|
คุยหลังไมค์ว่าด้วย คนสี่ประเภท ตบท้ายด้วยหุ้นสี่เหล่า
ช่วงนี้ได้แอบคุยหลังไมค์กับคุณธราธิปบ่อยหน่อย ว่าด้วยเรื่องการเรียนของลูก ที่ไม่ค่อยจะดี คุยไปคุยมา ในที่สุดก็พาดพิงมาถึงเรื่องหุ้นจนได้ ฮาๆๆๆ
ก็เห็นว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนเล่นหุ้นบ้าง ขอตัดต่อแปะบางข้อความให้อ่านกัน โดยคุณธราธิปได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
หนึ่งในข้อความที่ได้ผมคุยกับคุณธราธิป
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณหมู
เรื่องเรียนพิเศษ ที่โรงเรียนของลูกชายมันมีลักษณะอย่างนี้ครับ คือเด็กนักเรียนเกือบทุกคน จะเรียนพิเศษตอนเย็นกับอาจารย์คนเดียวกับที่สอนในเวลาปกติ ดังนั้น ใครที่เรียนพิเศษกับอาจารย์ ก็จะได้รับการดูแล คอยกระตุ้นให้เด็กที่เรียนพิเศษด้วยส่งงาน เพื่อเก็บคะแนนสะสม ดังนั้น อาจารย์และนักเรียนที่เรียนพิเศษกันหลังเลิกเรียน ก็คืออาจารย์และนักเรียนชุดเดียวกับที่เรียนในเวลาปกติครับ ไม่ได้มีเพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่แต่อย่างไร ผมก็เลยมีความรู้สึกต่อต้าน และชอบใจคำพูดของนายแบบเจ มณฑล จิรามาก เขาว่า ถ้าโรงเรียนปกติสอนให้เด็กมีความรู้ไม่ได้ ก็สมควรจะปิดให้หมด แล้วเปิดแต่โรงเรียนสอนพิเศษ ผมว่าปัญหาที่แท้จริงคือ ครูอาจารย์สมัยนี้ ก็ต้องดิ้นรนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง มี่น้อยคนที่จะยอมสอนเต็มที่ในเวลาเรียนปกติ ซึ่งเป็นรายได้ที่ได้แน่นอนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับรายได้พิเศษ โรงเรียนกวดวิชาจึงเกิดเต็มไปหมดทุกที่
ผมอาจจะมองโลกแง่ร้ายไปหน่อย แต่มันเป็นสิ่งที่ผมพบเห็นจริงๆ
ข้อความบางส่วนที่คุณธราธิปตอบกลับมา
ผมขอเล่าประสพการณ์ที่เคยเจอเมื่อตอนเรียนมัธยม เพื่อนนักเรียนในห้องเดียวกันคนหนึ่ง เีรียนเก่งมากๆ สอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้ที่หนึ่ง สมัยนั้นเป็น ม.ศ. 1 และระหว่างการเรียนคะแนนสอบจะอยู่ระหว่างที่ 1-5 มาตลอด สุดท้ายไม่ทราบเพราะเหตุใด ปรากฏว่าเรียนไม่จบชั้น ม.ศ.5ครับ และที่่สุดตอนนี้กลายเป็นคนสติไม่ดี ไม่สมประกอบไปเลย เพื่อนฝูงหลายคนก็เป็นห่วง ต่างวิเคราะห์ไปตามเรื่องตามราว ที่สุดแล้ว น่าจะออกมาทางความกดดันมากที่สุด
ย้อนมาถึงตอนนี้ เราไม่รู้เลยว่าเด็กรู้สึกกดดันอะไรหรือเปล่า ผมว่าถ้าเด็กเงียบๆขรึมๆ ผิดปกติวิสัยเด็กทั่วไปละก็ เราต้องจับตาใกล้ชิดแล้วละครับ
เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ก็เคยเจอกับรุ่นเดียวกับพี่สาว เป็นนักเรียนหญิง เหตุการณ์คล้ายกันมากครับ สอบได้ที่ 1 ตลอด แต่สอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ได้ ที่สุดเรื่องราวก็ออกมาอย่างเดียวกัน
ผมว่าความคาดหวังของเรา หวังให้เค๊าเป็นคนดี ด้วยเกณฑ์ปกติทุกอย่าง ตามเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไป
สุดท้ายก็จะเหมือนหุ้นที่ค่อยๆขยับเติบโตไปตามพื้นฐาน (เข้าเรื่องหุ้น เผื่อทบทวนตัวเอง) ไม่หวือหวา ประเดี๋ยวดีใจ ประเดี๋ยวเสียใจ
ข้อความบางส่วนที่ผมได้ตอบกลับไป
ขอบคุณที่ช่วยเล่าประสพการณ์ให้อ่านครับ อย่างน้อยก็ช่วยปลอบใจ คนที่มีลูกเรียนหนังสือไม่ได้คะแนนดี
ผมได้ลองแบ่งคนเรียนหนังสือออกเป็นคร่าวๆได้ สี่ประเภทคือ
๑ คนเรียนเก่ง และทำงานเก่งด้วย
คนประเภทนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากที่สุด เป็นไปตามคาดหวังของคนรอบข้าง เข้าใจว่า ลูกคุณหมูก็คงจะเป็นแบบนี้
๒ คนเรียนไม่เก่ง แต่ทำงานเก่ง
คนประเภทนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยม แบบเกินความคาดหมายของทุกคน ชีวิตจะมีความสุขมาก เพราะไม่ต้องแบกรับโซ่เกียรติยศเอาไว้ ตัวอย่างล่าสุดที่ผมเจอจริงๆคือ หลานสาวสองคน ของแฟนผม เป็นหลานสาวของพี่ชายคนละคน คนหนึ่งเรียนเก่ง จบเตรียม....จบนิเทศศาสตร์....เกียรตินิยม ทุกวันนี้ทำงานอยู่ในบริษัทเล็กๆที่ไม่มีชื่อเสียง อีกคนเอ็นทรานซ์ไม่ติด เรียนจบมหาวิทยาลัยเอกชน ด้วยเกรดที่ปานกลาง แต่ตอนนี้ได้เป็นกราวด์โฮสเตสของการบินไทย รอบรรจุเป็นแอร์โฮสเตส
๓ คนเรียนไม่เก่ง และทำงานก็ไม่เก่ง
คนประเภทนี้ ชีวิตจะลำบากแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของใคร ชีวิตไม่ได้เครียดมากเท่ากับคนประเภทที่สี่
๔ คนเรียนเก่ง แต่ทำงานไม่เก่ง
คนประเภทนี้ ชีวิตจะเครียดมากที่สุด น่าสงสารที่สุด ตลอดชีวิต ต้องคอยแบกรับความคาดหวังจากคนรอบข้าง เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมอ่านข่าวหนังสือพิมพ์แล้วต้องปลง อาจารย์....ที่เคยสอบได้ที่หนึ่งของประเทศไทย ฆ่าตัวตาย เข้าใจว่าคงเป็นคนเรียนเก่งมากๆๆ แต่ทำงานไม่เก่ง เข้ากับคนอื่นไม่ได้ เพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนแย่ๆ กลับก้าวหน้าในการงาน
ตอนนี้ผมได้แต่คาดหวังว่า ลูกชายจะเป็นคนประเภทที่สอง ส่วนประเภทที่หนึ่งและสี่ คงเป็นไปไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปห่วงหรือกังวลถึง แต่ยอมรับว่า ผมกลัวที่สุดคือ ลูกชายจะเป็นคนประเภทที่สาม เรียนไม่เก่ง ทำงานก็ไม่เก่ง
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงต้องปลงให้ได้ครับ ไม่งั้นชีวิตเราจะพลอยแย่ไปด้วย
ข้อความบางส่วนที่คุณธราธิปตอบกลับมาทางหลังไมค์ที่เวปทีวีไอ
บางครั้งเด็กๆเมื่อตอนยังเล็กอยู่ เรามองไม่ออกจริงๆว่า โตขึ้นเค๊าจะออกมารูปแบบไหน ผมมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เป็นลูกชายโทนคนเดียว เล็กๆ ไม่พูดไม่จา เงียบขรึม ขี้อาย และถูกโอ๋มาตลอด และแน่นอนว่าการเรียนก็เรื่อยๆ ไม่เด่นอะไร
ปรากฎว่าโตขึ้น เก่งมากๆ พูดจาฉะฉาน เป็นโฆษกงานต่างๆ ประชาสัมพันธ์ดีเยี่ยม ปัจจุบันบริหารกิจการต่อจากพ่อแม่ และขยับขยายใหญ่โตอย่างน่าทึ่งเลยครับ
เราไม่สามารถคาดการณ์อะไรล่วงหน้าอย่างถูกต้อง 100 % แต่เราสามารถทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเค๊าในวันนี้
และนี่คือข้อความสุดท้ายที่ผมตอบกลับไป และมันก็เกี่ยวกับเรื่องหุ้นจนได้ ลองนึกดูซิครับ ท่านกำลังถือหุ้นประเภทไหนอยู่ในพอร์ต
ขอบคุณคุณหมูที่เป็นกำลังใจให้ครับ แล้วยังช่วยต่อยอดไปถึงเรื่องหุ้น ความจริงผมคิดแค่เรื่องคนวัยเรียนกับคนวัยทำงาน ซึ่งได้เห็นจากชีวิตจริง
น้องสาวผมเอาคำคมจีนข้างใต้นี้ไปถามแม่ ไม่รู้เขาไปได้มาจากไหน
"เจ็งแซอู่เหลียง หนั้งบ่อเหลียง"
แม่ผมแปลว่า
"ชีวิตสัตว์คาดคะเนได้ ชีวิตมนุษย์คาดคะเนไม่ได้"
สัตว์คาดคะเนได้ เพราะสัตว์มีแต่ความจำ ไม่มีความคิดอ่าน ก็เลยจำและทำอะไรซ้ำๆซากๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ส่วนมนุษย์มีสมอง รู้จักจำแล้วก็เอามาคิดต่อยอด ปรากฏการณ์คนเรียนไม่เก่ง แต่ทำงานเก่ง น่าจะมาจาก แต่ละคนบรรลุวุฒิภาวะทางความคิด ในวัยที่แตกต่างกันกัน
ดังนั้นเราสามารถคาดคะเนชีวิตสัตว์ได้อย่างแน่นอน (นอกจากสัตว์พิเศษบางตัวอย่างเช่นคุณทองแดง)
ถ้าเปรียบเป็นหุ้น ผมว่าหุ้นก็คล้ายคน แยกออกได้เป็นสี่ประเภทคือ
๑ หุ้นที่ปัจจุบันดี อนาคตก็ยังดี
๒ หุ้นที่ปัจจุบันแย่ แต่อนาคตดี
๓ หุ้นที่ปัจจุบันแย่ อนาคตก็แย่
๔ หุ้นที่ปัจจุบันดี แต่อนาคตแย่
จำได้ว่าตอนคุยกับคุณหมูในเวปของศิษย์เก่า เมื่อประมาณสองปีก่อน ผมยังจัดให้แจ็คเจียเป็นหุ้นเก็งกำไรอยู่เลย ไม่เคยคิดว่า มันจะกลายเป็นหุ้นประเภทที่สอง
"หุ้นที่ปัจจุบันแย่(ตอนนั้นแย่) แต่อนาคตดี" ไปได้
หุ้นก็คงเหมือนกับคน เพราะราคาหุ้นเกิดจากฝีมือของคน เราจึงคาดคะเนมันไม่ได้แน่นอน ได้แต่คาดคะเนให้มันใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
แล้วท่านหละ เป็นคนเล่นหุ้นประเภทไหน และถือหุ้นประเภทไหนอยู่ในพอร์ต
สำหรับผม ตอบตัวเองว่า ...........ฮาๆๆๆๆ
เข้ามาสายอีกแล้วเรา
ผมขอเพิ่มเติมข้อมูลเล็กน้อยครับ ที่จริง น้องเจ (ลูกชายเฮียคลาย เครียด) ไม่ใช่เรียนไม่เก่ง คะแนนที่เป็นลำดับอาจดูไม่ดี แต่ที่แน่ๆคือ ผลคะแนนวิชาภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ ได้เป็นลำดับที่ 1 - 2 นะครับ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีมากครับ เฮียท่านถ่อมตัวเกินไป
หลายๆให้ความรู้และมุมมองที่ดีมากๆครับ คุณแม่คุณสุเกียงเป็นแม่ที่ดี น่ายกย่องครับ คุณพ่อคุณแม่เฮียซีเคก็เช่นกัน...เยี่ยมยอดและทันสมัย ชอบความเห็นของคุณ prettypetite มากครับ รวมทั้งหลายๆท่านด้วย
หุ้นข้อ 2 ของเฮีย ที่คุณ picni ถาม ถ้าให้เดา อาจจะเป็น หุ้นที่อยู่ให้อุตสาหกรรมที่แย่ แต่เป็นบริษัทที่ดีก็ได้นะครับ
คุณคนใจเย็นเรียนรู้มากเลยครับ เท่าที่จำได้แบบเลาๆ จะเป็น 1. เต็ก 2.เหม็ง(เหมี่ยลี่) 3.ฮวงจุ้ย(โหงวเฮ้ง) แน่นอนว่าอันดับหนึ่งซึ่งสำคัญมากที่สุด คือ คุณธรรม อันดับสองคือ วาสนา อันดับสามคือ ฮวงจุ้ย ท่านให้ความหมายว่า ถ้ามีคุณธรรมเต็มเปี่ยมในตัวเองแล้ว วาสนา หรือ ดวง ก็ไม่สำคัญ
บางคนอาจขาดคุณธรรม แต่ยังรุ่งโรจน์อยู่ได้ ก็เพราะยังมีวาสนา แต่ก็เหมือนกินบุญเก่า วาสนาอาจหมด
ท่านให้ความสำคัญของดวงชะตาเป็นอันดับสุดท้ายครับ เพราะว่าต่อให้รูปลักษณ์ดีเยี่ยมอย่างไร จมูกสิงห์ ตาเสือ คิ้วดาบ ฯลฯ ถ้าขาดซึ่งคุณธรรม และ ไร้วาสนาแล้ว ไม่มีทางที่จะเจริญได้ครับ
เข้าใจว่า เมื่อทำดีแล้ว อะไรก็ดีหมด
บุญ วาสนา คุณธรรม ต้องสะสมครับ
ผมเชื่อว่าในที่นี้ ทุกท่านล้่วนมีคุณธรรมครับ ซึ่งจะส่งผลให้ท่านประสพความสำเร็จ และ มีความสุข
เป็นความเห็นส่วนตัว ตามที่เข้าใจเองนะครับ ผิด ตก ยก เว้น
จากคุณ : ธราธิป - [ วันเนา (14) 15:13:46 ]
Create Date : 26 กรกฎาคม 2548 | | |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:36:21 น. |
Counter : 663 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สมเกินขั้นพื้นฐานของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง เวอร์ชั่น 1.0 Omega
หลังจากนอนคิดมั่วไปมั่วมา สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง ก็ลงมติเป็นเสียงเอกฉันท์ เพราะมีสมาชิกอยู่คนเดียว ฮาๆๆ
ให้ "1" เป็นค่าคงที่ในสมเกิน นอกนั้น ต่างเป็นตัวแปร ที่ทำให้เกิดค่าคงที่ 1 ขึ้น
ท่านที่ไม่ถนัดเรื่องกราฟ ลองขยับค่าตัวแปรดูครับ อาจจะได้ไอเดียเจ๊งๆ เอ๊ยเจ๋งๆ ในการเล่นหุ้น สไตล์เท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง ฮาๆๆๆ
สมเกินง่ายๆแบบนี้ พอจะอธิบายได้ว่า
เงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง และหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง จะสามารถทำอย่างไร ในการดัน ดัชนีจนถึงแปดร้อยได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีวอลุ่มหนาแน่น อย่างที่คิดๆกัน
ความเห็นของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง
ขึ้นแบบไม่มีวอลุ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะอันตราย เพราะหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริงจะดักรออยู่ในพอร์ต รอจังหวะขายให้กับเงินที่มีอำนาจซื้อนำเทียม ที่เกิดจากแรงจิตวิทยามวลชน
ลองขยับตัวแปร เงิน หุ้น ราคา ให้ได้ค่าคงที่เท่ากับหนึ่ง อาจจะต่อยอดได้แนวความคิดใหม่ๆครับ ส่วนผมยังคิดต่อไม่ค่อยออก รู้แต่ว่า ทำให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่หุ้น สามารถขึ้นหรือลงได้ โดยไม่มีวอลุ่มหนาแน่น
Create Date : 26 กรกฎาคม 2548 | | |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:31:43 น. |
Counter : 685 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หลังจากเอาปี๊บคลุมหัว ขอแก้หลักสมเกินของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งเป็นดังนี้
ไม่น่าเชื่อว่า ผมสามารถมั่วอยู่ตั้งเกือบอาทิตย์โดยไม่มีใครทัก อาจจะนึกว่าเป็นสูตรเด็ดที่ต้องคิดแปดตลบ ความจริงไม่ใช่หรอก มั่วผิดแบบหลุดโลกต่างหาก ฮาๆๆๆ ดันจับให้
อำนาจซื้อของเงิน = ปริมาณเงินที่ซื้อเพื่อเอาหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น
ความจริงก็น่าจะฉุกคิด ตั้งแต่คุณวีคเกสท์บอกว่า ดูแล้วไม่เข้าใจ ถ้าขืนดูแล้วเข้าใจ ผมก็คงทำบาปขั้นมหันต์ ฮาๆๆๆ เมื่อกี้ก่อนงีบหลับ ลองเอาสมเกินนี้ไปจับหุ้นไทเกอร์พลาส์ อ้าว ขืนเอาราคาหุ้นไปหาร เจ้ามือก็เหนื่อยตายพอดี ฮาๆๆ
หลักสมเกินที่ถูกต้อง
อำนาจซื้อของเงิน = ปริมาณเงินที่ซื้อเพื่อเอาหุ้น เท่านั้น
หลักสมเกิน 2
หลักสมเกิน 3
หลักสมเกิน 4
หลักสมเกิน 5
หลักสมเกิน 6
หลักสมเกิน 7
หลักสมเกิน 8
สมเกินนี้พยายามจะอธิบายว่า หุ้นขึ้นได้ โดยไม่มีปริมาณหุ้นหนาแน่นได้อย่างไร ที่แท้ก็มีคนเก็บไว้คลายตั๋ว ตอนเงินที่อำนาจซื้อนำเทียม เข้ามาเก็บเอาหุ้นไปลงทุนต่อที่ราคายอดดอย นั่นเอง
อย่างน้อยกระทู้นี้ก็ไม่กินไข่แล้วหละ ฮาๆๆ
การพาหุ้นขึ้นไปด้วยจำนวนเงินน้อย และรักษาระดับราคาไว้ด้วยเงินจำนวนหนึ่ง พร้อมๆกับมีเรื่องต่างๆ อะไรๆก็แล้วแต่ ที่ลวงตาให้ผู้ที่ต้องการลงทุนทั้งจริงและไม่จริง มาซื้อหุ้นต่อ พร้อมการเคลื่อนไหวของราคาอยู่ ระยะเวลาหนึ่ง จนตั๋วคลายได้ที่ ก็มีอันต้องพาราคาลง ด้วยหุ้นอีกจำนวนหนึ่ง จนตั้งฐานใหม่ เป็นอยู่อย่างงี้นี่เอง ถ้ามองออกก็สำหรับวิชาเผ่นพันลี้
จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 18 ม.ค. 48 14:57:00 ]
น่าจะสรุปได้ว่า หุ้นขึ้นมากๆแต่วอลุ่มลด มีสองประเด็นใหญ่ๆ 1 คนที่ถือหุ้นที่มีอำนาจขายนำ ไม่ได้นำหุ้นออกมาขาย ปริมาณหุ้นในตลาดลดฮวบ ใช้เงินไม่มากก็ทำราคาขึ้นต่อได้ 2 ผลประกอบการออกมาดีมาก จนไม่มีใครนำหุ้นออกมาขาย ดังนั้น ใช้เงินไม่มาก หุ้นก็ขึ้นได้สูงมากๆเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าเอาประเด็นที่สองมาจับ หุ้นตัวไหนขึ้นไปเรื่อยๆ ใช้ปริมาณหุ้นไม่มาก ในขณะที่ผลประกอบการไม่ได้ดีแบบก้าวกระโดด หุ้นตัวนั้น จะต้องเจอแรงเทขายอย่างชนิดถล่มทลาย ลงมาเกินห้าสิบเปอร์เซนต์ก็มี ถ้าเอาประเด็นนี้ไปจับทุ่งคาตอนสิบบาท จะเห็นได้ชัดเจน ผมมีความเชื่อว่า ปริมาณเงินที่ใช้ซื้อขายกันตอนสิบบาท เท่ากับปริมาณเงินที่ซื้อชายกันตอนบาทกว่า แต่ปริมาณหุ้นลดฮวบเกือบสิบเท่า
จากคุณ : คลาย เครียด - [ 18 ม.ค. 48 15:12:19 ]
ผมมีความเชื่อว่า ปริมาณเงินที่ใช้ซื้อขายกันตอนสิบบาท เท่ากับปริมาณเงินที่ซื้อชายกันตอนบาทกว่า แต่ปริมาณหุ้นลดฮวบเกือบสิบเท่า แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 48 15:14:02 จากคุณ : คลาย เครียด - [ 18 ม.ค.
ปริมาณหุ้นเท่ากันตอน10บาท กับ1บาท แต่ตอน1บาทใช้เงินน้อยกว่าสิบเท่า ผมเข้าใจสลับหรือเปล่าครับ
จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 18 ม.ค. 48 15:19:31 ]
ฮาๆๆ คงคุณเต่าหยวนเปียวน่าจะถูกต้องกว่า ไว้วันหลังค่อยมั่ว เอ๊ยคิดกันต่อ เดี๋ยวต้องพาลูกไปเรียนคุมอง
แต่ผมคิดว่า เขาก็สามารถใช้ปริมาณเงินเท่าเดิม ทำหุ้นขึ้นสิบเท่าได้ ถ้าหุ้นถูกกักไว้ในพอร์ตมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์ของที่ซื้อมา ลองจับปริมาณหุ้นที่ลดลงจากสิบหุ้นเหลือหนึ่งหุ้น คูณด้วยราคาหุ้นสิบบาทดู พอหุ้นแตะสิบบาท รายย่อยโดนออสโมซิสความคิด จนนำเงินที่มีอำนาจซื้อนำเทียม เข้าไปรับหุ้นที่อำนาจขายนำจริง ตลอดขาลงมาที่สองบาทกว่า แล้วก็เริ่มเล่นรอบใหม่กันอีก ผมเรียกมันว่า "เกมล่าส่วนเกินทุน"
จากคุณ : คลาย เครียด - [ 18 ม.ค. 48 15:28:08 ]
Create Date : 26 กรกฎาคม 2548 | | |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:25:34 น. |
Counter : 819 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
จากหลักสมเกินของสำนัก temple boxing ตัวชี้ขาดราคาหุ้นคือ.....
จากสมเกินต่อเนื่องสองภาพต่อไปนี้
คุณคิดว่า สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง ถือว่าตัวชี้ขาดราคาหุ้นอย่างแท้จริงคืออะไร
ภาพที่หนึ่ง สมมติให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวตามสมเกินนี้
ภาพที่สอง แทนค่าอำนาจซื้อของเงิน ด้วยปริมาณเงินที่ซื้อ หารด้วย อำนาจขายของหุ้น คือปริมาณหุ้นที่ขายเงิน คูณด้วย ราคาหุ้น
กำหนดให้ราคาหุ้นเริ่มต้นที่ 1 .ตัวชี้ขาดราคาหุ้นก็คือ.....
บางทีเราอาจจะได้คำตอบว่า ทำไม tta ราคาถูกกว่า psl หลายบาท ทั้งๆที่ กำไรมากกว่า ปันผลมากกว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า ปริมาณหุ้นที่ขายเพื่อเงินของเจ้าของบริษัทอาจจะเป็นต้นเหตุ แต่ตัวชี้ขาดราคาหุ้นก็คือ.....
ขอใช้ภาพในความเห็นที่ 3 แทน
ขอใช้ภาพนี้แทนครับ ภาพก่อน ดูแล้วตัวเองก็ยังงงๆ ฮาๆๆ
เมื่อแทนค่าราคาหุ้นให้เท่ากับ 1 สมเกินที่ออกมา น่าจะเป็นแบบนี้ ดังนั้น ตัวชี้ขาดราคาหุ้นที่แท้จริง ในทัศนะของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งก็คือ ปริมาณเงินที่ถูกใส่เข้าไป เล่นเกมล่าส่วนเกินทุนในหุ้นตัวนั้นๆ นั่นเอง
มิน่า หลงพี่เผ่น วัดพันลี้ จึงย้ำนักย้ำหนาว่า บูชาเงินสดเป็นที่ตั้ง ฮาๆๆๆ
ลองดูจากภาพข้างใต้นี้ เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น หุ้นจะมีค่าราคาเพิ่มขึ้นหรือคงที่ได้ ต้องเพิ่มที่ปริมาณเงินที่ซื้อเท่านั้น ถ้าอัดเข้าไปมากๆ หุ้นจะขึ้นไปได้เรื่อยๆ เพราะปริมาณสูงสุดของหุ้นที่ขายได้จะมีค่าไม่เกิน 1 ( + warrant) และยิ่งต่ำกว่า 1 มากๆเท่าไร หุ้นจะยิ่งขึ้นได้มากๆไม่มีที่สิ้นสุด ตามปริมาณเงินที่อัดเข้าไป
วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน เพราะคิดไปคิดมา ชักเบลอๆเหมือนกัน ฮาๆๆๆ
Create Date : 26 กรกฎาคม 2548 | | |
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:15:22 น. |
Counter : 713 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]
|
สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย
สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต
Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
|
|
|
|
|
|
|
|