Romantic Road day 3 Dinkelsbühl
Photo from postcard
วันนี้เราจะเดินทางต่อ โดยจะไปพักกันที่เมืองออสเบิร์ก ( Augsburg) ระหว่างทางจะแวะเที่ยวเมืองดิงเกลส์บูล ( Dinkelsbühl ) เมืองที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของถนนแห่งนี้ ก่อนออกเดิน ทางต่อฉันขอให้บาร์ทขับรถเวะเข้าไปดูตัวเมืองเลาดา-คอนนิงส์โฮเฟ่นซักหน่อย ไหนๆก็ได้ชื่อว่าพักที่เมืองนี้ เลยบอกบาร์ทว่าก่อนไปก็แวะไปดูหน่อยนะ บาร์ทบอกได้แต่เธอต้องออกแต่เช้านะ โปรแกรมเธอเยอะเหลือเกินนี่ แหมมันดักคอเราอีก
อากาศเช้านี้ยังคงดูหม่นๆเช่นเคย ไม่มีฝนแต่หนาวมาก เมืองนี้เล็กจริงๆ เดินแป๊ปเดียวก็ทั่วแล้ว ไม่มีลานกว้างใหญ่โตที่หน้าศาลากลาง มีพียงลานเล็ก และมีรูปปั้นอยู่ตรงหน้าแค่นั้นเอง เช้าๆแบบนี้ชาวเมืองคงยังหลับไหลหรือเปล่านะ นานๆจะมีคนเดินผ่านไปซักที เราเดินไปตามถนนแคบๆ ตึกรามบ้านช่องสวยงาม ผนังตกแต่งด้วยกรอบไม้สีแดงสีน้ำตาลซึ่งเป็นเอก ลักษณ์ที่เห็นได้ทั่วไปในเยอรมัน บางตึกก็ทาสีสันสดใสแต่ยังมีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นสีขาว ก่อนกลับก็แวะเข้าไปดูโบสถ์ประจำเมือง ให้ระดับความสวยปานกลาง จัดระดับความงามเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองดิง เกลส์บูลกันต่อทันที อากาศยังคงหม่นๆ ศาลาว่าการเมืองเลาดา-คอนนิงส์โฮเฟ่น
บรรยากาศในเมือง
ไม้แกะสลักหน้าบ้าน ไม้แกะสลักหน้าบ้าน ดูใกล้ๆ
โบสถ์ประจำหมู่บ้าน
ภายในโบสถ์
ระยะทางจากที่นี่ไปก็ประ มาณ 102 กิโลเมตรเท่านั้นเอง เมืองเล็กๆที่อยู่ในเส้นทาง คือ Bad Mergentheim, Weikersheim, Rottingen, Creglingen, Rothenburg o.d.T. , Schillingsfürst, Feuchtwangen ทั้งหมดล้วนเป็นเมืองโปรโมท แต่เราไม่ได้แวะ แค่ขับเฉี่ยวๆผ่านไปเท่านั้น ถนนเส้นนี้สวยสมกับคำโรแมนติกจริงๆ
ย้อนเวลาหาอดีตอีกครั้งที่ดิงเกลส์บูล ( Dinkelsbühl )
แผนผังเมือง
ดิงเกลส์บูล ( Dinkelsbühl ) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองในยุคศตวรรษกลางที่สภาพตัวเมืองยังคงสมบูรณ์เหมือนในอดีตทุกอย่าง นับว่าเป็นความโชคดีของเมืองนี้ที่รอดพ้นจากการถูกทำลายของสงคราม ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ แม้แต่สงครามโลกก็ยังรอดพ้นมาได้ ดังนั้นทั้งอาคารบ้านเรือน กำแพงเมืองและหอคอยทั้ง 16 หอคอยจึงยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ย้อนอดีตได้ไม่แพ้เมืองโรเทนเบิร์กที่เดียว
เมืองนี้ก็มีวีรบุรุษของเมืองกับเขาเหมือนกัน คล้ายๆกับเมืองโรเทนเบิร์ก เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่กลับเป็นเด็กๆลูกหลานชาวเมืองนี้นั่นเอง เรื่องมีอยู่ว่าในปี 1631 ซึ่งอยู่ในช่วงของสงครามสามสิบปี ซึ่งเป็นสงครามการต่อสู้ระหว่างคาทอลิกกับโปรแตสแตนท์ จักรวรรดิเยอรมันในตอนนั้นแบ่งเป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายคาทอลิกมีท่านเคาต์ทิลลี่( Count Tilly ) ซึ่งเป็นผู้นำ ส่วนโปรแตสแตนท์นำโดยกษัตริย์สวีเดนกุสตาฟ อดอล์ฟ ( Gustav Adolf )ในขณะนั้นเป็นช่วงที่กษัตริย์กุสตาฟ กำลังนำทัพโจมตีตอนใต้ของเยอรมันอยู่ แม้ว่าดิงเกลส์บูลจะไม่ใช่เป้าหมายของกษัตริย์กุสตาฟก็ตาม เนื่องจากว่าชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นโปรแตสแตนท์ แต่ทว่าฝ่ายคาทอลิกกลับเป็นผู้กุมอำนาจปกครองเมืองนี้ ชาวเมืองเองยังคิดว่าไม่น่าจะถูกโจมตี แต่ว่ากษัตริย์กุสตาฟคงคิดว่า ในเมื่อผู้คนส่วนใหญ่เป็นโปรแตสแตนท์ แล้วเรื่องอะไรจะปล่อยให้ฝ่ายคาทอลิกมีอำนาจเล่า ดังนั้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็เลยยกทัพมาเพื่อหมายโจมตี
พอเจ้าเมืองนี้ได้ข่าวว่ากองทัพของกษัตริย์สวีเดนกำลังยกทัพมา ก็สั่งปิดประตูเมืองเตรียมกำลังทหารและอาวุธพร้อมสู้เต็มที่ ฝ่ายสวีเดนเมื่อมาถึง เห็นกำแพงเมืองที่ใหญ่โตและแข็งแรง มีคูน้ำล้อมรอบ แถมข้าศึกเตรียมพร้อมเต็มที่ ประเมินสถานการณ์แล้วก็เห็นว่า ถ้าสู้กันจริงๆคงต้องสูญเสียกำลังมิใช่น้อย ฝ่ายสวีเดนก็เลยยื่นข้อเสนอว่าให้ยอมแพ้ซะดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แต่กลับได้รับคำตอบว่าโนๆ เราไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆหรอก ( จริงๆท่านเจ้าเมืองคงอยากยอมแพ้อยู่หรอก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะผู้มีอำนาจกุมบังเหียนน่ะเป็นฝ่ายคาทอลิก)
ฝ่ายสวีเดนเมื่อได้รับคำตอบปฏิเสธ ก็เลยใช้วิธีล้อมเมืองไว้เฉยๆ ดูซิว่าถ้าเสบียงหมด แล้วจะทำยังไง ต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ แต่จนแล้วจนรอดไม่ว่าจะถามไปกี่ครั้งว่าจะยอมแพ้หรือยัง ก็ยังได้รับคำตอบเหมือนเดิมคือโนๆ ไม่ยอม แต่ยิ่งนานวันเข้าเสบียงเริ่มร่อยหรอลงทุกที ในที่สุดเจ้าเมืองก็ตัดสินใจจะยอมแพ้ ยอมเปิดประตูให้ข้าศึก วินาทีนั้น ชาวเมืองทุกคนต่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง ตายแน่แล้วเรา
ในขณะที่ทหารฝ่ายสวีเดนกำลังเฮโลยกพลเข้าเมือง ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีกลุ่มทหารกลุ่มเล็กๆแต่เป็นเด็กๆทั้งนั้น เดินแถวมาด้วยความพร้อมเพรียงและร้องเพลงอย่างห้าวหาญ โดยมีผู้นำแป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งที่ทุกคนรู้จักและเรียกเธอว่า คินเดอร์โลเรอร์ ( Kinderlore หมายถึงเด็กหญิงที่คอยดูแลเด็กเล็กๆเสมอๆ ) กองทัพเด็กกลุ่มเล็กๆนี้ต่างร้องเพลงและเดินมุ่งหน้าไปยังฝ่ายกองทัพสวีเดน
แม่ทัพฝ่ายสวีเดนเห็นดังนั้นก็งงไปชั่วขณะ อะไรกันวะเนี่ย อย่างนี้จะรบได้ยังไง ขืนสั่งทหารบุกมีหวังได้เสียประวัติว่าทำร้ายเด็ก ชาติตระกูลจะถูกก่นด่าและถูกตราหน้าไปชั่วลูกชั่วหลานเป็นแน่แท้ และเหนือสิ่งอื่นใดกลับรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของเด็กๆเป็นอย่างมาก จึงสั่งทหารไม่ให้ทำร้ายเด็กๆ และยกเลิกการโจมตีเมืองนี้ทันที ดิงเกลส์บูลจึงรอดพ้นจากการถูกทำลายเพราะเด็กๆช่วยไว้แท้ๆ
ดังนั้นในระหว่างวันที่ 14 ถึงวันที่ 23 กรกฎาคมของทุกๆปี ชาวดิงเกลส์บูลจึงจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ งานนี้มีชื่อว่า Kinderzeche และในปัจจุบันในช่วงเย็น จะมีผู้รักษาความปลอดภัยประจำเมือง ( Night watchman ) ในชุดแต่งกายโบราณพาเดินชมเมืองในยามค่ำคืนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย เล่ามายืดยาวทั้งหมดทั้งปวงก็เพราะไม่อยากให้พลาดชมเมืองนี้เดี๋ยวจะหาว่าสวยไม่เตือน
รู้ประวัติกันไปหอมปากหอมคอ คราวนี้ก็ถึงเวลาชมเมืองกันซะที ย้อนไปนิด ตอนที่ขับรถเข้ามา ช่วงใกล้ถึงเมืองนั้น มองไปจะเห็นกำแพงและป้อมหอคอยอยู่เป็นระยะๆ ยิ่งพอถึงตรงทางเข้าประตูเมืองยิ่งสวยมากๆ เพราะรอบๆกำแพงมีคูน้ำล้อมรอบ มีต้นไม้แผ่กิ่งก้านดูร่มรื่น แถมสีสันก็สวยงาม ปากกำลังจะสั่งให้บาร์ทจอดรถด้านหน้านี้ก่อนแต่ก็ไม่ทัน (ลองกลับไปดูรูปในโปสการ์ดด้านบน นั่นล่ะคะสวยแบบนั้นแหละ) เพราะเธอพุ่งรถเข้าประตูเมืองไปซะแล้ว เลยมีเถียงกันเล็กน้อย เธอบอกจะหาที่จอดรถด้านใน จะได้ไม่ต้องเดินไกลยังจะมาว่ากันอีก วุ้ย มาหวังดีผิดเวลาซะนี่ เป็นแบบนี้ทุกทีเชียว
ประตูเมืองแบบนี้ล่ะที่มีอยู่รอบเมือง ขาเข้าถ่ายไม่ทันมัวแต่มองเพลิน นี้ถ่ายตอนกำลังจะออกจากเมือง
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้า เธอก็วนรถไปมาจนมาได้ที่เหมาะเหม็ง ตรงหน้าโบสถ์ชื่อดังประจำเมืองกันเลยทีเดียว (ในโปสการ์ดจะเห็นอยู่ด้านล่างขวา) แค่ก้าวลงจากรถก็ถึงหน้าประตูโบสถ์ทันที ฉันจึงหยุดต่อว่าต่อขาน แต่ก็ไม่วายกำชับว่าดูให้ดีนะ ว่าจอดตรงนี้ได้หรือเปล่า แล้วจอดได้นานแค่ไหน ไม่ใช่กลับมาเจอใบสั่ง ทีนี้นอกจากจะเสียเงินแล้วยังจะโดนบ่นจนปวดหูนะจะบอกให้ เธอไปเช็คป้ายจนแน่ใจว่าจอดได้แน่ๆ ว่าจะไม่มีของขวัญตามมาทีหลัง เราจึงได้ฤกษ์เดินเที่ยวเมืองกันซะที
มหาวิหารเซนต์จอร์จ ( Münster St.Georg )
ตรงที่เราจอดรถนั้นเป็นมาร์คปลาทซ์( Marktplatz)จุดศูนย์กลางเมืองพอดี ด้านข้างคือโบสถ์หรือมหาวิหารเซนต์จอร์จ ( Münster St.Georg ) สไตล์โกธิคขนาดใหญ่ นับเป็นโบสถ์ที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งในบรรดาโบสถ์ทางใต้ของเยอรมัน สร้างในปี 1448 1499 ออก แบบโดยนิโคลัส เอสเลอร์ ( Nikolaus Eseler ) เมื่อเข้าไปข้างในก็จะยิ่งรู้สึกได้ถึงความใหญ่โตกว้างขวางมาก มีเสาโค้งค้ำยันเพดานด้านบนเรียงต่อกันไปทั้งหมด 11 คู่ จุดเด่นคือแท่นบูชาตรงกลางขนาดใหญ่สไตล์นีโอโกธิด ( Neo Gothic ) มีภาพเขียนรูปพระเยซูตรึงไม้กางเขน นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นที่มีชื่อเสียงไปคือ พิเอต้า ( Pièta ) ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงจูงใจให้ผู้แสวงบุญมาที่นี่กันมากเป็นพิเศษในช่วงศตวรรษที่ 17
ด้านข้างโบสถ์ที่เราจอดรถ โบสถ์มองจากอีกด้าน เก็บภาพไม่หมด เพราะด้านข้างจะมีตึกขนาบอยู่ ด้านใน รายละเอียดตรงแท่นพิธี
ไวน์มาร์ค ( Weinmark หรือ Wine Market)
Weinmark
ออกจากโบสถ์ก็ยังไม่ไปไหนไกล ดูอาคารด้านหน้าโบสถ์ฝั่งตรงข้ามก็คุ้มแล้ว ตรงนี้ คือย่านที่เรียกว่าไวน์มาร์ค ( Weinmark หรือ Wine Market) มีตึกที่มีสีสันสวยงาม ทั้งส้ม เขียว เหลือง แดง ตามหน้าต่างก็ประดับด้วยกระถางดอกไม้เพิ่มความน่ารักเข้าไปอีก จุดเด่นของอาคาร ก็คือหน้าจั่วแบบขั้นบันไดของอาคารแต่ละหลังที่สวยงาม ตึกสีส้มที่อยู่ตรงหัวมุม หน้าจั่วเป็นขั้นบันได มีโดมเล็กๆเด่นอยู่ด้านบนสุด เดิมเคยเป็นที่ประทับของบุคคลสำคัญๆเช่น จักรพรรดิคาลที่ 5 ( Emperor Karl V ) ในปี 1546 และกษัตริย์กุสตาฟ อดอล์ฟ แห่งสวีเดน ( King Gustav Adolf of Sweden ) ในปี1632
ตึกนี้เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิคาลที่ 5 และกษัตริย์กุสตาฟ อดอล์ฟ แห่งสวีเดน
ตึกถัดไปที่เป็นสีเขียวหน้าจั่วขั้นบันไดอีกแบบ เดิมเคยเป็นบ้านของพวกขุนนางหรือนักการเมือง ปัจจุบันเป็นโรงแรม Zur Glocke ถัดไปเป็นตึกที่ชื่อว่าดอยช์เฮาส์ ( Deutsche Haus ) หน้าจั่วสไตล์เรเนซองซ์ประดับด้วยรูปปั้น Bacchus ซึ่งเป็นเทพเจ้าของไวน์ และติดๆ กันเป็นตึกสีเหลืองชื่อว่า Schranne หน้าจั่วขั้นบันไดเช่นกัน พิเศษตรงปลายยอดจั่วแต่ละขั้นประดับด้วยแท่นหินทรงปิรามิดเล็กๆ เพิ่มความอ่อนช้อยเข้าไปอีก นอกจากตึกสีห้าหลังที่ว่ามาแล้ว อาคารอื่นๆก็สวยๆทั้งนั้น หากเมื่อยขาเมื่อยคอ ก็แวะเข้าไปดูของที่ระลึกในร้านมั่งก็ได้ ของที่ระลึกส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกงานฝีมือจำพวกไม้แกะ สลัก เซรามิก ภาพวาดต่างๆก็มีมากมาย ฉันก็มองๆดูอยากซื้อเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ว่าซื้อมาแล้วกลัวมันจะมานอนแอ้งแม้งอยู่ที่ไหนซักแห่งในบ้าน ก็เลยไม่ซื้อดีกว่า ฮ่าๆ
ตึกสีเหลืองชื่อว่า Schranne
จากถนนไวน์มาร์คเดินตรงไปก็จะเป็นถนนด๊อกเตอร์มาร์ตินลูเธอร์ ( Dr.Martin Luther Strasse ) เดินไปเรื่อยสุดถนนก็จะเจอกับประตูเมืองทางด้านทิศเหนือที่ชื่อว่าโรเทนเบอร์กตอร์ (Rothenburg Tor ) ซึ่งหน้าจั่วด้านบนเป็นแบบขั้นบันไดยอดนิยมอีกแล้ว บนชั้นสองมีห้องขังนักโทษและห้องทรมานร่างกาย จากตรงนี้มีบันไดเดินขึ้นไปบนเนินซึ่งจริงๆก็คือส่วนของกำ แพงเมืองนั่นเอง แต่ดูร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ครึ้มไปตลอดกำแพง เราเดินวนไปทางด้านซ้าย ไม่นานก็เจอกับป้อมปราการที่ชื่อว่า Faulturn Parkwächterhäuschen เป็นที่คุมขังนักโทษอีกแห่งนึง รวมถึงเป็นที่พักของผู้ดูแลนักโทษด้วย ป้อมนี้ถ้ามองจากด้านนอกเข้ามาก็จะเป็นจุดที่สวยอีกแห่งนึงทีเดียว เพราะด้านนอกมีสระน้ำเป็นฉากเพิ่มความงาม ยิ่งเดินต่อไปเรื่อยๆยิ่งสวยใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นกำแพงสลับกับต้นไม้ครึ้มๆ เจอป้อมปราการเป็นระยะๆ อีกด้านหนึ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัยที่ปลูกเรียงและลดหลั่นกันไปตามเนิน แต่ละบ้านมีสวนเล็กๆ ไม้ดอกไม้ใบ ต้นแอ๊ปเปิ้ลก็มี มองไปไกลๆจะเห็นยอดโบสถ์เซนต์จอร์จ เดินต่อมาถึงประตูเมืองด้านใต้ที่ชื่อว่าเซกริงเงอร์ตอร์ ( Segringer Tor ) สวยอีกแล้ว เพราะมีสะพานไม้ทอดออกไปนอกประตูเมือง ด้านล่างเป็นคูน้ำ มีต้นไม้ปกคลุมสวยอีกแล้ว ประตูนี้ถูกสร้างใหม่ในสไตล์บาร็อคในปี 1655 โดยชาวอิตาเลียน ของเดิมนั้นพังไปตอนช่วงที่สวีเดนเข้ามารุกราน
สุดตรงนี้จะเดินขึ้นกำแพงล่ะ บนกำแพง
หนึ่งในป้อมบนกำแพง จากกำแพงมีสะพานเดินออกมานอกเมือง ด้านล่างมีคูคลอง
วิวเมืองมองจากบนกำแพง
ใจจริงอยากเดินให้รอบกำแพงเมืองเพื่อจะดูหอคอยให้ครบทั้ง 16 ป้อม แต่ดูแผนที่แล้วยังเหลือระยะทางอีกไกล กลัวจะขาลากกันซะก่อน เลยตัดสินใจลงจากกำแพงมุ่งหน้าไปดูบ้านสวยๆที่ถนนทูมคาสเซ Turmgasse ( เป็นถนนที่นำไปสู่โบสถ์เซนต์จอร์จ ) บ้านนี้มีชื่อว่าเฮเซลเฮาส์ ( Hezelhaus ) ซึ่งถือเป็นไฮไลท์อีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ กะว่าจะดูเป็นที่สุดท้าย แล้วก็จะออกเดินทางกันต่อ ดูในรูปเนี่ยสวยมากๆ เป็นบ้านที่สร้างในช่วงศตวรรษที่ 16 ของเจ้าขุนมูลนาย ตกแต่งด้วยไม้ตามแบบฉบับบ้านเยอรมัน ประดับด้วยไม้ดอกไม้เลื้อย งามแต๊ๆเจ้า เดินตามแผนที่ไปจนถึงที่ที่คาดว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของบ้านหลังนี้ แต่มองไปมองมาก็ไม่เห็นมีบ้านไหนเหมือนรูปที่เห็นเลย วนไปวนมาอยู่แถวๆนั้นแล้วก็เจอจนได้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะว่ามันต่างกันกับในรูปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีต้นไม้สวยงาม หน้าจั่วของบ้านดูเก่าๆ มีแผงกั้นห้ามเข้าเพราะว่ากำลังอยู่ใน ช่วงซ่อมแซม เซ็งเป็ด เซ็งไก่เลยตู เลยไปแก้เซ็งด้วยการแวะเข้าไปหาอะไรใส่ท้องกันที่ร้านตรงข้ามกับโบสถ์เซนต์จอร์จ จนพอให้หายผิดหวัง จากนั้นก็ได้เวลาโบกมือลาเมืองดิงเกลส์บูลกันซะที
แวะเติมพลังร้านฝรั่งแต่มีปอเปี๊ยทอดด้วย
ชุดนี้ของบาร์ท จานนี้ของมชล
สรุปว่าวันนี้ฉันได้เดินดูเมืองดิงเกลส์บูลแบบอิ่มใจ สบายๆไม่รีบร้อน ทำใจไว้แล้วว่าอย่าโลภ อย่าอยากดูไปซะทุกที ยึดทางสายกลาง แล้วจะได้ดูแบบเป็นสุข ไม่งั้นจะกลายเป็นชะโงกทัวร์ไปซะเปล่าๆ ทั้งเหนื่อยทั้งได้เที่ยวเหมือนเป็ด ฮ่าๆ (เค้ามีแต่รู้เหมือนเป็ด คือรู้นิดเดียว แต่ไม่เป็นไร พอกล้อมแกล้มไปได้ )
ถ้ามีเวลาแนะนำว่าการเดินเล่นบนกำแพงเมืองจะได้บรรยากาศมากแถมได้ชมเมืองนี้ในมุมสูงอีกด้วย
กำแพงเมืองนี้มีประตูเมืองอยู่ 4 ด้านด้วยกันรวมถึงมีป้อมหอคอยกระจายเป็นระยะๆ รวมทั้งสิ้น 16 หอคอยด้วยกัน ประตูเมืองทั้ง 4 ด้านได้แก่ Wörnitz Tor, Rothenburg Tor, Segringer Tor และ Nordlinger Tor
ขอแวะเมืองDonauwörth
ออกจากเมืองดิงเกลส์บูลก็บ่ายสามโมงแล้ว ก่อนจะถึงเมืองออสเบิร์ก ( Augsburg ) ก็จะมีเมืองที่สามารถแวะได้คือ Wallerstein, Nördlingen, Harburg และ Donauwörth ตอนแรกกะว่าจะตรงไปเลยไม่แวะที่ไหนแล้ว แต่อดไม่ได้ขอโฉบเข้าไปที่เมืองโดนาวเวิร์ท ( Donauwörth )ซักนิดเถอะน่า ก็เค้าบรรยายไว้ว่าเมืองนี้มีถนนใจกลางเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สายที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งในเยอรมัน แล้วอย่างนี้ใจฉันมันจะปกติได้ยังไง ถ้าไม่ได้เห็นถนนที่ว่านี้ เลียบๆเคียงๆบอกบาร์ทว่า ขอแวะเข้าไปซักนิดนะ แค่ขับรถโฉบเข้าไปดูให้เป็นขวัญตาหน่อยนึง ไม่ต้องลงเดินก็ได้ บาร์ทตกลงอย่างง่ายดาย คงรู้ว่าถ้าขัดใจก็จะโดนบ่นไม่จบหรือเป็นเพราะว่าอยากเห็นด้วยเหมือนกันก็ไม่รู้
พอโฉบเข้าไปก็ไม่ผิดหวังเลย ได้เจอตึกสีสันสดใส ชักเริ่มเสียดายซะแล้ว แต่ด้วยเวลาทำให้ฉันต้องข่มใจนั่งเป็นพระยาชมเมืองอยู่ในรถ แต่นั่งนิ่งได้ไม่นานฉันก็ขอต่อรองลงไปเดิน สัญญาว่าจะเดินแบบตามควายเลยทีเดียว พอบาร์ทยอมให้ฉันลงจากรถ ฉันก็ไม่รอช้า วิงจู๊ดไปเก็บภาพตรงนั้นตรงนี้แบบกระหืดกระหอบ เหมือนชะโงกทัวร์ไม่มีผิด นี่ละนะเค้าถึงได้บอกว่าให้ทำอะไรทำแต่พอดี หากโลภมากลาภจะหาย แต่ของฉันนี่โลภมากแล้วหัวใจจะวายเพราะเหนื่อยเกินไป
จะเข้าเมืองDonauwörth
นั่งเป็นพระยาชมเมืองอยู่ในรถ
ตึกตรงกลางคือศาลาว่าการเมือง
โดนาวเวิร์ท ( Donauwörth )เดิมนั้นเป็นหมูบ้านชาวประมงบนเกาะในแม่น้ำวอร์นิซ ( Wörnitz ) เป็นจุดที่แม่น้ำวอร์นิซและแม่น้ำดานูบ ( Danube )ไหลมาเจอกัน จุดที่น่าสนใจของเมืองนี้ได้แก่ :
The Reichsstrasse อยู่ในเขตเมืองเก่าเริ่มจากศาลาว่าการเมือง ( Town hall ) จนถึง Fuggerhaus ถือเป็นถนนเศรษฐกิจหลักของเมืองนี้ อาคารสองฝั่งถนนดูใหม่ แถมมีสีสันสด ใส จนได้ชื่อว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดถนนหนึ่งในเยอรมัน เนื่องจากได้รับการบูรณะซ่อมแซมหลังจากถูกระเบิดทำลายในช่วงวันที่ 11 และ 19 เมษายน ปี 1945
Fuggerhaus อาคารสไตล์เรเนซองซ์ อยู่สุดปลายถนน Reichsstrasse อาคารสีขาวตัดด้วยหน้าต่างสีแดงทำให้ดูเด่น หน้าจั่วแบบขั้นบันได สร้างขึ้นในปี 1537-39 โดย Anton Fugger และในปี 1632 ก็ได้ใช้เป็นที่พักของกษัตริย์กุสตาฟ อดอล์ฟ ( Gustav Adolf ) รวมถึงเป็นกองบัญชาการรบของกองทัพสวีเดน นอกจากนั้นยังเคยเป็นที่ประทับแรมของจักรพรรดิคาลที่ 6 ( Karl VI )ในปี 1711 อีกด้วย ปัจจุบันเป็นที่ทำการชองสภาเมืองนี้ ( District Council )
Fuggerhaus อาคารสีขาวตัดด้วยหน้าต่างสีแดงทำให้ดูเด่น
Town Hall ศาลาว่าการเมือง สร้างในปี 1236 และมีการก่อสร้างเพิ่มเติมมาหลายครั้งด้วยกัน สัญญลักษณ์รูปนกอินทรีเหนือประตูทางเข้านั้น ได้รับพระราชทานจากกษัตริย์คาลที่ 6 ในปี 1530 ด้านบนของอาคารมีนาฬิกาและระฆังเล็กๆรอบๆนาฬิกา ( Glockenspiel ) ทุกๆหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่เวลา 11.00 16.00 น ของทุกๆวันจะมีเสียงเพลงที่ชื่อว่า Die Sonne muss scheinen หรือ The sun must shine จากละครโอเปร่าเรื่อง The Magic Fiddle โดยศิลปิน Werner Egk
Town Hall
Rieder Tor ประตูเมืองสีอิฐซึ่งสร้างใหม่จากโครงเดิมแทนของเดิมที่ถูกระเบิดทำลายในปี 1945 ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติความเป็นมาของเมืองนี้ ด้านนอกประตูเมืองมีลำธารเล็ก และมีบ้านเรือนน่ารักๆอยู่รอบนอก
Rieder Tor ประตูเมืองสีอิฐ
หลังจากเดินทนถ่ายรูปเสร็จ ฉันก็กระหืดกระหอบมาขึ้นรถ บาร์ทกับมิเชลเลอร์หัวเราะชอบใจ ฉันก็ขำในความบ้าของตัวเองเหมือนกัน แต่ฉันก็ถือว่าได้แค่นี้ก็ยังดี ดีกว่าจะให้มันค้างคาใจ ว่ามันสวยยังไงกันหรือนั่น ถึงได้ยกยอกันเข้าไป แต่ถ้ามาถามความเห็นของฉันละก็ เออ มันก็สวยดี ทั้งรูปทรงอาคารรวมถึงสีสรรฉูดฉาดได้ใจ เลยดูไม่ขลัง รวมถึงไม่มีชีวิตจิตใจ อาจเป็นเพราะถนนไม่มีต้นไม้ประดับตามหน้าต่าง มีแต่คอนกรีตเลยดูเรียบไปหมด แต่ถึงอย่างไรหากมีเวลาฉันว่าเมืองนี้สมควรเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ควรจะบรรจุไว้ในโปรแกรมที่ควรแวะเช่นกัน
มชล แอบหัวเราะแม่
เสร็จจากชะโงกทัวร์ เราก็มุ่งหน้าไปยังเมืองออสเบิร์ก ( Augsburg ) ซึ่งเป็นจุดพักแรมจุดที่สองของเรา เราจะอยู่พักที่นี่กันสองคืนด้วยกัน คราวนี้เราเลือกพักกันที่โรงแรมอีบิช ( Ibis hotel ) ซึ่งเป็นโรงแรมในราคาย่อมเยา มักอยู่ในย่านธุรกิจ ถ้าเลือกแบบไม่รวมอาหารเช้า ก็จะได้ราคาถูกลงมาอีก ห้องก็พอประมาณแต่ไม่อึดอัด ได้ห้องพักแบบสามเตียง นอนสบาย
Ibis hotel
เราถึงที่พักหกโมงเย็น ระหว่างวนหาโรงแรม เจอร้านอาหารไทยในถนนสายหนึ่งโดยบังเอิญ เล็งและจำชื่อถนนไว้ วันนี้ขอโซ้ยอาหารไทยซักหน่อยเถอะน่า เข้าที่พักเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้ามาที่ร้านทันที สั่งแบบไม่กลัวล้มละลาย (อาหารไทยเมืองนอกแพงนะจะบอกให้) ส้มตำไทยเผ็ดๆ ผัดกระเพราหมูของฉัน ต้มข่าไก่ของบาร์ท ไก่สะเตะของมิเชลเลอร์ ผัดไทยของกลาง(หมายความว่าแบ่งกันกิน) แต่หน้าตาเหมือนก๋วยเตี๋ยวผัดผักรวมมิตร เออนะ ผัดไทยเมืองนอกต้องประยุกต์กันหน่อย รสชาติเลยเพี้ยนๆ กะว่าให้ดูคุ้มค่าในการตั้งราคาละมั้ง สรุปมื้อนี้หมดไป 60 ยูโรกว่าๆ ก็ไม่ถือว่าแพงเกินไปนะพอทนได้ อิ่มตื้อแล้วก็กลับมานอนพักเอาแรง พรุ่งนี้จะได้มีแรงไว้เดินชมเมือง
วันนี้กินอาหารไทย
Tip: จากเมือง Lauda-Königshofen ไป Dinkelsbühl ใช้ถนนหมายเลข B27 และ B29 ซึ่งเป็นเส้นทางเดิมที่จะไป Rothenburg ถนนช่วงนี้สวย และจากเมือง Dinkelsbühl ใช้ถนน B25 ไป Donauwörth จากนั้นใช้ถนนออโตบานหรือมอเตอร์เวย์ไปเมือง Augsburg ถ้าหลงก็พยายามหาป้าย Romantische Strasse เอาไว้แล้วตั้งต้นต่อไป
มีป้ายแบบนี้ไม่หลงแน่นอน
Create Date : 05 มีนาคม 2553 |
Last Update : 5 มีนาคม 2553 21:11:08 น. |
|
17 comments
|
Counter : 3383 Pageviews. |
|
|
เล่าได้สนุก ข้อมูลครบถ้วนมากค่ะ ขอบคุณที่พาไปเที่ยวด้วยค่ะ