หนีลูกไปเที่ยว London ตอนที่ 3



Day 3 12/10/05

วันที่สามของการเดินทางแล้ว วันนี้เราตื่นกันแปดโมงครึ่ง เช้านี้ท้องฟ้ามัวซัว มีฝนพรำนิดหน่อย โชคดีที่พอสายๆท้องฟ้าก็เริ่มแจ่มใสเป็นระยะๆ ออกไปหาอะไรกินแถวๆที่พัก แล้วเราก็เริ่มออกชมเมืองกัน วันนี้เราจะไป The Tower of london , Tower Bridge และย่านธุรกิจที่อยู่ในส่วนของ City of London

เรานั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Tower Hill วันนี้ระหว่างนั่งรถไฟเราก็ดันเกิดพะอึดพะอม เหมือนเมารถน่ะ เอาซูกัสขึ้นมาเคี้ยวก็แล้ว งัดยาหม่องน้ำสีเหลืองๆมาดมก็แล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น ฝรั่งตรงข้าก็มองใหญ่ ยัยคนนี้เอาอะไรมาดมฟะ ฮ่าๆๆ เหลืออีกไม่กี่ป้ายก็จะถึง แต่ว่าไม่ไหวแล้ว บอกบาร์ทลงเหอะไม่งั้นฉันอ้วกแน่ๆ พอประตูเปิด ลงรถได้ก็โล่งขึ้นเยอะเลย เจอลมพัดมาทำให้สดชื่นขึ้น คงเป็นเพราะข้างนอกมันหนาวแล้วเราก็ใส่เสื้อผ้าเต็มยศ พอขึ้นมาบนรถมันก็อบอ้าวเหลือเกิน มันก็เลยจะตายเอาน่ะซี นั่งพักแป๊บนึงก็ไปต่อได้ค่ะ เฮ้อเกือบไปแล้ว ดีนะที่อุดปากตัวเองไว้ทัน หุหุ

พอเริ่มดีขึ้นก็นั่งรถไฟต่อไปยังจุดหมายได้ค่ะ ลงจากรถไฟขึ้นมาด้านบน ข้างหน้าก็จะเห็น Tower of London ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า จัดแจงถ่ายภาพทันที แต่ภาพที่เห็นมันไม่ได้ดังใจเล๊ย ก็ท้องฟ้ามัวๆ แล้วก็รถเยอะจังเลย ภาพที่ได้ก็เลยเป็นแบบนี้ล่ะ


The Tower of London




ส่วนภาพด้านล่างนี้เป็นด้านตรงข้ามกับหอคอย (เรียก Tower of London ว่าหอคอยก็แล้วกันนะ)วิวที่เห็นมันตัดกันดีน่ะ สิ่งก่อสร้างแบบเก่า ตั้งคู่กับอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจ ที่จริงมันไม่อยู่ใกล้กันหรอกนะ ตึกเก่าอยู่ใกล้กับหอคอย แต่เจ้าอาคารใหม่นี้มันอยู่ไกลไปอีก



เก็บภาพจนพอใจ เราก็เดินข้าถนนเพื่อจะเข้าไปในหอคอยกัน ค่าเข้าชมก็ ผู้ใหญ่คนละ 11.30 ปอนด์ เด็ก 7.50 ปอนด์ ด้านหน้าทางเข้าเนี่ย จะมีทหารใส่ชุดโบราณ Yeomen Warders of Her Majesty's Royal Palace and Fortress the Tower of London หรือเป็นที่รู้จักในนาม "The Beefeaters"ในสมัยก่อนก็ถือว่าเป็นคนที่เฝ้าหรือดูแลตรวจตราหอคอย ปัจจุบันนี้หน้าที่หลักก็เป็นไกด์ บรรยายให้เราฟังด้วย จะเดินตามเค้าก็ได้แต่ต้องรอให้เป็นกลุ่มใหญ่พอประมาณ แต่ถ้าอยากจะเดินดูเองก็ได้ตามสะดวก อยากดูรายละเอียดก็ตามไปดูได้
คลิ๊กที่นี่

เอาประวัติมาแปะไว้นิ๊ดนึง The Tower of London สร้างขึ้นใสมัยที่ Willem I เป็นกษัตริย์ เพื่อใช้เป็นพระราชวังและป้อมปราการป้องกันกรุงลอนดอน มีการขุดคูคลองล้อมรอบปราสาทเพื่อป้องกันระหว่างกำแพงชั้นในและนอก และในช่วงต่อมา ได้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษที่เป็นเจ้านายชั้นสูง ปัจจุบันใช้เป็นที่เก็บมงกุฎและของใช้ส่วนพระองค์ของกษัตริย์และพระราชินี ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้

ใน Tower of London มีส่วนอาคารที่เรียกว่า White Tower หอคอยสีขาว ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ และมีหอคอยที่มีชื่อว่า Bloody Tower (หอคอยเลือด) เป็นจุดควบคุมประตูน้ำเข้า-ออก (เดิมมีชื่อว่า Garden Tower เพราะอยู่ใกล้สวน) ซึ่งเป็นสถานที่ที่คุมขังเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดวัย 12 ชันษาและพระอนุชา ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะ เมื่อกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 สวรรคต ริชาร์ดดยุคแห่งกลาวเสตอร์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาได้นำเจ้าชายทั้งสองไปขังไว้ที่หอคอยแห่งนี้ และได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ริชาร์ดที่ 3 หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเจ้าชายทั้งสองอีกเลย ซึ่งคาดว่าอาจจะเสียชีวิตที่หอคอยเลือดนี้แล้ว จบประวัติแค่นี้ดีกว่า


The Traitors Gate หรือ Water Gate อยู่ติดกับแม่น้ำเทมส์ เป็นทางเข้าของนักโทษที่สำคัญๆ



ด้านหน้าที่เห็นคืออาคารที่เก็บมงกุฎพระราชินีและสมาชิกในราชวงศ์ ส่วนด้านขวามือคือตึกWhite Tower



ลานข้าง White Tower เป็นที่อยู่ของอีกาสีดำตัวโตที่เรียกว่า Raven มีคำกล่าวที่ว่า หากอีกาหายไปจากลานนี้เมื่อไหร่ก็จะถึงเวลาล่มสลายของราชวงศ์



เจ้าตัวนี้แหละที่เรียกว่า Raven



White Tower เป็นที่ประทับของกษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ของอังกฤษ เป็นทั้งที่ตั้งของศาลและที่ทำการของรัฐบาลด้วย


เข้าไปดูข้างใน White Tower เข้าไปชั้นแรกก็จะเจอกับ Chapel of the Evangelist เป็นโบสถ์โรมันที่ถือว่าสวยที่สุดในลอนดอน (หนังสือเค้าว่างั้นอ่ะ) ชั้นต่อไปก็จะเป็นที่แสดงอาวุธปืนต่างๆและดินปืน


Chapel of the Evangelist


ภาพต่อไปนี้เดากันได้ป่าวว่าเป็นอะไร ฮ่าๆๆๆ

มันคือห้องสุขาหรือห้องส้วมจ้า ฮ่าๆๆ ช่างถ่ายภาพมาจริงๆยัยคนนี้นี่



บรรดาม้าต่างๆ



อาคารที่เก็บรักษามงกุฎของพระราชินีและสมาชิกในราชวงศ์



Tower Green อาคารด้านข้างหอหอยเลือด เป็นสถานที่คุมขัง Lady Jane Grey ซึ่งมีอายุแค่ 16 ปีในตอนนั้นและเป็นพระราชินีได้เพียงแค่ 9 วัน และต่อมาก็ได้ถูกสังประหารชีวิต และ Katharine Howard พระชายาคนที่สองของกษัตริย์ Hendrik ที่ 8


ออกจาก Tower of London แล้วเราก็เดินไปดูสะพาน Tower Brige ซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั่นเอง สะพานนี้ออกแบบโดยHorace Jones เริ่มสร้างในปีค.ศ. 1886ใช้เวลาสร้างรวม 8 ปี สะพานนี้สามารถเปิดให้เรือใหญ่ผ่านได้ อยากขึ้นไปชมวิวด้านบนก็ได้เลยค่ะ เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 9.30-18.00 ผู้ใหญ่ 4.50ปอนด์ เด็กอายุตั้งแต่ 5-15ปีคนละ 3 ปอนด์ แต่ถ้าจะเข้าไปชมมิวเซียมที่อย่ที่หอคอยด้านบนด้วย ก็จะเป็นอีกราคานึงค่ะ ผู้ใหญ่ 5.50 ปอนด์ เด็ก 3.50 ปอนด์ ทีนี้ก็มาชมภาพสะพานได้เลยหลากหลายมุม













จากสะพานเราก็ชื่นชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย มีตึกรูปทรงแปลกๆให้ดูด้วย เดินดูจนเมื่อยขา ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆแล้ว ก็จะไม่ร้องได้ไง มันบ่ายโมงกว่าแล้วนี่นา ตั้งแต่เช้าก็มีแค่กาแฟ ขนมปังแล้วก็แอปเปิ้ล 1 ลูกเท่านั้นเอง กะว่าจะหาอะไรที่มันรสจัดๆกินดีกว่า เพราะว่ากลัวจะคลื่นไส้แบบเมื่อเช้าอีก เฮ้อ กรรมจริงๆ กินอาหารฝรั่งกะเค้าไม่ค่อยจะได้ เลยลำบากหน่อย ก็เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยๆก็เหนื่อย สายตาก็พลันไปเจอเข้ากับร้านกินด่วนแบบแคโดนัล แต่ร้านนี้ขายไก่ทอดด้วย คิดว่าคงจะเป็นของแขกหรือตุรกีน่ะ โชคดีจริงๆ ตกลงกินร้านนี้เลย เราสั่งปีกไก่ทอดของโปรดมากิน บาร์ทเธอไม่ชอบกินไก่มีกระดูกก็เลยสั่งแฮมเบอร์เกอร์มากิน เสร็จแล้วก็นั่งดูแผนที่กันว่าจะไปไหนต่อ


วิวมองจากสะพาน ตึกที่เห็นนั้นจะอยู่ไกลไปอีกทางด้านหลังของ Tower of London เราจะเดินไปดูใกล้ๆในตอนบ่ายๆ



City Hall เป็นที่ตั้งของ Great London Authority Headquarters ตั้งอยู่ทางใต้ของของแม่น้ำเทมส์ ยังไม่เก่าจนเกินไปเพระเพิ่งเปิดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2002 นี้เอง



ส่วนที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและด่านล่างเป็นร้านค้าและสำนักงานเล็กๆ


หลังจากเติมพลังกันแล้วก็เริ่มทัวร์เดินมาราธอนกันต่อไป เราเดินข้ามสะพานลอนดอนบริดจ์ (London Bridge)เพื่อจะไปยังย่านที่เรียกว่า City of Londonn ซึ่งย่านนี้จะเป็นย่านที่เก่าแก่ของลอนดอน เป็นย่านที่มีความสำคัญทางด้านเศรฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่นี่จะมีอาคารสำนักงานมากมาย ล้วนเป็นตึกสูงๆ ถ้านึกถึงบ้านเราก็ต้องที่สีลม แบบนั้นล่ะ บรรยากาศก็มีแต่สูทสีดำ สาวๆก็แต่งตัวเก๋ไก๋เป็นสาวออฟฟิศ เอ้อ คิดถึงอดีตเลยเรา

เมื่อข้ามสะพานไป ก็ไปเจอกับอนุสรณ์สถาน (Monument)ที่ออกแบบสร้างโดย Christopher Wren สร้างขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1666 สูง 62 เมตรด้านในมีบันไดบนเพื่อขึ้นไถงด้านบนมากกว่า 300 ขั้น ใครจะปีนขึ้นไปชมวิวก็ได้ค่ะแต่ไม่ฟรีนะ ค่าขึ้นก็ไม่แพง ผู้ใหญ่ 2 ปอนด์ เด็ก 1 ปอนด์ แต่วันนี้เราขอบายค่ะ ฮ่าๆๆ


Monument


แล้วก็มาเจอกับตึกทรงสูง เรามองแล้วก็ให้นึกถึงตัวเครื่องจักรอะไรสักอย่างที่อยู่ในโรงงาน เพียงแต่สัดส่วนมันใหญ่โตกว่าเครื่องจักรมากๆ ด้านหน้าของตึกมีการตรวจตารักษาความปลอดภัยด้วย ดูท่าจะเข้าไปในตึกนี้ลำบากจังเลยถ้าไม่ใช่พนักงานเนี่ย อ้อ อาคารนี้มีชื่อว่า Lloy's Building ออกแบบโดย Richard Rogers ผนังด้านนอกจะใช้เหล็กสแตนเลส (stainless steel)อาคารนี้เป็นที่ทำการของ สถาบันประกันภัยของ Lloyd's of London ใช้เวลาสร้าง 8 ปีด้วยกัน (1978-1986)
อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่


Lloy's Building





ด้านนี้จะมองเห็นลิฟท์อยู่นอกตัวอาคาร


เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอตึกรูปทรงรีแล้ว ตึกนี้ชื่อทางการว่า 30 St Mary Axe แต่ชื่อที่รู้จักทั่วไปคือ The Gherkin หรือ The Swiss Re Tower, Swiss Re Building หรือ Swiss Re Centre ออกแบบโดย Sir Norman Foster and ex-partner Ken Shuttleworth และได้รับรางวัล Pritzker-prize ด้วย ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่


30 St Mary Axe



ด้านหน้าของตึก


ใกล้กันนั้นก็จะมีตลาดที่มีหลังคาน่ะ ชื่อว่า Leadhall Market ข้างในก็มีร้านกาแฟน่ารักๆ ร้านขายดอกไม้ แล้วก็ของจุกจิก ก็สวยดีเลยถ่ายรูปเก็บมางั้นแหละ









เดินต่อไปอีกก็จะเจอกับตึกอาคารในสมัยเก่า ใหญ่โตหรูหรา แถวๆนี้ก็จะมี Bank of England Museum มีอาคารที่ตั้งตลาดหุ้น มี Mansion House เป็นบ้านพักของผุ้ว่าการเมืองลอนดอนในสมัย 1753 เข้าไปชมภายในได้ แตต้องเข้าเป็นหมู่คณะ ต้องนัดหมายกันก่อนนะคะ เฉพาะ อังคาร พุธ และวันพฤหัส ตั้งแต่เวลา 11-14 น. เราไม่ได้เข้าไปชมค่ะ แล้วก็ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย เพราะว่าไม่แน่ใจว่าตึกไหนกันแน่ ฮ่าๆๆๆ ก็มันเยอะเหลือเกินนี่ คราวหน้าเอาใหม่ อิอิ เอาภาพเรื่อยเปื่อยไปแล้วกัน แถวๆนี้ล่ะ






อาคาร Bank of England Museum


ภาพล่างนี้ก็ถ่ายเรื่อยเปื่อยแล้ว เห็นสวยดีก็ถ่ายๆมางั้นอ่ะ พอเริ่มเย็น ขาก็เริ่มล้า ความอยากรู้อยากเห็นก็ลน้อยลงไป ที่จริงตอนนั้นก็รู้ล่ะว่ามันคืออะไร มาตอนนี้ก็ลืมซะแล้ว ไม่ได้จดไว้ ก็คิดว่าคงจะจำได้ แต่ก็จำไม่ได้ หุหุ จริงๆเราผ่าน Museum of London ด้วย ค่าเข้าก็ไม่เสีย ข้างในก็จะแสดงประวัติความเป็นมาของลอนดอน ตามหนังสือเค้าว่าเป็นมิวเซียมประเภทที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก เค้าว่างั้นอ่ะแต่ควาที่อยากไปดูโบสถ์เซนต์ปอลมากกว่าเลยผ่านไป อีกอย่างเป็นโรคไม่ถูกกับมิวเซียมด้วย เลยผ่านไป





แล้วก็มุ่งหน้าต่อไปยังโบสถ์เซนต์ปอล (St.Paul Cathedral)เดินไปถึงมันก็ 4 โมงเย็นแล้วล่ะ แต่มันหน้าหนาวเลยมืดเร็ว ตั้งใจจะมาเก็บภาพอันอลังการณ์ซะหน่อยก็จ๋อยไปตามระเบียบ เพราะโบสถ์ใหญ่มากเหลือเกิน ทำยังไงก็ก็เก็บภาพไม่หมด มืดก็มืด เข้าไปข้างในก็ห้ามถ่ายภาพอีก ก็เลยไม่มีภาพด้านในมาให้ดูกัน

โบสถ์นี้ออกแบบโดย Sir Cristopher Wren ปรับปรุงจากของเดิมที่ถูกไฟไหม้ไปในปี 1666 แล้วมาเสร็จในปี 1708 ถือเป็นโบสถ์นิกายโปรแตสแตนท์แห่งแรกที่สร้างใหญ่โตมโหราฬแบบนี้ สำหรับเราคิดว่าโบสถ์นี้สวยกว่าที่โรมนะ แต่ที่โรมน่ะใหญ่และอลังการกว่าเท่านั้นเอง สำหรับภาพได้มาเท่านี้แหละ กะว่าถ้าวันอื่นมีเวลาเหลือจะกลับมาดูใหม่ ก็ไม่ได้กลับมา









จากที่นี่เราก็นั่งรถไฟไปเดินที่ถนน Oxford St. ตอนนั้นก็ห้าโมงเย็นกว่าๆแล้ว คนเยอะมากๆเลย ก็คงเป็นเวลาเลิกงานด้วยมั้ง คนเลยเยอะมากๆ หาร้านกินข้าวกันดีกว่าก็ใช้ดูตามหนังสือเอาว่าเค้าแนะนำที่ไหนมั่ง เดินดูเองไปเรื่อยเปื่อยมั่ง วันนี้อยากกินอาหารไทยจังเลย หาไม่เจอ แต่ในหนังสือมีบอกชื่อร้านอาหารไทยร้านนึง เลยตามไปดู ชื่อร้านบุษบา แต่เห็นหน้าร้าน เห็นคนเสริ์ฟแล้ว ชักไม่แน่ใจว่าไทยแท้หรือเปล่า แต่เอาเหอะไหนๆก็เดินมาถึงแล้ว อีกอย่างหิวด้วย เลยเอาร้านนี้แหละ

ข้างในร้านก็จัดโต๊ะง่ายๆ เรียบๆ มีโต๊ะแบบยาวๆที่เป็นม้านั่งด้วย บนโต๊ะมีขวดน้ำปลา ซอสพริกศรีราชาตั้งไว้ด้วย อย่างนี้ไม่ใช่ไทยแท้แหงๆแล้ว แต่นั่งแล้วนี่ก็จำใจสั่งล่ะ คือไม่ใช่อะไรหรอก เสียดายตังไง ถ้าจ่ายแพงแล้วไม่อร่อยก็ไม่อยากจ่ายหรอก ใช่ป่าว เอา มาดูเมนูต่อ ก็เรียกว่าอาหารไทยขึ้นชื่อทั้งหลายมีพร้อม ส้มตำยังมีเลย เราสั่งที่ปลอดภัยไว้ก่อนเอาแบบว่ายังไงก็พอจะกินได้ ก็เลือกสั่ง กุ้งผัดพริกกับใบโหระพา คิดว่าคงจะหน้าตาแบบผัดพริกใบโหระพานั่นล่ะ แล้วก็แถมด้วยทอดมันปลา ส่วนบาร์ทสั่งแกงกะหรี่ไก่

พออาหารมาหน้าตาใช้ได้ รสชาติก็ใช้ได้อีก โชคดีจัง ไม่ผิดหวัง พอถึงตอนเก็บเงิน ด้วยความอยากรู้ เลยถามพนักงานว่าแม่ครัวเป็นคนไทยหรือเปล่า เธอบอกไม่รู้ค่ะ อาจมีมั้งหรือไม่ก็คนจีนอ่ะ คือร้านนี้ขายอาหารไทย แต่ทั้งร้านไม่มีคนไทยเลย คนเสริฟและผู้จัดการก็เป็นฝรั่ง ยังดูเด็กๆกันอยู่เลย การบริการก็พอใช้ได้นะแต่ก็ไม่ค่อยเฟรนลี่เท่าไหร่ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ มื้อนี้ก็จ่ายไป 28 ปอนด์ ก็ไม่แพงเท่าไหร่


Oxford St.


กินเสร็จก็เดินเล่นดูแสงสีไปเรื่อยเปื่อย ชวนบาร์ทกลับดีกว่า เธอบอกเพิ่งจะทุ่มเดียวเองจะรีบไปไหน โห ไม่ไหวแล้วอ่ะ ตั้งแต่เช้าแล้วนะ งั้นไปส่งชั้นก่อนแล้วเธอจะไปไหนก็ไปเหอะ ไม่รู้เป็นไรมันอยู่เฉยๆไม่เป็นไงนะ ก็จะไปขึ้นรถใต้ดินที่ที่สถานีอ๊อกฟอร์ดอ่ะ แต่ขึ้นไม่ได้ เอยลงไปไม่ได้ คนเยอะมาก ล้นขึ้นมาจนถึงปากทางเข้าข้างบนเลย ตำรวจต้องมาพูดโทรโข่ง บอกให้ไปขึ้นที่สถานีอื่นกันมั่ง ตรงนี้ไม่มีที่จะยัดลงไปแล้ว เออ เพิ่งเคยเห็นเนี่ยล่ะ เดินไปขึ้นสถานีอื่นก็ได้ฟะ ก็เดินไปอีกพอประมาณ อืม ตรงนี้ว่างเชียว แล้วก็ได้กลับไปนอนพักเอาแรงซะที ปล่อยบาร์ทไปเดินท่อมๆคนเดียวแล้วกัน ไม่ไหวแล้ว

จบการเดินมาราธอนสำหรับวันนี้ แต่ทริปนี้ยังไม่จบนะคะ ยังมีตอนต่อไปค่ะ





Create Date : 24 พฤษภาคม 2549
Last Update : 24 พฤษภาคม 2549 22:32:02 น. 8 comments
Counter : 1796 Pageviews.

 
แวะมาอ่านลอนดอนฉบับพี่เจี๊ยบ ^^ เราไม่ได้ไปแถวซิตี้เลยค่ะ ตามมาเที่ยวอีกที (หลังจากกลับจากลอนดอน)


โดย: mommy45 วันที่: 24 พฤษภาคม 2549 เวลา:22:55:49 น.  

 
พี่เจี๊ยบ เหมือนวันนี้พาเที่ยวแบบทรหดอดทนมากเลยอ่ะจ้า ... เที่ยวแบบว่าเริ่มต้นก็เริ่มจะอ๊อกซะแล้ว แต่ก็ไหวตัวทัน ...

ชอบจังค่ะได้เดินเที่ยวเดินดูสิ่งก่อสร้างงามๆ ชอบใจ Tower Bridge เป็นพิเศษ ไม่ใช่เป็นเอกลักษณะอะไรหรอก แต่ว่าลักษณะของสะพานมันเตะตาต้องใจน่ะค่ะ ออกแบบเรียบง่ายแต่ดูหรูหราในตัว


โดย: JewNid วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:2:17:46 น.  

 
ไม่ได้เข้ามาดูบล๊อกเป็นเดือนเลยครับพี่... พาเที่ยวลอนดอนตอน 3 ซะแล้ว

พอดีครอบครัวมาเที่ยวเยอรมันน่ะครับ เลยไม่ได้ออนไลน์เท่าไหร่ เพราะคอมฯที่บ้าน hang บ่อยด้วย

ไปลอนดอน ไม่ได้ไปชิมข้าวหน้าเป็ดเหรอพี่.. พูดถึงแล้วน้ำลายไหลลลล


โดย: หนุ่มเฮสเซ่น (Hessenboy ) วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:2:28:39 น.  

 
โหหห แต่ละภาพเยี่ยมมากครับคุณเจี๊ยบ สวยมากเลย คุณเจี๊ยบพาเที่ยวแต่ละที่สวยๆทั้งนั้นเลย ผมชอบมากเลย การเขียนบรรยายก็น่าสนใจน่าติดตาม สำนวนสบายๆน่าอ่าน ขอบคุณครับ


โดย: maczy วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:12:35:55 น.  

 
บล็อกนี้สาระเยบจริงๆ เจ้าตึกนั่นเมื่อก่อนเรียกตามสื่อที่นี่ว่าตึกแตงกวาค่ะ


โดย: brasserie 1802 วันที่: 25 พฤษภาคม 2549 เวลา:14:13:46 น.  

 
เห็นหนีลูกไปเที่ยวตอนที่ 1 ตอนอยู่ที่โน่นแต่ไม่มีเวลาได้อ่าน ...นี่เพิ่งได้มีเวลามาอ่านเต็มๆ รวดทั้ง 3 ตอนเลย คุณเจี๊ยบเล่าได้น่าติดตามและสนุกเหมือนไปเองอีกแล้ว และรูปเรื่อยเปื่อยของคุณเจี๊ยบเนี่ย เอามาลงแยะๆ ก็ได้นะเพราะสวยทุกรูปเลย(คุณเจี๊ยบชอบทำให้ต่อมอยากเที่ยวเราทำงานอยู่เรื่อยเลย)
พักนี้ตัวเองก็ไม่ค่อยได้อัพบล๊อกเท่าไร ยุ่งๆ นะค่ะ กลับจากพักร้อนก็ต้องแพ็คของ เตรียมตัวย้ายกลับบ้านเราน่ะค่ะ แต่ก็จะเข้ามาอ่านตอนต่อไปนะ...


โดย: narellan วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:10:13:29 น.  

 
แวะมาเที่ยวลอนดอนด้วยคนค่ะ สวยจังเลยนะค่ะ
ชอบตั้งกะภาพสะพาน Tower Brige ลงมาค่ะถ่ายภาพได้สวยมากๆ


โดย: แม่น้องKevin and Jasmin วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:21:16:59 น.  

 
พี่เจี๊ยบง่ะ จะหนีเราไปเที่ยวเหรอค่ะ ไปไหนเอ่ยแล้วไปนานหรือเปล่าค่ะ ยังไงก็ขอให้หนีอากาศแย่ไปเจออากาศดีๆ นะค่ะ จะได้ถ่ายรูปงาม ๆ มาฝากกันเหมือนเคยค่ะ ทางนี้ก็คงจะแย่อีกหลายวันอ่ะค่ะ

เดินทางปลอดภัยแล้วก็เที่ยวให้สนุกนะค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 28 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:29:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jeab&michelle
Location :
ตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ Netherlands

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






บล๊อคของคนชอบเที่ยวค่ะ พาลูกตระเวนเที่ยวไปทั่ว จนเดี๋ยวนี้ลูกก็ติดเที่ยวด้วยแล้วเหมือนกัน
หนังสือเราเองค่ะ

เที่ยวเนเธอร์แลนด์บายเจี๊ยบ

Promoot jouw pagina ook

web page hit counter
New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jeab&michelle's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.