Romantic Road day 6 Neushwanstein ปราสาทในเทพนิยายกับ King Ludwig II ผู้แสนอาภัพ



2010-06-15 059


วันนี้เราจะไปเที่ยวปราสาท นอยชวานสไตน์ ( Neushwanstein) ที่โด่งดังที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ให้นึกถึงปราสาทเทพนิยายในการ์ตูนของวอล์ทดิสนีย์นั่นแหละ ใช่เลย เค้าสร้างเลียนแบบมาจากปราสาทแห่งนี้นั่นเอง ตัวปราสาทนั้นตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากๆ บนหน้าผาสูงชันในเขตเทือกเขาแอล์ป ด้านล่างมีทะเลสาบชวานซี ( Schwansee หรือ Swan Lake ) หรือทะเลสาบหงส์ จากตัวปราสาทจะมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ด้านหนึ่งเป็นสะ พานมารีนบรึค ( Marienbrucke ) ที่เชื่อมหน้าผาสูงชันเข้าด้วยกัน อีกด้านมองไปไกล จะเห็นทะเลสาบฟร็อคเค็นซี ( Forggensee )ในเมืองชวางกาว ( Schwangau ) ปราสาทแห่งนี้สร้างในปี 1869 และมาเสร็จสมบูรณ์ในปี 1892 โดยพระเจ้าลุดวิคที่ 2 ( King Ludwig II ) กษัตริย์แห่งแคว้นบาวาเรีย ออกแบบโดยคริสเตียน จังค์ ( Christian Jank ) นักออกแบบตกแต่งโรงละคร โดยมีแรงบันดาลใจมาจากละครโอเปร่าเรื่องโลเฮนกริน ( Lohengrin ) อัศวินหงส์ขาว ของศิลปินริชาร์ด วากเนอร์ ( Richard Wagner ) ผู้เป็นศิลปินในดวงใจและเป็นทั้งเพื่อนสนิทของพระองค์
แต่กว่าเราจะออกสตาร์ทกันได้ ก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงครึ่ง ด้วยข้ออ้างที่ว่า เราพักอยู่ใกล้ ไม่ต้องรีบร้อน แถมอากาศก็ขะมุกขะมัวน่านอนยิ่งนัก อีกอย่างมิเชเลอร์ไอมากเหลือเกิน เลยจับกรอกยาแก้ไอ ค่อยเงียบเสียงไปได้บ้าง เลยปล่อยให้นอนให้เต็มที่ กลัวลูกไม่สบายเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไร พอรู้ว่าจะไปเที่ยวปราสาท ก็ตื่นเต้นใหญ่เพราะตอนนั้นชอบแต่เจ้าหญิง รบเร้าว่าเมื่อไหร่เราจะไปเที่ยวปราสาทกันซะที “ไปกันวันนี้แหละลูก” ฉันตอบเขาไป เธอกระดี๊กระด๊าจะไปเที่ยวปราสาท แต่พอลงมาจากที่พักเจอกับสนามเด็กเล่น เธอก็พุ่งตรงหาไปทันที ถามว่าไม่ไปดูปราสาทแล้วเหรอลูก ไป ไป แต่ขอเล่นก่อนนะ แน่ะ มีต่อรอง ต้องยอมให้เล่นซักพัก แล้วรีบกำชับว่า ถ้าไม่ไปเดี๋ยวเค้าปิดแล้วจะอดดูนะ นั่นแหละถึงได้จากมาแบบอาลัยอาวรณ์ แต่ยังขอสัญญาจากฉันว่า กลับมาแล้วต้องมาเล่นต่อนะ นะ

วันนี้ฝนไม่ตก ไม่มีแดด แถมยังมีหมอกลงจัดเกือบทั้งวัน ระยะทางจากเมืองฟุสเซน ( Füssen ) ไปชวางกาว (Schwangau) ที่เป็นที่ตั้งของปราสาทนี้แค่ 4 กิโลเมตรเอง หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าปราสาทแห่งนี้อยู่ที่เมืองฟุสเซน แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ อาจเป็นเพราะว่าฟุสเซนเป็นเมืองสุดท้ายในเส้นทางสายนี้ และยังเป็นเมืองที่ใกล้ที่สุด และเหมาะสำหรับการพักค้างคืนมากกว่าจะไปค้างที่ชวางกาว เพราะที่นั่นมีที่พักน้อย แถมยังราคาแพงกว่ากันเยอะละมั้ง

no 619
บรรยากาศวันนี้


ประมาณเที่ยงกว่าๆเราก็มาถึง ยิ่งรถแล่นใกล้เข้าไปเท่าไหร่ ก็จะมองเห็นปราสาทเป็นระยะๆ อีกแค่ไม่กี่นาทีก็จะถึงอยู่แล้ว ฉันก็ยังไม่วายขอให้บาร์ทจอดรถตามรายทาง เพื่อถ่ายรูป แบบว่าอยากได้ในหลายเวอร์ชั่นนั่นเอง แม้อากาศไม่ดีแต่นักท่องเที่ยวก็ยังคงไม่ย่อท้อ ตรงลานจอดรถคลาคล่ำไปด้วยบรรดารถนักท่องเที่ยวทั้งหลาย หลากหลายสัญชาติ รถทัวร์ก็มี พี่ยุ่นของเราก็มาไม่น้อยหน้า จากนั้นต้องไปซื้อตั๋วเข้าชมที่ด้านล่าง ซึ่งจะเปิดให้เข้าขมเป็นรอบๆ เหมือนการเข้าดูหนังในโรงภาพยนตร์ประมาณนั้น โดยมีไกด์นำเข้าชมเป็นภาษาอังกฤษหรือเยอรมัน แจ้งภาษาที่ต้องการตอนที่ซื้อตั๋ว ราคาตั๋วคนละ 9 ยูโร มิเชลเลอร์ตีตั๋วฟรี เราเลือกซื้อรอบ 13.45 น. ได้บัตรคิวที่ 457 ต้องเข้าชมตามคิว ซื้อตั๋วแล้วก็ต้องกะเวลาขึ้นไปให้ดี เพราะตัวปราสาทอยู่ด้านบนหากพลาดแล้วจะแย่ เสียเงินแต่ไม่ได้ชม

Scan10082


การขึ้นไปบนนั้นก็มีทางให้เลือกอีก หากอยากทดสอบกำลังขาและเดินชมวิวก็ทำได้ ใช้เวลาประมาณ 30 - 40 นาที แต่ทางเดินลาดชัน สำหรับคนที่ไม่เคยออกกำลัง อาจต้องบวกเวลาพักเหนื่อยเข้าไปอีก ถ้าไม่เดินไม่ไหวก็มีรถม้าให้บริการแค่คนละ 5 ยูโร แต่ต้องทนเหม็นตูดม้ากันนิดหน่อยนะ ฮ่าๆ หรือถ้าจะเร็วกว่านั้นก็จะมีรถบัสให้บริการอีกเช่นกัน สำหรับเราสามคนเลือกนั่งรถม้าตามออร์เดอร์ของมิเชลเลอร์ คันนึงก็นั่งได้ประมาณ 10 คน เราโชคดีที่ได้นั่งหน้ากับคนขับ เอ คนกุมบังเหียนถึงจะถูกสินะ นั่งไปก็สงสารมันเหมือนกัน ต้องเดินขึ้นเดินลงทั้งวัน แถมทางยังลาดชันอีกต่างหาก มันก็เดินเหยาะๆของมันไปเรื่อยๆ เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่เราคนนั่งเริ่มกระสับกระส่าย เมื่อไหร่จะถึงซะทีหนอ ก็กลิ่นตัวของม้าช่างแรงเหลือเกิน สงสัยไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน แถมยังมีการตดให้ดมอีกแน่ะ มิเชลเลอร์นะลูก ให้แม่เสียเงินมาดมกลิ่นม้าซะนี่
no 634


no 627
ดมตรูดม้าจะเป็นลม


นั่งทนดมกลิ่นม้ามาได้อย่างปลอดภัยไม่เป็นลมไปซะก่อน ในที่สุดก็มาถึงด้านบน แต่ลงจากรถม้า ก็ต้องเดินต่อขึ้นไปอีกพอประมาณ ด้านซ้ายของปราสาทเป็นลานกว้าง เป็นจุดชมวิว ส่วนด้านซ้ายจะมีทางเดินไปยังสะพานมารีบรึค ( Marienbrücke ) ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมหน้าผาทั้งสองด้าน เป็นจุดชมวิวและมองเห็นตัวปราสาทได้ดีอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ฉันหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องไปด้วยเหมือนกัน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมีป้ายประกาศปิดทาง เนื่องจากอากาศในวันนั้นไม่เป็นใจ ทางเดินปกคลุมด้วยหิมะซึ่งกำลังละลาย อาจเกิดอันตรายได้ เพราะเป็นทางลาดชัน เซ็งจังเลย เซ็งที่สุด แต่มิเชลเลอร์มิได้เซ็งไปกับฉัน โน่น ไปเล่นปาหิมะกับพ่อ ป็นที่สนุกสนาน พอใกล้จะถึงเวลาเข้าชมถึงได้หยุดเล่นแล้วเข้าไปรอคิวด้านใน
no 639


2010-06-15 029
สะพานมารีบรึค ( Marienbrücke )


2010-06-15 057


2010-06-15 042
ทางเดินไปสะพาน รูปนี้ไปช่วงหน้าใบไม้ผลิ


2010-06-15 078


2010-06-15 054


2010-06-15 045
วิวระหว่างทางเดิน


no 637


ผ่านประตูทางเข้าไปแล้ว ก็จะเป็นลานกว้างพอประมาณ เหมือนตัวเราอยู่ในวงล้อมของกำแพงที่สูงชัน มีนักท่องเที่ยวยืนรอกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีนาฬิกาและรวมถึงหมายเลขคิวที่จะได้เข้าเป็นรายต่อไป จำนวนคนเข้าชมในแต่ละรอบก็น่าจะประมาณ 10 คนขึ้นไปเห็นจะได้ ในที่สุดก็ถึงคิวเราซะที ไกด์ก็จะนำเดินชมไปแต่ละห้อง พร้อมเล่าประวัติและรายละเอียดปลีก ย่อยให้ฟัง ฉันฟังมั่งไม่ฟังมั่ง เพราะตั้งใจจะดูอย่างเดียว แล้วค่อยไปหาซื้อหนังสืออ่านเอาเองทีหลังดีกว่า ภาษาก็ไม่ดีแถมมาเจอสำเนียงอังกฤษแบบเยอรมัน แล้วยังเสียงซุบซิบหึ่งๆจากลูกทัวร์อีก แต่ที่ทำเอาผิดหวังก็คือ เค้าห้ามถ่ายรูป สวยเซ็งจริงเชียว
2010-06-15 011


2010-06-15 023


ระหว่างที่ชมไปแต่ละห้องนั้น ก็ได้แต่นึกในใจ อะไรมันจะสวยงามขนาดนี้ สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทในเทพนิยาย แต่ละห้องตกแต่งเริดหรูอลังการงานสร้าง นี่จะทำโรงละครหรือว่าที่ประทับกันหว่า แค่ห้องแรกก็เริ่มจะเคลิ้มซะแล้ว เรียกน้ำย่อยด้วยภาพเขียนเกี่ยวกับตำ นานในเทพนิยายของเยอรมัน ถัดไปก็จะเป็นห้องบัลลังก์ (Throne Hall ) มาถึงห้องนี้ก็ต้องหยุดหายใจไปชั่วคราว ว้าว สวยเหลือเกิน ห้องโถงใหญ่หรูหรา สไตล์ไบแซนไทน์ สร้างเลียนแบบวิหารนักบุญในมิวนิค ตรงกลางห้องมีโคมไฟขนาดใหญ่มหึมาลอยเด่นอยู่ บนผนังมีภาพวาดของบรรดานักบุญทั้ง หลาย ด้านบนเหนือบัลลังก์เป็นภาพพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ รายล้อมด้วยพระแม่มารี เหล่านักบุญและบรรดานางฟ้าทั้งหลาย ส่วนตรงกลางด้านหลังจะเป็นภาพอัศวินกำลังฆ่ามัง กร ( ภาพวาดทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของ W. Kolmsberger ในปี1884 ) ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าแม้จะเป็นห้องบัลลังก์ แต่ตรงส่วนที่จะเป็นบัลลังก์หรือที่นั่งนั้นว่างเปล่า พระองค์ไม่มีโอกาสได้ใช้ห้องนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะทรงสิ้นพระชนม์ไปซะก่อนที่จะสร้างเสร็จนั่นเอง ถึงตอนนี้เริ่มเศร้าแล้วเรา

ไปห้องเสวยพระกระยาหาร เป็นห้องเล็กๆ มีโต๊ะสำหรับเสวยสำหรับพระองค์เท่านั้น ตกแต่งวิตรตระการตาด้วยโทนสีแดงของผ้าไหม ติดตั้งกริ่งเรียกด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้ผู้รับใช้ได้ยินทั่วไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ต่อมาที่ห้องบรรทม ห้องนี้ก็สวยออกโทนสีแดง แท่นบรรทมทำด้วยไม้โอ๊ค สลักลวด ลายสวยงาม ผ้าปูที่นอนและผ้าม่านคลุมเตียงเป็นผ้าไหมสีฟ้าอ่อน ซึ่งเป็นสีที่พระองค์ชอบภาพวาดด้านบนก็เป็นหนึ่งในบทละครของริชาร์ด วากเนอร์ แต่ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ที่อ่างล้างหน้าจะมีก๊อกน้ำ เหยือกน้ำ ฟองน้ำ ที่ใส่สบู่ ล้วนดีไซน์เป็นรูปหงส์เข้าชุดกันทั้งหมด

ไปถึงห้องแต่งตัว นี่ก็สวยไม่เบา ตกแต่งด้วยภาพวาดบทละครอีกเช่นเคย บนเพดานจะเป็นภาพวาดในสวน มีไม้เลื้อย มีฉากหลังเป็นท้องฟ้า มาถึงห้องโถงรับรองแขก ( Salon ) ห้องนี้ตกแต่งด้วยภาพวาดอัศวินอยู่ในพาหนะเหมือนเปลือกหอยลากไปด้วยหงส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในฉากละครโปรดเรื่อง โลเฮนกริน ( Lohengrin ) มีโคมไฟระย้าสวยงาม เสาประตูโค้งอ่อนช้อย ถัดมาระ หว่างห้องรับแขกกับห้องทรงงานจะเป็นส่วนที่น่าทึ่งอีกแห่งหนึ่งทีเดียว น่าจะมีที่ปราสาทแห่งนี้แห่งเดียวแน่ๆเลย เพราะห้องที่เห็นคือถ้ำจำลอง( Grotto and Conservatory ) มีน้ำตกจำลอง ตกแต่งด้วยแสงไฟสวยงาม มีประตูกระจกแบบเลื่อน เปิดออกไปสู่ระเบียงเพื่อชมวิวทิวทัศน์อีกด้วย จากนั้นก็จะเป็นห้องต่างๆ ทุกๆส่วนได้รับการตกแต่งอัดแน่นเต็มไปหมด

มาถึงห้องที่ทรงโปรดมากๆอีกห้องนั่นก็คือ ห้องร้องเพลง ( Sining room )ห้องนี้อยู่บนชั้นสี่ มีขนาดใหญ่มาก โดยสร้างเลียน แบบห้องร้องเพลงของปราสาทวาร์ทเบิร์ก ( Wartburg ) ห้องนี้สร้างไว้เพื่อใช้สำหรับงานแสดงละครที่พระองค์ทรงโปรดปราน ตกแต่งด้วยภาพวาดฉากในละครอีกเช่นเคย รวมทั้งประดับประดาอย่างหรูหราและแน่นไปทุกตารางนิ้วอีกเช่นเคย มา ถึงห้องสุดท้ายคือห้องครัว กว้างขวางมากๆ อุปกรณ์ครบถ้วน แบบทันสมัยที่สุดสำหรับสมัยนั้นเลยทีเดียว
2010-06-15 037
ห้องครัวด้านล่างสุด ห้องนี้ถ่ายรูปได้


ทัวร์จบลงแล้วด้วยความรู้สึกอิ่มเอมที่ได้เห็นปราสาทในฝันแห่งนี้ แต่ละห้องช่างงดงามวิจิตรบรรจงเหลือเกิน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเศร้า เมื่อนึกว่าเจ้าของปราสาทแห่งนี้ต้องอยู่แต่เพียงเดียวดายตามลำพัง ด้วยความใคร่รู้ว่า อะไรหนอทำให้ชีวิตของเจ้าถึงอาภัพเช่นนี้ ฉันจึงแวะซื้อหนังสือประวัติเของพระองค์ รวมถึงภาพห้องต่างๆภายในปราสาทแห่งนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก ส่วนมิเชลเลอร์ก็ขอมีของที่ระลึกด้วยเช่นกัน โดยเธอเลือกจิกซอภาพปราสาทที่ปกคลุมด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาว
2010-06-15 024
วิว ถ่ายจากหน้าต่างบนตัว


2010-06-15 027


ขากลับเราใช้วิธีเดินลงมาแทนการนั่งรถม้า เพราะเป็นทางลาดลง ก็จะเหนื่อยน้อยกว่าตอนเดินขึ้น ถือเป็นการเดินชมวิวไปในตัว สองข้างทางเป็นป่าโปร่ง เนื่องจากใบไม้ได้ร่วงหล่นปกคลุมพื้นดินเป็นสีแดง มีหิมะที่ยังละลายไม่หมดเป็นหย่อมๆ ไม่นานเราก็มาถึงด้านล่าง ยังมีอีกปราสาทให้ขึ้นไปดู นั่นคือปราสาทโฮเฮนชวางกาว ( Hohenschwangau ) ซึ่งอยู่บนเนินเขาใกล้ๆกันนั้นเอง เป็นปราสาทที่พระเจ้าลุดวิคได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กที่นี่ เราตกลงกันว่าคงไม่เข้าไปดูข้างใน เพราะคิดว่าแค่ได้ดูสิ่งที่เป็นที่สุดของปราสาทนอยชวานสไตน์นั่นก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว
no 643


no 647

no 654


no 656


ดูเวลาก็พึ่งจะสี่โมงเย็นเท่านั้น แถมที่พักก็อยู่ไม่ไกล ก็เลยโอ้เอ้กันอยู่ที่นี่ต่อ บาร์ทกับมิเชเลอร์ไปเล่นปั้นตุก๊ตาหิมะตรงสนามหญ้าด้านล่าง ส่วนฉันเดินขึ้นเนินไปยังปราสาทโฮเฮนชวางเกา เพื่อหามุมสวยๆถ่ายรูปอีก ขึ้นมาถึงด้านบน ดูช่างเงียบเหงาแตกต่างจากปราสาทใกล้ๆกันอย่างสิ้นเชิง ถ่ายรูปเสร็จก็ลงไปสมทบกับบาร์ท แล้วไปเดินเล่นกันที่ทะเลสาบชวานซีที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นเอง ได้เวลาพอสมควรเราก็กลับที่พักและทำอาหารง่ายๆกินกันที่บ้านแทนการไปนั่งในร้านอาหาร รู้สึกว่าวันนี้อิ่มใจที่ได้ดูสิ่งสวยๆงาม ฉันเลยลืมเรื่องขาหมูเยอรมันไปเลยซะสนิท ไว้พรุ่งนี้แล้วกัน
no 670


no 685


2010-06-15 053
ปราสาทโฮเฮนชวางเกา


no 695


no 690


no 697


2010-06-15 092


2010-06-15 094


no 676


no 718
ระหว่างทางกลับที่พัก


พระเจ้าลุดวิคที่ 2 ผู้อาภัพ ( King Ludwig II )
หลังจากส่งมิเชลเลอร์เข้านอนแล้ว ฉันจึงหยิบหนังสือประวัติของพระเจ้าลุดวิคที่สองมานั่งอ่านอย่างเอาจริงเอาจัง ใครจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม แต่ฉันรู้สึกว่าชีวิตของพระองค์นั้นช่างน่าสงสารจริงๆ พระองค์ทรงใช้ชีวิตตลอดวัยเยาว์ที่ปราสาทโฮเฮนชวางกาว ถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวด ขาดความอบอุ่น เพราะไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ หากแต่ถูกเลี้ยงโดยข้าราชบริพาร ไม่ได้เรียนและเล่นเหมือนกับเด็กๆทั่วไป แต่มีอาจารย์พิเศษมาสอนให้โดยเฉพาะ ทำให้พระ องค์มีนิสัยค่อนข้างเก็บตัว เป็นคนขี้อาย สังเกตว่ามัก จะไม่ค่อยมีภาพถ่ายหรือภาพเขียนของพระองค์มากนัก ไม่มีภาพใดเลยที่พระองค์ทรงมองกล้องหรือมองผู้เขียนรูปแบบตรงๆ มีเพื่อนเพียงไม่กี่คน ที่สนิทที่สุดคือเจ้าหญิงอลิซาเบท แห่งบาวาเรีย และริชาร์ด วากเนอร์ ผู้ประพันธ์บทละครที่พระองค์ทรงหลง ไหล รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างปราสาทชื่อดังแห่งนี้นั่นเอง

ชีวิตที่ห่างไกลจากผู้คน เติบโตมากับนิทานรวมถึงการอยู่ท่ากลางธรรมชาติที่สวยงาม ได้หล่อหลอมให้พระองค์อยู่ในโลกของคนเพ้อฝัน โลกแห่งจินตนาการ ทรงหลงไหลในงานวรรณกรรมอย่างมาก โดยเฉพาะวรรณกรรมของวากเนอร์ ตอนอายุ15 พระองค์ได้มีโอกาสชมละครของวากเนอร์ เรื่องโลเฮนกริน ( Lohengrin ) เป็นครั้งแรก นั่นยิ่งทำให้พระองค์ยิ่งหลงไหลในงานของวากเนอร์หนักขึ้นไปอีก จนถึงขนาดยกย่องให้เป็นทั้งศิลปินในดวงใจรวมถึงเพื่อนผู้รู้ใจอีกด้วย แล้วจู่ๆเจ้าชายนักฝันก็ต้องขึ้นครอง ราชย์อย่างกระทันหัน ด้วยวัยเพียง 18 ปี เนื่องจากพระราชบิดาได้สิ้นพระชนม์อย่างกระทันหัน เจ้าชายผู้ที่หมกมุ่นอยู่แต่วรรณ กรรม ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน แถมยังไม่มีประสบการณ์บริหารบ้านเมือง อีกทั้งยังทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับบทละครและดนตรี โดยไม่สนใจบริหารบ้านเมือง หมกมุ่นอยู่กับริชาร์ด วากเนอร์เป็นส่วนใหญ่ จนเกิดข้อครหาเบี่ยงเบนทางเพศ และหนักขึ้นเมื่อพระองค์ทรงประกาศถอนหมั้นจากเจ้าหญิงโซเฟีย ( Princess Sophia ) น้องสาวของเจ้าหญิงอลิซาเบธ ทั้งๆที่หมั้นกันยังไม่ทันถึงปี

แม้ว่าวากเนอร์ได้ถูกรัฐบาลกำจัดออกนอกประเทศไป เพราะถือว่าเป็นตัวการให้พระ องค์ทรงหมกมุ่นอยู่แต่ในโลกความฝัน แต่หาได้หยุดยั้งพระองค์ไว้ได้ พระองค์กลับทรงมุ่งมั่นทุ่มเทเวลาให้กับการสร้างปราสาทในฝันต่อไป โดยไม่สนใจบริหารบ้านเมือง แถมยังใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างฟุ่มเฟือยจนเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้น ก็เพื่อปราสาทในฝันของพระองค์เท่านั้น ในที่สุดพระ องค์ถูกลงความเห็นจากคณะแพทย์และขุนนางทั้งหลายว่าบ้า รักษาไม่หาย จึงถูกบังคับให้สละราชสมบัติ และถูกกักกันบริเวณภายใต้การดูแลของแพทย์ที่พระราชวังแบร์ก ( Berg Palace ) และในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ.1886 เพียงวันเดียวหลังจากถูกควบคุม พระองค์ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 41 ชันษา ที่ทะเลสาบสตัมแบร์ก ( Lake Starnberg)พร้อมกับแพทย์ผู้ติดตามพระองค์คือ ด๊อกเตอร์ ฟน คุดเดน (Dr. Von Gudden ) แพทย์ผู้วินิจ ฉัยว่าพระองค์บ้านั่นเอง และยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ว่า พระองค์ถูกฆาตกรรมหรือว่าเป็นอุบัติเหตุจมน้ำตาย หรือทรงฆ่าตัวตายเองกันแน่ แล้วทำไมนายแพทย์ถึงต้องมาตายตามกันไปด้วยเช่นนี้

อนิจจา ปราสาทที่พระองค์แสนรักแต่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่นี่แค่เพียงไม่นาน พระองค์ทรงรักปราสาทแห่งนี้มาก ถึงกับตรัสในระ หว่างถูกคุมขังว่า ห้ามใครมาแตะต้องดินแดนในฝันของพระองค์ แต่หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เพียง 7 สัปดาห์ ปราสาทแห่งนี้ก็ได้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม นัยว่าเพื่อหาเงินมาใช้หนี้สินที่ได้นำมาก่อสร้างปราสาทแห่งนี้นั่นเอง
คืนนั้นฉันหลับไปด้วยความเศร้าใจในชะตากรรมและความอาภัพของพระองค์จริงๆ
no 705



ปราสาทนอยชวานสไตน์ ( Neushwanstein ) ข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติม
การเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่เมืองฟุสเซน ( Fussen ) แล้วต่อรถบัสสาย 78 มุ่งตรงสู่ชวางกาว( Schwangau ) อันเป็นที่ตั้งของปราสาท หรือรถบัสสาย 73 ปลายทางที่ Steingaden / Garmisch-Partenkirchen ดูรายละเอียดได้ที่ //www.rvo-bus.de
วิธีขึ้นไปบนปราสาท :
1. เดินขึ้นไปโดยใช้เวลาประมาณ 30 -40 นาที
2. โดยรถม้า ซึ่งจอดอยู่ที่หน้าโรงแรม Hotel Müller ที่อยู่ด้านล่างของปราสาท ราคาขาขึ้นจะแพงกว่าขาลง โดย ณ ปี 2009 ราคาขาขึ้นคนละ 6 ยูโร ขาลง 3 ยูโร
3. โดยรถบัสโดยจุดขึ้นรถจะอยู่ที่หน้าโรงแรม Schlosshotel Lisl ตั๋วขาขึ้นคนละ 1.80 ยูโร ขาลงคนละ 1 ยูโร ตั๋วไปกลับคนละ 2.60 ยูโร ข้อดีของการนั่งรถบัสก็คือ รถจะขับไปยัง "Jugend" ซึ่งเป็นจุดที่จะเดินไปยังสะพาน Marienbrücke ซึ่งเป็นจุดที่จะเห็นปราสาทได้เต็มๆ จากตรงนี้เดินไปอีก 600 เมตรหรือ 10 นาทีก็จะถึงตัวปราสาท รถจะงดบริการในช่วงที่มีหิมะหรือถนนปกคลุมด้วยน้ำแข็ง

สำหรับผู้สนใจประวัติและรายละเอียดรวมถึงชมภาพในปราสาทนอยชวานสไตน์ก็สามารถชมได้ที่ //www.neuschwanstein.com/


Tip : สำหรับผู้ที่ต้องการชมปราสาทในมุมสูง ก็สามารถทำได้โดยมีเคเบิลของ The Tegelberg cable car จะพาคุณขึ้นไปสู่ยอดเขาเทเคิลแบร์ก ( Tegelberg moutain ) ซึ่งสูงถึง 1720 เมตรจากระดับน้ำทะเล ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //www.schwangau.de/553.0.html หรือ //www.tegelbergbahn.de/234.0.html




web page hit counter





 

Create Date : 09 มีนาคม 2554    
Last Update : 9 มีนาคม 2554 17:50:04 น.
Counter : 2876 Pageviews.  

Romantic Road day 5 Landsberg am Lech – Rotenbuch – Steingaden – Füssen



เช้านี้ตื่นเร็วเป็นพิเศษ ก็ดันตื่นมาตอนหกโมงครึ่ง หลงคิดว่าเจ็ดโมงครึ่ง ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ถึงได้รู้ว่าดูนาฬิกาผิดนี่หว่า โมโหตัวเองจังวุ๊ย ตาสว่างซะแล้ว เลยเก็บของไปพลางๆ เพราะวันนี้ เราจะเดินทางต่อไปจุดสุดท้ายและถือเป็นจุดหมายสำคัญ มีปราสาทในฝันรอเราอยู่ อากาศวัน นี้แม้ไม่ดีเลิศแต่ก็ไม่เลวร้ายจนเกินไป แค่ไม่มีฝนมาช่วยเพิ่มความหนาวก็ถือว่าโชคดีแล้ว โอ้เอ้จนเกือบแปดโมง มิเชลเลอร์ก็งัวเงียตื่น บ่งเบ๊งให้สองพ่อลูกล้างหน้าแปรงฟัน จะได้กินอาหารเช้าและรีบออกเดินทาง เพราะดูโปรแกรมระหว่างทางแล้วแน่นพอสมควร
ระยะทางจากออสเบิร์ก ( Augsburg ) ไปเมืองฟุสเซิน ( Füssen ) ประมาณ 118 กิโลเมตรเท่านั้น มีเวลาเหลือเฟือที่จะแวะเมืองเล็กๆรายทางได้อีกหลายเมืองทีเดียว แน่นอนฉันมีลิสต์เมืองเหล่านั้นอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว เมืองแรกที่จะแวะคือ แลนด์สแบร์ก อาม เล็ค ( Landsberg am Lech ) เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเล็ค ( Lech ) เมืองนี้แค่เห็นรูปโปรโมทเป็นประตูเมืองที่มีรูปร่างคล้ายปราสาทดิสนีย์แลนด์ พร้อมสายน้ำด้านหลัง ฉันก็หลงรักในทัน ที และเป็นเมืองบังคับที่ไม่แวะไม่ได้แล้ว

เก้าโมงครึ่งพร้อมออกเดินทาง ท้องฟ้ามืดครึ้มสลับกับแดดออก อุณหภูมิแค่ 1 องศา ยิ่งเมื่อรถอออกนอกตัวเมืองเข้าสู่ถนนเล็ก ( ถนนสาย B 17 ) วิวสองข้างทางก็ยิ่งสวย เริ่มมีภูเขามากขึ้น สลับกับทุ่งนาเวิ้งว้าง บางช่วงถนนโล่ง บางช่วงผ่านชุมชนเล็กๆ ยิ่งได้เสียงเพลงจากซีดีที่มีท่วงทำนองน่ารักๆแบบเด็กๆ แต่ก็ไม่คิคุจนเกินไป ยิ่งเพิ่มความโรแมนติกเข้าไปอีก ซีดีประจำทริปของเราคราวนี้ ( จริงๆต้องของมิเชลเลอร์ ) เป็นของสามสาววงดังแห่งเบลเยี่ยมที่เด็กๆชาวดัชท์และ เด็กๆเบลเยี่ยมคลั่งไคล้ ทั้งๆที่สามสาวเหล่านั้นก็เลยวัยรุ่นมามากโข ประมาณรุ่นน้าแถมมีลูกแล้วอีกต่างหาก แต่ก็ยังทำตัวขิขุอาโนเนะร้องเพลงไสตล์เด็กๆกันได้อยู่ ถ้าเป็นบ้านเราสามสาววงนี้คงจอดไปนานแล้ว ^-^
บรรยากาศระหว่างทาง




ระหว่างทางเราผ่านโบถส์เล็กๆแห่งหนึ่งตั้งโดดเดียวอยู่กลางทุ่งนา ( แต่ถ้าแปลจากภาษาอังกฤษ chapel น่าจะแปลว่าห้องสวดมนต์มากกว่า ) เลยแวะเข้าไปดู จริงๆจะหาที่ให้มิเชลเลอร์แอบฉิ๊งฉ่อง จะใช้ข้างทางก็ไม่ได้ เพราะเป็นทุ่งโล่ง ไม่มีต้นไม้ใหญ่ๆบังเลย ตอนนี้เธอโตขึ้นมานิดแล้ว เริ่มอายไม่กล้าฉี่แบบเปิดเผยอีก ฮ่าๆ แม้จะเป็นแค่ที่สวดมนต์แต่ภายในก็ดูน่ารัก ตกแต่งด้วยโลหะคล้ายๆทองแดง มีแท่นพิธีเล็กๆตรงกลาง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะได้ยินเสียงเพลงสวดคลอเบาๆ ด้านข้างมีเก้าอี้แบบทรงกลมเรียงกันไป ดูต่างไปจากโบสถ์ที่เคยเห็นทั่วไป นั่งสงบสติอารมณ์กันในโบสถ์ได้ครู่นึง ก็พามิเชลเลอร์ไปจัดการธุระด้วยการใช้รถและตัวโบสถ์เป็นที่กำบัง แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ

ภายในโบสถ์

วิวระหว่างทาง

วิวระหว่างทาง


ชะโงกทัวร์ที่แลนด์สเบิร์ก อาม เล็ค ( Landsberg am Lech )
ตอนที่อ่านข้อมูลของเมืองนี้ก็รู้สึกงั้นๆ แต่อยากมาแวะเพราะเห็นหอคอยคล้ายปราสาทดิสนีย์แลนด์สีสดเท่านั้น แต่พอเข้าเขตเมืองมาแล้ว โอโห สวยจริงๆ มองเห็นตัวเมืองอยู่บนเนินสูงดูสวยมากๆ เห็นยอดโบสถ์ลิบๆสลับกับหลังคาบ้านเรือนสีแดงปกคลุมด้วยสีเหลืองทองของใบไม้ที่อีกไม่นานก็จะร่วงหล่นไปตามฤดูกาล สำหรับฉันขอยกให้เมืองนี้เป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดสำหรับทริปนี้ไปเลย ยิ่งเมื่อรถขึ้นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำเล็คก็ยิ่งสวยมากๆ พลันก็เห็นยอดปราสาทแบบดิสนีย์แลนด์ที่ฉันต้องการมาดู มันอยู่ตรงปลายสะพานนี่เอง สั่งโชว์เฟอร์จอดรถทันที โชคดีที่จอดรถอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเลย
เข้าตัวเมืองแล้ว

ลงจากรถก็ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ตรงนั้นเค้าจัดเป็นสวนสาธารณะเล็กๆ มีลำธาร สะพานไม้เล็กๆ น่ารักมาก ด้านล่างเป็นแม่น้ำเล็ค มีทางเดินให้เดินเล่นเลียบแม่น้ำ ถัดไปทางขวาจะมีสะพานข้ามไปยังตัวเมืองเก่า มองเห็นอาคารสีสันสดใส ตรงช่วงนี้มีฝายน้ำทำให้ดูเหมือนน้ำตกเล็กๆ สวยอีกแล้ว ส่วนปราสาทที่ฉันจะไปดูมีชื่อว่า มุดเทอร์ทูร์น ( Mutterturn ) อยู่ทางด้านซ้าย ที่จริงไม่ใช่ปราสาทแต่เป็นที่พักอาศัย และสตูดิโอของนักเขียนภาพที่ชื่อว่า ฮูเบิร์ต ฟน แฮร์โกเมอร์ ( Hubert von Herkomer ) ต่างหาก คิดว่าแกคงมีฐานะไม่น้อยนะเนี่ย เพราะสร้างที่พักได้สวยสมกับเป็นศิลปินจริงๆ
มุดเทอร์ทูร์น Mutterturn ที่ต้องการมาดู


สวนสาธารณใกล้ๆกัน

ลำธารเล็ก

ทางเดินเล่นเลียบแม่น้ำ

ทางเดินเล่นเลียบแม่น้ำ

แม่น้ำเลคมองจากมุดเทอร์ทูร์น ที่เห็นนั่นคือตัวเมือง

ฉันปล่อยให้สองพ่อลูกเดินเล่นอยู่แถวนั้นไปพลาง ส่วนตัวเองก็วิ่งสี่คูณร้อย ย้อนกลับขึ้นไปบนสะพานที่เราขับรถผ่านมาอีกครั้ง ด้วยความที่อยากจะได้ภาพสวยๆ เพราะตอนที่อยู่ในรถมันถ่ายไม่ทัน พอกลับมาก็ได้ความว่า มิเชลเลอร์มาทำวีรกรรมคล้ายๆกับที่เมืองฟลอเรนซ์อีกแล้ว ด้วยอากาศมันหนาว เธอก็จะฉี่บ่อย บาร์ทเลยพาไปหลบมุมใต้พุ่มไม้ตรงปราสาทบ้านศิลปินนั้นแหละ กำลังฉี่ดีๆลุงคนเฝ้าที่นั่นโผล่มาจากไหนไม่รู้ ก็เลยโวยวายใส่ แหม ช่างไม่เห็นใจเด็กเล็กๆเลยนะลุงนะ ทำอย่างกับว่าลุงไม่เคยแอบฉี่งั้นแหละ แค้นแทนลูกอีก ลูกข้าใครอย่าแตะ ฮ่าๆ
ใจจริงอยากเดินเล่นเมืองนี้ต่อ แต่กลัวว่าจะไม่มีมีเวลาแวะที่อื่น เลยใช้วิธีขับรถโฉบเฉี่ยวเข้าไปตามจุดที่สวยๆที่เห็นในรูปก็แล้วกัน วันนี้ขอทำตัวแบบชะโงกทัวร์เล็กน้อย เราขับรถข้ามสะพานตรงฝายน้ำเข้ามาที่ตัวเมืองเก่า เข้ามาก็เจอจตุรัสกลางเมือง ด้านซ้ายเป็นศาลาว่าการเมือง แม้จะเป็นเหมือนตึกแถวไม่ใช่อาคารเดี่ยวโดดเด่น แต่ลวดลายที่อยู่บนอาคารหลังนี้งามหยดย้อยกว่าใคร หน้าจั่วสไตล์บาร็อค ลานตรงหน้ามีน้ำพุรูปปั้นพระแม่มารี ด้านหน้าถัด ไปมีหอคอยนาฬิกา มีประตูโค้งนำไปสู่ด้านใน ตอนแรกกะว่าจะผ่านไป แต่ขอบาร์ทแถมหน่อยนะ ขอลงแวะแป๊บนึง แล้วฉันก็หายแผล่บเข้าไปในประตูเมืองทันที
ศาลาว่าการเมือง

เดินเข้าทางโค้งนั้นไป จะเจอกับตึกสีสันสวยงาม

ตัวตึกด้านในสวย สีก็สวย ตอนนี้เป็นย่านช๊อปปิงไปแล้ว เดินดูแบบลวกๆแล้วรีบกระ หืดกระหอบกลับมาที่รถ พอมาถึงก็สั่งให้โชเฟอร์ตามหาหอคอยป้อมปราการตามรูปที่มีชื่อว่า เบเยอร์ตอร์ ( Bayertor )ต่อไป ป้อมนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 ถือเป็นหนึ่งในป้อมปราการสไตล์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในแคว้านบาวาเรีย ความสูง 36 เมตร โชเฟอร์ของฉันทำหน้าที่ได้ดีแท้ ขับมาจนถึงป้อมปราการที่ฉันต้องการ แล้วพุ่งปร๊าดเข้าไปจอดรถตรงทางเข้านั่นเอง ฉันโวยวายนิดหน่อยเพราะกลัวเสียค่าปรับ เพราะตรงนี้ไม่ใช่ที่จอดรถ แต่บาร์ท บอกว่า แป๊บเดียวน่า ฉันก็ไม่วายกำชับ ถ้าตำรวจมาเธอก็ออกรถไปก่อนได้เลยนะ แล้วค่อยวนมารับฉันที่หลัง แต่โชคดีไม่มีตำรวจ ไม่งั้นได้เสียค่าถ่ายรูปอย่างแพงกันเชียว
เบเยอร์ตอร์ Bayertor

ก่อนออกจากเมืองนี้ยังสวยได้อีก

เราจากลาแลนด์ส อาม เล็ค กันที่ป้อมปราการแห่งนี้ เสียดายที่เรามีเวลาน้อย สำหรับใครที่จะมาเที่ยวเส้นทางนี้ ก็อย่าพลาดเมืองนี้นะคะ ช่วยเดินเที่ยวแทนฉันหน่อยนะ ตอนนี้ก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป เราขับผ่านเมืองเมืองเล็กๆที่อยู่ในเส้นทางนี้อีกสามเมือง คือ Hohenfurch , Schongau และ Peiting โดยไม่แวะ และยังคงอยู่ในถนนหมายเลข B 17 ช่วงนี้เริ่มเข้าเขตภูเขาสูงคือเทือกเขาแอลป์กันแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นหิมะปกคลุมเป็นหย่อมๆ จากเมืองไปท์ทิง ( Peiting ) ก็เข้าสู่ถนนหมายเลข B 23 เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมือง ร็อทเทนบุช ( Rottenbuch ) เพื่อไปดูโบสถ์สไตล์โกธิคอันแสนอลังการ
วิวระหว่างทาง

วิวระหว่างทาง

แวะพักที่เมืองร็อทเทนบุช ( Rottenbuch )
ระยะทางจากแลนส์ อาม เล็ค มาถึงร็อทแทนบุชแค่ 36 กิโลเมตรเท่านั้น แป๊บเดียวเราก็มาถึงในเวลาบ่ายโมง เมืองนี้เล็กมากๆ ถึงมากที่สุด มีประชากรแค่พันเจ็ดร้อยกว่าคนเอง เรียก ว่าเป็นหมู่บ้านก็น่าจะเหมาะกว่า ขนาดมาถึงกลางหมู่บ้านแล้วยังดูเงียบเชียบ ไม่มีผู้คน เห็นมีร้านอาหารประจำหมู่บ้านอยู่หนึ่งร้าน ( เล็งไว้ก่อนเพราะตอนนั้นเริ่มหิวแล้ว ) ใกล้ๆกันเห็นโบสถ์ที่หน้าตาธรรมดามากถึงมากที่สุด หน้าตาเหมือนกับโบสถ์ประจำหมู่บ้านเล็กๆทั่วไป ไม่มีวี่แววของความสวยงามซะเลย แต่พอผ่านประตูเข้าไป ก็ตรงกันข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสิ้นเชิง เริดหรูอลังการงานสร้างมากๆ นี่ถ้าไม่เห็นรูปจากหนังสือนะ เป็นได้ผ่านไปแน่นอน
เมืองร๊อทเท่นบุช มองเห็นยอดโบสถ์ไกลๆ

โบสถ์ที่ว่านี้คือโมนาสเทอรี เชิร์ช ( Monastery church ) ถูกค้นพบในปี 1703 โดยดยุค เวล์ฟ ที่1 ( Duke Welf I ) ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18 ได้มีการปรับปรุงตกแต่งใหม่ในสไตล์ร็อคโคโค่ เมื่อเข้าไปภายในโบสถ์ วินาทีแรกจะรู้สึกอึ้งๆ ปนมึนงง อาจมีตาลายแถมได้อีกนิด เพราะ มันแน่นไปหมด ทั้งบนผนัง บนเพดาน รูปปั้นตกแต่งทั้งหลาย แทบจะไม่มีที่ว่างเอาซะเลย ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องยกความดีความชอบให้สองพ่อลูกคือโจฮัน ชมูเซอร์ ( Johann Schmuzer ) ผู้พ่อ และลูกชายของเค้าคือ ฟรานซ์ ซาเฟอร์ ( Franz-Xaver ) รวมถึงมัทเทาส์ คุณเธอร์ ( Matthäus Günther ) หนึ่งในศิลปินเอกของเยอรมันซึ่งเป็นผู้วาดภาพแบบโฟรสโกที่สวยงามบนเพดาน
นอกจากความสวยงามของผนังและเพดานแล้ว บรรดารูปปั้นที่ประดับประดาก็ล้วนสวยงาม มีบรรดานางฟ้าที่ล่องลอยอยู่ตามที่ต่างๆ รวมถึงเหล่านักบุญทั้งหลายตามจุดต่างๆ นอกจากนั้นก็ยังมีรูปปั้นมาดอนน่ายื่นผลไม้ให้กับเด็ก นี่ก็สวยงามไม่แพ้กัน เราสามคนเดินวน เวียน ดูตรงนั้นตรงนี้แบบสบายใจ เพราะไม่มีใครเลย อย่างนี้จะเรียกได้ว่าช้างเผือกอยู่ในป่าหรือเปล่าเนี่ย หรืออาจเป็นแผนของคนในหมู่บ้านที่ไม่อยากให้เป็นที่รู้จักมากนัก ไม่งั้นจากหมู่ บ้านที่เคยเงียบสงบก็จะกลายเป็นพลุกพล่านไป
การเข้าชมนั้นก็เข้าไปได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด แถมระยะเวลาเปิดก็ยาว นานไม่มีช่วงปิดพัก เรียกว่า ชมกันได้ตามสะดวก ไม่มีใครเฝ้าเดินตามเดินบอกว่า “อย่า”แตะต้องเดี๋ยวของจะเสีย แต่จะบอกว่าจริงๆแล้วเค้ามีวิธีป้องกันแบบไฮเทค นั่นก็คือ มีเชือกกั้นเขตแดนเอาไว้เป็นระยะๆ แบบว่าอย่าล้ำเส้นนะ หากไม่เชื่อฟังหรืออยากลองดี ก็จะได้ฟังเสียงโหยหวน ส่งสัญญานดังลั่นไปทั่ว ว่าตอนนี้มีผู้บุกรุกแล้วนะจ้ะ ต่อจากนั้นก็ตัวใครตัวมันกันล่ะค่ะ
ถึงแล้วเมืองร๊อทเท่นบุช เงียบเชียบจริงๆ

หน้าตาของโบสถ์ดูธรรมดามากๆ

เข้าไปข้างในต้องตะลึง





รูปปั้นมาดอนน่ายื่นผลไม้ให้กับเด็ก

ออกจากโบสถ์เราก็มาแวะกินกลางวันกันที่ร้านประจำหมู่บ้านนั่นเอง ข้อดีคือ ไม่มีคน ข้อเสียคืออาหารอาจไม่อร่อย แต่ด้วย ณ เวลานั้นมันก็เกือบบ่ายสองแล้ว ไม่มีทางเลือก และคิดว่าความหิวอาจช่วยให้รู้สึกอร่อยขึ้นมาก็ได้ ปลอบใจตัวเองแล้วเดินดุ่ยๆเข้าไปในร้าน ใจชื้นขึ้นหน่อย มีลูกค้านั่งอยู่สองคน แสดงว่าคงพอกินได้
ป้าเจ้าของร้านแต่งชุดออกโบราณๆ ที่เป็นกระโปรงแบบสุ่มยาว ไม่เชิงว่าเป็นชุดประจำชาติ แต่ก็ออกแนวๆนั้น เข้ามาทักทาย แล้วก็เอากระดาษรูปภาพพร้อมสีมาให้มิเชลเลอร์ได้ระ บายสีระหว่างรอ น่ารักซะไม่มีเชียว รายการอาหารมีแต่หนักๆ แถมเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าอาหารเยอรมันนั้นมักจะเสริฟกันจานโตๆ เพราะคนที่นี่จะกินอาหารจานใหญ่กัน ผิดกับคนดัชท์ที่มักจะกินน้อย ด้วยรู้กิติศัพท์ในข้อนี้ดี ฉันเลยสั่งไส้กรอกเยอรมันเสริฟพร้อมมันฝรั่งทอด แต่ว่าเคยกินแต่ไส้กรอกธรรดา เห็นมีแบบเคอรีหรือเครื่องเทศด้วย ( curry worst )เลยลองสั่งดู ส่วนบาร์ทขอเป็นแบบธรรมดา แล้วก็สปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศให้มิเชลเลอร์
พอคุณป้าเอาอาหารมาเสริฟ ฉันอยากจะบ้าตาย curry worst ที่ฉันต้องการ มันคือไส้ กรอกธรรมดาชิ้นใหญ่โรยมาด้วยผงเครื่องเทศกลิ่นแขกนั่นเอง หนำซ้ำยังมากับมันฝรั่งทอดกองโต อยากขำแต่ขำไม่ออก ได้แต่เขี่ยๆผงนั่นออกไป ยังดีที่ไส้กรอกอร่อย ไม้งั้นเสียเงินฟรี ส่วนของบาร์ทก็จานโตเช่นกัน ไส้กรอกชิ้นธรรดาแต่มาถึงสี่ชิ้น เสริฟพร้อมกะหล่ำปลีหั่นปรุงแบบเปรี้ยวๆ ถึงบาร์ทจะกินเยอะ แต่มื้อกลางวันแบบนี้ถือว่ายังมากอยู่ดี ส่วนของมิเชเลอร์มาจานย่อมเยาหน่อย แต่ก็ถือว่ายังเยอะอยู่ดีสำหรับเด็ก ใครที่มาเที่ยวเยอรมันกลับไปคงต้องเสียเวลาลดน้ำหนักกันนานทีเดียว อิ่มหนาสำราญคณะทัวร์ของเราก็ออกเดินทางกันต่อไปยังจุดแวะเที่ยว ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของวันนี้กันต่อไป นั่นคือการไปชมโบสถ์สไตล์ร็อคโคโค่ที่ชื่อ วีสกีร์ค เชอะ ( Wieskirche ) ที่เมืองสไตน์คาเด็น ( Steingaden ) การันตีความงามโดยยูเนสโกเจ้าประจำ อย่างนี้ต้องไม่พลาด
curry worst ของฉัน

ของบาร์ท

ของมิเชลเลอร์


โบสถ์วีสกีร์คเชอะ( Wieskirche )
จากเมืองร็อทเทนบุชใช้ถนนหมายเลข 23 ตามเดิม ระยะทางจากร็อทเทนบุชไปเมือง สไตน์คาเด็น ( Steingaden ) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์นี้แค่ 13 กิโลเมตรเท่านั้น ภูมิประเทศใน ช่วงนี้สวยงามมาก มีภูเขาสูงต่ำสลับกันไป บางช่วงเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ปกคลุมด้วยหิมะเป็นหย่อมๆ บางช่วงเป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ ได้เดินเล่นหน้าร้อนคงสวยน่าดู
ปรากฎว่าขับออกมาได้ไกล 6 ถึง 7 กิโลเมตร ถึงรู้ว่าผ้าพันคอของฉันหล่นหาย คิดว่าน่าจะหล่นตรงที่จอดรถ ตอนแรกกะว่าไปซื้อเอาใหม่ก็ได้ แต่ก็กลัวว่าระหว่างทางฉันจะแย่ซะก่อน อากาศหนาวๆแบบนี้หวัดจะถามหาเอาได้ ก็เลยต้องจำใจวกกลับไปดู แล้วก็เป็นอย่างที่คิด มันหล่นอยู่ตรงที่จอดรถนั่นเอง แต่ตอนที่ไปถึงมันห้อยอยู่ข้างกำแพง คงมีคนมาเจอก็เลยจับมันห้อยไว้ตรงนั้น ด้วยหวังว่าเจ้าของคงจะกลับมาเอา ฉันได้แต่ฝากคำขอบคุณให้คนที่เก็บได้ ไปกับสายลมแสงแดดแทน ชะโงกทัวร์ของเราก็เลยดำเนินต่อไปได้โดยไม่เสี่ยงต่อการเป็นหวัดระหว่างทาง
เราขับรถหลงไปหลงมา เพราะห้าป้ายไม่เจอ แถมตัวโบสถ์ก็ไม่ได้อยู่ในใจกลางเมืองเหมือนที่ผ่านมา แต่กลับตั้งอยู่โดดเดียว ท่ามกลางธรรมชาติ บนทุ่งนาเวิ้งว้าง มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์ ( Alps ) ถ้ามีเวลาเยอะก็น่าเดินเล่นแถวนี้อยู่ไม่น้อย ช่วงที่เราไปถึงนั้น เห็นมีรถทัวร์คันใหญ่จอดอยู่แล้วสองคัน เซ็งเป็ดเลยเรา เลยเดินโอ้เอ้อยู่ด้านนอก รอให้คณะทัวร์ซึ่งเกือบทังหมดเป็นพี่ยุ่น ได้ออกมาก่อน แล้วค่อยเข้าไปจะดีกว่า
เห็นยอดโบสถ์ไกลๆ

เริ่มไใกล้เข้ามาแล้ว

นี่ละค่ะโบสถ์ Wieskirche

รีรออยู่ซักพัก คณะพี่ยุ่นก็เริ่มทยอยกันออกมา ทีนี้ก็ถึงเวลาเราทั้งสามกันมั่งล่ะ กำลังจะดีใจ แต่หันไปเห็นรถทัวร์คันใหม่แล่นเข้ามา คราวนี้เป็นกลุ่มฝรั่งสูงอายุ ถ้าจะรอให้หมดคนคงไม่ได้ดูแน่แล้วเรา ก้มหน้าก้มตาเข้าไปเลยละกัน
และก็เช่นเคยตัวโบสถ์ด้านนอกดูเรียบง่าย เกือบจะดูจืดชืด เพราะตัวโบสถ์ภายนอกทาสีขาว แต่พอเข้าไปข้างในอลังการงานสร้างอีกแล้ว แว่บแรกที่เห็นก็จะเหมือนกับโบสถ์ที่ร็อท เทนบุช แต่ที่นี่กว้างขวางใหญ่โตกว่าหลายเท่านัก ภายในประดับประดาไปด้วยบรรดารูปปั้นนักบุญ เหล่าบรรดานางฟ้า รวมถึงภาพวาดบนผนังและบนเพดาน โดยเฉพาะภาพวาดบนเพดานนั้นสวยงามมากๆ ดูๆไปเหมือนหลงอยู่ในสวรรค์วิมานประมาณนั้นไปเลยเชียว สมแล้วที่ได้ยี่ห้อยูเนสโกมาการันตี
โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปลายๆปี1740 มีชื่อเต็มๆว่า Wallfahrtskirche zum Gegeisselten Heiland auf de Wies หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Pilgrimage Church to Our Tortured Saviour on the Meadow ซึ่งประมาณว่าเป็นโบสถ์ของผู้แสวงบุญหรือผู้ไถ่บาปประ มาณนั้น โบสถ์นี้เป็นผลงานของ โดมินิคัส ซิมเมอร์มาน ( Dominikus Zimmermann ) มีเรื่องเล่าว่า ในปี 1738 มีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้น โดยมีผู้คนจำนวนมากเห็นน้ำตาไหลออกจากตาของรูปปั้นองค์พระผู้ไถ่บาปที่กำลังถูกทรมาน ( the Scourged Saviour )
มาดูด้านในกันค่ะ










Wieskirche เปิดให้เข้าชมทุกวันโดยไม่เสียค่าเข้าชม (ยกเว้นในช่วงที่มีพิธีทางศาสนา)
ช่วงซัมเมอร์ เปิดตั้งแต่เวลา 8.00 – 19.00 น. (เริ่มวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคมจนถึงวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม)
ช่วงหน้าหนาวเปิดตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.00 น.
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ //www.wieskirche.de

ดูเวลาตอนนั้นก็บ่ายสามโมงครึ่งแล้ว เห็นทีชะโงกทัวร์ของเราวันนี้คงต้องจบลงแค่นี้ แม้ว่าจะยังมีเมืองเล็กๆระหว่างทางอีกสองเมือง คือ Hallblech และ Schwangau ( ที่ตั้งปราสาทในฝันนั่นเอง ) แต่คิดว่าเอาไว้วันพรุ่งนี้หรือวันต่อไปจะดีกว่า เลยขับรถมุ่งตรงไปยังเมืองฟุสเซน ( Füssen ) อันเป็นเมืองสุดท้ายแห่งถนนสายโรแมนติกแห่งนี้ โดยถนนหมายเลข B 17 ระยะทางจากนี้ไปแค่ 22 กิโลเมตรเท่านั้น ถนนในช่วงนี้เริ่มพาเราเข้าสู่หุบเขาที่มีหิมะกระจายปกคลุมสลับกับทุ่งหญ้า สลับกับต้นสนสูงชัน มีหมู่บ้านกระจายกันออกไป บางช่วงหมอกลงจัด บางช่วงมีแสงแดดทะลุส่องลงมาดูสวยงามยิ่งนัก

วิวระหว่างทาง



พอเข้าเขตเมืองชวางกาว ( Schwangau ) ได้ยินเสียงบาร์ทบอกว่า นั่นไง ปราสาทที่เธออยากเห็น ฉันเพ่งตามองอยู่นาน ก็ไม่เห็นซักที เพราะว่าหมอกหนาจัดนั่นเอง จนกระทั่งบาร์ทจอดรถข้างทางให้ดู ฉันก็ยังต้องเพ่งอีกนาน ถึงช่วงที่หมอกจางลอยจากไป ฉันถึงได้มองเห็น “ว้า ดูไม่เหมือนในรูปเลยเนอะ” ฉันรำพึงกับบาร์ท เสียงบาร์ทตอบมาว่า ก็แหมจะเหมือนได้อย่างไรเล่า ในภาพเค้าถ่ายตอนอากาศดีๆ แดดจัดๆ หมอกลงแบบนี้จะสวยได้อย่าง ไร ก็จริงของบาร์ทเนอะ
ฉันมองเห็นโบสถ์นี้ก่อนอ่ะ มันอยู่ตรงทางที่จะไปปราสาท ถ้าฟ้าใสก็จะเห็นปราสาทในฝันอยู่ด้านหลังนั่นเอง

นี่ล่ะปราสาทในฝันชื่อดัง

เก็บภาพเมืองในหมอกมาแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังที่พัก คราวนี้ฉันจองอพาร์ทเมนต์ทางอินเตอร์เนตเอาไว้ เราจะพักที่นี่ 4 คืนด้วยกัน ที่พักของเราจริงๆเป็นอพาร์ทเมนต์ที่เจ้าของบ้านเอามาให้เช่า เพราะอยู่ในเขตที่อยู่อาศัย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา กลับดีเสียอีก เพราะอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง มีฉากเป็นทิวเขาไกลๆ ด้านหน้ามีสนามเด็กเล่นอีกด้วย ซุปเปอร์มาเก็ตก็อยู่ไม่ไกล เดินไปห้านาทีก็ถึง ค่าเช่าเค้าคิดเป็นต่อหัว รวมพ่อแม่ลูกก็จ่ายไปคืนละ 75 ยูโร รวม4 คืนก็ 300 ยูโร แพงอยู่เหมือนกัน แต่อาศัยว่าที่ผ่านมาเราพักโรงแรมราคาไม่แพงเท่าไหร่ก็เลยหยวนๆไป
เก็บของเข้าบ้านแล้ว ก็เดินไปซุปเปอร์ ซื้อของมาทำกิน รวมถึงตุนสำหรับมื้อต่อไปเลย จะได้ไม่ต้องพะวงซื้อของในวันต่อไป อาหารมื้อนี้ของเราง่ายมาก ข้าวไข่เจียวกับหมูทอด เสร็จแล้วพักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยวันพรุ่งนี้ต่อไป
ปราสาทในเทพนิยายของฉัน ฉันได้เห็นเธอแล้วนะ พรุ่งนี้สัญญาว่าจะไปเจอเธอใกล้ๆแน่นอน


web page hit counter







 

Create Date : 09 มีนาคม 2554    
Last Update : 9 มีนาคม 2554 17:10:25 น.
Counter : 2131 Pageviews.  

Romantic Road day 4 Augsburg



Day 4 Augsburg

วันนี้เราจะไม่เล่าประวัติเยอะพยายามตัดออกมั่งเผื่อจะเบื่อ แต่สำหรับฉันบอกได้ว่าไปเที่ยวแต่ละทีทำให้ฉันอยากรู้ไปหมด จนเดี๋ยวนี้กลายเป็นชอบ ยิ่งอ่านยิ่งสนุก มาเที่ยวกันต่อเลยดีกว่าค่ะ

จากที่เมื่อวานเราตะลอนกันทั้งวัน เช้านี้เลยอิดออดไม่อยากลุกจากที่นอน แถมอากาศก็ยังเป็นใจ มืดๆซึมๆ โอ้เอ้กันจนเกือบเก้าโมงถึงได้ลงไปกินอา หารเช้ากัน แต่กลับกลายเป็นดีแฮะ ห้องอาหารว่าง มีคนนั่งกินอยู่ก่อนแล้วสองสามโต๊ะ ประเภทคนที่ไม่รีบร้อนเหมือนเรา เพราะส่วนมากคนที่มาพักมักจะเป็นคนที่ต้องมาติดต่องานก็จะออกกันไปหมดแล้ว เราสามคนเลยกินกันแบบสบายๆไม่ต้องเกร็ง อิ่มกันเรียบร้อยก็เริ่มออกทัวร์ด้วยขาทั้งสองข้าง

วันนี้ไม่มีแดดเอาซะจริงๆ แถมมีละอองฝนมาเป็นระยะๆ จากโรงแรมเราก็เดินตามถนนไปเรื่อยๆ บ้านเรือนในละแวกนั้นดูโอ่อ่า ต้นไม้ใหญ่สองข้างทางเพิ่มความขลังเข้าไปอีก แม้ว่าจะสิบโมงกว่าแล้วแต่ก็ยังดูเหงาๆ ทั้งถนนมีแค่เราสามคน คนที่ขับรถผ่านไปมาคงนึก เอ๊ะไอ้สามคนนี้มันมาเดินเล่นอะไรกันในสภาพอากาศแบบนี้ อ่ะนะไมมีสิทธิ์เลือก ในเมื่อมาแล้วไม่ว่าอา กาศจะเน่ายังไงก็ต้องไปอยู่ดี จะมานั่งเฝ้าโรงแรมให้เค้าทำไมกันล่ะ ที่สำ คัญเรามีเวลาสำหรับที่นี่แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้ฝนตกแรงจนเดินไม่เท่านั้นเอง







จุดแรกที่สองขาของเราทั้งสองพาไปถึง(ของ มชล ไม่นับ เพราะบางทีก็ขี่คอพ่อไป อิอิ ) ก็คือ พระราชวังสคาซเลอร์ ( Schaezler - Palais ) กว่าเราจะหาพระราชวังนี้เจอก็เล่นเอาเหนื่อยพอดู ก็เดินตามแผนที่แล้วนี่นาทำไมหาไม่เจอ ถามคนแถวนั้น แต่ละคนก็ชี้ไปคนละทาง แถมบางคนยังไม่รู้จักซะนี่ ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าสวยจริงหรือแค่โปรโมท แต่ในที่สุดเราก็มาถึงกันจนได้ เอาเป็นว่าถ้าเห็นนำพุที่มีรูปปั้นเฮอคิวลิสด้านหน้า นั่นแหละใช่เลย แต่เห็นครั้งแรกก็ยังไม่ประทับใจเท่าไหร่ หรืออาจเป็นเพราะว่าฉันเห็นตึกในยุโรปมาซะจนชินแล้วก็ไม่รู้

รูปปั้นเฮอร์คิวลิสด้านหน้า


ด้านหน้าพระราชวังคาซเลอร์


ตึกที่เห็นเป็นตึกขนาดใหญ่ในสไตล์รอคโคโค่ ( Rococo )เดิมเป็นบ้านของนักการธนาคารผู้มั่งคั่งที่ชื่อว่าลีเบอร์ท ฟน ลีเบ็นโฮเฟ่น ( Liebert von Liebenhofen ) สร้างขึ้นในปี 1765 ถึง 1770 ถือได้ว่าเป็นอาคารไสตล์ร็อค โค่โค่ที่สวยและเด่นที่สุดในเมืองนี้เลยทีเดียว กระทั่งในปี 1958 คนในตระกูลก็ได้ยกตึกนี้ให้เป็นสมบัติของเมือง โดยมีข้อแม้ว่าห้ามขายนะ ให้ใช้เป็นที่ส่งเสริมและจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาติเท่านั้น ปัจจุบันอาคารบางส่วนได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปะเยอรมันบาร็อคแกลลอรี และบาวาเรียนแกลลอรี และมูลนิธิฮาเวอร์สต๊อค

ถามว่าเข้าไปแล้วข้างในเป็นยังไงมีอะไรให้ดู คงเป็นคำถามเพื่อจะตัดสินใจว่าจะยอมเสียเงินเข้าไปดีมั๊ย สำหรับฉันแล้วก็ถือว่าคุ้ม เอาเป็นว่าภายในตัวอาคารแบ่งเป็นห้องๆ จัดแสดงภาพวาดต่างๆ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ของคนในตระกูลนี้ แต่ห้องที่ถือเป็นสุดยอดของอาคารนี้คือห้องที่ชื่อว่า ร็อคโคโค่ แบ๊งค์เคว็ตฮอล ( Rococo Banquet Hall ) ตกแต่งสไตล์ร็อคโคโค่ที่สวยงาม ถือเป็นมาสเตอร์พีสแห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรียเลยทีเดียว

ตามหนูมาค่ะ


บันไดสีสด


บรรดาภาพวาดต่างๆ


เมื่อหลุดเข้ามาถึงห้องนี้ รับรองว่าเป็นต้องได้ตะลึง ตาโต อ้าปากค้างเป็นแน่ แล้วก็ตามมาด้วยคำอุทาน แล้วแต่นะว่าใครถนัดแบบไหน จะว้าวแบบฝรั่ง หรือ โหสวยจังแบบไทยๆ หรือสวยโคดๆแบบวัยรุ่น ก็เลือกเอา แต่สำหรับวัยรุ่น (ใหญ่) อย่างฉันก็ต้องแบบสวยโคดๆเลยแล้วกัน แต่ละห้องจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ พอมาถึงหน้าห้องนี้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเปิดประตูให้เราดู เธอก็จะเกริ่นแนะนำประมาณว่า ตอนนี้คุณมาถึงห้องสุดยอดแล้วนะคะ พร้อมเปิดประตูให้เราเข้าชม แล้วปล่อยให้เราตะลึงพร้อมทั้งอุทานไปก่อน รู้สึกได้ถึงความแพรวพราวของผนังที่ประดับด้วยกระจกตัดขอบด้วยสีทองเหลือง อร่าม เพดานด้านบนเป็นภาพวาดแบบเฟรสโก ( fresco ) โดยศิลปิน Gregorio Gugliemi

Rococo Banquet Hall




พอเธอเห็นฉันเริ่มรู้สึกตัว เธอก็ทำหน้าที่บรรยายคร่าวๆให้เราฟังว่า ห้องนี้ใช้เป็นที่จัดเลี้ยงรับรองแขก รวมถึงเป็นที่เต้นรำสังสรรค์ นอกนั้นก็บรรยายถึงรายละเอียดของการตกแต่ง รวมถึงความหมาย โดยเฉพาะภาพวาดบนเพ ดาน โดยรวมๆเป็นภาพธรรมชาติ สิงห์สาราสัตว์ ซึ่งมีความหมายถึงทวีปทั้งสี่ คือ ยุโรป อเมริกา อาฟริกา และเอเชีย และยังหมายถึงฤดูทั้งสี่อีกด้วย พอเธอบรรยายจบก็ออกไปรอด้านนอก ไม่อยู่กวนใจ ปล่อยให้เราทั้งสามได้ดื่มด่ำกับความงามเพียงลำพัง ให้สมกับที่เสียเงินเข้ามา ฮ่า ทั้งฉันและบาร์ท ง่วนกับการถ่ายรูปโดยไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆมาเป็นแบ๊คกราวด์ (ตอนนั้นมีเราแค่สามคนเอง ชอบๆ) ส่วน มชล ก็เต้นหมุนไปรอบๆอย่างเริงร่า หลังจากที่รู้จากฉันว่าห้องนี้ใช้เป็นที่เต้นรำ









ขอเต้นรำหน่อยนะคะ


เราคงจะอ้อยอิ่งกันนานเกินไป เจ้าหน้าที่คนเดิมก็เลยโผล่มาดู คงสงสัยอะ ไรจะนานขนาดนั้น หรือไม่ก็อาจจะห่วงว่าฉันจะงัดแงะทองจากห้องนี้ไปมั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าๆ เราสามคนก็เลยขอบคุณและบอกลาเธอ ก่อนที่เธอจะมาขอค้นตัวฉันให้ยุ่งยาก ออกจากที่นี่แล้วเราจะไปชมศาลาว่าการเมืองซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของเมืองนี้กันต่อไป

แต่ก่อนจะไปถึงศาลาว่าการเมือง เราแวะถ่ายรูปกับน้ำพุที่มีรูปปั้นเฮอคิวลิส ด้านบน(Hercules Fountain ) ผล งานปั้นของ Adriaen de Vries .oxu 1597-1600 ซึ่งอยู่ด้านหน้าของพระราชวังกันก่อน ถ่ายรูปยากเหมือนกัน เพราะมีฝนลงปรอยๆ รวมทั้งรถราที่แล่นผ่านมาเป็นระยะๆอีกด้วย แม้จะทุลักทุเล ไหนจะห่วงว่ากล้องจะเปียก ไหนจะดูรถ แต่ในที่สุดก็ได้ภาพสมใจ


ช่วงที่เดินไปศาลาว่าการเมืองนั้น แม้ว่าฝนจะลงปรอยๆแต่ก็ไม่น่าเบื่อ แต่กลับเพลิดเพลินกับบรรดาสีสันของตึกสองข้างทาง รวมถึงภาพวาดบนผนังตึกที่มีให้เห็นเป็นระยะๆ ไม่ได้ตกแต่งด้วยไม้แบบเมืองอื่นๆที่เคยเห็น เดินได้ไม่นานเราก็มาถึงแลนด์มาร์คของเมืองนี้กันซะทีนั่นคือ ศาลาว่าการเมือง ( Rathaus หรือ Town Hall ) แวบแรกที่เห็นจะรู้สึกว่าใหม่จังเลย นั่นเป็นเพราะว่าได้ซ่อมแซมและสร้างใหม่ในปี 1985 หลังจากโดนระเบิดทำลายไปในปี 1944 (ของเดิมสร้างในปี 1615 -1620 ) สร้างขึ้นในสไตล์เรเนซองซ์ ด้านในก็ตกแต่งใหม่ทั้งหมด มีห้องที่เป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดอีกเช่นกัน คือห้องโกลเดนเนอร์ ซาล ( Goldener Saal ) เห็นชื่อห้องก็เดาได้เลยว่าต้องเหลืองอร่ามไปด้วยทองแน่ๆ ห้องนี้เปิดให้เข้าชมได้ แต่มีค่าเข้าชมนิดหน่อย เข้าไปเถอะค่ะ แม้จะแค่ห้องเดียวแต่ก็คุ้มค่า ห้องนี้ใหญ่ขนาดจุคนได้ถึง 600 คน ไว้ใช้เป็นที่รับรองแขกและจัดงานเลี้ยงสำคัญ ๆ นอกจากนั้นยังเปิดให้เช่าเพื่อจัดงานส่วนตัวได้อีก

ศาลาว่าการเมือง ด้านขวาเป็นโบสถ์ ส่วนหอคอยที่จะไปปีนอยู่ด้านหลังโบสถ์




เหมือนเดิมค่ะ ตอนที่มาหยุดหน้าห้องนี้ ก็ต้องตะลึงอีกเช่นเคย แค่ประตูทางเข้าก็ดู โหญ่โตน่าเกรงขาม สีทองบึกบึน พอเข้าไปก็ต้องตะลึงกันอีกรอบ อะไรมันจะสวยปานนี้นะ ภายในห้องเหลืองอร่ามไปด้วยทอง เด่นสุดคือเพ ดานตรงกลางห้อง เป็นภาพวาดเล่าเรื่องราวประวัติของเมืองออสเบิร์ก ผนังด้านข้างที่เป็นรอยต่อของหน้าต่างแต่ละช่วง มีภาพวาดของบรรดากษัตริย์หรือนักรบต่างๆ ถ้าใครอยากรู้ประวัติและรายละเอียด เค้าก็มีหูฟังให้เช่าด้วย แต่ฉันไม่เอาขอดูอย่างเดียวจะได้อารมณ์มากกว่า สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากได้ดูแค่สองแห่งนี้ก็คุ้มแสนคุ้ม

อาคารใกล้ๆพระราชวัง


ห้อง Goldener Saal


การตกแต่งและภาพวาดบนเพดาน


รูปภาพตรงกลาง


รูปภาพด้านด้านข้าง


ซ้ายมือเป็นประตูใหญ่ ภาพวาดบนผนังด้านข้าง




ใกล้เที่ยงแล้วแต่เรายังไม่หิวกัน เลยเดินไปดูโบสถ์ที่อยู่ใกล้กับศาลาว่าการเมือง ( โบสถ์ St. Peter on Perlach ) เห็นหน้าตาสวยดี แต่ด้านในธรรมดาไม่เด่นอะไร แต่เห็นมีป้ายให้ขึ้นไปชมบนวิวด้านบนได้ อ่ะต้องปีนซะหน่อย แต่ก็หาทางขึ้นไม่เจอ ไม่มีใครให้ถามเพราะในนั้นมีเราแค่สามคน เลยออกมาตั้งต้นข้างนอก ก็เลยเห็นป้ายบอกทาง ต้องอ้อมไปด้านหลัง มีป้ายบอก ราคาค่าถ่อสังขารขึ้นไปคนละ 1 ยูโร แต่ไม่เห็นว่าต้องจ่ายเงินที่ไหนเลยเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ก็ไม่เจอใครซักคน อ่ะ ไม่เป็นไร ขึ้นไปก่อนแล้วกัน เดินขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปได้หน่อยเดียว มชล ร้องให้บาร์ทอุ้ม แต่มีขู่จากฉันว่า ถ้าจะขึ้นต้องเดินเองนะ ไม่งั้นไม่ให้ขึ้น เธอก็เลยยอมเดินเองต่อ โหดกับลูกเล็กน้อย ถือเป็นการฝึกไปในตัว

ตอนแรกคิดว่าที่เราปีนกันอยู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์ แต่ว่าปรากฎว่าไม่ใช่ จริงๆแล้วคือ หอคอยเพอร์ลัค ( Perlach Tower ) สร้างขึ้นในปี 1614 สูง 70 เมตร มีบันไดทั้งสิ้นแค่ 261 ขั้นแค่นั้นเอง แฮ่กๆ พอเราหอบสังขารกันไปถึงด้านบนสุด ก็เจอกับคำเฉลยทันที จ่ายเงินตรงนี้เอง มีห้องเล็กๆอยู่บนนั้น มีคุณป้านั่งอยู่ด้านในโดดเดี่ยวเดียวดาย มองหน้าเราเหมือนกับว่า ดีใจจังมีเหยื่อมาติดกับแล้ว โฮะๆจ่ายมาซะดีๆ ไม่งั้นอดขึ้นไปดูวิวแน่ มชล ได้เยลลี่ถุงจิ๋วจากคุณป้า เป็นรางวัลที่สามารถไต่ขึ้นมาได้ แค่นี้ก็กระดี๊กระด๊าถูกอกถูกใจเธอแล้ว

พอผ่านด่านคุณป้า ก็ถึงด้านบนสุดเป็นที่แคบๆ ดีนะที่มีเราแค่สามคน (อีกแล้ว) ไม่งั้นก็จะหวิวๆได้นะ เวลาปีนขึ้นที่สูงแบบนี้ทีไร ก็ชอบคิดทุกที กลัวมันจะถล่มลงมา แบบว่ากลัวมันพัง เพราะมันก็เก่าแล้วนี่นา บนหัวเรามีระฆังอยู่ห้อยอยู่ ได้แต่คิดอย่าพึ่งมาดังตอนนี้นะ เป็นได้แสบแก้วหูแน่เชียว เสีย ดายที่ท้องฟ้าไม่แจ่ม เลยอดได้รูปสวย ถ่ายรูปกันเป็นที่พอใจ ก็ได้เวลาไต่บันไดกลับ นึกเป็นห่วงคุณป้าเหมือนกัน แกคงเหงาแย่ ให้ฉันนั่งอยู่บนนี้คงกลัวแย่เลยยิ่งถ้าฝนตกลมแรงยิ่งน่ากลัว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ตอนลมพัดมาแรงๆรู้สึกว่ายอดมันจะไหวๆ อยู่เหมือนกัน แต่คุณป้าแกคงชินแล้วมั้ง หรืออาจชอบก็ได้เพราะสงบเงียบดียามไม่มีใครขึ้นมา

ประวัติของหอคอยจะอยู่ด้านบนด้านข้างคุณป้า


นางแบบประจำทริป


วิวด้านล่าง


วิวด้านล่าง


วิวด้านล่าง


ทางเดินขึ้นหอคอย


หลังจากไต่บันไดหอคอยลงมาโดยสวัสดิภาพ ท้องก็เริ่มร้องจ๊อกๆ ขอเพิ่มหลังหน่อย มื้อนี้เราฝากท้องกันที่เบอเก้อคิงส์ ถือเป็นการหลบละอองฝนและความหนาวไปในตัว หลังจากเรียบร้อยแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป นั่นคือ เดะฟุกเกอร์ไรน์ (The Fuggerei ) บ้านของผู้มีรายได้น้อย ถ้าเป็นแค่บ้านธรรมดาทั่วไปเราคงไม่ต้องถ่อสังขารไปดู แต่ที่นี่เป็นโครงการบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย มีลักษณะเป็นเมืองย่อมๆเลยทีเดียว ( city within a city ) เพราะมีทั้งกำแพงล้อมรอบโดยมีทางเข้า 3 ประตู มีโบสถ์เป็นของตัวเอง มีสถานพยาบาลขนาดย่อมๆ (บ้านเลขที่ 1 ) รวมถึงร้านค้าและลานเบียร์อีกด้วย

ตามป้ายนี้ไปเลยค่ะ


โครงการนี้เริ่มขึ้นในปี 1521 โดยจาคอบ ฟุกเกอร์ไรน์ เดอะ ริช ( Jakob Fugger the Rich ) มีบ้าน 67 หลัง และอพาร์ทเมนต์ 140 ห้อง หมู่บ้านแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นชุมชุนที่เก่าแก่ที่ สุดในโลกที่ยังหลงเหลืออยู่ ค่าเช่าก็ถูกแสนถูกแค่ 1 รินนิช คิลเดิล ( Rhinish Gulden คือหน่วยเงินในสมัยนั้น ) หรือประมาณ 0.88 ยูโร ต่อปี รวมถึงต้องปฏิบัติตามกฏของหมู่บ้านคือ ผู้เช่าต้องต้องสวดมนต์วันละสามเวลาอีกด้วย อันนี้แปลกดีนะ แต่ก็เป็นกฎที่ดีทีเดียว ฉันว่าเมืองไทยเราน่าจะมีกฎแบบนี้บ้างนะ แต่คงไม่ต้องถึงสามเวลา แค่วันละครั้งก็ยังดี เพราะเดี๋ยวนี้คนเรารู้จักบาปบุญคุณโทษน้อยลงทุกวัน ได้สวดมนต์ภาวนากันมั่งก็น่าจะดีไม่น้อย

ระหว่างทางไปเหมือนกับว่าได้สร้างอารมณ์ให้คล้อยตามไปเรื่อยๆ ด้วยว่าเป็นย่านที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ สองข้างทางเป็นตึกแถวเหมือนที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน แม้จะมีสีสรร แต่ก็ดูไม่น่าไว้ใจ แต่เมื่อเดินมาถึงฟุกเกอร์ไรแล้ว ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อาคารด้านหน้าดูขลังตามแบบอาคารสมัยเก่า มีไม้เลื้อยสีสรรสวยงามปกคลุมอยู่ ประตูโค้งด้านหน้ามองเห็นอาคารสีส้มด้านใน ทำหน้าทีเรียกให้ผู้มาเยือนต้องรีบจ่ายเงินเข้าไปชมในทันที

เห็นตึกนี้ก็ใช่เลย อย่าเดินเลยไปล่ะ


จ่ายเงินแล้วเข้าทางนี้เลย


เข้าไปแล้วก็เหมือนกับหลุดเข้าไปในหมู่บ้านย่อมๆ ลักษณะเหมือนตึกแถวสองชั้น หน้าต่างชั้นบนจะเป็นกระจกกรอบสี่เหลี่ยมสีขาว ส่วนชั้นล่างเหมือนกันแต่มีหน้าต่างทึบสีเขียวเพิ่มขึ้นมา ประตูหน้าบ้านจะเป็นสีเขียว ตัดกับสีส้มของตัวอาคาร ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าหน้าบ้านแต่ละหลังมีแท่งเหล็กเรียวๆยาวๆห้อยอยู่ทุกบ้าน นั่นคือกระดิ่งหรือที่กดออดเรียกคนในบ้านนั่นเอง และถ้าสังเกตให้ดีอีก จะเห็นว่าตรงปลายของกระดิ่งแต่ะละบ้านนั้น จะมีรูปร่างแตกต่างกันไป และไม่ซ้ำกันเลย เรียกว่าออกแบบมาสำหรับแต่ละบ้านโดยเฉพาะ แน่ะ เทห์ซะไม่มี

แต่ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่เพื่อความเทห์ แต่วัตถุประสงค์ของมันก็คือ เอาไว้คลำ ใช่แล้ว คลำจริงๆ แบบว่าตอนกลางคืน มันมืด ตอนนั้นยังไม่มีไฟตรงทางเดิน ใครกลับบ้านมืดๆ ก็ใช้วิธีคลำเจ้านี่แหละ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นบ้านตัวเองแน่ๆ ไม่เข้าผิดบ้าน ความคิดเข้าท่าดีมากๆเลยนะนี่ แต่ปัจุบันนี้ไม่ต้องคลำแล้ว เพราะมีไฟทางเดินเรียบร้อย

แม้ว่าจะเป็นบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย แต่ก็ไม่ได้สร้างแบบชุ่ยๆหรือขอไปทีนะจะบอกให้ แต่หากสร้างด้วยความพิถีพิถันรวมถึงใส่ใจในรายละเอียดต่างด้วย เช่นห้องสุดท้ายของแต่ละแถวจะเป็นหน้าจั่วแบบขั้นบันไดที่เรียกว่า “corbie gables” ในสไตล์โกธิค ออกแบบโดยโธ มัส เครบส์ ( Thomas Krebs ) ชื่อเหมือนขนมเครป น่ากินดี อิอิ

นอกจากนั้นให้สังเกตปล่องไฟแต่ละบ้าน ก็ยังออกแบบให้ต่างกันไปในแต่ละบ้านอีกเรียกว่ามีคุณภาพเกินราคาทีเดียว ปู่ของโมสาร์ท ( Mozart ) นักดนตรีก้องโลกก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ที่บ้านเลขที่ 14 นอกจากนั้นภายในบ้านเลขที่ 13 ได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติและการจัดแต่งภายในบ้านให้ชมอีกด้วย ค่าเข้าชมตอนนั้นก็คนละ 4 ยูโร มาเป็นครอบครัวก็ 8 ยูโร ( ผู้ใหญ่ 2 และเด็กไม่เกิน 4 คน และไม่เกิน 18 ปี )

บรรยากาศด้านใน




บ้านหลังสุดท้ายจะเป็นหน้าจั่ว




ปลายกระดิ่งแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน












จากบ้านคนจนเราเดินชมเมืองไปเรื่อยเปื่อยแต่ไม่สะเปะสะปะนะขอบอก หากแต่ตามลายแทงในแผนที่ แต่ก็ไม่ได้แวะทุกจุด แบบว่าตามแผนที่ก็จริงแต่ก็สุดท้ายก็ตามใจฉัน ละอองฝนก็ยังคงมีเป็นระยะๆ หนักบ้างเบาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราทั้งสามย่อท้อแต่อย่างใด ยังคงจำใจเดินกันต่อ ( เพราะไม่งั้นต้องไปนั่งอุดอู้อยู่ในโรงแรม ) จนมาถึงโบสถ์ประจำเมืองที่เรียกว่า Cathedral (Dom) เป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ที่เก่าแก่มาก สร้างขึ้น 823 ปีก่อนคริสต์กาล สูงถึง113 เมตร ยาว 40 เมตร กว้างถึง 62 เมตร

เราโชคดีที่มาถึงในเวลาที่พอเหมาะ เพราะฝนเริ่มเม็ดหนาขึ้นทุกทีๆ นอกจากจะได้ชมโบสถ์แล้วยังถือเป็นการหลบฝนไปในตัว ด้านในมีคนชมอยู่ก่อนแล้วสามสี่คน ภายในดูมืดๆทึมๆ แต่กว้างขวางใหญ่โต ความสวยพอประมาณแต่เด่นตรงกระจกสีเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา จนฉันอดที่จะแอบถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกไม่ได้ เพราะเค้ามีป้ายห้ามถ่ายรูป ที่จริงไม่ต้องหลบก็ได้เพราะไม่มีใครเฝ้า แต่เห็นฝรั่งคนอื่นเค้าถ่ายกัน ฉันเลยเอามั่งแต่ใช้ฟังชั่นถ่ายมิวเซียมเข้าช่วย เลยไม่มีแสงแฟชลวูบวาบให้เป็นที่สังเกต แม้จะแค่นิดเดียวแต่ก็รู้สึกใจเต้นตูมตาม เค้าถึงได้บอกว่า การทำผิดแม้ไม่มีใครเห็นแต่ตัวเรานั่นแหละที่รู้ดี

ขอพักขาหน่อยค่ะ


Cathedral


ประตูทางเข้า

ด้านใน


no 462


ออกจากโบสถ์ก็บ่ายสามแล้ว ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว เราตั้งใจจะกลับไปนอนพักขากันที่โรงแรม แต่พอเดินวกกลับมาที่หน้าศาลาว่าการทะลุมาด้านหลัง ก็เจอกับดักรอเราอยู่ ถนนคนเดินแหล่งช๊อปปิ้งของที่นี่ ผู้คนล้านแปดมารวมกันอยู่ตรงนี้นั่นเอง จากที่ตั้งใจว่าจะกลับก็เปลี่ยนใจซะงั้น ไม่กลับกันแล้ว แต่เข้าร้านนั้นออกร้านนี้แทน ของที่นี่มีให้เลือกเยอะมาก เสื้อผ้าก็สวยๆทั้งนั้น ร้านหนังสือก็ใหญ่โต มีหนังสือให้เลือกมากมาย บาร์ทชอบเข้าร้านหนัง สือ ฉันขอแยกไปดูเสื้อผ้า มชล สองจิตสองใจ แต่ก็เลือกไปกับพ่อ เข้าล๊อคแม่เลย ฮ่าๆ ดีใจที่ลูกชอบเข้าร้านหนังสือตั้งแต่เด็ก แต่ชอบสุดๆก็ตรงที่จะได้เดินดูของแบบสบายใจไร้กังวล ช่างเป็นแม่ที่ดีเลิศจริงๆเลยตู

เดินดูของกันจนห้าโมงเย็น ฉันไม่ได้อะไร แต่บาร์ทได้เสื้อโค๊ตกันหนาวมาหนึ่งตัว ตัวที่ใส่ประจำนั้นเก่ามากแล้ว แม้จะแพงแต่ก็สวย มชลได้หนังสือมาหนึ่งเล่ม กำลังจะกลับอยู่แล้ว แต่เห็นตรงช่วงกลางๆมีถนนแยกไปทางด้านข้าง ลองเดินเข้าไปดู ก็ไปเจอกับตลาดสดเข้า โอ้โห ถูกใจฉันที่สุด สีสันสนใสมากๆ จากบรรดาร้านดอกไม้ รวมถึงแผงผักผลไม้สีสันสวยงาม ที่เยอะไม่แพ้หันก็บรรดาผลไม้อบแห้ง มีทุกชนิด ทั้งมะม่วง ส้ม กีวี สับปะรด สตรอเบอร์รี่ เรียกว่ามีทุกอย่าง ใส่ถุงพลาสติกแก้วใสไว้หลายขนาด ฉันเลือกซื้อแบบผลไม้รวมมาสองถุง คนขายใจดีแถมส้มกับกล้วยให้อย่างละสองลูกอีกแน่ะ ฉันใช้เวลาสำรวจตลาดอยู่พอสมควร อยู่นานไม่ได้ บาร์ทเริ่มไม่เป็นอยู่ไม่เป็นสุข เพราะเธอไม่ชอบเดินตลาดไม่รู้เป็นไร

ป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่ผนัง แปลกดีมีศรชี้ลงด้วย เราไปตลาดตามป้าย Stadmarktไปค่ะ


ตลาด


ดอกไม้สีสด


ผักสดๆ เสียดายอดซื้อเพราะพักโรงแรม


ติ๊กต๊อกๆ ส้มหรือองุ่นดีล่ะ เอาสองอย่างเลย


เอาผลไม้อบแห้งด้วยแล้วกัน


ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ก็แน่ล่ะห้าโมงกว่าแล้วนี่ เพิงจะรู้สึกเหนื่อยก็ตอนนี้นี่เอง หิวมากๆด้วย ทั้งวันมีแค่เบอร์เกอร์คิงอยู่ในท้องเท่านั้น วันนี้ตั้งใจจะกินขาหมูเยอรมันให้ได้เชียวเดินหาไปเรื่อย แต่เราอาจจะเดินผิดย่าน ไม่เห็นมีขาหมูเลย จริงๆก็อาจจะมีก็ได้ แต่ด้วยความงี่เง่าของฉัน ที่ไมได้จดชื่อมาว่าภาษาเยอรมันเขาเรียกว่าอะไร อาศัยบาร์ทก็ไม่ได้เรื่อง ทั้งๆที่พูดเยอรมันก็ได้ แต่พอถาม มันบอกไม่รู้ (เริ่มเปลี่ยนสรรพนามด้วยความกริ้ว) พยายามดูรายการอาหารที่หน้าร้านแต่ก็ไม่ได้เรื่อง

ด้วยความหนื่อยที่เดินผจญความหนาวมาทั้งวัน บวกกับความหิวจนอาจจะยัดหมูเข้าไปได้ทั้งตัว เลยตัดสินใจเข้าร้านกินด่วน ไม่กงไม่กินมันแล้วขาหมู ไว้วันหลังแล้วกัน ยังเหลืออีกตั้งหลายวัน ต้องได้กินซักวันสิน่า หันไปอุดหนุนเพื่อนร่วมทวีปเดียวกับฉัน พูดให้เก๋ไปงั้นล่ะ ก็ร้านคนจีนนี่ล่ะ รสชาติอาหารพอใช้ได้ ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ เหมาะกับคนมีฐานะ (ยากจน) แบบเรา อิอิ กินกันอิ่มหนำสำราญ ก็เดินกลับที่พัก ได้ประโยชน์สองต่อ คือเป็นการย่อยอาหารไปในตัว และถือเป็นการชมเมืองในยามมืดค่ำ ทุ่มครึ่งถึงที่พัก วันนี้ถูกใจเหลือเกิน แต่ละทีที่ไปชมคนไม่เยอะ ไม่ต้องแย่งกันดู ส่วนพรุ่งนี้ตะ ลอนต่อไปที่พักแห่งสุดท้าย ใกล้จะได้เห็นปราสาทในเทพนิยายแล้วเรา


web page hit counter





 

Create Date : 19 มีนาคม 2553    
Last Update : 19 มีนาคม 2553 5:32:17 น.
Counter : 4704 Pageviews.  

Romantic Road day 3 Dinkelsbühl



Photo from postcard


วันนี้เราจะเดินทางต่อ โดยจะไปพักกันที่เมืองออสเบิร์ก ( Augsburg) ระหว่างทางจะแวะเที่ยวเมืองดิงเกลส์บูล ( Dinkelsbühl ) เมืองที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของถนนแห่งนี้ ก่อนออกเดิน ทางต่อฉันขอให้บาร์ทขับรถเวะเข้าไปดูตัวเมืองเลาดา-คอนนิงส์โฮเฟ่นซักหน่อย ไหนๆก็ได้ชื่อว่าพักที่เมืองนี้ เลยบอกบาร์ทว่าก่อนไปก็แวะไปดูหน่อยนะ บาร์ทบอกได้แต่เธอต้องออกแต่เช้านะ โปรแกรมเธอเยอะเหลือเกินนี่ แหมมันดักคอเราอีก


อากาศเช้านี้ยังคงดูหม่นๆเช่นเคย ไม่มีฝนแต่หนาวมาก เมืองนี้เล็กจริงๆ เดินแป๊ปเดียวก็ทั่วแล้ว ไม่มีลานกว้างใหญ่โตที่หน้าศาลากลาง มีพียงลานเล็ก และมีรูปปั้นอยู่ตรงหน้าแค่นั้นเอง เช้าๆแบบนี้ชาวเมืองคงยังหลับไหลหรือเปล่านะ นานๆจะมีคนเดินผ่านไปซักที เราเดินไปตามถนนแคบๆ ตึกรามบ้านช่องสวยงาม ผนังตกแต่งด้วยกรอบไม้สีแดงสีน้ำตาลซึ่งเป็นเอก ลักษณ์ที่เห็นได้ทั่วไปในเยอรมัน บางตึกก็ทาสีสันสดใสแต่ยังมีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นสีขาว ก่อนกลับก็แวะเข้าไปดูโบสถ์ประจำเมือง ให้ระดับความสวยปานกลาง จัดระดับความงามเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองดิง เกลส์บูลกันต่อทันที


อากาศยังคงหม่นๆ


ศาลาว่าการเมืองเลาดา-คอนนิงส์โฮเฟ่น



บรรยากาศในเมือง




ไม้แกะสลักหน้าบ้าน


ไม้แกะสลักหน้าบ้าน ดูใกล้ๆ



โบสถ์ประจำหมู่บ้าน



ภายในโบสถ์


ระยะทางจากที่นี่ไปก็ประ มาณ 102 กิโลเมตรเท่านั้นเอง เมืองเล็กๆที่อยู่ในเส้นทาง คือ Bad Mergentheim, Weikersheim, Rottingen, Creglingen, Rothenburg o.d.T. , Schillingsfürst, Feuchtwangen ทั้งหมดล้วนเป็นเมืองโปรโมท แต่เราไม่ได้แวะ แค่ขับเฉี่ยวๆผ่านไปเท่านั้น ถนนเส้นนี้สวยสมกับคำโรแมนติกจริงๆ


ย้อนเวลาหาอดีตอีกครั้งที่ดิงเกลส์บูล ( Dinkelsbühl )

แผนผังเมือง


ดิงเกลส์บูล ( Dinkelsbühl ) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองในยุคศตวรรษกลางที่สภาพตัวเมืองยังคงสมบูรณ์เหมือนในอดีตทุกอย่าง นับว่าเป็นความโชคดีของเมืองนี้ที่รอดพ้นจากการถูกทำลายของสงคราม ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ แม้แต่สงครามโลกก็ยังรอดพ้นมาได้ ดังนั้นทั้งอาคารบ้านเรือน กำแพงเมืองและหอคอยทั้ง 16 หอคอยจึงยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ย้อนอดีตได้ไม่แพ้เมืองโรเทนเบิร์กที่เดียว


เมืองนี้ก็มีวีรบุรุษของเมืองกับเขาเหมือนกัน คล้ายๆกับเมืองโรเทนเบิร์ก เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่กลับเป็นเด็กๆลูกหลานชาวเมืองนี้นั่นเอง เรื่องมีอยู่ว่าในปี 1631 ซึ่งอยู่ในช่วงของสงครามสามสิบปี ซึ่งเป็นสงครามการต่อสู้ระหว่างคาทอลิกกับโปรแตสแตนท์ จักรวรรดิเยอรมันในตอนนั้นแบ่งเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายคาทอลิกมีท่านเคาต์ทิลลี่( Count Tilly ) ซึ่งเป็นผู้นำ ส่วนโปรแตสแตนท์นำโดยกษัตริย์สวีเดนกุสตาฟ อดอล์ฟ ( Gustav Adolf )ในขณะนั้นเป็นช่วงที่กษัตริย์กุสตาฟ กำลังนำทัพโจมตีตอนใต้ของเยอรมันอยู่ แม้ว่าดิงเกลส์บูลจะไม่ใช่เป้าหมายของกษัตริย์กุสตาฟก็ตาม เนื่องจากว่าชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นโปรแตสแตนท์ แต่ทว่าฝ่ายคาทอลิกกลับเป็นผู้กุมอำนาจปกครองเมืองนี้ ชาวเมืองเองยังคิดว่าไม่น่าจะถูกโจมตี แต่ว่ากษัตริย์กุสตาฟคงคิดว่า ในเมื่อผู้คนส่วนใหญ่เป็นโปรแตสแตนท์ แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้ฝ่ายคาทอลิกมีอำนาจเล่า ดังนั้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็เลยยกทัพมาเพื่อหมายโจมตี


พอเจ้าเมืองนี้ได้ข่าวว่ากองทัพของกษัตริย์สวีเดนกำลังยกทัพมา ก็สั่งปิดประตูเมืองเตรียมกำลังทหารและอาวุธพร้อมสู้เต็มที่ ฝ่ายสวีเดนเมื่อมาถึง เห็นกำแพงเมืองที่ใหญ่โตและแข็งแรง มีคูน้ำล้อมรอบ แถมข้าศึกเตรียมพร้อมเต็มที่ ประเมินสถานการณ์แล้วก็เห็นว่า ถ้าสู้กันจริงๆคงต้องสูญเสียกำลังมิใช่น้อย ฝ่ายสวีเดนก็เลยยื่นข้อเสนอว่าให้ยอมแพ้ซะดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แต่กลับได้รับคำตอบว่าโนๆ เราไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆหรอก ( จริงๆท่านเจ้าเมืองคงอยากยอมแพ้อยู่หรอก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะผู้มีอำนาจกุมบังเหียนน่ะเป็นฝ่ายคาทอลิก)


ฝ่ายสวีเดนเมื่อได้รับคำตอบปฏิเสธ ก็เลยใช้วิธีล้อมเมืองไว้เฉยๆ ดูซิว่าถ้าเสบียงหมด แล้วจะทำยังไง ต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะถามไปกี่ครั้งว่าจะยอมแพ้หรือยัง ก็ยังได้รับคำตอบเหมือนเดิมคือโนๆ ไม่ยอม แต่ยิ่งนานวันเข้าเสบียงเริ่มร่อยหรอลงทุกที ในที่สุดเจ้าเมืองก็ตัดสินใจจะยอมแพ้ ยอมเปิดประตูให้ข้าศึก วินาทีนั้น ชาวเมืองทุกคนต่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง ตายแน่แล้วเรา


ในขณะที่ทหารฝ่ายสวีเดนกำลังเฮโลยกพลเข้าเมือง ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีกลุ่มทหารกลุ่มเล็กๆแต่เป็นเด็กๆทั้งนั้น เดินแถวมาด้วยความพร้อมเพรียงและร้องเพลงอย่างห้าวหาญ โดยมีผู้นำแป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งที่ทุกคนรู้จักและเรียกเธอว่า “คินเดอร์โลเรอร์” ( Kinderlore หมายถึงเด็กหญิงที่คอยดูแลเด็กเล็กๆเสมอๆ ) กองทัพเด็กกลุ่มเล็กๆนี้ต่างร้องเพลงและเดินมุ่งหน้าไปยังฝ่ายกองทัพสวีเดน

แม่ทัพฝ่ายสวีเดนเห็นดังนั้นก็งงไปชั่วขณะ อะไรกันวะเนี่ย อย่างนี้จะรบได้ยังไง ขืนสั่งทหารบุกมีหวังได้เสียประวัติว่าทำร้ายเด็ก ชาติตระกูลจะถูกก่นด่าและถูกตราหน้าไปชั่วลูกชั่วหลานเป็นแน่แท้ และเหนือสิ่งอื่นใดกลับรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของเด็กๆเป็นอย่างมาก จึงสั่งทหารไม่ให้ทำร้ายเด็กๆ และยกเลิกการโจมตีเมืองนี้ทันที ดิงเกลส์บูลจึงรอดพ้นจากการถูกทำลายเพราะเด็กๆช่วยไว้แท้ๆ


ดังนั้นในระหว่างวันที่ 14 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคมของทุกๆปี ชาวดิงเกลส์บูลจึงจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ งานนี้มีชื่อว่า “Kinderzeche” และในปัจจุบันในช่วงเย็น จะมีผู้รักษาความปลอดภัยประจำเมือง ( Night watchman ) ในชุดแต่งกายโบราณพาเดินชมเมืองในยามค่ำคืนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย เล่ามายืดยาวทั้งหมดทั้งปวงก็เพราะไม่อยากให้พลาดชมเมืองนี้เดี๋ยวจะหาว่าสวยไม่เตือน


รู้ประวัติกันไปหอมปากหอมคอ คราวนี้ก็ถึงเวลาชมเมืองกันซะที ย้อนไปนิด ตอนที่ขับรถเข้ามา ช่วงใกล้ถึงเมืองนั้น มองไปจะเห็นกำแพงและป้อมหอคอยอยู่เป็นระยะๆ ยิ่งพอถึงตรงทางเข้าประตูเมืองยิ่งสวยมากๆ เพราะรอบๆกำแพงมีคูน้ำล้อมรอบ มีต้นไม้แผ่กิ่งก้านดูร่มรื่น แถมสีสันก็สวยงาม ปากกำลังจะสั่งให้บาร์ทจอดรถด้านหน้านี้ก่อนแต่ก็ไม่ทัน (ลองกลับไปดูรูปในโปสการ์ดด้านบน นั่นล่ะคะสวยแบบนั้นแหละ) เพราะเธอพุ่งรถเข้าประตูเมืองไปซะแล้ว เลยมีเถียงกันเล็กน้อย เธอบอกจะหาที่จอดรถด้านใน จะได้ไม่ต้องเดินไกลยังจะมาว่ากันอีก วุ้ย มาหวังดีผิดเวลาซะนี่ เป็นแบบนี้ทุกทีเชียว

ประตูเมืองแบบนี้ล่ะที่มีอยู่รอบเมือง ขาเข้าถ่ายไม่ทันมัวแต่มองเพลิน นี้ถ่ายตอนกำลังจะออกจากเมือง


และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้า เธอก็วนรถไปมาจนมาได้ที่เหมาะเหม็ง ตรงหน้าโบสถ์ชื่อดังประจำเมืองกันเลยทีเดียว (ในโปสการ์ดจะเห็นอยู่ด้านล่างขวา) แค่ก้าวลงจากรถก็ถึงหน้าประตูโบสถ์ทันที ฉันจึงหยุดต่อว่าต่อขาน แต่ก็ไม่วายกำชับว่าดูให้ดีนะ ว่าจอดตรงนี้ได้หรือเปล่า แล้วจอดได้นานแค่ไหน ไม่ใช่กลับมาเจอใบสั่ง ทีนี้นอกจากจะเสียเงินแล้วยังจะโดนบ่นจนปวดหูนะจะบอกให้ เธอไปเช็คป้ายจนแน่ใจว่าจอดได้แน่ๆ ว่าจะไม่มีของขวัญตามมาทีหลัง เราจึงได้ฤกษ์เดินเที่ยวเมืองกันซะที


มหาวิหารเซนต์จอร์จ ( Münster St.Georg )

ตรงที่เราจอดรถนั้นเป็นมาร์คปลาทซ์( Marktplatz)จุดศูนย์กลางเมืองพอดี ด้านข้างคือโบสถ์หรือมหาวิหารเซนต์จอร์จ ( Münster St.Georg ) สไตล์โกธิคขนาดใหญ่ นับเป็นโบสถ์ที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งในบรรดาโบสถ์ทางใต้ของเยอรมัน สร้างในปี 1448 – 1499 ออก แบบโดยนิโคลัส เอสเลอร์ ( Nikolaus Eseler ) เมื่อเข้าไปข้างในก็จะยิ่งรู้สึกได้ถึงความใหญ่โตกว้างขวางมาก มีเสาโค้งค้ำยันเพดานด้านบนเรียงต่อกันไปทั้งหมด 11 คู่ จุดเด่นคือแท่นบูชาตรงกลางขนาดใหญ่สไตล์นีโอโกธิด ( Neo – Gothic ) มีภาพเขียนรูปพระเยซูตรึงไม้กางเขน นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นที่มีชื่อเสียงไปคือ พิเอต้า ( Pièta ) ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงจูงใจให้ผู้แสวงบุญมาที่นี่กันมากเป็นพิเศษในช่วงศตวรรษที่ 17

ด้านข้างโบสถ์ที่เราจอดรถ


โบสถ์มองจากอีกด้าน เก็บภาพไม่หมด เพราะด้านข้างจะมีตึกขนาบอยู่


ด้านใน


รายละเอียดตรงแท่นพิธี





ไวน์มาร์ค ( Weinmark หรือ Wine Market)

Weinmark


ออกจากโบสถ์ก็ยังไม่ไปไหนไกล ดูอาคารด้านหน้าโบสถ์ฝั่งตรงข้ามก็คุ้มแล้ว ตรงนี้ คือย่านที่เรียกว่าไวน์มาร์ค ( Weinmark หรือ Wine Market) มีตึกที่มีสีสันสวยงาม ทั้งส้ม เขียว เหลือง แดง ตามหน้าต่างก็ประดับด้วยกระถางดอกไม้เพิ่มความน่ารักเข้าไปอีก จุดเด่นของอาคาร ก็คือหน้าจั่วแบบขั้นบันไดของอาคารแต่ละหลังที่สวยงาม ตึกสีส้มที่อยู่ตรงหัวมุม หน้าจั่วเป็นขั้นบันได มีโดมเล็กๆเด่นอยู่ด้านบนสุด เดิมเคยเป็นที่ประทับของบุคคลสำคัญๆเช่น จักรพรรดิคาลที่ 5 ( Emperor Karl V ) ในปี 1546 และกษัตริย์กุสตาฟ อดอล์ฟ แห่งสวีเดน ( King Gustav Adolf of Sweden ) ในปี1632

ตึกนี้เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิคาลที่ 5 และกษัตริย์กุสตาฟ อดอล์ฟ แห่งสวีเดน


ตึกถัดไปที่เป็นสีเขียวหน้าจั่วขั้นบันไดอีกแบบ เดิมเคยเป็นบ้านของพวกขุนนางหรือนักการเมือง ปัจจุบันเป็นโรงแรม Zur Glocke ถัดไปเป็นตึกที่ชื่อว่าดอยช์เฮาส์ ( Deutsche Haus ) หน้าจั่วสไตล์เรเนซองซ์ประดับด้วยรูปปั้น Bacchus ซึ่งเป็นเทพเจ้าของไวน์ และติดๆ กันเป็นตึกสีเหลืองชื่อว่า Schranne หน้าจั่วขั้นบันไดเช่นกัน พิเศษตรงปลายยอดจั่วแต่ละขั้นประดับด้วยแท่นหินทรงปิรามิดเล็กๆ เพิ่มความอ่อนช้อยเข้าไปอีก นอกจากตึกสีห้าหลังที่ว่ามาแล้ว อาคารอื่นๆก็สวยๆทั้งนั้น หากเมื่อยขาเมื่อยคอ ก็แวะเข้าไปดูของที่ระลึกในร้านมั่งก็ได้ ของที่ระลึกส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกงานฝีมือจำพวกไม้แกะ สลัก เซรามิก ภาพวาดต่างๆก็มีมากมาย ฉันก็มองๆดูอยากซื้อเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ว่าซื้อมาแล้วกลัวมันจะมานอนแอ้งแม้งอยู่ที่ไหนซักแห่งในบ้าน ก็เลยไม่ซื้อดีกว่า ฮ่าๆ

ตึกสีเหลืองชื่อว่า Schranne


จากถนนไวน์มาร์คเดินตรงไปก็จะเป็นถนนด๊อกเตอร์มาร์ตินลูเธอร์ ( Dr.Martin Luther Strasse ) เดินไปเรื่อยสุดถนนก็จะเจอกับประตูเมืองทางด้านทิศเหนือที่ชื่อว่าโรเทนเบอร์กตอร์ (Rothenburg Tor ) ซึ่งหน้าจั่วด้านบนเป็นแบบขั้นบันไดยอดนิยมอีกแล้ว บนชั้นสองมีห้องขังนักโทษและห้องทรมานร่างกาย จากตรงนี้มีบันไดเดินขึ้นไปบนเนินซึ่งจริงๆก็คือส่วนของกำ แพงเมืองนั่นเอง แต่ดูร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ครึ้มไปตลอดกำแพง เราเดินวนไปทางด้านซ้าย ไม่นานก็เจอกับป้อมปราการที่ชื่อว่า Faulturn Parkwächterhäuschen เป็นที่คุมขังนักโทษอีกแห่งนึง รวมถึงเป็นที่พักของผู้ดูแลนักโทษด้วย ป้อมนี้ถ้ามองจากด้านนอกเข้ามาก็จะเป็นจุดที่สวยอีกแห่งนึงทีเดียว เพราะด้านนอกมีสระน้ำเป็นฉากเพิ่มความงาม ยิ่งเดินต่อไปเรื่อยๆยิ่งสวยใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นกำแพงสลับกับต้นไม้ครึ้มๆ เจอป้อมปราการเป็นระยะๆ อีกด้านหนึ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัยที่ปลูกเรียงและลดหลั่นกันไปตามเนิน แต่ละบ้านมีสวนเล็กๆ ไม้ดอกไม้ใบ ต้นแอ๊ปเปิ้ลก็มี มองไปไกลๆจะเห็นยอดโบสถ์เซนต์จอร์จ เดินต่อมาถึงประตูเมืองด้านใต้ที่ชื่อว่าเซกริงเงอร์ตอร์ ( Segringer Tor ) สวยอีกแล้ว เพราะมีสะพานไม้ทอดออกไปนอกประตูเมือง ด้านล่างเป็นคูน้ำ มีต้นไม้ปกคลุมสวยอีกแล้ว ประตูนี้ถูกสร้างใหม่ในสไตล์บาร็อคในปี 1655 โดยชาวอิตาเลียน ของเดิมนั้นพังไปตอนช่วงที่สวีเดนเข้ามารุกราน














สุดตรงนี้จะเดินขึ้นกำแพงล่ะ


Scan10046
บนกำแพง


no 282


หนึ่งในป้อมบนกำแพง


จากกำแพงมีสะพานเดินออกมานอกเมือง ด้านล่างมีคูคลอง





วิวเมืองมองจากบนกำแพง


ใจจริงอยากเดินให้รอบกำแพงเมืองเพื่อจะดูหอคอยให้ครบทั้ง 16 ป้อม แต่ดูแผนที่แล้วยังเหลือระยะทางอีกไกล กลัวจะขาลากกันซะก่อน เลยตัดสินใจลงจากกำแพงมุ่งหน้าไปดูบ้านสวยๆที่ถนนทูมคาสเซ Turmgasse ( เป็นถนนที่นำไปสู่โบสถ์เซนต์จอร์จ ) บ้านนี้มีชื่อว่าเฮเซลเฮาส์ ( Hezelhaus ) ซึ่งถือเป็นไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ กะว่าจะดูเป็นที่สุดท้าย แล้วก็จะออกเดินทางกันต่อ ดูในรูปเนี่ยสวยมากๆ เป็นบ้านที่สร้างในช่วงศตวรรษที่ 16 ของเจ้าขุนมูลนาย ตกแต่งด้วยไม้ตามแบบฉบับบ้านเยอรมัน ประดับด้วยไม้ดอกไม้เลื้อย งามแต๊ๆเจ้า เดินตามแผนที่ไปจนถึงที่ที่คาดว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของบ้านหลังนี้ แต่มองไปมองมาก็ไม่เห็นมีบ้านไหนเหมือนรูปที่เห็นเลย วนไปวนมาอยู่แถวๆนั้นแล้วก็เจอจนได้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะว่ามันต่างกันกับในรูปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีต้นไม้สวยงาม หน้าจั่วของบ้านดูเก่าๆ มีแผงกั้นห้ามเข้าเพราะว่ากำลังอยู่ใน ช่วงซ่อมแซม เซ็งเป็ด เซ็งไก่เลยตู เลยไปแก้เซ็งด้วยการแวะเข้าไปหาอะไรใส่ท้องกันที่ร้านตรงข้ามกับโบสถ์เซนต์จอร์จ จนพอให้หายผิดหวัง จากนั้นก็ได้เวลาโบกมือลาเมืองดิงเกลส์บูลกันซะที



แวะเติมพลังร้านฝรั่งแต่มีปอเปี๊ยทอดด้วย


ชุดนี้ของบาร์ท


จานนี้ของมชล


สรุปว่าวันนี้ฉันได้เดินดูเมืองดิงเกลส์บูลแบบอิ่มใจ สบายๆไม่รีบร้อน ทำใจไว้แล้วว่าอย่าโลภ อย่าอยากดูไปซะทุกที ยึดทางสายกลาง แล้วจะได้ดูแบบเป็นสุข ไม่งั้นจะกลายเป็นชะโงกทัวร์ไปซะเปล่าๆ ทั้งเหนื่อยทั้งได้เที่ยวเหมือนเป็ด ฮ่าๆ (เค้ามีแต่รู้เหมือนเป็ด คือรู้นิดเดียว แต่ไม่เป็นไร พอกล้อมแกล้มไปได้ )


ถ้ามีเวลาแนะนำว่าการเดินเล่นบนกำแพงเมืองจะได้บรรยากาศมากแถมได้ชมเมืองนี้ในมุมสูงอีกด้วย

กำแพงเมืองนี้มีประตูเมืองอยู่ 4 ด้านด้วยกันรวมถึงมีป้อมหอคอยกระจายเป็นระยะๆ รวมทั้งสิ้น 16 หอคอยด้วยกัน ประตูเมืองทั้ง 4 ด้านได้แก่ Wörnitz Tor, Rothenburg Tor, Segringer Tor และ Nordlinger Tor


ขอแวะเมืองDonauwörth

ออกจากเมืองดิงเกลส์บูลก็บ่ายสามโมงแล้ว ก่อนจะถึงเมืองออสเบิร์ก ( Augsburg ) ก็จะมีเมืองที่สามารถแวะได้คือ Wallerstein, Nördlingen, Harburg และ Donauwörth ตอนแรกกะว่าจะตรงไปเลยไม่แวะที่ไหนแล้ว แต่อดไม่ได้ขอโฉบเข้าไปที่เมืองโดนาวเวิร์ท ( Donauwörth )ซักนิดเถอะน่า ก็เค้าบรรยายไว้ว่าเมืองนี้มีถนนใจกลางเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สายที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งในเยอรมัน แล้วอย่างนี้ใจฉันมันจะปกติได้ยังไง ถ้าไม่ได้เห็นถนนที่ว่านี้ เลียบๆเคียงๆบอกบาร์ทว่า ขอแวะเข้าไปซักนิดนะ แค่ขับรถโฉบเข้าไปดูให้เป็นขวัญตาหน่อยนึง ไม่ต้องลงเดินก็ได้ บาร์ทตกลงอย่างง่ายดาย คงรู้ว่าถ้าขัดใจก็จะโดนบ่นไม่จบหรือเป็นเพราะว่าอยากเห็นด้วยเหมือนกันก็ไม่รู้


พอโฉบเข้าไปก็ไม่ผิดหวังเลย ได้เจอตึกสีสันสดใส ชักเริ่มเสียดายซะแล้ว แต่ด้วยเวลาทำให้ฉันต้องข่มใจนั่งเป็นพระยาชมเมืองอยู่ในรถ แต่นั่งนิ่งได้ไม่นานฉันก็ขอต่อรองลงไปเดิน สัญญาว่าจะเดินแบบตามควายเลยทีเดียว พอบาร์ทยอมให้ฉันลงจากรถ ฉันก็ไม่รอช้า วิงจู๊ดไปเก็บภาพตรงนั้นตรงนี้แบบกระหืดกระหอบ เหมือนชะโงกทัวร์ไม่มีผิด นี่ละนะเค้าถึงได้บอกว่าให้ทำอะไรทำแต่พอดี หากโลภมากลาภจะหาย แต่ของฉันนี่โลภมากแล้วหัวใจจะวายเพราะเหนื่อยเกินไป

จะเข้าเมืองDonauwörth


นั่งเป็นพระยาชมเมืองอยู่ในรถ






ตึกตรงกลางคือศาลาว่าการเมือง


โดนาวเวิร์ท ( Donauwörth )เดิมนั้นเป็นหมูบ้านชาวประมงบนเกาะในแม่น้ำวอร์นิซ ( Wörnitz ) เป็นจุดที่แม่น้ำวอร์นิซและแม่น้ำดานูบ ( Danube )ไหลมาเจอกัน จุดที่น่าสนใจของเมืองนี้ได้แก่ :

The ‘Reichsstrasse’ อยู่ในเขตเมืองเก่าเริ่มจากศาลาว่าการเมือง ( Town hall ) จนถึง ‘Fuggerhaus’ ถือเป็นถนนเศรษฐกิจหลักของเมืองนี้ อาคารสองฝั่งถนนดูใหม่ แถมมีสีสันสด ใส จนได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดถนนหนึ่งในเยอรมัน เนื่องจากได้รับการบูรณะซ่อมแซมหลังจากถูกระเบิดทำลายในช่วงวันที่ 11 และ 19 เมษายน ปี 1945

Fuggerhaus อาคารสไตล์เรเนซองซ์ อยู่สุดปลายถนน Reichsstrasse อาคารสีขาวตัดด้วยหน้าต่างสีแดงทำให้ดูเด่น หน้าจั่วแบบขั้นบันได สร้างขึ้นในปี 1537-39 โดย Anton Fugger และในปี 1632 ก็ได้ใช้เป็นที่พักของกษัตริย์กุสตาฟ อดอล์ฟ ( Gustav Adolf ) รวมถึงเป็นกองบัญชาการรบของกองทัพสวีเดน นอกจากนั้นยังเคยเป็นที่ประทับแรมของจักรพรรดิคาลที่ 6 ( Karl VI )ในปี 1711 อีกด้วย ปัจจุบันเป็นที่ทำการชองสภาเมืองนี้ ( District Council )

Fuggerhaus อาคารสีขาวตัดด้วยหน้าต่างสีแดงทำให้ดูเด่น


Town Hall ศาลาว่าการเมือง สร้างในปี 1236 และมีการก่อสร้างเพิ่มเติมมาหลายครั้งด้วยกัน สัญญลักษณ์รูปนกอินทรีเหนือประตูทางเข้านั้น ได้รับพระราชทานจากกษัตริย์คาลที่ 6 ในปี 1530 ด้านบนของอาคารมีนาฬิกาและระฆังเล็กๆรอบๆนาฬิกา ( Glockenspiel ) ทุกๆหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่เวลา 11.00 – 16.00 น ของทุกๆวันจะมีเสียงเพลงที่ชื่อว่า Die Sonne muss scheinen หรือ The sun must shine จากละครโอเปร่าเรื่อง The Magic Fiddle โดยศิลปิน Werner Egk

Town Hall


Rieder Tor ประตูเมืองสีอิฐซึ่งสร้างใหม่จากโครงเดิมแทนของเดิมที่ถูกระเบิดทำลายในปี 1945 ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติความเป็นมาของเมืองนี้ ด้านนอกประตูเมืองมีลำธารเล็ก และมีบ้านเรือนน่ารักๆอยู่รอบนอก

Rieder Tor ประตูเมืองสีอิฐ




หลังจากเดินทนถ่ายรูปเสร็จ ฉันก็กระหืดกระหอบมาขึ้นรถ บาร์ทกับมิเชลเลอร์หัวเราะชอบใจ ฉันก็ขำในความบ้าของตัวเองเหมือนกัน แต่ฉันก็ถือว่าได้แค่นี้ก็ยังดี ดีกว่าจะให้มันค้างคาใจ ว่ามันสวยยังไงกันหรือนั่น ถึงได้ยกยอกันเข้าไป แต่ถ้ามาถามความเห็นของฉันละก็ เออ มันก็สวยดี ทั้งรูปทรงอาคารรวมถึงสีสรรฉูดฉาดได้ใจ เลยดูไม่ขลัง รวมถึงไม่มีชีวิตจิตใจ อาจเป็นเพราะถนนไม่มีต้นไม้ประดับตามหน้าต่าง มีแต่คอนกรีตเลยดูเรียบไปหมด แต่ถึงอย่างไรหากมีเวลาฉันว่าเมืองนี้สมควรเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ควรจะบรรจุไว้ในโปรแกรมที่ควรแวะเช่นกัน

มชล แอบหัวเราะแม่


เสร็จจากชะโงกทัวร์ เราก็มุ่งหน้าไปยังเมืองออสเบิร์ก ( Augsburg ) ซึ่งเป็นจุดพักแรมจุดที่สองของเรา เราจะอยู่พักที่นี่กันสองคืนด้วยกัน คราวนี้เราเลือกพักกันที่โรงแรมอีบิช ( Ibis hotel ) ซึ่งเป็นโรงแรมในราคาย่อมเยา มักอยู่ในย่านธุรกิจ ถ้าเลือกแบบไม่รวมอาหารเช้า ก็จะได้ราคาถูกลงมาอีก ห้องก็พอประมาณแต่ไม่อึดอัด ได้ห้องพักแบบสามเตียง นอนสบาย

Ibis hotel


เราถึงที่พักหกโมงเย็น ระหว่างวนหาโรงแรม เจอร้านอาหารไทยในถนนสายหนึ่งโดยบังเอิญ เล็งและจำชื่อถนนไว้ วันนี้ขอโซ้ยอาหารไทยซักหน่อยเถอะน่า เข้าที่พักเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้ามาที่ร้านทันที สั่งแบบไม่กลัวล้มละลาย (อาหารไทยเมืองนอกแพงนะจะบอกให้) ส้มตำไทยเผ็ดๆ ผัดกระเพราหมูของฉัน ต้มข่าไก่ของบาร์ท ไก่สะเตะของมิเชลเลอร์ ผัดไทยของกลาง(หมายความว่าแบ่งกันกิน) แต่หน้าตาเหมือนก๋วยเตี๋ยวผัดผักรวมมิตร เออนะ ผัดไทยเมืองนอกต้องประยุกต์กันหน่อย รสชาติเลยเพี้ยนๆ กะว่าให้ดูคุ้มค่าในการตั้งราคาละมั้ง สรุปมื้อนี้หมดไป 60 ยูโรกว่าๆ ก็ไม่ถือว่าแพงเกินไปนะพอทนได้ อิ่มตื้อแล้วก็กลับมานอนพักเอาแรง พรุ่งนี้จะได้มีแรงไว้เดินชมเมือง

วันนี้กินอาหารไทย


Tip: จากเมือง Lauda-Königshofen ไป Dinkelsbühl ใช้ถนนหมายเลข B27 และ B29 ซึ่งเป็นเส้นทางเดิมที่จะไป Rothenburg ถนนช่วงนี้สวย และจากเมือง Dinkelsbühl ใช้ถนน B25 ไป Donauwörth จากนั้นใช้ถนนออโตบานหรือมอเตอร์เวย์ไปเมือง Augsburg ถ้าหลงก็พยายามหาป้าย Romantische Strasse เอาไว้แล้วตั้งต้นต่อไป

มีป้ายแบบนี้ไม่หลงแน่นอน



web page hit counter





 

Create Date : 05 มีนาคม 2553    
Last Update : 5 มีนาคม 2553 21:11:08 น.
Counter : 3382 Pageviews.  

Romantic Road day 2 Rothenburg และ Weikersheim



คำเตือน วันนี้เรื่องและรูปเยอะมั่กๆเลยค่ะ หากโหลดช้าต้องขอโทษด้วยนะค้า


วันนี้ตั้งใจว่าช่วงเช้าเราจะไปเดินเล่นในไร่ไวน์ ช่วงบ่ายจะไปเมืองโรเทนเบิร์ก ( Rothenburg o.d.T) เค้าบอกว่าไม่ควรพลาดเมืองนี้เด็ดขาด เพราะน่ารักและโรแมนติกมากๆ แต่พอตื่นเช้ามาก็เจอกับฟ้าหม่นและฝนพรำ ลำพังเราสองคนน่ะไม่เป็นไร แต่กลัว มชล โดนฝนแล้วจะไม่สบาย อาจแห้วอดเที่ยวต้องเก็บของกลับบ้านแทน แถมเมื่อตอนตีห้าเธอก็ตื่นขึ้นมาแล้วร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุ สงสัยคงผิดที่หรือไม่ก็ฝันร้าย เอ ก่อนนอนก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทางแล้วนี่หว่า หรือเจ้าทีเจ้าทางฟังภาษาไทยไม่ออกวะ เยอรมันก็พูดไม่ได้อ่ะ เดี๋ยวคืนนี้ลองบอกเป็นภาษาปะกิดดูดีกว่า ฮ่าๆ ดังนั้น เช้านี้เป้าหมายแรกก็เลยต้องพุ่งตรงไปเมืองโรเทนเบิร์กแทน หากมีเวลาขากลับเราจะแวะชมพระราชวังที่เมืองไวแกร์สไฮม์ ( Weikersheim )

ระยะทางจากที่พักไปโรเทนเบิร์กไม่ไกลแค่ 57 กิโลเมตรเท่านั้น เราก็เลยนั่งกินอาหารเช้าแบบสบายใจ ห้องอาหารของที่นี่น่ารัก บรรยากาศเหมือนนั่งในบ้านสมัยเก่า วิวนอกหน้าต่างก็ดูชวนฝัน หมอกจางๆลอยล่องอยู่เหนือดงแอ๊ปเปิ้ลที่เจ้าของปลูกไว้ แต่ละต้นมีลูกห้อยระย้ากำลังได้ที่ อยากบอกว่าฉันบ้าต้นแอ๊ปเปิ้ลมาก ขนาดเห็นมาหลายปีแล้วน่าจะชินแต่ก็เปล่า จนบัดนี้แปดปีแล้วฉันก็ยังตื่นเต้นอยู่เลยอ่ะ อยากวิ่งไปเด็ดมาแทะกินจริงๆ

หลังจากละเมียดละไมกับอาหารและบรรยากาศยามเช้าแล้ว ก็ได้เวลาทัวร์กันซะที ถนนที่วิ่งนี้เลาะไปตามเนินเขาในบางช่วง ตลอดทางที่ผ่านมาแม้ว่าอากาศจะดูหม่นๆ มีหมอกจางๆลอยปกคลุมเป็นหย่อมๆ แต่ก็ไม่ทำให้อารมณ์หมองเศร้าไปตามอากาศ เพราะสีเหลืองแดงของใบไม้ข้างทาง ช่วยทำให้การเที่ยวในฤดูนี้มีสีสันและสวยไปอีกแบบ บางช่วงก็จะมีไร่ไวน์ที่แม้จะเก็บเกี่ยวไปแล้วแต่ก็ยังดูสวยเพราะยังไม่สลัดใบทิ้ง แถมยังเปลี่ยนเป็นสีแดง เพิ่มสีสันให้กับธรรมชาติยิ่งขึ้น



ช่วงใกล้ถึงเมืองโรเทนเบิร์กนั้น เราผ่านหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ตัวหมู่บ้านอยู่บนเนินเขาสูงพอประมาณ เมื่อรถแล่นขึ้นไปถึงหมู่บ้าน ด้านขวามองลงมามีลำธารและทางเดินเล็กๆสำหรับเดินเล่นแทรกอยู่ในป่าเล็กๆ ฉันอดที่จะอิจฉาคนที่นี่ไม่ได้ ที่ได้เดินเล่นกับธรรมชาติที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ต้องบอกบาร์ทจอดรถข้างทางเพื่อเก็บภาพไว้ซักหน่อย ระหว่างที่เล็งหามุมสวยๆอยู่นั้น ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจากที่ฝนตกพรำๆในตอนเช้า แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นปุยหิมะเบานุ่มไปซะแล้ว ทั้งๆที่เพิ่งเป็นเดือนตุลาคมนี่เอง บรรยากาศตอนนี้ก็เลยโรแมนติกสุดๆ ส่วน มชล ก็ดี๊ด๊า อยากลงมาเล่นหิมะด้วยอีกแน่ะ “อย่าเพิ่งเลยนะลูก เดี๋ยวไม่สบาย” บอกลูกไปแล้วก็รีบกดชัตเตอร์มือระวิงเพื่อให้ลูกเห็นว่าแม่จอดรถแป๊บเดียวเองนะไม่ต้องลงมา เสร็จแล้วฉันก็รีบวิ่งปรู๊ดมาขึ้นรถ (ก็ไม่ได้ใส่เสื้อหนาวลงไปน่ะ เพราะคิดว่าคงไม่เท่าไหร่แต่หนาวโคด ๆ)





ขับรถไต่ระดับความสูงมาได้ไม่นานก็เริ่มเข้าเขตเมืองด้านนอก มีทั้งส่วนที่เป็นย่านร้านค้าและส่วนที่อยู่อาศัย ก็เตรียมหาที่จอดรถกันได้ ขับไปตามป้ายบอกทาง Zentrum ( อ่านว่าเซ็นทรุม ก็หมายถึง City center ในภาษาอังกฤษนั่นเอง ) แค่ถึงลานจอดรถฉันก็เริ่มตื่นเต้นแล้ว ภาพที่เห็นเป็นกำแพงเมืองสูงชันทอดยาวไปจนสุดสายตา อีกแค่ไม่กี่อึดใจเราทั้งสามกำลังจะได้ก้าวผ่านกำแพงแห่งนี้ เพื่อย้อนเวลาไปหาอดีตกันแล้ว

โรเทนเบิร์ก ( Rothenburg o.d. หรือ Rothenburg ob der Tauber ) เป็นเมืองในยุคสมัยศตวรรษกลาง ถือเป็นเมืองเก่าแก่ที่สวยที่สุดอีกเมืองหนึ่งของเยอรมันเลยก็ว่าได้ ตัวเมืองนั้นล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง อาคารและสถาปัตยกรรมนั้นเป็นแบบโกธิค ( Gothic ) และแบบเรเนซองซ์ (renaissance ) ส่วนบ้านเรือนนั้นมีลักษณะแบบบาร็อค ( Baroque house ) เมืองนี้มีชื่อเต็มว่า Rothenburg oberhalb der Tauber ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็แปลได้ว่า Rothenburg above the Tauber ตัวเมืองนั้นตั้งอยู่บนหุบเขา ด้านล่างมีแม่น้ำเทาเบอร์ (Tauber ) ไหลผ่าน และนั่นก็คือที่มาของคำต่อท้ายชื่อเมืองนั่นเอง ( ob der Tauber หรือ above the Tauber )

ประวัติความเป็นมาของเมืองนี้เริ่มตั้งปี 1070 ตระกูล Comburg-Rothenburg มีอำนาจครอบครองที่ดินในแถบนี้ และได้สร้างปราสาทขึ้นบนหุบเขาแห่งนี้ ต่อมาในปี 1116 เมื่อผู้ปกครองในตระกูลนี้เสียชีวิตลง อำนาจการปกครองเมืองนี้ก็ได้ตกไปสู่ Konrad von Hohenstaufen ซึ่งต่อมาก็คือกษัตริย์ Konrad III ( ปี 1138-52 )โดยความเห็นชอบของกษัตริย์ Heinrich ที่5 ในปี1274 ซึ่งเป็นช่วงที่กษัตริย์รูดอล์ฟ ( King Rudolf of Habsburg) มีอำนาจปกครองนั้น ในช่วงนี้ได้มีการก่อสร้างอาคารและสถาปัตยกรรมที่สำคัญขึ้นมากมาย และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน 20 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุคของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ( Holy Roman Empire )

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ( มีนาคม ปี1945 ) โรเทนเบิร์กก็ถูกใช้เป็นฐานประจำการของทหารนาซี แม้ว่าจะถูกโจมตีแต่ก็ไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรง มีเพียงด้านนอกรอบเมืองเท่านั้น เหตุที่รอดมาได้นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับความสวยงามของเมืองนี้กันเลยทีเดียว ก็เพราะความสวยงามนี่เอง นายทหารระดับสูงของอเมริกันถึงกับสั่งห้ามใช้อาวุธร้ายแรงจำพวกปืนใหญ่ยิงใส่เมืองนี้ อีกทั้งนายพลที่ทำการควบคุมการต่อสู้ก็ได้ขัดคำสั่งของฮิตเลอร์ ไม่สู้และยอมแพ้ซะงั้น ทำให้โรเทนเบิร์กรอดพ้นการถูกทำลายมาได้ หลังจากสง ครามโลกครั้งที่สองจบลง ชาวมืองก็ได้ช่วยกันซ่อมแซมฟื้นฟูส่วนที่เสียหายจากสงคราม โดยงบประมาณในการซ่อมแซมส่วนใหญ่ได้มาจากการบริจาคจากทั่วโลก ซึ่งได้มีการจารึกชื่อผู้บริจาคไว้บนก้อนอิฐแต่ละก้อนนั้นด้วย

เดินผ่านกำแพงไปสู่อดีต
เราเดินเข้าประตูที่ชื่อว่า กลิงเคนตอร์ ( Klinggentor ) ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือ วินาทีแรกที่เดินผ่านประตูเมืองเข้าไปนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าได้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งอดีต คล้ายๆกับการดูหนังย้อนยุคที่มีฉากบ้านเรือนในสมัยก่อนยังไงยังงั้นเลย แม้ว่าจะเป็นแค่กำแพงเมืองแต่ก็ดูสวยงาม และถึงแม้ว่าจุดประสงค์จะใช้เป็นปราการป้องกันผู้รุกรานจากภายนอกก็ตาม แต่ก็ยังสวยอยู่ดีในสายตาของฉัน เพราะตามตัวกำแพงถูกประดับไว้ด้วยไม้ดอกไม้เลื้อยเต็มไปหมด ทั้งที่ช่วงนี้จะไม่ใช่ช่วงหน้าดอกไม้ก็ตาม แต่ก็ยังมีสีสันให้เห็นบ้างประปราย แบบนี้ถ้ามาในช่วงหน้าร้อน ก็คงจะงามน่าดู เราสามารถขึ้นไปเดินเล่นบนกำแพงได้ด้วย กำแพงเมืองนี้สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 14-15 มีประตูเมืองและหอคอยอยู่เป็นระยะๆ



จากกำแพงเมืองเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงถนนสั้นๆช่วงหนึ่งที่มีชื่อว่า The Gelgengasse แค่ตรงนี้ก็ทำให้ฉันเก็บรูปมาได้มากมาย ด้วยความงามของอาคารทั้งสองข้างนั่นเองโดยเฉพาะที่หน้าต่างจะประดับต้นต้นไม้ดอกสีสันสวยงาม บนผนังจะใช้ไม้สีแดงหรือสีน้ำตาลมาทำลวดลายแบบกากบากอยู่ในสี่เหลี่ยม ( half timber ) ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปในแถบชนบทของเยอรมัน ส่วนที่ปลายถนนจะเห็นหอหอยหรือหอนาฬิกาที่ชื่อว่าไวซ์เซอร์ เทิร์น ( Weisser Turn หรือ Wite Tower ) ตั้งเด่นสง่าอยู่ ด้านล่างมีซุ้มประตูโค้งนำไปสู่ใจกลางเมืองหรือที่เรียกว่ามาร์คปลาทซ์หรือ มาร์เก็ตสแควร์ ( Marktplatz หรือ Market square ) ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองที่สวยมากๆอีกแห่งหนึ่งในเมืองนี้เลยทีเดียว



เดี๋ยวผ่านประตูตรงนี้ไปก็จะเป็นถนนสายสั้นๆที่สวยมากๆ












ลายไม้ด้านบนนั่นแหละที่เรียกว่า half timber


เราเดินผ่านซุ้มประตูไวซ์เซอร์เทิร์นหรือไวท์ทาวเวอร์เข้ามาจะถึงมาร์คปลาทซ์ (Marktplatz) ก็เจอกับผู้คนล้นหลาม ส่วนใหญ่เป็นกรุ๊ปทัวร์ของพี่ยุ่น แกมากันเยอะจริงๆนะ เนี่ย เรียกว่าลานกว้างๆถูกพี่แกจับจองไปเกือบซะหมด บริเวณมาร์คปลาทซ์ประกอบไปด้วยศาลาว่าการเมือง ( Rathaus หรือ Town hall ) หอนาฬิกา ( Ratstrinkstube หรือ Tower clock ) น้ำพุเซนต์จอร์จ ( St. George Foutain ) และบรรดาร้านค้าร้านอา หารต่างๆมากมาย ประดับประดาด้วยดอกไม้สวยงาม แต่ละร้านจะมีป้ายสัญลักษณ์สีทองรูปร่างต่างๆกัน ห้อยไว้บนหน้าประตูร้าน บางแห่งก็เป็นรูปสัตว์ บางแห่งก็เป็นรูปของที่ขายในร้าน แต่ละป้ายก็สวยๆทั้งนั้น แค่ดูเจ้าสัญญลักษณ์นี่ก็เพลินไม่รู้ตัว

ศาลาว่าการเมือง




บรรดาร้านอาหาร




ตัวอาคารศาลาว่าการ ( Rathaus ) ประกอบด้วยสองส่วนด้วยกัน คือ อาคารด้านหน้าสร้างในสไตล์เรเนซองซ์ ( Renaissance ) ในช่วงปี 1572 – 1578 และระเบียงทาง เดินที่เป็นแนวโค้งที่หันหน้ามาทางลานกว้างนั้น มาสร้างเพิ่มในปี 1681 ส่วนที่สองคือส่วนที่เป็นหอคอยสูงทางด้านหลัง สร้างในปี 1250-1400 ในสไตล์โกธิค ( Gothic ) หอคอยนี้สูง 60 เมตร เปิดให้ขึ้นไปชมวิวด้านบนได้ ภายในตัวอาคารด้านล่างจะมีห้องไกเซอร์ซาลหรืออิมพีเรียลฮอล ( Kaisersaal หรือ Imperial Hall ) ซึ่งรวบรวมประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ไว้ รวมถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดสงคราม 30 ปี ซึ่งเป็นสงครามศาสนาระหว่างโปรแตสแตนท์กับคาทอลิก และในชั้นใต้ดินจะเป็นห้องคุมขังนักโทษรวมถึงห้องทรมานร่างกาย

คอคอยด้านข้าง


ส่วนอาคารถัดไปจะเป็นอาคารหอนาฬิกา ( Ratstrinkstube หรือ The City Councillors' Tavern ) สร้างขึ้นในปี 1446 เดิมไม่มีนาฬิกา แต่มาสร้างเพิ่มเติมในปี 1683 ซึ่งนอกจากจะบอกเวลาแล้วยังมีส่วนที่แสดงวันเดือนปีอีกด้วย และด้านข้างนาฬกาจะมีหน้าต่างเล็กๆ 2 บาน ตรงนี้มา สร้างเพิ่มขึ้นในปี 1910 ทุกๆชั่วโมงหน้าต่างนี้จะเปิดออก (ตั้งแต่ 10.00 -15.00 น. และ ตั้งแต่ 20.00 – 22.00 น.) มีตุ๊กตารูปปั้นชายสองคน ที่เรียกว่า Meistertrunk หรือ The Master Draught ซึ่งคนนึงกำลังดื่มเบียร์จากเหยือกขนาดใหญ่ ชายผู้ที่ดื่มเบียร์นี้ถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษของเมืองเลยทีเดียว

หอนาฬิกา


เรื่องก็มีอยู่ว่า ในช่วงระหว่างสงครามสามสิบปีนั้น เมืองนี้ได้ถูกรุกรานโดยท่านเคาท์ทิลลี่ ( Count Tilly ) ท่านเคาท์คงนึกสนุกขึ้นมา ก็เลยประกาศว่า ถ้าใครสามารถดื่มไวน์จากเหยือกขนาดใหญ่นี้ได้โดยไม่มีการหยุดพัก จะยกเว้นไม่ยึดเมืองก็แล้วกัน ปรากฎว่าท่านเจ้าเมืองคือท่านลอร์ดนุช ( Mayor Nusch) รับคำท้าและดื่มอั่กๆรวดเดียวจนหมด โรเทนเบิร์กก็เลยรอดพ้นการรุกรานไปด้วยประการฉะนี้ และในทุกๆปีก็จะจัดให้มีการแสดงฉากนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมของท่านลอร์ด โดยจัดแสดงภายในห้องอิมพีเรียลซึงอยู่ในศาลาวาการนั่นเอง

การแสดงนี้มีชื่อว่า The Master Draught หรือ Meistertrunk มีแสดง 3 เทศกาลด้วยกันคือ
1.เทศกาล Whitsuntide คือ 49 วันนับจากวันอีสเตอร์ ( Easter ) ก็ประมาณเดือนพฤษภาคมของทุกปี งานนี้จะจัดขึ้นทั้งหมด 4 วันด้วยกันคือ ตั้งแต่วันศุกร์จนถึงวันจันทร์ โดยในแต่ละวันจะมีชื่อของเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประวัติ ศาสตร์ในช่วงนี้ โดยในวันศุกร์มีชื่อว่า The sieged city วันเสาร์มีชื่อว่า The surrounded city วันอาทิตย์มีชื่อว่า The free city และวันจันทร์มีชื่อว่า Fortunate, happy city แต่ละวันก็จะมีการแสดงต่างๆกันไป แต่การแสดงจากดื่มเบียร์ซึ่งเป็นไฮไลต์ของงานนี้ จะมีแสดงทุกวัน
2.เทศกาล Imperial City Festival ปกติจะจัดขึ้นในต้นเดือนกันยายน ในวันศุกร์เสาร์อาทิตย์
3.Autumn in Rothenburg หรือเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง จัดขึ้นวันอาทิตย์แรกหรืออาทิตย์ที่สองของเดือน

ช่วงนี้ฝนเริ่มโปรยเล็กน้อย มิเชลเลอร์ก็เริ่มงอแง เลยต้องหยุดพัก หลบเข้าไปในร้านอาหารแถวๆนั้นแหละ คนเยอะพอสมควรโดยเฉพาะพี่ยุ่น อยากจะสั่งขาหมูมากินกลัวจะกินไม่หมด เลยสั่งไส้กรอกมากินแทน แต่ก็ผิดหวังนิดหน่อย ไม่อร่อยเหมือนร้านแผงลอยเลยอ่ะ มันเลี่ยนๆ ดีที่ได้เป๊บซี่มากลั้วคอไม่งั้นแย่เลย

มื้อกลางวัน


ฝนหยุดโปรยแล้วตอนออกจากร้านอาหาร แต่ฉันก็ยังวนเวียนอยู่แถวนั้น ก้มๆเงยอยู่กับร้านขนมทั้งหลายที่มีเจ้าขนมลูกกลมๆเป็นตัวเอก เพราะรู้มาว่าเป็นขนมที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้และที่สำคัญ มีขายที่เมืองนี้ที่เดียวเท่านั้น เจ้าขนมที่ว่านี้มีชื่อว่า Schneeball แปลตรงๆก็คือขนมลูกบอลหิมะนั่นเอง เนื่องจากรูปร่างของขนมเป็นรูปกลมๆขรุขระเคลือบด้วยช็อคโกแลตและโรยด้วยน้ำตาลไอซ์ซิ่ง มีทั้งลูกเล็กลูกใหญ่ เดี๋ยวขากลับค่อยมาชิม จะได้รู้ว่าอร่อยสมกับเป็นขนมประจำเมืองหรือไม่ ตอนนี้ก็เดินเล็งไปเรื่อยๆก่อน ไว้เจอร้านไหนที่ราคาถูกใจก็ค่อยซื้อดีกว่า ก็มันมีเยอะมาก แต่ละร้านก็มีหลายราคามาล่อใจ จะซื้อแบบอนาถา (แบบใส่ถุงกระดาษ) หรือแบบหรู เช่นใส่กล่องกระดาษ หรือกล่องสวยๆรูปทรงกระบอกก็มีให้เลือก แต่แบบนี้ต้องเสียค่ากล่องด้วยนะ แบบอนาถาน่ะเค้าให้ฟรี ฮ่าๆ

ขนมสเนโบล


จากมาร์คปลาทซ์ถ้าเดินทะลุช่วงกลางของศาลาว่าการก็จะไปโผล่ที่โบสถ์เซนต์จาคอบ (St.Jakobskirche หรือ St.Jacob’s Church) ถือเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ สร้างในช่วงศตวรรษที่ 14-15 โบสถ์นี้มีชื่อเสียง (มาแล้วต้องเข้าไปดู) ก็จากแท่นบูชาที่อยู่ในโบสถ์แห่งนี้ ชิ้นแรกชื่อว่า the Heilige Blut or Holy Blood Altar ( 1501-1504) เป็นรูปแกะสลักเรื่องราวเดอะลาสซับเพอร์ (The Last Supper) ซึ่งเป็นผลงานของ Tilmann Riemenschneider และแท่นบูชา High Altar สีทอง มีภาพวาดมาร์คปลาทซ์หรือมาร์เก็ตสแควร์ในช่วงเวลานั้นซึ่งวาดโดย Friedrich Herlin ในปี 1466

ชมโบสถ์เสร็จแล้วก็เดินย้อนกลับมาตามทางเดิม โผล่ออกมาก็จะเป็นถนนที่ชื่อว่า แฮร์เรนกาสเซอ ( Herrengasse ) เป็นถนนที่ไม่ควรพลาด เพราะมีอาคารสวยๆมากมาย เดิมเป็นย่านที่อยู่อาศัยของตระกูลขุนนางผู้มั่งคั่ง ปัจจุบันได้กลายมาเป็นโรงแรม เป็นร้านขายของในเทศกาลคริสต์มาสมากมาย รวมถึงพิพิธภัฑณ์คริสต์มาสก็ตั้งอยู่ในถนนนี้ด้วย พิพิธภัณฑ์ที่ว่านี้คือร้าน Käthe Wohlfahrt's Christmas Village เป็นทั้งร้านขายของและพิพิธภัณฑ์ ให้สังเกตว่าจะมีรถบรรทุกสีแดง (ของปลอม)บรรจุของเต็มอยู่โชว์อยู่หน้าร้านด้วย

นอกจากนั้นตรงหัวมุถนน Herrengasse จะมีอาคารที่โดดเด่นอยู่สองอาคารที่อยู่ด้าน หลังของน้ำพุเซนต์จอร์จ ( St. George's fountain ) หลังแรกมีชื่อว่า Jagstheimhaus หรือ Jagstheim House เดิมเป็นบ้านของพ่อค้าผู้มั่งคั่งแต่ปัจจุบันเป็นร้านขายยาไปซะแล้ว ส่วนอีกหลังนึงติดๆกันมีชื่อว่า Fleisch und Tanzhaus หรือ Meat and Dance Hall ชั้นล่างเคยเป็นที่ชำแหละและขายเนื้อสัตว์ ส่วนชั้นบนใช้เป็นห้องลีลาศหรือเต้นรำ ปัจจุบันนี้ใช้เป็นที่จัดแสดงงานศิลปะของศิลปินในท้องถิ่น เออนะ มันเข้ากันตรงไหนวะเนี่ย ที่ชำแหละเนื้อกับที่เต้นรำอยู่ในตึกเดียวกัน เต้นไปสูดกลิ่นเนื้อไป วุ๊ยหอมดีแท้

ถนน Herrengasse


Jagstheimhaus ปัจจุบันคือร้านขายยา


เดินเรื่อยเปื่อยแวะร้านนั้นร้านนี้ แบบไม่รู้เบื่อ ขนาดหนาวๆแบบนี้ฉันก็ยังเดินทน เพราะความสวยงามของอาคารบ้านเรือน แถมหน้าต่างแต่ละแห่งก็ยังประดับไปด้วยกระถางไม้เลื้อยไม้ดอกช่วยเพิ่มสีสันให้ดูงามยิ่งขึ้น เมื่อเดินมาจนสุดถนนก็จะเจอประตูเมืองทางด้านใต้ทีมีชื่อว่า The Burgtor หรือ Castle Gate สร้างประมาณปี 1356 ฉันว่าประตูนี้สวยที่สุดในบรรดาประตูเมืองทั้งหมด เพราะนอกจากจะมีหอคอยแล้ว ก็ยังมีป้อมรักษาการหรือการ์ดเฮาส์ทรงกลม หลังคาทรงแหลมสูงอีกด้วย



ประตูเมือง The Burgtor หรือ Castle Gate


เดินเข้าประตูนี้ไปก็จะเป็นสวนที่มีชื่อว่า Castle Garden เพราะเดิมตรงนี้เคยเป็นปราสาทมาก่อน แต่พังทลายลงเพราะเกิดแผ่นดินไหวในปี 1356 ขนาดสวนก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่สวยตรงที่มีทางเดินลาดยาวไป มีต้นไม้ใหญ่เป็นแนวไปตลอดทางเดิน ปกคลุมด้วยใบไม้สีส้มเหลืองที่ร่วงหล่นจากต้น ยิ่งมาเจอกับอากาศที่ขะมุกขะมัว ท้องฟ้าหม่นๆ หนาวๆ โรแมนติกดีแท้ กำลังคิดเพลินๆก็ถูก มชล ขัดจังหวะ ช่วงนี้เธอเริ่มงอแงอีกแล้ว บอกว่าเหนื่อย เมื่อย ล้า ร้องจะขี่คอบาร์ท แต่คราวนี้พ่อไม่ยอมอีก ก็เลยงอนเดินดุ่ยๆไปคนเดียว พ่อจะตามไปง้อก็วิ่งหนี แต่แป๊บเดียวก็สงบศึกกลายเป็นวิ่งไล่จับกันแทน ฮ่าๆ

Castle Garden


จากสวนนี้เดินย้อนกลับ( เพราะเดินต่อไม่ได้แล้ว ขืนเดินต่อก็ตกเขา) ไปทางด้านBurggasse ก็จะเป็นจุดชมวิว ด้านล่างเป็นหุบเขาเทาเบอร์ (Tauber Valley ) มองลงไปเห็นหลังคาบ้านสีแดง และสะพานข้ามแม่น้ำเทาเบอร์ เสียดายที่ท้องฟ้าไม่เป็นใจฉันก็เลยได้รูปเมืองในหมอกมาแทน

ด้านล่างเป็นTauber Valley )




จากนั้นก็เดินไปตามทางที่จะไปประตูเมืองที่ชื่อว่า Kobolzeller Gate ก็จะเจอกับจุดที่สวยของเมืองอีกจุดหนึ่งที่เรียกว่าโพลพลาย( Plönplein ) หมายถึงจุดเล็กๆ เป็นจุดที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียว สังเกตง่ายๆจะคล้ายๆถนนที่แยกออกเป็นสองทางคล้ายๆกับรูปสามเหลี่ยม ตรงปลายทางทั้งสองมีหอคอยซึ่งทำหน้าที่เป็นประตูเมือง หอคอยด้านซ้ายที่มีนาฬกาคือ ซีเบอร์สทูน ( Sieberstrum หรือ Siebers Tower ) และด้านขวาที่เป็นถนนแยกต่ำลงไปเล็กน้อยคือประตูโกบอลเซลเลอร์ ( Kobolzeller Tor หรือ Kobolzell Gate )

Sieberstrum หรือ Siebers Tower




จากซีเบอร์สทูนเดินย้อนกลับไปตามถนน ชมีดคาสเซอ ( Schmiedgasse ) เป็นถนนที่ลาดยาวลงไปสู่ศาลาว่าการเมือง เป็นถนนที่สวยอีกถนนนึงทีเดียว ทั้งสีสันและลวดลายอาคารล้วนสวยงาม รวมถึงกระถางไม้ดอกไม้ประดับที่ช่วยเพิ่มให้เมืองนี้ดูโรแมนติกเข้าไปอีก มีบรรดาร้านค้าร้านอาหารเต็มไปหมด รวมถึงร้านขนมประจำเมืองที่แต่ละร้านแข่งกันตกแต่งหน้าร้านเพื่อให้สะดุดตาเพื่อเรียกลูกค้าให้ได้มากที่สุด ส่วนมากต่างก็อ้างว่าร้านฉันนะจ๊ะของแท้สูตรดั้งเดิม หรือสูตรโบราณตามภาษาบ้านเราว่างั้นเหอะ หรือไม่งั้นก็เอาราคามาล่อ ร้านนี้นะจ้ะถูกสุด เชิญเร่เข้ามาๆ



แล้วก็ถึงเวลาที่จะได้พิสูจน์กันแล้วว่ามันจะอร่อยสมคำเชิญชวนหรือเปล่า ฉันมองไปมองมาก็ไม่รู้จะเลือกร้านไหนดี ก็มันคล้ายๆกันหมด อีกอย่างฉันไม่ชอบเข้าร้านที่เค้าบอกว่าดังๆ ประเภทเชลชวนชิมแต่เอาเข้าจริงก็อาจไม่ถูกปากเราก็ได้ เพราะแต่ละคนก็ต่างมีรสนิยมการกินไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เลยสุ่มๆเข้าไปร้านนึง เค้าขายเป็นลูกๆ ราคาก็ว่ากันไปตามขนาดของ ถ้าจะใส่กล่องสวยๆก็ต้องซื้อ ด้วยความอยากได้ไว้เป็นที่ระลึกก็เลยสั่งใส่กล่องทรงกระบอกขนาดกลางมา 2 กล่อง ๆละ 3 ลูกด้วยกัน กะจะเอาไปฝากแม่สามี (แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว ฮ่าๆ โดนฉันกับ มชล ฟาดหมดระหว่างทาง ) แล้วก็สั่งใส่ถุงธรรมดาเดินกินไปเลย รสชาติใช้ได้ไม่หวานเกินไป เหมือนกินขนมเวเฟอร์เคลือบช็อคโกแลตประมาณนั้นล่ะ แต่อร่อยกว่า อยากรู้ว่าเป็นไงต้องไปลองชิมเอาเอง
ขนม schneebal กล่องทรงกระบอกนั่นถ้าอยากได้ต้องซื้อ


หลังจากได้ขนมสมใจแล้ว เราก็กะว่าจะไปเดินเล่นบนกำแพงเมืองกันหน่อย แต่ขึ้นไปได้ไม่เท่าไหร่ เจอมิเชเลอร์แผลงฤทธิ์อีกแล้ว คาดว่าน่าจะเหนื่อยเพราะเมื่อคืนนอนน้อย ทัวร์เมืองนี้ก็เลยจบลงแบบไม่แฮปปี้เอนดิ้ง ให้เธอไปสงบอารมณ์ในรถแล้วกัน

ปราสาทไวแกร์สไฮม์ (Schloss Weikersheim หรือ Weikersheim Castle)
ขากลับเราแวะเมือง ไวแกร์สไฮม์ ( Weikersheim ) เพื่อไปดูปราสาทไวแกร์สไฮน์ เห็นจากรูปสวยดีก็เลยอยากแวะ ระยะทางจากโรเทนเบิร์กไปเมืองนี้ก็แค่ 35 กิโลเมตร ขับรถประมาณยี่สิบนาที เราก็มาโผล่ที่จตุรัสกลางเมืองกันแล้ว แน่นอนส่วนประกอบของจตุรัสก็มีลานกว้าง มีน้ำพุและรูปปั้นสไตล์ร็อคโคโคอยู่ตรงกลาง มีอาคารศาลาว่าการเมืองและอาคารรอบๆสไตล์บาร็อค และที่ขาดไมได้ก็โบสถ์ประจำเมืองสไตล์โกธิค แม้ฟังดูจะเป็นรูปแบบเดิมๆ และเป็นเพียงเมืองเล็กๆในถนนสายนี้ แต่ความสวยงามก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเมืองอื่นเลย แต่ก็ดีไปอย่างเพราะคนไม่พลุกพล่าน นักท่องเที่ยวบางตาแบบนับได้ นี่เป็นข้อดีอีกอย่างของการเที่ยวในช่วงโลว์ซีซัน หรืออาจเป็นเพราะเป็นเมืองเล็กๆ หลายคนจึงมองข้ามไปแบบไม่แยแส เหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเรา ที่บางครั้งเราก็มองข้ามมันไปเพียงเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
บริเวณจตุรัสไวแกร์สไฮม์ ( Weikersheim )

จตุรัสเมืองเมื่อมองจากทางเข้าปราสาท


มชลยังห่วงกินขนม

จากจตุรัสกลางเมืองนี้ ไม่ต้องเดินไปไหนไกล ก็เห็นทางเข้าปราสาทไวแกร์สไฮม์ ( Schloss Weikersheim ) อยู่ตรงอีกด้านหนึ่ง มองจากตรงนี้จะไม่เห็นตัวปราสาทชัดเจนนักว่าใหญ่โตแค่ไหน แต่พอผ่านประตูเข้าไปด้านใน ถึงได้เห็นว่ามีขนาดใหญ่โตโออ่าทีเดียว ตามประวัติบอกว่าปราสาทแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของบรรดาเจ้าชายในราชวงค์โฮเฮิน ลู ( Princes of Hohenlohe ) มาก่อน ( เดิมเป็นท่านเคาท์ ท่านลอร์ด ภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็นเจ้าชาย ) สร้างโดยท่านเคาท์วูฟกังที่สอง ( Count Wolfgang II of Hohenlohe ) ในช่วงศตวรรษที่ 16 ในสไตล์เรเนซองซ์ ปัจจุบันนี้อยู่ในความครอบครองของรัฐ Baden-Württemberg
ทางเข้า รายละเอียดบนประตู และลานด้านใน


การเข้าชมภายในปราสาทจะแบ่งเป็นสองส่วนด้วยกันคือ การเข้าชมส่วนที่เป็นห้องสำคัญๆ เช่น ห้อง นอน ห้องนั่งเล่น ห้องประชุม หรือห้องเก็บสมบัตินั้น จะกำหนดให้เข้าชมเป็นรอบๆโดยมีไกด์นำชม และในส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์นั้นให้เดินลุยกันเองได้ตามสบาย เราได้เข้าชมเป็นรอบสุดท้ายพอดี รอบนี้มีนักท่องเที่ยวอื่นๆอีกไม่กี่คน พร้อมแล้วไกด์ก็พาเดินชมไปแต่ละจุด แต่ละห้องไปเรื่อยๆ พร้อมเล่าประวัติของแต่ละห้องไปด้วย ก็จะมีห้อง นอนของแต่ละคนในตระกูลนี้ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร และอื่นๆ แต่ละห้องก็กว้างพอประมาณ ไม่ใหญ่โตอะไรนัก ฉันก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใส่ใจฟังบรรยายมากนัก เพราะถ้ามัวแต่ฟังมันจะเสียอรรถรสในการชมของสวยงามซะเปล่าๆ ดูให้เต็มอิ่มถ้าเค้าไม่ห้ามถ่ายรูป ฉันก็จะถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วค่อยมาหาอ่านประวัติเอาทีหลัง หรือไม่ก็ซื้อจากร้านขายของที่ระลึกในนั้นนั่นเอง

การตกแต่งในแต่ละห้องก็สวยงาม มีทั้งภาพเขียน งานฝีมือ ในห้องนั่งเล่น มีเกมส์ให้เล่นเหมือนคลายเหงาด้วย ไกด์บอกว่าอาจเป็น ในสมัยก่อนชีวิตของเจ้าชายเจ้าหญิงนี่มันน่าเบื่อ ยิ่งในช่วงหน้าหนาวด้วยแล้วยิ่งแย่ใหญ่ต้องหมกตัวอยู่แต่ในห้อง วันๆไม่มีอะไรทำ ก็เลยต้องหาอะไรทำไปเรื่อย ทั้งการงานฝีมือ เล่มเกมส์ หรือแม้กระทั่งตกแต่งวังให้สวยงาม ฉันก็ว่าน่าจะเป็นงั้นเหมือนกันนะ

แล้วก็มาถึงห้องริทเตอร์ซาล หรือห้องอัศวิน( Rittersaal หรือ Knight’s Hall ) ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของการเข้าชมปราสาทแห่งนี้เลยทีเดียว เมื่อไกด์เปิดประตูห้องออกมา ทุกคนก็เงียบกริบแบบไม่กระพริบตา ต่างก็ตะลึงในความงามของห้องนี้กันถ้วนหน้า แล้วพอได้สติฉันก็รีบถ่ายภาพตอนไม่มีคนไว้ ก่อนที่จะไม่มีโอกาส เพราะไม่อยากให้ความสวยงามมาถูกบดบังด้วยสิ่งใดๆทั้งสิ้น จากนั้นคนอื่นๆก็รีบถ่ายภาพตามฉันเป็นการใหญ่ และเมื่อหลุดเข้ามายืนในห้องนี้แล้ว มันยากจะบรรยาย ทั้งความกว้างขวาง โอ่อ่า สวยงามหยดย้อย สมกับเป็นห้องที่ใช้จัดงานเลี้ยงหรือรับรองแขก เป็นที่เชิดหน้าชูตาของปราสาทอย่างแท้จริง เพดานห้องตกแต่งด้วยกรอบไม้เหมือนเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ ภายในแต่ละช่องมีภาพวาด ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการล่าสัตว์ รวมถึงภาพภูมิประเทศวิวทิวทัศน์ ตามผนังประดับด้วยภาพวาดของบรรดาสมาชิกในตระกูล ด้านบนประดับด้วยรูปปั้นแบบสามมิติของ ช้าง กวาง และอื่นๆ ด้านบนเตาผิงมีรูปปั้นแกะสลักที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับการสู้รบกับชาวเติร์ก
ห้องริทเตอร์ซาล หรือห้องอัศวิน( Rittersaal หรือ Knight’s Hall )






ภาพวาดด้านบน

นอกจากนั้นที่ผนังยังมีตู้นาฬิกา ด้านบนจะตุ๊กตาอยู่เป็นชั้นๆ เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาทุกๆชั่วโมง เจ้าตุ๊กตาก็จะออกมาเต้นระบำโชว์ด้วย แต่ไกด์บอกว่านาฬิกามันเก่ามากแล้ว เจ้าตุ๊กตาก็เลยเกรเร ไม่ออกมาตามเวลา มาบ้างไม่มาบ้าง แล้วในขณะนั้นเอง จู่ๆเจ้าตุ๊กตาก็ออก มาเต้นระบำให้เราดูทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลา คงอยากจะยืนยันว่าที่ไกด์บอกน่ะเป็นเรื่องจริงนะจ้ะ หรือไม่งั้นเจ้าของปราสาทแห่งนี้คงอยากมาทักทายนักท่องเที่ยวบ้างก็ได้นะ ฮ่าๆ แต่แบบหลังนี้ไม่ค่อยชอบนะคะท่าน
ตู้นาฬิกา

จบจากห้องนี้แล้ว ก็มีดูห้องอื่นๆกันต่อ แต่ก็ไม่เร้าใจแล้วล่ะ เดินดูคร่าวๆแล้วเราก็ออก มาด้านหน้าของปราสาทที่เป็นสวนขนาดใหญ่ไสตล์บาร็อค กว้างไกลสุดหูสุดตา แค่ฉันยืนอยู่หน้าปราสาทแล้วมองออกไป รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของแว่นแคว้นดินแดนแห่งนี้จริงๆเชียว สวนนี้เป็นความคิดริเริ่มของท่านเคาท์คาล ลุดวิคแหงโฮเฮนโลเฮ (Count Carl Ludwig of Hohenlohe) ขนาดของสวนจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวออกไป คั่นด้วยสระน้ำ บ่อน้ำพุ และตรงท้ายสุดจะเป็นการ์เดนเนอร์เฮาส์ ( Gardener’s house) เหมือนกับเป็นห้องจัดเลี้ยงและมีสวนอยู่ในนั้น นอกจากนั้นก็ยังมีอาคารเบิร์ดพาวิลเลียน และถ้ำอีกด้วย ( Bid Pavilion and the Grotto )
ออกมาจากปราสาท เดินไปสู่สวน




มองจากสวนไปยังตัวปราสาท





การ์เดนเนอร์เฮาส์ ด้านล่างเป็นหุบขา( Gardener’s house)


การเข้าชม Schloss Weikersheim
เข้าชมภายในปราสาทในส่วน palace garden, Permanent Exhibition "Allerhand Zierrathen - Baroque Treasuries in Weikersheim” ตั้งแต่ 1 มีนาคม – 31 ตุลาคม เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น. และ 1 พฤศจิกายน – 31 มีนาคม เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 -12.00 น. และ 13.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 5.50 ยูโร ถ้าเป็นกลุ่ม 20 คนขึ้นไปคนละ 4.90 ยูโร เป็นครอบครัวก็ 13.80 ยูโร
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.schloss-weikersheim.de/en/palace-weikersheim

เราอยู่เดินเล่นในสวน ปล่อยให้มิเชลเลอร์ได้วิ่งเล่นตามประสาเด็กๆ ส่วนฉันก็มีเวลาปล่อยอารมณ์ชื่นชมกับความสวยงามของปราสาทและทิวทัศน์รอบๆปราสาทแห่งนี้ พร้อมกับเก็บภาพไปเรื่อยๆจนอิ่มใจ เมื่อสมควรแก่เวลาก็ออกเดินทางกลับที่พัก

บริเวณรอบๆปราสาท




วันนี้เราตกลงกันว่าจะกินอาหารใกล้ๆโรงแรมที่เราพัก หลังจากเข้าไปล้างหน้าล้างตา หายเหนื่อยแล้ว จากโรงแรมเดินลงเนินไปไม่ไกล ก็เจอกับร้านอาหารประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีไม่กี่ร้านในละแวกนั้น ดีที่คนยังไม่เยอะ เราจึงไม่ต้องรอนาน มื้อนี้กะว่าจะสั่งขาขมูเยอรมันมากินให้สมกับคำร่ำรือ ว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของเยอรมัน แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะไม่มีในเมนู กลัวว่ามีแต่เราอาจจะอ่านไม่ออก ก็ยังอุตส่าห์ถามพนักงานเสริฟ แล้วก็แห้วเพราะไม่มีจริงๆ จำใจต้องสั่งสเต็กหมูมากินแทน อย่าให้บอกเลยว่าอร่อยหรือไม่ เรียกว่ากินแก้หิวไปงั้น อาหารฝรั่งกับฉันไม่ถูกกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เวรกรรมจริงๆ
อาหารมื้อเย็น



Tip: สำหรับคนที่จะขับรถเที่ยวแบบฉันนะคะ จากเมือง Lauda-Königshofen ไป Rothenburg และ Weikersheim ใช้ถนนหลักๆหมายเลข B27 และ B19 เป็นถนนสวย ตลอดเส้นทางมีไร่ไวน์เรียงรายบนเนินเขา ไม่ต้องกลัวหลง เพราะมีป้าย Romantische Strasse กำกับเป็นระยะๆตลอดทาง
ไม่ต้องกลัวหลง มีป้ายนี้เป็นระยะๆ


แฮ่กๆๆจบซะทีขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์อ่านจนจบ


web page hit counter




 

Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 19 มีนาคม 2553 5:29:11 น.
Counter : 3788 Pageviews.  

1  2  

jeab&michelle
Location :
ตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ Netherlands

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






บล๊อคของคนชอบเที่ยวค่ะ พาลูกตระเวนเที่ยวไปทั่ว จนเดี๋ยวนี้ลูกก็ติดเที่ยวด้วยแล้วเหมือนกัน
หนังสือเราเองค่ะ

เที่ยวเนเธอร์แลนด์บายเจี๊ยบ

Promoot jouw pagina ook

web page hit counter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jeab&michelle's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.