านะคะ ที่นี่ฉันอยากให้ป้าแกได้พักผ่อน”
“ก็ดีเหมือนกันครับ อยู่ในนี้แล้วรู้สึกหดหู่ บอกไม่ถูก”
นับดาวพาเป็นไทออกไป รจนามองตามน้อยใจ

ค่ำนั้น...เป็นไทกับนับดาวมาทานอาหารด้วยกัน
“วันนี้ไม่แต่งตัวเป็นสก็อยแล้วเหรอครับ”
“แหม อย่าล้อสิ...เออ ฉันลืมขอบคุณคุณเรื่องกุญแจเลย ไม่งั้นฉันคงเข้าบ้านไม่ได้แน่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเล็ก ผมก็ต้องขอโทษแทนแพรวไพลินวันก่อนด้วย ที่อาจจะทำให้คุณลำบากใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ แฟนก็ต้องหวงแฟนเป็นธรรมดา” นับดาวพูดเชิงน้อยใจ
เป็นไทถอนใจหนักใจ
“คุณเป็นคนนอก ไม่เข้าใจหรอกครับ ผมว่าเราอย่าพูดถึงคนอื่นกันเลยดีกว่า”
“ถ้าไม่อยากพูดถึงก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ไม่อยากเหมือนกัน”
“ตอนนี้ผมจัดการเรื่องห้องซ้อมไว้ให้แล้วนะครับ ตั้งแต่พรุ่งนี้ยูกิไปซ้อมร้องซ้อมเต้นได้เลย”
นับดาวกลุ้มๆกังวล
“เอาแล้วเหรอ”
“ทำไมละครับ”
“ฉันได้ข่าวมาว่า บัตรขายเกลี้ยงเป็นหมื่นใบจริงมั้ยคะ”
“ใช่ครับ หมดตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรก”
นับดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก
“เราคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจมาจัดคอนเสิร์ตเล็กๆน่ารักๆก็พอกันหรอกมั้งคะ”
“ทำไมครับ ประหม่าเหรอ”
นับดาวถอนหายใจ
“คอนเสิร์ตใหญ่ๆคุณก็เคยผ่านมาแล้ว ครั้งนี้มันก็เหมือนกันนั่นแหละ” เป็นไทจับมือนับดาว “ไม่ต้องกังวลไปนะครับ ยังไงผมก็เป็นกำลังใจให้”
นับดาวเขินที่เขาจับมือเธอ แต่โรแมนติกได้ไม่ทันไร เธอก็เห็นซีซีเดินมาจากอีกมุมหนึ่งของร้าน กำลังจะออกไป นับดาวหน้าตื่นตาโต
“ซีซี”
นับดาวนึกถึงคำที่วราพรรณบอก ว่าซีซีอาจเป็นศัตรูกับยูกิ เพราะยูกิแย่งงานเธอไป เป็นไทเห็นนับดาวนิ่งไปก็มองอย่างสงสัย
“มีอะไรเหรอครับ”
“คือฉันมีธุระต้องไปทำนิดหน่อย คงต้องขอตัวก่อนนะคะ”
นับดาวลุกจากโต๊ะพรวดพราดรีบเดินตามซีซีไป

นับดาวแอบเดินตามซีซีมายังลานจอดรถ ซีซีกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ นับดาวรีบแอบฟัง
“มีโฆษณาติดต่อเข้ามาแล้วตัวนึงเหรอ...เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าในที่สุดก็ต้องมี...ห๊า โฆษณาน้ำมันเครื่องเนี่ยนะ จะบ้ารึเปล่า ฉันไม่รับหรอก...ไม่รับไง...ฉันจะรอโฆษณาที่ถอนจากยูกิเท่านั้น มีตั้งห้าหกตัว มันต้องถอนซักตัวแหละน่าหายหัวไปนานๆแบบนี้...ก็บอกว่าไม่โฆษณาน้ำมันเครื่อง”
ซีซีกดวางสายอย่างหงุดหงิด นับดาวที่แอบฟังอยู่ครุ่นคิด
“มีโอกาสเป็นไปได้แฮะ”
ซีซีกดโทรศัพท์โทรออก นับดาวแอบฟัง
“เป็นไงบ้าง...อะไร เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่เสร็จอีกเหรอ นี่จะให้ฉันไปลงมือเองเลยใช่มั้ย...แล้วนี่ขังมันไว้รึเปล่า...ก็บอกแล้วไงว่าให้ขังไว้ดีๆ อยากให้มันหนีไปตายรึไง...ไม่รู้ล่ะ ฉันกำลังจะไปที่นั่น ถ้าฉันไปถึงแล้วยังจัดการไม่เรียบร้อยอีกละก็ น่าดู”
นับดาวที่แอบฟังอยู่สงสัยมาก
“จัดการ ขังไว้...ใช่แน่ๆ ยูกิแน่ๆ”
ซีซีขึ้นรถขับออกไป นับดาววิ่งตามรถมาริมถนน...นับดาวโบกแท็กซี่
“ตามรถคันนั้นไปเลยค่ะ”
นับดาวตื่นเต้น ร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก...แท็กซี่ขับตามรถซีซีไปอย่างซอกแซก นับดาวชะเง้อ คอยลุ้น
“โน่นๆลูกพี่ ไปทางโน้นแล้ว ทางโน้นลูกพี่”
แท็กซี่ก็ขับตามไปติดๆ...สักคนรู่ ซีซีจอดรถข้างถนน เธอเดินลงจากรถ นับดาวก็ลงจากแท็กซี่สะกดรอยตามไป ซีซีเดินเข้าไปในร้าน pet shop นับดาวแหงนมองป้ายร้านด้วยแววตามุ่งมั่น
“เธอถูกขังอยู่ที่นี่เองสินะยูกิ มันดูถูกเธอมากที่เอาเธอไปขังรวมกับหมา ฉันจะช่วยเธอออกมาเอง”

นับดาวเดินเข้าไปอาดๆ ราวกับทหารจะไปรบ












Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 11:42:35 น.
Counter : 585 Pageviews.

0 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 4



ค่ำคืนนั้น...นับดาวเปิดประตูเข้ามาในห้องตอนกลางคืน เธอก็ต้องสะดุ้งตกใจ เพราะมีผู้หญิงนั่งหันหลังอยู่บนเตียงของเธอ

“เธอเป็นใครน่ะ มาทำอะไรในห้องฉัน”
ผู้หญิงยังนั่งหันหลังตอบ เสียงดูเย็นยะเยือกสยดสยอง
“จำฉันไม่ได้จริงๆเหรอ...นับดาววววววว”
ยูกิค่อยๆ หันหน้ามา สภาพดูหน้าซีด เบ้าตาคล้ำ น่ากลัวเหมือนผี นับดาวเห็นก็ตกใจ
“ยูกิ”
“ช่วยฉันด้วย ฉันหนาว ฉันหิว”
เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากปากยูกิ
“ช่วยด้วย”
นับดาวหน้าเสีย...
“ฉันไม่รู้จะช่วยเธอยังไง เธออยู่ที่ไหนฉันก็ไม่รู้”
“ถ้างั้นก็ช่วยคืนตำแหน่งซุปเปอร์สตาร์มาให้ฉัน เธอต่างหากต้องมาติดอยู่ที่นี่”
“ไม่เอานะ ไม่เอา”
“เอาคืนมา เอาคืนมา”
นับดาวหลอนเสียงยูกิ พยายามอุดหูข้างซ้ายของเธอ ไม่อยากได้ยิน และแล้วเธอก็สะดุ้งตื่นบนเตียงนอนของตัวเอง เหงื่อแตกเต็มไปหมด ยังตกใจไม่หาย
“แค่ฝันไปนับดาว แค่ฝัน”
นับดาวค่อยรู้สึกแปลกๆที่เท้าใต้ผ้าห่ม เธอค่อยๆเปิดมันออก ก็เห็นผมคนสยายอยู่ นับดาวกรี๊ดเด้งตัวลุกขึ้นยืน แต่ผมก็ยังอยู่ตรงนั้น เธอค่อยๆรวบรวมความกล้ามาเปิดมันออก ปรากฎว่าเป็นวิกผมจากกระเป๋ายูกิเธอเคยเอาออกมาลองเล่นนั่นเอง นับดาวโล่งใจ มองนิตยสารเอเชี่ยนฮิตหน้าปกยูกิบนโต๊ะ
“เธอคงไม่เป็นอะไรใช่มั้ยยูกิ ขอให้เธอสบายดี ฉันจะพยายามหาทางช่วยเธอ”
นับดาวค่อนข้างหนักใจ

บ่ายวันนั้น นับดาวโพสท่าถ่ายแบบอยู่กลางสยาม แต่เธอก็ยังโพสท่าไม่เก่ง เก้ๆ กังๆอยู่ แต่แฟนคลับรอบด้าน กรี๊ดตลอดเวลาไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนเป็นท่าไหน เธอมีความสุข เวลาพักเธอซับเหงื่อก็โบกมือให้กับแฟนคลับตลอด
ถ่ายด้านนอกเสร็จแล้ว นับดาวเดินดูของร้านโน้นร้านนี้ ตากล้องก็สแนปไว้ตลอด ช่างแต่งหน้าทำผมก็รอสแตนบายคอยซับเหงื่อ คอยเติมหน้า เป็นไทกับองอาจดูมอนิเตอร์ภาพถ่าย ยิ้มพอใจ
หลังจากถ่ายเสร็จ นับดาวกับเป็นไท พากันมานั่งพักในห้องที่ทีมงานเตรียมไว้ให้ นับดาวกำลังนั่งกินขนมอย่างเพลิดเพลิน
“เป็นไงครับ เหนื่อยมั้ย” เป็นไทเป็นห่วง
“ก็ดีค่ะ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย งานสบาย รายได้ดี”
“พูดเป็นเล่นน่ะครับ ไม่เคยทำได้ไง”
นับดาวนึกได้
“หมายถึง ไม่เคยทำที่ประเทศไทยน่ะค่ะ”
“แฟนคลับคุณนี่เยอะจริงๆ”
“นั่นสิ เยอะกว่าคนทั้งชีวิตฉันรวมกันตั้งหลายเท่า”
เป็นไทหัวเราะ
“ช่างเปรียบเทียบนะครับ”
เป็นไทหันไปเห็นนับดาว ปากเลอะอาหารที่เธอกิน นับดาวไม่รู้ตัว
“นั่นจะเอาไปฝากใครเหรอครับ”
นับดาวงงๆ ไม่รู้ว่าเป็นไทหมายความว่าไง
“อะไร ใครฝากคะ”
“ก็ขนมไง”
เป็นไทหยิบผ้าเช็ดหน้าตนเองออกจากกระเป๋า เอื้อมไปเช็ดให้ นับดาวอายเพราะไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้มาก่อน เป็นไทเช็ดให้อย่างทะนุถนอม แต่นับดาวก็ทนความเขินของตัวเองไม่ไหว หันหลบเป็นไท เอาลิ้นตวัดอาหารที่เลอะปากอยู่เกลี้ยง
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจัดการเองได้”
เป็นไทยิ้ม เอ็นดู แล้วองอาจก็เปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะ
“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักนะครับคุณไท คุณยูกิ คือพอดีมีสื่อมาขอสัมภาษณ์”
“สื่อเนี่ยนะ เราไม่ได้เชิญมาวันนี้ไม่ใช่เหรอ” เป็นไทหันไปถาม
“ก็ใช่ครับ”
“งั้นบอกไป ว่าไม่ให้สัมภาษณ์”
“แต่สื่อที่ว่าเบอร์ใหญ่มากนะครับ ถ้าไม่ให้ ผมเกรงว่าจะมีปัญหาภายหลัง”
“ใคร”
สังวรณ์เดินแทรกองอาจเข้ามายืนในห้อง ตามด้วยวราพรรณที่ตามติดมาช่วย
“สวัสดีครับ คุณไอ ยูกิ”
เป็นไทเห็นสังวรณ์ก็ทำหน้าเซ็ง ส่วนนับดาวก็ตกใจที่เพื่อน เธอพยายามก้มหน้าหลบ ไม่ให้วราพรรณเห็นหน้าเธอชัดนัก

เป็นไทกับสังวรณ์ออกมาคุยกันด้านนอก
“คุณจะมาเข้ากองขอสัมภาษณ์ โดยไม่แจ้งทางเราทราบล่วงหน้าได้ยังไง
“ก็คิวใหญ่ ถ่ายโปสเตอร์ขนาดนี้ ผมมีสัญชาตญาณของนักข่าวที่ดี จะพลาดได้ยังไง จริงๆแล้วถ้าคุณอยากจะทำพีอาร์ ก็น่าจะเชิญนักข่าวมาวันนี้”
“ผมมีแผนการพีอาร์ที่วางไว้แล้ว ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”
“ข่าวคอนเสิร์ตครั้งนี้มันเงียบๆนะ คุณว่ามั้ย ไม่รู้เป็นเพราะว่าคนจัดงานมันทำไม่เป็นรึเปล่า เพราะถ้าเป็นผม มันคงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปแล้ว”
“แต่ยังไง ผมก็เป็นคนประมูลคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้อยู่ดี ไม่ใช่คุณ เราอย่าพูดถึงสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นจะดีกว่า”
สังวรณ์ ไม่พอใจ
“ยังไงผมก็มาแล้ว คุณจะกล้าไล่ผมกลับรึไง คุณก็รู้ว่าผมถือสื่ออยู่เท่าไหร่ ไหนจะนิตยสารหลายหัว หนังสือพิมพ์อีก รายการบันเทิงทางทีวีอีก นั่นถือว่าคุณปิดช่องทางการขายของตัวเองเลยนะ”
เป็นไทคิดหนัก
“ผมไม่รู้ไอยูกิจะให้สัมภาษณ์รึเปล่า เพราะเราไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะมีสื่อเข้ามา”
“เรื่องนั้นคงพูดไม่ยากหรอกมั้ง ระดับคุณน่าจะแก้ปัญหาได้ ถ้าอยากจะแก้”
เป็นไทกับสังวรณ์มองอย่างไว้เชิงกัน

นับดาวกับวราพรรณนั่งอยู่ในห้องด้วยกันสองคน นับดาวพยายามจะหลบไม่ให้เห็นหน้าชัด วราพรรณก็พยายามจะมองผูกมิตรกับนับดาวที่เธอคิดว่าเป็นยูกิ นับดาวหันหน้าหลบๆ
“มาถ่ายโปสเตอร์กันตั้งแต่เช้าเลยรึเปล่าคะคุณไอยูกิ”
“ค่ะ”
นับดาวรีบหยิบลิปสติกมาทำเป็นทาปาก เพื่อไม่ให้วราพรรณเห็นหน้าเธอชัด นับดาวฝนปากไป โดยไม่มีกระจก”
“นี่เดี๋ยวต้องไปถ่ายต่ออีกรึเปล่าคะ”
“ค่ะ”
“ลืมแนะนำไป ฉันชื่อนุ้ยนะคะ จะมาทำข่าวคุณไอ ยูกิวันนี้”
“ค่ะ”
“คุณไอ ยูกิตัวจริงนี่สวยมากเลยนะคะ ฉันไม่เคยเห็นใครสวยแบบคุณมาก่อนเลย”
“เหรอคะ”
นับดาวมองเพื่อนค้อนๆ ที่มองข้ามเธอไป
“ขอถ่ายรูปคุณไอ ยูกิหน่อยได้มั้ยคะ จะเอาไปให้เพื่อนดู”
“เขาเคยเห็นแล้วมั้งคะ”
“ไม่เหมือนกันค่ะ อันนี้เห็นตัวจริง”
“ก็ได้ค่ะ”
ก่อนนับดาวจะลุกออกมาจะถ่ายรูปกับวราพรรณ เธอหยิบแว่นดำกับหมวกปีกกว้างมาสวมอำพรางหน้าด้วย แต่พอวราพรรณเห็นเธอก็ต้องตกใจ เพราะปากเธอแดงแปร๊ดมาก แถมเลอะขอบปากมาด้านนอกด้วย
“อุย...”
“ทำไมเหรอคะ”
“เทรนด์แต่งหน้าเดี๋ยวนี้ สไตล์มันแปลกๆนะคะ”
“แบบนี้แหละค่ะ กำลังมา”
นับดาวกับวราพรรณถ่ายรูปคู่กัน ภาพออกมาดูตลกมากกว่า
“เสร็จแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ตามสบายค่ะ”
นับดาวเดินออกไป วราพรรณดูรูปที่ถ่ายคู่กัน
“ติ๊งต๊องรึเปล่าวะเนี่ย”
วราพรรณดูรูป แล้วส่ายหน้า

สังวรณ์มายืนรออยู่ด้านนอก ด้วยความไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ไอ้เป็นไท ฉันจะทำทุกอย่างให้คอนเสิร์ตครั้งนี้ล้มไม่เป็นท่า คอยดู”
สังวรณ์กำลังยืนบ่นพึมพำ ซีซีก็ผ่านมาเห็นสังวรณ์พอดี เธอจำได้ว่าเป็นนักข่าวใหญ่ รีบปรี่เข้ามาหาทันที”
“สวัสดีค่ะคุณสังวรณ์ จำฉันได้รึเปล่าคะ”
สังวรณ์ไม่ชอบใจที่ถูกเรียกอย่างนั้น
“กรุณาเรียกผมใหม่ด้วยครับ ผมชื่อ ซี ซังวอน”
“ค่ะคุณซี ซังวอน ชื่อเท่ อินเทรนด์มากๆเลย ฉันซีซีไงคะ”
“อ๋อ ซีซี ว่าไง”
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ตั้งแต่ฉันมาถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารเอเชี่ยนฮิตให้กับคุณ”
“นั่นก็สองปีได้แล้วมั้งครับ”
“นั่นซิคะ ว่าไปก็ไม่ได้ขึ้นปกเอเชี่ยนฮิตมาตั้งนานแล้ว”
“คุณก็รู้ ว่าเอเชี่ยนฮิตจะขึ้นแต่คนที่เป็นกระแสเท่านั้น”
“แต่ฉันสร้างกระแสเก่งนะคะ”
“เอาไว้มีกระแสเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันก็แล้วกัน”
ซีซีหมั่นไส้ แต่เก็บอาการไว้
“แล้วนี่มีข่าวใหญ่อะไรแถวนี้เหรอคะ คุณซี ซังวอนเลยต้องมาเอง”
“เค้าถ่ายโปสเตอร์คอนเสิร์ตของไ..”
สังวรณ์ยังพูดไม่ทันจบ วราพรรณก็เข้ามาแทรกซะก่อน
“เจ้านายค่ะ ข้างในฉันเซ็ตไฟไว้พร้อมแล้ว สำหรับทำสกู๊ปทีวี ส่วนนิตยสารเจ้านายจะสัมภาษณ์เองใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ฉันสัมภาษณ์เองทั้งคู่นั่นแหละ อย่าลืมเซ็ตกล้องให้ตัวนึงจับมาที่ฉันตลอดด้วยนะ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“สัมภาษณ์ใครนะคะ”
สังวรณ์กำลังจะหันไปตอบ แต่นับดาวที่ใส่หมวกปีกกว้าง ใส่แว่นดำ ปากแดงแจ๊ดเลอะไปทั่ว ก็เดินผ่านมา ซีซีและสังวรณ์มองตาม
“ยายนี่ท่าจะบ้า” ซีซีวิจารณ์
“นั่นใครน่ะ นุ้ย” สังวรณ์หันมาถาม
“ก็...”
เป็นไทเดินออกมาเรียกทั้งหมดเข้าไปข้างในพอดี
“ตกลงว่าสัมภาษณ์ได้ เข้าไปข้างในกันได้เลย แต่ขอเวลาศิลปินไปเข้าห้องน้ำ นิดนึง”
“ไป”
สังวรณ์และวราพรรณเดินเข้าไปข้างใน ทิ้งซีซีไว้อย่างไม่มีใครสนใจ ซีซีไม่พอใจ
“เล่นตัวกันไปเถอะ ถ้าฉันกลับมาดังเมื่อไหร่ ขี้คร้านจะมาขอถ่ายขึ้นทุกปก...ว่าแต่ยายคนเมื่อกี้นี่มันใคร หน้าตาคุ้นๆ”
ซีซีสงสัยแต่ก็ไม่มีใครอยู่ตอบ เธอจึงเดินไปเลย

นับดาวนั่งอยู่หน้ากล้องโดยมีองอาจนั่งอยู่ข้างๆ เป็นคนสัมภาษณ์ วราพรรณเป็นคนควบคุมกล้องตัวหนึ่ง และมีตากล้องอีกคนคุมกล้องอีกตัว เป็นไทกับองอาจยืนดูอยู่หลังกล้อง เมื่อทุกอย่างพร้อม สังวรณ์เริ่มรายการ
“บันเทิงทาวน์ทูไนท์ ช่วงนี้ก็กลับมาพบกับผมอีกแล้วนะครับ ซี ซังวอน รับหน้าที่ดูแลการสัมภาษณ์ที่พิเศษที่สุด ของศิลปินที่กำลังฮอตที่สุดที่กำลังจะมาจัดแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทยตอนนี้ ใช่แล้วครับ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ ยูกิ”
นับดาวตื่นเต้นกับกล้อง
“สวัสดีค่ะ ดีใจจังเลยได้ออกทีวีอีกแล้ว”
“แหม ขี้เล่นจังเลยนะครับคุณไอ ยูกิ”
“เรียกยูกิจังก็ได้ค่ะ”
เป็นไทกับองอาจที่ยืนอยู่หลังกล้อง ซุบซิบกัน
“คนอะไรวะ สัมภาษณ์คนอื่นแต่ต้องมีกล้องเดี่ยว จับหน้าตัวเองไว้ตลอด”
เป็นไทพยักหน้า
“แล้วคุณเคยดูรายการเค้ามั้ย พอตัดออกมา หน้าศิลปินได้ออกกล้องน้อยกว่าคนสัมภาษณ์อีก ...เกิดมาคุย จริงๆ”
องอาจกับเป็นไท แอบนินทาสังวรณ์กันสนุก

เมื่อการถ่ายรายการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีมงานเก็บอุปกรณ์กัน เป็นไทกับสังวรณ์รี่มาหายูกิ
“ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน เดี๋ยวเย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันหน่อยนะครับ”
สังวรณ์ขัด
“เจอแต่คนหน้าเดิมๆ ซ้ำๆ ผมว่าไปทานข้าวกับผมดีกว่า”
นับดาวมองทั้งคู่แบบงงๆ ได้แต่ยิ้มๆ
“แต่เรามีนัดกัน คุยเรื่องคอนเซ็ปต์คอนเสิร์ตกันนี่ครับยูกิ”
“เรื่องงานคุยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เรื่องได้ออกสื่อ ออกสัมภาษณ์ทีวีของไทยน่ะ โอกาสมันมีไม่เยอะหรอกครับ”
“แต่ยูกิ คุณคงไม่ค่อยรู้จักคนไทยดี มันจะมีคนบางประเภทที่เอางานมาอ้าง แล้วก็รวบหัวรวบหางคนดังๆ มันมีอยู่เยอะนะครับ”
“คุณเป็นไทคงไม่ได้หมายถึง...ตัวเองหรอกใช่มั้ยครับ”
“คุณสังวรณ์”
“อะไรครับคุณเป็นไท”
ขณะที่สองคนกำลังเถียงกันอยู่นั้น ก็มีเซอร์ไพร์สใหญ่มาจากญี่ปุ่น เพราะไคคุงเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมลิลลี่สีขาวดอกไม่โปรดของยูกิ
“เซอร์ไพร์ส”
ทุกคนงงว่าไคคุงเป็นใคร
“คุณเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ไง”
“สองคนยังไม่เคลียร์เลย มาจากไหนอีกเนี่ย” สังวรณ์แอบบ่น
“พวกคุณคนไทย คงไม่รู้จักผม ผมให้เกียรติยูกิเป็นคนตอบดีกว่า ว่าผมเป็นใคร” พูดอย่างวางกล้าม
นับดาวหน้าเหวอ งงๆไม่รู้จัก ทุกคนมองหน้าเธอ คาดหวังคำตอบ นับดาวทำน่ารักๆ พูดความหมายกลางๆ
“เอ่อ...ใครน๊า”
ทุกคนไม่ได้คำตอบ ไคคุงถึงกับเก้อ
“ยูกิจังอาจลำบากใจที่จะตอบ ผมตอบเองก็ได้ ผม ไคคุง นักธุรกิจชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น แฟนของยูกิจัง”
เป็นไท สังวรณ์ นับดาว ตะลึงพูดออกมาพร้อมกัน
“แฟน”
นับดาวบ่นกับตัวเอง
“เรื่องใหญ่ละทีนี้”
นับดาวพยายามทำเนียนจะแอบออกไป แต่ไคคุงก็เรียกเธอไว้
“ยูกิจัง ผมคิดถึงคุณแทบแย่เลยรู้มั้ย เราไปดินเนอร์กันให้สมความคิดถึงเถอะ”
“เอ่อ...งั้นฉันว่า เราก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ จะได้ไม่อึดอัด นะ”
นับดาวมองทุกคน ชวนให้ไป เพราะไม่อยากอยู่กับไคคุงตามลำพัง

ค่ำนั้น...ทั้งหมดมาที่ร้านอาหาร สามหนุ่มนั่งล้อมนับดาว ต่างแย่งกันตักอาหารให้ ต่างคนต่างมองกันอย่าง ไม่ถูกชะตา
“นี่ครับยูกิ ต้มยำกุ้งน้ำข้นที่ยูกิชอบ”
เป็นไทป้อน ต้มยำกุ้งให้ นับดาว ไคคุงไม่ยอมตักอาหารบ้าง
“นี่ดีกว่า ยากิโซบะทะเล ของโปรดยูกิ”
ไคคุงป้อนบ้าง สังวรณ์ยอมไม่ได้ ตักบ้าง
“ลองนี่นะครับ กิมจิสูตรต้นตำรับ”
สังวรณ์ป้อน นับดาวมองทุกคนยิ้มๆ อาหารพูนในแก้มเคี้ยวแทบไม่ทัน เธอพยายามอธิบาย
“พอก่อนมั้ยคะ นี่เคี้ยวจนเมื่อยกรามแล้ว”
นับดาวเคี้ยวอาหารเต็มปาก ไคคุงมองหน้าเป็นไทอย่างไม่พอใจ
“นั่นไง ยูกิไม่มีสมาธิจะทานข้าว ก็เพราะพวกคุณนั่นแหละ”
“เหรอ...ตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลยว่างั้น ให้กินยากิโซบะกับข้าวงี้ รสนิยมประหลาด” เป็นไทเถียง
สังวรณ์ เข้าข้างเป็นไททันที
“ใช่...ใครเค้ากินข้าวกับบะหมี่ล่ะ ไม่ให้กินข้าวกับข้าวไปเลยล่ะ”
ไคคุงไม่ยอม
“คุณล่ะดีตายล่ะ ตักแต่อาหารไทยให้ยูกิ จะบอกให้ว่ายูกิน่ะเค้ากินเผ็ดได้ที่ไหนล่ะ ใช่มั้ยยูกิ”
นับดาวกำลังกินส้มตำปูปลาร้ารสจัดอย่างเมามัน ไม่สนใจใคร นับดาวเห็นทุกคนมอง ได้แต่ยิ้มเขินๆให้ ขณะที่ทุกคนเถียงกัน เธอก็กินไม่สนใจใครต่อ ไคคุงมองๆแล้วพูดตามน้ำ
“ถึงเดี๋ยวนี้จะทานเผ็ดเก่งขึ้นก็ตาม”
เป็นไทมองหน้า
“ผมว่าคุณไม่รู้จักยูกิจริงๆมากกว่า ถามจริงคบมากี่ปี”
สังวรณ์เข้าข้างเป็นไทอีก
“ใช่...นักธุรกิจงานรัดตัว จะมีเวลาอะไรมาจดจำรายละเอียดเล็กๆของแฟน”
“หกปี ผมคบกับยูกิมาหกปี และรู้รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ คุณล่ะรู้จักเธอมานานแค่ไหนกัน”
เป็นไทหน้าเจื่อน เถียงไม่ออก สังวรณ์รีบเปลี่ยนไปเข้าข้างไคคุงทันที
“คนคบกันมานาน ก็ย่อมรู้อกรู้ใจเป็นธรรมดา...ว่ามั้ยครับ”
เป็นไทกับไคคุงหันมองหน้าสังวรณ์ขวับ เพราะอยู่ๆก็เปลี่ยนข้าง
“นี่ตกลงคุณอยู่ข้างไหนกันแน่เนี่ย” เป็นไทถามเสียงเข้ม
สังวรณ์ยิ้มแหยๆ
“แหะ แหะ คนจริง เค้าต้องถือหางคนได้เปรียบอยู่แล้ว”
นับดาวหันไปสั่งบ๋อย
“เอาแบบนี้กลับบ้านด้วยชุดนึง”
ชายหนุ่มทั้งสามคนหันขวับกลับไปมองนับดาวเป็นตาเดียว
“ก็มันอร่อยนี่ แหะ แหะ”
นับดาวตอบทุกคนอย่างเขินๆ

ทั้งหมดเดินออกมาที่หน้าร้าน นับดาวถือถุงที่ห่อกลับบ้านมาด้วย เธอตกใจเมื่อพบว่าโทรศัพท์หาย
“อุ๊ย...โทรศัพท์...”
สังวร์ยื่นโทรศัพท์มือถือของนับดาวคืนให้
“นี่ครับ เบอร์ที่โทรออกล่าสุดเป็นเบอร์ผมนะครับ”
สังวรณ์ชูมือถือตัวเองให้นับดาวดู ว่าเขาได้เมมเบอร์เธอไว้ในเครื่องแล้ว
“ถ้าอยากโทรหาผมเมื่อไหร่ โทรได้ทุกเมื่อ”
นับดาวงงๆ ไม่ได้อยากได้
“ค่ะ”
ไคคุงเห็นโทรศัพท์มือถือที่เปลี่ยนไปก็แปลกใจ
“อ้าวยูกิ ไม่ใช้โทรศัพท์ที่ผมซื้อให้แล้วเหรอ”
นับดาวสะดุ้งนิดๆแล้วแก้ตัวไป
“อ๋อ...คือ...มาใช้เมืองไทยแล้วมันเปลือง ก็เลยซื้อโทรศัพท์แบบถูกๆใช้ที่นี่น่ะ”
“ถึงว่าสิ รุ่นนี้มันตกรุ่นไปตั้งนานแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่ซื้อให้ใหม่นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
สังวรณ์นึกได้มองนับดาว
“เอาละสิ...เอาละสิ เวลาแบบนี้ คุณยูกิจะเลือกกลับกับใครนะ...กลับกับผมรับรองปลอดภัย ส่งให้ถึงที่”
ไคคุงมองสังวรณ์อย่างดูถูก
“คนเป็นแฟนกัน ยูกิเค้าก็ต้องกลับกับผมอยู่แล้ว”
“ฉันขอกลับกับคุณไทนะคะ”
เป็นไทงงๆ ที่ตัวเองเป็นคนถูกเลือก
“พอดีว่า ฉันมีงานต้องคุยกันต่อน่ะค่ะ ยังคุยไม่จบเลย”
ไคคุงไม่พอใจ
“แต่ผมมาจากญี่ปุ่น เพื่อยูกิเลยนะ”
นับดาวยิ้มให้
“เดี๋ยวเราค่อยคุยกันวันหลังละกันนะคะ พอดีว่าวันนี้มีงานจริงๆ ขอโทษด้วย”
ไคคุงจ๋อยไป
“ยูกิ”
สังวรณ์ เบ้หน้าหยามๆ
“ชิ นึกว่าแน่”
ไคคุงกับสังวรณ์จ้องหน้ากันเขม็ง เป็นไทรีบบอกนับดาว
“ผมว่าเรารีบไปจากตรงนี้ดีกว่า ที่เขาจะเริ่มตีกันดีกว่านะครับ”
เป็นไทกับนับดาวเดินแยกตัวออกไป ทิ้งให้สองคนจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร

ไคคุงเข้ารถปิดประตูอย่างหงุดหงิด
“เป็นอะไรของเธอนะยูกิ คุณไม่เคยทำกับผมแบบนี้นี่”
ไคคุงหงุดหงิดมาก ขณะเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขากดรับสาย
“ฮัลโหล”
แพรวไพลินนั่งรอเป็นไทที่ล็อบบี้คอนโด คุยโทรศัพท์กับไคคุงไปด้วย
“เป็นไงบ้างคะคุณไคคุง ได้เจอแฟนตัวเองรึเปล่า”
“เจอ”
“ตอนนี้คงได้ไปทานข้าว สวีทหวานด้วยกันแล้วสินะคะ”
“ทานแล้ว แต่...”
“งั้นก็ดีเลย แฟนคุณจะได้ไม่มาติดแจกับแฟนของฉัน”
“ยูกิไม่ใช่คนแบบนั้น”
“จะแบบไหนฉันไม่สน ตอนนี้ฉันทำธุรกิจกับคุณ ให้โอกาสคุณได้มาอยู่เมืองไทย ก็ช่วยทำตัวให้เป็นประโยชน์ ให้สมกับที่ฉันลงทุนลงไปก็แล้วกัน”
“จริงๆคุณไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ยูกิไม่ใช่คนที่จะแย่งของของใครอยู่แล้ว”
“ปกป้องมันอยู่ได้ มันดีนักก็ดูแลมันให้ดีก็แล้วกัน อย่าให้เดือดร้อนมาถึงฉันแล้วนี่ย้ายไปพักกับยูกิรึยัง”
“ผมยังไม่รู้เลยว่ายูกิพักที่ไหน”
“แล้วมัวทำอะไรอยู่”
“เราแยกกันแล้ว เขาไปคุยงานกับเป็นไท”
“แล้วปล่อยให้เค้าไปคุยกันได้ยังไงเล่า นี่ยังไม่เข้าใจใช่มั้ยเนี่ยว่าฉันลงทุนทำธุรกิจกับคุณเป็นร้อยล้านเพื่ออะไร โอ๊ย...”
แพรวไพลินหงุดหงิดที่อะไรไม่เป็นดังใจ เธอกดวางสาย
“จะคอยอยู่ตรงนี้ ไม่กลับมาก็ให้มันรู้กันไปสิพี่ไท”

นับดาวกับเป็นไทเดินเล่นกันอยู่บนสะพานพุทธด้วยกัน
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย” นับดาวงงๆ
“ก็คุณเคยบอกว่าชอบที่นี่”
“ฉันเนี่ยนะ” นับดาวบ่นคนเดียว “เดินมาตั้งแต่เด็ก ตากแดดเปรี้ยงๆ จะมีอารมณ์สุนทรีย์มั้ยเนี่ย”
“ว่าอะไรนะครับ”
“เปล่าค่ะ ฉันว่ามันก็สุนทรีย์ดี”
“คุณมากับผมแบบนี้ แฟนคุณจะไม่ว่าเหรอ”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้เค้ากับฉันคบกันยังไง ฉันยังไม่เคยหาข้อมูลเรื่องนี้เลย”
“หืม...”
“คือฉันหมายถึงว่า ฉันอยากหาข้อมูลเรื่องงานของเรามากกว่า”
“ถ่ายโปสเตอร์ออกมาวันนี้ชอบมั้ยละครับ”
“ชอบสิ ชอบมากเลย ฉันดูโดดเด่นกว่าใครเลยเนอะ ว่ามั้ย ใครๆก็มองเป็นตา เดียวเลย”
“เวลาปกติ ใครก็มองคุณเป็นตาเดียวอยู่แล้ว”
“ไม่จริงหรอก ลองถ้าฉันไม่ได้เป็นไอ ยูกิ ซุปเปอร์สตาร์แบบนี้สิ จะมีใครสนใจฉันบ้าง แม้แต่คุณก็เถอะ”
ทันใดนั้นมีคนเดินสวนไป ชนนับดาวเซถลาจะล้มเป็นไทประคองไว้ได้ทันทั้งคู่สบตากัน นับดาวอายหน้าแดงผละออกจากเขากระเป๋าร่วงกระจัดกระจาย เป็นไทหันไปว่าเด็กวัยรุ่นที่ชน
“แย่จริง เด็กสมัยนี้ ขอโทษสักคำก็ไม่มี”
ของที่ร่วงอยู่มีบัตรประชาชนนับดาวหงายหน้าหราอยู่ด้วย เป็นไทก้มลงมาจะช่วยเก็บ นับดาวหันไปเห็นบัตรประชาชนรีบหยิบมันเขวี้ยงลงน้ำทันที โดยไม่ได้สังเกตว่า กุญแจบ้านเธอกระเด็นไปอีกทาง
“นั่นอะไรน่ะครับ”
“บัตรเครดิต มันปลิวลงไปน่ะค่ะ น่าเสียดายจัง”
“จริงเหรอครับ” เป็นไทชะโงกดูด้านล่างสะพาน “สูงขนาดนี้ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ นอกจาก...”
เป็นไทหยิบกระเป๋าตังค์ตัวเองขึ้นมา แล้วหยิบบัตรเครดิตของตัวเองโยนทิ้งลงไปหนึ่งใบ
“เฮ้ย...ทำอะไร”
“ก็บัตรคุณหาย ผมช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากทำหายเป็นเพื่อน”
“บ้ารึเปล่าเนี่ย” นับดาวมองตามลงไป บ่นคนเดียว “เสียดาย ฉันยังไม่เคยขอบัตรเครดิต ผ่านเลย ไม่ใช้ก็น่าจะมาแบ่งกัน”
“ว่าไงนะครับ”
“หายไปได้บ้างก็ดีค่ะ ฉันมีบัตรเครดิตหลายใบมาก เบื่อจะใช้”

นับดาวโล่งอกถอนหายใจออกมา ที่เอาตัวรอดไปได้อีกครั้ง
เป็นไทมาส่งนับดาวที่บ้าน มองสภาพบ้านโทรมๆ เป็นไทอดจะแปลกใจไม่ได้

“ที่พักที่คุณอยู่นี่ มันสบายจริงเหรอครับ”
“ก็อยู่มาจนชินแล้วล่ะค่ะ”
นับดาวหากุญแจบ้านในกระเป๋า ไม่เจอ พยายามหา
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“กุญแจบ้านน่ะค่ะ มันหาย...” นับดาวนึกได้ “สงสัยร่วงที่สะพานแน่ๆเลย”
“อ้าว แล้วทีนี้ทำไงละครับ เคาะประตูให้เจ้าของโฮมสเตย์มาเปิดเอามั้ย”
“ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะ”
“งั้นคืนนี้ไปพักที่ห้องผมก่อนมั้ยครับ”
“ฮึ๊”
นับดาวมองอย่างสงสัย
“อย่าคิดไปไกลครับ ห้องผมมีห้องสำหรับรับรองแขกด้วย”
“ไม่เอาหรอกค่ะ เกรงใจ”
“พูดยังกับคุณมีที่ไปงั้นแหละ”
นับดาวปฏิเสธไม่ออก

แพรวไพลินนั่งสัปหงกอยู่ที่ล็อบบี้ เป็นไทกับนับดาวเดินผ่านเธอไปโดยไม่ได้สังเกต แพรวไพลินก็ไม่เห็นเป็นไทกับนับดาวเหมือนกัน พอเป็นไทกับนับดาวขึ้นลิฟท์ไป แพรวไพลินก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
“พี่ไทนะพี่ไท ดึกป่านนี้แล้วมัวไปทำอะไรที่ไหนเนี่ย”
แพรวไพลินนั่งบ่นอยู่ที่ล็อบบี้ เริ่มงอแงเพราะความง่วง

เป็นไทกับนับดาวอยู่ในห้อง นับดาวเกร็งๆเพราะไม่เคยอยู่กับผู้ชายสองต่อสองมาก่อน เธอคิดในใจ
‘ตายแล้ว ฉันอยู่กับผู้ชาย สองต่อสอง จะทำยังไงดีเนี่ย’
“เดี๋ยวเชิญตามสบายเลยนะครับ ถ้าอยากอาบน้ำ ห้องน้ำอยู่ทางนี้” เป็นไทบอก
นับดาวคิดในใจ
‘นั่นไง อยู่ก็พูดเรื่องอาบน้ำ แปลว่าคิดภาพฉันแก้ผ้าอยู่แน่ๆเลย’
เป็นไทส่งเสื้อผ้าให้
“เสื้อผ้า ถ้ายูกิอยากเปลี่ยน ใช้ของผมไปก่อนก็ได้”
นับดาวคิดในใจอย่างหวาดๆ
‘นั่นไง เริ่มพูดถึงการแลกเปลี่ยนเสื้อผ้า ความใกล้ชิดแนบเนื้อ’
เป็นไทแปลกใจ
“นี่ยูกิจังคิดอะไรอยู่เหรอครับ ทำไมมองผมแปลกๆ”
นับดาวคิดในใจ
‘เอาแล้วไง รู้ด้วยว่าฉันคิดเรื่องแบบนั้น’
นับคาวยังนิ่ง เป็นไทเรียก
“ยูกิจังครับ”
นับดาวรู้สึกตัว
“อูย...เปล่าค่ะ ไม่ได้คิดอะไรเลย บริสุทธิ์ใจมากๆ”
นับดาวมองเป็นไทอย่างไม่ไว้ใจ เป็นไทไม่คิดอะไร

แพรวไพลินยังคงรอเป็นไทอยู่ที่ล็อบบี้
“ไม่มาซักทีเลยพี่ไท ปวดฉี่จะแย่อยู่แล้วนะ”
แพรวไพลินหยิบกุญแจห้องเป็นไทที่เธอแอบเก็บไว้ขึ้นมาดู
“ขอเข้าไปฉี่หน่อยละกันนะพี่ไท คงไม่กลับมาตอนนี้มั้ง”
แพรวไพลินเดินไปขึ้นลิฟท์

เป็นไทนั่งดูทีวีอยู่ ขณะที่นับดาวเดินเอาคลำๆ ออกมาจากห้องน้ำ
“คุณ...คุณ ช่วยฉันที”
เป็นไทหันมาดู
“ว่าไงครับ”
“ฉันทำคอนแทคเลนส์หล่น อยู่ไหนไม่รู้ ฉันมองไม่เห็น”
“หล่นที่ไหน”
“ในห้องน้ำ ช่วยฉันหาหน่อยได้มั้ย”
“แล้วนี่คุณเป็นอะไร”
“ฉันมองไม่ชัด ไม่คุ้นทาง”
เป็นไทหัวเราะ
“สายตาสั้นเท่าไหร่เนี่ย” เป็นไทเอาหน้าเข้ามาใกล้ “แค่นี้เห็นชัดมั้ย”
“ไม่ชัด”
เป็นไทเอาหน้าเข้าไปใกล้อีก
“ชัดยัง”
“ก็เห็นเค้าลางๆแล้วล่ะ”
เป็นไทเอาหน้าเข้าไปใกล้มาก
“แบบนี้ชัดยัง”
“ชัดแล้ว ระยะเนี้ยแหละแจ่ม”
แพรวไพลินเปิดประตูเข้ามาพอดี ก็ต้องตกใจที่เห็นภาพนั้น เหมือนนับดาวกับเป็นไทจูบกันอยู่ เป็นไทตกใจที่แพรวไพรินเข้ามา
“พี่ไททำอะไร”
นับดาวยังไม่รู้ เพราะหูไม่ดี...เป็นไทลากแพรวไพลินเข้ามาคุยในห้องน้ำเพื่อเป็นส่วนตัว เขาเห็นคอนแทคเลนส์หล่นอยู่ที่พื้น จะก้มเก็บ
“บอกมา มันขึ้นมาอยู่บนห้องนี้ได้ยังไง”
“แล้วแพรวล่ะ...ยังแอบเก็บกุญแจห้องพี่ไว้อีกเหรอ”
“ถ้าแพรวไม่เก็บไว้ แพรวก็คงไม่เห็นภาพทุเรศๆแบบนี้”
“มันไม่มีอะไร เขาแค่ไม่มีกุญแจเข้าที่พัก”
เป็นไทพะวงกับคอนแทคเลนส์ ที่ร่วงกับพื้นใกล้เท้าแพรวไพลิน สุดท้ายแพรวไพลินก็กระทืบเท้าเหยียดด้วยความโมโห
“มารยาละสิ เกลียดนักคนแบบนี้”
แพรวไพลินเท้าขยี้คอนแทคเลนกับพื้น เป็นไทเห็นแต่ไม่ทันแล้ว

นับดาวเดินคลำๆทางตามมาที่ห้องน้ำ
“คอนแทคเลนส์ฉัน ตกลงเจอมั้ย”
เสียงเป็นไทตะโกนบอกมา
“เจอ...เต็มๆเลย”
นับดาวดีใจ เข้าใจว่าคอนแทคเลนส์ยังใช้ได้ โผล่พรวดเข้ามาในห้องน้ำ
“ตกลงเจอแล้วเหรอ ดีจัง”
แพรวไพลินหมั่นไส้
“ใช่ เจอเต็มตาเลยน่ะสิ”
นับดาวมองไม่เห็น
“นั่นใครน่ะ”
“ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าใคร ฉันไม่ไหวกับเธอแล้วนะ”
แพรวไพลินวิ่งรี่เข้ามาตบนับดาวหน้าหัน แต่ด้วยความที่นับดาวมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับเธอ
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นน่ะ ความรู้สึกเหมือนขี่มอเตอร์ไซค์ตอนฝนตก”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำงง ต้องโดนอีกซักที”
แพรวไพลินตบนับดาวอีกข้างหน้าหัน นับดาวเอามือลูกแก้ม
“มันวูบๆ มันวาบๆ หน้าชาๆ คืออะไรกันนะ”
“งั้นมันต้องโดนอีกซักที”
แพรวไพลินกำลังจะเงื้อมมือตบอีก แต่เป็นไทมาห้ามไว้
“พอแล้วแพรว กลับบ้านได้แล้ว”
“พี่ไทไล่แพรวกลับ ทั้งที่แพรวเป็นแฟน แล้วยายนี่มัน...”
“มันไม่มีอะไรอย่างที่แพรวคิดทั้งนั้น แล้วแพรวก็ไม่ควรจะใช้ความรุนแรงกับใคร โดยที่ยังไม่รู้เหตุผลอะไรเลย”
“ทำไมแพรวจะตบมันไม่ได้ พี่ไทเป็นของแพรว”
นับดาวเดาได้ทันที
“เดี๋ยวนะ ตบ...ตกลงเมื่อกี้ฉันโดนตบเหรอ ใช่จริงๆด้วย ฉันโดนตบ คุณมีสิทธิ์อะไรมาตบฉัน”
นับดาวตบคืนกระหน่ำเต็มที่ ตบซ้ายขวาชุลมุนวุ่นวาย เป็นไทรีบบอก
“ยูกิพอได้แล้ว”
นับดาวตบไม่หยุด
“ฉันไม่พอ เรื่องอะไร ก็เค้ามาตบฉันก่อน”
“พอเถอะผมขอร้อง”
“ไม่”
“คุณกำลังตบผมอยู่ ไม่ใช่แพรว”
นับดาวคร่อมอยู่บนเป็นไทที่หน้าตาสะบักสะบอม เธอชะงัก เป็นไทเจ็บ
“ผมเอง”
“อ้าว...เหรอ แล้วนี่คนไปไหนกันหมดละเนี่ย”
นับดาวค่อยๆลุกจากเป็นไทขึ้นยืนชี้หน้าแพรวไพลิน แต่ก็ผิดทางอีก
“คราวนี้ฉันฝากไว้ก่อน”
แพรวไพลินกับเป็นไทพูดพร้อมกัน
“ทางนี้”
นับดาวหันตามเสียง
“อย่าคิดว่าจะทำร้ายใครก็ทำได้ง่ายๆนะ”
เป็นไทเข้าห้าม
“พอกันเถอะ ผมขอร้อง”
“ก็ให้มันขอโทษแพรวสิที่มายุ่งกับพี่ไท”
“คนที่เขาควรจะขอโทษเป็นพี่ ไม่ใช่แพรว ดูสภาพพี่สิ”
เป็นไทเลือดกำเดาออกจมูก
“ไม่รู้ล่ะ ถ้ามันอยู่ที่นี่ แพรวก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”
“ตามใจ”
เป็นไทไม่พอใจ แต่ก็ยังเจ็บหน้า เดินออกไป
“ไม่ถามฉันซักคำเลยเหรอว่าเต็มใจรึเปล่า”
แพรวไพลินนั่งอยู่ต่อหน้านับดาว
“แกไม่วันแย่งพี่ไทไปจากฉันได้หรอก ยายเพี้ยน”
แพรวไพลินนั่งเฝ้านับดาว

ยูกินั่งเขียนจดหมาย ขอความช่วยเหลือด้วยดินสอที่เธอพอหาได้ บนเศษกระดาษที่พอมีในห้องเสียงเปิด
ล็อคประตูดังขึ้น เธอรีบซ่อนของต่างๆทันที ยามาดะเดินเข้ามา
“ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนอีก เพิ่งฟื้นจากไข้แท้ๆ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกน่า ฉันดูแลตัวเองได้”
“ถ้าดูแลได้ คงไม่โดนจับมาแบบนี้หรอก”
“คุณเป็นใครกันแน่”
“เอาตัวเองให้รอดก่อนจะมาใส่ใจเรื่องของผมจะดีกว่า”
“นี่...ไหนๆที่นี่ก็เป็นเกาะส่วนตัว ฉันคงหนีไปไหนไม่ได้ ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันออกไปเดินเล่นทะเลบ้างล่ะ”
“ไว้ฉันจะคิดดู นี่มันดึกแล้ว”
“คุณจะคิดจริงๆนะ”
“ถ้าเธอไม่หลอกฉันเพื่อวางแผนจะหนี...”
“คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่โง่ทำอะไรซ้ำๆหรอกน่า”
ยามาดะหน้าเข้มแล้วเดินออกไปล็อคประตู ยูกิเก็บจดหมายขอความช่วยเหลือใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ

นับดาวนอนเอามือก่ายหน้าผาก คิดเรื่องยูกิ
‘ฉันจะอดทนเป็นเธอให้ถึงที่สุด เพราะฉันรับเงินของเธอมาแล้ว ฉันต้องรับผิดชอบ ไม่ว่ามันจะลำบากแค่ไหนก็ตาม’
แพรวไพลินนอนกอดนับดาวเป็นหมอนข้างหลับสนิท นับดาวประชด
“ถ้าแกจะนอนขนาดนี้ ลุกขึ้นมาสิงฉันเลยดีกว่ามะ”
นับดาวเซ็งที่ต้องนอนกับแพรวไพลินที่ประชิดตัวขนาดนี้ แพรวไพลินหลับไม่รู้เรื่อง

เช้าวันใหม่...ยูกิเดินเล่นอยู่ริมทะเลอย่างสดใสขึ้น ยามาดะเดินตามประกบเธออยู่ห่างๆ แต่เขาก็ดูยินดีที่เห็นเธอมีความสุข ยูกิทำเดินเล่น เก็บโน่นเก็บนี่มาดู ยามาดะไว้ใจ ยูกิเห็นขวดแก้วจมอยู่กับผืนทราย เธอแอบดูยามาดะเห็นเขาไม่ทันสังเกตจึงเก็บขวดแก้วนั้นขึ้นมายัดจดหมายขอความช่วยเหลือลงไป เอาเศษผ้าอุดจุกให้แน่น ไม่ให้อากาศเข้าแล้วโยนมันลงทะเลไป ยามาดะไม่ได้สังเกต เธอมองขวดแก้วที่ลอยตามกระแสคลื่นออกไปอย่างมีความหวัง
“นี่เป็นทางเดียวที่เธอพอจะทำได้แล้วล่ะยูกิ ที่เหลือก็คือโชคชะตา รู้ว่าแทบจะไม่มีหวัง แต่เธอก็ยังหวังกับมันขวดแก้วที่ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจมั้ย แล้วมันจะลอยไปที่แห่งไหนของมหาสมุทร”

ไคคุงเดินถือกระเป๋านักธุรกิจ คุยโทรศัพท์อยู่ในโรงแรม
“ออกเดินเรือไปก่อนเลย ออกไปเท่าที่เรือเรามี ตอนนี้ผมกำลังหาเรือมาเสริม แล้วหาแรงงานคนมาเพิ่มอยู่... เช็คให้ดีว่าพวกเรือประมงใหญ่ๆ ถ้าเขาเอากับเราด้วยเขาจะเรียกเท่าไหร่...เช็คเลย ธุรกิจอาหารทะเลเราเน้นสด เราช้าไม่ได้...นี่ผมกำลังจะเข้าไปดู...ใช่ ใช่ แล้วเจอกัน”
ไคคุงเดินออกจากโรงแรมอย่างเร่งรีบ

ไคคุงเดินคุยธุรกิจกับผู้จัดการแพปลามาที่ท่าเรือ ปลาถูกเทลงจากอวน ไหลกองกับพื้น
“ผมเคยมาเรียนที่เมืองไทย แต่ไม่เคยมาจับตลาดเมืองไทยเลย พอดีมีคนจ้างให้มาทำ ผมเลยสนใจ”
ไคคุงเดินผ่านอวนที่กองตามพื้น มีเศษขวดแก้วติดเต็มไปหมด เขาก้มไปเก็บหยิบขึ้นดู ก่อนจะหันไปถามผู้จัดการ
“เศษแก้วเยอะแบบนี้ เป็นเรื่องปกติมั้ยครับ”
“ปกติครับ”
“นี่แปลว่าทะเลไทย ยังไม่มีคนเข้มงวดเรื่องการทิ้งขยะละสิ หรือไม่ก็มีคนส่งจดหมายข้ามน้ำข้ามทะเลหากันเยอะแยะไปหมด”
ผู้จัดการหัวเราะ
“คงจะเป็นอย่างแรกซะมากกว่าครับ”
ไคคุงโยนขวดแก้วทิ้งลงถังขยะ ไม่ได้สนใจ

ขณะเดียวกันนั้น ..ขวดแก้วของยูกิลอยอยู่กลางทะเล แล้วติดอวนขึ้นไป

เช้าวันใหม่ นับดาวออกจากห้องเป็นไทมา เธอเดินคลำๆทางมาเหมือนคนตาบอด ชนคนโน้นทีคนนี้ที คนต่างต้องคอยเดินหลบเธอ
“ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ ฉันมองไม่เห็นทาง”
นับดาวมายืนที่ริมถนนบ่นอุบ
“ให้ฉันต้องอยู่กับยายขี้ระแวงแพรวไพลินต่อไป มีหวังฉันต้องบ้าตายแน่ๆ ยอมมืดแปดด้าน โบกแท็กซี่กลับบ้านเองดีกว่า”
นับดาวโบกรถริมถนน รถกระบะด้านหลังปิดทึบคันหนึ่งจอดหน้าเธอ คนขับเปิดกระจกถาม
“ตกลงเธอคืออีกคนที่จะติดรถไปด้วยใช่มั้ย”
นับดาวงงๆ
“ว่าไงนะพี่”
“จะไปก็รีบๆขึ้นมาเลย เร็ว...เดี๋ยวไปไม่ทัน”
นับดาวคลำเปิดประตูรถ นั่งข้างคนขับ นึกว่าเป็นแท็กซี่
“ไปวังหลังเลยลูกพี่”
“วังหลังอะไรของเอ็ง คันนี้ไประยองเว้ย”
“ว่าไงนะพี่ พอดีหูข้างนี้” เธอชี้หูข้างขวา “หนูไม่ได้ยิน”
“จะไประยองเว้ย” คนขับพูดเสียงดัง
นับดาวพยักหน้า
“ก็ได้ ปากคลองก็ปากคลอง กลัวส่งรถไม่ทันละสิ”
คนขับส่ายหน้าระอา

รถกระบะขับออกถนนต่างจังหวัด ...คนขับขับมาตามทางจะถึงท่าเรือแล้ว นับดาวหลับอ้าปากหวอไม่รู้เรื่อง รถเข้ามาจอดที่ท่าเรือประมง คนงานชายต่างด้าวลงจากรถกะบะมาเรียงเป็นแถว ไคคุงเดินเช็คหน่วยก้านทีละคน
“เคยออกเรือกันมาแล้วใช่มั้ย”
คนงานต่างด้าวพยักหน้า
“ก็ดี...ส่งลูกเรือไปแต่ละลำให้เขาคัดดูอีกที”
คนงานพากันทยอยเดินไป นับดาวงัวเงียเปิดประตูลงมาจากรถ
“จอดรถทำไมเนี่ย ถึงรึยังปากคลองน่ะ”
ไคคุงหันไปตามเสียง เขาก็ต้องตกใจที่เห็นนับดาว เขาคิดว่ายูกิทำเซอร์ไพร์ส
“ยูกิจัง คุณมาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย”
นับดาวมองไม่เห็น
“ห๊ะ...ใครอีก”
“คุณตั้งใจจะทำเซอร์ไพร์สผมใช่มั้ย” ไคคุงเข้ากอดนับดาว “คุณน่ารักมากเลย ผมล่ะแอบน้อยใจคุณอยู่เชียว ที่เมื่อวานคุณดูเหมือนไม่ดีใจที่เห็นผม”
นับดาวงงๆ
“ห๊ะ...เดี๋ยวนะ คุณ...ใคร”
“ไม่ต้องเรียกคุณไค อะไรหรอก ก็เรียกพี่ว่าไคคุงเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว”
“ไคคุง...” นับดาวพยายามเพ่งสายตามองเขาใกล้ๆ “อะ อ๋อ แฟน...มาได้ไงวะ”
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า ท่าทางแปลกๆ”
“คืองี้นะคะ จะเป็นพระคุณอย่างมาก ถ้าคุณหาแว่นหรือคอนแทคเลนส์ให้ฉันเพราะฉันมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไรเลย”
ไคคุงแปลกใจ
“คุณสายตาสั้นตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะยูกิ”
นับดาวนึกได้
“เออ นั่นสิ ฉันไม่เคยบอกคุณว่าสายตาสั้นเหรอ ฉันนี่แย่จริงๆ”
“แต่ตอนนั้นที่เราไปเรียนยิงปืนด้วยกัน คุณยังเล็งได้แม่นกว่าผมอีก”
“โอย...บอกว่าสั้นก็สั้น จะเซ้าซี้ทำไมเนี่ย”
ไคคุงงงๆไม่เข้าใจว่านับดาวสายตาสั้นเมื่อไหร่

ยามาดะเปิดประตูเข้ามาในห้องยูกิ
“ผมจะไปซื้อของใช้จำเป็นที่ฝั่ง คุณจะเอาอะไรมั้ย”
“ฉันไปด้วยได้มั้ย”
“คุณคิดว่าคุณมาเที่ยวพักผ่อนอยู่รึไง”
“งั้นก็ไม่เอา”
“อยู่บนเกาะคนเดียว อย่าคิดทำอะไรตุกติกล่ะ แล้วก็อย่าคิดจะว่ายน้ำหนีล่ะ เพราะรอบเกาะนี้เป็นแนวร่องน้ำลึก คุณได้ไปนอนตายใต้ทะเลแทนที่นี่แน่”
“ไม่ต้องขู่ฉันหรอก ถ้าฉันอยากตาย ฉันเลือกเองว่าจะใช้วิธีไหน”
ยูกิค้อนๆ ยามาดะเดินออกไป

ยามาดะขึ้นสปีดโบ๊ต ขับออกไป ยูกิแอบมอง ก่อนจะรีบวิ่งออกมาด้านนอก หาของที่ใช้ติดต่อสื่อสารทันที เธอค้นหาทุกซอกทุกมุม จนในที่สุดเธอก็เจอโทรศัพท์มือถือของเธอ ยูกิดีใจมากรีบเปิดเครื่องทันทีอย่างตื่นเต้นที่เธออาจจะรอดกลับไปได้ แต่ปรากฏว่าไม่มีคลื่นโทรศัพท์เลย
“มันจะไม่มีคลื่นเลยรึไงเล่า”
ยูกิวิ่งออกไปจากตัวบ้านเพื่อหาคลื่นโทรศัพท์ เธอวิ่งหาคลื่นจนสุดท้ายมันก็มีขึ้นมาขีดนึงก็ดีใจมาก ยูกิพยายามจะกดหาเป็นไท แต่พอจะกดแบตก็ดับไปซะยังงั้น เธอเขย่าๆ เคาะๆ แต่หน้าจอก็มืดเหมือนเดิม
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ”
ยูกิน้ำตาไหล เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตตัวเอง...ยูกิกลับมาที่บ้านพักเธอค้นหาที่ชาร์ตแบตหมดทุกซอกทุกมุม ทุกลิ้นชัก แต่ก็ไม่มีเลย ยูกิท้อใจ

เป็นไทขับรถมาจอดหน้าบ้านรจนา เขาถือดอกไม้ลงมาด้วย แต่พอไปดูที่ประตูบ้านปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ ประตูยังล็อคอยู่ ดูนาฬิกาแล้วตัดสินใจนั่งรอ เขานั่งมองดอกไม้แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว แต่เพราะรอนานเกิน เป็นไทสัปหงกนั่งรอนับดาวอยู่ที่หน้าบ้าน ช่อดอกไม้ร่วงจากหน้าตักทำให้เขาสะดุ้งตื่นดีใจ นึกว่านับดาวมาจแต่ก็ไม่ใช่ ยังไม่มีใครกลับมา เป็นไทมองดอกไม้ มองลูกกุญแจบ้านอย่างหงอยๆ

ไคคุงพานับดาวมาที่ร้านแว่นตาในตลาดแถวๆท่าเรือ นับดาวใส่คอนแทคเลนส์อันใหม่เรียบร้อยแล้วยืนอยู่หน้ากระจกกระพริบตาถี่ๆ ไคคุงเข้ามาถาม
“ชัดมั้ย”
นับดาวยิ้มพอใจ
“แหล่มเลย”
ไคคุงมองหน้าแล้วพูดภาษาญี่ปุ่น
“ยูกิพูดไทเก่งขึ้นนะ”
“ห๊ะ ว่าไงนะ”
“มัวแต่พูดไทย จนลืมภาษาญี่ปุ่นไปรึเปล่า”
นับดาวยิ้มแหยๆ
“แหะ แหะ พูดญี่ปุ่นเป็นชุดเชียว”
ไคคุงยังคงพูดภาษาญี่ปุ่น
“คุณคิดถึงผมบ้างมั้ย”
“แหะ แหะ เรามาพูดไทยกันดีกว่ามั้ย”
ไคคุงไม่สนพูดภาษาญี่ปุ่นต่อ
“ตอบมาก่อน”
นับดาวมองหน้าไคคุง พยายามตีความ
“เอ่อ คือ...ใช่ ตกลงนะ ดีเลย แบบนั้นแหละ”
ไคคุงดีใจยังพูดภาษาญี่ปุ่น
“หมายความว่า คิดถึงใช่มั้ย”
นับดาวมองเขา พยายามตีความ ตอบมั่วๆไป
“ถูกต้อง ถูกใจมาก เราน่าจะทำแบบนี้กันบ่อยๆ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่น่า”
ไคคุงงง ก่อนจะพูดภาษาไทยกับเธอ
“ตกลงว่าคุณตอบว่าคิดถึงใช่มั้ย ผมไม่ค่อยเข้าใจ”
“เออ ใช่ คิดถึง คิดถึง หึ หึ”
“ดีใจจัง เพราะผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน”
นับดาวถอนหายใจที่รอดตัวมาได้
“ต่อไปนี้คุยกันแต่ภาษาไทยดีกว่านะ คือฉันอยากฝึกให้คล่องน่ะ”
ไคคุงยิ้มรับ โดยที่ไม่รู้ว่านับดาวเครียดแทบตาย

นับดาวกับไคคุงเดินมาบริเวณท่าจอดเรือ ชาวประมงกำลังเคลียร์เศษต่างๆที่ติดแห เพื่อเตรียมออกเรือเวลากลางคืน นับดาวเดินดูไปทั่วๆ
“ฉันไม่เคยเห็นบรรยากาศแบบนี้มานานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่มาเที่ยวทะเลมันเมื่อไหร่น๊า”
“คงเป็นตอนมัธยมต้นละมั้ง ที่คุณมาเที่ยวทะเลที่ไทยกับที่บ้าน จนคุณรักเมืองไทยเลย”
นับดาวครุ่นคิดในใจ
‘ชิ ทำเป็นรู้ดี ถ้ารักแฟนจริงก็น่าจะดูออกนะว่าฉันน่ะไม่ใช่แฟนคุณซะหน่อย’
ไคคุงยิ้ม
“คุณจำได้มั้ย ตอนที่เราเจอกันตอนม.ต้นน่ะ”
นับดาว มองหน้ารำพึงในใจ
‘นั่นไง มันเริ่มย้อนความหลังละ’
นับดาวหันไปบอกเขา
“ฉันว่าเราไปดูตรงโน้น ดีกว่า”
นับดาวเดินนำไป ทำไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด และเวลานั้นเองที่เธอเดินสวนกับยามาดะที่เธอเองก็
ไม่รู้จัก ยามาดะเดินผ่านนับดาวกับไคคุงไปโดยไม่ทันสังเกต แต่เขาก็เพิ่งมารู้สึกคุ้นๆเมื่อเดินผ่านไปแล้ว เขาหันหลังกลับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้น ยามาดะเดินต่อไป นับดาวกับไคคุงเพิ่งลุกขึ้นมาจากการที่นับดาวก้มลงไปคุยกับชาวประมงแถวนั้น ที่ปลดขยะออกจากแห เธอเก็บขวดแก้วใบหนึ่งขึ้นมาได้ มันคือขวดใบเดียวกับที่ยูกิใส่จดหมายลอยทะเลมา
“ลุง ขวดนี้ใช้รึเปล่า ขอได้มั้ย”
“เอาไปเหอะ ขยะทั้งนั้น”
นับดาวเก็บขวดมาดูเห็นจดหมายข้างใน
“นี่ข้างในมีจดหมายด้วย”
ไคคุงมองอย่างไม่เข้าใจ
“จะเอาเศษขยะไปทำไม”
“ก็มันสวยดี เอาไปทำแจกันยังได้”
“ซื้อเอาไม่ง่ายกว่าเหรอ เดี๋ยวผมซื้อให้”
“ของดีๆแบบนี้ น่าเสียดายจะตาย”
ทั้งสองเดินเคียวคู่กันไป ไคคุงมองนับดาวอย่างเอ็นดู

เย็นนั้น...ไคคุงขับรถไปโดยมีนับดาวนั่งอยู่ข้างๆ ขวดแก้วของยูกิถูกใส่ไว้ในกระเป๋านับดาว ไม่มีใครเปิดอ่าน ไคคุงเปิดเพลงของยูกิ
“เสียงคุณเพราะมาก”
“ใช่...เสียงยูกิเพราะมากจริงๆ”
นับดาวมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟังเพลงยูกิก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา เธอบ่นคนเดียวเบาๆ
“ฉันจะทำได้ดีเหมือนที่เธอทำมั้ยนะยูกิ”
ไคคุงแปลกใจ
“ว่าไงนะ”
“นี่คุณ ยูกิเขา...เอ่อ ฉันหมายถึงว่า คุณว่าฉันจะมีศัตรูที่ไหนรึเปล่า”
“หืม”
“คือมีคนรักมากๆ ก็คงต้องมีคนเกลียดเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ คุณว่าใครเกลียดฉันบ้าง”
“เกลียดคุณน่ะเหรอ ก็ไม่เห็นเคยมีนะ คุณก็เป็นมิตรกับทุกคน”
“ฉันคงไม่ดีขนาดนั้นมั้ง มันต้องมีซักคนเกลียดมั่งแหละน่า คนที่เกลียดขนาดว่าอยากจะกำจัดให้พ้นๆทางน่ะ”
ไคคุงครุ่นคิด
“อืม ถ้าให้ผมเดา ก็คงเป็นพวกนักร้องหรือนักแสดงที่โดนคุณแย่งงานไปหมดละมั้ง”
นับดาวคิดตาม
“คนที่ฉันแย่งงานไปหมดเหรอ ใครนะ”
“คุณมักจะกังวลเรื่องพวกนี้เสมอเลย จำได้มั้ยตอนมัธยมที่มีคนเขียนด่าคุณบนกระดาน”
นับดาวหันไปบ่นคนเดียว
“อีกละ เอาเรื่องอดีตมาพูดอีกละ หึ กลัวฉันจะรู้เรื่องด้วยมั้งเนี่ย”
“ตอนนั้นนั้นคุณร้องไห้แล้วก็กลุ้มใจมากเลย แล้วหลังจากนั้นมันเป็นไงต่อนะ”
นับดาวพอเห็นว่าไคคุงโยนเรื่องอดีตมา เธอไม่รู้จะตอบยังไง เธอแกล้งหลับทันที ไคคุงหันไปเห็นมองอย่างเอ็นดู

ค่ำนั้น ยามาดะกลับเข้ามาถึงบ้าน ซื้อของมาเต็มไปหมด
“ผมซื้อของมาสำหรับทำของโปรดให้คุณด้วย”
ยามาดะเดินเข้ามาในบ้าน เห็นข้าวของถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย เขารีบวิ่งไปที่ห้องยูกิทันที เขาเปิดประตูห้องเข้ามาในห้องเห็นยูกิยังอยู่ก็โล่งใจ แต่ก็ต้องถอนใจเมื่อเห็นว่าเธอนอนร้องไห้อยู่บนเตียง
“คิดจะทำอะไรน่ะ ผมบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าคิดหนี”
“สภาพฉันตอนนี้เหมือนคนกำลังหนีอยู่รึไง”
“คุณคิดว่าผมจะปล่อยให้คุณทำแบบนั้นได้ง่ายๆรึไง”
“ฉันก็แค่พยายามเอาตัวรอด แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย”
“ผมไม่เคยทำร้ายคุณ ไม่เคยแตะต้องตัวคุณ ถ้าเป็นคนอื่นคุณไม่เหลือชิ้นดีแล้ว คุณยังคิดจะหนีอีกเหรอ”
“แต่คุณก็จับฉันไว้ คุณทำแบบนี้ทำไม”
ยามาดะนิ่ง
“ผมจะไม่ไว้ใจคุณอีกแล้ว”
ยามาดะโมโหปิดประตู ล็อคกลอนห้องยูกิปล่อยเธอไว้คนเดียว เขาเดินออกจากห้องด้วยความเสียใจ เตะข้าวของที่ซื้อมากระจัดกระจาย แล้วหยิบขวดสาเกขึ้นมาดื่ม
“แกมันไอ้โง่ ปล่อยให้เขาหลอกได้ไม่หยุดหย่อน เขาไม่มีวันรักแกหรอกไอ้ซื่อบื้อ”
ยามาดะกระดกสาเกอักๆๆ

ไคคุงมาส่งนับดาวที่หน้าบ้าน
“นี่คุณพักอยู่ที่นี่เหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมอยู่โฮมสเตย์ แทนที่จะอยู่โรงแรมล่ะ”
“อยากอยู่แบบไทยๆมากกว่าน่ะค่ะ”
เป็นไทเดินออกมาเห็นนับดาวกับไคคุง เขาหลบวูบ มองสองคนอย่างจ๋อยๆ
“ให้ผมเข้าไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณกลับเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“จะไม่ชวนเข้าไปกินกาแฟซักแก้วเหรอ”
“บ้านฉันไม่มีกาแฟหรอกค่ะ...ขับรถดีๆนะคะ”
ไคคุงไม่ค่อยพอใจนัก
“ไล่เลย”
นับดาวลงจากรถโบกมือลา ไคคุงมองๆ
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”
นับดาวส่ายหน้า ไคคุงเดินเข้ามาจะหอม นับดาวเฉไฉทำเป็นขี้เล่นหลบ ไคคุงหอมหน้าผาก นับดาวกลืนน้ำลายจั๊กกะจี้ แต่เป็นไทมองดูอยู่ระยะห่างด้วยความเหงาใจเขาเห็นแต่ด้านหลังของเธอ นับดาวยิ้มแล้วเดินเข้าบ้านไป ไคคุงขับรถออกไป เป็นไทยังคงหลบอยู่ในเงามืด
นับดาวเดินมาถึงหน้าบ้าน เธอหากุญแจในกระเป๋าแล้วก็นึกได้
“เฮ้ย...กุญแจหายไปแล้วนี่หว่า”
นับดาเซ็งมาก แต่แล้วเท้าเธอเดินไปเตะของบางอย่างบนพื้นเป็นซองสีขาว ถูกเทปแปะอยู่ เธอแกะมันขึ้นมาเปิดดู ข้างในมีกุญแจอยู่หนึ่งดอกกับจดหมายหนึ่งฉบับ เธอเปิดอ่าน ข้อความในจดหมาย
“ผมมารอคุณที่บ้านทั้งวัน ไม่เห็นคุณกลับมา ผมให้ช่างมาทำกุญแจให้แล้วนะ”
นับดาวพับกระดาษจดหมาย ปิดแต่แล้วก็เปิดกระดาษจดหมายมาอ่านอีกครั้ง ทันใดนั้นเสียงเป็นไทดังขึ้น
“แต่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามข้างใน ต้องขอโทษด้วยเรื่องแพรวไพลินที่อาจจะทำให้คุณรำคาญใจ”
นับดาวเอานิ้วแคะหูตัวเองที่ได้ยินเสียงเป็นไท แต่พอเธอหันกลับไป ก็เห็นเป็นไทยืนอยู่
“แต่ผมว่าคุณคงสบายใจขึ้นแล้ว หลังจากได้ไปเที่ยวกับแฟนคุณมาทั้งวัน”
นับดาวตกใจ
“คุณ...”
“ผมแค่มาดูแลให้คุณ สะดวกสบายตลอดเวลาของคอนเสิร์ตเท่านั้น”
นับดาวอึกอัก
“ฉัน...เอ่อ ไคคุง เขา”
เป็นไทยิ้มสุภาพ
“ไม่ต้องอธิบายหรอกครับ...อันยาสุมินาไซ”
นับดาวงงๆ
“หือ...”
“สำเนียงผมคงสู้คนญี่ปุ่นไม่ได้.... เป็นไทยิ้มต้อยต่ำ “อันที่จริง ผมคงสู้คนญี่ปุ่นไม่ได้ซักอย่าง ราตรีสวัสดิ์...อันยาสุมินาไซ”
นับดาวพยักหน้าหงึกๆ
“อือ อือ...อันยา”
เป็นไทเดินจากไปแล้ว นับดาวมองดูกุญแจดอกนั้นอย่างรู้สึกดีกับเขา เธอไขมันแล้วเข้าไปในบ้าน

นับดาวนอนอยู่บนเตียงมองกุญแจของเป็นไท เธอเห็นช่อดอกไม้วางไว้กลางบ้าน
“หนอยแน่ะ ดูแลระหว่างคอนเสิร์ต จะจีบฉันล่ะสิ”
นับดาวนึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นไทเอาหน้าเข้ามาใกล้เธอตอนที่เธอมองไม่เห็น นึกถึงที่เขาเช็ดปากให้เธอตอนที่เธอกินข้าวเลอะเทอะ แต่แล้วเธอก็ต้องเรียกสติคืนกลับมา มองดูตัวเองในกระจก
“เขาทำให้ยูกิต่างหาก ไม่ได้ทำให้เธอซักหน่อยนับดาว อย่าเคลิ้มเชียว”

นับดาวพยายามข่มตานอนโดยไม่คิดถึงเป็นไทอีก












Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 11:40:52 น.
Counter : 449 Pageviews.

0 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 3 (ต่อ)



เป็นไทลงจากรถที่เพิ่งจอด เขาถือสูทมาด้วย เป็นไทเดินเข้ามาในร้านเช่าชุดราตรี นับดาวไม่ได้สังเกต เธอเอ่ยปากทักทายเหมือนเครื่องตอบรับอัตโนมัติ

“เชิญค่ะ ชอบชุดไหนลองได้เลยนะคะ”
นับดาวหันไปเห็นเป็นไทพอดี เธอรีบหมอบลงด้านล่างเคาน์เตอร์พูดกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมต้องมาตอนนี้ด้วย เอาไงดีเนี่ย”
เป็นไทเดินมาชะโงกหาเจ้าของร้าน
“คุณครับ มีใครอยู่มั้ย เอาชุดมาคืนครับ”
นับดาวค่อยๆคลานกระดึ๊บ กระดึบ เพื่อจะหนี บ่นงึงงำกับตัวเอง
“ไปซะทีเถ๊อะ ไม่มีคนอยู่หรอก”
นับดาวค่อยๆคลานหนีไป แล้วเป็นไทก็มาจ๊ะเอ๋ตรงหน้า
“คุณครับ”
นับดาวลุกเด้งขึ้นยืนทันที
“เล่นอะไรตกใจหมด”
เป็นไทแปลกใจ
“ยูกิจัง มาทำอะไรที่นี่”
“เออ...มา...มาเช่าชุดค่ะ”
“ผมก็มาคืนชุดเหมือนกัน”
นับดาวยิ้มแหยๆ
“แหะ แหะ”
“จะเช่าไปไหนเหรอครับ”
“นั่นสิ...จริงเดินผ่าน ก็เข้ามาดูเล่นๆ”
เป็นไทสงสัย
“เสียงคุณ”
นับดาวรนราน
“ทำไม เสียงฉันทำไม”
“คุณพูดไทยชัดมาก”
นับดาวพูดไม่ชัดสำเนียงอินเดียทันที
“อีนี่พูดทายชัดแค่เป็นบางคำนะ”
เป็นไทถอนใจ
“ออกแขกซะละ”
นับดาวนึกได้ พูดไม่ชัดสำเนียงจีนทันที
“พูกชักได้แค่บางคำ ปกติอั๊วพูกไม่ค่อยชักหรอก”
เป็นไทส่ายหน้า
“เยาวราชเชียว”
นับดาวพูดไม่ชัดสำเนียงญี่ปุ่น
“ขอโทษทีค่ะ หลงชาตินิดหน่อย”
“ผมว่าจะโทรหายูกิให้เข้าไปรับเช็คค่าตัวงวดแรกอยู่พอดี หรือจะให้ผมส่งให้กับทางต้นสังกัดครับ”
นับดาวลืมตัวพูดชัดทันที
“เช็คเหรอ” เธอนึกได้รีบทำพูดไม่ชัด “เท่าไหร่คะ”
“สิบเปอร์เซ็นต์แรก ก็หนึ่งล้านได้มั้งครับ”
นับดาวตาโต
“หนึ่งล้าน”
นับดาวกลืนน้ำลายอยากได้ใจจะขาด

นับดาวเข้ามาในห้องน้ำพูดกับตัวเองหน้ากระจก
“หนึ่งล้าน แถมมันแค่ 10 เปอร์เซนต์เอง ถ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ก็...” เธอเอามือปิดปาก ตาแทบถลนออกมา “หายใจลึกๆนับดาว ใจเย็นๆ” นับดาวหายใจลึกๆ “เงินนั่นไม่ใช่ของเรา เป็นของยูกิต่างหาก...แล้วยายยูกิมันหายหัวไปไหน ไม่มาปรากฎตัวแล้วรับเงินไปซะล่ะ...ยายยูกิเขาคงเบื่อจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ อยากกลับไปเป็นคนธรรมดาที่ไหนซักแห่งละมั้ง...คงไม่อยากเป็นดารา คงมีเงินมากพอแล้ว...แต่ยังไงมันก็ไม่ใช่ของเธออยู่ดี...ถ้าเขาจับได้ ตามมาทวงขึ้นมาล่ะ จะเอาเงินที่ไหนไปใช้คืน...แต่มันก็น่าเสี่ยงไม่ใช่เหรอ ถ้ายูกิไม่กลับมาล่ะ...คิดสิๆ นับดาว จะเอายังไงก็ตัดสินใจซักอย่าง”
นับดาวสับสนเดินวนไปวนมาหน้ากระจก

เป็นไทนั่งรอนับดาวอยู่ สักครู่เธอก็เดินยิ้มแห้งๆออกมา
“ว่าไงครับ จะไปออฟฟิศกับผมเลยมั้ย”
นับดาวพูดสำเนียงญี่ปุ่น
“ฉันขอเวลาซักอาทิตย์นึงแล้วกันค่ะ ถ้าเช็คไม่มีคนไปรับ ฉันไปรับเอง”
เป็นไทงง
“อะไรนะครับ”
“ฉันหมายความว่าจะลองคุยกับต้นสังกัดดูก่อนน่ะค่ะ”
“ได้ครับ ว่าแต่พอมีเวลาไปทานข้าวกับผมซักมื้อมั้ยครับ”
“ไม่ได้ค่ะ ฉันมีธุระต้องทำเยอะ”
“ว๊า น่าเสียดายจัง...ให้ผมไปทำธุระเป็นเพื่อนมั้ยครับ”
“คุณไปเตรียมงานคอนเสิร์ตเถอะไป ไม่ต้องมาดูแลฉันหรอก”
“ก็ได้ครับ แต่ผมอยากได้คิวยูกิจังซักหนึ่งวัน เพื่อไปแชร์ไอเดียวเกี่ยวกับรูปแบบคอนเสิร์ตด้วยน่ะครับ”
“ค่ะ วันไหนก็บอกก่อนละกันนะ ฉันกลัวไม่พร้อม”
นับดาวกลุ้มใจ ไม่รู้สิ่งที่ตัวเองกำลังทำมันถูกมั้ย

ค่ำนั้น นับดาวกากบาทวันในปฏิทินทิ้งไปหนึ่งวัน
“เธอหมดไปหนึ่งวันแล้วนะยูกิ...อยากทำอะไรก็รีบทำนะ อีก 6 วันไม่มา ฉันจะยึดเงินแล้วนะ”
นับดาวพูดกับยูกิในปกนิตยสารเอเชี่ยนฮิต

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เย็นนั้น นับดาว อ่านหนังสือพิมพ์ข่าวยูกิแสดงคอนเสิร์ต
“ยังไง ยัง สองวันแล้วนะ ไม่มาคืออดจริงๆนะ จะบอกให้”
นับดาวพูดกับยูกิในข่าวนิตยสาร

บ่ายวันต่อมา นับดาวพารจนาไปโรงพยาบาล รจนายังเสียงหายพูดไม่ได้ หมอตรวจอาการแล้วถามขึ้น
“ทำไมปล่อยให้อาการหนักขนาดนี้แล้วถึงพามาหาหมอละครับ”
นับดาวยิ้มเศร้าๆ
“หมอเกรงว่าคุณย่าคุณจะต้องนอนโรงพยาบาล เพื่อตรวจให้ละเอียดอีกทีนะครับ”
นับดาวตกใจ
“เหรอคะ”
นับดาวหันไปมองรจนาอย่างห่วงๆ รจนาป่วย โทรมมาก

นับดาวมาเช็คยอดค่าใช้จ่าย พนักงานพิมพ์ใบเสร็จออกมาให้ดูคร่าวๆ ยอดค่าใช้จ่าย 6,200 บาท นับดาวนับเงินตัวเองที่มีอยู่ 4,000 เธอถอนหายใจ ทีวีโรงพยาบาลเป็นรายการญี่ปุ่นที่ยูกิไปแสดงคอนเสิร์ตในห้องส่ง นับดาวหันไปมอง
“สามวันแล้ว ไอยูกิ...ถ้าเธอไม่อยากกลับมา ไม่ต้องฝืนใจมาก็ได้นะ ทางนี้ฉันจัดการเอง”

นับดาวนั่งฟังหมอบอกอาการของรจนา
“คนไข้เป็นโรคเส้นเสียงอักเสบ อาจจะเพราะการใช้เสียงที่มากเกินไป คนไข้เขาร้องเพลงหรือทำงานที่ใช้เสียงเยอะๆบ้างมั้ยครับ”
“เป็นนักร้องค่ะ”
“มีทางเดียวต้องผ่าตัดให้เร็วที่สุด ไม่งั้นอาจจะใช้เสียงไม่ได้อีก”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
นับดาวกลุ้มใจกับอาการของย่า และเงินที่กำลังจะหมด

นับดาวยืนอยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม สลิปที่กดมาบอกว่าเงินเหลือ 3 บาท เธอถอนหายใจมองเงาสะท้อนตัวเองในกระจก
“สี่วัน เกินครึ่งทางมาแล้วนะ เธอไม่ต้องกลับมาหรอกยูกิ”
นับดาวเดินมาข้างตียงย่า รจนาขยับปากบอก
“ไม่ได้ร้องเพลงมาหลายวันแล้ว อยากร้องเพลง”
นับดาวยิ้มเศร้าๆ
“อยากร้องเพลงเหรอย่า เดี๋ยวหายก็ได้ร้องแล้ว รออีกแป๊บนึง”
นับดาวมองย่าอย่างเวทนา

สายของวันใหม่...นับดาวมองนิตยสารเอเชี่ยนฮิตหน้าปกยูกิ ด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันรู้ว่าฉันให้เวลาเธอ 7วัน แต่นี่ก็ปาไปห้าวันแล้ว เธอก็ยังไม่มา ถ้าเธอจะมาตอนนี้ก็ถือว่าติดเสาร์อาทิตย์ละกันนะ เธอได้โอกาสมาเยอะแล้ว ขอฉันบ้างก็แล้วกันนะยูกิ ฉันจำเป็นจริงๆ”
นับดาวถอนหายใจรวบรวมความกล้า ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป

เป็นไทเปิดดู พรีเซนเตชั่นคอนเสิร์ตของไอยูกิที่ถูกทำเป็น powerpoint อย่างตั้งใจ องอาจเดินเข้ามา
“ถ้ามีต้องแกจุดไหนก็บอกได้เลยนะครับ”
“ผมอยากจะดูไปพร้อมๆกับยูกิมากกว่า นี่คุณโทรนัดยูกิเข้ามารึยัง”
“เธอบอกว่าไม่ว่างตลอดเลยครับ ผมว่ามันแปลกๆนะครับ”
“แปลกๆยังไง คนไม่ว่าง ไม่เห็นจะแปลกเลย”
“ก็เขามาเมืองไทยเพื่อจัดคอนเสิร์ต นั่นคืองานหลัก แล้วที่มาก่อนก็เพราะต้องการพักผ่อน แล้วมันจะมีคำว่าไม่ว่างได้ยังไงครับ”
“ก็จริงของคุณ แต่เขาอาจกำลังทำอะไรที่สำคัญอยู่ก็ได้ อย่างเช่นแต่งเพลงพิเศษหรืออะไรพวกนั้น”
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน”
องอาจบอกอยางไม่คลายสงสัย

นับดาวเดินเข้ามาในออฟฟิศเป็นไท พนักงานต้อนรับยิ้มแย้มทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณไอ ยูกิ เดี๋ยวดิฉันโทรแจ้งคุณเป็นไทให้นะคะ”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง...คือฉันมารับเช็คค่าตัวน่ะค่ะ ไม่รู้มีใครไปรับรึยัง”
“สักครู่นะคะ”
พนักงาน หยิบซองเช็คที่เรียงกันหลายปึกมาเช็ค เมื่อเจอชื่อยูกิเธอก็ยื่นให้
“นี่ค่ะคุณไอยูกิ เป็นเช็คเงินสด ไม่ได้ขีดคร่อม ใครขึ้นเงินก็ได้ ระวังหายนะคะ”
นับดาวรีบรับมาเก็บใส่กระเป๋า
“ขอบคุณมาก ไปล่ะ”
นับดาวจะรีบเดินไป ท่าทางมีพิรุธ พนักงานต้อนรับเรียกไว้
“คุณไอยูกิช่วยเซ็นรับเช็คหน่อยค่ะ” พนักงานหยิบเอกสารมาให้เซ็น “เซ็นตรงนี้ค่ะ”
นับดาวท่าทางพิรุธมองซ้ายมองขวา เอาเอกสารมาเซ็น
“คุณไอยูกิพูดไทชัดจังเลยนะคะ”
นับดาวยิ้มเก้ๆกังๆ เพิ่งนึกได้ว่าเธอลืมแอ๊บเสียงญี่ปุ่น
“ไปละ”
พนักงานเอาเอกสารคืนมา เห็นว่าชื่อที่เซ็นรับเช็คเป็นชื่อนับดาว...นับดาวกำลังเร่งรีบจะออกไป พนักงานเรียกไว้เริ่มสงสัยท่าทางแปลกๆของเธอ
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ มีเอกสารต้องเซ็นอีกหน่อย รอแป๊บนึงนะคะ”
พนักงานหยิบโทรศัพท์โทรภายในไปห้องเป็นไท นับดาวรออย่างร้อนรน

เป็นไทกำลังคุยงานกับองอาจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นไทยกหูรับแล้วก็ต้องตกใจ
“ว่าไง...ห๊ะ เดี๋ยวออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เป็นไทวางสาย องอาจถามอย่างสงสัย
“มีเรื่องอะไรครับคุณไท”
“มีคนบอกว่าตัวเองเป็นไอยูกิมารับเช็ค ท่าทางแปลกๆ แถมเซ็นชื่อผิดด้วย”
“บ๊ะ”

เป็นไทรีบออกจากห้องไป โดยมีองอาจตามไปติดๆ

ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 7

พนักงานต้อนรับให้ยาม 2 คนมาล้อมนับดาวไว้ นับดาวเริ่มตกใจ คิดว่าคงถูกจับได้แน่
“นี่ฉันไอ ยูกินะ จะจับฉันทำไม”
“ค่ะๆ ใจเย็นๆนะคะคุณยูกิ ฉันแค่รักษาผลประโยชน์ให้บริษัท อย่าเพิ่งไปไหน นะคะ” พนักงานบอก
“แล้วทำไมต้องเอายามมาด้วย จะจับฉันส่งตำรวจใช่มั้ย ไม่ได้นะ ทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ”
เป็นไทกับองอาจพรวดเข้ามาในห้อง ตกใจที่สถานการณ์ดูจะลุกลามใหญ่โต
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” เป็นไทถามเสียงเข้ม
“นี่ค่ะคุณไท”
พนักงานต้อนรับหยิบเอกสารที่นับดาวเซ็นรับเช็คยื่นให้เป็นไทดู เป็นไทถึงกับช็อค หันมองหน้านับดาว องอาจเอามาดูบ้างก็ตาค้างเหมือนกัน เขาจ้องหน้าเธออย่างสงสัย เป็นไทมองหน้าแล้วถามอย่างสงสัย
“คุณเป็นคนเซ็นว่านับดาวเหรอ”
นับดาวหน้าเสีย บ่นกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมโง่แบบนี้นะเรา”
องอาจตาโต
“ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่า...”
นับดาวอึ้งพยายาจะแก้ตัว
“ฉันขอโทษ คือฉัน...”
เป็นไทแปลกใจ
“หมายความว่า...คุณเขียนภาษาไทยได้ด้วยเหรอ”
องอาจทึ่งๆ
“มายก็อด เก่งมาก นี่อ่านเป็นคำด้วยนะ”
นับดาวงงที่สถานการณ์พลิกเฉยเลย เธอรีบแอ๊บเสียงญี่ปุ่น
“ใช่ค่ะ พอดีเพิ่งหันเขียนมาน่ะค่ะ”
เป็นไทยิ้ม
“นี่คุณคงจะชอบประเทศไทยมากจริงๆสินะ”
องอาจ มองยามที่ยืนขวางประตูอยู่
“แล้วนี่มากันทำไมเนี่ย กลับไปทำงานสิ”
ยามทั้ง 2 คนพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป องอาจหันไปดุพนักงานต้อนรับ
“แล้วนี่คุณอะไรเนี่ย เรื่องแค่นี้ทำตื่นตูมไปได้”
เป็นไทปรามๆ
“เอาน่าองอาจ เขาก็ทำหน้าที่ของเขา พยายามรักษาผลประโยชน์ให้บริษัท ยังไงก็ขอบคุณมาก”
“คิดได้ไงว่ามีคนปลอมตัวเป็นไอยูกิมารับเช็ค” องอาจยื่นหน้าไปใกล้นับดาว พินิจพิเคราะห์ “นี่มันยูกิชัดๆ จะเป็นคนอื่นไปได้ยังไง ตัวปลอมอะไรจะเหมือนขนาดนี้”
นับดาวได้แต่ยิ้มๆที่รอดตัวไปได้ เธอถอนหายใจโล่งอก

นับดาวเดินโล่งอกที่รอดมาได้
“ยายไอ ยูกินี่มันทำบุญด้วยอะไรมานะ ทำอะไรก็ถูกไปซะทุกอย่าง ลองเป็นนับดาวสิ ผิดตั้งแต่แรก”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น เธอกดรับสาย
“ฮัลโหล...ค่ะ...ผ่าสิคะ...ค่ะฉันจะรีบเอาเงินเข้าไปให้เดี๋ยวนี้แหละค่ะ ถ้ามีเงินวางก็ผ่าได้เลยใช่มั้ยคะ...ค่ะ ถ้าไม่ได้วันนี้ ก็ต้องอีก 3 เดือนเลยเหรอ...ค่ะๆฉันกำลังจะรีบเข้าไปค่ะ” นับดาววางหูแล้วดูนาฬิกา “ช้าไม่ได้แล้ว กว่าจะไปธนาคารอีก”
ทันใดนั้นเสียงเป็นไทเรียกดังมา
“ยูกิ...ยูกิครับ”
นับดาวหยุดชะงักไม่แน่ใจนักว่าเรื่องอะไร
“เวลารีบก็ต้องมาขัดสิน่า” เธอหันไปหาเขาแอ๊บเสียงญี่ปุ่นทันที “ว่าไงคะ”
“ไหนๆคุณก็มาแล้ว ผมอยากจะรบกวนให้คุณ ไปดูพรีเซนเตชั่นคอนเสิร์ตหน่อยน่ะครับ ผมอยากจะได้ความเห็นจากยูกิด้วย”
“วันหลังไม่ได้เหรอคะ”
“ผมรบกวนเวลาคุณไม่นานหรอกครับ”
“ก็ได้ค่ะ”
นับดาวเซ็งมากบ่นงึมงำคนเดียว
‘แล้วนี่ถ้าฉันไปธนาคารไม่ทันบ่ายสามนะ ฮึ่ม’
เธอเดินตามเป็นเขาไปอย่างไม่เต็มใจนัก

นับดาวมานั่งดูที่คอมพิวเตอร์ที่ เป็นไทเปิดพรีเซนเตชั่นให้ดู เป็นภาพกราฟฟิกเวทีคอนเสิร์ตที่อลังการมาก ทั้งแสงสีเสียง แล้วก็เป็นภาพต่างๆที่ยูกิเคยร้องเพลงนั้น เพลงนี้เอามาแปะเป็นคิวเพลง นับดาวเห็นแล้วถึงกับตาค้าง
“เป็นไงครับ ยูกิเห็นว่ามีจุดไหนที่ต้องแก้รึเปล่า”
นับดาวยังค้างกับความยิ่งใหญ่ของคอนเสิร์ตอยู่
“ยูกิครับ”
“คะ”
“อยากแก้ตรงไหนครับ”
“แก้...มันควรจะแก้ด้วยเหรอคะ สมบูรณ์ขนาดนี้ต้องแก้ตรงไหน จริงๆมันมากเกินไปด้วยซ้ำ”
“แหม พูดแบบนี้ก็ชมกันเกินไป”
“ฉันไม่ได้ชมคุณ ฉันชมคอนเสิร์ตต่างหาก” นับดาวดูนาฬิกา “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ”
“เออ แล้วผมมีเรื่องจะสอบถามอีกอย่างนึงครับ”
นับดาวบ่นในคอ
‘อะไรอีกล่ะ’
“เกี่ยวกับการถ่ายโปสเตอร์น่ะครับ”
นับดาวแปลกใจ
“โปสเตอร์”
“ก็โปสเตอร์คอนเสิร์ตไงครับ ยูกิอยากให้ออกมารูปแบบไหน อินดอร์หรือเอ้าท์ดอร์ดี”
“ข้างนอกสิ คนจะได้มุงกันเยอะๆ ฉันจะได้เป็นจุดสนใจ”
“จะดีเหรอครับ มันจะทำงานยากนะ”
“โอ๊ย ไม่ยากหรอก ไม่มีอะไรยากกว่างานที่ฉันเคยทำมาอีกแล้ว”
“เอายังงั้นก็ได้ครับ ดีเหมือนกัน จะได้ดูใกล้ชิดกับคนไทย ภาพจะได้ออกมาดู เฟรนด์ลี่ เป็นกันเอง”
“ขอเน้นนะคะ เอาที่ที่คนเยอะๆ ยิ่งเยอะยิ่งดี กลางตลาด กลางถนน อะไรก็ว่าไปเพราะจะทำให้ฉันสบายใจมาก”
นับดาวยิ้มมีความสุขแววตาฝันไปไกล

แพรวไพลินเดินดุ่มๆจะเดินเข้าห้องเป็นไท องอาจรีบมาขวางไว้
“เข้าไม่ได้ครับคุณแพรว”
“ทำไมจะเข้าไม่ได้”
“คุณไทคุยธุระสำคัญอยู่”
“กับใคร”
“เอ่อ...กับลูกค้าครับ”
“ลูกค้าไหน...ยายไอยูกิใช่มั้ย เผลอไม่ได้เลยนะ ยายนี่นี่มันร้ายนัก”
แพรวไพลินจะเข้าไป องอาจเข้าขวาง
“คุยเรื่องงานคอนเสิร์ตครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“แล้วคุณรู้ได้ไง คุณไม่ได้อยู่ข้างในด้วยซะหน่อย หลบไป”
แพรวไพลินพยายามจะเข้า องอาจดึงเสื้อด้านหลังของเธอไว้แน่น แพรวไพลินโวยวาย
“นี่จะทำอะไร รู้มั้ยเสื้อนี่ตัวเท่าไหร่ มันของดิออร์เชียวนะ”
“ผมไม่รู้ว่าเสื้อราคาตัวเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณแพรวดิ้น มันขาดแน่”
แพรวไพลินมองมือที่องอาจกำเสื้อแสนแพงของเธอไว้แน่น เธอพยายามเอื้อมมือจะปลดมือของเขาที่ด้านหลัง แต่ก็ไม่ถึง เธอจึงไม่กล้าขยับมาก เพราะเสื้อก็ผ้าบางเหลือเกิน

นับดาวยังคุยกับเป็นไทอยู่ในห้อง เธอเหลือบมองนาฬิกาบนโต๊ะมันบ่ายโมงแล้ว
“แล้วนี่เสร็จแล้วยูกิจังมีธุระที่ไหนต่อรึเปล่าครับเนี่ย พักนี้เราไม่ค่อยได้ไปไหน ด้วยกันเลย”
“มีค่ะ สำคัญด้วย”
“งั้นให้ผมพาไปนะครับ”
“อย่าดีกว่าค่ะ ไม่สะดวก”
เป็นไทผิดหวัง
“เสียดายจัง”
“ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ”
เป็นไทพยายามตื้อ
“แต่ยูกิเคยสัญญากับผมไว้ ว่าจะอนุญาตให้ผมรู้จักตัวตนจริงๆของคุณ”
นับดาวถอนหายใจปฏิเสธไม่ออก
“วันหลังละกันนะคะ”
“อย่าเบี้ยวล่ะ”
นับดาวทำหน้าเซ็งมาก เป็นไทเดินนำออกไป เธอบ่นพึมพำคนเดียว
‘ไอ ยูกิ เธอนี่เที่ยวไปสัญญาอะไรกับใครพร่ำเพรื่อนะเนี่ย ลำบากฉันมั้ยเนี่ย ห๊า’
นับดาวเดินตามเป็นไทออกไป

เป็นไทกับนับดาวเดินออกมาจากห้องเห็นแพรวไพลินยืนตัวแข็งอยู่ โดยมีองอาจรั้งเสื้อไว้ เป็นไทมองอย่างสงสัย
“เล่นอะไรกันอยู่น่ะ”
องอาจยิ้ม
“แปะแข็ง”
แพรวไพลินไม่พอใจ
“แปะแข็งอะไรเล่า ปล่อย”
องอาจปล่อยเสื้อ แพรวไพลินวิ่งถลาไปหาเป็นไทแทรกกลางระหว่างเป็นไทกับนับดาว
“พี่ไท ไปกินข้าวกันนะ”
“ไม่ได้หรอก พี่ติดงาน”
“งานที่ว่าคือไอ ยูกินี่รึเปล่าคะ”
“พี่ขอไม่ตอบนะคำถามไร้สาระนะ”
เป็นไทเดินหน้านิ่งกลับเข้าไปในห้อง แพรวไพลินเดินตามเข้าไปติดๆ นับดาวบ่นคนเดียว
‘เอาละ เรื่องใหญ่ละทีนี้’
นับดาวดูนาฬิกา รีบเดินออกไป แต่องอาจก็เรียกไว้
“เดี๋ยวครับคุณยูกิ”
นับดาวถอนหายใจ
“อะไรอีกคะ”
“คือเรื่องโรงแรมห้าดาวที่ทางเราจองไว้ตั้งแต่แรก ผมเห็นว่ายูกิจังไม่ไปพักแล้ว”
“แล้วยังไงคะ”
“ผมเลยจัดการเช็คเอ้าท์เรียบร้อยแล้ว”
“ค่ะก็ดีค่ะ”
“แล้วผมก็เก็บของยูกิจังมาไว้หมดแล้วน่ะครับ”
“ค่ะ แล้วไงคะ”
“เชิญคุณยูกิไปเอาของที่ห้องผมเลยดีมั้ยครับ เผื่อมีของจำเป็นต้องใช้”
นับดาวชะงัก
“คือ...”
“คงไม่ลำบากไปใช่มั้ยครับ”
“ก็ได้ค่ะ แต่ฉันแค่เอาของเสร็จ ฉันจะได้ไปเลยใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
นับดาวเดินไปเอาของห้ององอาจอย่างไม่เต็มใจนัก

ในห้องทำงาน เป็นไทยกหูโทรศัพท์คุยงาน
“เดี๋ยวคุณหาโลเคชั่นกลางใจเมือง คนเยอะๆ เอาแบบที่เป็นไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายด้วยนะ...โอเค ตามนั้น ขอบคุณครับ”
เป็นไทวางสาย แพรวไพลินยืนกอดอกมองอยู่
“พี่ไท”
เป็นไทเบื่อๆ
“แพรว...ถ้าแพรวอยากอยู่ในห้องนี้ แพรวต้องอยู่เฉยๆ”
“แต่พี่ไท”
เป็นไทง่วนอยู่กับเอกสารบนโต๊ะ
“พี่ไทจะมาสั่งแพรวแบบนี้ไม่ได้นะคะ แพรวเป็นแฟนพี่ไท ต้องให้เกียรติแพรว บ้าง”
“แพรวคงลืมไปว่าเราเป็นแฟนกันด้วยเงื่อนไขอะไร”
ในอดีตนั้น...เป็นไทต้องการเงินมาประมูลจัดคอนเสิร์ตนักร้องญี่ปุ่นชื่อ ไอ ยูกิ แต่บริษัทเขาเป็นบริษัทเล็กๆจึงไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอที่จะไปประมูลเขาจึง ปรึกษากับแพรวไพลิน เพื่อขอร้องให้เธอสนับสนุนเงินในการประมูลครั้งนี้ ค่ำนั้น เป็นไทนัดดินเนอร์กับที่ร้านอาหารหรู
แพรวไพลินนั่งมองเป็นไทด้วยแววตาหยาดเยิ้ม
“คุณไทมีธุระอะไรจะคุยกับแพรวเหรอคะ”
“เรื่องงานน่ะครับ ผมมีเรื่องที่จะต้องให้คุณแพรวช่วย”
“เรื่องอะไรละคะ ถ้าแพรวช่วยได้ก็อยากจะช่วยเต็มที่”
“คือเดือนหน้า จะมีการประมูลคอนเสิร์ตนักร้องชื่อดังจากญี่ปุ่น ผมคิดว่าโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้บริษัทผมได้เป็นที่รู้จัก แต่ด้วยความที่บริษัทเราเพิ่งตั้งมาไม่นาน เราไม่มีหลักทรัพย์เพียงพอที่จะไปประมูลน่ะครับ”
“แล้วคุณไทอยากให้แพรวช่วยยังไงละคะ”
“ผมอยากจะขอกู้เงินคุณแพรวมาใช้ในการประมูลครั้งนี้น่ะครับ”
แพรวไพลินหัวเราะ
“คุณไทนี่ก็กล้าดีนะคะ”
“ผมเชื่อว่าถ้าผมชนะการประมูล และได้จัดคอนเสิร์ต ผมจะสามารถเอาเงินมาใช้คืนคุณแพรวพร้อมดอกได้ในไม่นาน”
“ที่คุณไม่กู้ในระบบเพราะกลัวตัวเลขจะรั่วไหลสินะคะ นั่นแปลว่าคุณไว้ใจฉันทั้งที่เราก็เคยคุยกันจริงๆไม่กี่ครั้ง”
“คุณแพรวเห็นว่ายังไงครับ”
“ฉันชอบคนอย่างคุณค่ะ...ดังนั้นฉันจะให้คุณกู้ แต่ฉันก็มีเงื่อนไขของฉัน”
“ถ้าเป็นเรื่องดอกเบี้ย บอกตัวเลขที่คุณพอใจมาได้เลยครับ”
“เรื่องตัวเลขพวกนั้น ฉันไม่สนใจหรอกค่ะ ฉันสนใจตัวคุณมากกว่า”
แพรวไพลินส่งสายตาหวานเยิ้มให้เขา เป็นไทงงๆ
“หมายความว่าไงครับ”
“เราลองมาคบกันหน่อยเป็นไงคะ”
เป็นไทตะลึง
“คบกัน...หมายถึงเป็นคนรักอะไรแบบนั้นน่ะเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
“แต่ผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนั้น”
“ก็ถ้าคุณอยากได้เงินไปประมูล ก็คิดซะตอนนี้เลยสิคะ เราก็แค่ลองคบกัน ไปด้วยดีก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าไม่ได้ พอคุณคืนเงินฉันเมื่อไหร่ เราก็จบกันไปเท่านั้น”
เป็นไทคิดหนัก แพรวไพลินรุกหนักขึ้น
“การจะไปกู้เงินใคร มันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะหาคนไว้ใจให้กู้เงินตัวเลขสูงขนาดนั้น คิดให้ดีก่อนตัดสินใจละกันค่ะ”
แพรวไพลินมองเป็นไทด้วยสายตาเป็นต่อ แต่ในเวลานี้ สถานการณ์ของเธอไม่ได้เป็นต่อสักนิด
แพรวไพลินมองหน้าเป็นไท
“แพรวรู้ แพรวไม่ลืมหรอก แต่พี่ไทก็อย่าลืมก็แล้วกันว่าถ้าพี่ไทคิดจะเลิกกับแพรวเมื่อไหร่ เงินก็ต้องมากองตรงหน้าแพรวเหมือนกัน”

แพรวไพลินโกรธเดินออกไปจากห้อง
องอาจยิ้มออกมาด้วยความสบายใจ มองนับดาวที่ถือกระเป๋าเข็นใบใหญ่ พร้อมกับสัมภาระจุกจิกอีกมากมาย

“แค่นี้ ยูกิจังก็กลับไปได้ตามสบายเลยครับ”
“มันดูสบายตรงไหนคะเนี่ย”
“ผมก็อยากจะช่วยถือ แต่ผมติดงานจริงๆ”
“หึ หึ ขอบคุณค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
“จะไม่ปลอดภัยเพราะของพวกนี้เนี่ยแหละ”
นับดาวเซ็งๆ ดูนาฬิกา แล้วก็รีบขนของพะรุงพะรังออกไปจากบริษัท เธอบ่นอุบ
“ของเธอจะเยอะไปไหนเนี่ยยูกิ กะย้ายมาตั้งรกรากเลยรึไง โอ๊ย...ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า นี่กลัวฉันจะวิ่งเร็วมั้งเนี่ย เอาของมาพ่วงอีก โอ๊ย...”
นับดาวถือของพะรุงพะรังไปโบกแท็กซี่ แพรวไพลินนั่งอยู่ในรถอารมณ์ไม่ดี กำลังจะขับออกไปเห็นนับดาวขนของพะรุงพะรังขึ้นแท็กซี่ เธอก็มองแค้นๆ
"ยายตัวปัญหา ตั้งแต่มีแกเข้ามาเนี่ย พี่ไทยิ่งห่างเหินกับฉันออกไปทุกที”
แพรวไพลินขับตามแท็กซี่ของนับดาวไป

นับดาวลงจากแท็กซี่ ถือเช็คไว้ในมือมองธนาคาร
“เกือบไม่ทันแล้วมั้ยล่ะ คงไม่มีเรื่องอะไรมาขวางอีกนะ”
นับดาวรีบเดินเข้าไปในธนาคาร ทันใดนั้นเสียงแพรวไพลินก็ปรี๊ดเข้ามาขัดทันที
“เดี๋ยว”
“นั่นไง...กลัวจะมีความสุขมั้งเนี่ย”
นับดาวหันไป แพรวไพลินจ้องหน้าเอาเรื่อง
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”
“เอาไว้คุยวันหลังละกันนะคะ วันนี้ฉันมีธุระต้องทำอีกมาก”
“ฉันจะคุยเดี๋ยวนี้”
“งั้นก็คุยไปคนเดียวแล้วกันค่ะ ฉันไม่ว่าง”
นับดาวหันหลังจะเดินเข้าธนาคาร แพรวไพลินกระชากไหล่
“นี่เธอจะมาหันหลังให้ฉันแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ก็ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ว่าง จะมาวางอำนาจอะไรแถวนี้เนี่ย”
“ทำไมฉันจะทำไมได้ รู้มั้ยที่เธอได้มาเมืองไทยเพราะใคร”
“เพราะฉันดัง”
“อย่าหลงตัวเองหน่อยเลย เพราะเงินของฉันต่างหาก รู้ไว้ซะด้วยที่เธอได้มาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้เพราะฉัน ดังนั้นเธอไม่มีสิทธิ์จะในตัวพี่ไท”
“นี่ธุระคุณแค่จะมาอวดรวย มาแสดงความเป็นเจ้าของแค่นี้น่ะเหรอ ฉันฟังไม่ถึงนาทียังรู้สึกว่าเสียเวลาเลย”
นับดาวเดินไปไม่สนใจ แพรวไพลินโกรธ
“นี่...ไอยูกิ ถ้าเธอคิดจะร้ายกับฉัน ฉันก็จะร้ายกับเธอเหมือนกัน”
แพรวไพลินจ้องนับดาวด้วยความโกรธ แล้วตามไปผลัก ข้าวของนับดาวร่วงกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“นี่แค่เตือนนะ อยู่ให้ห่างจากพี่ไทของฉัน”
แพรวไพลินเดินเชิดไป นับดาวอ่อนใจข้าวของกระจัดกระจายอยู่บนพื้น พนักงานธนาคารจากภายในเดินมาบอกยาม
“เดี๋ยวปิดประตูได้เลยนะ”
นับดาวตกใจอ้อนวอนยาม
“อย่าเพิ่งปิดนะคะ ฉันจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ”
“ผมทำตามหน้าที่ครับ”
“ให้ฉันเอาเช็คเข้า แป๊บเดียวเอง นะนะ”
“ผมทำตามหน้าที่ครับ”
นับดาวไม่ฟัง เดินไปเปิดประตูธนาคาร เอาของที่ร่วงกราวอยู่บนพื้นโยนเข้าด้านในพรวดๆ ทั้งยามและพนักงานตกใจ
“คุณปิดไม่ได้นะ ของฉันอยู่ในนั้น”
นับดาวรีบวิ่งเข้าไปในธนาคาร เตะของตัวเองที่เกลื่อนกลาดเอาเช็คไปขึ้นเงินทันที

รจนาถูกบุรุษพยาบาลเข็นเตียงเข้าห้องผ่าตัด นับดาวจับมือย่าไว้เป็นกำลังใจ จนถึงประตูหน้าห้องผ่านตัด พยาบาลกันไม่ให้นับดาวเข้าไป เธอยืนพนมมือมองย่าอย่างเป็นห่วง
“ไอ ยูกิ ฉันขอบคุณเธอนะ ผลบุญนี้ขอให้เธอได้รับแต่สิ่งดีๆ ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ เธอไม่ต้องห่วงเงินของเธอนะ ฉันใช้เท่าที่จำเป็น เหลือเท่าไหร่ฉันคืนให้เธอหมดเลย แต่ขอให้ย่าฉันหายนะ กลับมาร้องเพลงได้เหมือนเดิมแล้วฉันก็จะทำหน้าที่เป็นเธอให้สมบทบาทที่สุด”
นับดาวมองเข้าไปภายในห้องผ่าตัดอย่างห่วงใย

เย็นนั้น ยามาดะเปิดประเข้ามาในห้องเห็นยูกิไม่ยอมกินข้าวอีกแล้ว
“บอกให้กินข้าวไง”
ยูกิไม่โต้ตอบอะไร ยามาดะเดินเข้าไปที่เตียง
“คิดจะนอนทั้งวันเลยรึไง ห๊ะ”
ยามาดะจับตัวยูกิจะปลุกให้ตื่น แต่เขาก็พบว่ายูกิไข้ขึ้นสูงมาก
“ยูกิ...ยูกิ...อย่าเป็นอะไรนะ”
ยามาดะรีบวิ่งหายออกไป...แล้วเขาก็เข้ามาพร้อมกะละมังกับผ้าชุบน้ำ เขาเช็ดตัวให้เธออย่างทะนุถนอม พร้อมกับค่อยๆบดยาแก้ไข้ละลายน้ำแล้วป้อนยาให้ขณะที่เธอหลับ

ค่ำนั้น...นับดาวมองตัวเองในกระจก หน้าตาจริงจัง
“ต่อไปนี้จะไม่มีเธออีกแล้วนับดาว เธอคือไอยูกิ ซุปเปอร์สตาร์ที่ใครๆก็ชื่นชม”
นับดาวเก็บของที่เป็นเอกสารต่างๆของตัวเองลงกล่อง รวมทั้งอัลบั้มรูปวัยเด็กต่างๆ รูปในกรอบรูปกับรจนา เธอเอาลงกล่องทุกอย่างแล้วเปิดกระเป๋าเดินทางยูกิที่เธอได้มา
“ไหนดูซิ มีอะไรบ้าง”
พอเธอเปิดกระเป๋าเธอก็พบเสื้อผ้าสวยๆ กับเครื่องประดับมากมาย นับดาวตื่นเต้น
“โห...สวยๆทั้งนั้นเลยอ่ะ เครื่องสำอางก็แพงๆทั้งนั้นเลย”
นับดาวตื่นเต้นเอาของชิ้นนั้นชิ้นนี้ มาทาบมาลองใหญ่ แล้วเอาไอพ็อดของยูกิมาเปิดฟังเพลงของยูกิ เธอกางเนื้อร้อง พยายามร้องตามไปด้วยแต่สิ่งที่เธอออกเสียงมามันฟังไม่เข้าท่า ไม่เป็นภาษาญี่ปุ่นเอาซะเลย
“เพลงก็เพราะดีนะ แต่ร้องยากชะมัดเลย เฮ้อ...”
นับดาวมอง ดวงดาวที่อยู่รายรอบตัวเธอ ครั้งนี้เหมือนจะต่างไปจากทุกครั้ง

สายๆของวันใหม่...รจนารู้สึกตัวอยู่บนเตียง มีนับดาวนั่งอยู่ข้างๆ หมอกำลังบอกอาการของรจนา
“ผลการผ่าตัด เท่าที่ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ถ้าแข็งแรงแบบนี้ อีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้ว แต่ข้อสำคัญเลยคือการพักฟื้น คนไข้ต้องงดใช้เสียงประมาณ 2 เดือน”
นับดาวตกใจ
“สองเดือนเนี่ยนะ ห้ามไม่ให้พูดเลย”
“ไม่ใช่แค่พูดครับ หัวเราะก็ห้ามมีเสียง ไอก็ห้ามมีเสียง นอนก็ห้ามกรน ห้ามใช้เสียงไม่ว่าจะกรณีใดๆ”
“ใครจะไปห้ามได้ล่ะหมอ”
“ก็ต้องพยายามนะครับ ไม่งั้นผมไม่รับประกันว่าคุณจะกลับมาร้องเพลงได้อีกรึเปล่า”
นับดาวเซ็งหันไปมองย่า รจนาพยักหน้าทำใจ

นับดาวเข็นรจนาที่นั่งอยู่บนรถเข็นมาเดินเล่น
“คนกินข้าวอิ่มๆจะเรอไม่ให้มีเสียง คนจะไอจะจามก็ห้ามมีเสียง บ้าป่าว อยากจะให้หมอมาทำให้ดูเหลือเกิน ไอไม่มีเสียงทำยังไง” นับดาวทำท่าไอไม่มีเสียงเหมือนคนหอบมากกว่า “แบบนี้เขาไม่ได้เรียกไอ เขาเรียกหอบหรืออย่างเวลาตกใจเงี้ย จะให้นั่งทำหน้า” นับดาวทำหน้าแบบพ่อใหญ่จิ๋ว “แบบนี้ตลอดเวลาเขาจะเรียกว่าตกใจได้ไง แบบนี้เขาเรียกว่าหน้าพ่อใหญ่จิ๋ว หมอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่าเนี่ย”
นับดาวบ่นได้ไม่ทันไร เธอก็เห็นเป็นไทเดินมาทางเธอแต่เขายังไม่เห็น นับดาวตกใจรีบผลักรถเข็นย่าออก แล้วเธอก็วิ่งไปหลบข้างเสาทันที
“เฮ้ย แย่แล้ว”
รถเข็นรจนาไหลไปตามแรงผลัก ผ่านเป็นไทไป เป็นไทมองรถเข็นที่ไหลไปอย่างไม่มีคนเข็นงงๆ แล้วรถเข็นรจนาก็ไหลลงไปในทางลาด ไหลไปเรื่อยๆ นับดาวเห็นรีบหาทางช่วย เธอเห็นรถเข็นอุปกรณ์แพทย์จอดอยู่ มีผ้าปิดปากอยู่ในนั้น เธอหยิบมาใส่ แล้ววิ่งตามรจนาไป เป็นไทจำไม่ได้มองไปเห็นคนกำลังเดือดร้อนจึงพยายามวิ่งตามมาช่วย
“ขอทางหน่อยค่า ขอทางหน่อย”
“มาคุณ เดี๋ยวผมช่วย”
เป็นไทวิ่งตามรถเข็ญไปอีกคน
นับดาวหันมอง
“ไป๊...ไม่ต้องช่วย...ไป๊”
แต่เป็นไทก็ยังตามไปช่วยอยู่ดี...รถเข็นรจนาไหลไปอย่างน่าหวาดเสียว สวนทางกับคนมือก็ไขว่คว้าพยายามจะหยุด รจนาเกี่ยวแว่นคนที่สวนไปติดมือมา เธอได้แต่ทำหน้าพ่อใหญ่เพราะไม่กล้าออกเสียง นับดาววิ่งจี๋ตามไป รถเข็นเกือบชนเสาอันใหญ่ แต่นับดาวคว้ารถเข็นไว้ได้ทัน เป็นไทส่งเสียงตามมาด้านหลัง
“คุณ เป็นไรมั้ย ให้ผมช่วย”
นับดาวหันไปเห็นเขาวิ่งตามจึงตวาดกลับไป
“ไม่ต้องช่วย ไป๊...ไปทำอะไรก็ไป”
เป็นไทยังวิ่งตามมาติดๆ นับดาวตัดสินใจหักรถเข็นไปอีกทาง หนีต่อ เป็นไทวิ่งมาหยุดหอบ มองนับดาวที่วิ่งหนีหายไปตามไม่ทัน
“เขาเป็นอะไรของเขานะ คนก็หวังดีอุตส่าห์จะช่วย”
เป็นไทไม่เข้าใจว่าทำไมนับดาวถึงต้องหนีเขาด้วย

นับดาวหันซ้ายหันขวา เห็นเป็นไทไม่ตามมาแล้วก็โล่งอก
“เฮ้อ...เกือบไปแล้วมั้ยเรา ถ้าเห็นขึ้นมาไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงเลย”
รจนาเอาแว่นที่เกี่ยวได้มาใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอยังช็อคทำหน้าพ่อใหญ่ค้าง ไม่ส่งเสียงแม้แต่คำเดียว แถมแว่นที่เธอเอามาใส่ก็เป็นแว่นทรงพ่อใหญ่ด้วย
“ย่าเป็นอะไรรึเปล่า” นับดาวหันไปเห็นหน้ารจนา “หวัดดีค่ะพ่อใหญ่ เย้ย...” นับดาวเขย่าตัวย่าที่ช็อคอยู่ “ย่า...ย่า”
นับดาวเป็นห่วงย่าส่วนรจนาก็ช็อคค้างหน้าพ่อใหญ่

นับดาวมาเดินหาซื้อเพลงไอ ยูกิอยู่ในห้างสรรพสินค้า เธอเดินหาแผ่นช่องโน้น ช่องนี้ ยังไงก็ไม่เห็นสิ่งที่เธอต้องการ ขณะเดียวกันนั้น ซีซีก็กำลังหาซื้อซีดีอยู่เหมือนกัน แต่พอนับดาวเดินผ่านหน้า ซีซีก็ทำซีดีหล่น แล้วก้มเก็บเลยไม่เห็นกัน ซีซีเดินออกไปสวนกับวรพรรณ ที่เดินเข้ามาหานับดาว
“แก...ฉันเจอซีซีอีกแล้วว่ะ”
“ซีซี ยายซีซีคนที่เคยมาด่าฉันตอนทำงานที่นี่ต่อหน้าเจ้านายจนฉันโดนไล่ออกน่ะเหรอ...ไหนมันอยู่ไหน อยากจะต่อยหน้าซักเปรี้ยง”
“ใจเย็นๆเว้ย เขาไปแล้ว”
“อย่าให้เจอนะ เจอเมื่อไหร่นะ ฮึ่ม”
“แล้วนี่แกหาอะไรของแกน่ะ ฉันเห็นแกเดินไปเดินมาตั้งนานแล้ว”
“เพลงไอ ยูกิ”
“นึกไงจะฟังเพลงญี่ปุ่นขึ้นมาวะ เห็นปกติฟังแต่เพลงไทยเดิม”
“เออน่า...”
วราพรรณพาไปช่องเพลงต่างประเทศ ก็เห็นซีดีของไอยูกิวางเกลื่อน
“นี่ไง ไอ ยูกิ มีทุกชุดเลย”
“อันนี้ฉันก็มีแล้ว”
“อ้าว แล้วแกหาอะไร”
“แผ่นเสียงของไอ ยูกิ ไม่เห็นจะมีขายเลย”
“หืม แม่คุณ ยุคนี้ใครเขาทำแผ่นเสียงขายกันล่ะ แกไปซื้อเพลงของย่าแกอัลบั้มแรกโน่นถึงจะมี”
“เขาไม่ทำขายแล้วเหรอ เฮ้ย...แล้วฉันจะซ้อมร้องซ้อมเต้นยังไงอ่ะ บ้านมีแต่เครื่องเล่นแผ่นเสียง”
วราพรรณมองเพื่อนอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
“เดี๋ยวนะ ซ้อมร้องซ้อมเต้นเพลงไอ ยูกิเนี่ยนะ แกจะทำไปทำไม ฉันไม่เคยเห็นแกสนใจเรื่องแบบนี้”
“โอ๊ะ...คือ คือ...ฉันจะไปคอนเสิร์ตไอ ยูกิน่ะ เห็นในข่าว”
“พูดเป็นเล่น แล้วแกหาบัตรได้แล้วเหรอ บัตรเขาขายหมดตั้งแต่ 20 นาทีแรกแล้ว”
นับดาวตาโต
“จริงเหรอ”
“เออดิ...ขนาดคนวงในยังหายากเลย ขนาดจัดในฮอลล์ที่จุดได้เกือบหมื่นคนนะ”
นับดาวช็อคกว่าเดิม
“นี่คนจะมาดู...เป็นหมื่นเลยเหรอ”
นับดาวกลืนน้ำลายเอื๊อก วราพรรณมองอย่างสงสัย
“แล้วนี่แกเป็นอะไร”
“ตื่นเต้น ฉัน...ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะแก”
นับดาวรีบปลีกตัวออกไป วราพรรณไม่เข้าใจว่าเพื่อนตื่นเต้นอะไร มองตามงงๆ

นับดาวเดินเข้ามาในห้องน้ำ สงบสติอารมณ์อยู่หน้ากระจก
“คนเป็นหมื่น โอ้ว...ฉันทำไม่ได้หรอก มันยิ่งใหญ่เกินไป”
คนที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำ มองเธอแปลกๆที่เห็นเธอพูดคนเดียวกับกระจก นับดาวเขินๆ เดินเข้าห้องน้ำไป ล็อคประตู ซีซีเดินเข้ามา คุยโทรศัพท์ไปด้วย เธอยืนตรวจดูความสวยหน้ากระจก
“เป็นไง...งานฉันน่ะ ไปถึงไหนแล้ว...นี่แกจะมัวรออะไรอยู่ห๊ะ ฉันอุตส่าห์วางแผนจับยายไอ ยูกิไป ตอนนี้มันคือโอกาสที่ดีที่สุดเลยนะ”
นับดาวได้ยินชื่อไอยูกิก็หูผึ่ง เอาหูแนบประตูทันที
“ไอ ยูกิถูกจับตัวไปเหรอ”
นับดาวพยายามจะมองลอดช่องด้านล่างห้องน้ำ แต่ก็มองไม่เห็นอยู่ดี เธออยากรู้เหลือเกินว่าใครพูดที่หน้ากระจก ซีซีเติมปากสีชมพู ให้ดูเข้ม และแรงสมคาแรคเตอร์
“เม้าท์มากกว่า มันถูกจับตัวไป แล้วใครที่ไหนจะมาแถลงข่าว ฉันว่าเป็นพวกข่าวแจก ข่าวพีอาร์ที่เซ็ตที่เขียนขึ้นมามากกว่า แกก็รู้วงการบันเทิงน่ะมันจอมปลอมจะตายไป จริงๆคงกำลังบ้าหาตัวยายไอ ยูกิให้วุ่น”
ซีซีหัวเราะมีความสุข นับดาวแอบฟังในห้องน้ำทนไม่ไหว
“ยายคนจับตัวยูกิไปมันเป็นใครเนี่ย ฉันต้องรู้ให้ได้”
นับดาวจะเปิดประตูออกไปแอบดูหน้าแต่กลอนก็ดันติด เปิดไม่ออกซะงั้น
“เฮ้ย...มาติดอะไรตอนนี้นะ”
ขณะที่เธอกำลังพยายามเปิดออกไปให้ได้ ซีซีก็เดินคุยโทรศัพท์ออกไป
“โอกาสนี้แหละดีที่สุด พี่ต้องหางานให้ฉันให้ได้ เข้าใจมั้ย”
ซีซีเดินออกจากห้องน้ำ นับดาวเพิ่งเปิดประตูออกมาได้ เธอไม่เห็นใครจึงวิ่งตามออกไปดูนอกห้องน้ำ

นับดาววิ่งพรวดออกมาที่หน้าห้องน้ำ หวังจะได้เห็นว่าใครจับตัวไอ ยูกิไป แต่เธอก็คลาดกับซีซีไปซะแล้ว นับดาวเจ็บใจที่เธอไม่รู้ว่าใครทำ
ซีซีเดินเฉิดฉายอยู่ แพรวไพลินเดินมาเห็นซีซีมาคนเดียวเลยเข้าไปทัก
“สวัสดีจ้ะ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะซีซี”
“แพรวไพลิน”
“ไง มาคนเดียวเหรอจ้ะ”
ซีซีมองรอบตัวแพรวไพลินไม่เห็นใคร
“ก็เหมือนเธอนั่นแหละ นี่ยังไม่มีแฟนอีกเหรอ”
แพรวไพลินเชิด
“มีแล้ว”
“แล้วไปไหนซะล่ะ”
“ก็มัวแต่ไปดูแลยาย...ช่างเถอะ มันเรื่องของฉัน”
“แล้วไงล่ะ เดี๋ยวนี้ยังเอาเงินฟาดหัวผู้ชายให้มาเป็นแฟนด้วยอยู่มั้ย”
แพรวไพลินเจ็บจี๊ดที่โดนแทงใจดำ
“นี่เธอ พูดดีๆนะ ฉันไม่เคยเอาเงินฟาดหัวใคร แล้วเธอล่ะ ยังติดนิสัยขี้ขโมย ชอบเอาของคนอื่นไปซ่อนอยู่รึเปล่า”
คำพูดแพรวไพลินแทงใจดำซีซี เหมือนกัน
“ถ้าสิ่งของน่ะ ฉันเลิกทำไปนานแล้วย่ะ”
“แล้วนี่มีเงินพอมาช้อปในห้างหรูๆเหรอ ได้ข่าวว่าเป็นดาราตกกระป๋องไปแล้วนิ หรือแค่มาเดินดูของแท้ แล้วไปสั่งก็อปเกรดเอเอา”
ซีซีชักฉุน
“นี่...อย่าดูถูกฉันให้มันมากนัก ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับมาดังอีกครั้งแล้วย่ะ”
แพรวไพลินมองหยัน
“อย่างเธอ จะกลับมาดังได้ก็คงต้องหันไปเอาดีทางถ่ายโป๊แล้วละมั้ง”
ซีซีโกรธจี๊ด
“นี่มันจะเกินไปแล้วนะ คอยดูวันที่ฉันกลับมาดังก็แล้วกัน”
แพรวไพลินและซีซีต่างก็มองกันแบบเชิดๆ ซีซีเดินหนีไปโดยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วศัตรูของพวกเธอคืนคนเดียวกัน

นับดาวเดินมากับวราพรรณ เธอกำลังเหม่อๆ คิดว่าใครเป็นคนลักพาตัวยูกิไป แล้วเธอก็ชนกับแพรวไพลินที่ถือถุงช็อปปิ้งเต็มไม้เต็มมือพอดี ของหล่นกระจัดกระจาย
“โอ๊ย...เดินยังไงเนี่ย ห๊า”
แพรวไพลินเก็บถุงต่างๆ วราพรรณกับนับดาวต่างหันไปเห็นแพรวไพลิน นับดาวสะดุ้ง
“เฮ้ย”
แพรวไพลินจ้องหน้า
“นี่เธออีกแล้วเหรอ อ๋อ...คิดจะแก้แค้นฉันที่ชนแกเมื่อวันก่อนใช่มั้ย”
“เอ่อ...ไม่มีอะไร ไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ”
นับดาวกลัวแพรวไพลินพูดอะไรโพล่งมาเกี่ยวกับยูกิ เธอกลัวว่าวราพรรณจะรู้ วราพรรณก็มองงงๆ
“มันเรื่องอะไรน่ะ”
นับดาวรีบเข้าแทรกระหว่างวราพรรณกับแพรวไพลิน
“ไม่มีอะไร เรารีบไปกันเถอะ”
แพรวไพลินมองเหยียด
“ถ้าไม่ควงผู้ชายก็ควงทอมสินะ”
“ปากเหรอที่พูดน่ะ”
วราพรรณจะเข้าไปต่อย นับดาวห้ามไว้
“เฮ้ย...อย่าไปยุ่งกับเขา”
“อยู่ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นคนดี แต่ที่ไร้มารยาทกับฉันไว้ ฉันไม่ลืมหรอกนะ”
นับดาวไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เธอรีบชวนเพื่อน
“ ไปกันเถอะ”
วราพรรณไม่ยอม
“เฮ้ย...นี่แกจะปล่อยให้มันด่าแล้วเดินหนีไปง่ายๆแบบนี้เหรอ” วราพรรณหันมาหาแพรวไพลิน “คุณน่ะ หน้าตาก็ดี ท่าทางก็ไฮโซ แต่ทำตัวปากคลองตลาดมาก ยังจะกล้ามาว่าคนอื่นเขาอีกเหรอ”
นับดาวพยายามลากเพื่อนออกมาจากตรงนั้น
“ไปเถอะ อย่าไปสนใจ อย่าไปฟังไม่ว่าเขาจะพูดว่าอะไร”
แพรวไพลินตะโกนด่าไล่หลัง
“นี่เธอจะเดินหนีฉันไปแบบนี้อีกแล้วเหรอ จำไว้นะ ฉันไม่ได้อยากจะอะไรกับเธอ แต่เธอต่างหากทำตัวเอง ไอ ยูกิ”
เสียงชื่อเรียกสุดท้ายว่าไอยูกิ สะท้านไปถึงในใจนับดาวและแน่นอนมันทำให้วราพรรณถึงกับชะงัก
“ไอ ยูกิ ทำไมเขาเรียกเธอว่าไอยูกิล่ะ”
นับดาวลำบากใจที่จะพูดอะไรออกมา

นับดาวเดินหนี วราพรรณเดินไล่ตามตื้อ
“ทำไมเขาเรียกแกว่าไอ ยูกิ แกไปทำอะไรมา ไปรู้จักเขาได้ยังไง แล้วทำไมเขาเรียกแกแบบนั้น”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเคยรู้จักเขาซักที่ไหนเล่า ฉันว่าเขาทักคนผิดมากกว่า”
“แกแน่ใจนะ แกไม่ได้ปิดบังอะไรฉันอยู่”
“โอ๊ย...แกจะบ้าเหรอ คนอย่างเราจะไปรู้จักคนท่าทางไฮโซแบบนั้นได้ยังไง แกลืมไปแล้วรึไง”
“เออว่ะ ฉันก็ลืมไปว่าแกน่ะมันก็แค่เด็กซ๊กม๊กที่ไม่มีคนคบ ฉันก็คิดว่าแกจะทำอะไรบ้าๆน่ะสิ เช่นปลอมตัวเป็นไอ ยูกิอะไรแบบนั้น”
“บ้าดิ ฉันจะไปทำแบบนั้นทำไม”
“ก็แกมันเป็นคนบ้าไง ฉันก็คิดไปเรื่อย ก็แกยังจำวันที่เรารู้จักกันวันแรกได้ป่ะ”
“เออ”
“ที่ฉันย้ายเข้ามาใหม่ แล้วแกก็ไม่มีเพื่อนคบซักคน”
“ไม่ต้องย้ำเรื่องไม่มีคนคบได้มั้ย”
“ก็ได้...ที่อยู่ๆแกก็มาชวนฉันไปบ้านแก พอฉันบอกไม่ยอมไปแกก็บอกว่าบ้านแกมีสวนใหญ่มาก ฉันยังไม่ไปอีก แกก็บอกว่าบ้านแกมีสระว่ายน้ำ พอฉันบอกไม่แกบอกหลังบ้านแกมีสวนสนุกให้เล่นฟรีด้วย ฉันเลยต้องไป”
“แล้วเป็นไงพอมาบ้านฉัน”
“ก็บ้านหลังโทรมๆของย่าแกหลังเดิม ไม่มีสวน ไม่มีสระว่ายน้ำ อย่าว่าแต่สวนสนุกเลย ที่ฉันงงคือแกทำหน้าตาปกติ เหมือนไม่เคยโกหกมาก่อน ตอนนั้นฉันงงมากเว้ย แล้วก็คิดว่าไอ้คนนี้มันบ้าดี”
นับดาวยิ้ม
“ใครจะโกหกเรื่องที่มีหลักฐานเห็นจะๆแบบนี้วะ มีแต่คนไม่ปกติเท่านั้นแหละ”
นับดาวยิ้มแหยๆ
“ก็ตอนนั้นฉันอยากให้แกมาบ้านฉันนี่หว่า ฉันก็พยายามทำทุกอย่างให้แกมาให้ได้”
“แต่มันก็ทำให้เราเป็นเพื่อนกันมาจนถึงวันนี้ได้เนอะ...ว่าแต่แน่ใจนะ ว่าตอนนี้แกไม่ได้กำลังไปโกหกใครว่าบ้านมีสระว่ายน้ำน่ะ”
นับดาวนิ่ง เศร้าๆ
“ฉันโตแล้วนะเว้ย ฉันจะเที่ยวหลอกคนอื่นทำไมว่าฉันมีในสิ่งที่ไม่มี”
นับดาวตอบไม่เต็มปากนัก เพราะละอายใจตัวเอง แต่วราพรรณก็ยังไม่รู้อะไร

ค่ำนั้น นับดาวเดินเข้ามานั่งข้างๆย่าเศร้าๆ รจนาหน้าหายเป็นพ่อใหญ่ กลับมาเป็นปกติแล้ว
“ย่าอยากไปเดินเล่นข้างนอกมั้ย เดี๋ยวหนูพาไป”
รจนาจับหัวใจตัวเอง ทำท่าตกใจ ส่ายหน้ายิกๆ ยังเข็ดอยู่กับคราวที่แล้ว
“ย่า ตอนเด็กๆที่ย่าชอบว่าหนูเวลาหนูไปโกหกคนอื่น เพื่อให้มีคนสนใจน่ะ แล้วหนูบอกหนูไม่ได้ตั้งใจ แค่อยากมีเพื่อน มีคนมาสนใจเยอะๆ แล้วย่าบอกว่าระวังมันจะติดเป็นนิสัย หนูคิดว่าหนูคงทำบ่อยเกินไป จนเลิกไม่ได้แล้วล่ะแล้วหนูก็อยากจะสารภาพกับย่าด้วย ว่าที่หนูบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ จริงๆหนูโกหก”
นับดาวนั่งละอายตัวเอง รจนาลูบหัวหลานสาวอย่างห่วงใย

ยูกิค่อยๆรู้สึกตัวขึ้น ไข้ลดลงแล้ว เธอตื่นขึ้นมาพบว่า ยามาดะ นอนฟุบหลับอยู่ข้างๆเตียงเธอ มือนึงจับมือเธอไว้ รอบข้างเขามีทั้งยากะละมังที่มีน้ำกับผ้าเช็ดตัวเปียกอยู่ ในมืออีกข้างเขากำรูปไว้แน่น ยูกิเห็นก็รู้สึกดีไม่น้อย เธอมองเขาที่หลับอยู่
“ฉันคุ้นหน้าคุณจริงๆ”
เธอหันไปเห็นรูปในมือของเขา พยายามจะดึงมันออกจากมือให้เบาที่สุด เธออยากรู้ว่ามันคือรูปอะไร ยูกิค่อยๆดึงออกมา ยามาดะก็ขยับตัวปัดแมลงวันที่หน้า เธอสะดุ้ง แต่พอเห็นเขาหลับต่อก็ค่อยๆดึงมันต่อ ทันใดนั้น ยามาดะละเมอขึ้นมาอีก
“เดี๋ยวยิงหัวเลย”
ยูกิสะดุ้ง แต่พอรู้ว่าเขาละเมอเธอก็ค่อยๆดึงรูปออกมาอีกแต่คราวนี้ยามาดะรู้สึกตัวสะดุ้งโหยงขึ้นมา
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
ยามาดะรีบเอารูปใส่ไว้ในกระเป๋า ยูกิอึกอัก
“ฉันเห็นคุณหลับ ฉันก็แค่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ”
“ก็ไปสิ แต่อย่าคิดหนีนะ”
ยูกิมองหน้าเขา
“ขอบคุณนะที่ช่วยดูแล”
“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ ถ้าไข้ขึ้นอีกก็ดูแลตัวเองละกัน คนอื่นเขาไม่ได้ว่างขนาดนั้น”

ยามาดะทำท่าทีเหมือนไม่พอใจ แต่แท้ที่จริงเขาอายรีบเดินออกไปจากห้องแล้วล็อคประตู ในขณะที่ยูกิไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของยามาดะเลย











Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 11:39:08 น.
Counter : 420 Pageviews.

0 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 3



เป็นไทเดินเหม่ออยู่ที่สะพานพุทธคนเดียว จนมาหยุดยืนอยู่ในจุดที่เคยมายืนกับยูกิ จังหวะหนึ่งเขาก้มลงไปมองด้านล่าง

“คุณไปอยู่ไหนของคุณเนี่ยยูกิจัง ได้โปรดกลับมาเถอะ”
พอเป็นไทหันมาก็เห็นคนคล้ายยูกิจังเดินหลังไวๆ ไป เขารีบวิ่งตามไปเรียก
“ยูกิ...ยูกิจัง”
แต่พอคนนั้นหันมาก็ไม่ใช่ยูกิอยู่ดี เป็นไทท้อใจ
นับดาวยืนโบกตุ๊กๆ อย่างเซ็งๆ จับปากตัวเองไปมาเพราะมันชา เธอหยิกๆก็ไม่รู้สึก ตุ๊กไม่จอดรับ ทันใดนั้นเธอก็หันไปเห็นเป็นไท กำลังเดินเหม่อๆมาทางเธอ นับดาวตาโต
“ไอ้คนเลว แกอีกแล้ว ฟ้าให้โอกาสฉันได้แก้แค้นแล้วคราวนี้ แก แกทำให้ฉันอดเป็นดารา”
ขณะเดียวกันนั้น มีคนเดินแบกช่อดอกไม้ขายผ่านมา เธอซื้อช่อดอกกุหลาบลุยเข้าไปหาเป็นไทด้วยอารมณ์พุ่งปรี๊ด เธอกำช่อดอกกุหลาบในมือแน่น เดินดุ่มๆไปหาไม่สนใจข้าวของ
เป็นไทกำลังเดินเหม่อ คิดถึงอดีตที่มากับยูกิ นึกถึงตอนที่เขายื่นดอกไม้ให้ ในจังหวะที่เขาเผลอๆ กำลังคิดถึงยูกิอยู่นั้น นับดาวก็กระโดดขึ้นโจมตีเขาจากด้านหลัง โดยกระโดดขี่หลัง เอามือล็อคคอ เอาขาเกี่ยวเอวไว้แน่น แล้วก็เอาดอกกุหลาบฟาดหัวเขาอย่างแรงไม่ยั้ง
“แกมันไอ้คนเลว รู้มั้ยแกทำอะไรกับฉันไว้บ้าง วันนี้ฉันจะฆ่าแกให้ตายด้วยมือฉันเอง”
นับดาวฟาดดอกไม้ไม่ยั้ง เป็นไทตกใจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย เฮ้ย...ปล่อยนะ”
เป็นไทยังไม่เห็นหน้านับดาวพยายามสะบัดให้หลุด คนมุงดูกันใหญ่ นับดาวเกาะแน่นไม่ยอมปล่อย แถมกัดที่ไหล่เขาอีกต่างหาก
“แก...ตายซะเถอะ”
“เฮ้ย...นี่ตัวอะไรเนี่ย หมาหรือคน ปล่อยนะ...ปล่อย”
เป็นไทสะบัดจนนับดาวร่วงลงไปกองกับพื้นก้นจ้ำเบ้าแต่ก็ยังไม่คลายความโมโห
“โอ๊ย...แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย รังแกผู้หญิง”
นับดาวลุกขึ้นยืนจะสู้ เป็นไทหันกลับมาหาแต่ยังไม่ทันมองหน้า
“นี่มันอะไร คุณเป็นใครมาทำผมแบบนี้ได้ยั...” เป็นไทชะงักอึ้งเมื่อเห็นหน้านับดาวคิดว่าเป็นยูกิ “ยูกิ...ยูกิจัง นี่คุณจริงๆด้วย”
เป็นไทโผเข้ากอด นับดาวถูกกอดก็เหวอไป แต่ก็นึกขึ้นได้รีบผลักออก
“อย่ามาแกล้งทำดีกับฉันนะ”
“ผมดีใจจริงๆคุณกลับมาแล้ว ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
นับดาวงง
“อะไรของคุณ”
“ผมรู้ว่าคุณโกรธผมเรื่องนั้นใช่มั้ย”
“แน่ล่ะ โกรธแน่ๆล่ะ คุณกล้าดียังไงมาทำกับฉันแบบนั้น”
“คุณอยากจะทำอะไรกับผมก็ได้ เพื่อให้คุณหายโกรธ ผมยอมทั้งนั้น”
นับดาวจ้องหน้า
“ทุกอย่างเลย งั้นเหรอ”
“ใช่ ทุกอย่าง”
นับดาวตบเขาหน้าหัน
“แบบนี้ก็ไม่โกรธเหรอ”
เป็นไทแก้มแดงเป็นรอยมือ หันกลับมายิ้ม
“ไม่โกรธ”
นับดาวตบอีก หนักกว่าเก่า
“ไม่โกรธแน่เหรอ”
เป็นไทหันกลับมายิ้ม เลือดออกจมูก
“ไม่โกรธ”
นับดาวตบอีก คราวนี้รัวชุดใหญ่
“แบบนี้ก็ไม่โกรธซักนิดเลยเหรอ”
เป็นไทหันกลับมายิ้ม หน้าแดงเลือดออกปาก ออกจมูกทะลัก
“ไม่โกรธ”
นับดาวยิ้มชอบใจ

เป็นไทพานับดาวไปกินอาหารที่ร้านหรู เธอตื่นเต้นกับอาหารหน้าตาผู้ดีที่มาวางบนโต๊ะ แต่ละอย่าง อย่าว่าได้กินเลย เธอเพิ่งได้เห็นของจริงก็วันนี้แหละ เป็นไทนั่งยิ้มหน้ายังมีรอยช้ำอยู่จากที่โดนตบ
“โห...ของแพงๆทั้งนั้นเลย”
“ถ้าคุณชอบ ผมสั่งกลับบ้านให้ด้วยก็ได้”
นับดาวดีใจ
“พูดเป็นเล่น”
“พูดจริงสิ คุณอยากมั้ยล่ะ”
“เห็นฉันเป็นคนตะกละรึไง”
เป็นไทหันไปสั่งเด็กเสิร์ฟ
“เอากลับบ้านอย่างละชุดละกันครับ”
“ขอสองได้มั้ย”
นับดาวเขินๆ เป็นไทหันไปสั่งเด็กเสิร์ฟอีก
“ตามนั้น”
“นี่คุณไม่คิดตังค์ฉันจริงๆใช่ป่ะ”
“ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง ผมทำผิดกับคุณไว้นะ”
“เหรอ...คุณนี่ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วนี่ฉันได้สิทธิพิเศษอะไรอีกล่ะ”
“ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
นับดาวตาโต
“โห...จริงเหรอ งั้นคุณพาฉันไปเป็นดาราได้มั้ย”
“คุณนี่ตลกๆจริงๆเลยนะ”
“ฉันพูดจริง นี่ความฝันฉันเลยนะ อย่าหาว่าตลกสิ”
เป็นไทยิ้มขำ
“ได้สิ...พรุ่งนี้คุณจะได้เป็นดาราใหญ่ที่จะแถลงข่าวคอนเสิร์ต แล้วก็มีนักข่าวมากันเต็มไปหมด”
นับดาวคิดในใจ
‘ชิ คิดว่าหลอกเด็กอยู่รึไง ที่จะให้ฉันหลับแล้วตื่นกลายมาเป็นซุปเปอร์สตาร์น่ะ ดีแต่ปากแหละว๊า’
นับดาวมองเขาอย่างดูถูก เป็นไทยิ้มดีใจที่ยูกิกลับมา

เป็นไทจอดรถส่งนับดาวที่หน้าบ้าน เป็นไทพูดกับนับดาวแต่ด้วยความที่การนั่งในรถหูข้างขวาที่หนวกของเธอจะหันไปทางเขา เธอเลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
“ฉันอยู่ที่นี่แหละ”
“นี่ตลอดเวลาที่คุณหายไป คุณมาพักแบบโฮมสเตย์อยู่ที่นี่เองเหรอ ไม่อยากพักโรงแรมห้าดาวทำไมไม่บอก ผมจะได้จัดไว้ให้”
“คุณว่าอะไรนะ ฉันฟังไม่ค่อยถนัด พูดอีกทีได้ป่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“เออนี่ แล้วคุณอย่าคิดนะว่าแค่เลี้ยงข้าวฉันแค่มื้อเดียว แล้วฉันจะหายโกรธหรอกนะ”
“ให้ผมเลี้ยงคุณไปตลอดชีวิตยังไหว”
“ห๊ะ ว่าไงนะ”
“พรุ่งนี้ผมมารับคุณไปงานแถลงข่าวนะ”
“พูดไม่เหมือนเดิม ว่าอะไรนะ”
นับดาวพยายามหันหูซ้ายไปใกล้ๆให้ได้ยินชัด
“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
นับดาวเปิดประตูลงจากรถงงๆ เป็นไทขับรถออกไป
“วันนี้มาแปลกเว้ย...แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะหลงเชื่อความดีแค่ไม่กี่ครั้งได้ สัญชาตญาณฉันมันบอกว่าคุณน่ะงูพิษ ต้องมีแผนอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ”
นับดาวมองตามรถของเป็นไทด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แล้วเธอก็ถือถุงอาหารที่ซื้อกลับบ้านชุดใหญ่เดินเข้าบ้าน

นับดาวถืออาหารมาฝากย่าเต็มไม้เต็มมือ รจนายังไอโขลกตัวโยนอยู่
“ย่า ได้กินยาบ้างรึเปล่าเนี่ย”
รจนาเสียงแหบขาดๆหายๆ
“กินแล้ว เอ็งเป็นอะไร พูดยังกะพวกญี่ปุ่น”
“ยาชาน่ะสิ ช่างมันเหอะ นี่หนูเอาอาหารแพงๆมาฝากย่าเต็มเลย”
“ไปเอามาจากไหน”
“มีคนเขาเลี้ยงน่ะย่า หนูเลยซื้อมาฝาก ของดีๆทั้งนั้นเลยนะ”
รจนาเสียงแหบ ขาดๆหายๆ
“แช่ตู้เย็นไว้ เอาไว้อุ่นกิน”
“หนูฟังย่าพูดไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย เสียงเบาเกิ๊น”
รจนาส่ายหน้าโบกมือ ไม่อยากออกเสียง แล้วเดินไป นับดาวมองอย่างเวทนา

ยูกิเคาะประตู ร้องเรียกยามาดะ
“นี่ได้ยินมั้ย คุณ...ฉันปวดท้อง ขอยาฉันหน่อยได้มั้ย”
ยามาดะเปิดประตูเข้ามา
“อะไร”
ยูกิปวดท้องตัวงอ
“ฉันปวดท้อง ขอยาฉันหน่อยได้มั้ย ยาแก้ปวดหรือยาอะไรก็ได้”
ยามาดะเป็นห่วงทันที
“ปวดท้อง...ปวดยังไง ปวดตรงไหน ไส้ติ่งรึเปล่า”
“ฉันเป็นโรคกระเพาะ”
ยามาดะหันไปมองข้าวบนโต๊ะ ไม่ถูกแตะเลย
“แล้วทำไมไม่กินข้าวล่ะ”
“ขอยาฉันหน่อยสิ”
“ได้ๆ รอแป๊บนึงนะ”
ยามาดะเป็นห่วง รีบไปหยิบมาให้ โดยไม่ได้ปิดประตู ยูกิเห็นเขาวิ่งออกไป เธอก็หายเป็นปกติ แล้วรีบวิ่งหนีออกทางประตูไป ยามาดะกลับเข้ามาไม่เห็นยูกิ รู้ว่าโดนเธอหลอก รีบวิ่งตามไป

ยูกิวิ่งหนีเลียบหาดไปในความมืด หวังจะเจอเรือซักลำ ยามาดะวิ่งตามมาติดๆ เธอวิ่งลงน้ำหวังจะว่ายน้ำหนีไป แต่เขาก็ลุยน้ำเข้าไปคว้าตัวเธอไว้ได้ ลากเธอขึ้นจากน้ำ
“ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย ฉันจะไม่บอกตำรวจ ไม่บอกใครทั้งนั้น”
“คุณหลอกผมอีกแล้ว”
เขาลากแขนเธอให้เดินตามมา เธอต้านแรงไม่ไหวต้องเดินตาม
“ฉันขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ”
ยามาดะโกรธที่ยูกิหลอก เขาไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ลากเธอมาโยนไว้บนเตียงทั้งที่ตัวเปียกๆ
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าคิดหนี ที่นี่มันเป็นเกาะส่วนตัว คุณหนียังไงก็ไม่พ้นหรอก”
“ก็ปล่อยฉันไปสิ ฉันไปทำอะไรให้คุณนักหนาล่ะ”
“คุณหลอกผม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ”
“ฉันไปหลอกคุณเมื่อไหร่ เราเจอกันแค่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ”
“แน่ใจเหรอว่าแค่ครั้งเดียว”
ยามาดะเดินออกไปอย่างไม่พอใจ ปิดประตูปัง ล็อคแน่นหนา ยูกิได้แต่นอนหนาวอยู่บนเตียง

ยามาดะเข้ามาในห้องพักตนเอง นึกถึงเรื่องราวของเขาในอดีต สมัยที่เขากับยูกิเป็นนักเรียน ม.ต้น ตอนนั้น เขาเอาจดหมายรักไปให้ ยูกิแล้วไปแอบดูอยู่นอกห้องเรียน ยูกิหันมองไปรอบๆไม่เห็นใคร เพื่อนๆเดินเข้ามารุมถามเธอ
“จดหมายอะไรน่ะ”
“จดหมายรักจากหนุ่มๆเหรอ”
ยูกิส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกน่า ไร้สาระ”
ยูกิกับเพื่อนเดินไป ยามาดะที่ฟังอยู่เสียใจ
ช่วงเย็น...ไคคุงซึ่งเป็นนักเรียนม.ปลาย เดินมาส่งยูกิ เธอโบกมือลาเขาก่อนจะเข้าบ้าน ยามาดะที่แอบมองอยู่เสียใจ เขาเดินมาที่หน้าบ้าน เห็นจดหมายรักที่เขาให้ยูกิ ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้านนั่นเอง ยามาดะเสียใจ
เมื่อนึกถึงอดีต ยามาดะจ้องตัวเองในกระจก เขาโกรธตัวเองที่ปล่อยให้ยูกิหลอกแล้วหลอกเล่า เขาต่อยกระจกจนแตกร้าวไปทั้งบาน แต่พอเขายกมือขึ้นมาเห็นเลือดเต็มมือก็ถึงกับเป็นลมล้มลงไปเลย

สายๆของวันใหม่...นับดาวยังคงพูดไม่ชัดออกสำเนียงญี่ปุ่น โวยวายใส่โทรศัพท์มือถือ
“ไหนบอก สองชั่วโมงจะหายชาไง ฉันยังพูไม่ชัดอยู่เนี่ย...หา โดนเอ็นลิ้น...กี่วันถึงจะพูดชัดนะ...อาทิตย์นึง ...หนอย ไอ้หมอบ้า คอยดูนะ ฉันจะฟ้อง อ้าว...วางไปซะแล้ว”
รจนาส่ายหน้ามองหลานสาว ยิ้มอย่างเอ็นดู ขณะเดียวกัน รถเป็นไทเข้ามาจอดหน้าบ้าน เขาลงจากรถ เดินเข้ามาในบ้านเคาะประตูกับประตูที่เปิดอยู่ รจนาหันไปดู
“ผมมารับยูกิจังครับ”
รจนาไม่มีเสียงแล้ว ขยับปากบอก
“ไม่มียูกิ บ้านนี้ไม่มีคนชื่อยูกิ”
“อ๋อ” เป็นไทพยักหน้าเข้าใจ “เป็นใบ้ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องพูด เดี๋ยวผมขอไปรอข้างในก็พอ”
รจนาพยายามบอกว่าไม่มียูกิ แต่ไม่มีเสียง
“ป้านี่หน้าคุ้นๆนะครับ เคยเจอกันที่ไหนน๊า”
นับดาวงัวเงียมาจากห้อง
“ใครมาเหรอย่า”
รจนาวิ่งไปหานับดาว พยายามเล่าว่าเป็นไทมาหาคนชื่อยูกิ แต่บ้านเราไม่มีแต่นับดาวงัวเงีย ไม่รู้เรื่อง
“ย่าพูดเสียงเบาหรือหูหนูแย่ลงกันแน่เนี่ย นี่หันข้างซ้ายให้ก็ไม่ได้ยินแล้วนะเนี่ย”
รจนาขยับปาก
“เสียงไม่มี”
“อ๋อ แล้วไป นี่ตกลงบ้านเรามีคนหูหนวกกับคนเป็นใบ้อยู่ด้วยกันแล้วสิ”
เป็นไทยืนยิ้มมองเธออยู่ นับดาวเพิ่งเห็น
“อ้าวคุณ มาทำไม”
“ก็มารับคุณไปงานแถลงข่าวไง”
นับดาวงงๆ
“อะไร แสดงๆนะ” เธอคิดได้ “แสดง หมายถึงดาราเหรอ ให้ไปเป็นดาราใช่ป่าว”
“ใช่ คุณเป็นดาวเด่นของงานวันนี้เลย”
“ย่า...ได้ยินมั้ย หนูจะได้เป็นดาว” นับดาวหันบอกเป็นไท “รอฉันอาบน้ำแต่งตัวแป๊บนึงนะ รับรองว่าไม่นาน”
“รอได้เสมอครับ”
นับดาวรีบวิ่งขึ้นบ้านไปอย่างมีความสุข เป็นไทหันมาคุยกับรจนา
“ยูกิจังนี่เขาน่ารักจริงๆนะครับ”
รจนาพยายามอธิบายว่านั่นมันชื่อนับดาว ไม่ใช่ยูกิ เป็นไทฟังไม่รู้เรื่อง ยิ้มรอยูกิจังลงมา รจนาเหนื่อยใจ

องอาจร้อนรน เดินชะเง้อคอหาเป็นไทตลอดเวลา เป็นไทเดินเข้ามาในออฟฟิศยิ้มร่า
“งานเรียบร้อยดีมั้ยคุณองอาจ”
“เรียบร้อยครับ พร้อมหมดทุกด้าน”
“งั้นก็ดี”
“แล้วคุณไทล่ะ งานเรียบร้อยดีมั้ย”
เป็นไทมองหน้า
“นี่แกเป็นเจ้านายฉันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ถึงมาเช็คงานแบบนี้”
“เอ๊า...ไม่ให้ผมเช็คได้ไงละครับ นั่นมันหมายความว่าสิ่งที่ผมเตรียมไว้ทั้งหมดมันจะเหลวมั้ย”
เป็นไทยิ้มไม่ตอบ แต่ผายมือไปด้านหลัง
“ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักนางเอกในงานวันนี้”
พนักงานในออฟฟิศทุกคนตื่นเต้น แล้วนับดาวก็เดินออกมา ทุกคนตื่นเต้นดีใจ เข้าใจว่าเป็นยูกิตัวจริง พนักงานซุบซิบกัน
“สวยกว่าในรูปตั้งเยอะแน่ะ”
“น่ารักมากเลย”
องอาจยิ้มกว้าง
“นี่แหละ คนที่เราตามหามานาน”
นับดาวยิ้มดีใจที่ทุกคนต่างชมเธอ เธอเห็นองอาจก็โบกมือทักทาย องอาจโบกมือทักทายกลับ
“เป็นไง สูทใส่พอดีมั้ยคะ”
องอาจงงๆกับคำทักทายของนับดาว
“ครับ”
พนักงานต่างขอถ่ายรูปกับเธอกันใหญ่ นับดาวก็หน้าบานดีใจ
“นี่ยังไม่ดังเลยนะคะ ขอถ่ายเลยเหรอ”
“ไม่ดังอะไรกันละครับ ใช่มั้ยพวกเรา”
พนักงานพยักหน้ารับเห็นด้วยกับองอาจ นับดาวยิ้มแก้มปริ

นับดาวแค่เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ทั้งช่างหน้า ช่างผม สไตลิสต์ ก็วิ่งจี๋มาหา เอาชุดมาให้เลือก เอาแบบผมมาให้เลือก เอาโทนการแต่งหน้ามาให้เลือก เธองงๆ ทำอะไรไม่ถูก นับดาวถูกจับมานั่งแต่งหน้าไปด้วยทำผมไปด้วย
ในที่สุด...นับดาวเปิดประตูออกจากห้องลองเสื้อผ้าออกมาแบบฟูลออฟชั่น ทั้งชุดที่สวยเก๋ หน้าเฉี่ยวเปรี้ยว ทรงผมสุดเลิศ องอาจกับเป็นไท ตะลึงกับความสวย องอาจถึงกับอุทานออกมา
“คุณพระ ว่าตอนไม่แต่งหน้าก็สวยแล้วนะ พอฟูลออฟชั่นนี่ เป๊ะมาก”
เป็นไทตะลึง นับดาวเขินๆ
“ฉันไม่เคยแต่งอะไรแบบนี้เลยค่ะ”
“ขี้เล่นนะเนี่ย มีมุกด้วย” องอาจหันมองเป็นไทยังตาค้างอยู่ “คุณไท ถึงกับนิ่งไปเลยเหรอครับ”
เป็นไทสะดุ้ง
“ห๊ะ ว่าไงนะ”
“แหมๆ เห็นผู้หญิงสวยไม่ได้เลยนะ เป็นแบบนี้ทุกที”
เป็นไทส่งสายตาดุ
“คุณก็พูดไปเรื่อย”
นับดาวยิ้มเขินๆ
“แล้วนี่ฉันออกไปเป็นดารา ต้องทำยังไงบ้างเหรอคะ”
“ก็พูดทุกอย่างไปตามความจริงก็พอ แต่ผมจะคอยช่วยพูดด้วย แล้วถ้ามีคำถามนักข่าวอันไหนไม่อยากตอบ สะกิดบอกผม ผมจัดการให้”
“มีนักข่าวด้วยเหรอ”
องอาจยิ้มแย้มบอก
“ทุกช่อง ทุกสื่อเลยล่ะ”
นับดาวหน้าตื่น
“มาทำข่าวฉันคนเดียวเลยเหรอ”
องอาจพยักหน้า
“แน่นอนสิครับ”
นับดาวยิ้มแหยๆ ไม่ค่อยเชื่อ
“เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ”
นับดาวเดินกลับเข้าไปในห้องลองชุดอีกครั้ง...เธอมองตัวเองในกระจก ตบหน้าตัวเอง
“โอ๊ย...ก็เจ็บนี่หว่า ตกลงเราไม่ได้ฝันไปเหรอเนี่ย” เธอหยิกตัวเอง “โอ๊ย...แต่นักข่าวมารอทำข่าวฉันนะ มันจะเป็นไปได้ยังไง ฉันกลายเป็นคนดังไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนด้วยเหรอ”

นับดาวยิ้มสดใส
นับดาว เป็นไท เตรียมพร้อมอยู่ที่ข้างเวที รวมทั้งองอาจที่ใส่หูฟังเพื่อรันคิวแสดงกับทีมงาน นับดาวเตรียมขึ้นเวที ตื่นเต้นหนักจึงถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เป็นไทเห็นเข้าก็เลยถาม

“ตื่นเต้นเหรอ”
นับดาวพยักหน้า
“เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง”
“แล้วทุกครั้งเวลาที่คนมารอดูคุณเยอะๆ คุณทำยังไงให้หายตื่นเต้นล่ะ”
“ถามว่า ฉันต้องทำวิธีไหนบ้างเพื่อให้คนหันมาสนใจจะดีกว่า”
“เอาน่า แค่เป็นตัวของตัวเอง” เป็นไทพูดให้กำลังใจอย่างไม่คิดอะไร
นับดาวขยับกรามไปมา
“นี่คุณ ฉันพูดไม่ชัด คนเขาจะว่ากันมั้ย”
“ไม่หรอกทุกคนเข้าใจ”
นับดาวงงๆ
“เข้าใจอะไร ฉันยังไม่ได้อธิบายเลย เข้าใจกันง่ายจัง”
องอาจเข้ามาสะกิดนับดาว และเป็นไทว่าบนเวทีพร้อมแล้ว
“ตอนนี้นักข่าวมาหมดแล้ว เชิญคุณยูกิจังและคุณไทขึ้นเวทีได้เลยครับ”
เป็นไทพยักหน้ารับ
“พร้อมนะครับ”
“ฉันรอโอกาสนี้มาทั้งชีวิต ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแล้วล่ะ”
เป็นไทเดินนำออกไป นับดาวเดินตามไปติดๆ แสงแฟลชแวบวาบสาดใส่นับดาวเมื่อเธอเดินขึ้นเวที นับดาวงงที่มีนักข่าวเต็มไปหมดขนาดนี้ แถมทุกคนดูให้ความสนใจกับเธอมากเป็นพิเศษ เธอยิ้มเหวอๆ เพราะคาดไม่ถึงว่าชีวิตเธอจะมาถึงจุดนี้จนได้ พึมพำบอกตัวเอง
“ฉันเป็นซุปเปอร์สตาร์จริงๆเหรอเนี่ย”
นับดาวยิ้ม โบกมือให้นักข่าวทุกคนเหมือนนางสาวไทย แอบพึมพำ
“ง่ายเกิ๊น”
นับดาวเดินเข้าไปนั่งประจำที่ คู่กับเป็นไท ที่ยิ้มแย้มให้นักข่าว พูดอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีครับพี่ๆนักข่าวทุกคน ขอบคุณมากนะครับที่มางานในวันนี้ งานมันกะทันหันไปหน่อย ผมต้องขอโทษจริงๆ”
นับดาวพูดต่ออย่างตื่นเต้น
“นี่งานขนาดงานกะทันหันนะเนี่ย ยังมากันเยอะขนาดนี้เลย ขอบคุณที่ให้ความสนใจฉันนะคะ ฉันไม่คิดว่าจะได้มานั่งอยู่ตรงจุดนี้จริงๆ”
นักข่าวฮือฮา เพราะเข้าใจว่ายูกิพูดไทยได้เก่งมาก เป็นไทอธิบาย...
“ตอนผมได้ยินเธอพูดครั้งแรกผมก็ตกใจเหมือนทุกคนแหละครับ ไม่คิดว่าเธอจะพูดไทยได้คล่องขนาดนี้”นับดาวยิ้มแหยๆ
“ต้องขอโทษด้วยที่พูดไม่ค่อยชัดนะคะ”
นักข่าวพูดกันพึมพำออกมาว่า ชัดมากพูดเก่งมาก นับดาวได้ยินก็งงๆ แต่ก็ยิ้มรับ ขณะที่เป็นไทกับนับดาวกำลังแถลงข่าวอยู่ แพรวไพลินก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องแถลงข่าว เธอจ้องมองไปบนเวที ดูเป็นไทอยู่กับยูกิอย่างจับผิดทั้งคู่ เป็นไทแถลงข่าวกับนับดาวต่อ...
“ครับ...หลายคนคงจะรู้ข่าวเกี่ยวกับคุณ ยูกิ มาบ้างแล้ว ว่าเธอจะมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทย โดยบริษัทอิสสยาม ซึ่งมีผม เป็นไท กรรมการผู้จัดการบริษัทเป็นคนดูแลเกี่ยวกับคอนเสิร์ตนี้ทั้งหมด”
นับดาวไม่ทันได้ฟัง มัวแต่โบกมือให้คนข้างล่าง แล้วเธอก็มองไปเห็นวราพรรณที่เป็นหนึ่งในนักข่าวที่มางานแถลงด้วย นับดาวโบกมือให้วราพรรณใหญ่ ดีใจที่ได้เจอเพื่อน วราพรรณที่อยู่ข้างล่างก็งงๆ ไม่คิดว่ายูกิจะโบกมือให้ เธอจึงโบกมือกลับอย่างเก้ๆกังๆ
“อ๊าย...ไอ ยูกิ โบกมือให้เรา”
เป็นไทหันไปหานับดาว
“แล้วคุณละครับมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับคอนเสิร์ตบ้าง”
นับดาวไม่ได้ตั้งใจฟัง ก็งงๆที่เป็นไทโยนมา
“คอนเสิร์ต...เร็วไปเปล่า” เธองงๆ แต่ก็พูดมั่วๆ “ฉันจะทำให้ดีที่สุดแล้วกันค่ะ”
“ครับ อย่างที่บอกว่างานนี้เราทำกันสุดความสามารถกันในทุกๆฝ่าย เพื่อจะให้คอนเสิร์ตนี่ยิ่งใหญ่สมกับการเป็นคอนเสิร์ตระดับเอเชีย”
“ระดับเอเชียเลยเหรอ...นี่แปลว่าแค่ตั้งใจอย่างเดียวไม่พอน่ะสิ”
นักข่าวในฮอลล์หัวเราะ คิดว่ายูกิปล่อยมุข มีแค่แพรวไพลินคนเดียวที่มองนับดาวอย่างหมั่นไส้

ซีซีเปิดโทรทัศน์ แต่สัญญาณไม่ชัด เธอเปลี่ยนไปช่องที่นับดาวกำลังแถลงข่าวอยู่แต่คลื่นซ่ามาก เธอปรับเสาอากาศจนหงุดหงิด จับความไม่ได้ว่าในทีวีทำอะไรอยู่
“โอ๊ย นี่มันบ้านนอกขนาดนี้เลยรึไงที่นี่เนี่ย”
ยามาดะเดินผ่านเข้ามาพอดี มือเขาพันผ้าพันแผลจากที่ทุบกระจกเมื่อคืน
“นี่แก ทีวีมันดูไม่ได้รึไง”
“นึกว่ากลับไปตั้งนานแล้ว”
“นี่ ฉันจะอยู่หรือจะกลับมันก็เรื่องของฉัน มาซ่อมทีวีให้ฉันหน่อย เร็ว”
“นี่มันเกาะนะคุณ อยู่ห่างจากฝั่งตั้งเท่าไหร่ ดูไม่ได้หรอก”
“แล้วแกจะมีทีวีไว้ทำซากอะไร แล้วนี่เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง เรียบร้อยดีมั้ย”
“ก็ดี”
“แล้วนั่นมือแกไปโดนอะไรมา”
“ช่างเถอะ...ว่าแต่ผมต้องทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“จนกว่าฉันจะบอกให้หยุด”
สัญญาณชัดหน้านับดาวแว้บๆขึ้นมาในทีวีแว้บนึง แต่ซีซีกับยามาดะไม่ทันได้มอง หันกลับไปอีกทีก็สัญญาณซ่าอีกแล้ว ซีซีเดินไปปิดอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ไอ้เกาะบ้านี่ ฉันไม่อยู่แล้ว”
ซีซีเดินไม่พอใจออกไป ยามาดะมองแบบระอาใจ

เป็นไทกับนับดาวยังแถลงข่าวกันอยู่
“ตอนนี้ใครอยากจะถามอะไรมั้ยครับ เชิญถามได้เลยครับ”
วราพรรณยกมือแล้วถามขึ้น
“แล้วเรื่องข่าวคุณกับยูกิที่ลง จะอธิบายยังไงคะ”
“ไม่มีอะไรเลยครับ เป็นการเข้าใจผิดกันมากว่า”
วราพรรณหันไปถามนับดาว
“แล้วคุณละคะยูกิ จะไม่พูดถึงข่าวหน่อยเหรอ”
นับดาวอึ้งๆ
“ยูกิ...เมื่อกี้เรียกฉันว่ายูกิเหรอ นี่จำ...”
“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ”
นับดาวเริ่มสงสัยที่เธอมายืนอยู่ตรงนี้ เธอประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้น นิ่งเงียบไป วราพรรณเห็นเงียบไปก็ถาม
“ตกลงว่าไม่ตอบเหรอคะ”
เป็นไทเริ่มเป็นห่วง เห็นท่าทีนับดาวแปลกๆ
“ขอโทษทีนะคะ ฉันยังไม่เห็นรูปพวกนั้นเลย แต่มันไม่มีอะไรหรอก”
นักข่าวคนอื่นถามบ้าง
“แล้วกับคุณไคคุง แฟนนักธุรกิจของคุณ ได้เคลียร์กันรึยังครับ”
นับดาวหน้าตื่น
“ห๊ะ แฟน เอ่อ...ไม่มีอะไรต้องเคลียร์นี่คะ”
นักข่าวอีกคนถามเป็นไทบ้าง
“แล้วกับคุณแพรวไพลิน ลูกสาวเจ้าของหอประชุมชื่อดังละครับ”
แพรวไพลินยืนคาดหวังรอคำตอบจากเป็นไท
“ไม่มีอะไรต้องเคลียร์เหมือนกันครับ”
แพรวไพลินผิดหวังที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด นับดาวสะกิดเป็นไทแล้วกระซิบ
“ฉันอยากกลับแล้ว”
เป็นไทพยักหน้ารับ
“เอาเป็นว่าวันนี้ทุกคน คงได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆแล้วนะครับ เดี๋ยวผมคงต้องพาไอยูกิเข้าประชุมเกี่ยวกับคอนเสิร์ตต่อ ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มานะครับ”
วราพรรณวิ่งมาข้างหน้าเวที
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ขอถ่ายรูปคู่ก่อนค่ะ”
เป็นไทกับนับดาวยืนให้นักข่าวถ่ายรูป นับดาวจ้องหน้าวราพรรณ
“จำฉันไม่ได้จริงๆเหรอ”
วราพรรณงงๆ
“จำได้สิคะ คุณไอ ยูกิ”
นับดาวผิดหวังเล็กน้อยที่เพื่อนจำไม่ได้ เธอมองไปที่นักข่าวมากมายที่กำลังถ่ายรูปอยู่ เธอมองหน้าเป็นไท ไม่เข้าใจว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่เธอก็หันมายิ้มให้กล้องเป็นพิธี

นับดาว เดินกลับมาหลังเวทีอย่างไม่เข้าใจ เริ่มโวยวาย
“นี่ใครก็ได้อธิบายฉันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วนี่นายเป็นไทไปไหน”
“คุณไทให้สัมภาษณ์หนังสืออยู่ครับ” องอาจบอก
“งั้นบอกฉันมา เล่ามาทั้งหมด ทุกเรื่อง”
“ยูกิโมโหเรื่องข่าวที่หนังสือพิมพ์ลงใช่มั้ยครับ ยูกิยังไม่ทราบมาก่อนหรอกเหรอครับ”
“ยูกิอะไร ฉันไม่ใช...”
นับดาวยังพูดไม่จบ แพรวไพลินมาขัดจังหวะนับดาวพอดี
“สวัสดีค่ะคุณไอ ยูกิ”
นับดาวงงๆ
“แล้วนี่ใครอีกเนี่ย ฉันไม่เอาแล้วนะ งงไปหมดแล้ว”
“ฉันแพรวไพลิน เป็นแฟนของเป็นไทค่ะ”
“แล้ว...คุณจะอธิบายให้ฉันฟังได้มั้ยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น”
องอาจไม่สบายใจกลัวเกิดเรื่อง
“ผมว่าคุณแพรว ปล่อยให้ผมจัดการดีกว่านะครับ”
“ไม่ต้องยุ่งน่าองอาจ ผู้หญิงเขาจะคุยกัน...อยากจะให้ฉันอธิบายเรื่องไหนก่อนดีล่ะ”
“ก็ทุกเรื่อง”
แพรวไพลินเชิดหน้า
“งั้นฉันเริ่มเรื่องแรกที่คุณควรจะเข้าใจก่อนเลยนะ คือ พี่ไทมีแฟนแล้ว ซึ่งก็คือฉัน”
นับดาวไม่สนใจ
“แล้ว...”
“ดังนั้น เธอก็ไม่ควรจะมายุ่งกับแฟนของคนอื่น”
นับดาวยิ่งงงไปใหญ่
“ห๊ะ...”
“ฉันเข้าใจว่าเธอต้องทำงานกับเขา แต่ฉันก็แค่อยากจะบอกว่าให้ระวังตัวระวังใจไว้ อย่าอยู่ใกล้พี่ไทมากก็แล้วกัน มันจะได้ไม่ต้องเป็นข่าวขึ้นมาอีก”
“นี่คุณกำลังพยายามอธิบายหรือเพิ่มเรื่องให้ฉันปวดหัวกันแน่เนี่ย...เอาเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป ฉันไม่เอาด้วยแล้ว”
นับดาวไม่พอใจเดินออกไปจากห้อง องอาจพยายามจะห้ามไว้ แต่ก็ไม่ทัน

นับดาวเปิดประตูห้องแถลงข่าว เดินออกไป แต่เธอก็ต้องตกใจอีกครั้งกับกลุ่มแฟนคลับ ที่ถือป้ายไฟชื่อ ไอ ยูกิเป็นภาษาญี่ปุ่น ถือตุ๊กตา ดอกไม้ ของขวัญนานา พร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายรูปเธอกันใหญ่ ทุกคนเห็นเธอก็ส่งเสียงกรี๊ดสนั่นหวั่นไหว นับดาวได้แต่ยิ้มเก้ๆกังๆ ท่ามกลางเสียงระงมที่เรียกชื่อยูกิ พยายามโบกมือปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ทุกคนก็ไม่ฟัง ตะโกนบอกแต่ว่า น่ารักมาก นับดาวก็ได้แต่ยิ้มรับอายๆ
“ชมกันเกินไปป่าว เขินนะเนี่ย”
องอาจตามออกมา
“ขอโทษด้วยนะครับทุกคน ขอพายูกิเข้าไปก่อน”
องอาจพานับดาวเดินเข้ามาในห้อง เธอขืนๆไม่ค่อยอยากจะเดินเข้าไปเท่าไหร่ยังยิ้ม โบกมือให้แฟนๆ แล้วพานับดาวกลับเข้ามาในห้อง
“ผมขอโทษที ไม่ได้บอกคุณก่อนว่าแฟนคลับรออยู่ด้านนอก”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ แล้วนี่พาฉันเข้ามาทำไม”
“คุณอย่าไปถือสาคุณแพรวไพลินเลยนะครับ เธอก็เป็นแบบนี้แหละ”
“แพรวไพลิน...อ๋อ ยายคนเมื่อกี้น่ะเหรอ ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”
“แล้วเมื่อกี้ก่อนออกไปที่คุณบอกว่าไม่เอาด้วยแล้ว นี่คุณพูดถึงเรื่องอะไรเหรอครับ”
เสียงตะโกนเรียกชื่อยูกิของแฟนคลับด้านนอก ดังเข้ามาด้านใน นับดาวนึกถึงเสียงที่แฟนคลับโกนบอกว่ารัก และชื่นชมยูกิ มีดอกไม้ มีของขวัญยื่นให้เต็มไปหมดทุกคนถ่ายรูปเธอ เห็นค่าของเธอ แล้วนับดาวก็นึกถึง ภาพของเธอที่หน้าขาวในงานของเป็นไทครั้งก่อน มีแต่คนหัวเราะเยาะ ตอนเธอไปทำงานประชาสัมพันธ์ในห้างก็มีแต่คนนินทา นับดาวนิ่งคิด
“ฉันพูดแบบนั้นออกไปเหรอ สงสัยฉันจะเบลอละมั้ง”
นับดาวทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ค่ำนั้น...นับดาวเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้อง ไม่มีอารมณ์จะทำอะไร บนโต๊ะเธอมีนิตยสารเอเชี่ยนฮิต หน้าปกยูกิวางอยู่ นับดาวมองหนังสือแล้วก็มองหน้าตัวเองในกระจก
“ก็เหมือนจริงๆแฮะ” เธอวางหนังสือลงอย่างเซ็งๆ “ฉันกะอยู่แล้วเชียว ว่าคนอย่างนายเป็นไท อยู่ๆจะมาทำดีกับฉันได้ยังไง ถ้าไม่มีผลประโยชน์ นายนี่นี่มันร้ายจริงๆ”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น วราพรรณเปิดประตูเข้ามาไม่รอให้นับดาวอนุญาต ท่าทางอารมณ์ดี
“นี่ แกรู้มั้ย วันนี้ฉันไปทำข่าวใครมา”
นับดาวทำไม่รู้
“ใครล่ะ”
“ทำไมแกพูดไม่ชัดงั้นวะ”
“ไปอุดฟัน หมอดันฉีดยาผิดไปโดนเส้นประสาทโคนลิ้น เจริญดีมั้ยล่ะ”
วราพรรณหัวเราะ
“ตลกว่ะ แต่ช่างเถอะ” วราพรรณหยิบเอเชี่ยนฮิตของนับดาวขึ้นมา ชี้อยูกิ “ฉันไปทำข่าวไอ ยูกิมาเว้ย คนนะเยอะมากเลย แต่ตัวจริงเขานะ สวยมากเลยแก”
“เหรอ สวยกว่าฉันป่ะ”
“แน่นอนสิ เขาเป็นดารานะเว้ย”
นับดาวแย่งเอเชี่ยนฮิตมาจากเพื่อน เอามาเปรียบเทียบกับหน้าตัวเอง
“ไหนแกลองพูดมาซิ ว่าฉันกับยายไอ ยูกิเนี่ย ดูเหมือนกันมั้ย”
“อืมม ก็คล้ายๆนะ”
“แค่คล้ายเองเหรอ แกลองถอดความเป็นดาราของไอ ยูกิออก แล้วก็ลืมความทุเรศของฉันไปซิ เหมือนกันมั้ย”
“โอ๊ยฉันถอดไม่ออกหรอก ฉันฝังใจไปแล้วว่าไอ ยูกิเขาเป็นดาราดัง ส่วนแกฉันก็รู้จักตั้งแต่เป็นเด็กๆแล้วนี่ เออ จริงๆ มันก็คล้ายแหละ คล้ายมาก พอใจยัง”
“ไม่พอ...ถ้าคล้ายแล้วทำไมชีวิตมันถึงได้แตกต่างกันนักวะ คนหน้าเหมือนกัน แท้ๆ”
“เคยได้ยินมั้ยแข่งอะไรก็แข่งได้ แต่อย่าไปแข่งบุญแข่งวาสนา จะเอาอะไรวะ”
“แกดูตัวเองดิ หมอยังฉีดยาผิดเลย งานก็ไม่มีทำ อย่าไปเปรียบเทียบให้มันทุกข์ใจเลยว๊า”
“นี่ไง...เพราะแบบนี้นี่ไงฉันถึงอยากจะทำต่อ ฉันอยากจะออกไปจากชีวิตบ้าๆนี่ไง”
“ทำอะไรของแกวะ”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
นับดาวทำไม่รู้ไม่ชี้ วราพรรณก็ไม่ได้สงสัยอะไร

ยูกินอนห่มผ้าตัวสั่น ร้องไห้ไม่ยอมกินอะไร ยามาดะเปิดประตูเข้ามาในห้อง ยูกิผวาลุกขึ้นนั่ง
“ทำไมไม่ยอมกินอะไรบ้าง”
“ไม่หิว”
“อยากจะอดตายรึไง”
“ใช่”
“อากาศร้อนจะตาย ทำไมต้องห่มผ้าด้วย”
“หนาว”
ยามาดะเอามือมาจับหน้าผากยูกิ
“ตัวร้อนนี่”
“ดีจะได้ตายๆไปซะ”
“อยากตายนักรึไง”
“ใช่ ฉันไปทำอะไรให้คุณเหรอ ถ้าเกลียดฉันนักก็ฆ่าฉันเลยสิ จับฉันมาขังไว้ทำไม”
ยามาดะโมโห ล็อคแขนยูกิ ดันไปติดกำแพง
“อย่าคิดว่าผมไม่กล้าทำนะ”
“จะรออะไรอยู่ล่ะ ลงมือเลยสิ”
ยามาดะโมโห เอามือข้างที่พันผ้าพันแผลต่อยกำแพงเฉียดหน้ายูกิเพื่อขู่ ทำเอายูกินิ่งไปได้เหมือนกัน เมื่อเห็นเลือดค่อยๆซึมจากผ้าพันแผลออกมา ยามาดะจ้องหน้ายูกิแล้วเดินออกไป ยูกิยังนิ่งกับการกระทำยามาดะ...ยามาดะล็อคประตูห้องเสร็จ เขาเห็นเลือดตัวเอง
“เลือด...”
ยามาดะเป็นลมไปอีก

เป็นไทกับองอาจถือแก้วไวน์ชนกัน กริ๊งทั้งคู่ดูมีความสุข
“ฉลองให้กับก้าวแรกที่สำคัญของอิสสยาม”
เป็นไทเหล่ๆ
“ทำอย่างกับวันนี้เป็นวันฉลองหลังคอนเสิร์ตยูกิจบงั้นแหละ”
“อ้าว เราต้องฉลองไปเรื่อยๆ ให้กำลังใจตัวเองครับคุณไท”
“ก็แล้วแต่คุณละกัน”
“ผมนะ ลุ้นแทบแย่ว่าคุณจะเจอยูกิจังมั้ย แล้วตกลงว่าไปเจอที่ไหนครับ”
“ปากคลองน่ะ”
“ลอยไปติดโป๊ะแถวนั้นเหรอครับ...คนบ้าอะไรหายไปตั้งหลายวัน ไปอยู่ปากคลองตลาด” องอาจประชด
“ผมก็ไม่รู้ บังเอิญเจอน่ะ ไม่คิดจะเจอเหมือนกัน”
“แต่ผมว่ากลับมาคราวนี้ยูกิจังดูแปลกๆนะครับ”
“แปลกยังไง”
“ท่าทางดูตื่นคนยังไงไม่รู้ ยังกับคนที่แบบ ไม่ค่อยมีใครคบ แล้วไม่เคยเจอผู้เจอ คนยังไงยังงั้น”
“คงตื่นเต้นมากกว่าละมั้ง”
องอาจยังไม่คลายความสงสัยนัก แต่แพรวไพลินเข้ามาขัดเสียก่อน
“ฉลองอะไรกันอยู่คะ พอดีเลย แพรวซื้ออาหารอิตาเลี่ยนมาด้วย ขอฉลองด้วยคนนะ”
เป็นไทกับองอาจมองหน้ากันอย่างรู้กันว่าหมดสนุกแล้วทีนี้

เป็นไทนั่งอยู่ที่โต๊ะริมระเบียง แพรวไพลินบริการอาหารเครื่องดื่มมาถึงที่
“มาแล้วค่ะพี่ไท สปาเก็ตตี้ซอสกุ้ง เจ้านี้อร่อยมากเลยนะคะ”
เป็นไทยิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ”
“แพรวรู้ว่าพี่ไทเหนื่อยมาทั้งวัน คงยังไม่ได้ทานอะไร แพรวเลยซื้อมาฝากน่ะค่ะ”
“แต่พี่แวะทานกับองอาจอิ่มตื้อเลย”
“อ้าว...งั้นก็ดี แพรวจะได้ทิ้งมันไปเลย”
แพรวไพลินถือจานจะเททิ้งที่ระเบียงลงไปชั้นล่าง เป็นไทรีบห้าม
“อย่านะแพรว”
“พี่ไทจะทานแล้วใช่มั้ยคะ”
“ทิ้งไปตรงนั้นจะโดนหัวคนข้างล่างเขา เอาไปทิ้งถังขยะสิ”
“พี่ไท...ไม่คิดจะกินมันซักหน่อย ให้สมกับที่แพรวลำบากไปซื้อมาเลยเหรอคะ”
แพรวไพลินงอน เป็นไทระอาใจ

นับดาวพยายามนอนแต่ก็นอนไม่หลับ มีเรื่องให้คิดในหัวเต็มไปหมด เธอครุ่นคิดเรื่องยูกิ
“ถ้าฉันไปแทนที่ไอ ยูกิ แล้วไอ ยูกิ ตัวจริงอยู่ที่ไหน ฉันจะถามเรื่องนี้จากใครได้บ้างละเนี่ย...แล้วจะถามได้ไงล่ะก็ทุกคนคิดว่าฉันคือไอ ยูกินี่ เฮ้อ...เธอไปทำอะไรที่ไหนนะไอ ยูกิ”
นับดาวสับสนไปหมด ว่าเธอจะเอายังกับชีวิตเธอดี

เป็นไทยังทะเลาะกับแพรวไพลิน
“พี่ไทน่ะ อะไรๆก็ยูกิ แพรวเบื่อ...แล้วนี่แพรวก็ขับรถไปตั้งไกลเพื่อจะซื้อให้พี่ไทกิน แต่พี่ไทก็ปฏิเสธโดยไม่แคร์ความรู้สึกแพรวเลย ลองถ้าเป็นยูกิซื้อมาสิ”
เป็นไทเบื่อๆ
“แพรว...พี่มีเหตุผลให้แพรว 3 ข้อนะ”
“อะไรก็พูดมาสิคะ”
“ข้อหนึ่ง พี่อิ่มมาก ถ้าพี่กินเข้าไปคงจะอ้วกออกมาให้แพรวห่อกลับบ้านแน่ๆข้อสอง พี่ไม่ได้บอกให้แพรวซื้อมา และข้อสาม แพรวไม่ได้ไปซื้อเอง แพรวให้คนรถไปซื้อ...พี่รู้”
แพรวไพลินเถียงไม่ออก
“พี่ไทอ่ะ ไม่ว่ายังไงก็สรุปว่าพี่ไทไม่แคร์แพรวอยู่ดี”
“แล้วพี่มีคำถามถามแพรวอีก 2 ข้อนะ”
“อะไรคะ”
“ข้อหนึ่งนะ ไหนแพรวบอกว่าแพรวรู้พี่เหนื่อยมาทั้งวัน ทำไมแพรวยังมาง้องแง้งกับพี่อีก นี่แพรวรู้ แต่ไม่เข้าใจใช่มั้ย”
“ก็แพรวเป็นผู้หญิงนี่คะ มันก็ต้องมีงอนบ้างเป็นธรรมดา...ก็ได้ค่ะ แพรวไม่งอนก็ได้”
“คำถามข้อสอง พี่ขอกุญแจห้องพี่ ที่แพรวแอบไปปั๊มคืนได้มั้ย พี่ตกใจทุกทีที่อยู่ๆแพรวก็โผล่เข้าโผล่ออกห้องพี่เหมือนห้องตัวเอง”
“แต่เราเป็นแฟนกันนะพี่ไท”
“เราเป็นแฟนกันแต่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันนะครับ ต้องให้เกียรติกันบ้าง ไม่งั้นพี่ก็ขอปั๊มกุญแจบ้านแพรว กุญแจห้องพ่อแม่แพรว กุญแจตู้เซฟต้นตระกูลแพรวบ้างก็ได้งั้นสิ หรือจะเอาแบบนั้นดี”
“พี่ไทอ่ะ”
แพรวไพลินหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงคืนเป็นไท 1 พวง เป็นไทหยิบมาดู
“นี่ปั๊มกระทั่งกุญแจห้องน้ำเลยเหรอเนี่ย”
เป็นไทกระดิกนิ้วเป็นสัญญาณให้เธอส่งมาอีก แพรวไพลินหน้าจ๋อย หยิบจากกระเป๋าถือ ส่งคืนไอ้อีก 1 พวง เป็นไทกระดิกนิ้วบอกให้ส่งมาอีก แพรวไพลินหน้าจ๋อย ถอดส้นสูง เปิดแผ่นรองรองเท้าออก ในนั้นมีกุญแจซ่อนไว้อีกพวง เธอยื่นมันคืน เป็นไทรับมา กำกุญแจสามพวงไว้
“สามพวง นี่เยอะกว่ากุญแจที่พี่มีอีกนะ”
แพรวไพลินหน้าเสีย
“แพรวก็แค่...”
เป็นไทเห็นสร้อยคอของเธอ
“นี่สร้อยอะไรน่ะ” เขาหยิบสร้อยขึ้นดู กลายเป็นว่ามีกุญแจอีกดอกแขวนไว้ที่คอ “นั่นแน่ นึกว่าพี่รู้ไม่ทันเหรอ”
“แหม นี่ก็แค่กุญแจห้องนอนให้แพรวเก็บไว้ไม่ได้เหรอ ยังไงก็ไม่มีกุญแจด้านนอกเข้าอยู่แล้ว”
“ไม่ได้ เอาคืนมา”
แพรวไพลินถอดสร้อยให้อย่างไม่เต็มใจนัก
“เอากุญแจคล้องคอ คิดว่าตัวเองเป็นเด็กหอรึไง ไฮโซจริงป่ะเนี่ยเรา”
แพรวไพลินเสียดายกุญแจ เป็นไทลูบหัวปลอบใจเอ็นดูเหมือนน้องสาว ไม่นานนัก แพรวไพลินเดินยิ้มออกมาจากห้องเป็นไท
“คิดว่าจะรู้ทันแพรวไปได้หมดทุกเรื่องเหรอพี่ไท หึ หึ หึ”
ว่าแล้วเธอก็กระดกลิ้นหยิบกุญแจที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้นออกมาอีกหนึ่งดอก มองอย่างภูมิใจที่เธอยังเก็บกุญแจเป็นไทไว้ได้ แล้วเดินไปอย่างมีความสุข

เช้าวันใหม่...รจนาไอโขลกนอนอยู่บนโซฟา เปิดทีวีดูอยู่ นับดาวลงมาเห็นย่านอนป่วยก็มองอย่างเป็นห่วง รจนาไม่มีเสียงแต่นับดาวถนัดในการอ่านปากอยู่แล้ว...นับดาวไม่ได้สังเกตตัวเองว่าเสียงของตนเองกลับมาเป็นปกติ พูดชัดเหมือนเดิมแล้ว
“ย่า...ไปหาหมอกันมั้ย”
รจนาขยับปากไม่มีเสียง
“เดี๋ยวก็หาย”
“นี่มันเดี๋ยวก็หายมาหลายวันแล้วนะย่า แล้วไม่มีเสียงแบบนี้จะไปร้องเพลงได้ยังไง”
รจนาขยับปาก
“ไม่ต้องห่วง เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
“จ้า...หนูน่ะเอาตัวเองรอดอยู่แล้ว หนูได้เป็นดาราแล้วนะ”
“ให้มันจริงเถ๊อะ”
“ไม่เชื่อรอดูข่าวในทีวีสิ”
“แล้วแกไปทำอะไร”
“ก็...แสดงละครเป็นคนอื่น”
ขณะเดียวกันนั้น ข่าวบันเทิงในทีวีก็รายงานข่าวการแถลงข่าวของยูกิพอดี
“นั่นไง นั่นไง มาแล้ว” นับดาววิ่งมานั่งหน้าจอ “พออยู่ในทีวีนี่ก็สวยเหมือนกันนะเราใช่มั้ยย่า”
รจนาเห็นแคปชั่นใต้ภาพที่เขียนว่า “ยูกิ ซุปเปอร์สตาร์ชาวญี่ปุ่นคนดัง แถลงข่าวคอนเสิร์ต” รจนามองหน้าหลานสาว นับดาวดีใจ
“ได้ออกทีวีแล้ว ได้ออกทีวีแล้ว เห็นมั้ยย่า”
รจนามอง นับดาวที่จ้องทีวีไม่วางตาอย่างเวทนา

สายวันนั้น...นับดาวเดินไปตามถนนในตลาด เธอทำเชิด เพราะคิดว่าทุกคนจะต้องทักว่าเธอเป็นดารา แต่ก็ไม่มีใครทักเธอซักคน แถมมอเตอร์ไซค์ยังขี่รถดีดโคลนใส่เธออีก
“เฮ้ย แกขับรถยังไงของแกเนี่ย ฉันซุปเปอร์สตาร์นะเว้ย ให้มันรู้ซะบ้าง”
ชาวบ้านแถวนั้นต่างก็มองแล้วหัวเราะเยาะเธอกันใหญ่
“จำฉันไม่ได้รึไง ฉันออกทีวีนะ”
ชาวบ้านไม่มีใครสนใจนับดาวเลย ต่างก็หันไปทำกิจกรรมของตัวเอง นับดาวเซ็ง

นับดาวเดินเข้ามาในร้านเช่าชุดอย่างเซ็งๆ เจ้าของร้านเห็นนับดาวก็ทัก
“ลื้อนี่หน้าคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
“ในทีวีใช่ป่ะ ดารานะเนี่ยเรา”
เจ้าของร้านจำได้
“รู้แล้ว หลานอารจนาใช่มั้ย”
นับดาวเซ็งๆ
“ย่าไม่สบายให้หนูมาเฝ้าร้านแทน”
“ดีเลย อั๊วะฝากเงินเดือนไปให้ย่าเอ็งด้วย”
“ได้ค่ะ”
เจ้าของร้านยื่นซองเงินเดือนให้
“นี่นะ สี่พันสองร้อยบาท”
“สี่พันสองเองเหรอคะ”
“อีเบิกไปใช้ก่อนเมื่อตอนต้นเดือนแล้ว เดือนนี้ก็เหลือแค่นี้แหละ”
“อ๋อ ค่ะ”
“อั๊วะฝากร้านด้วยนะ”
เจ้าของร้านถือกระเป๋าเดินออกจากร้านไป นับดาวถอนหายใจมองเงินในมือ
“เงินแค่นี้จะไปพออะไรกับค่าหมอ แค่ค่ากินคนสองคนยังไม่รอดเลย” นับดาวตีหัวตัวเอง “บื้ออยู่ได้ ทำอะไรซักอย่างสิ”

นับดาวรู้สึกกลุ้มใจ










Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 11:37:14 น.
Counter : 254 Pageviews.

0 comment
ฉันรักเธอนะ ตอนที่ 2



นับดาวกับวราพรรณเดินผ่านหน้าห้องน้ำในห้างสรรพสินค้า นับดาวหันไปบอกเพื่อน

“เออ นุ้ย...แกไปธุระก่อนเลย เดี๋ยวฉันเดินตามไป ขอเข้าห้องน้ำก่อน”
“ได้...ฉันอยู่ทางโน้นนะ”
วราพรรณชี้บอกแล้วเดินไป นับดาวกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ เดินสวนกับยามาดะที่ท่าทางมึนๆแฮงค์ๆ ทั้งคู่สบตากันพอดี เธอจำเขาได้
“นายคนเมื่อคืน”
ยามาดะไม่ทันตั้งตัวที่ได้เจอนับดาวนึกว่าเป็นยูกิ
“แกอย่าทำอะไรฉันนะ ฉันไม่รู้จักแก ไม่เคยทำอะไรให้แกเลย”
ยามาดะได้ยินว่าไม่รู้จักก็โกรธ
“ตกลงเราจะไม่รู้จักกันจริงๆใช่มั้ย ดี...ผมจะได้ตัดสินใจทำอะไรง่ายขึ้น”
นับดาวตื่นกลัว
“ทำอะไร แกจะทำอะไรฉัน แกเห็นฉันสวย ฉันเอ็กซ์ ใช่มั้ย แกคิดจะข่มขืนฉันใช่มั้ย”
นับดาวถอยหนี ยามาดะเดินตาม
“อย่าคิดมากเลยน่า ผมไม่ได้จะข่มขืนคุณ ผมก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
“ฉันไม่เชื่อ หน้าแกหื่นขนาดนี้ อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ”
นับดาวพยายามหนี ยามาดะเข้ามารวบเอวจากด้านหลัง เอามือปิดปากไว้ เธอพยายามดิ้นสุดแรงเกิดเอามือเขาที่ปิดปากเธอออกแล้วตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย รปภ. มีคนจะข่มขืนฉัน”
คนเริ่มหันมามอง ยามาดะเห็นท่าไม่ดี เลยรีบวิ่งหนีไป รปภ.มาก็ไม่เจอใครแล้ว นับดาวชี้ไป
“มันไปทางนั้นแล้ว”
รปภ.รีบวิ่งตามยามาดะไป นับดาวเห็นคนมอง เธอรู้สึกอายจึงรีบออกไปจากตรงนั้น

นับดาวรีบเดินมาหาวราพรรณที่กำลังนับยอดนิตยสารบันเทิงไท
“3 4 5 6”
นับดาวเข้ามาบอกอย่างตื่นเต้น
“นุ้ย...แกต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าเมื่อกี้ฉันเจออะไร”
“ไม่เชื่อ”
“โอ๊ย...ยังไม่ได้ฟังเลย”
“จะเล่าก็เล่าสิ จะถามทำไม”
วรพรรณนับต่อไม่สนใจเพื่อน
“แกจำคนเมื่อคืนที่ไปอาละวาดที่โต๊ะเราได้มั้ย เมื่อกี้มันจะข่มขืนฉัน ความสวยฉันคงเตะตามันจริงๆ”
“เว่อร์ละ ใครเขาจะข่มขืนคนกลางห้าง”
“จริงๆมันล็อคฉันจะพาฉันเข้าไปห้องน้ำ ดีนะฉันฉลาดเลยรอดมาได้”
วราพรรณยังนับต่อไม่สนใจเพื่อน
“แล้วเขาจับมันได้มั้ยล่ะ”
“ไม่รู้สิ” นับดาวส่ายหน้า
ทางด้านยามาดะวิ่งหนีมาแผนกชุดฉันใน รปภ.ไล่ตามมาติดๆ ยามาดะหลบหลังหุ่นชุดชั้นใน แล้วเขาก็คิดอะไรออกว่าควรจะทำไงดี
รปภ.ยังวนเวียนหาอยู่หน้าแผนกชุดชั้นใน ยามาดะเอาวิกกับชุดที่หุ่นมาใส่ กลายเป็นผู้หญิงล่ำหนวดเฟิ้มผมยาว พันเฟอร์สีชมพูที่คอเดินออกมา เขาพยายามเอามือปิดหน้าโจรๆของตัวเองไว้ แล้วเดินผ่านรปภ.ไป โดยที่รปภ.ไม่ได้สังเกต
ยามาดะวิ่งหนีมาหน้าห้างเขาหยุดพักเหนื่อย แล้วถอดวิกถอดเฟอร์ออก
“หมด...มาดยากูซ่าที่สั่งสมมา...” ยามาดะเขวี้ยงวิกกับเฟอร์ทิ้งอย่างเจ็บใจ “เธอทำฉันแสบมากยูกิ ฉันไม่มีวันใจอ่อนกับเธออีกแล้ว”
ยามาดะวิ่งออกไปอย่างอับอายสุดๆ

นับดาวยังตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด พยายามจะเล่าให้เพื่อนฟัง แต่วราพรรณก็ดูไม่สนใจเอาซะเลย
“แกเคยมั้ยที่แบบตื่นเต้นมากๆ ทำอะไรไม่ถูกอ่ะ แต่ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้น”
วราพรรณยังนับหนังสืออยู่
“อืม”
“เฮ้ย...นี่แกฟังฉันอยู่มั้ยเนี่ย”
วราพรรณง่วนกับการนับ นับดาวเห็นเพื่อนไม่สนใจก็หงุดหงิด
“งั้นฉันเล่าต่อนะ มันพาพวกมา 3 คน ฉันน่ะร้องตะโกนให้คนช่วยเป็นสิบ ยี่สิบครั้งเลยนะ พอคนเริ่มเห็นมันก็เอามีดมาจี้คอฉัน พาฉันฝ่าฝูงคนออกไป ผ่านไปร้อยคน พันคน หมื่นคน ผ่านร้าน 12 ร้าน...”
“พอแล้ว ฉันนับผิดตั้งแต่แกพูดเลข 3 แรกแล้ว”
“ก็แกไม่ฟังฉัน เพื่อนเกือบตายนะเว้ย”
“แล้วแกดูท่าเหมือนคนเกือบตายมั้ยล่ะ...นี่ฉันนับถึงไหนแล้วเนี่ย”
“นี่แกทำอะไรเนี่ย เมื่อไหร่จะเสร็จ”
“มาเช็คยอดหนังสือว่าขายไปแค่ไหนแล้ว”
“หน้าที่นักข่าวเหรอวะ”
“ไม่ใช่ แต่เขาให้ทำอะไรก็ทำๆไปเถอะ ถือเป็นการเรียนรู้”
“ใช้งานนอกเหนือหน้าที่แบบนี้ เขาจ่ายเงินแกป่าววะ”
“ก็บอกแล้วไง ถือเป็นการเรียนรู้ นี่เขาไม่คิดเงินเพิ่มก็ดีแล้วนะ”
“หืม...แกพูดแบบนี้ ฉันก็ดูเห็นแก่ตัวเลยสิเนี่ย”
วราพรรณหันไปนับต่อไป นับดาวยืนเซ็งๆ

เป็นไทค้นหาของอยู่บนรถของตัวเอง ที่จอดอยู่ในลานจอดรถของคอนโด
“แผ่นคอนเสิร์ตยูกิไปไหนวะเนี่ย บนห้องก็ไม่มี”
ขณะเดียวกันนั้น มอเตอร์ไซค์ของวราพรรณ ที่มีนับดาวซ้อนก็ขับเฉียดหน้ารถเขาไป เป็นไทไม่สังเกตเห็น ยังหาของต่อไป
วราพรรณจอดมอเตอร์ไซค์บริเวณลานจอดรถ ไม่ไกลจากรถเป็นไทเท่าไหร่ เธอถอดหมวกกันน็อค นับดาวลงมายืนยังไม่ถอดหมวกกันน็อค
“ทำไมธุระแกเยอะจัง ไม่เสร็จซักที ฉันจะได้เป็นดารามั้ยเนี่ย”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าตามมา ยังจะบ่นอีก”
“ที่นี่นานมั้ย”
“มาเอาไฟล์เอกสาร แป๊บเดียว แกรอตรงนี้แหละ”
“ก็ดี”
“เอาน่า...สถานีต่อไปแกก็ได้เป็นดาราแล้ว”
นับดาวดีใจ
“เออๆ เร็วๆนะ”
“แล้วอย่าไปเล่นอะไรแผลงๆล่ะ เดี๋ยวหมดสวย”
“บ้า ฉันไม่ใช่เด็กนะแก”
วราพรรณเดินไป นับดาวนั่งบนมอเตอร์ไซค์รอ บริเวณนั้นมีคนกำลังทาสีผนังอยู่ไม่ไกล พอวราพรรณออกไป เป็นไทหาเอกสารอยู่ในรถก็เสร็จธุระ ปิดประตูรถ ล็อคแล้วเดินมาทางนับดาว พอดีกับที่นับดาวทำกุญแจตกแล้วก้มลงไปเก็บพอดี เป็นไทก็เดินผ่านไปแบบเซเล็กน้อย ทั้งคู่ไม่เห็นกัน...เป็นไทเดินผ่านมาแล้วก็นึกอะไรขึ้นได้
“เฮ้ย...วันนั้นองอาจมันเอาใส่ไว้ในซองน้ำตาลหลังรถนี่หว่า”
เป็นไทเดินกลับไปที่รถอีกที คราวนี้เขาเห็นนับดาวเต็มๆ เขารีบหลบเพื่อตั้งสติทันที
“ไอ้เด็กแว๊นคนนั้นนี่หว่า”
เป็นไทชะโงกไปดูอีกที
“ชัดเลย หมวกอันนี้ รถคันนี้...หึ..หึ..หึ ไม่คิดเลยว่านาทีของการล้างแค้นจะมาถึงเราเร็วขนาดนี้”
เป็นไทมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะแก้แค้นด้วยวิธีไหนดี แล้วเขาก็หันไปเห็นคนที่กำลังทาสีอยู่ ก็ยิ้มออกมาอย่างมีแผนพร้อมกับหัวเราะในคอ

เป็นไทแอบหยิบถังสีกับแปรงทาสีที่วางสำรองของช่างมาอย่างเงียบๆ...นับดาวนั่งรอวราพรรณอย่างเซ็งๆเธอเปิดกระจกหมวกกันน็อคชะเง้อมองเพื่อน
“แป๊บเดียวอะไรเนี่ย หัวฉันลีบหมดแล้วมั้งเนี่ย”
ทันใดนั้นมีคนเอามือมาเคาะหมวกกันน็อคจากด้านหลัง นับดาวคิดว่าเป็นวราพรรณ รีบหันไป เป็นไทเอาแปรงทาสีที่จุ่มสีจนชุ่มละเลงหน้าเธอ ผ่านกระจกที่เปิดอยู่ของหมวกกันน็อค นับดาวตกใจหลับตาปี๋ นึกว่าวราพรรณแกล้ง
“เฮ้ย...ทำอะไรน่ะ เดี๋ยวเข้าตานะเว้ยแก”
เป็นไทหัวเราะ
“เป็นไงล่ะไอ้เด็กแว๊น ทีนี้แกเข้าใจรึยังว่าเวลาแกล้งคนอื่นแล้วเขารู้สึกยังไง”
นับดาวถอดหมวกกันน็อคออก แต่สีเลอะหน้าเธอจนจำเขาไม่ได้
“แกเป็นใครน่ะ มาทำฉันแบบนี้ทำไม”
“นี่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรอกนะ ไม่งั้นผมบ้องหูเหมือนที่คุณทำกับผมไปแล้ว”
นับดาวได้ยินเป็นไทพูด ก็ปาดสีออกจากตา หรี่ตามอง
“นี่คุณเองเหรอ”
“ใช่...ผมเอง คิดว่าเป็นใครล่ะ สร้างศัตรูไว้เยอะน่ะสิ”
นับดาวอยากจะร้องไห้
“คุณไม่รู้หรอกว่าคุณทำอะไรลงไป”
“รู้สิ...เพราะผมตั้งใจ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับที่คุณทำกับผม” เป็นไทเอาสีป้ายตามชุด ตามแขนนับดาวอีก “นี่ นี่...สมน้ำหน้า”
นับดาวทรุดลงไปนั่ง
“สีพลาสติกล้างยากหน่อยนะ คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ถือว่าหายกันก็แล้วกัน”
เป็นไทเดินเฉิบๆออกไป ปล่อยให้นับดาวนั่งเปื้อนสีทั้งหน้า ทั้งตัว ทั้งชุด นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้น...เป็นไทเดินยิ้มมีความสุขกลับห้อง
“ได้แก้แค้นปุ๊บ รู้สึกว่าตัวเองหายเป็นปกติทันทีเลย หึ หึ หึ”
เขาเดินยิ้มควงกุญแจรถ มีความสุข

วราพรรณเดินมายังรถตัวเองที่จอดอยู่ที่ลานจอด
“เสร็จละ ไปเหอะ” วราพรรณเห็นนับดาวกอดเข่าเอาหน้าฟุบร้องไห้อยู่ก็ตกใจ “เฮ้ย เป็นไร”
นับดาวหันหน้ามาหาหน้าเปื้อนสี ร้องไห้จ๊าก วราพรรณถอนใจ
“บอกแล้วไงว่าอย่าเล่นอะไรแผลงๆ สภาพนี้ถ้าไปหาเจ้านายฉัน เขาคงไล่แกไปก่อสร้างมากกว่าเป็นดารา”
นับดาวสะอื้น
“ไอ้นั่นมันทำฉัน ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว”
วราพรรณคิดๆประมวลผล
“ถ้าให้ฉันเดา ช่างทาสีมันข่มขืนแกใช่มั้ย”
“ไม่ใช่...ไอ้คนนั้นที่มันขับรถชนฉัน”
“ตกลงคนนั้นมันข่มขืนแก”
“ไม่ใช่ มันแกล้งฉัน มันเอาซุปเปอร์สตาร์ไปจากฉันแล้ว”
“ไม่เป็นไรเว้ย เอาไว้นัดใหม่วันหลังก็ได้”
“ก็แกบอกเองว่าเจ้านายแกหาคิวพบยาก แถมถ้านัดไม่เป็นนัดจะเสียเครดิตไง”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันพยายามใหม่ ไม่ต้องร้องไห้นะเว้ย”
วราพรรณได้แต่ปลอบเพื่อน นับดาวร้องไห้เสียใจเหมือนเด็กๆ

เย็นนั้น นับดาวหน้าเปื้อนสีที่ยังล้างออกไม่หมด นั่งเซ็งๆอยู่บนโต๊ะกินข้าว รจนากลับมาบ้าน ซื้อของทำกับข้าวมาเต็มไปหมด
“ว่าไงล่ะแม่ดารา แล้วนั่นหน้าไปโดนอะไรมา เขาให้เล่นไอ้มดแดงรึไง”
นับดาวหน้าหงิกงอ
“ยังไม่ได้เป็น”
“เห็นหน้าก็รู้แล้ว”
“แต่มันไม่ใช่เพราะหนูหรอกนะย่า”
“จะเพราะใคร เราก็ยังไม่ได้เป็นอยู่ดี”
“แต่หนูจะต้องเป็นให้ได้ในวันนึงล่ะ”
“ไม่คิดว่ากำลังฝันเกินตัวไปเหรอเรา ดูเราซิ งานยังไม่มีทำเลย เงินนี่ไม่ต้องพูดถึง ถ้าย่าตายไปจะทำยังไง ทำอะไรที่มันใกล้ตัวก่อนดีมั้ยลูกเอ้ย”
“หนูเลิกฝันไม่ได้หรอกย่า ความฝันมันคือชีวิตหนู”
“งั้นก็แวะมาอยู่กับความจริงบ้างก็ดีนะ...ที่ย่าพูดเนี่ย เพราะเป็นห่วงนะ อยากให้เราดูแลตัวเองได้ ย่าจะได้ตายตาหลับ”
“ย่าน่ะ เอาเรื่องตายมาดับฝันหนูตลอดเลย หนูสัญญาว่าจะหางาน แต่ย่าก็ต้องสัญญาว่าจะไม่บอกให้หนูหยุดฝันเหมือนกัน”
รจนาถอนหายใจกับพฤติกรรมของหลานสาว ก่อนจะเดินออกไป นับดาวหันไปเห็นพริกแห้งที่ย่าซื้อมาในถุง เธอมองมันอย่างคั่งแค้น

สังวรณ์ร้องคาราโอเกะเพลงเกาหลีอยู่อย่างเมามันทั้งร้องทั้งเต้น ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น สังวรณ์เสียอารมณ์ที่มีคนขัดจังหวะ ปิดเพลงแล้วมานั่งที่โต๊ะ ทำเสียงเข้ม
“เข้ามา”
วราพรรณเปิดประตูเข้ามา
“อ้าว...คุณนั่นเอง” สังวรณ์มองๆ “ไหนบอกจะพาเพื่อนที่หน้าเหมือน ไอ ยูกิมาไง”
“คือเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“ดีจัง อยากเป็นดาราแต่เบี้ยวคนจะให้โอกาสซะงั้น คงจะดังหรอกนะแบบนี้”
“มีอุบัติเหตุจริงๆค่ะ”
“ผมไม่สนหรอก ใครจะเป็นจะตาย แล้วนี่ไม่ได้พาเพื่อนมาแล้วมาทำไม”
“คือฉันมีสิ่งที่คิดว่าคุณซังวอนน่าจะสนใจมาให้ดูน่ะค่ะ”
“สิ่งที่ผมน่าจะสนใจเหรอ คุณคงไม่ทำผมผิดหวัง 2 ครั้งติดกันหรอกนะ ผมเกลียดความผิดหวังเป็นที่สุด”
สังวรณ์มองวราพรรณอย่างกดดัน

นับดาวหยิบกระปุกเกลือวางบนโต๊ะ แล้วหยิบพริกแห้งจากถุงออกมา ตักเกลือใส่ช้อนแล้วบี้พริกรวมไปกับเกลือบนช้อน พร้อมกับจุดไฟแช็คเผาหน้าตาเธอเคียดแค้นมาก
“แกทำให้ฉันไม่ได้เป็นดารา ฉันก็ขอให้แกไม่ประสบความสำเร็จในความฝันของแก...” นับดาวจริงจังมาก “แกทำให้ฉันตกงาน ฉันก็ขอให้แกไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเหมือนกัน”
ไฟลุกไหม้ในช้อน นับดาวมองอย่างคั่งแค้น

วราพรรณหยิบรูปปาปารัชชี่ ที่เธอถ่ายยูกิ กับเป็นไทที่โรงพยาบาล ให้ดู สังวรณ์ดูด้วยความโมโห
“นี่มันไอ ยูกิ กับไอ้เป็นไทนี่”
“ฉันเจอเธอกับผู้ชายคนนี้ที่โรงพยาบาล ดูหนุงหนิงกันมาก ฉันเลยถ่ายรูปมาค่ะ”
“ดี...เธอทำดีมาก เอาลงฉบับพรุ่งนี้เช้าเลย พาดหัวให้ใหญ่ที่สุดเลย”
“ได้ค่ะ”
“ไปได้แล้ว”
วราพรรณเดินไปจากห้อง สังวรณ์มองรูปแล้วขยำทิ้ง
“ไอ้เป็นไท นอกจากแกจะแย่งตัวไอยูกิจากฉันไปแล้ว แต่ยังคิดจะชิงหัวใจไปด้วยเหรอ ไม่มีทางหรอก ฉันจะทำทุกอย่างที่แกวางแผนไว้ให้พังให้หมด”
สังวรณ์ยิ้มสะใจที่ได้โอกาศเล่นงานเป็นไท เขากดรีโมทเพลย์คาราโอเกะเกาหลีต่อ แล้วก็กลับมาร้องและเต้นเหมือนเป็นคนละคนกับคนที่แค้นเมื่อกี้

เป็นไทนั่งดูทีวีอยู่ในห้อง อยู่ๆเขาก็สะดุ้งขึ้นจากโซฟา เขาหันมองโซฟาด้านหลังตัวเองเอามือจับหลังด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อยู่ๆก็ร้อนหลังวูบ คงไม่ได้มีใครแช่งเราอยู่หรอกมั้ง”
เป็นไทไม่สนใจแล้วก็นึกอะไรได้ หยิบโทรศัพท์มาโทรหายูกิอย่างคิดถึง
ยูกิเดินอยู่ที่ทางเดินของโรงแรมกำลังจะกลับห้อง โดยมียามาดะสะกดรอยตามเธอมาห่างๆ เสียงโทรศัพท์เธอดังขึ้น ยูกิกดรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
“วันนี้เป็นไงบ้างครับ”
“ฉันต่างหากที่ต้องถามคุณ คุณเป็นคนป่วยนะ”
“ผมสบายดีแล้ว เลยว่าจะชวนยูกิจังไปเที่ยวกันพรุ่งนี้”
ยูกิดีใจ
“จริงเหรอ ทำไมหายเร็วจัง”
“ได้ยาดี”
“ถ้าหายจริงๆก็ดีสิ ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่าวันนี้ฉันเบื่อมากเลย”
“เพื่อเป็นการไถ่โทษ พรุ่งนี้ยูกิจังอยากไปไหน ผมจะพาไปหมดเลย”
“ดีสิ ฉันจะตั้งตาคอยเลย”
“ผมก็เหมือนกัน”
เป็นไทวางโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้ม ยูกิก็เช่นกันเธอเปิดประตูเข้าห้องไป ยามาดะเดินออกมาจากที่ซ่อน เขามองด้วยแววตาร้ายกาจ

เช้าวันใหม่...หนังสือพิมพ์บันเทิงที่มีภาพเป็นไทกับยูกิทั้งโอบทั้งกอดกัน ถูกวางตามร้านหนังสือ...แพรวไพลินอารมณ์เสียเดินถือหนังสือพิมพ์เข้ามาในห้องไม่เห็นเป็นไทอยู่ที่โต๊ะ พนักงานกำลังเดินออกจากห้อง เธอรีบถาม
“พี่ไทไปไหน”
“คุณไทกำลังประชุมเรื่องคอนเสิร์ตไอ ยูกิ ค่ะ”
แพรวไพลินร้อนใจ แต่แล้วเป็นไทก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับองอาจพอดี ยังคุยงานต่อเนื่องกันเข้ามา
“เดี๋ยวคุณตามเรื่องคนที่จะมาดูแลเรื่องเครื่องเสียงแล้วก็ไฟในคอนเสิร์ตก่อนเลยนะ รายที่เราสรุปกันนั่นแหละ”
“ได้ครับ...แล้วใครจะเป็นคนคอยดูแลคุณ ไอ ยูกิ ละครับ”
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ผมเอง”
เป็นไทเดินไปที่โต๊ะ องอาจหมั่นไส้เจ้านาย ทำเสียงล้อ
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ผมเอง”
เป็นไทกับองอาจเพิ่งเห็นว่าแพรวไพลินนั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย องอาจหันไปยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับคุณแพรว”
แพรวไพลินไม่สบอารมณ์ สวนขึ้นทันที
“เดี๋ยวฉันขอคุยกับพี่ไทเป็นการส่วนตัวหน่อยนะ ส่วนกับคุณน่ะ เราคงต้องคุยกันยาวเหมือนกัน”
“อูย งานเข้า”
องอาจรีบปลีกตัวออกไป เป็นไทยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
“มีเรื่องอะไรเหรอแพรว ไม่ใช่เรื่องยาวใช่มั้ย”
“ทำไมคะ พี่ไทมีธุระที่ไหนเหรอ”
แพรวไพลินจ้องหน้า

ไอยูกิหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเป็นไท เธอถือสายรอเป็นไทรับสาย ยามาดะที่อยู่หน้าฟิตเนสมองแล้วก็เปิดขวดน้ำเอายาบางอย่างใส่ลงไปในขวดน้ำ
ทางด้านแพรวไพลินมองหน้าเป็นไทอย่างจับผิด
“ทำไมต้องมองพี่แบบนั้นด้วย มีอะไร”
“พี่ไทกำลังคิดนอกใจแพรวอยู่รึเปล่า”
“นอกใจอะไร แพรวเอาที่ไหนมาพูด”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์เป็นไทดังขึ้นมาขัดจังวะ เป็นไทเห็นชื่อกำลังจะรับ แพรวไพลินแย่งมาจากมือเพื่อดูชื่อ เธอเห็นชื่อที่โทรเข้ามาเขียนว่า “ยูกิจัง”
“ยูกิจังเหรอ เพิ่งมาเมืองไทยแค่ไม่กี่วันเดียว สนิทกันขนาดเรียกว่ายูกิจังแล้วเหรอ”
“แพรวเอาโทรศัพท์คืนพี่มา พี่ต้องดูแลลูกค้า”
“การดูแลลูกค้าของพี่เนี่ย มันต้องโอบ ต้องกอดกันด้วยเหรอ”
“แพรวเอาอะไรมาพูด...ส่งโทรศัพท์มาให้พี่เถอะ”
แพรวไพลินโยนหนังสือพิมพ์ใส่หน้าเขา
“อธิบายมาซิ”
เป็นไทหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นดู ตกใจอยู่เหมือนกัน
“ไม่มีอะไรหรอก แพรวก็รู้พวกปาปารัชชี่เป็นไง”
“ทำไม...พี่ไทจะบอกว่าไปหลายคนแต่เขาครอปเหลือแค่สอง หรือว่ามันเป็นภาพตัดต่อ”
“ไร้สาระน่าแพรว อย่าหาเรื่องพี่ดีกว่า แพรวก็รู้ว่าพี่ทำงาน”
“ทำงาน โอเค แล้ววันนี้นัดกับลูกค้าว่าจะไปไหนละคะ ถึงได้เลื่อนประชุมเป็นตอนเช้า แล้วลูกค้าก็ต้องโทรมาตามแบบนี้”
“เลื่อนประชุมอะไร”
“ปกติพี่ไทเคยประชุมเช้าด้วยเหรอคะ แค่ตื่นยังสายเลย”
เป็นไทเถียงไม่ออก พยายามเปลี่ยนเรื่อง
“แพรวอย่าทำตัวแบบนี้สิ ไม่น่ารักเลย”
“พี่ไทก็อย่าทำตัวแบบนี้สิ ไม่น่ารักเหมือนกัน”
“พี่ก็ทำงานของพี่ปกติ”
“ได้...พี่จะไปทำงานก็ได้ค่ะ แต่ต้องพาแพรวไปด้วย”
เป็นไทหน้าตื่น
“เฮ้ย!”
“ทำไมคะ ก็เงินของแพรวไม่ใช่เหรอที่ทำให้พี่ได้ประมูลโปรเจ็คนี้มา ทำไมแพรวจะไปไม่ได้”
แพรวไพลินหน้าตาจริงจังยื่นคำขาด เป็นไทลำบากใจ

ยูกิวางโทรศัพท์หน้าเซ็งๆที่เป็นไทไม่รับโทรศัพท์ ยามาดะมองอยู่หน้าฟิตเนส ยื่นน้ำให้พนักงานฟิตเนส ชี้ไปที่ยูกิ
“บอกว่าเป็นบริการของทางโรงแรม ไม่ต้องบอกว่ามาจากผม”
พนักงานฟิตเนสพยักหน้าเข้าใจ แล้วเดินไปหายูกิ

ไม่ว่าเป็นไทจะเดินไปไหน แพรวไพลินก็ตามติดทุกฝีก้าว เขาหยุดเธอก็หยุด เขานั่งเธอก็นั่งข้างๆ เป็นไทอึดอัด พยายามจะหาวิธีหนีจากแพรวไพลิน เขาชะโงกไปนอกหน้าต่าง ทำท่าตกใจ
“เฮ้ยแพรว ช้างตัวเบ้อเริ่มเลย”
แพรวไพลินทำหน้าเซ็ง
“แพรวไม่ใช่เด็กนะคะ จะได้หลอกได้ง่ายๆ ช้างก็มีถมไปในกรุงเทพ ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
“แปลกสิ นี่ช้างสามหัวเลยนะ โอ้โหดูดิ คนดูกันใหญ่เลยอ่ะ”
“ช้างสามหัวที่ไหนจะมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้ อีกอย่าง แพรวไม่ชอบช้าง”
เป็นไทพยายามหาทางล่อหลอก
“แต่เหมือนเขาจะเอาช้างมาทำแคมเปนของกระเป๋าหลุยส์นะ ดูนั่นสิ กระเป๋ารุ่นใหม่ซะด้วย”
พอได้ยินชื่อแบรนด์เนมแพรวไพลินรีบวิ่งไปดูทันที
“ไหนๆ รุ่นลิมิเต็ดรึเปล่า”
เธอชะโงกหาสิ่งที่เขาพูดแต่ไม่มี
“พี่ไท...อยู่ตรงไหนล่ะ”
แพรวไพลินหันมาไม่เห็นเป็นไทซะแล้ว เธอเจ็บใจมาก
“ใครจะเอาช้างมาโปรโมทกระเป๋าเล่า...หลงกลจนได้”
แพรวไพลินรีบเดินตามออกไป

เป็นไทรีบถอยรถจะขับออกไปแต่แพรวไพลินก็มาขวางหน้ารถไว้ เขาเบรกหัวทิ่ม
“คิดว่าจะหนีไปไหนได้เหรอพี่ไท”
เป็นไทเซ็งที่แพรวไพลินมาทันจนได้ เขาหันไปเห็นเสื้อสูทตัวเองที่แขวนไว้หลังรถ จึงหยิบออกมา เปิดกระจกเอาสูทยื่นไปนอกรถ แพรวไพลินสงสัย
“พี่ไทคิดจะทำอะไรน่ะ นั่นเสื้อสูทตัวนั้นของพี่ไท มันของอาร์มานี่ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่จ้ะ”
เป็นไทโยนสูทออกไปข้างทาง แพรวไพลินร้องกรี๊ดเสียงหลง
“พี่ไทคิดจะทำอะไรน่ะ”
เธอวิ่งออกจากที่ขวางหน้ารถตามมาเก็บสูทที่ถูกทิ้ง เป็นไทยิ้มหวานให้
“พี่ไปทำงานก่อนนะแพรว อย่าโกรธกันนะ”
เขาขับรถออกไปเลย แพรวไพลินเจ็บใจที่หลงกลอีกครั้ง
“พี่ไทกลับมานะ พี่ไท...กลับมา”

ยูกิรับน้ำจากพนักงานฟิตเนส เธอยิ้มขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ”
พนักงานฟิตเนสเดินออกไป ยูกิเปิดน้ำจะดื่ม ยามาดะแอบมองอย่างลุ้นๆ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์จากเป็นไทเข้ามาพอดี ยูกิยังไม่ได้ดื่มรีบกดรับสาย
“ฮัลโหล”
เป็นไทขับรถคุยบลูทูธกับยูกิ
“ขอโทษที พอดีเมื่อกี้ประชุมอยู่น่ะครับเลยไม่ได้รับสาย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปรับแล้วนะครับ”
“โอเคค่ะ คุณสบายดีแล้วแน่นะคะ”
“แน่นอนครับ ว่าแต่ยูกิจังโทรมามีอะไรครับ”
“แค่อยากเช็คดูว่าคุณไหวมั้ย”
“ไหวไม่ไหวไม่รู้ แต่ถ้าเหาะได้ผมเหาะไปรับยูกิจังแล้ว”
“โอเค แล้วเจอกันค่ะ”
เป็นไทยิ้ม รีบขับรถไปรับยูกิ ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์จากแพรวไพลินโทรเข้ามาเป็นไทปิดเครื่องทันที

ยูกิกดวางสาย ยามาดะที่แอบดูลุ้นต่อให้เธอกินน้ำ ยูกิเก็บโทรศัพท์ ทำโน่นทำนี่ ยามาดะลุ้นมาก ในที่สุดยูกิก็เปิดขวดน้ำ แล้วก็กิน ยามาดะยิ้มออกอย่างโล่งใจ
ยูกิเดินกลับห้องอย่างสบายใจ อยู่ๆเธอก็มึนหัวขึ้นมาเซไปพิงข้างฝา เธอรวบรวมแรงจะเดินไปให้ถึงห้องที่อยู่ไม่ไกลแล้วเธอก็ล้มลงแต่เธอยังพอมีสติอยู่บ้างขณะที่นอนอยู่กับพื้น เธอเห็นคนเดินเข้ามาคนนั้นหน้าตาเบลอๆไปตามฤทธิ์ของยา ยูกิพยายามกดโทรศัพท์โทรออกหาเป็นไทแต่ไม่มีแรงแม้จะยกขึ้นมาแนบหู เสียงจากโทรศัพท์บอกว่าเป็นไทปิดเครื่อง ยามาดะเดินเข้ามาถึงตัวเขานั่งยองๆลงมาดู เวลานั้นสติสัมปชัญญะของยูกิก็วูบดับลง

เป็นไทเดินเข้ามาในล็อบบี้โรงแรม มองหายูกิ แต่ก็ไม่เห็น เขาเดินไปถามเคาน์เตอร์
“คุณไอยูกิ ห้อง 801ลงมารึยังครับ”
พนักงานเช็คล็อคเกอร์ที่วางกุญแจของแต่ละห้อง
“ไม่ได้ฝากกุญแจไว้นะคะ”
“งั้นฝากโทรเช็คหน่อยได้มั้ยครับ”
“ค่ะ”
ระหว่างรอ เป็นไทก็หันซ้ายแลขวาหายูกิ เป็นเวลาเดียวกับที่ยามาดะลากกระเป๋าเข็นใบใหญ่ขนาดพอที่จะใส่คนลงไปได้มาเช็คเอ้าท์หน้าเค้าน์เตอร์ เป็นไทไม่ได้สนใจยามาดะ
“เช็คเอ้าท์ครับ”
“ค่ะ” พนักงานเรียกเป็นไท “คุณคะ ไม่มีคนรับนะคะ อาจจะลงมาแล้วก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เป็นไทมองหายูกิโดยไม่สงสัยยามาดะแม้แต่น้อย

เป็นไทนั่งบนโซฟามองหายูกิ แต่ก็ไม่เห็น เขาดูนาฬิกาแล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาเปิดเครื่องแล้วโทรหา ขณะที่ยามาดะลากกระเป๋าใบใหญ่ผ่านหลังไป โดยที่เขาไม่ได้สนใจ เสียงโทรศัพท์ดังจากกระเป๋าลากใบใหญ่ของยามาดะขึ้นมา เป็นไทหันไปมองหาต้นเสียง เดินมาใกล้ๆ ยามาดะทำเป็นร้องเพลงกลบแล้วรีบลากกระเป๋าออกไป เป็นไทไม่ทันสงสัยอะไร
ยามาดะถอนหายใจโล่งอกที่รอดจากการสงสัยมาได้
“เกือบไป”
ยามาดะยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถอย่างทุลักทุเลมาก พอวางเสร็จเขาก็เปิดกระเป๋า ยูกิหลับไม่ได้สติอยู่ในนั้น ยามาดะหยิบโทรศัพท์ของยูกิออกมาปิดเครื่อง แล้วก็ปิดกระเป๋าลงอีกครั้ง
“นอนหลับไปในนี้ก่อนแล้วกันนะ ฉันรับรองว่าไม่ปล่อยให้เธอตายง่ายๆหรอก”
ยามาดะปิดรถ แล้วก็เข้าไปนั่งขับรถออกไป

เป็นไทรออยู่นานามากจึงตัดสินใจมาเคาะประตูห้องยูกิ
“ยูกิ...นี่ผมเองนะ...ยูกิ”
ไม่มีเสียงตอบรับมา เขาลองหมุนลูกปิดเห็นว่าไม่ได้ล็อคก็เปิดเข้าไปในห้อง...เป็นไทเข้ามาในห้องเรียกหายูกิไปทั่วห้องตามมุมต่างๆ ทั้งในห้องน้ำ ห้องครัว แม้กระทั่งในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ไม่มีเธออยู่ สภาพห้องก็เหมือนคนไม่ได้ตั้งใจจะไปไหน เพราะข้าวของก็วางอยู่ทั่วห้อง เป็นไทเริ่มกังวลใจ

องอาจกำลังดูภาพปาปารัชชี่เป็นไทกับยูกิในหนังสือพิมพ์บนโต๊ะ
“กะแล้วเชียวทิ้งไว้สองคนไม่ได้ เหมือนฝากแมวไว้กับปลาย่าง เอ๊ะ หรือปลาย่างไว้กับแมววะ”
แพรวไพลินเดินเข้ามา อารมณ์ไม่ค่อยดี
“ใครแมว ใครปลาย่าง”
องอาจหันไปตามเสียง
“คุณแพรว”
“ไหนคุณบอกฉันว่าพี่ไทประชุมทั้งวัน ไม่มีเวลาไปไหนเลยไง แล้วนี่อะไร”
แพรวไพลินชี้หนังสือพิมพ์ องอาจจ๋อยไปนิดก่อนจะแก้ตัว
“ก็มีเข้าไปคุยงานกับคุณยูกิเขานิดหน่อยน่ะครับ ไม่ได้มีอะไรเลย ภาพนี่เป็นเรื่องของมุมกล้องเลยเข้าใจผิดมากกว่าน่ะครับ จริงๆผมก็อยู่ด้วยนะครับ” องอาจทำเป็นชี้ไปมั่วๆที่ภาพ “ผมยืนอยู่ตรงนี้ เขาถ่ายไม่เห็นเอง”
“ฉันจะรู้ได้ไง ว่าคุณไม่ได้โกหกเพื่อช่วยเจ้านาย”
“โกหกอะไร หน้าตาผมดูเหมือนคนขี้โกหกเหรอครับ”
“ใช่...”
องอาจหน้าเสีย
“อูยย...”
แพรวไพลินแค้นๆ
“อย่าให้ฉันจับได้นะ ว่ามีใครโกหกปิดบังฉัน ฉันจะไล่ออกให้หมดเลย”
องอาจกลืนน้ำลายเอื๊อก
“รับประกัน ไม่มีแน่นอนครับ”
“แล้วถ้าพี่ไทกลับมา โทรรายงานฉันด่วน เข้าใจมั้ย ฉันมีเรื่องต้องจัดการพี่ไทอีกยาว”
“ครับ...ได้ครับ”
แพรวไพลินเดินไม่พอใจออกไป องอาจโล่งใจที่แพรวไพลินกลับไปได้
“เรื่องในครอบครัวก็ต้องดึงเราเข้าไปเกี่ยว นี่มันนอกเหนือหน้าที่ชัดๆนะเนี่ย คุณไท”
ขณะเดียวกันนั้นพนักงานเดินมาตามองอาจ
“พี่องอาจคะ”
“คงไม่ได้มีปัญหาอะไรให้ฉันไปแก้อีกนะ”
“ต้นสังกัดไอยูกิ โทรมาสาย 3 ค่ะ”
องอาจเซ็งเลย
“นั่นไง”
“เดี๋ยวโอนมาให้เลยนะคะ”
องอาจถอนหายใจยาว เบื่อๆกับปัญหาที่เข้ามา

องอาจกำลังร้อนใจ ยืนรอเป็นไทอยู่หน้าออฟฟิศ เป็นไทเดินเข้ามาอย่างร้อนใจเช่นกัน
“คุณไทมาพอดี”
“มีเรื่องอะไร ถ้าไม่สำคัญไม่ต้องพูดนะ”
“สำคัญครับ”
“ว่ามา”
“ทางต้นสังกัดของยูกิไม่พอใจมากโทรมาตำหนิเรื่องข่าวที่ลงวันนี้ใหญ่เลยครับว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นได้ยังไง แล้วเขาบอกว่าติดต่อยูกิจังไม่ได้ ต้องการให้คุณกับยูกิจังเข้าไปคุย แล้วอยากให้จัดแถลงข่าวให้เร็วที่สุดครับ”
“โอเค เรื่องนั้นมันไม่มีอะไร ฉันอธิบายได้ เรื่องเล็ก”
“ค่อยสบายใจหน่อย ผมรู้ว่าคุณไทคงจัดการได้...งั้นผมนัดให้ไปต้นสังกัดพรุ่งนี้เลยดีมั้ยครับ”
“ใจเย็น...ผมมีปัญหาสำคัญกว่านั้นมาบอกคุณ แต่คุณต้องสัญญาว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราแค่ 2 คนเท่านั้น”
“โอ้ว...สำคัญจริงๆ ได้ครับ ผมจะไม่ปริปากบอกใคร”
เป็นไทหน้าตาจริงจัง องอาจก็อยากรู้ว่าเรื่องอะไร

เป็นไทพาองอาจมากินข้าว องอาจหิวกินใหญ่ แล้วก็นึกได้
“เออ แล้วเรื่องที่จะเป็นความลับระหว่างเรา คืออะไรกันครับ”
“คืองี้นะ คือยูกิจังหายตัวไป”
“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” องอาจกินช้าวต่อแล้วก็คิดได้ว่าเรื่องใหญ่ อาหารพุ่งออกจากปาก “ยูกิจังหายไป ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อกลางวันนี้ ตอนเช้าผมยังคุยโทรศัพท์กับเธอนัดกันอยู่เลย แต่พอไปถึงโรงแรมเธอก็หายไป แต่ของในห้องยังอยู่”
“แค่ออกไปเที่ยวไหนละมั้ง”
“ผมก็คิดงั้น แต่รออยู่จนเย็นก็ไม่มีวี่แววจะกลับมา โทรไปก็ปิดมือถือ”
“แล้วนี่แจ้งตำรวจไว้รึยังครับ”
“นี่...ผมบอกคุณแล้วไง ว่าเรื่องนี้เราจะรู้กันแค่สองคน”
“รู้กันสองคนแล้วไงครับ สืบทอดเป็นมรดกต้นตระกูลส่งต่อไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเหรอ ปู่เขียนพินัยกรรมว่ามีคนหายตัวไป รู้กันแค่สองคนนะ...จะบ้าเหรอครับ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ คนหายตัวไปทั้งคนนะครับ จะบ้าซุบซิบ ยุกยิกกันแค่สองคนได้ไง”
“คุณอยากให้เป็นข่าวหน้าหนึ่งรึไง มันจะไม่ใช่ข่าวใหญ่แค่ประเทศเราประเทศเดียวนะ”
“รู้เยอะๆสิดี จะได้ช่วยกันตามหา”
“แล้วไม่คิดถึงคอนเสิร์ตที่จะต้องล่ม ภาพลักษณ์บริษัทเราถึงการดูแลศิลปินที่ไม่เป็นมืออาชีพ คุณไม่แคร์สิ่งที่เราสร้างกันมากว่าจะมีวันนี้เลยรึไง”
องอาจคิดตาม
“แล้วคุณไทจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
“เราสองคนต้องตามหาไอยูกิให้เจอ”
องอาจหัวเราะประชด
“ตลกละ คนมีอยู่สองคน จังหวัดมี 76 จังหวัด เราจะรู้ได้ไงว่ายูกิจะอุตริไปเที่ยวกาฬสินธุ์ หรือ อำเภอหนองไทรงามที่ไหนรึเปล่า เราจะไปตามเจอได้ยังไง หรือจะบินกลับประเทศไปรึเปล่าก็ไม่รู้”
“มันคือความหวังไง หวังว่าพรุ่งนี้หรือมะรืนเขาจะกลับ เราก็ทำได้แค่นั้น”
“แล้วนี่รู้รึเปล่าที่เขาหนีหายไปเพราะอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะข่าวที่ลงก็ได้มั้ง”
“งั้นก็หนีไปเพราะคุณไท”
“เออ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ”
“แล้วเราจะทำยังไงต่อไป”
“เดี๋ยวคุณไปเฝ้าที่โรงแรม อย่ามีพิรุธ อย่าให้ใครสงสัยเด็ดขาด ส่วนผมจะไปตามที่ต่างๆที่ผมเคยพายูกิไป”
“สองคน”
เป็นไทพยักหน้ารับ องอาจถอนหายใจยาว

ค่ำนั้น ยามาดะพายูกิมาที่รีสอร์ทริมทะเล เขาอุ้มยูกิออกมาจากกระเป๋าค่อยๆวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอมจ้องมองดูใบหน้าของเธอยามหลับช่างไร้เดียงสา ยามาดะจับปอยผมของเธอที่ลงมาปรกหน้าขึ้นไปอย่างเอ็นดู
“คุณบังคับผมให้ทำแบบนี้เองนะ”
ยามาดะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก...เขาเดินครุ่นคิดเรื่องต่างๆไปที่ริมทะเล ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกหรือผิดกันแน่ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขากดรับสาย
“ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธออยู่ที่เกาะ”

ยามาดะวางสายอย่างไม่สนใจฟังคู่สนทนา เขาเดินครุ่นคิดต่อไป

ค่ำนั้น...เป็นไทเปิดประตูคอนโดห้องตัวเองเข้าไปมืดๆ เหนื่อยใจที่ยูกิหายไป เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ แล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะเมื่อไฟเปิด ก็เห็นแพรวไพลินนั่งรอเขาอยู่หน้าเครียด

“เฮ้ย...แพรว เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
“คิดว่าแค่กุญแจห้องพี่ไท แพรวจะไม่มีเหรอ”
“พี่ว่า พี่ไปหาซื้ออะไรกินข้างล่างก่อนดีกว่า”
แพรวไพลินจ้องหน้าพูดเสียงเข้ม
“แพรวยังไม่อนุญาตให้ไป”
“ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ดีนะ”
“วันนี้พาไอ ยูกิไปไหนมา ทำไมกลับเอาซะป่านนี้”
“ไม่ได้เจอกันเลย”
“อย่ามาโกหก”
“สาบานจริงๆ ไม่ได้เจอกันเลยทั้งวัน ไม่เชื่อถามองอาจได้เลย”
เป็นไทยบอกเซ็งๆ

องอาจเปิดประตูห้องของยูกิเข้าไป ในห้องเงียบๆ องอาจเรียกหายูกิในห้อง
“ยูกิ...ยูกิจัง กลับมารึยัง” องอาจเดินหาไปทั่วห้อง “ยูกิ ผมองอาจเองนะ ยูกิ”
องอาจตามหาทั่วห้องแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของยูกิ จึงเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาสะท้อนตัวเอง
“เฮ้ย...โธ่ นึกว่าใคร...เห็นหน้าแกทีไรตกใจทุกที”
องอาจส่ายหัวกับตัวเอง
“แล้วนี่ให้มาเฝ้าที่ห้องเขาแบบนี้ มันจะต้องเฝ้าไปถึงเมื่อไหร่กันเนี่ย จะกลับมารึเปล่าเหอะ”
องอาจระอาใจ

แพรวไพลินยังคงคาดคั้นเป็นไท อย่างไม่เชื่อใจ
“จะไม่เจอได้ไง ก็เมื่อเช้าที่หนีแพรวไป ก็ไปหายูกิไม่ใช่เหรอ”
“แพรว พี่บอกแล้วว่าพี่ไปทำงาน แล้ววันนี้ก็วุ่นๆทั้งวัน พี่ยังไม่ได้พักเลย แพรวอย่าเพิ่งมาคาดคั้นอะไรตอนนี้ได้มั้ย พี่เหนื่อย”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง เหนื่อยก็ส่วนเหนื่อย ตกลงชอบไอ ยูกิมั้ย”
“พี่ทำตามหน้าที่ทั้งนั้น”
“แล้วข่าวล่ะ”
“ข่าวก็คือข่าว ใครอยากจะเห็น อยากจะเชื่อยังไงก็เชื่อไป พี่ไม่อธิบายหรอกเรื่องพวกนี้น่ะ ไร้สาระ”
“ก็ได้แพรวจะเชื่อพี่ไทว่าไม่มีอะไร แต่ถ้าแพรวรู้ระแคะระคายอะไร แพรวจะเอ...”
เป็นไทสวนทันที
“เอาเงิน 20 ล้านคืน พี่รู้แล้ว แพรวพูดมาเป็นร้อยครั้งแล้ว”
“พี่ไท...แพรวถามจริงๆเหอะ ยังรักแพรวอยู่รึเปล่า”
เป็นไทไม่ตอบ เดินเข้าห้องไปวางสัมภาระ
“แค่ตอบว่ารักหรือไม่รัก มันยากนักเหรอพี่ไท”
เป็นไทท่าทางเบื่อๆ
“ไม่ยาก แพรวอยากจะฟังมันตอนนี้จริงๆมั้ยล่ะ”
แพรวไพลินกลัวคำตอบ
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไทไม่ต้องตอบก็ได้ แพรวถามไปอย่างงั้นแหละ”
“แต่ตอนนี้พี่อยากตอบ พี่น่ะมะ...”
แพรวไพลินรีบเอามืออุดหู ทำเสียงกลบ
“ลา ลา ลา ลา ลา ลา”
เป็นไทมองเอือมๆ แพรวไพลินรีบตัดบท
“แพรวกลับก่อนดีกว่า แพรวรู้ว่าพี่ไทเหนื่อย”
เธอรีบหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกไปจากห้องทันที เป็นไทได้แต่ถอนหายใจล้มตัวลงบนโซฟา
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริง...ยูกิ คุณก็เหมือนกัน ถึงคุณจะโกรธผม ก็ไม่ควรหนีหายไปแบบนี้”
เป็นไทบ่นอย่างเครียดจัด

สายๆของวันใหม่ ยูกิเริ่มรู้สึกตัว เธอตื่นมามึนๆเบลอๆกับยาที่เธอกินเข้าไป ยูกิมองไปรอบด้านรู้สึกไม่คุ้นตาเลย ขณะเดียวกันนั้น ยามาดะเดินถือข้าวต้มอุ่นๆเข้ามาในห้อง ยูกิยังมองเห็นเขาเบลอๆ
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
ยามาดะพอเห็นว่ายูกิฟื้นแล้ว เขาก็ทำเข้มทันที
“ตื่นแล้วรึไง กว่าจะตื่นได้นะ”
“คุณเป็นใคร”
“ยังจำฉันไม่ได้อีกเหรอ”
สายตายูกิค่อยๆปรับจนเห็นหน้ายามาดะชัด
“คุณที่ฟิตเนสนั่นเอง”
“ไง...คราวนี้จำได้แล้วเหรอ ไหนบอกว่าจำฉันไม่ได้ไง”
ยูกิงงที่ยามาดะพูด
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ยูกิพยายามนึกๆแล้วเธอก็นึกได้ว่าเธอหัวแล้วล้มลงบนทางเดิน แล้วเธอยังนึกได้อีกว่ามีนัดกับเป็นไท
“เป็นไท”
ยามาดะไม่พอใจ
“รู้สึกตัวก็พูดถึงชื่อผู้ชายคนอื่นเลยนะ”
“ฉันนัดเขาไว้ ฉันต้องโทรบอกเขา” ยูกิหาโทรศัพท์ตามกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองไม่มี “โทรศัพท์ฉันไปไหนล่ะ”
ทันใดนั้น ซีซีก็เดินเข้ามาชูโทรศัพท์ยูกิให้ดู
“หานี่อยู่เหรอ”
“ซีซี”
“ยังจำฉันได้ด้วยเหรอ นึกว่าดังจนจำใครไม่ได้แล้วซะอีก”
ซีซีเขวี้ยงโทรศัพท์ของยูกิไปชนผนังแตกกระจาย ยูกิตกใจ ซีซีมองด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ยูกิยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทำไมต้องทำแบบนี้ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
“ถามเป็นชุดเลยนะ...จะตอบคำถามไหนก่อนดีล่ะ เล่าย่อๆละกันนะ เรื่องของเรื่องก็คือว่าฉันทำงานของฉันอยู่ดีๆ ก็มีคนมาแย่งงานฉันไป จากแย่งไปแค่งานเดียว ก็กลายเป็นสองงาน สามงาน จนทั้งหมด แล้วมันก็แย่งตำแหน่งซุปเปอร์สตาร์ฉันไปด้วย คนว่างงานอย่างฉันก็เลยไม่มีอะไรทำ อยากหาอะไรทำสนุกๆด้วยการ ลองจับตัวซุปเปอร์สตาร์มาขังไว้เล่นๆ ก็แค่นั้นเอง”
ยูกิตกใจ
“นี่ตกลงว่าฉันถูกจับตัวมาเหรอ”
“ดีนี่ เริ่มฉลาดแล้ว”
ซีซีเดินเฉียดไป ยูกิหลบอย่างหวาดๆ มือไปโดนแจกันหล่นเสียงดัง

องอาจหลับอยู่บนโซฟา สะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงแปลกๆดังในห้องยูกิ เขาเหล่ซ้าย แลขวาก็ไม่เห็นใคร
“ยูกิกลับมาแล้วรึเปล่า...ยูกิ”
ห้องทั้งห้องยังเงียบและมืด เพราะไม่ได้เปิดม่านรับแสง เขาพยายามเดินหาต้นตอของเสียง เสียงคล้ายๆเสียงทุบประตูแต่มันดังมาจากตู้ องอาจค่อยๆเดินไปเปิดตู้อย่างกลัวๆ
“ยูกิ...ไม่ได้อยู่ในตู้ใช่มั้ย”
เงียบ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
“หรือว่า...โดนฆ่าหั่นศพแล้วยัดไว้ในนี้”
เขายิ่งกลัว รวบรวมความกล้าจะเปิดตู้ องอาจกัดเล็บตัวเอง ไม่กล้าเปิด เดินวนไปมา

ยูกิพยามอธิบายกับซีซี
“แต่ฉันไม่เคยแย่งงานเธอนะ”
“เริ่มกลับมาโง่อีกละ เธอพูดอย่างงี้คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ เธอรู้ไว้เลยนะ ว่าที่ฉันต้องตกอับทุกวันนี้ ก็เพราะเธอนั่นแหละ”
“แต่มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
“ฉันชักเบื่อจะฟังเธอพูดแล้วล่ะ” ซีซีหันไปหายามาดะ “ทำดีมาก ขังมันไว้ให้ลืมเลย อยากจะทำอะไรมัน ก็ทำ ฉันไม่ห้าม” ซีซี ยื่นเงินปึกใหญ่ให้ “นี่เงินงวดแรกของแก”
ยามาดะรับเงินไป ซีซีหันมาพูดกับยูกิ
“ขอให้สนุกกับการตกนรกทั้งเป็นนะ”
ซีซีเดินออกไป ยูกิพยายามจะวิ่งตามไป ยามาดะฉุดแขนเธอไว้ ผลักไปไว้บนเตียงเหมือนเก่า
“อย่าคิดจะหนี ไม่งั้นได้เจ็บตัวกว่านี้แน่”
“ฉันไม่เคยทำอะไรซีซีจริงๆนะ ฉันไม่เคยทำอะไรคุณด้วย”
ยามาดะเหยียดยิ้ม
“หึ...โกหกหน้าด้านๆ คุณทำให้ผมต้องทำในสิ่งที่เสียศักดิ์ศรีของยากูซ่า”
ยามาดะนึกภาพตอนที่ตัวเอง ต้องแต่งหญิงหนีออกมาจากห้าง อย่างรับไม่ได้จริงๆ
“ยังบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ”
“ฉันเคยเจอคุณแค่ที่ฟิตเนสครั้งเดียว ฉันจะไปทำอะไรคุณได้”
“อย่ามาโกหก” ยามาดะเลื่อนชามข้าวต้มให้ยูกิอย่างโมโห “กินซะ จะได้หุบปากน่ารำคาญ”
“แต่ฉันไม่เคยทำอะไรใคร”
ยามาดะไม่สนใจฟัง เดินออกไปนอกห้องล็อคประตู ยูกิพยายามจะเขย่าประตูแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปิดออกเลย เธอได้แต่ตะโกนอยู่หน้าประตู
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ปล่อยฉันไปเถอะ ปล่อยฉันไป”
ไม่มีเสียงตอบรับมาจากอีกด้านของประตู ยูกิได้แต่ร้องไห้

องอาจ พยายามกดโทรศัพท์มือถือแล้วถือหูรออย่างหงุดหงิด
“โอ่ย..โทรหาใครก็ไม่ติด”
เขามองดูตู้ เสียงยังดังก่อกแก่แก่กอยู่
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน...ศพก็ศพสิวะ...ยูกิ อย่าเป็นเธอก็แล้วกัน อย่าตายนะ”
องอาจ ลุ้นระทึก เสียงก่อกๆแก่กๆยังดังออกมาจากในตู้ แต่ยังไม่ทันได้เปิด แม่บ้านก็เปิดประตูผลั่วเข้ามาในห้อง
“ทำความสะอาดค่ะ”
องอาจสะดุ้งสุดตัว แทบช็อค แต่พอเห็นเป็นแม่บ้านก็ค่อยโล่งอก
“แหม เวลามีเยอะ จะต้องมาทำเอาตอนนี้ด้วยนะ ถ้าผมช็อคตายขึ้นมาจะทำไงเนี่ย”
แม่บ้านมององอาจงงๆ องอาจรีบยิ้มให้
“เออ...ไม่มีอะไรหรอก ก็ทำความสะอาดไปละกัน” องอาจหันไปมองตู้อย่างร้อนรน “แต่ถ้าเจออะไร จำไว้ว่าผมไม่ได้ทำ ผมไม่เคยฆ่าใคร”
องอาจรีบวิ่งออกไป แม่บ้านมององอาจงงๆ เธอเปิดตู้ที่องอาจกลัวเพื่อเช็คความเรียบร้อยไม่เห็นอะไรในตู้ นอกจากไม้แขวนเสื้อที่แกว่งไปตีผนังตู้เป็นจังหวะเสียงดังก่อกแก่ก
“ไม่เห็นมีอะไรเลย เพี้ยน”

นับดาวเดินเข้ามาที่โต๊ะกินข้าว เธอเห็นรจนานั่งกินข้าวอยู่ไอค่อกแค่กเสียงแหบพร่า
“ยังไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหนใช่มั้ย”
“ยังเลยย่า หนูว่าจะไปหาวันนี้แหละ”
“งั้นก็ดี ไปเฝ้าร้านแทนย่าหน่อยสิ” รจนาไอ “รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“ได้จ้ะ แล้วนี่ย่าไปหาหมอมารึยังเนี่ย”
“เจ็บคอแค่นิดหน่อย กินยาเดี๋ยวก็หาย”
“ตามใจละกัน แต่ถ้าไม่ไหวเมื่อไหร่ก็บอกหนูนะ”
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น รจนาเดินไปรับเสียงแหบแห้ง
“สวัสดีค่ะ...รจนาพูดอยู่ค่ะ...จ้างร้องเพลงเหรอ”
รจนากวักมือเรียก นับดาววิ่งถือสมุดไปจดวันเวลาของงานจ้างข้างๆย่า
“เดี๋ยวแป๊บนึงนะ ขอเช็คสมุดคิวก่อน...วันไหนนะ...สิบเก้าเหรอ สิบเก้านี่...แหม...” รจนาทำเป็นคิด “...ว่างค่ะ...ยี่สิบก็ว่างค่ะ...ยี่สิบเอ็ด เหมือนจะไม่ว่าง แต่ว่างยาวถึงสิ้นเดือนเลยค่ะ จะเอาวันไหนก็เลือกมาได้เลยค่ะ...ไหวสิคะ ร้องไหวค่ะ เสียงที่แหบนี่เพราะเพิ่งตื่นนอน...จะให้ร้องให้ฟังด้วย...”
รจนาหันมองหลานสาว นับดาวกระแอมปลอมเสียงเป็นย่าแล้วร้อง
“เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย แว่วดังฟังแล้วใจหาย หัวใจน้องนี้แทบขาด...”
รจนาหันไปพูดโทรศัพท์เสียงแหบ
“เป็นไงคะ...นี่แค่ท่อนขึ้นนะคะเนี่ยยังจับใจขนาดนี้ ถ้าอยากฟังท่อนฮุกต้องขออุบไว้ก่อน ไว้ฟังวันจริงเลยดีกว่าค่ะ...ตกลงนะคะ ขอบคุณค่ะ”
รจนาวางโทรศัพท์ หันมาชมหลานสาว
“ร้องได้ดีมาก สมกับที่ย่าสอน”
“แล้วนี่ย่าไปรับงานเขา ย่าจะร้องไหวเหรอ ไม่สบายแบบนี้”
“ไหวสิ ถ้าไม่ไหวก็ไปฉีดยา ฉีดปุ๊บเสียงมาปั๊บ เทคโนโลยีเขาก้าวไปถึงไหนแล้วรู้ซะบ้าง”
“ตามใจ หนูก็แค่เป็นห่วงย่าเท่านั้นแหละ”
“ห่วงตัวเองซะก่อนเถอะเราน่ะ งานการก็ไม่มีทำ ยังแบมือขอเงินย่าอยู่เลย คอยดูเถ๊อะ ถ้าย่าเป็นอะไรขึ้นไปจริงๆละก็...”
“ย่า...หนูบอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องอะไรแบบนี้ ไม่เอาแล้ว ไม่คุยกับย่าแล้ว”
นับดาวเดินงอนออกไปจากบ้าน รจนามองตามอย่างห่วงๆ

เป็นไทอยู่ในห้องทำงาน คุยโทรศัพท์กับต้นสังกัดของไอยูกิ หน้าเครียด
“ผมทราบครับ แต่ข่าวมันไม่มีอะไรเลย คนไทยขี้ลืมครับ ปล่อยไปข่าวก็เงียบไปเอง...ครับ เข้าใจครับ...ห๊ะ ให้แถลงข่าวพรุ่งนี้เลยเหรอ มันไม่กะทันหันไปเหรอครับ อย่างน้อยก็น่าจะให้ผมเตรียมตัวซักสองสามวัน...ครับ ได้ครับ ผมจะพยายาม”
เป็นไทวางสาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ องอาจเดินเข้ามาหา
“เป็นไง ยูกิกลับมาที่ห้องรึยัง”
องอาจส่ายหน้า มองซ้ายมองขวา ไม่มีใคร
“นี่คุณไท คุณแน่ใจได้ไงว่ายูกิยังมีชีวิตอยู่”
“ไอ้บ้า คิดอะไรของคุณน่ะ”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ อยู่ๆเธอก็หายตัวไป ติดต่อไม่ได้ ไม่มีวี่แววอะไรเลย”
“ยูกิต้องไม่เป็นอะไร เพราะถ้าเธอตาย พวกเราเนี่ยแหละจะตายทั้งเป็น เพราะผมเพิ่งคุยกับต้นสังกัดเมื่อกี้ เขาจะให้เราเลื่อนแถลงข่าวคอนเสิร์ตมาเป็นพรุ่งนี้ แล้วให้แถลงถึงข่าวที่เกิดขึ้นไปพร้อมกันเลย”
องอาจชะงักอึ้ง
“โอ้ว มายก็อด แล้วเราจะเตรียมงานกันทันได้ยังไง”
“เอาว่าเราจะไปหายูกิที่ไหนก่อนดีกว่า”
“คราวนี้ได้ตายของจริงแน่”
เป็นไทถอนหายใจ
“เอาเป็นว่าวันนี้คุณเตรียมงานสำหรับพรุ่งนี้ให้พร้อมละกัน ส่วนผมจะไปตามหายูกิเอง”
“นี่ตกลงเราจะทำยังงี้กันจริงๆใช่มั้ย ไม่แจ้งตำรวจหรือทำอะไรซักอย่างที่มันแน่นอนกว่านี้จริงๆเหรอ”
“เอาน่า ถึงยังไงพรุ่งนี้ผมก็เป็นคนรับหน้าอยู่แล้ว คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ดูแลงานส่วนของคุณไปก็แล้วกัน”
องอาจถอนใจ
“ว่าไงก็ว่าตามกัน”
“แล้วอีกอย่าง ผมเพิ่งโยนสูทผมทิ้งไป คุณช่วยไปหาเช่าสูทให้ผมด้วยนะ”
เป็นไทพูดจบก็เดินออกไป องอาจบ่นคนเดียวเซ็งๆ
“ทำทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยจนถึงเรื่องใหญ่จริงๆเรา”
องอาจเป็นกังวล รีบไปจัดการงานต่อ

วราพรรณกำลังเยี่ยมชมร้านชุดราตรีที่รจนารับจ้างดูแลอยู่ นับดาวนั่งอย่างอ่อนใจคุยกับเพื่อน
“ชุดร้านนี้ที่ย่าแกรับจ้างดูแลก็สวยดีนี่หว่า แกไม่เอาไปใส่บ้างวะ”
“แกจะให้ฉันใส่ไปไหน”
“อีกหน่อยแกเป็นดาราก็ได้ใส่แล้ว”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ หัวหน้าแกก็โกรธจนไม่อยากเจอฉันละ”
“เออ...เอาน่า โอกาสดีๆอาจกำลังมาถึงแกก็ได้”
“ฉันนั่งรอโอกาสมาตั้งแต่ฉันจำความได้แล้วว่ะ ไม่รู้ต้องรอไปถึงเมื่อไหร่”
นับดาวนั่งท้อกับอนาคตตัวเอง

องอาจเดินมองหาร้านเช่าสูท เขาจดชื่อไว้ในกระดาษ แต่มองหาเท่าไหร่ก็ยังหาไม่เจอ
“นี่ก็ตรงตามแผนที่ทุกอย่างแล้วนี่หว่า ร้านมันอยู่ตรงไหนกันแน่วะ”
องอาจเดินหาต่อไป ขณะเดียวกันในร้าน วราพรรณหาดูชุดตามราวเสื้อผ้า นับดาวนั่งเหม่อ วราพรรณหยิบชุดราตรียาวที่มีหน้ากากอยู่ในเซตด้วยขึ้นมา
“เฮ้ย...ชุดนี้สวยดีว่ะแก มีหน้ากากด้วย”
“ก็คงสำหรับไปงานแฟนซีอะไรพวกนั้นละมั้ง”
“แกแต่งให้ฉันดูหน่อยสิ”
“บ้า...ฉันจะแต่งไปทำไม ไม่เอาหรอก”
“ก็แต่งชุดสวยๆ แล้วฉันก็จะถ่ายรูปสวยๆให้แกไง เผื่อจะเอาไปทิ้งไว้โมเดลลิ่ง หรือเจ้านายฉันเห็นหน้าแกแล้วอาจจะหายโกรธจนอยากเจอตัวจริงแกก็ได้นะ”
“เฮ้ย...จริงเหรอ เออ แต่งสิ แต่ง ไปลองเลยนะ”
นับดาวดีใจที่เธออาจจะมีโอกาสได้เป็นดาราอีกครั้ง วราพรรณได้แต่มองดูเพื่อนตัวเองแล้วยิ้ม นับดาวหายเข้าไปในห้องแต่งตัว
องอาจเดินหาจนมาถึงหน้าร้านมองยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน เห็นวราพรรณนั่งอยู่
“นี่ร้านให้เช่าสูทใช่มั้ยครับ”
“ดูเหมือนร้านซ่อมมอไซค์รึไง”
“เจ้าของร้านอยู่มั้ย”
“ทำไม หน้าอย่างฉันเป็นเจ้าของไม่ได้เหรอ”
“เอ๊ะ นี่คุณจะกวนประสาทผมทำไมเนี่ย”
“ฉันก็พูดของฉันอย่างงี้ ไม่ได้จะกวนซะหน่อย”
“ถึงว่าสิ ร้านเงียบไม่มีลูกค้าเลย เพราะจ้างพนักงานแบบนี้มาเฝ้าร้านนี่เอง”
วราพรรณชักฉุน
“เฮ้ย...เดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก”
องอาจเบ้หน้า
“มีเรื่องกับทอม กลัวตายล่ะ”
วราพรรณโกรธ
“แล้วคิดว่าฉันอยากมีเรื่องกับเกย์อย่างนายรึไง”
องอาจสะดุ้ง
“ผมไม่ใช่เกย์นะ”
“ฉันก็ไม่ใช่ทอมเหมือนกัน”
ทันใดนั้นเสียงนับดาวดังเข้ามาสงบศึก
“มีเรื่องอะไร”
องอาจหันไปตามเสียง มองนับดาวตั้งแต่เท้าไล่มาถึงหุ่นของเธอที่สะโอดสะองในชุดราตรีสวย ไล่มาถึงใบหน้า ปรากฎว่านับดาวใส่หน้ากากแฟนซีด้วย องอาจถึงกับผงะ วราพรรณหันไปบอกเพื่อน
“ผู้ชายคนนี้เขาจะมาเช่าชุดราตรีไว้ใส่ไปกับแฟนน่ะ”
องอาจไม่พอใจดุวราพรรณ
“นี่คุณ...” เขาหันไปพูดกับนับดาว “ผมจะมาเช่าสูทน่ะครับ”
“อ๋อ ได้ค่ะ รู้ไซส์รึยังคะ”
“รู้ครับ”
“งั้นเชิญเลือกแบบด้านนี้เลยค่ะ”
"ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับว่าคุณเป็นเจ้าของร้านแน่ๆ แต่งตัวซะเต็มเลย มองก็รู้ว่าเป็นร้านเช่าชุดออกงาน”
“ย่าฉันรับจ้างดูแลน่ะค่ะ วันนี้ท่านไม่สบาย เลยมาดูร้านให้...”
“เหรอครับ”
นับดาวยิ้มให้ องอาจพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออกว่านับดาวคล้ายใคร

นับดาวยังใส่หน้ากากแฟนซีอยู่เดินจากหน้าร้านมาหาวราพรรณ
“เรียบร้อยแล้วเหรอ”
“อืม...” นับดาวพยายามนึก “อ๋อ คนเมื่อกี๊ เคยเจอที่งานตอนพาย่าไปร้องเพลงนี่หว่า”
วราพรรณแปลกใจ
“เป็นอะไร”
“ถึงว่าฉันคุ้นหน้าคนเมื่อกี้มากเลย”
“ตามสีลมซอยสองละมั้ง พวกแก๊งเก้งกวางน่ะ”
นับดาวส่ายหน้า
“ไม่ใช่...พวกคนในวงการบันเทิงน่ะ”
วราพรรณพยักหน้า
“ว่าแต่แก จะใส่หน้ากากทำไม”
“ก็แกบอกให้ฉันแต่งให้ครบชุด”
“บ้ารึเปล่า จะถ่ายรูปไปให้โมเดลลิ่ง แต่ปิดหน้าไว้เนี่ยนะ”
“เออ...ฉันก็ลืมคิด” นับดาวถอดหน้ากากออก “แล้วเพิ่งมาบอกตอนนี้เนี่ยนะ ปล่อยให้ฉันใส่อยู่ตั้งนาน”
“ก็มันตลกดี ดูเพลินๆ”
วราพรรณหัวเราะ นับดาวค้อน
“บ้า”
“มาถ่ายรูปกัน”
วราพรรณเดินนำนับดาวเข้าไปหามุมถ่ายรูปในร้าน...นับดาวยืนเก็กท่าเก้ๆกังๆ วราพรรณต้องไปคอยจัดท่าทางให้เข้าทีแล้วถ่ายรูปนับดาว หลายเซ็ต นับดาวดูดีมากในภาพถ่าย

เย็นนั้นนับดาวแต่งตัวธรรมดา มากินก๋วยเตี๋ยวกับวราพรรณ เธอนั่งดูรูปตัวเองในกล้อง
“เฮ้ย...ภาพนี้ฉันสวยว่ะแก อันนี้ก็ดี ฉันไม่เคยมีรูปสวยๆแบบนี้เลย”
“ฝีมือฉัน ธรรมดาซะที่ไหน”
“ฉันฝากแกด้วยนะเว้ย ถ้าฉันได้เป็นดาราฉันจะไม่ลืมแกเลย”
“แกจะลืมฉันได้ยังไง ไม่มีฉันแกก็ไม่มีใครคบแล้ว”
“นั่นสิเนอะ...เดี๋ยวมื้อนี้ฉันเลี้ยงเองนะ”
นับดาวรู้สึกปวดฟันเอาลิ้นดุนแก้ม ฟันกรามข้างที่ปวด วราพรรณไม่ยอม
“ไม่ต้องหรอก งานก็ไม่มีทำ ไม่ต้องคิดจะเลี้ยงคนอื่นเลย”
นับดาวเซ็ง
“นี่ แกว่าฉันควรจะทำงานอะไรดีวะ ส่งพิซซ่าดีมั้ย”
“บ้าเหรอ...อย่าลืมสิ ว่าตอนนี้แกสวยแล้วนะเว้ย จะไปส่งพิซซ่าได้ไง นี่แกเป็นอะไรของแก”
“ปวดฟัน ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวฉันไปอุดฟันหน่อยดีกว่า”
นับดาวเซ็งๆกับฟันกรามข้างที่ปวด

ค่ำนั้น นับดาวมาทำฝันที่คลีนิกหมอฟัน เธอนอนอ้าปาก ส่งเสียงอ้อแอ้ ให้หมออุดฟันอยู่ เสียงเครื่องอุดฟันดังเสียวไส้ หมอปาดเหงื่อ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
นับดาวพูดไม่ชัด อ้าปากไม่ถนัด
“ยาชาอีกสองชั่วโมงคงหมดฤทธิ์น่ะครับ”
นับดาวพูดสำเนียงออกญี่ปุ่น
“นี่มันชาไปถึงโคนลิ้นเลยนะคะ”
“ก็คุณ ดิ้นเหลือเกิน หมอเลยเสียบพลาดโดนโคนลิ้น”
“แหม...แถมให้ก็ไม่บอก”

นับดาวประชดส่ง












Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2555 11:34:06 น.
Counter : 320 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]