"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"
Group Blog
 
All Blogs
 

คุยหลังไมค์ว่าด้วย คนสี่ประเภท ตบท้ายด้วยหุ้นสี่เหล่า

ช่วงนี้ได้แอบคุยหลังไมค์กับคุณธราธิปบ่อยหน่อย
ว่าด้วยเรื่องการเรียนของลูก ที่ไม่ค่อยจะดี
คุยไปคุยมา ในที่สุดก็พาดพิงมาถึงเรื่องหุ้นจนได้ ฮาๆๆๆ

ก็เห็นว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนเล่นหุ้นบ้าง
ขอตัดต่อแปะบางข้อความให้อ่านกัน
โดยคุณธราธิปได้ให้ความเห็นชอบแล้ว

หนึ่งในข้อความที่ได้ผมคุยกับคุณธราธิป

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณหมู

เรื่องเรียนพิเศษ
ที่โรงเรียนของลูกชายมันมีลักษณะอย่างนี้ครับ
คือเด็กนักเรียนเกือบทุกคน
จะเรียนพิเศษตอนเย็นกับอาจารย์คนเดียวกับที่สอนในเวลาปกติ
ดังนั้น ใครที่เรียนพิเศษกับอาจารย์
ก็จะได้รับการดูแล คอยกระตุ้นให้เด็กที่เรียนพิเศษด้วยส่งงาน
เพื่อเก็บคะแนนสะสม
ดังนั้น อาจารย์และนักเรียนที่เรียนพิเศษกันหลังเลิกเรียน
ก็คืออาจารย์และนักเรียนชุดเดียวกับที่เรียนในเวลาปกติครับ
ไม่ได้มีเพื่อนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่แต่อย่างไร
ผมก็เลยมีความรู้สึกต่อต้าน
และชอบใจคำพูดของนายแบบเจ มณฑล จิรามาก
เขาว่า
ถ้าโรงเรียนปกติสอนให้เด็กมีความรู้ไม่ได้
ก็สมควรจะปิดให้หมด แล้วเปิดแต่โรงเรียนสอนพิเศษ
ผมว่าปัญหาที่แท้จริงคือ
ครูอาจารย์สมัยนี้ ก็ต้องดิ้นรนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง
มี่น้อยคนที่จะยอมสอนเต็มที่ในเวลาเรียนปกติ
ซึ่งเป็นรายได้ที่ได้แน่นอนอยู่แล้ว
ส่วนใหญ่จะเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับรายได้พิเศษ
โรงเรียนกวดวิชาจึงเกิดเต็มไปหมดทุกที่

ผมอาจจะมองโลกแง่ร้ายไปหน่อย
แต่มันเป็นสิ่งที่ผมพบเห็นจริงๆ

ข้อความบางส่วนที่คุณธราธิปตอบกลับมา

ผมขอเล่าประสพการณ์ที่เคยเจอเมื่อตอนเรียนมัธยม
เพื่อนนักเรียนในห้องเดียวกันคนหนึ่ง
เีรียนเก่งมากๆ สอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้ที่หนึ่ง
สมัยนั้นเป็น ม.ศ. 1
และระหว่างการเรียนคะแนนสอบจะอยู่ระหว่างที่ 1-5 มาตลอด
สุดท้ายไม่ทราบเพราะเหตุใด
ปรากฏว่าเรียนไม่จบชั้น ม.ศ.5ครับ
และที่่สุดตอนนี้กลายเป็นคนสติไม่ดี ไม่สมประกอบไปเลย
เพื่อนฝูงหลายคนก็เป็นห่วง ต่างวิเคราะห์ไปตามเรื่องตามราว
ที่สุดแล้ว น่าจะออกมาทางความกดดันมากที่สุด

ย้อนมาถึงตอนนี้ เราไม่รู้เลยว่าเด็กรู้สึกกดดันอะไรหรือเปล่า
ผมว่าถ้าเด็กเงียบๆขรึมๆ ผิดปกติวิสัยเด็กทั่วไปละก็
เราต้องจับตาใกล้ชิดแล้วละครับ

เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ก็เคยเจอกับรุ่นเดียวกับพี่สาว
เป็นนักเรียนหญิง
เหตุการณ์คล้ายกันมากครับ สอบได้ที่ 1 ตลอด
แต่สอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ได้
ที่สุดเรื่องราวก็ออกมาอย่างเดียวกัน

ผมว่าความคาดหวังของเรา
หวังให้เค๊าเป็นคนดี
ด้วยเกณฑ์ปกติทุกอย่าง
ตามเกณฑ์เฉลี่ยทั่วไป

สุดท้ายก็จะเหมือนหุ้นที่ค่อยๆขยับเติบโตไปตามพื้นฐาน
(เข้าเรื่องหุ้น เผื่อทบทวนตัวเอง)
ไม่หวือหวา ประเดี๋ยวดีใจ ประเดี๋ยวเสียใจ

ข้อความบางส่วนที่ผมได้ตอบกลับไป

ขอบคุณที่ช่วยเล่าประสพการณ์ให้อ่านครับ
อย่างน้อยก็ช่วยปลอบใจ คนที่มีลูกเรียนหนังสือไม่ได้คะแนนดี

ผมได้ลองแบ่งคนเรียนหนังสือออกเป็นคร่าวๆได้
สี่ประเภทคือ

๑ คนเรียนเก่ง และทำงานเก่งด้วย

คนประเภทนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมากที่สุด
เป็นไปตามคาดหวังของคนรอบข้าง
เข้าใจว่า ลูกคุณหมูก็คงจะเป็นแบบนี้

๒ คนเรียนไม่เก่ง แต่ทำงานเก่ง

คนประเภทนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยม
แบบเกินความคาดหมายของทุกคน
ชีวิตจะมีความสุขมาก
เพราะไม่ต้องแบกรับโซ่เกียรติยศเอาไว้
ตัวอย่างล่าสุดที่ผมเจอจริงๆคือ
หลานสาวสองคน ของแฟนผม
เป็นหลานสาวของพี่ชายคนละคน
คนหนึ่งเรียนเก่ง จบเตรียม....จบนิเทศศาสตร์....เกียรตินิยม
ทุกวันนี้ทำงานอยู่ในบริษัทเล็กๆที่ไม่มีชื่อเสียง
อีกคนเอ็นทรานซ์ไม่ติด เรียนจบมหาวิทยาลัยเอกชน
ด้วยเกรดที่ปานกลาง
แต่ตอนนี้ได้เป็นกราวด์โฮสเตสของการบินไทย
รอบรรจุเป็นแอร์โฮสเตส

๓ คนเรียนไม่เก่ง และทำงานก็ไม่เก่ง

คนประเภทนี้ ชีวิตจะลำบากแน่ๆ
แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของใคร
ชีวิตไม่ได้เครียดมากเท่ากับคนประเภทที่สี่

๔ คนเรียนเก่ง แต่ทำงานไม่เก่ง

คนประเภทนี้
ชีวิตจะเครียดมากที่สุด น่าสงสารที่สุด
ตลอดชีวิต ต้องคอยแบกรับความคาดหวังจากคนรอบข้าง
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมอ่านข่าวหนังสือพิมพ์แล้วต้องปลง
อาจารย์....ที่เคยสอบได้ที่หนึ่งของประเทศไทย ฆ่าตัวตาย
เข้าใจว่าคงเป็นคนเรียนเก่งมากๆๆ แต่ทำงานไม่เก่ง
เข้ากับคนอื่นไม่ได้ เพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนแย่ๆ
กลับก้าวหน้าในการงาน

ตอนนี้ผมได้แต่คาดหวังว่า
ลูกชายจะเป็นคนประเภทที่สอง
ส่วนประเภทที่หนึ่งและสี่
คงเป็นไปไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องไปห่วงหรือกังวลถึง
แต่ยอมรับว่า ผมกลัวที่สุดคือ
ลูกชายจะเป็นคนประเภทที่สาม
เรียนไม่เก่ง ทำงานก็ไม่เก่ง

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คงต้องปลงให้ได้ครับ
ไม่งั้นชีวิตเราจะพลอยแย่ไปด้วย

ข้อความบางส่วนที่คุณธราธิปตอบกลับมาทางหลังไมค์ที่เวปทีวีไอ

บางครั้งเด็กๆเมื่อตอนยังเล็กอยู่
เรามองไม่ออกจริงๆว่า โตขึ้นเค๊าจะออกมารูปแบบไหน
ผมมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เป็นลูกชายโทนคนเดียว
เล็กๆ ไม่พูดไม่จา เงียบขรึม ขี้อาย และถูกโอ๋มาตลอด
และแน่นอนว่าการเรียนก็เรื่อยๆ ไม่เด่นอะไร

ปรากฎว่าโตขึ้น เก่งมากๆ
พูดจาฉะฉาน เป็นโฆษกงานต่างๆ ประชาสัมพันธ์ดีเยี่ยม
ปัจจุบันบริหารกิจการต่อจากพ่อแม่
และขยับขยายใหญ่โตอย่างน่าทึ่งเลยครับ

เราไม่สามารถคาดการณ์อะไรล่วงหน้าอย่างถูกต้อง 100 % แต่เราสามารถทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเค๊าในวันนี้

และนี่คือข้อความสุดท้ายที่ผมตอบกลับไป
และมันก็เกี่ยวกับเรื่องหุ้นจนได้
ลองนึกดูซิครับ
ท่านกำลังถือหุ้นประเภทไหนอยู่ในพอร์ต

ขอบคุณคุณหมูที่เป็นกำลังใจให้ครับ
แล้วยังช่วยต่อยอดไปถึงเรื่องหุ้น
ความจริงผมคิดแค่เรื่องคนวัยเรียนกับคนวัยทำงาน
ซึ่งได้เห็นจากชีวิตจริง

น้องสาวผมเอาคำคมจีนข้างใต้นี้ไปถามแม่
ไม่รู้เขาไปได้มาจากไหน

"เจ็งแซอู่เหลียง หนั้งบ่อเหลียง"

แม่ผมแปลว่า

"ชีวิตสัตว์คาดคะเนได้ ชีวิตมนุษย์คาดคะเนไม่ได้"

สัตว์คาดคะเนได้
เพราะสัตว์มีแต่ความจำ ไม่มีความคิดอ่าน
ก็เลยจำและทำอะไรซ้ำๆซากๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย
ส่วนมนุษย์มีสมอง รู้จักจำแล้วก็เอามาคิดต่อยอด
ปรากฏการณ์คนเรียนไม่เก่ง แต่ทำงานเก่ง
น่าจะมาจาก แต่ละคนบรรลุวุฒิภาวะทางความคิด
ในวัยที่แตกต่างกันกัน

ดังนั้นเราสามารถคาดคะเนชีวิตสัตว์ได้อย่างแน่นอน
(นอกจากสัตว์พิเศษบางตัวอย่างเช่นคุณทองแดง)

ถ้าเปรียบเป็นหุ้น ผมว่าหุ้นก็คล้ายคน
แยกออกได้เป็นสี่ประเภทคือ

๑ หุ้นที่ปัจจุบันดี อนาคตก็ยังดี

๒ หุ้นที่ปัจจุบันแย่ แต่อนาคตดี

๓ หุ้นที่ปัจจุบันแย่ อนาคตก็แย่

๔ หุ้นที่ปัจจุบันดี แต่อนาคตแย่

จำได้ว่าตอนคุยกับคุณหมูในเวปของศิษย์เก่า
เมื่อประมาณสองปีก่อน
ผมยังจัดให้แจ็คเจียเป็นหุ้นเก็งกำไรอยู่เลย
ไม่เคยคิดว่า มันจะกลายเป็นหุ้นประเภทที่สอง

"หุ้นที่ปัจจุบันแย่(ตอนนั้นแย่) แต่อนาคตดี" ไปได้

หุ้นก็คงเหมือนกับคน
เพราะราคาหุ้นเกิดจากฝีมือของคน
เราจึงคาดคะเนมันไม่ได้แน่นอน
ได้แต่คาดคะเนให้มันใกล้เคียงความจริงมากที่สุด

แล้วท่านหละ เป็นคนเล่นหุ้นประเภทไหน
และถือหุ้นประเภทไหนอยู่ในพอร์ต

สำหรับผม ตอบตัวเองว่า ...........ฮาๆๆๆๆ

เข้ามาสายอีกแล้วเรา

ผมขอเพิ่มเติมข้อมูลเล็กน้อยครับ
ที่จริง น้องเจ (ลูกชายเฮียคลาย เครียด) ไม่ใช่เรียนไม่เก่ง
คะแนนที่เป็นลำดับอาจดูไม่ดี
แต่ที่แน่ๆคือ ผลคะแนนวิชาภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ
ได้เป็นลำดับที่ 1 - 2 นะครับ
เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีมากครับ
เฮียท่านถ่อมตัวเกินไป

หลายๆให้ความรู้และมุมมองที่ดีมากๆครับ
คุณแม่คุณสุเกียงเป็นแม่ที่ดี น่ายกย่องครับ
คุณพ่อคุณแม่เฮียซีเคก็เช่นกัน...เยี่ยมยอดและทันสมัย
ชอบความเห็นของคุณ prettypetite มากครับ
รวมทั้งหลายๆท่านด้วย

หุ้นข้อ 2 ของเฮีย ที่คุณ picni ถาม
ถ้าให้เดา
อาจจะเป็น หุ้นที่อยู่ให้อุตสาหกรรมที่แย่
แต่เป็นบริษัทที่ดีก็ได้นะครับ

คุณคนใจเย็นเรียนรู้มากเลยครับ
เท่าที่จำได้แบบเลาๆ
จะเป็น 1. เต็ก 2.เหม็ง(เหมี่ยลี่) 3.ฮวงจุ้ย(โหงวเฮ้ง)
แน่นอนว่าอันดับหนึ่งซึ่งสำคัญมากที่สุด
คือ คุณธรรม
อันดับสองคือ วาสนา
อันดับสามคือ ฮวงจุ้ย
ท่านให้ความหมายว่า ถ้ามีคุณธรรมเต็มเปี่ยมในตัวเองแล้ว
วาสนา หรือ ดวง ก็ไม่สำคัญ

บางคนอาจขาดคุณธรรม แต่ยังรุ่งโรจน์อยู่ได้ ก็เพราะยังมีวาสนา แต่ก็เหมือนกินบุญเก่า วาสนาอาจหมด

ท่านให้ความสำคัญของดวงชะตาเป็นอันดับสุดท้ายครับ
เพราะว่าต่อให้รูปลักษณ์ดีเยี่ยมอย่างไร
จมูกสิงห์ ตาเสือ คิ้วดาบ ฯลฯ
ถ้าขาดซึ่งคุณธรรม และ ไร้วาสนาแล้ว
ไม่มีทางที่จะเจริญได้ครับ

เข้าใจว่า เมื่อทำดีแล้ว อะไรก็ดีหมด

บุญ วาสนา คุณธรรม ต้องสะสมครับ

ผมเชื่อว่าในที่นี้ ทุกท่านล้่วนมีคุณธรรมครับ
ซึ่งจะส่งผลให้ท่านประสพความสำเร็จ และ มีความสุข

เป็นความเห็นส่วนตัว ตามที่เข้าใจเองนะครับ
ผิด ตก ยก เว้น

จากคุณ : ธราธิป - [ วันเนา (14) 15:13:46 ]




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:36:21 น.
Counter : 663 Pageviews.  

สมเกินขั้นพื้นฐานของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง เวอร์ชั่น 1.0 Omega

หลังจากนอนคิดมั่วไปมั่วมา
สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง
ก็ลงมติเป็นเสียงเอกฉันท์
เพราะมีสมาชิกอยู่คนเดียว ฮาๆๆ

ให้ "1" เป็นค่าคงที่ในสมเกิน
นอกนั้น ต่างเป็นตัวแปร ที่ทำให้เกิดค่าคงที่ 1 ขึ้น

ท่านที่ไม่ถนัดเรื่องกราฟ
ลองขยับค่าตัวแปรดูครับ
อาจจะได้ไอเดียเจ๊งๆ เอ๊ยเจ๋งๆ ในการเล่นหุ้น
สไตล์เท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง ฮาๆๆๆ

สมเกินง่ายๆแบบนี้
พอจะอธิบายได้ว่า

เงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง และหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง
จะสามารถทำอย่างไร
ในการดัน
ดัชนีจนถึงแปดร้อยได้
โดยไม่จำเป็นต้องมีวอลุ่มหนาแน่น อย่างที่คิดๆกัน

ความเห็นของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง

ขึ้นแบบไม่มีวอลุ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะอันตราย
เพราะหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริงจะดักรออยู่ในพอร์ต
รอจังหวะขายให้กับเงินที่มีอำนาจซื้อนำเทียม
ที่เกิดจากแรงจิตวิทยามวลชน



ลองขยับตัวแปร
เงิน
หุ้น
ราคา
ให้ได้ค่าคงที่เท่ากับหนึ่ง
อาจจะต่อยอดได้แนวความคิดใหม่ๆครับ
ส่วนผมยังคิดต่อไม่ค่อยออก
รู้แต่ว่า
ทำให้เข้าใจปรากฏการณ์ที่หุ้น
สามารถขึ้นหรือลงได้ โดยไม่มีวอลุ่มหนาแน่น




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:31:43 น.
Counter : 685 Pageviews.  

หลังจากเอาปี๊บคลุมหัว ขอแก้หลักสมเกินของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งเป็นดังนี้

ไม่น่าเชื่อว่า
ผมสามารถมั่วอยู่ตั้งเกือบอาทิตย์โดยไม่มีใครทัก
อาจจะนึกว่าเป็นสูตรเด็ดที่ต้องคิดแปดตลบ
ความจริงไม่ใช่หรอก
มั่วผิดแบบหลุดโลกต่างหาก ฮาๆๆๆ
ดันจับให้

อำนาจซื้อของเงิน = ปริมาณเงินที่ซื้อเพื่อเอาหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น

ความจริงก็น่าจะฉุกคิด
ตั้งแต่คุณวีคเกสท์บอกว่า ดูแล้วไม่เข้าใจ
ถ้าขืนดูแล้วเข้าใจ
ผมก็คงทำบาปขั้นมหันต์ ฮาๆๆๆ
เมื่อกี้ก่อนงีบหลับ
ลองเอาสมเกินนี้ไปจับหุ้นไทเกอร์พลาส์
อ้าว ขืนเอาราคาหุ้นไปหาร เจ้ามือก็เหนื่อยตายพอดี ฮาๆๆ

หลักสมเกินที่ถูกต้อง

อำนาจซื้อของเงิน = ปริมาณเงินที่ซื้อเพื่อเอาหุ้น เท่านั้น

หลักสมเกิน 2

หลักสมเกิน 3

หลักสมเกิน 4

หลักสมเกิน 5

หลักสมเกิน 6

หลักสมเกิน 7

หลักสมเกิน 8

สมเกินนี้พยายามจะอธิบายว่า
หุ้นขึ้นได้ โดยไม่มีปริมาณหุ้นหนาแน่นได้อย่างไร
ที่แท้ก็มีคนเก็บไว้คลายตั๋ว
ตอนเงินที่อำนาจซื้อนำเทียม
เข้ามาเก็บเอาหุ้นไปลงทุนต่อที่ราคายอดดอย นั่นเอง

อย่างน้อยกระทู้นี้ก็ไม่กินไข่แล้วหละ ฮาๆๆ

การพาหุ้นขึ้นไปด้วยจำนวนเงินน้อย
และรักษาระดับราคาไว้ด้วยเงินจำนวนหนึ่ง
พร้อมๆกับมีเรื่องต่างๆ อะไรๆก็แล้วแต่
ที่ลวงตาให้ผู้ที่ต้องการลงทุนทั้งจริงและไม่จริง
มาซื้อหุ้นต่อ พร้อมการเคลื่อนไหวของราคาอยู่
ระยะเวลาหนึ่ง จนตั๋วคลายได้ที่
ก็มีอันต้องพาราคาลง ด้วยหุ้นอีกจำนวนหนึ่ง
จนตั้งฐานใหม่
เป็นอยู่อย่างงี้นี่เอง
ถ้ามองออกก็สำหรับวิชาเผ่นพันลี้

จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 18 ม.ค. 48 14:57:00 ]

น่าจะสรุปได้ว่า
หุ้นขึ้นมากๆแต่วอลุ่มลด
มีสองประเด็นใหญ่ๆ
1 คนที่ถือหุ้นที่มีอำนาจขายนำ ไม่ได้นำหุ้นออกมาขาย
ปริมาณหุ้นในตลาดลดฮวบ
ใช้เงินไม่มากก็ทำราคาขึ้นต่อได้
2 ผลประกอบการออกมาดีมาก จนไม่มีใครนำหุ้นออกมาขาย
ดังนั้น ใช้เงินไม่มาก หุ้นก็ขึ้นได้สูงมากๆเช่นกัน

ดังนั้น ถ้าเอาประเด็นที่สองมาจับ
หุ้นตัวไหนขึ้นไปเรื่อยๆ ใช้ปริมาณหุ้นไม่มาก
ในขณะที่ผลประกอบการไม่ได้ดีแบบก้าวกระโดด
หุ้นตัวนั้น จะต้องเจอแรงเทขายอย่างชนิดถล่มทลาย
ลงมาเกินห้าสิบเปอร์เซนต์ก็มี
ถ้าเอาประเด็นนี้ไปจับทุ่งคาตอนสิบบาท
จะเห็นได้ชัดเจน
ผมมีความเชื่อว่า
ปริมาณเงินที่ใช้ซื้อขายกันตอนสิบบาท
เท่ากับปริมาณเงินที่ซื้อชายกันตอนบาทกว่า
แต่ปริมาณหุ้นลดฮวบเกือบสิบเท่า

จากคุณ : คลาย เครียด - [ 18 ม.ค. 48 15:12:19 ]

ผมมีความเชื่อว่า
ปริมาณเงินที่ใช้ซื้อขายกันตอนสิบบาท
เท่ากับปริมาณเงินที่ซื้อชายกันตอนบาทกว่า
แต่ปริมาณหุ้นลดฮวบเกือบสิบเท่า
แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 48 15:14:02
จากคุณ : คลาย เครียด - [ 18 ม.ค.

ปริมาณหุ้นเท่ากันตอน10บาท กับ1บาท
แต่ตอน1บาทใช้เงินน้อยกว่าสิบเท่า
ผมเข้าใจสลับหรือเปล่าครับ

จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 18 ม.ค. 48 15:19:31 ]

ฮาๆๆ คงคุณเต่าหยวนเปียวน่าจะถูกต้องกว่า
ไว้วันหลังค่อยมั่ว เอ๊ยคิดกันต่อ
เดี๋ยวต้องพาลูกไปเรียนคุมอง

แต่ผมคิดว่า เขาก็สามารถใช้ปริมาณเงินเท่าเดิม
ทำหุ้นขึ้นสิบเท่าได้
ถ้าหุ้นถูกกักไว้ในพอร์ตมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์ของที่ซื้อมา
ลองจับปริมาณหุ้นที่ลดลงจากสิบหุ้นเหลือหนึ่งหุ้น
คูณด้วยราคาหุ้นสิบบาทดู
พอหุ้นแตะสิบบาท
รายย่อยโดนออสโมซิสความคิด
จนนำเงินที่มีอำนาจซื้อนำเทียม
เข้าไปรับหุ้นที่อำนาจขายนำจริง
ตลอดขาลงมาที่สองบาทกว่า
แล้วก็เริ่มเล่นรอบใหม่กันอีก
ผมเรียกมันว่า
"เกมล่าส่วนเกินทุน"



จากคุณ : คลาย เครียด - [ 18 ม.ค. 48 15:28:08 ]




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:25:34 น.
Counter : 819 Pageviews.  

จากหลักสมเกินของสำนัก temple boxing ตัวชี้ขาดราคาหุ้นคือ.....

จากสมเกินต่อเนื่องสองภาพต่อไปนี้

คุณคิดว่า สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง
ถือว่าตัวชี้ขาดราคาหุ้นอย่างแท้จริงคืออะไร

ภาพที่หนึ่ง
สมมติให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวตามสมเกินนี้


ภาพที่สอง
แทนค่าอำนาจซื้อของเงิน
ด้วยปริมาณเงินที่ซื้อ หารด้วย
อำนาจขายของหุ้น
คือปริมาณหุ้นที่ขายเงิน คูณด้วย ราคาหุ้น

กำหนดให้ราคาหุ้นเริ่มต้นที่
1 .ตัวชี้ขาดราคาหุ้นก็คือ.....

บางทีเราอาจจะได้คำตอบว่า
ทำไม tta ราคาถูกกว่า psl หลายบาท
ทั้งๆที่ กำไรมากกว่า ปันผลมากกว่า
เป็นไปได้หรือไม่ว่า
ปริมาณหุ้นที่ขายเพื่อเงินของเจ้าของบริษัทอาจจะเป็นต้นเหตุ
แต่ตัวชี้ขาดราคาหุ้นก็คือ.....

ขอใช้ภาพในความเห็นที่ 3 แทน


ขอใช้ภาพนี้แทนครับ
ภาพก่อน ดูแล้วตัวเองก็ยังงงๆ ฮาๆๆ

เมื่อแทนค่าราคาหุ้นให้เท่ากับ 1
สมเกินที่ออกมา น่าจะเป็นแบบนี้
ดังนั้น ตัวชี้ขาดราคาหุ้นที่แท้จริง
ในทัศนะของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งก็คือ
ปริมาณเงินที่ถูกใส่เข้าไป
เล่นเกมล่าส่วนเกินทุนในหุ้นตัวนั้นๆ นั่นเอง

มิน่า หลงพี่เผ่น วัดพันลี้ จึงย้ำนักย้ำหนาว่า
บูชาเงินสดเป็นที่ตั้ง ฮาๆๆๆ


ลองดูจากภาพข้างใต้นี้
เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น
หุ้นจะมีค่าราคาเพิ่มขึ้นหรือคงที่ได้
ต้องเพิ่มที่ปริมาณเงินที่ซื้อเท่านั้น
ถ้าอัดเข้าไปมากๆ หุ้นจะขึ้นไปได้เรื่อยๆ
เพราะปริมาณสูงสุดของหุ้นที่ขายได้จะมีค่าไม่เกิน 1 ( + warrant)
และยิ่งต่ำกว่า 1 มากๆเท่าไร
หุ้นจะยิ่งขึ้นได้มากๆไม่มีที่สิ้นสุด
ตามปริมาณเงินที่อัดเข้าไป

วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อน
เพราะคิดไปคิดมา ชักเบลอๆเหมือนกัน ฮาๆๆๆ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:15:22 น.
Counter : 713 Pageviews.  

KKR (Klai Kriad Ratio) as temple boxing trick



ขออนุญาตตัดมาแปะ


ต้องใช้ภาษาปะกิตซะหน่อย
เดี๋ยวไม่เดิร์น ไม่จ๊าบ
ท่านประธานชมรม
YSW (Young Sexy Widow) Society
จะอัพเกรดอายุเพิ่มเข้าไปอีกโดยไม่เจตนา
เกาะซาเล้งของเถ้าแก่ซูให้ดีๆนะครับ
เถ้าแก่โด๊ปไวอากร้าไปแล้ว ฮาๆๆๆ

๑ คำชี้แจงที่มาของ คลายเครียดเรโช

ตั้งขึ้นมาเล่นๆเพื่อล้อเลียน
เฟยหงเรโชของคุณเฟยหง
เมื่อประมาณปีกว่ามาแล้ว

๒ ใครเป็นผู้ริเริ่มวิธีทำคลายเครียดเรโช

ไม่รู้เหมือนกันครับ
นักเล่นหุ้นจำนวนมากที่ชอบ ปลอดภัยไว้ก่อน พอร์ตสอนไว้
ทำกันมานานแล้ว
ผมเพียงแต่เอาชื่อใส่เข้าไป
เพื่อให้มองเห็นภาพ
สื่อสารกันได้ทันทีโดยไม่ต้องอธิบายซ้ำซาก

๓ อะไรคือคลายเครียดเรโชจุลภาค(ดูภาพประกอบ)

คือการขายหุ้นที่ซื้อมา
เพื่อชักเอาส่วนทุนของเราขึ้นมาก่อน
และเก็บเอาส่วนเกินทุนที่คาดว่าจะได้จากผู้อื่น
เอามาเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนต่อไปอย่างสบายใจ
เป็นการลดความเครียดจากการต้องติดตามหุ้นตัวนั้นได้
ยิ่งขายตอนค่าคลายเครียดเรโชสูงมากเท่าไร
ความเครียดจากหุ้นตัวนั้นจะยิ่งน้อยลงเท่านั้น

สมมติเช่น
เราขายหุ้นตามวิธีคลายเครียดเรโช
ที่ราคาหุ้นขึ้นมาจากที่ซื้อหนึ่งเท่าตัว หรือค่าคลายเครียดเรโชเท่ากับ ๑
ก็หมายความว่า
เราได้เก็บส่วนทุนของเราเอาไว้แล้วอย่างปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์
ส่วนหุ้นที่เหลือ ขายเมื่อไร
ก็คือการแปลงทรัพย์สิน(หุ้น)เป็นเงินทุน
จากส่วนเกินทุน ที่ต้องได้จากผู้อื่นอย่างแน่นอนแล้ว

๔ ควรทำคลายเครียดเรโชที่ราคาหุ้นเท่าไร

ไม่มีอะไรตายตัว แต่ผมมักจะเลือกทำที่ค่า ๑
เพราะเป็นจุดที่ได้ส่วนทุนของตัวเองคืน
เท่ากับได้ส่วนเกินทุนทางตัวเลข ณ วันที่ขาย

๕ วิธีทำคลายเครียดเรโชเหมาะกับหุ้นประเภทไหน

ตอนนี้เกมล่าส่วนเกินทุนคึกสุดขีด
ผมคิดว่า คลายเครียดเรโชเหมาะสำหรับทำกับหุ้นดังต่อไปนี้

ก.หุ้นที่ราคาถูกลากไปที่ราคา "อนาคต"
เพื่อรอผลประกอบการที่ดีใน"อนาคต"
ประเภทพีอีสามสี่สิบ พีบีวีห้าหรือสิบ
ก็ยังเชียร์กันนักเชียรกันหนาว่า ดีเลิศประเสริฐศรี
ผมถือว่า อนาคตไม่มีใครรู้จริง
ดังนั้นควรเอาเงินคนอื่นตามไปเล่นจะปลอดภัยกว่า ฮาๆๆๆ

ข. หุ้นที่ราคาขึ้นมาเพราะข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าววงใน ข่าววงนอก
ข่าววงเวียน ข่าวสี่แยก ข่าวสามแยก ข่าวทางคู่ขนาน ข่าวทางด่วน ฯลฯ
ลองใช้สามัญสำนึกถามตัวเองดูก็จะรู้
ขนาดลูกยังฟ้องแม่
น้องยังฆ่าพี่เพราะเรื่องเงิน
นับประสาอะไรกับคนที่เราไม่รู้จักซักนิด
จะหวังดีอยากให้เราได้เงินทองใช้
ที่แท้มันก็คือ การมีผลประโยชน์แบบแชร์ลูกโซ่
จากการร่วมด้วยช่วยกันปั่น
เพื่อทำให้หุ้นมีสภาพ"คล่องคอ"ให้มากที่สุด
หลังจากนั้นก็วัดดวงกันเอาเองว่า
ใครจะเป็นห่วงสุดท้ายในแชร์ลูกโซ่
นี่คือที่มาและที่ไปของข่าวทั้งหลาย
ดังนั้นหลังทำคลายเครียดเรโชเสร็จ
ควรจะตามมาด้วย
การงาบแล้วชิ่งหุ้นสปีซี่นี้ ในเวลาอันเหมาะสม

๖ ใครไม่ต้องทำคลายเครียดเรโช

เซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริง ไม่ต้องทำ
เพราะเขาสามารถบริหารส่วนเกินทุนที่ได้มาจากผู้อื่น
ผ่านราคาหุ้นที่เขากำหนด หรือใครกำหนดก็ได้
แต่เขารู้ทะลุปรุโปร่งถึงเกมล่าส่วนเกินทุนในหุ้นตัวนั้น

๗ ใครที่ควรทำจะทำคลายเครียดเรโช
มนุษย์หุ้น
ที่ยอมรับว่าตัวเองจัดอยู่ในซับสปีซี่ "KU ไม่ค่อยรู้"
ถ้าบังเอิญบุญพาวาสนาส่ง
ให้หุ้นที่ถืออยู่ ขึ้นเกินร้อยเปอร์เซนต์
ต้องทำเพื่อความปลอดภัยของเงินในกระเป๋าตัวเอง
และเพื่อความปลอดโปร่งในการล้วงเงินจากกระเป๋าคนอื่น

๘ กรณีศึกษาเรื่องคลายเครียดเรโช
ขอยกไปไว้ในความเห็นที่หนึ่ง พร้อมภาพประกอบ



ที่จะขอเพิ่มเติม หลังจากได้อ่านความเห็นท่านอื่นๆก็คือ

คลายเครียดเรโชไม่ว่าจุลภาคหรือมหภาค
ที่จริงแล้วเป็นแค่วิธีการ
ปรับความโลภให้สมดุลกับความรู้ที่ตัวเองมีอยู่เท่านั้น
ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการเล่นหุ้นระดับสูงอย่างแน่นอน

คลายเครียดเรโชระดับจุลภาค
เป็นการบริหารความเสี่ยงแบบ
"หุ้นขาขึ้น" เท่านั้น
ใช้ไม่ได้ในหุ้นขาลง เพราะไม่มีโอกาสจะได้ใช้ ฮาๆๆๆ
ขอย้ำว่า"หุ้นขาขึ้น" ไม่ใช่"ตลาดขาขึ้น"
เพราะไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาพไหน
ก็จะมีหุ้นที่ขึ้นและลง สวนทางกับตลาดเสมอ

สำหรับคลายเครียดเรโชระดับมหภาค
เป็นการบริหารความเสี่ยงในทุกสภาวะของตลาดหุ้นโดยรวม
ไม่ใช่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
ตอนที่หุ้นตกหนักๆ ซึมยาวอยู่นานหลายปี
เคยมีคนรู้จัก เป็นนักเล่นพนันบอลถามผมว่า
เป็นไง ตอนนี้แย่เลย หุ้นตกยับ
เล่นบอลดีกว่า ฮาๆๆ
ผมเลยตอบไปว่า
สมมติว่า ผมเคยได้กำไรหุ้นมาสิบล้านบาท
แล้วไม่ว่าสภาพหุ้นจะเป็นอย่างไร
ผมก็จะเอาเงินกำไรแค่ห้าล้านมาเล่น
และหุ้นที่ถืออยู่ในวงเงินห้าล้านบาทเหล่านั้น
มีปันผลให้ทุกปี
ผมจะมีโอกาสเจ๊งหุ้นได้ไหม ?
เป็นคำถามที่เซียนพนันบอลตอบไม่ออก
เพราะพนันบอล ไม่มีเงินปันผลตอบแทน ฮาๆๆ
ดังนั้น คำตอบที่ทุกคนย่อมตอบได้ก็คือ
ไม่มีทางเจ๊งหุ้นจนหมดตัวอย่างแน่นอนที่สุด
ต่อให้หุ้นทุกตัวที่ถืออยู่มีค่าเท่ากับศูนย์
และที่สำคัญ
ขอยืนยันจากประสพการณ์ตัวเอง
ยังไม่เคยแม้แต่ปีเดียว
ที่ผมไม่ได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ถือไว้
มีแต่มากหรือน้อย
ปีนี้ได้มากที่สุด ตั้งแต่เล่นหุ้นมา

ผมขอสรุปเลยว่า
นักลงทุนทุกคน
จะอยู่ในตลาดหุ้นได้ตลอดกาล
จะต้อง
"บริหารความโลภให้สมดุลกับความรู้"
นี่เป็นกฏขั้นพื้นฐานของ

TEMPLE BOXING SCHOOL ฮาๆๆๆ



ผมมีความเห็นว่า
ราคาตลาดของหุ้น ตามแรงกรรมของผลประกอบการ
ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครเป็นเจ้ามือ
เพราะความจริงที่น่าเจ็บปวดคือ
ราคาหุ้นในบริเวณนี้ จะไม่มี "เจ้ามือ" ตัวจริงเสียงจริง

ผมมักชอบใช้คำพูดอยู่หนึ่งประโยค

"หุ้นไม่มีสภาพคล่องคอ"

ที่มันไม่คล่องคอ ก็เพราะว่ามันไม่เจ้ามือนั่นเอง
พอมันไม่มีเจ้ามือ ที่จะใส่เงินก้อนยักษ์เข้ามาปั่นหุ้นตัวนั้น
หุ้นก็จะขึ้นลงอยู่ในกรอบบริเวณของ
ราคาตลาด ตามแรงกรรมของผลประกอบการเท่านั้น
ซึ่งในบริเวณนี้ เราดูแค่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น
บวกลบ สภาพคล่องคอ และข่าวดีร้ายจริงตามปัจจุบันก็พอ

ถ้าหุ้นไม่มีความเป็น"ตลาด"
เราแทบไม่ต้องดูอะไรเลย นอกจากดู บีวี เท่านั้น

แต่พอมันเข้า"ตลาด"
ก็เกิดอุปสงค์ อุปทานที่แตกต่างกัน ในหุ้นนั้นๆขึ้น
เงินกับหุ้น จะอยู่สลับต่ำแหน่งกันตลอดเวลา
ยิ่งถ้าหุ้น หลุดเข้าไปเล่นในกรอบ
แรงกรรมแห่งความโลภและความกลัว
เกมล่าส่วนเกินทุน จะมีข่าวดีเกินปัจจุบัน
เป็นตัวทวีคูณ ทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้แบบไร้เหตุผล
เพราะปริมาณเงินที่อัดใส่เข้าไป พร้อมกับความโลภของคน
แต่จะมีอยู่กรณีเดียวเท่านั้น ที่หุ้นจะขึ้นได้ไม่สิ้นสุด

"ต้องมีเงินก้อนใหม่ๆ ใส่เข้าไปในหุ้นตัวนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ"

เวลาหุ้นมีสภาพคล่องคอสูง
ลอยอยู่ในกรอบแรงกรรมแห่งความโลภฯ
เงินกับหุ้น จะสลับตำแหน่งกันเร็วมาก
เร็วจนคนที่รวยอย่างแน่นอนที่สุดคือ
คนเก็บค่าต๋ง ฮาๆๆ


ดูภาพประกอบก่อน
เดี๋ยวผมขอออกความเห็นแบบเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งต่อว่า
บริเวณไหนต้องใช้ความรู้พิเศษ
มารองรับความโลภฯและความกลัวของเราที่มีเพิ่มขึ้น
จากข่าวดี และร้ายเกินปัจจุบัน
และข่าวดีเกินปัจจุบันมีอะไรบ้าง



ผมขอวาดต่อยอด
จากภาพที่"คุณยมก"ได้ทำไว้อย่างสวยงาม
เป็นภาพประกอบข้างล่าง

บริเวณกรอบด้านบน
ข่าวดีเกินปัจจุบันจะเป็นแรงขับดับให้
แรงกรรมแห่งความโลภ สามารถเอาชนะแรงกรรมแห่งความกลัว
เช่นเดียวกับบริเวณกรอบด้านล่าง
ข่าวร้ายเกินปัจจุบันจะเป็นแรงผลักดันให้
แรงกรรมแห่งความกลัว สามารถเอาชนะแรงกรรมแห่งความโลภ

คำว่า "เกินปัจจุบัน"
ก็หมายถึงการทำนาย"อนาคต"
ซึ่งไม่มีใครรู้จริงร้อยเปอร์เซนต์

ผมขอแบ่งข่าวดีและร้ายเกินปัจจุบันใหม่อีกครั้งเป็น
ข่าวดีและร้ายเกินปัจจุบันแบบ

1 ข่าวดีและร้ายเกินปัจจุบันจากวิชาทางเศรษฐศาสตร์

2 ข่าวดีและร้ายเกินปัจจุบันจากจิตวิทยามวลชนเฉพาะตลาดหุ้น

ข่าวดีและร้ายเกินปัจจุบันแบบที่หนึ่ง
มีหลักวิชาการรองรับมายาวนาน
แต่เมื่อไรที่เราคาดการณ์ไปในอนาคต ยิ่งยาวนานมากเท่าไร
โอกาสผิดจะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ราคาหุ้นที่ลอยขึ้นมาอยู่ในบริเวณข่าวเกินปัจจุบันสายเศรษฐศาสตร์
สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งมีความเห็นว่า
หุ้นจะยังคงผันผวนได้ไม่มากเท่ากับ
ข่าวดีและร้ายเกินปัจจุบัน
จากการใช้จิตวิทยามวลชนเฉพาะตลาดหุ้น
ด้วยข่าววงใน
ข่าวปล่อยจากสื่อต่างๆ
ข่าวเป้าราคาของรายใหญ่
สังเกตหรือไม่ว่า
ไม่เคยมีข่าวเป้าราคาจากรายย่อยเลย ฮาๆๆๆ

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งมีความเห็นเพิ่มเติมว่า
เงินและหุ้นในตลาดแบ่งได้เป็นสองประเภทเท่านั้นคือ

1 เงินแบ่งออกเป็น
ก . เงินที่มีอำนาจในการซื้อนำ
ข. เงินที่มีอำนาจในการซื้อตาม

2 หุ้นแบ่งออกเป็น
ก. หุ้นที่มีอำนาจในการขายนำ
ข. หุ้นที่มีอำนาจในการขายตาม

เงินและหุ้นประเภท ข.
จะแปลงโฉมกลายเป็นเงินและหุ้นประเภท ก. ได้ในทันที
ถ้าถูกกระแสจิตวิทยามวลชนเข้ามาครอบงำอย่างรุนแรง
"จากข่าววงในและข่าวเป้าราคาของรายใหญ่เท่านั้น"

ช่วงเช้าขอแค่นี้ก่อน
ชักคิดไม่ค่อยออก
ขอต่อตอนบ่ายว่าด้วย

กระบวนการออสโมซิสความคิด
ดูดความคิดรายย่อย
จากกลัวไปโลภ
และจากโลภไปกลัว

ขอเวลาวาดรูปก่อน ยังไม่ได้คิดไว้เลย ฮาๆๆ



จากการเดาตามหลักเกินของสำนัก TEMPLE BOXING
หุ้นจะเริ่มหลุดเข้าไปเล่นในกรอบบริเวณ
แรงกรรมแห่งโลภของผู้คนในตลาดก็ต่อเมื่อ

1 มีสภาพคล่องคอเพิ่มหรือมีอยู่แล้วโดยปกติ

สภาพคล่องคอของหุ้นต้องมีมากพอ
ที่รายใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำในการทำราคาขึ้นไปสูงมากๆ
จะสามารถขายหุ้นทิ้ง ได้ทุกระดับราคาที่ต้องการ
โดยมีคนเข้ามารับตลอดเส้นทางขาลง
ที่น่ากลัวมากคือ เขาจะขายได้ทุกระดับราคา
โดยไม่ได้สนใจว่ากำไรหรือขาดทุน
ขอเพียงได้กลับมายืนในตำแหน่งเงินสดอีกครั้งเท่านั้น
เพราะมีแต่เงินสดเท่านั้น
ที่สามารถนำไปสร้างตำแหน่ง เพื่อถือครองหุ้นตัวใหม่ๆต่อไป

2 หุ้นตัวนั้นๆ จะขึ้นไปได้เรื่อยๆ

ตามใดที่มีเงินก้อนใหม่ๆใส่เข้าไป
และเงินก้อนเก่าที่ปั่นขึ้นยังไม่ถอนตัวออกมา
จากการเปลี่ยนตำแหน่งยืน จากหุ้นกลับมาเป็นเงิน
ส่วนเงินก้อนใหม่ๆที่ใส่ตามเข้าไปทีหลัง
ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งยืน จากเงินเป็นหุ้นโอท็อป ฮาๆๆ

3 มีข่าวดีเกินปัจจุบันเป็นตัวทวีคูณให้ราคามุ่งไปสู่พีบีวีสูงมากๆ

ข่าวดีเกินปัจจุบันได้แก่อะไรบ้าง
สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งได้จัดแบ่งออกเป็น 2 ซับสปีชี่คือ

ก. ข่าวดีเกินปัจจุบัน สายสามัญสำนึก

ได้แก่การวิเคราะห์อนาคตของหุ้น
จากแนวโน้มที่มีอยู่ในอดีตและปัจจุบัน
ซึ่งผลประกอบการเริ่มดีขึ้นมากๆ
ข่าวดีเกินปัจจุบันสายสามัญสำนึก
จะใช้ความรู้ทางเศรษฐศาตร์ใส่เข้าไป
ให้ดูเหมือนว่าการขึ้นของหุ้นมีเหตุผล
แต่ไม่ว่าจะวิเคราะห์อย่างไร
ก็จะลงท้ายที่เป้าราคา ที่หุ้นจะไปในอนาคต
เป็นเป้าราคาที่"กูรู้" เชื่อ
หรือแค่ต้องการให้คนอื่นเชื่อว่ามันจะเป็นจริง
ส่วนจะจริงไม่จริง ก็เป็นอีกเรื่อง
แต่ความจริงที่เราพบเห็นในตลาดหุ้นคือ
ตัวเองเชื่อ แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลย
ต้องทำให้คนอื่นๆ
ซึ่งถือครองเงินที่มีอำนาจในการซื้อตาม เชื่อเท่านั้น
ราคาหุ้นถึงจะขึ้นไปได้เรื่อยๆ
เป้าราคา จึงก็เป็นแค่ตัวกระตุ้นต่อมความโลภให้พุ่งกระฉูด
เกิดการเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนแบบสุดๆ

หุ้นจะขยับขึ้นไปหาเป้าราคาได้ ถ้า

"ทุกคนพากันซื้อ โดยหวังจะไปรอขายให้คนอื่นๆที่เป้าราคา"

แปลกดีนะ
แมลงเม่าหุ้นมักจะไม่ถามตัวเองว่า
ที่เป้าราคา ใครจะเป็นคนซื้อ ฮาๆๆ

ข. ข่าวดีเกินปัจจุบัน สายวิสามัญฆาตกรรม ฮาๆๆๆ

จะมีข่าวดีเกินปัจจุบันอันไหน
ที่เด็ดและทำให้หูตั้งฉากไปกว่า

ข่าววงในทุกระดับพรีเมียรลีก ดิวิสั้นหนึ่ง สอง และสาม
ข่าวปล่อยจากมาร์เก็ตตี้แสนสวย
ข่าวเป้าราคาแบบ เห็นเขาบอกว่า.......



4 ทำไมต้องมีความรู้พิเศษฯให้เหมาะสมกับความโลภฯ

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งมีความเห็นว่า
เมื่อไรที่หุ้นหลุดออกไปจากกรอบราคาตลาดฯตามผลประกอบการ
หุ้นจะกลายเป็นแค่สำรับไพ่
ที่ผู้คนในตลาดหุ้น เห็นพ้องต้องกัน
ที่จะหยิบมันขึ้นมาเล่น
"เกมล่าส่วนเกินทุน" จากเงินที่ทุกคนใส่เข้าไป
ไม่ได้เกี่ยวกับเงินเกินทุนที่จะได้จาก
ผลประกอบการของบริษัท ในรูปของยีลด์แม้แต่น้อย
หุ้นจะไม่มีคำว่าหุ้นดีหรือเน่า
มีแต่หุ้นขึ้นหรือลง
เงินและความโลภเป็นแรงผลักดันสำคัญที่สุด
ที่ทำให้หุ้นขึ้นหรือลงได้อย่างเว่อๆ
ไม่ใช่ผลประกอบการของบริษัทอย่างที่มักจะอ้างกัน
ผลประกอบการ ไม่สามารถชี้นำและรองรับราคาหุ้นแล้ว
ปริมาณเงินที่ถูก
มือที่มองไม่เห็นใส่เข้าไปต่างหาก
เป็นตัวชี้นำราคาหุ้น

5 ความรู้พิเศษที่จำต้องมี เมื่อเล่นหุ้นนอกกรอบที่ตัวเองถนัด

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งจะเน้นย้ำอยู่เสมอว่า

"โลภมาก ต้องรู้ให้มาก
ถ้ารู้ไม่มาก อย่าดันโลภมาก"

ความรู้พิเศษที่ควรมีเมื่อตามเข้าไปเล่นหุ้นในกรอบ
แรงกรรมแห่งความโลภและความกลัว
ถ้าเรียงอันดับของสำคัญที่สุด
ที่จะทำให้เราชนะเกมล่าส่วนเกินทุน
ก็คือ

ก. ความรู้พิเศษเรื่องข่าววงใน

อันนี้สำคัญที่สุด มีความรู้พิเศษอันนี้แค่อันเดียว
ความรู้อันอื่นๆ โยนลงรีไซเคิล บินได้เลย ไม่มีความหมาย
แต่ต้องจำให้ขึ้นใจเลยว่า
จะรับประกันผลการเล่นได้กำไรร้อยเปอร์เซนต์
ต้องเป็นข่าววงในระดับ

พรีเมียร์ลีก และดิวิสั้นหนึ่งเท่านั้น ฮาๆๆๆ

สมมติถ้าผมเป็นเสี่ยเอกภพ
ก่อนเซ็นสัญญาเข้าร่วมแหกกระเป๋าแมลงเม่าหุ้นกับยูทีวี
ผมก็กระซิบบอกแม่ยายกับน้องเมียว่า
อีกไม่นานจะเซ็นแล้ว
คุณแม่ และคุณน้องเมียสุดที่รัก ตุนไว้ซิฮะ
พอพรีเมียร์ลีก และดิวิสั้นหนึ่งตุนหุ้นไว้เพียบแล้ว
ก็ใช้บ๋อยกระจายข่าว
ให้บ๋อยพลีชีพ และบ๋อยรับทิพ
ผลัดกันเล่นราคาหุ้นจากข่าววงในดิวิสั้นสองและสาม ฮาๆๆ

ข. ความรู้พิเศษ จากการประยุกต์ความรู้ทางเทคนิคทั่วไป

เมื่อเราไม่มีความรู้พิเศษเกรดซุปเปอร์เอ
ความรู้พิเศษถัดมา มีเราควรมีก็คือ
เทคนิคพิเศษ รู้เฉพาะคนหมู่น้อยๆ
เช่นกราฟที่มีการต่อยอด จิตวิทยามวลชนเฉพาะตลาดหุ้น ฯลฯ
ถ้าทุกคนในตลาด รู้แค่เท็คนิคทั่วไป
แล้วรวยหุ้นจากกรอบบริเวณแรงกรรมแห่งความโลภฯได้
ป่านนี้รายย่อยรายจุกจิก กลายเป็นรายใหญ่ไปหมดแล้ว
แต่ความจริงก็คือ
เท็คนิคที่คนทั่วๆไปรู้กันดี

"จะไม่สามารถจะเอาชนะเกมล่าส่วนเกินทุนแบบยั่งยืน"

ถ้าไม่มีการต่อยอดออกไปใช้เฉพาะตัว
พ่อเลี้ยงเอวี่ คงไม่มีทางตั้งสำนักเผ่นพันลี้
ถ้ารู้แท่งเทียนเขียวแดง แค่งูๆปลาๆ ฮาๆๆๆ

ค. ความรู้จักควบคุมความโลภของตัวเอง

หลักเกินของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งมีว่า
ถ้าเราไม่มีความรู้พิเศษข้อ ก และ ข
ความรู้พิเศษที่เราจำเป็นต้องมีให้ได้ก็คือ
ความรู้จักควบคุมความโลภของตัวเองให้ดีๆ
ผมในฐานะของผู้ร่วมก่อตั้งสำนัก ฮาๆๆๆ
ขอกระซิบบอกความจริงว่า
ผมไม่มีความรู้พิเศษ ข้อ ก และ ข เลยคร๊าบ
ดังนั้นก็เลยต้องใช้ความรู้พิเศษข้อ ค. เข้าสู้

ผมจะไม่ตามไปซื้อหุ้นที่หลุดกรอบ
แรงกรรมของผลประกอบการไปมากๆ
นั่งน้ำลายหกได้เป็นปีๆ ดีกว่าน้ำตาตกชั่วข้ามวัน
เพราะตัดขายขาดทุนไม่เป็น
นั่นคือการไม่เปลี่ยนจุดอ่อนของเรา
ให้กลายเป็นจุดตาย
และถ้าตราบใดที่หุ้นผมซื้อ ยังยืนอยู่ในกรอบ
ราคาตลาด ตามแรงกรรมของผลประกอบการ
ผมจะถือหุ้นตัวนั้น กินปันผลเป็นน้ำจิ้มไปเรื่อยๆ
เมื่อไรก็ตาม มีเจ้ามืออัดเงินก้อนยักษ์เข้ามาปั่น
ก็จะทะยอยขาย โดยการทำคลายเครียดเรโช
เอาเงินตัวเองขึ้นมาก่อน
เอาเงินคนอื่นตามไปเล่น
ทำไมมันง่ายๆ และดูโง่ๆ ยังงี้วะ
ก็เหมือนที่พระพยอมเคยเทศน์ไว้
เลิกสูบบุหรี่ง่ายนิดเดียว อ้าปากไว้ ก็เลิกสูบได้แล้ว
วิธีง่ายและโง่แบบนั้น
ทำไมคนติดบุหรี่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ฮาๆๆ



ผมว่าไม่จริงหรอกครับ
ที่คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้ขาดทุนเสมอไป
คนส่วนใหญ่จะขาดทุนหุ้นก็ต่อเมื่อ

"ซื้อหุ้นในกรอบแรงกรรมแห่งความโลภ
หรือขายทิ้งในกรอบแรงกรรมแห่งความกลัว
โดยไม่มีความรู้พิเศษเฉพาะตัว"

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งเชื่อว่า
ในที่สุด จะไม่มีใครขาดทุนหุ้นตัวนั้น
ถ้าทุกคนเล่นหุ้นตัวนั้น
อยู่แต่ในกรอบแรงกรรมของผลประกอบการ
ทั้งที่อยู่ซีกบนของเส้นบีวี (เส้นราคาสถิตของหุ้นทุกตัว)
หรือถ้าเล่นอยู่ในซีกล่างของเส้นบีวี
ก็ยิ่งขาดทุนได้ยากมาก
ถ้าพีบีวีต่ำกว่า 1 มาจาก
บีวีลบ
สภาพคล่องคอของหุ้น
ลบ ข่าวร้ายจริงตามปัจจุบันที่ไม่เกี่ยวกับ eps

สำหรับข่าวร้ายจริงตามปัจจุบันที่ไม่น่ากลัวเลยสำหรับผมคือ
เจ้าของบริษัทไม่ได้สนใจจะทำราคาหุ้น
เพราะรู้ดีว่า ตัวเองมีค่าเท่าไร

ส่วนข่าวร้ายจริงตามปัจจุบัน
ที่เลวร้ายที่สุดในความเห็นของผมคือ
เจ้าของบริษัททึบแสงอย่างรุนแรง
ใช้เครื่องมือชนิดไหนเข้าไปเอกซ์เรย์ ก็แยกธาตุไม่ออก
ข่าวร้ายชนิดนี้ ต่อให้พีบีวี เหลือแค่ 0.1 ก็ไม่น่าลงทุน



อยากรู้ว่าเงินและหุ้นของตัวเองมีอำนาจแบบไหน
ให้ลองซื้อและขายหุ้นตัวนั้นดู
โดยที่ไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้น
ถ้าราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปตามแรงกรรมของเรา
แสดงว่าเราเป็นรายใหญ่ในหุ้นตัวนั้นๆ ฮาๆๆๆ

เมื่อลองเปรียบเทียบอำนาจการทำราคาหุ้น
ของข่าวเกินปัจจุบันแบบต่างๆ
ผมมีความเห็นว่า
ข่าวเกินปัจจุบันจากจิตวิทยามวลชน
สามารถทำให้หุ้นทุกตัว ไม่ว่าดีหรือเน่าขึ้นได้
ในขณะที่ข่าวเกินปัจจุบันจากวิชาเศรษฐศาสตร์
จะทำให้หุ้นขึ้นใด้เฉพาะหุ้นพื้นฐานดี

แต่อย่างไรก็ตาม
ลำพังเฉพาะข่าวดีเกินปัจจุบัน
จะไม่สามารถทำให้หุ้นขึ้นได้แบบเว่อสุดๆ
ถ้าไม่เกิดจิตวิทยามวลชนในหุ้นตัวนั้นอย่างรุนแรง

นั่นก็คือ เงินที่อำนาจซื้อตาม ไม่ได้ตามเข้าไปซื้อ
ต่อให้มีข่าวดีเกินปัจจุบันแค่ไหน
ถ้าปล่อยให้เงินที่มีอำนาจในการซื้อตาม
ดันมาทำหน้าที่ซื้อนำซะเอง
ราคาหุ้นมันก็อาจจะนอนแน่นิ่งอยู่กับที่
จนวีไอหลายท่านอึดอัดและหงุดหงิด
กับหุ้นพื้นฐานดีที่ตัวเองถืออยู่

การจะทำให้เงินที่มีอำนาจซื้อตาม
กลายมาเป็นเงินที่อำนาจซื้อนำ ให้ราคาหุ้นไปสู่ยอดดอย ฮาๆๆๆ
จะต้องใช้เยื่อราคาหุ้น
เป็นตัวดูดฝั่งความคิดที่เข้มข้นด้านความกลัว
มาสู่ฝั่งความคิดที่เข้มข้นกว่าด้านความโลภเท่านั้น

ราคาหุ้นที่ถูกกระทำโดยเงินที่มีอำนาจซื้อนำ
จะเป็นตัวการทำให้
ความคิดของเงินที่มีอำนาจซื้อตาม
เริ่มแกว่งข้ามจากฝั่งกลัวไปยังฝั่งโลภ
ด้วยอิทธิพลของเยื่อราคาดังภาพ

เงินที่มีอำนาจซื้อตาม
ที่ได้ตามเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้น
จะกลายเป็นเงินที่มีอำนาจในการซื้อนำหุ้น
ไปสู่ราคายอดดอยในที่สุด ฮาๆๆ

สรุปแบบสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งก็จะมีว่า

เงินที่มีอำนาจซื้อนำ
และหุ้นที่มีอำนาจขายนำ
จะสามารถออสโมซิสความคิด
เงินและหุ้นที่มีอำนาจซื้อและขายตามได้
ด้วยการชี้นำด้านราคาหุ้นตามหลังข่าวดีและร้ายเกินปัจจุบัน
ดังนั้น
ใครไม่อยากโดนออสโมซิสความคิดข้ามฝั่ง
ด้วยจิตวิทยามวลชน
ก็หัดบริหารความโลภและความกลัวของตัวเองให้ดีๆก็แล้วกัน
เอวังก็มีด้วยปการฉนี้แล ฮาๆๆ




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2548    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2548 13:01:43 น.
Counter : 1301 Pageviews.  

1  2  3  4  

หมากเขียว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย



สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต

Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
Friends' blogs
[Add หมากเขียว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.