ดอกโศก ตอนที่ 1




บ่ายคล้อยวันนั้น เสียงระฆังเลิกเรียนดังกังวานขึ้น พร้อมๆ กับเสียงเด็กๆ พูดคุยกันจ้อกแจ้กดังไปทั่วบริเวณ ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นร่างของเด็กหญิงดอกโศกกำลังวิ่งหลบหลีกผู้คนออกมาตามถนนเล็กๆ หน้าโรงเรียน ในท่าทีเร่งรีบร้อนรนนั้นบางจะหวะถึงกับชนใครบางคน ที่แทบหลบไม่ทัน เด็กหญิงตัวน้อยไหว้พลางกล่าวขอโทษ

“ขอโทษค่ะ “
ดอกโศกกระโดดข้ามข้าวของบางอย่างที่กีดขวาง ก้อนอิฐ และต้นไม้เล็กๆ บนทาง แล้วลัดเลาะไปอย่างรวดเร็วด้วยอาการรีบเร่ง
ดอกโศกวิ่งมาจนถึงปากซอยทางเข้าบ้าน พอถึงร้านแม่ค้าข้าวแกง ก็วิ่งพรวดเข้าไป โดยมีคนเข้าคิวซื้ออยู่ 2 คน แม่ค้าส่งถุงข้าวให้แล้วรับเงินมา
ดอกโศกยืนคอย หอบน้อยๆ ด้วยความเหนื่อย นัยน์ตาเร่งร้อนแต่กิริยาท่าทีสงบ
พอขายของเสร็จ แม่ค้าหันมา ก้มลงหยิบห่อกับข้าวที่เตรียมไว้ส่งให้ดอกโศก
“ตังค์ยังไม่มีเลย ป๋าจ๋า” ดอกโศกเอ่ยขึ้น
“เอาไปก่อน มีเมื่อไหร่ค่อยให้” แม่ค้าพูดพลางยิ้มให้
ดอกโศกไหว้อย่างตื้นตันใจ แล้วรับถุงกับข้าวนั้นมา

ดอกโศกมาถึงบ้าน วางถุงกับข้าววางลง ระหว่างนั้นมีเสียงยายดังแทรกขึ้นมา
“เอ้า.....กับข้าวมาแล้วโว้ย”
“ทีหลังมาให้มันเร็วกว่านี้นะเว้ย ยายเอ็งกำลังจะอาละวาดแล้ว” เสียงตาเอ่ยขึ้น
ไม่นานนัก ก็เห็นร่างของยายกับตาคู่หนึ่ง เดินเป็นเงารางๆ อยู่ด้านหลัง ดอกโศกหันหลังกลับเดินเข้าห้อง ฉวยเสื้อกางเกงชุดขายหนังสือพิมพ์ติดมือไป ครู่ต่อมาดอกโศกก็ใส่เสื้อกางเกงชุดนั้นเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกับที่เวลานี้เด็กหญิงตัวน้อยกำลังซักเสื้อกระโปรงนักเรียนอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาเสื้อกระโปรงนักเรียน ก็ถูกพาดตากแล้วเรียบร้อยบนราว เสื้อชุดเดียวที่มีใส่ไปเรียนปลิวไสวไปตามแรงลม
ไม่นานหลังจากนั้นก็เห็นหลังดอกโศกวิ่งไวๆ ออกไป

ที่ร้านหนังสือใกล้ๆ สี่แยก หนังสือพิมพ์วางอยู่ตั้งหนึ่ง เห็นชัดเจนว่าเป็นฉบับวันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2542 จังหวะนั้นมือน้อยๆ ของดอกโศกเอื้อมมาหยิบหนังสือพิมพ์ในตั้งนั้นไป ก่อนจะเริ่มขายหนังสือพิมพ์อย่างแคล่วคล่องว่องไว รับเงิน...ทอนเงิน ด้วยหน้าตามุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานมาก
จังหวะนั้นรถคันหนึ่งแล่นมา คนในรถ ทำมือบอกว่าเอาหนังสือพิมพ์ 1 เล่ม ดอกโศกวิ่งไปทันที ถือหนังสือพิมพ์ไปให้ฉบับหนึ่ง ดอกโศกรับเงินมา รถขับแล่นออกไป
รถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา คนในรถบอก ซื้อหนังสือพิมพ์หนึ่งเล่ม ดอกโศกวิ่งกลับไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่หน้าร้าน
ไฟสัญญาณจราจรเปลี่ยนจากสีแดง เป็นไฟเขียว พร้อมๆ กับที่เสียงแตรรถบีบดังลั่นไปทั่วบริเวณ
รถคันนั้นแล่นไปแล้ว ในขณะที่ดอกโศกถือหนังสือพิมพ์กลับมา ไม่ทัน เด็กหญิงร่างบอบบางยื่นหน้ามองตาม ด้วยความรู้สึกเสียดาย

เมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถก็แล่นผ่านไป ดอกโศกชำเลืองมองสัญญาณไฟเป็นระยะ
สัญญาณไฟเขียวแช่อยู่อึดใจ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ใบหน้าดอกโศกเวลานั้นเหมือนตัดสินใจขั้นเด็ดขาด และก้าวเท้าออกไป จังหวะนั้นมือของป้อมจับแขนดอกโศกหมับ ดอกโศกหันขวับไปมอง
“ระวังนะดอกโศก พอไฟเขียวรถมันแล่นเร็วเหมือนจะรีบไปตาย” ป้อมเตือนอย่างเป็นห่วง
เจ้าของรถซึ่งเป็นหญิงเอ่ยขึ้น “หนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งจ้ะหนู” พลางส่งเงินให้ แล้วรับหนังสือพิมพ์มา “ดีจริงคุณ” หญิงคนนั้นหันไปพูดกับผู้ชายในรถ “ไม่ต้องลงไปซื้อเอง”
“ไม่ค่อยดี” คนขับรถชายยื่นหน้ามาพูดกับดอกโศก “หนูระวังด้วยอันตรายนะมาวิ่งขายบนถนน”
ดอกโศกยิ้มพร้อมกับพูดตอบเสียงใสแจ๋ว “ค่ะ ขอบคุณค่ะ” แล้วไหว้อย่างสวยงามนอบน้อม

ดอกโศกตั้งหน้าตั้งตาขายหนังสือพิมพ์ต่อ มีรถเข้ามาอีกคัน เจ้าของยิ้มแย้มอย่างพอใจ เมื่อขายได้อีกฉบับหนึ่ง รับเงินค่าหนังสือพิมพ์พร้อมกับเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ”
เสร็จแล้วดอกโศกก็ถอยกลับขึ้นมายืนบนบาทวิถี พร้อมๆ กับรถแล่นไป สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นไฟเขียว
ดอกโศกหันไป สบตากับป้อม ทำหน้าอวดๆ เพื่อนว่าไม่เห็นเป็นไร

พอไฟเขียวเปลี่ยนเป็นไฟแดง ดอกโศกก็ก้าวเท้าลงถนนไปหนึ่งก้าว แล้วหยุดเหลียวมองมาเห็นป้อมยืนหน้าตาตื่นกลัว มีหนังสือพิมพ์หอบหนึ่งอยู่ในมือ จังหวะนั้นมือดอกโศกคว้ามือป้อมให้ก้าวลงไปในถนน
ทั้งดอกโศก และป้อมช่วยกันขายหนังสือพิมพ์ต่อ จากหน้าตาหวั่นกลัวในเบื้องแรก ยามนี้ป้อมเปลี่ยนเป็นยิ้มแป้น รับเงินมือเป็นระวิง
เจ้าของรถคันหนึ่งโผล่ใบหน้ามายิ้มแย้มให้กับดอกโศก ขณะรับหนังสือพิมพ์ไป
“ขอบใจนะจ๊ะหนู หน้าตาน่ารักจริง ชื่ออะไรจ๊ะ”
“ชื่อ ดอกโศกค่ะ”
เจ้าของรถแตะเชยคางน้อยเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมตตา “ขอให้โศก แต่ชื่อนะลูก”

ครู่ต่อมาดอกโศกก้มหน้าขยับหมวกหลุบต่ำ สีหน้าครุ่นคิดตามคำพูดเมื่อครู่
“ขอให้โศกแต่ชื่อนะลูก”
ใบหน้าดอกโศก ยิ้มนิดๆ เหมือนเยาะหยันชีวิต

ในซอกหนึ่งข้างถนน ดอกโศกเข้ามานั่งพักเหนื่อยมีป้อมนั่งอยู่ด้วยข้างๆ กำลังนับเงินในมือง่วนพร้อมกับรำพึงขึ้นมา
“รู้งี้ขายมานานแล้ว...โง่จริงไอ้ป้อม”
“โง่มันเก๊าะ ต้องก่อนฉลาดอยู่แล้ว” ดอกโศกหัวเราะนิดๆ
“น่ากลัวออก เผื่อรถคันใหญ่มันไม่เห็นเราล่ะ” ป้อมยังกังวลไม่หาย
“แต่เราเห็นมันนี่”
พูดจบดอกโศกก็จ้องหน้าป้อม นิ่งๆ กิริยาให้พูดต่อ
“รู้แล้ว” ป้อมทำท่าตะเบ๊ะ แบบลูกเสือ “เราต้องระวังตัวเอง”
ไม่นานต่อมาดอกโศกกับป้อม พร้อมด้วยเด็กชาย เด็กหญิง คนอื่นๆ เดินวิ่งขายหนังสือกันอลหม่านทั่วบริเวณสี่แยกแห่งนั้น

ดอกโศกส่งเงินให้ ป้าขายกับข้าว เด็กหญิงตัวน้อยนึกในใจพ้นทุกข์มีเงินจ่ายกับข้าวเสียทีถอนหายใจดัง..เฮ้อ สีหน้ายิ้มแป้น แสดงอารมณ์ดีใจออกไปอย่างนั้น แม้จะท่าทางอ่อนเพลีย
“ค่ากับข้าววันนี้กับเมื่อวานนะจ๊ะป้า”
ป้าแม่ค้ารับเงินไป ไม่วายพูดอย่างเป็นห่วงและสงสาร “ระวังรถด้วยนะดอกโศกเอ๊ย”
ดอกโศกไหว้ขอบคุณ ป้าแม่ค้าเขม้นมอง
“เป็นอะไรเจ้าโศก หน้าซีดงั้นน่ะ..ไม่สบายใช่มั้ย หยุดขายซักวันเถอะ”
ดอกโศกไม่สบายจริงๆ ด้วย แต่ทำท่าแข็งใจวิ่งไป

อยู่มาวันหนึ่งพลเอกสุดเขต ซึ่งลูกหลานในบ้านรัตนชาติพัลลภ เรียกท่านว่า คุณตา นั่งมาในรถกับเพ็ญพักตร์ ลูกสาวคนโต โดยมีนายสมเป็นคนขับรถ
“งานอะไรนะเพ็ญพักตร์ที่จะให้พอไปเป็นประธาน” สุดเขตถามลูกสาว
“งานร้อยดวงใจป้องกันภัยเด็กไร้บ้านค่ะ” เพ็ญพักตร์ตอบ
สุดเขตทำหน้าชอบกล “ชื่องานเรอะนั่น...แน่ใจนะเพ็ญพักตร์”
“ค่ะ...ชื่องานการกุศลของสมาคมค่ะ”
“อือม์....เข้าใจตั้ง”
รถหยุดติดไฟแดงที่สี่แยกแห่งนั้น
“นั่นอะไร เด็กเล็กวิ่งกันเพ่นพ่าน ขายหนังสือพิมพ์ใช่มั้ย” สุดเขต ถามเชิงปรารภ
“ค่ะ คุณพ่อ”
“มันอยากตายกันรึนั่น เอ้า....เด็กสองคนนั่น แย่งกันขายซะแล้ว”
สุดเขต มองออกไปนอกรถเห็นเด็กสองคนแย่งกันขายหนังสือพิมพ์พอดี
“ใครนะช่างคิดเอาเด็กไปเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ เฮ้อ..เด็กมันก็เป็นเหยื่อผู้ใหญ่วันยังค่ำ เอ้า...เจ้าสม เรียกเด็กมาคนหนึ่งซื้อซักฉบับ”
สมกวักมือเป็นดอกโศกวิ่งมายืนข้างรถ
“เอ้า หนู”
ใบหน้าดอกโศกซึ่งเวลานั้นไม่สบายเพิ่มขึ้น ส่งหนังสือพิมพ์ให้
สุดเขต ส่งเงินให้ 5 บาท ดอกโศกยื่นมือมารับ แต่แล้วตัวอ่อนล้มพับลงไปกองกับพื้น
“เอ้า เฮ้ย.....เป็นอะไรไปล่ะนั่น”

เวลาต่อมา ป้อมเดินนำสุดเขต เพ็ญพักตร์ และสมที่อุ้มร่างดอกโศกตามมาจนถึงหน้าบ้านยายของดอกโศก
“บ้านเนี้ยฮะ”
ป้อมบอกสมอุ้มดอกโศกเข้ามา สุดเขต ตาม ส่วนเพ็ญพักตร์ตามมาใบหน้าบึ้งตึง
“คุณพ่อ ทำไมต้องตามมาถึงนี่คะ”
“อ้าว ก็เด็กมันล้มตรงรถเรา เจ้าสม วางตรงนั้นแหละ แล้วไปดูซิ มีใครอยู่มั่ง”
สมวางดอกโศกลงนอน ยืนเมียงมองเข้าไปข้างใน
“เราชื่ออะไร ไอ้หนู” สุดเขต ถามป้อม
“ป้อมฮะ” เด็กชายบอก
“แล้วนี่....ชื่อ...”
ป้อมชิงตอบ “ชื่อดอกโศกฮะ”
“อยู่กับใครล่ะเนี่ย”
ตาของดอกโศกเดินออกมา “อยู่กับผม...ผมเป็นตามัน”
“อ้อ...หลานเป็นลมกลางถนน...พามาส่ง” สุดเขต บอก
“ทำไมล่ะ ท่านทำอะไรมัน...เป็นมากแค่ไหน ต้องใช้เงินรักษารึเปล่า” ตาว่า
เพ็ญพักตร์ได้ยินก็ฉุนขึ้นมาทันควัน “นึกแล้วไม่มีผิด นี่...นาย” เรียกชื่อไม่ถูก “เราไม่ได้ทำอะไรหลานของแกเลย มันเป็นลมไปเอง คุณพ่อฉันเมตตาพามาส่งทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น นี่คุณพ่อ....พลเอกสุดเขต รัตนชาติพัลลภ” แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ตวาด แต่เพ็ญพักตร์พูดเน้นอย่างเหยียดหยาม
คำพูดประโยคนั้นทำให้ยายของดอกโศกที่นั่งอยู่มุมห้อง หันหน้ามาจ้องเขม้นมองสุดเขต
ขณะที่สุดเขตก็จ้องยายไม่วางตา ทั้งสองคนจดจ้องกันอยู่อย่างนั้น ต่างคนต่างอึ้ง ตะลึงงัน

แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อ 30 ปี ก่อนก็ผุดขึ้นมาในความคิดคำนึงของทั้งคู่พร้อมๆ กัน

เหตุการณ์ครั้งนั้นนายพลสุดเขต กำลังจ้องมองสมใจในวัยสาวรุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้า สีหน้าสมใจยิ้มเยื้อนอย่างมีจริตเล็กๆ พอให้คนแก่กระชุ่มกระชวย แต่ดูจริงใจ ไม่แต่งจริตมากมาย บางจังหวะสมใจออกอาการเอียงอายขวยเขินๆ แบบเด็กสาวไม่เคยต้องมือชาย แล้วสุดเขต ก็เข้าไปจับไหล่ มองตากันสักครู่ ก่อนจะดึงร่างสมใจอย่างแรงเข้ามาในอ้อมกอด

อีกเหตุการณ์ เกิดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะที่สมใจซึ่งเวลานั้นตั้งท้องกับสุดเขต และท้องใหญ่พอสมควรแล้ว สมใจกำลังยืนวางท่าจองหอง อยู่หน้าตึกหลังใหญ่ ในอาการโกรธจัด
เพ็ญพักตร์ในวัย 16 ปี ยืนอยู่ข้างแม่คุณหญิงภรรยาหลวง
“สมใจ แกกำเริบเสิบสานมาก คิดจะมาชูคอบนตึกงั้นรึ อย่างแกอยู่โน่น...รังเดิมของแกอย่าเผยอ”
คำพูดของคุณหญิงไม่ทำให้สมใจหวั่นเกรงแม้แต่น้อย กลับลอยหน้าเถียงกลับ “เมียเหมือนกันนี่”
เพ็ญพักตร์สวนออกมาอย่างเหลืออด “เมียขี้ข้าน่ะสิ”
“ขี้ข้าเป็นเมียเหมือนคุณท่านรึเปล่าล่ะ” สมใจเถียงคำไม่ตกฟาก
เพ็ญพักตร์ตวาดใส่ “สมใจ...อย่ากำเริบ”
“เพ็ญพักตร์!” นายพลสุดเขตปรามลูกสาวเสียงเข้ม ขณะเดินเข้ามา “ลูกในท้องมันเป็นน้องของลูกนะ มีเลือดครึ่งหนึ่งเหมือนของเธอ”
“ค่ะ” เพ็ญพักตร์เสียงอ่อย
“สมใจ...ขอโทษคุณท่าน” สุดเขต จ้องหน้าสมใจ
“ไม่ต้อง ฉันด่ามันพอแล้ว” คุณหญิงเดินเชิดออกไป
“สมใจอย่าให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก..อย่า!” สุดเขต พูดเสียงขุ่นเขียว พร้อมกับชี้หน้าสมใจ “จำไว้กลับไปอยู่ ห้องแกอย่างเดิม”

อีกเหตุการณ์ที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของทั้งคู่ เวลาผ่านไปจนสมใจคลอดลูกสาว เติบโตขึ้นมาจนสองขวบแล้ว ในขณะที่คุณหญิงรัตนาภิบาล ก็ท้อง 7 เดือน ส่วนเพ็ญพักตร์อยู่ในวัยสาวรุ่น 18 ปี
“เนี่ย...ลูกท่านเหมือนคนอื่น” ขณะพูดสมใจดึงลูกมายื่นตรงหน้าสุดเขต ผลักไหล่แรงๆ “ จะให้อยู่เรือนคนใช้ไปจนตายรึไงคะ”
“ยังไม่ถึงเวลา” สุดเขต บอก
“ท่านพูดอย่างนี้หลายหนแล้ว สุดจิตต์อายุ 2 ขวบแล้วนะคะ” สมใจโวยวาย
“เอาเถอะ คอยก่อน”
“เมื่อไหร่ล่ะคะ” สมใจเข้ามา กอดแขน ในกิริยาเย้ายวน “จะรอให้สุดจิตต์มีน้องหรือคะท่าน”
สุดเขต เคลิ้มมองสมใจ สายตาวาวขึ้นมาชั่วอึดใจ ก้มตัวจะจับบ่า
จังหวะนั้นเสียงคุณหญิงรัตนาภิบาล ก็ดังขัดจังหวะขึ้น
“นังสมใจ”
ทั้งสองคนชะงัก หันไปเห็นคุณหญิงเดินเข้ามา
“แกจะเปลี่ยนชื่อลูกมั้ย”
“ก็ตั้งไปแล้วนี่คะ” สมใจงง
“เปลี่ยนเป็น สมจิตต์ ไม่ให้ชื่อสุดจิตต์ สุดเป็นชื่อท่าน ฉันไม่ อนุญาตให้แกเอาชื่อท่านไปตั้งเป็นชื่อลูกแกลูกชั้นไม่มีซักคนที่ตั้งตามชื่อท่าน” คุณหญิงว่า
“ท่านไม่ว่าอะไร นังหนูชื่อสุดจิตต์มาสองปีแล้วนะคะ” สมใจเถียง
“แกต้องเปลี่ยน” คุณหญิงพูดเสียงแข็ง
สมใจ เงยหน้าสบตาคุณหญิง นัยน์ตาดื้อดึงไม่ยอมใคร
“จะเปลี่ยนมั้ย”
“ไม่เปลี่ยนค่ะ”
“ไสหัวแกออกไป เอาลูกแกไปด้วย จะไปสุดจิตต์สุดใจที่ไหนก็ไป” พูดจบคุณหญิงก็เดินออกไปทันที
สมใจนั่งนิ่ง สีหน้าเข้มจัด
“เปลี่ยนเสียเถอะ สมใจ” สุดเขต พูดเสียงอ่อย
“ถ้าไม่เปลี่ยน เราแม่ลูกต้องออกไปจากบ้านเพราะเรื่องแค่นี้หรือคะ” สมใจย้อนถาม
“แกก็รู้ว่ามันมีเรื่องอื่นด้วย แกมันกำเริบกะคุณเขา เรื่องบ้านช่อง ห้องหอเหมือนกัน ทำไมต้องอยากมาอยู่บนตึก”
สมใจต่อรอง “ถ้างั้น ให้อยู่ตึกเล็ก”
“มันยิ่งกว่าไม่เปลี่ยนชื่ออีก”
สมใจน้อยใจจนน้ำตาคลอ “อะไรๆ ท่านก็ไม่ยอม ฉันไม่ยอมให้ลูกเป็นอีนังก้นครัวหรอก”
สุดเขต นิ่งไปท่าทางรำคาญเต็มทน
“ท่านน่ะไม่เก่งจริง กลัวแต่เมียไม่เห็นทำอะไรได้ซักกะอย่าง ฉันน่ะไม่ยอมมีลูกกะท่านอีกหรอก...อย่ามายุ่งกะฉันเลย” สมใจโพล่งออกมาอย่างแค้นเคืองใจ
สุดเขต โมโหจนพูดสวนด้วยถ้อยคำรุนแรงออกมา
“งั้นแกก็ไป สมบัติที่ฉันให้ไว้พอเลี้ยงตัวกับลูกไปจนโต”

นึกมาถึงตอนนี้สมใจ จ้องมองสุดเขตเต็มตา
“เด็กคนนี้ลูกใคร” สุดเขต ถามออกมา
“ลูกสุดจิตต์” สมใจบอก
สุดเขตหันขวับมามองดอกโศก ที่หมอบอยู่กับพื้น เนื้อตัวหนาวสั่นเพราะพิษไข้ที่รุมเร้า แต่ใจแข็งไม่แสดงกิริยาเจ็บปวดให้ใครเห็น
สายตาสุดเขตเปลี่ยนเป็นเวทนา สงสารและสะท้อนใจ
“สุดจิตต์อยู่ที่ไหน”
สมใจนิ่งอึ้งอยู่ในหน้าด้วยความแค้นใจ
“สมใจ สุดจิตต์อยู่ไหน ยังมีชีวิตอยู่ หรือว่า....” สุดเขต ถามย้ำ ในใจประหวั่นกลัว
สมใจพูดขัดขึ้นทันที “มันยังไม่ตาย แต่อยู่ที่ไหนไม่รู้”
“ทำไมไม่รู้ เลี้ยงลูกยังไง”
“เลี้ยงแบบคนจน อยู่ตรงไหนไม่มีจะกินก็ต้องไปหากินที่มันมี” สมใจประชด แดกดันอยู่ในที
ทางด้านสมหวังตาของดอกโศกนิ่งอึ้งไปอีก ก่อนจะขยับตัว นัยน์ตาหรี่เล็กมองสุดเขต เป็นจังหวะเดียวกับที่สุดเขต หันไปสบนัยน์ตาพอดี สายตาบอกว่า...รู้แล้วว่าเป็นผัวใหม่ของสมใจ
สุดเขต เมินมองมาที่สมใจ “ฉันจะเอาหลานไปเลี้ยงให้”
เพ็ญพักตร์ตกตะลึง “คุณพ่อ”
“จะว่ายังไง สมใจ ฉันจะเลี้ยงให้ดี จะให้...”
สุดเขต พูดยังไม่ทันจบสมใจก็พูดแทรกขึ้น
“โอ๊ย...อย่าลำบากเลย หลานฉันมันเกลือกกลั้วอยู่แต่ที่ต่ำ เอามันไปใส่พานทองขึ้นวอช่อฟ้า เดียวขี้กรากขึ้นหรือไม่ก็ตกวอตาย เมตตามันก็ทิ้งมันไว้อย่างเดิมดีกว่า”
“สมใจ คนอย่างแกจิตใจไม่ดี อิจฉาริษยาประชด ประชันอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตกต่ำ...” สุดเขต เหลือบมองไปทั่วๆ บ้าน “ขนาดนี้เพราะอะไร เลวคนเดียวไม่พอ พาลูกลงเหวไปด้วย...อย่า อย่าเถียง ฉันพูดไม่ผิดหรอก แล้วนี่หลาน..จะให้มันตกต่ำตามตัวของแก ตามแม่ของมันไปอีกเรอะ”
“โอ๊ย...ตกต่ำเพราะใครทำล่ะ” สมใจแว้ดขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณพ่อคะ เชิญกลับเถอะค่ะ”
“ฟังมันพูด หยาบคายร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง เสียดายเชื้อสายเราตกอยู่กับมัน”
“เฮอะ...คนเรา เวลา ตัณหาหน้ามืดล่ะ อีสมใจเป็นนางฟ้าทีเดียว ฮึ...ไม่งั้นคุณนายนั่งแท่นจะอิจฉากระทั่งบ่าวรึ”
“แม่สมใจ...คุณแม่ท่านเสียแล้วนะ อย่าพูดจาก้าวร้าวถึงท่าน” เพ็ญพักตร์เหลืออด
สมใจนิ่งไป แต่สีหน้ายังดูยะโสอยู่ดี
“เขาไม่ให้ก็ไปเถอะค่ะคุณพ่อ เขาอยู่กันมาได้แต่ไหนแต่ ไรก็ให้อยู่ต่อไปแล้วกัน” เพ็ญพักตร์ว่า
“แน่ล่ะคุณเพ็ญพักตร์ มรดกจะได้ไม่ถูกแบ่งมาอีกหนึ่งใช่มั้ย”
“แกจะเอาเท่าไหร่ ถ้าให้หลานฉันไป”
“ไม่รับประทานซักบาทเดียว หลานฉัน ฉันเลี้ยงเอง” สมใจบอก
สมหวังที่ฟังอยู่ นัยน์ตาเข้มขึ้นมาทันทีเหลียวขวับไปมองหน้ายายสมใจ อย่างไม่พอใจ สมใจหลบตา ท่าทางเห็นว่ากลัวสมหวังมาก
สุดเขต สังเกตเห็นทุกอย่าง รู้ว่าสมใจกลัวผัวใหม่
“เลี้ยงอย่างหมูอย่างหมาน่ะสิ หนังสือหนังหาเรียนรึ เปล่าล่ะ รึว่าวันๆ ให้วิ่งซ่กๆ ขายหนังสือพิมพ์ อยู่ตามสี่แยก”
“คนจนนี้เจ้าข้าเอ๊ย” สมใจตะโกนลั่น
“ไอ้สม แกพาเด็กนี้ไป” สุดเขต สั่งบ่าวก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินออกมา
“อย่านะ” สมใจตวาดแรง “นี่ไม่ใช่บ้านท่าน อย่ามา วางอำนาจ ไม่เชื่อคอยดูสิวะ”
สุดเขต หน้าโกรธสุดขีด ขยับจะเข้าไป เพ็ญพักตร์รั้งแขนไว้
ระหว่างนั้นดอกโศกหนาวยะเยือกไปทั้งร่าง หดตัวงอ ร้องเสียงครางออกมาเบาๆ
“ไม่สบาย...มีใครดูแลเอาใจใส่ปล่อยไปวิ่งขายของ เนี่ยเหรอจะเลี้ยงเอง” สุดเขต เย้ยหยัน
“ก็เลี้ยงกันมาจนโตล่ะ ครับ หมดเงินไปหลายแล้ว” ตาพูดสอดขึ้นมา
“ก็จะให้เนี่ยไง” สุดเขต ว่า
“ไม่เอา...อย่าเอาเงินมาฟาดหัว” สมใจดื้อแพ่ง
“เอ๊ะ..นังนี่” สมหวังพูดเสียงเมาๆ ในลำคอ
สุดเขตจ้องมองสมใจเหมือนเป็นกองขยะเก่าๆ สมใจจ้องตอบเหมือนกันอย่างไม่เกรงกลัว ในที่สุด สุดเขตก็หันหลังกลับออกไปจากบ้าน เพ็ญพักตร์ตามไป บรรดาคนที่แอบดูหลบฉากกันวูบไปหมด

สุดเขตพร้อมเพ็ญพักตร์ นั่งในรถเรียบร้อย นายสนปิดประตู ก่อนจะขับรถคันหรูแล่นออกมาผ่านหน้าแม่ค้าขายกับข้าวที่มองกันอย่างอยากรู้อยากเห็น ในซอย

สุดเขตพูดออกมาอย่างแค้นเคืองทั้งที่ยังดูหอบเหนื่อย “คนเลว โง่ จองหอง เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ไม่เคยเปลี่ยนพาลูกตกต่ำไปคนหนึ่งแล้วจะพาหลานข้าตกต่ำอีกคน”
เพ็ญพักตร์หน้าเครียดเหมือนกัน
“พืชพันธุ์ของรัตนชาติพัลลภ จะให้สกปรกอยู่ตามแอ่งน้ำครำตำตาอยู่อย่างนี้นะ..มันไม่ได้ ต้องเอาคืนมา” สุดเขต น้ำเสียงมุ่งมั่น
“จะพูดว่าเอาคืนมาได้หรือคะคุณพ่อ เด็กเกิดในบ้านเขา เราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย จู่ๆ จะเอาตัวมา ใครเขาจะยอมคะ”
“ก็เอาเงินฟาดหัวมันไป ไอ้ผัวใหม่นังสมใจท่าทางมันงกจะตายให้ไม่ต้องกี่สตางค์ มันก็คงเอา”
“สมใจเขาไม่เอานี่คะ” เพ็ญพักตร์ทักท้วง
“แล้วมันก็เอา...มันไม่กล้ากับผัวมันหรอก” นายพลสุดเขตมั่นใจมากๆ

ทางด้านสมหวังกำลังเหวี่ยงมือ ซัดไปที่ใบหน้าสมใจเต็มเหนี่ยว ลักษณะสมใจกวนโมโห จนสมหวังอดใจไม่ได้ สมใจฟุบลงไป อาศัยจังหวะนั้นดอกโศกค่อยๆ คืบคลานออกจากบ้าน เบื่อละครฉากแบบนี้เต็มทน
“ถ้าพรุ่งนี้ไอ้ผัวนายพลของมึงไม่เอาเงินมาให้ มึงไป..ไปหามันเอาอีนังโศกไปด้วย”
“ไม่” สมใจพูดเสียงอุบอิบ “หลานฉัน..ฉันไม่ให้”
สมหวังเงื้อง่า “ไม่ให้รึ”
“เราเลี้ยงมันมานะแก” สมใจท้วง
“เขารวย นังโศกจะได้สบาย”
“แต่...เราเลี้ยงมันมา”
“พูดอยู่ได้คำเดียว...เลี้ยงมา เลี้ยงมา มีปัญญาเลี้ยงมันต่อไปมั้ยล่ะ จะอดตายกันทั้งบ้านอยู่แล้ว” เสียงสมหวังตวาดดังลั่น
ระหว่างนั้นสมหมาย ลูกชายวัย 17 ปี ของทั้งคู่ ก็โผล่เข้ามาอย่างรวดเร็วๆ
“เขาลือกันว่ามีผู้ดีขี่รถเก๋งคันเบ้อเริ่มมาหาเรา ใครเหรอพ่อ”
สมหวังไม่ตอบ เดินหนีไปทางอื่น
สมหมายหันมาทางสมใจ “แม่”
สมใจก็ไม่ตอบเหมือนกัน
“อะไรวะ” สมหมายงง

ส่วนดอกโศก กำลังแบมือออกมาขณะที่ป้อมวางยาเม็ดเล็กๆ ใส่มือ แล้วส่งกระติกน้ำเก่าๆ ให้
“กินยาซะ”
ดอกโศกกินยาเสร็จ แล้วนั่งพิงฝา หายใจแรงๆ
“นอนมั้ย พาไปนอนบ้านคุณนายประดับ” ป้อมว่า
“คุณนายให้ยามาเหรอ”
“ฮื่อ...บอกให้โศกไปหาด้วย”

ป้อมจูงดอกโศกเดินไป มีผู้คนที่รู้จักทักทายตามรายทาง
“ โศกเอ๊ย..จะไม่อยู่แล้วเหรอ” คนหนึ่งทัก ส่วนอีกคนว่า “จะได้ดีมีวาสนาแล้วใช่มั้ย “ ขณะที่อีกคนบอก “ไปแล้วกลับมามั่งนะ”
“โห...รู้กันเร็วจัง” ป้อมบ่นอุบ
“อย่างที่คุณนายว่า ปากคนยาวกว่าปากกา”
“ใช่ ปากคนยาวกว่าปากกาจริงๆ สงสัยจะรู้กันทั้งซอย แล้วมั้ง” เสียงคุณนายประดับว่าขึ้นหลังรู้เรื่องราวจากสองเด็กน้อย
“ใครมาบอกคุณนายคะ?” ดอกโศกสงสัย
คุณนายประดับหัวเราะเบาๆ “มันหลายคน นับไม่ถ้วนก็เลยเลิกนับ” พลางจูงมือพาดอกโศกเดินไป โดยมีป้อมเดินตามไปด้วย
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสามคนมานั่งพนมมืออยู่ในห้องพระ คุณนายประดับบอกให้สวดนะโม
เสียงสวดนะโม เบาๆ แผ่วๆ สีหน้าทุกคนระเรื่ออยู่ในแสงเทียนเป็นประกาย

เวลาจวนใกล้ค่ำวันนั้น นายสมขับรถ ผ่านหน้าประตูป้ายชื่อบ้าน รัตนชาติพัลลภ ไปจอดหน้าตึก
สุดเขต ยังนั่งนิ่งสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณพ่อคะ”
“พ่อต้องเอาเด็กนั่นมาให้ได้” สุดเขต กระแทกไม้เท้าปังใหญ่ “ต้องเอามาให้ได้ สายเลือด รัตนชาติพัลลภต้องไม่ไปตกตมอยู่ในน้ำครำอย่างนั้น”

เวลาเดียวกันทั้งสามคนยังสวดมนตร์อยู่ในห้องพระ ครั้นพอสวดอะระหังสัมมา...สวาขาโต...และสุปฏิปันโน จนจบ ก้มลงกราบ ดอกโศกเงยหน้า มองพระพุทธรูปนิ่งและนาน

ครู่ต่อมาคุณนายประดับพาทั้งสองออกมาจากห้องพระ แล้วเอ่ยถามถึงเรื่องราว
“เป็นนายทหารหรือ”
“เขาบอกว่าเป็นนายพลค่ะ” ดอกโศกว่า
“พลเอกครับ นามสกุลย๊าว..ยาวครับ” ป้อมบอก
คุณนายประดับพูดเสียงเบานุ่มนวล เจือความเมตตา “ดอกโศกจะไปอยู่กับคุณตาผู้ยิ่งใหญ่ของเจ้ารึเปล่า”
“ไม่ไปค่ะ” ดอกโศกตอบเสียงมั่นคงโดยไม่ต้องคิด
คุณนายประดับมอง เชยคาง แหงนขึ้น “ฉันจะพูดอะไรให้ฟังนะดอกโศก อย่างเจ้า..อยู่ที่ไหนก็เพราะเจ้าเป็นคนจิตใจดี”
ดอกโศกนิ่งฟัง
“ฉันเคยสงสัยว่า เจ้าอยู่กับยาย ยายเลี้ยงเจ้ามา ทำไม เจ้าถึงไม่ หยาบคาย ทำไมไม่ปากร้ายอารมณ์เสียจิตใจกระด้างเหมือนยายของเจ้า”
ดอกโศกฟัง ป้อมก็ฟัง
“ต่อมาฉันก็รู้ว่า คนเราบางครั้งเห็นความไม่ดีอยู่ ตรงหน้าทุกวันทุกคืนเราก็รังเกียจไม่อยากทำอะไรเหมือนคนนั้น”
ดอกโศกเอ่ยขึ้น “ใช่ค่ะ คุณนาย หนูเห็นตาเขาข่มขู่ยาย ทุบตียาย ยายยอมเขา แต่ยายก็มาโมโหหนู ด่าว่า บางทีตีหนู”
“ทำไมไม่โกรธยาย” คุณนายประดับถามดอกโศก
“คุณนายขา ยายด่าเก่งเพราะตา หนูไม่ชอบตาแต่หนูสงสารยายค่ะ”
“ยายแกเขาไม่เห็นรักแกเลย ไม่เห็นเคยพูดดีๆ” ป้อมพูดสอดขึ้น
“ป้อม อะไรที่ไม่เห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มี” คุณนายประดับพูดสอนป้อม

ดอกโศก นิ่งฟังอย่างตั้งใจ
อากาศใกล้รุ่งเย็นฉ่ำ หนาวนิดๆ ดอกโศกนอนตัวงอหลับสนิท จังหวะนั้นมือของสมใจคลี่ผ้าห่มคลุมตัวให้หลานสาว พลางลูบผมเบาๆ มองจ้องนิ่งๆ น้ำตาสมใจรื้นขึ้นมา แล้วหยดเผาะ ขณะนึกถึงสุดจิตต์ลูกสาว ในวันที่หอบดอกโศกมาฝากให้เลี้ยง

“แม่...ฉันฝากลูกด้วย ช่วยเลี้ยงมัน นึกว่าเอาบุญ ฉันต้องทำงานไม่มีเวลา” สุดจิตต์บอก
“นังจิตต์ เอ็งหายไปหลายปี กลับมาพร้อมนังลูกฝรั่งเนี้ยเรอะ เอ็งมีผัวฝรั่งเรอะ”
“เห็นยังไงก็ยังงั้นแหละ เสี้ยงลูกฉันให้ดีนะแม่ แล้วจะส่งเงินมาให้”

ภาพเหตุการณ์ตอนที่ดอกโศกในวัย 1 ขวบ จนถึง 4 ขวบ ผุดขึ้นมาในความคิดของสมใจ
วันนั้นสมใจอุ้มดอกโศกอยู่กับอก เปิดซองดู หยิบธณานัติออกมาจากซอง ไม่ทันไรมือของสมหวัง ก็ฉวยมันเอาไปทันที มองดู
“ฮ่ะ..ฮ่ะ สองพัน ลูกสาวแกเนี้ยดีจริงๆ ดีจริงๆ เว๊ย” สมหวังเดิน ไปทันที
“อย่าเอาไป ต้องซื้อนม” สมใจวางดอกโศกแล้ววิ่งตาม
สมหวังหันมาฟาดเปรี้ยง ร่างสมใจฟุบลงคาที่ สมหวังไม่หันมาดูผลงาน เดินตัวปลิวออกไปทันที
สมใจร้องไห้หันมาอุ้มดอกโศกวัยเพียง 1 ขวบ ที่กำลังร้องไห้จ้า สมใจเวทนาหลานสาวก็ร้องไห้ออกมา
อีกวันหนึ่งสมใจกำลังป้อนขนม เด็กหญิงดอกโศกวัย 4 ขวบ ส่วนสมหวัง เดินลงส้นเสียงปัง ปังเข้ามา ค้นกระป๋องเอาเงินไป สมใจนั่งสีหน้าชืดชา ไม่มีปัญญาคัดค้าน สมหวังเดินผ่าน ตบหัวดอกโศกทีหนึ่งค่อนข้างแรง สมใจมองแค้น

อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ดอกโศกในเวลาปัจจุบัน ถือใบธณานัติส่งให้ยาย “ยายจ๋า ใบธนานัติ...”
แต่ยังพูดไม่จบ มือสมหวังคว้าไปทันที โดยที่สมใจยังไม่ทันรับ ด้วยความลืมตัว สมใจลุกพรวดขึ้นมาทันทีเข้าไปยื้อแย่ง เลยโดนสมหวังซัดเข้าเปรี้ยงหนึ่ง เบาๆ
สมใจกอดร่างหลานไว้แน่น น้ำตาไม่มีจะไหล นัยน์ตาแห้งผาก ไม่แค้นเคืองใดๆ แต่เจ็บจนชาชิน

สมใจดึงตัวเองกลับมาจากภาพอดีตอันขมขื่นนั้น เมื่อดอกโศกพลิกตัวลืมตาตื่นอย่างเคยชิน
“เอ็งนอนต่อเหอะ ไม่ต้องช่วยทำขนมหรอก เดี๋ยวยายทำเอง” ยายบอก

เวลาใกล้รุ่งวันนั้น ยายกับหลานออกมาที่ลานทำขนมเช่นทุกๆ วัน ในชีวิต
สมใจลงมือโม่แป้ง ตั้งใจมาก เสียงโม่แป้งดังอืดๆ เป็นระยะๆ ตามจังหวะมือ ไม่นานนักมือน้อยๆ ของดอกโศก เอื้อมมาจับมือยายที่โม่ แล้วตัวเองโม่แทน สมใจถอยไป หยิบถาดถั่วทองมาเลือกๆ แล้วมองดอกโศก น้ำตาเต็มตาอย่างเวทนา
“โศก เอ๊ย”
“จ๋า”
“เอ็งอยากไปอยู่บ้านใหญ่มั้ย”
ดอกโศกก้มหน้าก้มตาโม่แป้งตรงหน้า “ไม่อยากจ้ะ”
“เขารวยนะ” ยายว่า
ดอกโศกไม่ตอบหันมายิ้มอ่อนๆ โม่แป้งเสร็จแล้ว ก็ยกหม้อใส่กะทิลุกขึ้น
“ว่าไง นังโศก ไม่ชอบเหรอเงินน่ะ” สมใจถาม
“หนูไม่ได้ใช้นี่จ๊ะ..เงินน่ะ”
สมหวังแอบฟังอยู่ สีหน้าเครียดจัด

ดอกโศกนั่งซุกตัวอยู่ในซอกหนึ่งลับตาคนในโรงเรียน เด็กน้อยหลับสนิทสีหน้ามีความสุข เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“ระฆังโรงเรียน เปลี่ยนชั่วโมง”

ครู่ต่อมาดอกโศกยืนหน้าชั้นเรียน และกำลังจะโดนทำโทษ
“พบที่ไหน” ครูประจำชั้นถาม
“ข้างห้องน้ำค่ะ” เพื่อนตอบ
“ทำอะไรอยู่”
“นอนหลับค่ะ” เพื่อนคนเดิมตอบ
ครูหันมาทางดอกโศก “ผิดมั้ย ดอกโศก”
“ผิดค่ะ” ดอกโศกตอบ
“ตีได้มั้ย”
“ได้ค่ะ” ดอกโศกบอก
“นักเรียนทุกคน..ฟังนะ ดอกโศกทำผิดให้ตีได้มั้ย”
จบคำพูดครู นักเรียนบางคนยกมือให้ตี บางคนก็บอกว่าไม่ต้องตี ทำความผิดครั้งแรก
นักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้น เสียงดัง “ผิดนี่...ต้องโดนตีสิ”
นักเรียนอีกคนลุกขึ้น “ดอกโศกเค้าไม่อยากทำผิดหรอกมั้ง” พูดพลางทำหน้าย่นยู่คิดหนัก
“จริงมั้ย...มีใครมั่งอยากทำผิด” คุณครูล่อให้นักเรียนออกความเห็น
“ไม่มี” นักเรียนตอบพร้อมกัน
“งั้นจะทำยังไงกับดอกโศกดี”
สีหน้านักเรียนแต่ละคน ดูหน้าตาบ้องแบ๊ว เหมือนใช้ความคิดหนัก
“เงียบ...ถ้าอย่างนั้นครูจะตีดอกโศกล่ะนะ”
ได้ฟังครูบอกแล้วดูเหมือนเพื่อนนักเรียนจะไม่สบายใจกันเลย
“ตีเลยค่ะ ครู” นักเรียนคนหนึ่งว่า
“เดี๋ยวสิ...ถามดอกโศกก่อน” เพื่อนอีกคนท้วง แต่นักเรียนคนนั้นพูดต่อทันควัน
“ถามอะไรล่ะ”
“ก็ถามว่าทำไมเค้าหนีไปหลับตรงนั้น”
ดอกโศกยืนอยู่หน้าห้องเรียน กำลังพยายามจะบอกเหตุผลแต่ยังอึกอักอยู่ ใจสั่นไปหมด
นักเรียนที่เป็นพวกเข้าข้างดอกโศก เชียร์ให้ตอบ...บอกไปเล๊ย
“ว่ายังไง...ดอกโศก” ครูเอาวางมือบนหัวดอกโศก สีหน้าเปี่ยมเมตตา
“เอ่อ..หนูง่วงค่ะ เพราะหนูตื่นตี 4”
เพื่อนๆ พูดพร้อมกันทุกคน “ตื่นตี 4”

ดอกโศกตัดสินใจบอกว่าเธอตื่นตั้งแต่ตี 4 มาช่วยยายโม่แป้ง นวดแป้ง พอเสร็จก็หันมาคั้นกะทิ คนขนม และปั้นขนม ทุกๆ งานดอกโศกตั้งใจทำมาก และทำอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว

เพื่อนๆ เสียงระเบ็ง “ตื่นตี 4 โม่แป้ง..ทำขนม..คั้นกะทิด้วย โห...ปั้นขนมบัวลอยเหรอ..”
“ตกลงให้ตีมั้ย” ครูถาม
นักเรียน ตอบครูพร้อมๆกัน “ม่าย...ตี ค่ะ”
“ครูไม่ตีอย่างแน่นอน ไหนบอกครูซิว่าเรื่องนี้สอนอะไร เรามั่ง” ครูว่า

ไม่นานหลังจากนั้นดอกโศกเดินลงจากตึก ได้ยินเสียงเพื่อนๆ ดังก้องในหู
“ดอกโศกขยัน” เด็กนักเรียนคนแรกเอ่ยขึ้น
“แต่ลำบาก”
“เหนื่อย”
“น่าสงสาร”
“ไม่มีใครอยากทำผิด”
“จะทำโทษใครต้องถามเหตุผลก่อนค่ะ” คนสุดท้ายว่า
สุดท้ายดอกโศกยืนหน้าตาตื้นตันใจ นึกถึงหน้าเพื่อนแต่ละคนจดจำไว้ในใจ

สุดสวยเดินเข้ามาในห้องของเพ็ญพักตร์ ปรารภขึ้นเรื่องที่ได้ยินมา
“ดอกโศกหรือ ทำไมตั้งชื่อไม่เป็นมงคลอย่างนั้นล่ะ”
“ดีแล้วให้มันโศกเศร้าจนโตเลย..ชื่อมีเยอะแยะไม่ตั้ง” เพ็ญพักตร์หยัน
“จริงด้วย...จริงด้วย มาอยู่ที่นี่มันจะโศกจนลืมไม่ลงเลยค่ะ” สุดสวยหัวเราะเสียงโหดเล็กๆ “เออ...” เริ่มนึกขึ้นได้ “แม่มันเปลี่ยนชื่อรึเปล่า ชื่อที่คุณแม่บังคับให้มันเปลี่ยนตอนโน้นน่ะพี่เพ็ญ”
“ไม่ทราบ ไม่เจอมัน” เพ็ญพักตร์ไม่ใส่ใจนัก หันไปทาครีมบรรจงทาทั้งแขนและมือ “ตอนนั้น คุณแม่วุ่นวายจริงเรื่องชื่อเนี่ย พอคลอดเธอก็ตั้งชื่อว่า ‘สุดสวย’ ชื่อพวกพี่ๆ ไม่มีเลยคำว่า ‘สุด’ พอนางสมใจตั้งชื่อลูกมัน คุณแม่ก็เอามั่ง”
“น้องนะไม่ชอบเลยชื่อสุดสวยเนี่ย...มันเชย แต่เดี๋ยว... ตกลงคุณ พ่อจะรับนังเด็กดอกโศกนี่มาอยู่บ้านนี้แล้วเหรอ พี่เพ็ญยอมเหรอ ฮึ..พี่เพ็ญยอมทำไม แหม...เป็นน้องล่ะไม่ได้ คุณพ่อก็คุณพ่อเถอะ น้องจะอาละวาดให้ถึงที่สุดเลย”
สุดสวยออกท่าทางกิริยาออกแอ๊บ นิดๆ หูตาล่อกแล่กพอสังเกตได้ ประสาสาวแก่
“เราเคยขัดคุณพ่อได้หรือ คนหัวดื้ออย่างท่าน”
เพ็ญพักตร์หน้าเครียดมาก

วันรุ่งขึ้น เพ็ญพักตร์เดินทางบ้านที่บ้านสมใจ เพื่อเจรจาเรื่องดอกโศกกับสมใจ
“เอาล่ะ แม่สมใจ แปลว่าไม่พอใจข้อเสนอของฉันเงินห้าหมื่นบาทกับหลักประกัน ว่าหลานสาวแกจะได้เรียนหนังสือสูงที่สุดที่เขาอยากเรียน”
ตากับยายมองหน้ากัน ส่วนสายตาของสมหวังน่ะ...งกสุดๆ
“ถ้าฉันก้าวเท้าออกไปจากบ้านนี้”
เพ็ญพักตร์ลุกจากเก้าอี้เก่าเจียนพัง พอลุกก็เสียหลัก เพราะเก้าอี้โยกเยก จนเกือบล้ม สมหวังลุกพรวดมาจับแขนไว้ เพ็ญพักตร์สะบัดโดยแรงเหมือนถูกเชื้อโรค
“เอ้ย..อะไรกันวะ ถูกตัวข้ามันเสนียดนักเรอะไง” สมหวังโวยวาย
“ถ้าฉันออกไปพ้นบ้านหมายความว่าทุกอย่างสิ้นสุด ไม่มีการอุปการะเด็กคนนี้อีกต่อไป แม่สมใจรู้นิสัยฉันดี ฉันเหมือนคุณแม่ พูดคำไหนคำนั้น..คิดให้ดีๆ เงินห้าหมื่นไม่ใช่น้อยๆ”
ดอกโศกเดินมาแล้วชะงักแอบที่ประตูด้านนอก หนังสือพิมพ์ปึกหนึ่งอยู่ในอ้อมแขน เพ็ญพักตร์เดินเกือบถึงประตูแล้ว
“คุณอย่าเอามันไปเลย...โศกมันไม่อยากไป ..” สมใจยังไม่จบประโยค สมหวังพูดสวนขึ้น
“เดี๋ยวคุณ อย่าเพิ่งไปสิครับ”
“ฉันเสียเวลาไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว” เพ็ญพักตร์ออกอาการหงุดหงิด
“สองแสน” สมหวังบอกราคา
สีหน้าดอกโศก เพ่งมองไปที่ตา และยาย สมใจหน้าเสีย พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ทว่าสายตาสมหวังส่อแววงก..เห็นแก่ตัว ขี้โกง มองตามเพ็ญพักตร์ที่ไม่หยุดเดิน
“แสนนึง...คำสุดท้าย แสนเดียว” สมหวังบอก
“ตกลง แสนเดียว” เพ็ญพักตร์ตกลงอย่างง่ายดาย
ดอกโศกหันหลังกลับวิ่งออกไป สีหน้าดอกโศก ได้ยินคำสุดท้ายของเพ็ญพักตร์
“ฉันจะส่งคนมารับ เตรียมตัวเด็กไว้”

ดอกโศกวิ่งซมซาน น้ำตานองหน้าพรวดออกมา ผ่านหน้าป้าขายกับข้าว พุ่งไปจะข้ามถนน
“เฮ้ย..โศกเอ๊ย ระวังลูก”
ดอกโศกก้าวลงถนนไปแล้วหยุดกึกจนหน้าคะมำ เป็นเวลาเดียวกับรถอัศนัยเบรกพรืด จอดกึก เสียงเบรกดังลั่น
อัศนัยนั่งอยู่ด้านหลัง มองไป เห็นดอกโศกน้ำตานองเต็มตา ยืนตื่นตะลึง อ้าปากน้อยๆ สีหน้าตระหนก
เป็นภาพประทับใจที่อัศนัยชายหนุ่มฐานะร่ำรวย มีความเป็นศิลปินจิตใจอ่อนโยน จดจำไม่ลืม

ระหว่างนั้นป้อมกระโจนมาจากไหนไม่รู้ กระชากแขนดอกโศกวิ่งหายลับตัวไป ดอกโศกเอามือจับหมวกไว้ไม่ให้หล่น อัศนัยชะเง้อมองตาม

ในซอกตึกแห่งนั้น ดอกโศกนั่งหมดอาลัยอยู่ หมวกที่ใส่อยู่หรุบต่ำ ซบหน้ากับเข่าสองข้างที่ชันขึ้น น้ำตายังซึมนัยน์ตาแดงก่ำ เสียงสะอึ้นดังแผ่วๆ ป้อมนั่งจับเจ่าอยู่ข้างหน้า มองอย่างจนปัญญา
“ตากะยายจะขายฉัน”
“ขาย..มีคนซื้อเหรอ” ป้อมงง
ดอกโศกพยักหน้า “ฮื่อ”
“ไม่เคยได้ยินขายคนได้ด้วยเหรอโศก”
“ฉันก็เพิ่งเคยได้ยินวันเนี้ย”
ระหว่างนั้นอัศนัยเดินมาหยุด มองหา ในขณะที่ดอกโศกพูดกับป้อมแต่ไม่ได้ยินเสียงคนเดินมา เห็นชัดว่าท่าทางดอกโศกกำลังโศกเศร้าหนัก
“ไม่จริงหรอกโศก มีแต่ขายหมู ขายปลา ขายคนได้ไง”
ดอกโศกไม่ตอบซบหน้าลงกับเข่า เงียบไป
“เหลือกี่ฉบับเนี่ย” ป้อมนับของดอกโศก “ตั้งสิบ...มา...ช่วย”
“ไม่ต้อง แกขายของแกเถอะ” ดอกโศกว่า
“งั้นเดี๋ยวมานะ...หิวน้ำมั้ย” ป้อมถาม
ดอกโศกพยักหน้าแทนคำตอบ
“แป๊บนะ” ป้อมลุกขึ้นวิ่งออกไป
ป้อมวิ่งมา สวนกับอัศนัย ที่เดินเข้าไป ป้อมไม่สนใจผ่านไปเลย อัศนัยเดินเข้าไปจนถึงตัวดอกโศก ยืนจ้องมองด้านหลัง
ดอกโศกเช็ดน้ำตาจนแห้ง ถอดหมวก เอามือเสยผมลวกๆ แล้วใส่หมวกอย่างเดิม กระชับหนังสือพิมพ์ในอ้อมกอด พอหันหลังมา ก็ต้องหยุดชะงัก
เมื่อเห็นอัศนัยยืนอยู่นัยน์ตาอ่อนโยนจ้องมองมา ดอกโศกจ้องตอบนัยน์ตาฉงน
“ขายหนังสือพิมพ์หรือ”
“ค่ะ”
“เด็กผู้หญิงหรือ ฉันนึกว่าเด็กผู้ชาย”
“คุณเป็นใคร” ดอกโศกถามสายตาระแวง
“ไม่ต้องกลัวฉัน”
“เปล่า...ไม่ได้กลัว ใครล่ะ” ดอกโศกย้อนถามอีก
“ฉันขับรถเกือบชนหนูเมื่อกี้ เห็นวิ่งหายมาฉันเป็นห่วงกลัวจะเป็นอะไร เพราะฉันเห็นว่าร้องไห้ด้วย..ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” อัศนัยห่วงใยจากใจจริง
“ไม่” ดอกโศกตอบห้วนสั้น
“จะไปขายหนังสือพิมพ์ที่ไหน”
ดอกโศกชี้ไปทางสี่แยก “โน้น”
“ที่ไหน”
“สี่แยก”
อัศนัยพยักหน้า “อ้อ...เห็นแล้ว มีเด็กขายหนังสือพิมพ์อยู่หลายคนอันตรายนะ”
ดอกโศกเหลือบมอง นัยน์ตาขุ่นๆ
“อันตราย ต้องระวังนะหนู รถแล่นเร็วออก”
“คนจนต้องหากิน ขายได้ตรงไหนก็ไป....ค่ะ” ดอกโศกมองหน้าอึดใจแล้วจึงถาม “ซื้อมั้ยคะ”
“หนังสือพิมพ์หรือ....ซื้อ ซื้อหมดนี้เลย” อัศนัยพูดพลางจะหยิบหนังสือพิมพ์ทั้งตั้ง “ไม่ต้องไปขายใครแล้ว”
“ซื้อหมดไม่ขาย..ขายให้ฉบับเดียวค่ะ” ดอกโศกบอก
“ทำไมล่ะ” อัศนัยงง
“เพราะ...คุณจะซื้อไปทำไมหมดนี่...ใครๆ ก็ซื้อหนังสือพิมพ์ทีละฉบับทั้งนั้น”
“งั้นเหรอ” อัศนัยอึ้งไป
“คุณนี่สุรุ่ยสุร่ายจริง”
คำพูดของเด็กน้อยทำเอาอัศนัยชะงักไปชั่วครู่ แล้วหัวเราะเบาๆ “จริง ถ้าซื้อหมดก็เท่ากับสุรุ่ยสุร่ายไปมากงั้นซื้อฉบับเดียวนะ เอ้าตังค์...”
ดอกโศกพนมมือไหว้
อัศนัยวางเงินในฝ่ามือดอกโศกที่แบออกมา
“ขอบคุณค่ะ” ดอกโศกเอาเงินใส่กระเป๋ากางเกง แล้ววิ่งออก
“เดี๋ยว! หนูชื่ออะไร บอกไว้เผื่อวันหลัง....ฉันจะ...” อัศนัยพยายามตะโกนถาม
“ซื้อหนังสือพิมพ์ไม่ต้องรู้ชื่อหรอกค่ะ”
ดอกโศกวิ่งออกไป
ป้อมถือน้ำใส่ถุงพลาสติก ชูร่าเข้ามาพลางร้องเรียก “ดอกโศก”

รถแล่นเข้าประตู ขับไปตามทาง แล้วจอดนิ่งที่หน้าตึก หมื่นวิ่งหน้าเริดออกมา
อัศนัยลงจากรถ เดินตัวตรงขึ้นตึก “ล้างรถเสียด้วย”
“หนังสือพิมพ์เอาเดี๋ยวนี้มั้ยครับนาย” หมื่นถาม
อัศนัยหันหลังกลับ เดินมาหยิบหนังสือในมือนายหมื่นไปถือเองแล้วเดินขึ้นตึกไป
“หนังสือพิมพ์ฉบับเนี้ย บ้านเรารับประจำอยู่แล้วนี่ครับ คุณนัยซื้อมาอีกทำไมครับ” หมื่นถามอย่างงงๆ
อัศนัยเก้อนิดๆ “ทำไม..ซื้ออีกเล่มมันหนัก...อะไรของแกล่ะเว๊ย”
“ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ”
“ไอ้บ้า...แกอย่าพูดเอาความดีใส่ตัวเอง ฉันรู้แกเจตนาว่าฉัน”
“ว่าคุณนัย” หมื่นร้องเสียงหลง “ผมจะว่าอะไรคุณนัย...”
“ว่า...” จังหวะนั้นสายตาอัศนัยคิดถึง คำพูดดอกโศก ยิ้มขำๆ ออกมา “ฉันน่ะ...สุรุ่ยสุร่ายน่ะสิ” อัศนัยเดินขึ้นตึกไป
“สุรุ่ยสุร่าย....สุ..รุ่ย..สุ...ร่าย แปลว่าอะไร” หมื่นพึมพำอยู่คนเดียว

อัศนัย ถือหนังสือพิมพ์ เดินไปเรื่อยๆ ในใจได้ยินเสียงป้อมที่เรียกชื่อดอกโศก
“ดอกโศก...” เสียงนั้นดังสะท้อนไปอีกหลายๆ เสียง
อัศนัยยืนเลือกหาแผ่นเสียงจากกอง ครู่ต่อมามือของอัศนัย วางแผ่นเสียงลงบนเครื่อง กดให้เข็มเคลื่อนไป
เสียงเพลงท่วงทำนองหวานซึ้งดังขึ้น
...โอ้ดอกโศก เจ้าโศกใจไฉนกัน หรือทุกทุกวันเจ้าครวญ
ชื่อดอกโศกเจ้าโศกใจไม่เย้ายวน พารัญจวญคิดหวนไห้...
อัศนัยทิ้งตัวลงนอนบนเก้าอี้เอน นัยน์ตาครุ่นคิดคำนึง

เสียงเพลงดังต่อเนื่อง
...ลมรำเพยยังเคยโชยกลิ่น รื่นรวยรินๆ หอมเย็นไม่เว้นวาย
ดอกโศกงามอร่ามพรรณราย ใครหนอให้ชื่อเอย…

ในมืออัศนัยยามนี้ถือพู่กันอยู่ ชายหนุ่มกำลังเพ่งอยู่กับการวาดภาพลายเส้น เป็นอิริยาบทขณะที่ดอกโศกชมหน้าอยู่กับเข่าเห็นเสี้ยวหน้าละมุน นัยน์ตาโศกซึ้ง มีน้ำตาคลอหน่วยตานิดๆ
อัศนัยจ้องมองที่ใบหน้าดอกโศกในภาพอย่างไม่วางตา
ในเวลานั้นสมหวังชี้หน้าสมใจอย่างโกรธจัด
“ถ้าแกทำให้นังโศกยอมไปไม่ได้ แกเจ็บตัวแน่นังสมใจ”
สมใจไม่ตอบแต่กัดฟันแน่น
“เงินหมื่น หาไปอีกชาติก็ไม่ได้ อ้อยเข้าปากช้างแล้วกูไม่คายหรอกเว๊ย” สมหวังว่าอย่างมีอารมณ์
“ไม่สงสารมันมั่งเหรอ ต้องไปอยู่กับใครก็ไม่รู้”
“ใครก็ไม่รู้ หนอย พูดออกมาได้ แกเป็นยาย ผัวแกน่ะเขาเรียกว่าอะไรล่ะ....ชะ ใครก็ไม่รู้” ตาโมโหขึ้นมาอีก เข้าไปใกล้เงื้อง่าราคาแพง “เอาซะทีดีมั้ย”
สมใจมองหน้านิ่งๆ ก่อนจะเค้นเสียงพูดออกมา “ชั้นหมายถึง เค้าเป็นคนแปลกหน้าของนังโศกมัน เด็กหัวเท่ากำปั้นเสือกไสให้ไปอยู่กับคนแปลกหน้า...อยู่บ้านใหญ่โตก็จริงแต่มันไม่เคยอยู่กับเขา แกคิดหน่อยว่าหัวอกเด็กมันจะเป็นยังไง”
“เป็นยังไงเหรอ ก็สบายน่ะสิ เห็นก็เห็นว่าเขารวยล้นฟ้า หลานสาวแกจะสบายแน่นอน จะได้เรียนหนังสือสูงๆ”
ระหว่างนั้นสมหมายหิ้วคอเสื้อดอกโศก พาเข้ามาหาพ่อ
“ไอ้สมหมาย ทำอะไรโศกมัน” สมใจหันไปถามลูกชาย
“พ่อให้ไปพาตัวมา เอ้า พ่อ เอาไป” สมหมายโยนร่างดอกโศกถลาไปที่มุมหนึ่ง ดอกโศกฟุบคาที่
“ไอ้หมาย ทำหลานยังงั้นได้ไง โศก โศกเอ๊ย” สมใจปิ่มจะขาดใจ
ดอกโศกยันตัวลุกขึ้นมา “ยาย หนูไม่ไปไหนนะ หนูจะอยู่กับยาย หนูตัดสินใจแล้ว”
“ใครบอกให้เอ็งตัดสินใจ ฮะ เอ็งไม่มีหน้าที่ตัดสินใจ ไปเก็บของ” สมหวังสั่งเสียงกร้าว
“ยาย...” นัยน์ตาดอกโศกเวลานี้ มีน้ำตาคลอเต็มตา “หนูไม่ไปนะยาย ให้หนูอยู่นะ ถ้าหนูไปใครจะช่วยยายทำขนม”
ได้ฟังคำพูดนั้น สมใจก็สุดจะกลั้นร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆ กอดดอกโศกแนบแน่น ดอกโศกซุกหน้ากับอกยาย
“ดอกโศกเอ๊ย ดอกโศก แก...” ยายพูดกับตา เสียงสั่นสะท้าน “ข้าเลี้ยงของข้ามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย อย่าเอามันไปเลยนะแก”
“ก็บอกแล้วไงว่ามันไปสบาย” สมหวังบอก
“มันอยู่นี่มันก็สบาย” สมใจเถียง
สมหวังปราดเข้ามาตบสมใจเปรี้ยงใหญ่
“ยาย” ดอกโศกผวาเข้ามาประคองยาย
สมหวังโมโหจับแขนดอกโศกเหวี่ยงไปสุดแรง ดอกโศกไปฟุบอยู่มุมห้อง สะบัดหน้าหันมา มองไปที่ตาซึ่งซ้อมยายอยู่ตรงหน้า
“กูจะตบมึง” สมหวังตบสมใจเปรี้ยง “ให้มันดู” ตบอีกเปรี้ยง “มันไม่ยอมไปมันก็จะเห็นยายมันโดนอย่างเนี้ย เอา...มันทนดูได้ก็เอา” ตบเปรี้ยงสุดท้ายสุดแรง
ร่างของสมใจกระเด็นไปฟุบกองอยู่กับพื้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา ในสภาพเลือดกำเดาไหลเต็มจมูก นัยน์ตาเคียดแค้น
สมหมายเข้าไปกอดแม่แน่น “พ่อ...พ่อซ้อมแม่อีกแล้ว...ฉันเอาตัวนังโศกมาให้แล้วไง”
“ไอ้หมายหลีกไป” สมหวังบอกอย่างฉุนเฉียว
“ไม่..อย่านะพ่อ ฉันไหว้เถอะ อย่าซ้อมแม่อีกเลย”
“มึงอย่ายุ่ง” สมหวังตวาดสมหมาย
“ตั้งแต่ฉันเกิด พ่อก็ซ้อมแม่อย่างนี้ตลอดเลย ฉันสงสารแม่นะพ่อ”
“ถามแม่มึงสิว่าทำอะไร” สมหวังบอกอย่างเดือดดาล
“ทำอะไร พ่อก็พูดดีๆ สิ ซ้อมทำไมล่ะ ฮือ..ฮือ” สมหมายกอดแม่ร้องไห้ออกมา
“เฮ้ย ไอ้หมาย ออกมา...กูจะพูดกะแม่มึง มึงหลีกไป”
สมหมายร้องลั่น “ไม่...ไม่” พลางกอดแม่แน่น สมหวังเข้าไปลากสมหมายออกมา พอเห็นสมหมายไม่ยอมปล่อย สมหวังยิ่งดึงใหญ่ ดอกโศกโถมตัวไปกอดยาย ทั้งสมหมายทั้งดอกโศกกอดกันกลมกับสมใจ
“ได้เลยนังโศก กูเอาเรื่องกะมึงก็ได้”
สมหวังกระชากดอกโศกเต็มแรง ร่างน้อยๆ ของดอกโศกปลิวขึ้นมาตามแรงนั้น สมหวังเงื้อมือสุดแขนหมายจะฟาด
“อย่า” สมใจพูดเสียงดัง ยันตัวพยุงร่างขึ้นมา เหมือนจำใจต้องทำ “ดอกโศกไปเตรียมตัว”
“ยาย...หนูไม่ไป ถึงตาตีหนูก็ไม่ไป
“เอ๊ะ อย่าดื้อนะ”
“ไม่ดื้อ แต่อย่าให้หนูไปเลยนะจ๊ะ”
“อีลูกเวร บอกให้ไปไง๊” ยายพูดเสียงดัง ทั้งที่น้ำตาท่วมตา
สมใจพูดไปก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ลงไปนั่งชันเข่า กุมหัว ดอกโศกร้องไห้เสียงดัง
สมใจพยายามพูดกล่อมดีๆ “นังโศก เชื่อยาย ไปเสียก่อนเถอะลูก ไม่งั้นตาเอ็งจะเอาตายกันหมดทุกคน”
ดอกโศกน้ำตาท่วมตา หันมามองยายเป็นเชิงขอร้อง สมใจมองเป็นเชิงตอบ สายตาบอกว่ายอมเถอะลูก
เด็กหญิงตัวน้อยจึงพยักหน้ารับ “ยาย”
“เชื่อยาย....ไปก่อน” สมใจบอก
“ไม่ไปก่อนหรอกเว๊ย ไปเลย...ไปลับไปแล้วไม่ต้องกลับมา” สมหวังว่า

ในเวลาต่อมานายสมขับรถซึ่งมีดอกโศกนั่งอยู่ข้างหน้า กอดห่อผ้าห่อหนึ่งแน่น รถแล่นผ่านป้ายชื่อบ้านรัตนชาติพัลลภ ดอกโศกมองดูชื่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่อัศนัยขับรถกลับออกไปจากบ้านพอดี
รถสองคันขับสวนผ่านกันบริเวณหน้าบ้าน

อัศนัยเขม้นมองเข้าไปในรถคันนั้น ชายหนุ่มมองเห็นดอกโศกเต็มตา







Create Date : 13 เมษายน 2555
Last Update : 13 เมษายน 2555 1:16:49 น.
Counter : 304 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]