"แมงเม่าของเมื่อวันวาน คือ เซียนหุ้นของพรุ่งนี้"
Group Blog
 
All Blogs
 
คน 7 คน

ก่อนอื่นต้องท้าวความไปยังกระทู้เก่าก่อนครับว่า เมื่อผมได้พูดคุยกับคนจีนอาวุโสท่านหนึ่งที่มีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์มากพอที่จะถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟังได้ โดยใช้วิธีบอกให้คิดตาม และเขาได้ให้ผมคิดถึงคน 7 คน ซึ่งต่างกรรมต่างวะระ คน 7 คนนี้เคยเป็นเพื่อนกันในยุคๆหนึ่ง แล้วก็ทะเลาะกันในอีกยุคหนึ่ง แต่ก็หนีกันไม่พ้นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันจนตายจากกันไป โดยแต่ละคนมีชื่อดังต่อไปนี้คือ อมาเก,ญุ่นปี่,ใจหยิ่น,อิดกัง,เอียดิน,ตะวันออกกลาง,เอลซารอิด จากนั้นเขาก็บอกนิสัยของคน 7 คนนี้ให้ฟัง หลังจากนั้นให้ผมตอบคำถามเขาเป็นข้อๆ และสุดท้ายเขาก็สรุปคำตอบของผมให้ฟัง แล้วก็นำเรื่องมาโยงเข้ากับสภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน โดยมีคนทั้ง 7 เป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกันนี้

ในท้ายที่สุดเขาก็บอกว่า ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์หลายๆทฤษฏีมักนิยมสร้างโมเดลอย่างง่ายๆ แล้วค่อยนำมาอธิบาย ตัวอย่างเช่น ทฤษฏีเกม และ ทฤษฎีจุดดุลยภาพของแนช (John Nash ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในเรื่อง Beautiful Mind) ซึ่งได้คิดค้นทฤษฏีและแทนด้วยคณิตศาสตร์ที่กว่าคนจะเข้าใจจนสามารถนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้ก็กินเวลาล่วงเลยนานถึง 50 กว่าปี เขาบอกว่าตัวแปรทางเศรษฐศาสตร์ มักขึ้นอยู่กับตัวแปรย่อยๆมากมาย แต่หากทราบตัวแปรใหญ่ๆที่ควบคุมตัวแปรย่อยต่างๆได้ ก็คิดถึงตัวแปรใหญ่ๆและลดน้ำหนักตัวแปรย่อยลง จะได้ตั้งสมมติฐานและกำหนด Case Study ได้ง่ายขึ้น

ต้องออกตัวขออภัยผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาตร์ด้วยนะครับ สิ่งที่ผมรับทราบมาเป็นจากคำสนทนาและจดจำมาถ่ายทอดอาจขาดตกบกพร่องบ้าง เนื่องจากต้องย่นย่อลงให้สั้นพอที่คนอ่านจะไม่รู้สึกเบื่อ จึงอาจอธิบายได้ไม่ชัดเจน ก็ขนาดผมฟังโดยตรงยังต้องถามหลายเรื่องจนรู้สึกว่าเข้าใจ การถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนแค่ไหน แต่ในที่สุด หลังจากฟังจบ ผมก็ได้ตั้งใจว่ากลับมาเมื่อใด ผมจะเลือกซื้อหุ้นเก็บไว้ยาวๆ จนกว่าจะมีลางหายนะใดๆปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนจึงค่อยขายทิ้งครับ (ลางหายนะมีอยู่ 4 ประการใหญ่ๆ เรื่องยาวเหมือนกันคงต้องไว้เล่าต่างหากนะครับ) ลองมาดูกันนะครับว่า คน 7 คนนี้นิสัยอย่างไรบ้าง

ใจหยิ่น มีนิสัยโอบอ้อมอารี มีครอบครัวใหญ่โต แต่คนในครอบครัวชอบมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันพอสมควร ตั้งแต่
อดีตกาล ก็มีการแย่งชิงกันเป็นใหญ่ นิสัยลึกๆเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น มีคติประจำตัว "มีคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ" เคยโดนคนอื่นรังแกหลายๆครั้ง ซึ่งก็พยายามต่อสู้ แต่ก็สู้ไม่ได้ หลายๆครั้งก็โดนเอารัดเอาเปรียบในทุกๆด้าน อยากแก้แค้น แต่ก็ยังใจเย็นรอเวลา อยากเป็นพี่ใหญ่ในหมู่คนผิวเหลืองด้วยกัน แต่ก็ยังไม่แสดงออกอย่างเต็มที่ มีเอกภาพทางความคิด(ไม่ต้องในภาวะจำยอมเหมือนหลายๆคน) และยังเป็นที่เกรงใจของหลายๆคน

อิดกัง มีนิสัยชอบวางโต อวดเบ่ง ตั้งแต่อดีตกาล ก็ถือตัวว่าเก่ง เป็นใหญ่ที่สุด อยากให้ทุกคนฟังความเห็นของตนเองแต่เพียงผู้เดียว แต่ตอนหลังมีคนในครอบครัวแยกตัวไปตั้งครอบครัวใหม่ จนเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ อมาเก ความเข้มข้นทางพันธุกรรมยังตัดไม่ขาด จนคนอื่นๆรู้กันโดยทั่วไปว่า อิดกัง กับ อมาเก ซี้ปึกกันแบบคอหอยกับลูกระเดือก
จริงๆ นิสัยเสียอีกอย่างของอิดกังคือ ชอบรุกรานเขาไปทั่ว แล้วก็เอาคนในครอบครัวตนไปปกครองคนโน้นคนนี้มาตั้งแต่อดีตกาล

อมาเก มีนิสัยฉลาดแกมโกง ถือดีว่าตัวเองเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครสู้ได้ ชอบใช้กำลัง เคยยกพวกในบ้านตนไปรวมกับอิดกังแล้วบุกรุกบ้านคนอื่นอย่างหน้าตาเฉยมาหลายครั้ง ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าบ้านของใจหยิ่น บ้านของตะวันออกกลาง ฯลฯ เวลาไปบุกรุกบ้านใครก็มักมีข้ออ้างเพื่อคนอื่นๆ แต่ในใจมักนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก คนอื่นๆทุกคนก็รู้นิสัยอมาเกดี แต่ก็ไม่มีใครกล้าหือ อมาเกยังมีนิสัยฟุ่มเฟือย ชอบใช้ของใหม่ๆมีคุณภาพ แต่เบื่อเร็ว ใช้แล้วทิ้ง หาของใหม่ๆใช้อยู่เรื่อยๆ แต่ก็เป็นคนที่ฉลาด ชอบคิดอะไรใหม่แล้วเอาไปให้คนอื่นๆใช้เสมอ แต่ไม่ได้ให้ฟรีๆ มักต้องมีผลประโยชน์มากเกินกว่าที่ตนเองลงทุนลงแรงไปหลายๆเท่า

เอลซารอิด มีนิสัยเย่อหยิ่ง ฉลาดที่สุดในกลุ่มคน 7 คน ชอบหลอกใช้อมาเกให้ทำโน่นทำนี่ให้ เป็นนักประดิษฐ์ตัวยง แต่ส่วนใหญ่ของที่ประดิษฐ์ขึ้นมักเป็นพวกอาวุธสำหรับเข่นฆ่าสังหารผู้อื่น ในอดีตกาลเป็นคนที่น่าสงสาร เกิดเหตุวิปโยคในครอบครัวจนตายเกือบหมดบ้าน ไม่ชอบรอล้างแค้น แต่ชอบใช้กำลังแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ฮวงจุ้ยของบ้านไม่สู้จะดีนัก เป็นบ้านเล็กๆที่มีรั้วติดกับบ้านของตะวันออกกลาง ซึ่งมีบ้านขนาดใหญ่มาก และข้อสำคัญ เอลซารอิด กับตะวันออกกลางถือเป็นเพื่อนแค้นกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีเพื่อนคนอื่นๆ พยายามช่วยไกล่เกลี่ยให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่เผอิญว่าคนใกล่เกลี่ยค่อนข้างเอียง และไม่มีความจริงใจมากพอ ปัญหาก็เลยยังคาราคาซังกันมาจนถึงปัจจุบัน

ญุ่นปี่ เป็นคนช่างคิด แต่ชอบเรียนลัด ในอดีตชอบลอกแบบชาวบ้านเขามากกว่าที่จะคิดเอง แต่ก็มีความสามารถดัดแปลงจนสามารถสร้างของใหม่ๆโดยพัฒนาจากของที่เลียนแบบเขามา จนมีความสามารถมากกว่าเดิม มีนิสัยเป็นพ่อค้าตัวยง เคยทะเลาะกับใจหยิ่นมาหลายครั้ง แถมยัง
เคยฮีกเหิมขนาดอยากยึดบ้านของทุกคนมาเป็นของตนเอง แต่ในที่สุดก็ทำไม่สำเร็จเพราะเจอยักษ์ใหญ่อมาเกสั่งสอนจนต้องจดจำไปชั่วชีวิต เนื่องจากมีนิสัยเป็นพ่อค้า จึงคบค้ากับทุกๆคน โดยพยายามทำตัวจริงใจ แต่ก็คำนึงถึงประโยชน์ของตนเป็นหลักพอๆกับอมาเก เคยขับเคี่ยว
กับอมาเกทั้งเรื่องการต่อสู้และเศรษฐกิจ แต่ล่าสุดก็เสียรู้อมาเกจนคนในบ้านตัวเองฆ่าตัวตายไปหลายคน แถมยังเคยทะเลาะกับใจหยิ่นจนแทบไม่อยากเผาผีให้กันเลย

เอียดิน เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง ในบ้านตัวเองก็มีการแบ่งชนชั้นกันจนเกิดช่องว่างระหว่างคนกันมากมายและเป็นปัญหาภายในที่พยายามจะจัดการกันมานานมาก แต่ก็ไม่สำเร็จซักที แต่มีครอบครัวใหญ่โตมากพอสมควร และเนื่องจากคนภายในมีช่องว่างทางฐานะมาก แถมยังมีศัตรูคู่กัด
ซึ่งมีบ้านอยู่ติดๆกันคอยฮึ่มๆใส่อยู่ตลอด เลยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใคร แต่หลายๆคนก็นึกแต่ว่า จะทำอย่างไรให้คนในบ้านของเอียดินสามารถซื้อสินค้าของตนได้มากที่สุด แต่เอียดินนี่สมองดี สามารถสร้างโปรแกรมได้เก่ง พอไปรวมกับของที่อมาเกสร้างขึ้น ก็เลยกลายเป็น Pack คู่
ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ ตั้งแต่อดีตกาลที่ผ่านมา เคยถูกอิดกังส่งคนในครอบครัวไปยึดบ้านและปกครองอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งเป็นระยะที่ยาวนานมากพอสมควร

ตะวันออกกลาง เป็นคนที่น่าสงสาร แต่ก็น่าอิจฉาด้วยในขณะเดียวกัน มีของที่คนทุกคนอยากได้และต้องการใช้ แต่ก็เป็นเป้าหมายและข้ออ้างให้อิดกังกับอมาเกชอบรังแกอยู่เป็นประจำ คนในบ้านแบ่งเป็นหลายๆกลุ่ม บางกลุ่มก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากอมาเกมากอยู่ แต่บางกลุ่ม
ก็เป็นแหล่งเงินแหล่งทุนที่อมาเกหมายตาอยากได้ไว้ในครอบครอง ชอบทะเลาะรุนแรงกับอมาเกเป็นประจำ ทั้งๆที่รู้ว่าสู้ยังไงก็แพ้ แต่ก็ไม่คิดจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของอมาเก มีคนกล้าหาญอยู่มาก จนมีหลายๆคนมักกล่าวว่า น่ากลัวยิ่งกว่ากามิกาเซ่ของญุ่นปี่ก็คือการพลีชีพของตะวันออกกลาง

เหนื่อยครับ จริงๆแล้วอุปนิสัยของแต่ละคนมีมากกว่านี้ แต่พิมพ์ไม่ไหวครับ แล้วก็กลัวคนอ่านเบื่อเสียก่อนด้วย และที่สำคัญ หลายๆท่านก็น่าจะรู้นิสัยของคนทั้ง 7 มากพอสมควรอยู่แล้วด้วย พอรับทราบนิสัยของแต่ละคน ผมก็เจอคำถามทันที ส่วนหนึ่งที่ผมโดนถามมีดังนี้ครับ

- ใครดีที่สุดในสายตาคุณ และทำไมถึงคิดเช่นนั้น
- ใครมีความจริงใจมากที่สุด ในสายตาคุณ
- ใครอยากกำจัดใครบ้าง
- ถ้าทุกคนมีเงินของอมาเกอยู่ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง ก็มีคนมาบอกว่านับแต่นี้เงินของอมาเกจะไม่มีค่าแล้ว ทุกคนจะ OK หรือไม่ และจะทำอย่างไร
- ทุกคนกำลังประหยัด รัดเข็มขัดอย่างเต็มที่ หรือทุกคนกำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่
- ถ้าให้คุณเข้าไปตีสนิทกับแต่ละคน คุณจะเลือกตีสนิทกับใครบ้าง
- ถ้ามีใครสักคนกำลังจะอดตาย(รวมทั้งคนในบ้านคนนั้นด้วย) คนๆนั้นจะเป็นใคร และจะมีผลกระทบกับคนอื่นแค่ไหน
- ถ้าไม่มีคนไหนอยู่บ้าง จะทำให้สังคมสงบสุขขึ้นอย่างมาก
- การแก้แค้นอย่างรุนแรงที่สุด น่าจะเกิดจากฝีมือใคร และแก้แค้นใคร

แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาพิมพ์ต่อครับ ไม่ไหวแล้ว ปวดหลังจริงๆ ฝากประโยคหนึ่งไว้ให้คิดกันครับว่าผิดหรือถูก

"ไม่ว่าการเมืองเล็กใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลก มักคบหากันแบบ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร แต่มีความแค้นและบุญคุณที่ชัดเจน ที่ต้องชำระกัน"

ปล. ผมเพิ่งเริ่มซื้อได้วันเดียว ดูวันนี้แล้วเหมือนว่าจะอดซื้อต่อ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่ออีกสักสองวัน อดซื้อแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ข่าวเรื่อง Upgrade เครดิตประเทศ มาเร็วเกินไปหน่อย จนทำให้ต้องระวังตัวพอสมควร ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนไล่ราคานะครับ โดยส่วนตัวยังคิดว่า น่า
จะมีช่วงถอยให้ซื้อเพิ่มได้อีกครับ แต่ไม่น่าจะมากนัก

เอาละมาดูทีละคำถามกันนะครับ

- ใครดีที่สุดในสายตาคุณ และทำไมถึงคิดเช่นนั้น

ผมตอบแบบเอาใจเขาไปว่า น่าจะเป็นใจหยิ่น (ในใจก็เอียงๆมาทางใจหยิ่นอยู่แล้ว) เพราะคนโอบอ้อมอารี น่าจะมีเมตตาในใจอยู่มาก และไม่น่าจะรังแกใคร แล้วจากอดีตที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นไปข่มเหงใครด้วย แถมยังน่าสงสารอีก โดนคนโน้นรังแกที คนนี้รังแกที จนสร้างตัวเองได้อย่างมั่นคง และคนอื่นๆไม่กล้าคิดรังแกในที่สุด

เขาตอบผมว่า ปัญหาข้อนี้ ถ้าไปถามคนในบ้านของแต่ละคน ก็จะได้คำตอบ 7 คำตอบ แต่ถ้าไปถามผู้อื่น เช่น เฝสละฝั่ง แทนไร กีเหลา ฯลฯ ก็จะได้คำตอบต่างๆกันไป ซึ่งแม้แต่คนในบ้านของ เฝสละฝั่ง แทนไร ฯลฯ ก็ยังอาจจะแบ่งความคิดเป็นก็กเป็นเหล่า ไม่มีเอกภาพแน่นอน คำตอบว่าใครดีที่สุด จึงขึ้นอยู่กับว่า ใครช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจมากน้อยเพียงใด และใครได้รับความช่วยเหลือโดยตรงจากใครมากน้อยแค่ไหน คนเลวสุดๆในสายตาคนๆหนึ่ง อาจจะเป็นคนดีในสายตาคนอีกคนก็เป็นได้ (บิน ลาเดน กับ บุช ใครดีเลวกว่ากัน ลองไปถามคนในบ้านเขาดูสิครับ) ในขณะเดียวกัน ก็ขึ้นอยู่กับใครถูกใส่ร้าย ป้ายสีมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า คน 7 คนและคนในบ้านของเขา จะตอบคำถามในรูปแบบเดิมไปจนตาย และเป็นหนึ่งพื้นฐานความคิดที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ถึงแม้ว่าอาจมีไส้ศึก คนขายบ้าน หวังเป็นใหญ่ในแต่ละบ้านปะปนอยู่ แต่หากให้ตอบคำถามนี้ก็จะตอบเหมือนคนอื่นๆ

แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามนี้เป็น ใครพยายามสร้างภาพว่าเป็นคนดีในสายตาผู้อื่นได้มากที่สุด คำตอบมีแค่คำตอบเดียวเท่านั้นครับ

ข้อนี้ เขาบอกให้ผม หา Fact ให้เจอ ในโลกการเงิน หรือโลกการเมือง มักจะมี Fact ซ่อนอยู่เสมอ Fact บางอย่างเมื่อพิจารณาโดดๆ จะไม่สามารถมองเห็นประโยชน์ของมันได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อใดถูกวางเป็นองค์หลักเพื่อร่วมพิจารณากับประเด็นอื่น อาจจะเห็นอิทธิพลของ Fact นี้อย่างเด่นชัดขึ้นมา คนที่พบ Fact และมีจิตใจมั่นคงเพียงพอ จะไม่หวั่นไหวต่อกระแสข่าว ที่ไม่ใช่ลางหายนะทั้ง 4 ตลอดไป และจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยนช์จากธุรกรรมที่เข้าไปดำเนินได้อย่างสูงสุด

ปล. เฉกเช่นการลงทุนในหุ้นก็เช่นกัน สังเกตดูไหมครับ หลายครั้ง เราได้รับข้อมูลที่ชัดเจนจนทำให้ตัดสินใจซื้อ และตอนซื้อเราก็มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก ปัญหามันอยู่ที่ว่า สิ่งที่เราเชื่อมันเป็น Fact ไหมครับ หากใช่ เมื่อเราเปลี่ยนหรือตัดสินใจขายทิ้ง Fact นั้นยังคงอยู่หรือไม่ ถ้า Fact ของสิ่งนั้นหายไป จะเรียกว่า Fact หรือครับ แล้วตั้งแต่ท่านทั้งหลายเริ่มลงทุนมา เคยซื้อหุ้นตัวใดด้วย Fact หรือไม่ครับ 5555

ทีนี้ลองพิจารณาดูนะครับ ประโยคเหล่านี้ ข้อใดเป็น Fact บ้าง (เป็นตัวอย่าง เผื่อว่า ยังไม่เคยคิดเลย 5555)

- ราคาของหุ้นตัวนี้ อยู่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (เจอบ่อยๆ)
- หุ้นตัวนี้มีคนกำลังปั่น
- ราคาของหุ้นตัวนี้ สูงเกินจริงแล้ว
- หุ้นของบริษัทนี้ ให้ผลตอบแทนดีกว่าฝากแบงค์
- การดำเนินงานของบริษัทมีความโปร่งใสชัดเจน
- ในระยะยาว บริษัทจะมีผลดำเนินงานที่ได้รับกำไรอย่างต่อเนื่อง เพราะความเสี่ยงในการดำเนินงานเป็นศูนย์
- บริษัทนี้ไม่มีวันเจ๊ง
- วันนี้ฝรั่งขาย รายย่อยซื้อ กองโจรหนุน ฯลฯ
- NVDR ได้แสดงการซื้อของต่างชาติอย่างชัดเจน
- สัญญานทางเทคนิค กำลังบ่งบอกว่า ตลาดกระทิงกำลังมา (or Vice Versa)
- ขึ้นให้ขาย ลงให้ซื้อ
- ตลาดหมีกำลังก่อตัว
- กระทิงตัวนี้ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ
- ฯลฯ


จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 9 ต.ค. 46 09:00:45 A:210.1.6.101 X: ]


ขอบคุณ มากค่ะ คุณ ชอบอ่าน

ยังปวดหลังอยู่เหรอคะ วัยทองแล้วค่ะ ต้องทานแคลเซี่ยมทุกวันนะคะ

อย่าลืมนะ แคลเซี่ยมช่วยได้ดีมาก และต้องนอนที่นอนแข็งๆ ทานน้ำมากๆ( คุณ บอกดิฉัน)



ชอบ ใจหยิ่น ตรงที่ ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว คนนี้ น่ากลัว เป็นเสือที่มีเขี้ยวเล็บพร้อมสู้ เมื่อใครแหย่



อิดกัง หยิ่งในชนชาติ รักษาความเป็นผู้นำทางวัฒนธรรม แห่งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาตลอด ยอมโอนอ่อนกับ อมาเก(เพื่อนจำเป็น)เพราะอยากรักษาน้ำใจ ไปไหนไปด้วย ร่วมด้วย แขนขาเราอยู่



สงสาร อมาเก อยากใหญ่ ต้องแบก เงินทองร่อยหรอ จึงต้องผลิตชิ้นส่วนออกมาให้คนอื่นสู้ เงินก็ได้ และแต่งตั้งตนเป็นโรโบค๊อป คอยปราบปราบ ความวุ่นวาย เมื่อมีการปะทะ กัน เพื่อภาพพจน์ที่ดีในสายตาชาวโลก (ชาวโลกเขารู้หรอกหนาว่าอะไรเป็นอะไร)



เอลซาราอิด ถ้าอยู่เฉยๆก็ดีหรอก แต่นี่ตีเขา แล้วเข้าบ้านเขา แถมยังไล่เจ้าของบ้านไปอยู่เขา ใครเล่าจักยอม ก็ต้องการบ้านเขาแบบคนพลัดถิ่น อยากอยู่อย่างถาวรเสียที ก็ต้องแย่งกันหน่อย ไม่แย่งแล้วก็ต้องอยู่เขา คนก็มากก็ต้องใช้วิธีนี้ จึงคิดค้นสิ่งแปลกใหม่ออกมา เพราะความที่เก็บเงินเก่ง หัวดี เพื่อนซี้เช่นอมาเก จึงเกรงใจ เพราะเพื่อนไอเดียเป็นเลิศ จึงทั้งหนุนทั้งยัน ยอมเป็นกำแพงให้ และเป็นกันชนที่แข็งเสียด้วย


ญู่นปี่ ชอบเขานะ ชอบคนแบบนี้น้ำนิ่งไหลลึก ปรับตัวเก่งและจะยอมตัดแขนที่ไม่ดี เพราะจิตสำนึกคือการต่อสู้ คุมไม่อยู่ คำตัดสินคือต้องออก เลือกคนใหม่ เขาเป็นคนลุ่มลึกมีบทเรียน จึงใช้แนวเศษฐกิจ ทุกรูปแบบ คู่แข่งคือ ใจหยิ่น เพราะมองตากันก็รู้ว่าเพื่อนคิดอะไร เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

เอียดิน คนมากคุมยาก ประเพณี เชื้อชาติ แตกแขนง ไม่ยอมลงกัน จึงเป็นเช่นทุกวันนี้ โบราณกับปัจจุบันก็ไม่แตกต่างกัน เพราะยอมไม่ได้ที่จะลดตนมาคุยกับชนที่ต่ำกว่า เลยไม่ไปไหนเสียที


ตะวันออกกลาง มีทรัพยกรมากมายที่ใครๆก็อยากได้ อยากไปหมด ขอแนวร่วมอย่างอิดกัง ก็ไม่ขัด เพื่อภาพพจน์ที่ดี ไปไหนไปด้วนร่วมด้วยดูดีกว่า ได้คนเดียว เหตุผลคืบปราบและกวาดให้บ้านเขาสะอาด



ผลคือ โลกใบนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงหนอ เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะทำอาวุธที่ดีๆออกมา ทำแล้วต้องทดลอง คนด้อยกว่าจะต้องเป็นเป้าทดลอง มีสาเหตุและเหตุผลทางการทดลองเสียด้วย



ไม่ผิดกับหุ้นเลย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลากเล็กๆ ต้องตื่นตลอดเวลา ไม่งั้นถูกกิน จะกินเหยื่อได้ก็ต่อเมื่อปลาใหญ่เผลอ


ทุกอย่างถูกจัดฉาก ถ้าคนไม่เคยอยู่ในวังวน จะไม่เจ็บปวด คนที่เจ็บจะระวังมากขึ้น

คนที่ไม่เคยก็อยากได้เหยื่อ จึงถูกและได้เหยื่อสมใจในฉากแรก และได้เรื่อยๆ ยามลืมป้องกัน

ปลาใหญ่ก็จะได้ทั้งเหยื่อและอาหารที่ปล่อยไปกลับคืนมามากกว่าหลายเท่า


เหนื่อยแล้ววค่ะ วันนี้ดีใจที่ได้เจอ คุณชอบอ่าน เลยคุยเสียยาว

ดิฉันคิดถึงค่ะ หวังว่าคงไม่หัวเราะที่ดิฉันปล่อยความโง่ออกไปให้อ่านนะคะ

เพราะอยากคุยกับคุณค่ะ


จากคุณ : สุเกียง - [ 9 ต.ค. 46 10:23:28 ]


กลับเข้าเรื่องดีกว่า ผมตอบคำถามต่อไป และได้รับคำแนะนำอย่างไรมา ขอนั่งหวนระลึกสักนิดนะครับ เอาละ

- ใครมีความจริงใจมากที่สุด ในสายตาคุณ
ข้อนี้ผมตอบอย่างรวดเร็วโดยใช้คำแนะนำของเขามาผสมผสานว่า ไม่มีใครจริงใจต่อกันเท่าคนในบ้านเดียวกันหรอกครับ เขาทำหน้างงๆ ผมก็เลยงงๆกับคำตอบตัวเอง ว่าพูดอะไรผิด (สงสัยภาษาปะกิต ไม่แข็งแรงรึเปล่าก็ไม่รู้) เลยอธิบายเพิ่มเติมคล้ายๆกับที่เขาแนะนำในคำถามข้อแรก ดังนี้ครับ ความจริงใจของคนเราเป็นสิ่งที่ต้องสะสมและใช้เวลาพอสมควร ไม่มีใครจริงใจกับใครได้อย่างเต็มที่หากไม่รู้จักอุปนิสัยกันและกันมาก่อน ดังนั้น คนทั้ง 7 คนคงไม่จริงใจต่อกัน เท่าคนในบ้านของคนทั้ง 7 คนเอง เพราะเขาย่อมรู้ดีว่า หัวหน้าครอบครัวของเขากำลังคิดอะไรอยู่ และหัวหน้าครอบครัวจะทำอะไร ก็คงต้องเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเหล่านั้นอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ซึ่งหัวหน้าบางคนก็น่าจะบอกพวกเขาก่อนที่จะทำการสิ่งใดลงไปด้วย

พอเขาแนะนำกลับมาผมก็หงายเก๋งเลยครับ แต่ในใจก็ยังค้านๆอยู่พอสมควรเมื่อได้รับฟัง ลองมาดูกันนะครับ

เขาบอกว่า ผมถูกตรงที่ ความจริงใจเป็นสิ่งที่ต้องสะสมและใช้เวลา แต่ไม่ถูกที่ว่า ความจริงใจ ไม่ใช่สิ่งที่สะสมโดยดูจากคนภายนอก แต่ต้องฝึกฝนและสะสมจากภายใน เขาถามว่า คุณเคยคิดไม่จริงใจกับบิดามารดาของคุณไหม ในขณะที่คุณถูกลงโทษเพราะคุณทำผิด หากเป็นวิสัยปุถุชนที่ไม่ได้มีอะไรผิดปกติในใจ น่าจะได้คำตอบเดียวกัน อย่าลืมว่าสิ่งที่เรากำลังคุยกันคือภาพรวมที่สามารถควบคุมตัวแปรย่อยๆต่างๆ ถ้ารู้จักทฤษฏี Pareto จะเข้าใจในกรณีนี้ได้ง่ายๆ (พอดีผมเคยศึกษาทฤษฏีนี้ ก็เลยถึงบางอ้อ) คนเรามักมองสิ่งที่ไม่ดีของผู้อื่น และจดจำสิ่งไม่ดีของผู้อื่นไว้ มากกว่าที่จะจดจำสิ่งดีๆ บางคนทำสิ่งดีๆไว้มากมาย พอพลาดไปทำสิ่งไม่ดีให้คนได้รู้ได้เห็นสักครั้ง ก็อาจกลายเป็นผู้ร้ายไปตลอดในสายตาของคนทั่วไปได้ทันที

ที่ว่าความจริงใจต้องสะสมจากภายใน เขาอธิบายต่อว่า หากคนเราทุกคนคิดแต่เรื่องของผู้อื่น และคอยบอกว่าผู้อื่นเป็นสาเหตุแห่งการผิดพลาดของตนอยู่ร่ำไป คนผู้นั้นไม่อาจเริ่มสะสมความจริงใจจากภายในได้เลย ที่สำคัญคนเหล่านี้ยังมิอาจมีความจริงใจต่อตนเองด้วยซ้ำ คนเหล่านี้อาจชอบพูดว่า ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งๆที่มีเวลาทำสิ่งไร้สะระอื่นๆ ฯลฯ สิ่งที่ผมตอบเขาอีกส่วนหนึ่ง คือ คนในบ้าน น่าจะจริงใจต่อผู้นำของเขามากที่สุด เขาก็ถามผมว่า เคยเห็นการเลือกตั้งผู้นำในประเทศไหนที่ได้เสียงสนับสนุนถึง 100% บ้างไหม ถ้าบ้านนั้นไม่ได้มีการปกครองแบบเผด็จการ ไม่มีหรอกครับ เพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน (ถือเป็น Fact อย่างหนึ่ง) ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ปัญหาอยู่ที่ว่า ณ.เวลาใด เสียงของฝ่ายไหนจะมีมากกว่ากันเท่านั้น

การสะสมความจริงใจจากภายใน เริ่มต้นที่คนๆหนึ่ง หลังจากนั้นจะขยายวงสู่ผู้คนรอบข้าง คนที่ไม่มีความจริงใจต่อผู้อื่น เมื่อได้รับความจริงใจจากผู้หนึ่งผู้ใดก่อนอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเปลี่ยนทัศนคติจนกลายเป็นคนที่มีความจริงใจต่อผู้อื่นได้ในบางขณะ และในที่สุดก็อาจจะมีทัศนคติที่สามารถแสดงความจริงใจต่อผู้อื่นในทุกๆเรื่องได้ ลองคิดดูง่ายๆนะครับ ถ้าน้าคนสักคนที่ไม่มีความจริงใจ ไปอยู่ร่วมกับคนที่มีความจริงใจสักกลุ่มหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาช่วงหนึ่ง คนๆนั้นจะมีนิสัยเปลี่ยนไปอย่างไร ตัวอย่างเหล่านี้ เราๆท่านๆก็ได้เห็นกันอยู่พอสมควร เช่นในเรื่องของ มูลนิธีเพื่อเด็ก สตรี และคนชรา ฯลฯ

เขาบอกผมว่า ทุกคนที่กล่าวมามีความจริงใจเท่าๆกัน เพียงแต่อาจลืมใช้มันไปนานจนลืมและประหม่าที่จะใช้ ปัญหาเป็นเพราะมันมีปัจจัยตัวอื่นเช่น ความต้องการอยู่รอด ความโลภ ความยากจน ฯลฯ เข้ามาขวางกั้นไม่ให้ใช้ความจริงใจต่อกัน ลองคิดดูว่า ได้ดำเนินชีวิตมาถึงปูนนี้แล้ว ไม่เคยมีสักครั้งหรือที่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ หรือต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นคำตอบที่ว่าใครจริงใจที่สุด ก็คือ ทุกคนนั่นแหละครับ

ย้อนกลับมาในเรื่องการลงทุน ท่านทั้งหลายคงได้ยินได้เห็นกระทู้ต่างๆมากมายในสินธรสถานแห่งนี้ บางกระทู้สร้างสรรค์จากความจริงใจจากภายในของบางท่าน บางกระทู้อาจมีเป้าหมายที่ต่างไป เหตุที่กระทู้ต่างๆได้สร้างสรรค์ขึ้น ต่างต้องการผลจากกระทู้นั้นๆในทางใดทางหนึ่งทั้งสิ้น หลายครั้งที่ผมอ่านพบวิวาทะในบางกระทู้ บางครั้งผมเองยังรู้สึกอยากโต้ตอบกลับไปเพื่อชี้แจงบ้าง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับเขาแล้ว กลับกลายเป็นว่า ผมได้ประโยชน์จากวิวาทะกระทู้ต่างๆอยู่พอสมควร แก่นของคำถามคำตอบในข้อนี้ พอจะสรุปได้ว่า อย่าปล่อยให้ผู้อื่นครอบงำความคิดโดยปราศจากการไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยตนเอง และรับทุกสิ่งที่รู้มาประเมินดูด้วยตัวเอง ว่าต้องการอะไรแน่ และเมื่ออยากถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้ จงถ่ายทอดด้วยความจริงใจ และไม่ต้องคาดหวังกับสิ่งที่ถ่ายทอดไปว่ามันจะถูกหรือผิด และให้คิดว่าเราได้สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่นเท่าที่เราจะสามารถทำได้อย่างเต็มที่แล้ว

เมื่อนำแก่นของคำตอบในข้อนี้ไปรวมกับ Fact ในข้อแรก ถ้าเข้าใจอย่างชัดเจน เราจะไม่มีข้อขุ่นข้องหมองใจกับการตัดสินใจของเรา และไม่โยนความผิดให้กับผู้ตั้งกระทู้อื่นๆ และในที่สุด เราก็จะได้เริ่มสะสมความจริงใจจากภายในตัวเรา เพื่อส่งผ่านออกสู่ผู้คนรอบข้างได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ

ปล. หุ้นวันนี้ขึ้นไปแรงอีกวัน ในทัศนคติของผม คงต้องดูให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้อีกวัน หากต่างชาติยังคงซื้อต่อโดยมีตัวนำตลาดเป็นหุ้น Blue Chip ผมคงอดซื้อไปอีกระยะ รอดอกผลงอกเงยจากการซื้อเมื่อวันก่อน และคงต้องเปลี่ยนจุด Keep Profit ไปเรื่อยๆละครับ

ปล.2 ตอนกลางวันก็พิมพ์ไปอีกที แต่ดันลืมกดส่งข้อความ เลยต้องพิมพ์ใหม่ ถ้าคืนนี้ยังไหวจะมาต่อข้อ 3 ครับ

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 9 ต.ค. 46 18:34:32 A:210.1.6.101 X: ]


ขอบคุณ สำหรับแง่คิดดีๆ (รออ่านต่อนะคะ)

บางครั้ง ภาพลักษณ์ ที่สร้างขึ้น และทำไปนานๆ
ก็หลอกได้แม้กระทั่งตัวเองเหมือนกันนะคะ
(รวมทั้งคนในครอบครัวด้วย)

สมมุติฐาน ทางสังคมของ คน 7 คน นี้
คือ ทุกคน มีความปกติทางอารมณ์ ใช่ไหมคะ???
คงไม่ได้ครอบคลุม ถึง คนบ้า
หรือ คนที่มีเป้าหมายซ่อนเร้น ???

แต่ ....... เอ..
บางภาวะ คนดีๆ ก็บ้าได้ เหมือนกันนะคะ 5555

ขอไป ทบทวนตัวเองก่อนค่ะ ชักงง อิๆๆๆๆ



จากคุณ : Gather - [ 9 ต.ค. 46 22:12:42 ]


ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านครับ เมื่อคืนผมก็นั่งพิมพ์ แต่พอพิมพ์เสร็จ IE error เลยนั่งหัวร่ออยู่คนเดียว แล้วก็ต่อสู้กับใจตัวเองดู จะพิมพ์ใหม่เลยรึปล่าว คิดบวกคิดลบผสมบรรยากาศยามราตรีที่มีหิ่งห้อยลอยลมให้ชมความงาม เลยเพลินแล้วก็ขี้เกียจ สุดท้ายก็คิดว่า ไว้พิมพ์ต่อวันนี้ดีกว่า

คำถามที่คุณ Gather ถามมา ผมเองก็ถามเขาไปเหมือนกัน คุณ Gather คิดถูกครับ คน 7 คน ที่กล่าวถึง อยู่ในสภาวะที่มีจิดใจปกติ และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีครับ ผมยังถามเขาด้วยว่า แล้วทำไมนิสัยที่ได้แตกต่างกันมากละครับ เขาบอกว่า อุปนิสัยของคนเรา ก็เป็นสิ่งที่ถูกสะสมมาเหมือนกัน ตอนคนเราเกิดมา เกิอบทั้งหมดมีนิสัยเดียวกันคือ ขี้กลัว ต่อเมื่อได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคนที่รักทะนุถนอม หรือคนที่ไม่เอาใจใส่เป็นอย่างดี หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่แยแสดูดำดูดี อุปนิสัยส่วนตัวก็จะรับแม่แบบที่ได้รับ มาประยุกต์กับสิ่งต่างๆเช่น การศึกษา สภาพความเป็นอยู่ ฯลฯ แล้วจึงสร้างเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของแต่ละบุคคลไป คนทั้ง 7 ก็เหมือนกัน หากดูในบ้านของเขา จะพบว่าคนส่วนใหญ่จะมีนิสัยคล้ายคลึงกัน เนื่องเพราะถูกหล่อหลอมมาด้วยวัฒนธรรมเดียวกัน หากลองเอาลูกหลานในบ้านใครสักคนไปเลี้ยงดูที่บ้านอื่นเป็นเวลานานๆ แล้วส่งตัวกลับ เชื่อได้เลยว่า แรกๆคนๆนั้นจะรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าในถิ่นกำเนิดของตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ไปนานวัน ก็จะมีการพัฒนานิสัยของตนให้เข้ากับท้องถิ่นในที่สุด ไม่เช่นนั้นจะถูกครหากลายเป็น แกะดำ อย่างที่ได้ยินได้ฟังกัน

นอกเรื่องมาพอควร เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้ดูแลและผู้โหวตให้นำกระทู้มาใส่ไว้ให้สะดวกต่อการเรียกมาพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ช่วยได้มากจริงๆครับ ตั้งใจพิมพ์ใหม่ต่อเลยดีกว่า

- ใครอยากกำจัดใครบ้าง
ผมนั่งนิ่ง คิดอยู่นาน สักพักถึงได้ตอบไปดังนี้ครับ ตามปกติ หากคนเราจะกำจัดใครสักคน คงต้องมีแรงผลักดันสองประการใหญ่ๆคือ แรงผลักดันในด้านดี และแรงผลักดันในด้านร้าย ในด้านดี มีตัวอย่างเช่น หากรู้ว่าใครมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เป็นอันตรายต่อคนทั้งหมด ทุกคนก็คงร่วมมือกันกำจัดคนอันตรายเพื่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นกันต่อไป ส่วนตัวอย่างในด้านร้าย ก็คงหนีไม่พ้นแรงผลักดันจากความละโมบ โลภ หลง ซึ่งถ้ามองประเด็นในด้านดีคงไม่มีใครจะกำจัดใคร แต่หากมองในด้านร้าย น่าจะเป็นอมาเกกับตะวันออกกลางที่คิดกำจัดซึ่งกันและกัน อีกคู่ก็อาจจะเป็นใจหยิ่นกับญุ่นปี่ แต่ในระยะยาวอาจจะเป็นใจหยิ่นกัยอมาเก ยิ่งบอกความเป็นไปได้ของคู่โน้นกับคู่นี้ไปเรื่อยๆ ยิ่งพบว่ามีการฟัดกันนัวเนียไปหมด ที่สุดแล้วต่างคนต่างอยากกำจัดคนอื่นๆทั้งหมดนั่นแหละครับ

เขาบอกผมว่า จัดลำดับความคิดได้ดีพอควร แต่เป็นการคิดตื้นๆเกินไป ผมอึ้งไปพักใหญ่ๆ เขาก็คงสังเกตเห็นและนิ่งฟังเผื่อผมจะตอบโต้อะไรกลับไปบ้าง แต่เมื่อเห็นผมยังคงสงบนิ่งรอฟังต่อ เขาก็เฉลยต่อ ผมคิดถูกเรื่องการกำจัดใครสักคนย่อมต้องอาศัยแรงผลักดันจากสองด้านใหญ่ๆ แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ การกำจัด ไม่ได้หมายความว่าต้องรบราฆ่าฟันกันเสมอไป การกำจัดที่ถือเป็นสุดยอดแห่งการกำจัด คือการกำจัดศัตรูให้ได้มิตร หรือ การแปรเปลี่ยนมิตรให้เป็นศัตรูนั่นเอง ผู้ที่คิดแต่จะเอาชนะเหนือผู้อื่นอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยวิธีเผด็จการ อาจทำได้สำเร็จก็จริงอยู่ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป หลายๆคนในประวัติศาสตร์ที่ชอบใช้วิธีเหล่านั้น มักต้องพบกับหายนะในบั้นปลายชีวิตแทบทั้งสิ้น ลองดูฮิตเลอร์ มุสโสลินี เลนิน ฯลฯ เป็นตัวอย่างสิครับ แม้กระทั้งเล่าปัง ที่หลายๆคนรู้จักกันดี คนเหล่านี้นับได้ว่าประสพความสำเร็จสูงสูดในชีวิตทั้งสิ้น แต่สุดท้ายเป็นอย่างไร มีคนสาปแช่งมากมายเพียงใด คนในคณะบริหารระดับสูง จะรู้เสมอว่า ขั้นตอนแรกของการกำจัดศัตรู คือต้องทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตรให้ได้ เพิ่มมิตรรอบกายดีกว่าฆ่าศัตรูตายหนึ่งคนแล้วเพิ่มความแค้นให้ลูกหลานเพื่อนพ้องของศัตรูมากขึ้นทบเท่าทวีคูณ

พื้นฐานคนทั้ง 7 ไม่ได้แตกต่างกันในข้อนี้ ด้านหนึ่งของชีวิตของพวกเขาจึงปรากฏในสายตาคนทั่วไปว่า พยายามที่จะไกล่เกลี่ยข้อพิพาทซึ่งกันและกัน ซึ่งเชื่อได้เลยว่าเขาอยากให้เหตุการณ์จบลงด้วยดีอย่างที่เขาพูด (ทุกคนอยากเป็นเทพบุตร มากกว่าซาตาน เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) หากแต่ความโลภและปัจจัยต่างๆเช่น ศักดิ์ศรี เกียรติยศ ฯลฯ ที่มาปิดกั้น ทำให้พลังอำนาจในด้านมืด สามารถครอบงำความคิดพวกเขาบางคน และผลักดันให้เขาใช้วิธีการที่เลวร้ายในบางขณะ และเมื่อทำผิดพลาดไป ถึงแม้จะรู้ตนเอง และสำนึกในใจมากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่เพราะเกียรติยศและซื่อเสียง ต้องทำให้คนที่ทำผิด ต้องโต้ตอบยืนยันข้างๆคูๆว่าตนเองถูกอยู่ร่ำไป ตัวอย่างอันนี้ เห็นได้ชัดในกรณีของ อมาเกกับตะวันออกกลาง

เขาบอกผมตอบแบบสรุปในตอนท้ายได้ถูกอีกประการหนึ่ง คือ สุดท้ายทุกคนอยากกำจัดผู้อื่นให้หมดไป เนื่องเพราะธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ย่อมอยากให้ตนเองโดดเด่นเหนือผู้อื่นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่พืชผัก ลองสังเกตดูจะเห็นบ่อยๆว่า ต้นไม้ที่ปลูกภายหลัง มักจะพยายามยืดตนให้สูงทัดเทียมหรือเหนือต้นไม้ต้นข้างๆ จนลืมไปว่าเมื่อยึดขึ้นไปด้วยฐานรากอันไม่มั่นคงและรวดเร็วเกินไป มักจะทำให้ตนเองมีลำต้นลีบเล็กสูงยาวจนผิดปกติ และเมื่อใดที่เกิดพายุถาโถมเข้าใส่ ต้นไม้ที่ยืดตัวก็ต้องทอดลำต้นติดดินและแห้งตายไปในที่สุด

ข้อคิดที่ผมได้จากกรณีนี้สำหรับนำมาใช้ในการลงทุนก็คือ เมื่อเริ่มต้นลงทุนในหุ้นใด ต้องศึกษาธุรกรรมของบริษัทนั้นๆอย่างเต็มที่ นำ SWAT มาใช้และดูว่าบริษัทเหล่านั้นมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร เมื่อใดเป็นช่วงเวลาที่ธูรกรรมนั้นจะได้ประโยชน์สูงสุดจากภาวะแวดล้อม และที่สำคัญมีศัตรูหรือพันธมิตรใดบ้าง นโยบายของบริษัทเป็นแบบแข็งกร้าวหรืออ่อนโยน ใช้หลัก Synergize หรือ Distribute แล้ว Kill บริษัทเล็กๆในสายธุรกรรมเดียวกันให้ตายไป ความได้เปรียบเสียเปรียบในการดำเนินงานเป็นอย่างไรบ้าง

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเมื่อท่านยังไม่ลงทุนในหุ้นใด หุ้นนั้นเปรียบเสมือนคนที่ท่านอยากคบหาเป็นมิตรอยากรู้จัก ต่อเมื่อท่านได้หุ้นนั้นมาแล้ว หุ้นนั้นจะเป็นศัตรูหรือมิตรของท่านก็ขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ของท่านทั้งหลายเอง หากปล่อยทิ้งปล่อยขว้างไม่ดูแลเอาใจใส่อยู่เป็นระยะ มิตรที่ท่านคบหาอาจกลายเป็นศัตรูที่ทำให้ท่านย่อยยับได้เช่นกัน


แถมอีกนิดครับ: ร้ายขายทอง ร้านขายเพชร ทำไมต้องไปรวมกันอยู่เป็นกลุ่มทั้งๆที่เป็นคู่แข่งทางการค้าต่อกัน จริงๆแล้วนับเป็นการ Synergize โดยทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว กระทู้ต่างๆที่โพลต์กันมา ถ้านำมาจับเรียบและคัดแยก บางทีเราจะได้เห็นอะไรๆที่หลายคนอาจไม่เห็นก็ได้ กลลวงของศัตรูอาจเป็นประโยชน์ต่อเรา กระทู้ที่หลายๆคนมองข้าม อาจมีประโยชน์ที่คาดไม่ถึงแฝงเร้นอยู่ 5555

ปล. ตั้งใจว่าจะพิมพ์ให้กระทัดรัดได้ใจความ แต่ไปมากลายเป็นเรื่องยาวอีกแล้ว ต้องขออภัยท่านที่ต้องทนอ่านด้วยครับ ข้อต่อไปเป็นข้อสำคัญที่มีหลายๆท่านถกเถียงกันพอสมควร ในเรื่องการอ่อนค่าแข็งค่าของเงินตรา กับทุนสำรองต่างประเทศของประเทศต่างๆที่ใช้ Dollar เป็นหลัก หากอนาคตค่านิยมเปลี่ยนไป จะมีผลอย่างไร ไว้คืนนี้จะมาเล่าต่อครับ


จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 10 ต.ค. 46 11:47:28 A:210.1.6.101 X: ]


ก่อนอื่น ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ไม่ได้พิพม์ต่อในคืนวันศุกร์ พอดีพยายามพิมพ์ไปสักพักก็เกิด IE Error อีก เลยตัดสินใจให้หลานจัดการลง OS ใหม่ เวลาจึงล่วงเลยมาถึงวันนี้ และต้องขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่ได้อ่านและติดตามมาถึงตอนนี้ด้วยครับ เข้าเรื่องต่อเลยนะครับ

- ถ้าทุกคนมีเงินของอมาเกอยู่ มากบ้างน้อยบ้าง แล้วอยู่ๆวันหนึ่ง ก็มีคนมาบอกว่านับแต่นี้เงินของอมาเกจะไม่มีค่าแล้ว ทุกคนจะ OK หรือไม่ และจะทำอย่างไร

คำถามนี้ เป็นคำถามที่ผมอยากตอบมากตั้งแต่ตอนแรก แต่ก็โดนเบรคไว้ เขาบอกว่าการจะเข้าใจพฤติกรรมของใครสักคนเป็นเรื่องยาก และเมื่อคิดว่าเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจถูกต้องเสมอไป เขาบอกผมว่า ทำนายถูก 100 ครั้ง ไม่ได้หมายความว่าครั้งที่ 101 จะต้องถูก (คล้ายๆกับของไทยเราอย่างหนึ่งคือ เหตุอุบัติใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน) ทายถูกจาก 1 ถึง 100 ชื่อเสียงก็จะค่อยๆโด่งดัง แต่ถ้าครั้งที่ 101 ทายผิด นอกจากชื่อเสียงอาจจะสูญสิ้น อาจนำพาผู้ที่เดินตามมากมายสู่ความหายนะได้ในฉับพลัน (ดังนั้น ขอให้คนที่ชอบเชื่อข้อมูลอินไชต์ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนสนับสนุน นะครับ นอกเรื่องอีกแล้ว ขอนำท่านกลับสู่หัวข้อเรื่องดีกว่า)

นอกจากนี้ คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมซักถามและเสนอความเห็นส่วนตัวแลกเปลี่ยนกับเขามากที่สุด เนื่องจากเป็นคำถามที่ดูง่ายๆ แต่มีคำตอบที่ค่อนข้างซับซ้อน บางครั้งดูเหมือนวนไปวนมา สนทนากันนานที่สุด วกวนมากที่สุด แต่สุดท้ายก็เข้าใจมากที่สุด ปัญหาอยู่ที่ว่า คำถามนี้ยากแก่การเรียบเรียงเป็นอักขระให้อ่านได้อย่างเข้าใจโดยง่าย แต่ผมจะพยายามนะครับ หากไม่เข้าใจจุดใด ขอให้ถามนะครับ ผมจะพยายามตอบอย่างเต็มที่ และอาจจะยาวจนกระทั่งขอแบ่งเป็นสองตอนนะครับ

สมมติให้คน 7 คน มีเงินคนละ 100 บาทในตอนเริ่มต้น ต่างคนต่างผลิตและขายสินค้าคนละชิ้นตามความถนัด และเพื่อให้เข้าใจง่าย กำหนดใช้ชื่อสินค้าและราคามีมูลค่าตามตัวเลข 1 ถึง 7 คือ สินค้าชื่อ 1 ถูกที่สุด และสินค้าชื่อ 7 แพงที่สุด โดยสินค้าเบอร์ 1 ถึง 4 เป็นสินค้าที่ตอบสนองปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวตของมนุษย์ ส่วนสินค้าเบอร์ 5 ถึง 7 เป็นสินค้าตามยุคสมัย ในอดีต ด้วยศักยภาพของแต่ละคนที่ไม่ได้ติดต่อทำมาค้าขายกัน ทุกคนและคนในบ้านของตนเองต่างหาเลี้ยงปากท้องตนและพวกพ้องของตน ไม่ต้องพึงพาบุคคลภายนอกใดๆทั้งสิ้น และไม่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้า 5 ถึง 7 แต่ต่อมาเมื่อคนทั้ง 7 มารู้จักกัน เอาของในบ้านของตนมาแสดงให้กันและกันได้ดู ก็พบเห็นสิ่งแปลกๆใหม่ๆ จนทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน และเกิดความจำเป็นต้องใช้สินค้า 5 - 7 มากขึ้น อันได้แก่ สินค้าเพื่อการขนส่ง สินค้าเพื่อการติดต่อสื่อสารและการคำณวน สินค้าส่งเสริ่มสุขภาพ สินค้าเพื่อความบันเทิง และสินค้าเพื่อการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ฯลฯ

ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อทุกคนเริ่มคิดแลกเปลี่ยนค้าขาย ก็เริ่มคิดเอาเปรียบกัน การเอาเปรียบนี้คือการที่อยากเอาของถูกๆ ไปแลกของแพงๆ (เหมือนกันทุกยุคทุกสมัย) ถ้าคิดอย่างเท่าเทียมกัน ค่าของเวลาในชีวิตของแต่ละคนควรจะมีค่าเท่ากัน แต่กลับมีบางคนบอกว่า ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าผู้อื่น เลยกำหนดว่าของที่ตนเองทำมีค่าสูงกว่าผู้อื่นถึงแม้จะใช้เวลาทำเท่ากันซึ่งบางอย่างอาจออกแรงน้อยกว่ามากมายด้วยซ้ำ ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่มีความสลับซับซ้อนอันเกิดเนื่องมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องจักรกลต่างๆ และพฤติกรรมมวลชนอันอยากได้ของๆผู้อื่นหรืออยากเป็นใหญ่เพื่อปกครองผู้อื่น คงไม่ขอลงลึกในรายละเอียดนะครับ

กลับมาในโลกปัจจุบันนะครับ ทุกคนมีภาระหน้าที่อย่างหนึ่งคือจะทำอย่างไรให้เงิน 100 บาทของตนเองงอกเงยมากขึ้น หากใครสักคนขายสินค้าเบอร์ 1 ให้กับคนอื่นๆแล้วไปซื้อสินค้าเบอร์ 7 มาใช้ เป็นการแน่นอนว่า เขาจะต้องขายสินค้าเบอร์ 1 ออกไป 7 ครั้งเพื่อซื้อสินค้าเบอร์ 7 ได้เพียงครั้งเดียว เงินของเขาจึงคงที่อยู่ที่ 100 บาทได้ แต่เนื่องจากสินค้าเบอร์ 7 เป็นสินค้าราคาแพงและไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตของคนส่วนใหญ่ จึงต้องใช้เล่ห์เพทุบายให้ขายได้ เช่น ก่อสงครามเพื่อขายอาวุธ กำหนดมาตราฐานแปลกๆเพื่อให้สินค้าเบอร์ 1-4 ขายได้ในบ้านเขาแต่ต้องซื้อเครื่องมือตรวจสอบราคาแพงเหมือนสินค้าเบอร์ 7 กำหนดลิขสิทธิ์ข้ามโลก (ข้าคิดได้ก่อน ถึงแม้เองจะคิดได้เองแต่คิดที่หลังข้า ต้องเสียเงินให้ข้า 5555) ฯลฯ

กลไกสำคัญที่สร้างปัญหาอีกประการหนึ่ง คือ แรงผลักดันจากการบริโภค เป็นผลให้ค่าเงินของแต่ละคนมีอัตราแตกต่างกันไป บ้านที่มีการบริโภคภายในน้อย อยู่อย่างประหยัด กลับถูกมองในสายตาทุกคนว่าเศรษฐกิจไม่ดี (ไม่มีความอู้ฟู่) ไม่มีเงินไปซื้อของๆคนอื่น และขายของให้คนอื่นเขาได้เงินน้อย จะมีค่าเงินต่ำกว่าคนที่เขาขายของได้ราคาดี และมีเงินไปซื้อของคนอื่นได้มากๆ ทำให้แต่ละคนเร่งสะสมเงินของคนขายสินค้าเบอร์ 7 (ซึ่งปัจจุบันก็คือเงินของอมาเก)ไว้เป็นจำนวนมาก ปํญหาอีกอย่างเรื่องความแตกต่างในราคาสินค้า ทำให้ทุกคนอยากผลิตสินค้าแบบเดียวกันออกมาขาย ทำให้เกิดการแข่งขันการผลิตอย่างมากมาย ผลก็คือ คนในบ้านอมาเก รู้สึกว่า สามารถซื้อสินค้าราคาถูกๆมาใช้ได้ จึงเร่งซื้อเร่งหากันมาประดับบ้าน ด้วยความฟุ่มเฟือย อมาเกก็ไม่ว่าอะไร แถมชอบที่จะให้คนของตนทำเช่นนั้นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย (เพราะในใจคิดบางอย่างอยู่)

ปัญหาอีกประการหนึ่ง ในขณะที่การการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้ากันอยู่นั้น คนที่เคยผลิตสินค้าเบอร์ 7 ก็หาทางพยายามทำให้สินค้าเบอร์ 1-4 ด้อยค่าลงเรื่อยๆ ผลก็คือ คนขายสินค้าเบอร์ 1-4 ก็พยายามดิ้นรนและเรียนรู้ (เสียค่าโง่) ให้กับผู้ขายสินค้าเบอร์ 5-7 เพื่อหวังว่าตนจะสามารถผลิตสินค้าเบอร์ 5-7 ไปขายได้บ้าง (ถ้าทั้งโลกผลิตสินค้าที่เป็นปัจจัยสีได้น้อยลง ราคาควรจะแพงขึ้น แต่กลับถูกกดราคาให้ต่ำลง ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาอีก) และเนื่องจาก อมาเกผู้ผลิตอาวุธ มักหาโอกาสแสดงศักยภาพสินค้าของตน(ในบ้านคนอื่น) ให้ทุกคนหวาดผวา อยู่มาวันหนึ่ง ก็บอกทุกคนว่า เนื่องจากตนและคนในบ้านของตนมีสิทธิพิเศษเนื่องจากชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงสามารถเพิ่มเงินของตัวเองได้เรื่อยๆ ผลก็คือ คนในบ้านของตนยิ่งเลือกชื้อสินค้าที้ง 1-6 มาใช้กันอย่างไม่ยั้งคิด (เพราะของคนอื่นถูกกว่า) ทำให้สมดุลย์ทางการเงินเปลี่ยนไป กลายเป็นว่า ทุกคนมีเงินของอมาเก โดยเฉพาะใจหยิ่น กับ ญุ่นปี ในปัจจุบันมีเงินส่วนเกินของอมาเกอยู่มากมาย สุดท้ายทุกคนมีเงินมากกว่า 100 บาทอยู่ทั้งสิ้น

ปัญหาในอนาคตที่ทุกคนกำลังหวาดผวา และเริ่มเห็นเค้าลางปรากฏขึ้นบ้างแล้วคือ ทุกคนเห็นว่า อมาเกกำลังใช้จ่ายเกินตัว หนี้สินมากมาย ในขณะที่ใจหยิ่นกำลังขายสินค้าของตนได้อย่างมากมาย เพราะราคาถูก อมาเกก็กำลังหาทุกวิถีทางที่จะทำให้ใจหยิ่นเปลี่ยนค่าเงินของตนให้แข็งขึ้นเพื่อให้สินค้าของตนขายได้บ้าง (คงลืมไปว่าไม่ใช่เฉพาะใจหยิ่นที่ขายสินค้าให้คนอื่นๆได้ถูกกว่าอมาเก ยกเว้นเรื่องอาวุธ เพราะไม่มีปัญญาไปทดสอบประสิทธิภาพในบ้านคนอื่นให้ทุกคนได้เห็นเหมือนอย่างที่อมาเกทำ) แต่เงินส่วนเกินที่อยู่ในมือของตนก็เป็นปัญหาที่ต้องทำให้ขบคิดว่า หากปล่อยสภาวะการณ์ให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เมื่อเงินของอมาเกด้อยค่าลงเรื่อยๆ เงินส่วนเกินของอมาเกที่อยู่ในมือของตนก็จะด้อยค่าตามไปด้วย และจะทำให้ฐานะทางการเงินของตนอ่อนแรงตามไปด้วย ปัญหางูกินหางเช่นนี้ จึงทำให้เกิดการเจรจาตกลงกันว่าจะหาทางออกที่ดีที่สุดได้อย่างไร

ลางหายนะ 4 ประการที่ผมได้กล่าวถึงในตอนต้น มีข้อหนึ่งที่เกี่ยวพันกับค่าเงินของ อมาเก คิดเล่นๆนะครับ หากทุกคนมีเงินอยู่ 120 บาท แต่ใน 120 บาทเป็นเงินส่วนเกินของอมาเกสัก 40 บาท ถ้าค่าเงินของอมาเกกลายเป็นศูนย์ (ตัวเลขสมมติเพื่อให้คิดง่ายๆ) ทุกคนจะเหลือเงิน 80 บาท เงิน 20 บาทที่เกิดจากการพิมพ์แบงค์เองจากทุกคนหายไปไหน คำตอบของปัญหานี้ ให้คิดถึงคนที่รวยที่สุดในโลก 5 อันดับแรกครับ (เงินของเขาไม่ได้อยู่ในบ้านของอมาเกแห่งเดียวนะครับ) ปํญหานี้ผมคุยกับเขาเป็นชั่วโมง จนมึน ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีด้วยครับ แต่จะพยายาม ไม่รู้จะหนักเกินไปหรือเปล่าถ้าจะเอามาพิมพ์ในที่นี้ ต้องคิดตามอย่างมากจริงๆ

คงเท่านี้ก่อนครับในตอนนี้ ผมจะลองหาแนวทางที่จะอธิบายในตอนต่อไปให้ง่ายที่สุด ตอนนี้ขอเรียบเรียงความคิดก่อนครับ ขอบคุณครับ

*** ปล. เขาบอกผมว่าทางออกของปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางด้านผลตอบแทน ยากที่จะมีใครแก้ไขได้แต่เพียงลำพัง ***"แต่ยิ่งยากมากกว่าที่จะให้คนที่ได้เปรียบยอมเท่าเทียมกับผู้อื่น" *** หากมีการจ่ายผลตอบแทนเป็นอัตราที่ได้จาก (ผลการใช้กำลังกายเป็นแคลลอรี่ x เวลาที่ใช้ไป) + ค่าชดเชยการเสื่อมสังขารเนื่องจากการทำงานนั้น โดยไม่คำนึงถึงยศตำแหน่ง ก็สามารถจ่ายค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันได้ ส่วนเรื่องนวัตกรรมทางความคิด มีการจ่ายค่าตอบแทนเป็นอัตราส่วนของประโยชน์ที่ได้รับจากนวัตกรรมนั้นในขอบเขตจำกัด จะทำให้เกิดความยุติธรรมอย่างสัมบูรณ์ ไม่ใช่คิดได้ครั้งหนึ่ง ต้นทุน 100 บาท แล้วจะเอากำไรให้ได้จากความคิดนั้น 10000 เท่า 100000 เท่าตามลักษณะกฏหมายลิขสิทธิ์ของสินค้าบางอย่างในปัจจุบัน (เรื่องใน ปล. จะทำได้ในยุคหุ่นยนต์นะครับ เรื่องความเสี่ยงจึงไม่ต้องคำนึงถึง)

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 13 ต.ค. 46 11:32:26 A:210.1.6.101 X: ]


Create Date : 02 สิงหาคม 2548
Last Update : 2 สิงหาคม 2548 12:58:31 น. 2 comments
Counter : 433 Pageviews.

 
สวัสดีครับ ขอต่อตอนที่สองของคำถามเรื่องเงินของอมาเกนะครับ ผมได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เงินของอมาเกหายไปไหน ทำไมค่าเงินของทุกๆคนที่สมมติให้มีคนละ 100 บาทจึงเหลือเพียง 80 บาท ลองค่อยๆพิจารณาตัวอย่างที่จะกล่าวให้ฟังดังนี้ครับ ลางหายนะอีกประการหนึ่งคือ การทดสอบอาวุธมหาปลัย โดยคนอื่นๆที่ไม่ใช่อมาเก ในบ้านของคนอื่นๆ เพื่องโชว์ศักยภาพของตนเองบ้าง หากเกิดขึ้นเมื่อใด สมดุลย์การสงครามของโลกจะเปลี่ยนไป และจะเกิดภาวะเสียงต่อการเกิดมหาสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

หากวันแรก เงินของทุกๆคน มีค่าเท่าเทียมกัน อยู่มาเงิน 100 บาทของอมาเกมีค่าเป็นสองเท่าของคนอื่นทั้งหมด ทำให้คนต้องการเงินของอมาเกมาเก็บไว้ ก็ต้องเอาเงินของตัวเองไปแลก หากนำไปแลก 20 บาท ก็จะได้เงินของอมาเกมาเพียง 10 บาท แล้วก็เก็บไว้อย่างนั้นเรื่อยมา เท่ากับว่าคนที่นำไปแลกจะเหลือเงิน 90 บาท เป็นเงินตัวเอง 80 บาทและเงินอมาเก 10 บาท (ตรงนี้บางท่านอาจจะแย้งว่าเงินตัวเองถ้าแปลงเป็นเงินอมาเกยิ่งถูกลงไปอีก ยิ่งเหลือน้อยยิ่งขึ้น อย่าซีเรียสนะครับ เป็นตัวเลขสมมติ และตอนท้ายจะเฉลยว่าทำไมคิดอย่างนี้นะครับ) แล้วถ้าทุกคนได้เงินที่อมาเกพิมพ์ออกมาเองเพื่อใช้จ่ายแลกกับทรัพยากรและแรงงานของคนอื่นๆสัก 30 บาท คนอื่นก็จะมีเงิน 120 บาท ก็หมายความว่าคนอื่นๆมีเงินของอมาเกอยู่ 40 บาท ถ้าเงินของอมาเกเป็นศูนย์ เงินของคนอื่นๆจึงหายไปและเหลือเพียง 80 บาท และอมาเกไม่เหลือสักบาท จะอยู่อย่างไร

อีกส่วนหนึ่งที่ทิ้งท้ายไว้ให้คิดถึงคนที่รวยที่สุดในโลก 5 คน เพราะโดยปกติทุกคนรู้ว่า หากค่าเงินของตนด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ ก็มีสิทธิพบหายนะแน่นอน ทุกคนจึงคิดถึงสูตรสำเร็จของการจัดการทางการเงินคือ การกระจายความเสี่ยง ที่ให้คิดถึงคนทั้ง 5 ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่คนรวยๆ มักจะนำเงินของตนเองไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในรูปแบบของเงินตนเองเท่านั้น หากแต่ว่า เมื่อนำเงินของตนเองไปลงทุนในประเทศใด ก็จะใช้เงินของประเทศนั้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย คนทั้ง 7 คนก็เช่นกัน ทุกคนได้นำเงินของตนเองไปลงทุนในบ้านของคนอื่นๆอีก 6 คนทั้งสิ้น ผลก็คือ ถึงเงินของตนจะไม่มีค่า แต่ก็ยังมีเงินของตนในบ้านคนอื่นๆอยู่ และเมื่อเงินของคนอื่นแข็งค่าขึ้น ตนเองก็ได้มีเงินที่มีค่ามากขึ้นตามไปด้วย (คล้ายๆกับกรณีที่ต่างชาติขายหุ้นออกมามากๆในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่เอาเงินออกไป)

นอกจากนี้ เรื่องลิขสิทธ์ ที่ถูกร่างขึ้นโดยยึดต้นแบบของอมาเก กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปในอนาคต หากใครเคยอ่านข้อความที่เขียนไว้ในส่วน License Agreement ของมอฟโคไซด์ หรือที่หลายๆคนเรียกว่า Stupid License จะพบสิ่งแปลกๆในทำนองที่ว่า ไม่ว่างานชิ้นใดที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยเครื่องมือที่ผลิตโดย มอฟโคไซด์ จะถือว่างานนั้นๆเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ มอฟโคไซด์ ทั้งสิ้น และ License ทำนองนี้ก็ไม่ได้มีอยู่เฉพาะที่เป็นของ มอฟโคไซด์ เท่านั้นนะครับ ปัญหาก็คือ อาจเกิดการเรียกร้องค่าใช้จ่ายโดยอ้างจาก License Agreement ได้โดยคนอื่นๆต้องยินยอมอย่างไม่เต็มใจ เนื่องจาก สินค้าสำคัญในการประหัตประหารกัน ยังไม่มีของผู้ใดมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะสินค้าของอมาเกได้ ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนา OS ใหม่ๆ ซึ่งใจหยิ่นก็ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้เป็นอย่างมาก และพยายามผลักดันให้ใช้ OS และ Software อื่นๆเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาพิพาทเรื่องสิทธิ์ของ มอฟโคไซด์ ซึ่งเป็นของอมาเกโดยตรง

ในสมัยก่อน ผมเคยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ Apple II ที่มีหน่วยความจำเพียง 16 Kb และใช้เครื่องบันทึกเทปเป็นแหล่งเก็บข้อมูล ก็รู้สึกว่ามีแหล่งเก็บข้อมูลมหาศาลแล้ว แต่สมัยนี้ เราพูดกันถึง Tb (Tera Byte = 1024 Giga Byte) และกำลังจะก้าวเข้าสู่ Pb (Peta Byte) สมัยหนึ่งไม่นานนี้ เราพูดถึงแผ่น CD ที่บรรจุ Encycopedia เป็นเล่ม ต่อมาเราพูดถึง DVD ที่บรรจุ Encycopedia ได้หลายๆเล่ม บรรจุโน๊ตเพลงได้นับหมื่นเพลง (Midi) ซึ่งต่อไปกำลังจะพูดถึง Blue Ray Disc ที่เก็บเพลงได้เป็นแสนเป็นล้านเพลง มีท่วงทำนองมากมาย เมื่อก่อนเราคิดว่างานประพันธ์เพลง ทำนองดนตรีต่างๆ ต้องใช้พลังสร้างสรรค์จากมนุษย์เท่านั้น ปัจจุบันเราเห็นคอมพิวเตอร์เล่นทำนองเพลงได้เอง อย่างคาราโอเกะ ที่มีจำนวนนับหมื่นเพลง ลองคิดเล่นๆนะครับ โน๊ตเพลงมีกี่ออคเตฟ มีระยะพิทซ์ที่ยังพอเป็นเพลงได้กี่ช่วง หากนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาโปรแกรมให้ออกแบบทำนองเพลงที่เป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีมากถึงล้านล้านเพลงแล้วเก็บใน Disc สักอย่างสัก 1 แผ่น โดยไม่ต้องใช้คนสร้างสรรค์ แล้วบอกกับคนทั่วโลกว่า นอกจากเพลงที่เคยแต่งกันไว้แล้วในอดีต เพลงทุกเพลงในโลกต่อจากนี้ไป ใครสร้างสรรค์ขึ้นมา ขอให้ตรวจสอบด้วยว่าตรงกับที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ไว้แล้วหรือไม่ ถ้าตรงถือว่าละเมิดลิขสิทธ์ จะมีใครนั่งคิดทำนองเพลงที่แตกต่างจากเพลงล้านล้านเพลงนั้นไหมครับ แล้วใครมีโอกาสทำแบบนั้นได้ในอนาคตอันใกล้มากที่สุดละครับ หากเงินของตนเองไม่มีค่า แต่คอยเก็บเงินจากทุกคนที่มีค่า โดยอ้างลิขสิทธิ์ต่างๆ ผลจะเป็นอย่างไรครับ ยิ่งถ้ามีการรวมหัวกันโดยคนที่ครอบครองอาวุธมหาปลัย แล้วละก็ ใครจะกล้าหือครับ

ที่กล่าวมาทั้งหมด คงไม่อาจกล่าวถึงทุกอย่างที่ผมคุยกับเขาไว้ได้ทั้งหมด และตัวเลขสมมติต่างๆที่ผมบอกไว้ว่าอย่าซีเรียส เพราะ นัยสำคัญของความในตอนนี้ คือการสรุปว่า กลไกการเงินของโลกในปัจจุบัน ปั่นป่วนก็จริงอยู่ แต่ด้วยปัจจัยอย่างอื่น และความต้องการของทุกคนให้สามารถอยู่รอดได้ต่อไป ประกอบกับความซับซ้อนของกลไกการกระจายความเสี่ยงต่างๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตาม จะกลับเข้าสู่สมดุลย์ที่มีดุลยภาพด้วยตัวมันเอง หากเราพะวงกับเหตุด้านหนึ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่จะมีอีกหลายๆเหตุที่เราไม่รู้ กำลังทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงให้เกิดสมดุลย์อยู่ร่ำไป คนทั้ง 7 ที่ได้รับผลกระทบกันอยู่จากการเปลี่ยนแปลง ย่อมไม่อยากให้เกิดภาวะเลวร้ายที่จะส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาลูกโซ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะพร้อมกันดำเนินการบางสิ่งบางอย่างให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆจนสามารถผ่านพ้นไปด้วยดีในที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่เรื่องการเงิน หากแต่เป็นเรื่องสงครามที่อาจมีชนวนเหตุจากเรื่องการเงิน

ปล. ใช่ว่าอมาเกในยุค T-Shirt ซึ่งเป็นยุคตกต่ำสุดขีดของอมาเกไม่ได้เคยอุบัติขึ้น หากแต่ตอนนั้นโลกไม่ได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์อย่างสมบูรณ์ และตอนนั้นเราก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับอมาเกมากนัก และสามารถดำรงอยู่กันมาได้ถึงปัจจุบัน แล้วเหตุใดต้องกลัวเหตุในอนาคตมากกว่าปัจจุบันเล่า หากไม่มี่นใจ แหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆ จะเป็นเกราะคุ้มภัยให้ฝ่าฟันภัยพิบัติต่างๆได้อย่างดี

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 14 ต.ค. 46 00:21:00 A:202.133.160.171 X: ]


อ่านสนุกมาก,ขอแจมด้วยครับ
ผมเห็นด้วยว่าการเงินของโลกกำลังจะกลับเข้าสู่จุดสมดุลย์(ค่าเงินอยู่ในระดับที่แต่ละประเทศเกินดุล/ขาดดุลไม่มากนัก)
ที่ผ่านมาผู้ที่ทำให้การเงินของโลกเอียงน่าจะเป็นยุ่นปี่เพราะค้าขายได้ดุลเดือนละหมื่นกว่าล้านดอลล่าร์ก็ไม่ยอมนำเงินกลับประเทศ...คงเป็นความยินยอมพร้อมใจของคนยุ่นปี่ส่วนใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง....เมื่อคนอื่นห้ามยุ่นปี่สะสมอาวุธ,ยุ่นปี่ก็สะสมเงินดอลล่าร์เสียเลย
แต่ตอนนี้ทุนนิยมได้ครอบงำโลก(หลังจีนและรัสเซียยอมรับทุนนิยมมากขึ้น)การพูดจาภาษาทุนนิยมได้แพร่หลายไปในวงกว้างโดยรัฐบาลประเทศต่างๆเป็นตัวแทนของทุนในประเทศ
ดังนั้น
-ประเทศที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดดีที่สุดจริงใจที่สุด
-ทุกประเทศต้องการกำจัดประเทศอื่นถ้าพบว่าขัดขวางผลประโยชน์ของตน(แต่คงต้องดีดลูกคิดก่อนว่าจะกำจัดอย่างไรดี...อาจใช้วิธีผูกมิตรก็ได้)
-แต่การทิ้งค่าเงินดอลล่าร์ให้อ่อนลงอย่างรวดเร็วย่อมไม่เป็นผลดีกับใคร
-ต้นเหตุของการเงินบิดเบี้ยวน่าจะเป็นยุ่นปี่ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่สองว่าจะขายให้มากซื้อให้น้อย...ต้องใช้วิธีเจรจาแกมขู่เงียบๆโดยอมาริเก
-ดุลอำนาจโลกจะเปลี่ยนไป,อมาริเกจะใหญ่ขึ้นยิ่งมีกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรยิ่งได้เปรียบ(economy of knowhow)...เราควรคบไว้แบบมิตร(ไม่ใช่ลูกน้อง)
-คนที่กำลังจะอดตายคือผู้ปฏิเสธทุนนิยมและผู้ด้อยโอกาสในทุนนิยม....โลกทุนนิยมมีคน4กลุ่มใหญ่คือรัฐ,เจ้าของกิจการ,ผู้ได้โอกาสในทุนนิยม(ceo,white collar,blue collar)และผู้ด้อยโอกาส(ผู้ว่างงานและผู้มีงานบ้างไม่มีบ้างเช่นเกษตรกร)
-คนหรือประเทศที่ปฏิเสธทุนนิยมหรือกลายเป็นผู้ด้อยโอกาสในโลกทุนนิยมมีแนวโน้มที่จะก่อความวุ่นวายและก่อการร้ายมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
-แต่การกำจัดใครไม่ใช่การแก้ปัญหา,การเรียกร้องอย่างสันติให้ทั่วโลกดำเนินนโยบายsocial capitalismจะทำให้โลกนี้สงบสุขมากขึ้น
social capitalismในความหมายของผมคือทุนนิยม(เจ้าของกิจการหรือประเทศ)ก็แข่งกันไปแต่ต้องเอื้ออาทรต่อคนกลุ่มอื่นหรือประเทศอื่นเช่นลิขสิทธิ์มอฟโคไซแทนที่จะคุ้มครอง50ปีก็ลดเหลือ20ปี,สิทธิบัตรยาต่างๆแทนที่จะคุ้มครอง20ปีก็ลดเหลือ10ปี,แข่งกันลดต้นทุนแบบไหนก็ได้แต่อย่าลดค่าจ้างบุคคลากร(ควรกำหนดเป็นสัดส่วนต่อยอดขาย)และอย่าทำลายสิ่งแวดล้อมฯลฯ
มาช่วยคุณชอบอ่านคิดแค่นี้ก่อนครับ

จากคุณ : think_pos - [ 14 ต.ค. 46 08:45:33 ]


ขอบคุณ คุณ think_pos ที่ช่วยคิดครับ

ขอบคุณท่านทั้งหลายที่เป็นกำลังใจให้เล่าต่อครับ เริ่มปัญหาข้อต่อไปเลยนะครับ

- ทุกคนกำลังประหยัด รัดเข็มขัดอย่างเต็มที่ หรือทุกคนกำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่

ผมตอบคำถามข้อนี้ด้วยความรวดเร็วว่า มีทั้งคนที่กำลังประหยัดอย่างเต็มที่ และมีทั้งคนที่กำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่ในเวลาเดียวกัน เฉกเช่นคนกลุ่มหนึ่งในคฤหาสถ์หลังใหญ่กำลังสรวลเสเฮฮาในงานปาร์ตี้ ขณะที่ภายนอกกำแพงสถานที่จัดงานอาจเต็มไปด้วยวนิพกที่รอเศษอาหารประทังชีวิตหลังงานเลี้ยง แต่หากมองที่คน 7 คนตามโจทย์ที่ให้มา ผมตอบว่า ผู้ที่กำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่คือผู้ที่มีทรัพยากรที่สำคัญและกำลังนำทรัพยากรนั้นมาใช้อันได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน ป่าไม้ ฯลฯ ส่วนผู้ที่กำลังประหยัดอย่างเต็มที่น่าจะเป็นผู้ที่ไม่มีทรัพยากร และต้องนำเงินไปซื้อทรัพยากรจากคนอื่นๆ คงไม่ใช่ทุกคนกำลังประหยัดหรือฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น หรือไม่ก็โจทย์ผิด เขายิ้มและนิ่งสักพักเพื่อดูว่าผมจะกล่าวอะไรต่อไปหรือไม่ เมื่อเห็นท่าทีรอเฉลย จึงตอบกลับผมดังนี้ครับ

ถ้าถามว่าสิ่งใดที่คนเรามีความจำเป็นต้องใช้มากที่สุด ทุกคนคงต้องการปัจจัยสี่ ใช่หรือไม่ (อันนี้ผมไม่ปฏิเสธเลย)
แต่ถ้าถามว่าสิ่งใดที่คนเราต้องการมากที่สุด จะมีคำตอบต่างๆกันไป ตามอุปนิสัยของแต่ละคน บางคนอาจบอกว่า เงิน บางคนอาจบอกว่า อำนาจ บางคนอาจบอกว่า ความสงบร่มเย็น บางคนอาจบอกว่า การทำให้ผู้อื่นมีความสุข ฯลฯ หากพิจารณาให้ดี ขอถามต่อว่า คนไหนใน 7 คนนี้มีความเดือดร้อนเรื่องปัจจัยสี่มากที่สุด มาดูกันทีละข้อ

เครื่องนุ่งห่ม: เคยเห็นคนไหนไม่ใส่เสื้อผ้าเนื่องจากไม่มีจะใส่ไหมครับ เห็นมีแต่พยายามจะใส่ให้น้อยลงเสียด้วยซ้ำ หากแต่ในอนาคต รูปแบบของเครื่องนุ่งห่มอาจเปลี่ยนไป อันเนื่องมาจากความจำเป็นในการใช้เครื่องนุ่งห่มปกป้องสิ่งอันตรายต่างๆเช่น แสงอุลตร้าไวโอเลท เป็นต้น

ที่อยู่อาศัย: ข้อนี้คงตอบได้ง่าย มีใครไม่มีบ้านอยู่ แม้แต่เอลซารอิดตอนนี้ ก็นับได้ว่ามีบ้านอยู่ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่กำลังแย่งชิงจากคู่พิพาทซี่งเป็นสมาชีกในบ้านของตะวันออกกลางอยู่

อาหาร: สิ่งนี้อาจเป็นปัญหาในบ้านของคนบางคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคน 7 คนนี้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ขาดแคลนอย่างแท้จริง การผลิตอาหารในปัจจุบันและอนาคตอาศัยเทคโนโลยีที่สามารถรองรับคนทุกคนได้อยู่แล้ว หากแต่ภัยพิบัติต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในบ้านของบางคน อาจทำให้อาหารขาดแคลนชั่วคราว และจะได้เห็นน้ำใจไมตรีจากผู้ให้ ทำการส่งมอบอาหารให้แก่ผู้ประสพเภทภัย เป็นปกติ ดังที่เคยเห็นกัน

ยารักษาโรค: อาจมีบางโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบัน แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันไม่ให้ติดโรคที่รักษาไม่หายบางโรคได้ สิ่งนี้ไม่ใช่ทรัพยากรจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น วิทยาการความรู้ต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้ในการค้นคว้าหายารักษาโรคใหม่ๆ เพื่อกำจัดโรคร้ายให้แก่สรรพชีวิตที่เกิดมาในโลกใบนี้ ถ้าผมกล่าวถึงผู้ที่มีทรัพยากร จะเป็นผู้ที่ฟุ่มเฟือย ต้องรวมเอาทรัพยากรความรู้ เป็นสิ่งสำคัญด้วย เพราะสิ่งนี้ จะผูกติดกับปัญหาลิขสิทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมตอบไม่ถูก ผู้ที่กำลังฟุ่มเฟือย ไม่ใช้ผู้ที่มีทรัพยากรจำนวนมากเสมอไป

หากพิจารณาเฉพาะปัจจัยสี่ จะเห็นว่า ด้วยกลไกธรรมชาติและสังคมในปัจจุบัน ทุกคนมีอยู่พร้อมสรรพอยู่แล้ว หากเกิดการขาดแคลนขึ้น ณ.ที่ใด ก็จะมีการหมุนเวียนนำส่งเพื่อบรรเทาการขาดแคลนได้อยู่แล้ว แต่หลายๆคนไม่ได้ต้องการเฉพาะปัจจัยสี่ จนในปัจจุบัน เราท่านหลายคนคงได้ยินคำว่า ปัจจัยที่ห้า ปัจจัยที่หก กันบ้างพอสมควร หากแต่ปัจจัยที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านั้น ไม่ใช่ปัจจัยในการดำรงชีวิตให้อยู่รอด หากแต่เป็นปัจจัยเสริมเพื่อการอยู่ในสังคมใดๆเท่านั้นเอง เมื่อเขาพูดถึงตอนนี้ ผมก็ตอบเขาใหม่ว่า ถ้าอย่างนั้น คนทุกคนก็กำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่ ถูกไหมครับ เขายิ้มและผงกหัวรับครับ แล้วพูดต่อ

ในสมัยก่อน คนมากมายมักนิยมสะสมพลังชีวิต เพื่อดำรงชีวิตให้เป็นสุข อันได้แก่การออกกำลังกาย การอยู่อาศัยในที่ที่มีสภาวะแวดล้อมที่สะอาดบริสุทธิ ฯลฯ แต่สมัยนี้คนมากมายนิยมสะสมวัตถุเพื่อแสดงถึงอำนาจวาสนาบารมีและความมั่งคั่งร่ำรวย พากันดิ้นรนเข้าสู่ดินแดนที่เรียกว่าแดนศิวิไลซ์ทั้งๆที่เต็มไปด้วยมลพิษที่บั่นทอนชีวิตให้สั้นลง ถึงแม้ว่าวิทยาการทางการแพทย์จะเจริญมากขึ้นและทำให้ชีวิตมนุษย์เฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น แตเป็นการยืนยาวเพื่อรับความทรมานจากการบั่นทอนพลังชีวิต ที่ดิ้นรนกันนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาหลายสิ่งที่เพิ่มเติมจากปัจจัยสี่ วัตถุแห่งธรรมที่เป็นเครื่องชี้นำทางไปพบกับความสงบสุขนับวันยิ่งเสื่อมถอย แต่วัตถุที่แสดงแสนยานุภาพแห่งความฟุ้งเฟ้อกำลังรุ่งโรจน์และถูกแย่งยิงไขว่คว้ามาเป็นเจ้าของ มีใครในปัจจุบันที่สามารถพูดได้อย่างเต็มที่ว่า เขาไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีกแล้ว สัดส่วนของคนเหล่านี้คงมีไม่มากนักในโลกปัจจุบัน และกำลังลดน้อยลงไปเรื่อยๆในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใครทำสิ่งดีๆ มักจะถูกมองเป็นของแปลก ซึ่งอาจพากันยกย่องสรรเสริญจนเกินพอดี หรืออาจเยาะเย้ยถากถางว่าเซ่อ ไม่ทันเลห์เหลี่ยมคนอื่น

หลังจากจบบทสนทนาในปัญหาข้อนี้แล้ว ผมก็นำมาหาข้อคิดที่น่าจะนำมาใช้ในการลงทุน และสรุปได้ว่า ในปัจจุบัน มีหลายๆคนกำลังเข้าสู่ตลาดทุน ด้วยความคิดที่ว่า นี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะพาไปพบกับความร่ำรวย โดยอาจลืมไปว่าคมอีกด้านของแนวทางนี้ก็สามารถพาท่านเหล่านั้นไปพบกับความหายนะได้เช่นเดียวกัน ความโลภมักทำให้วินัยในการลงทุนแปรเปลี่ยนจากเจตนาเดิมที่ตั้งใจไว้ ความเสียดายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ความโลภนำมาใช้ เพื่อผลักดันให้คนเกิดความโลภมากขึ้น สำหรับผมคิดเสมอว่า การลงทุน ถือเสมือนช่องทางหารายได้เพิ่มเติมช่องทางหนึ่งเท่านั้น ได้มากได้น้อยไม่สำคัญ ซึ่งทำให้ไม่เคยคิดเสียดายกับคำว่า ขายหมู ขอเพียงให้ได้โดยไม่เครียด ก็สามารถเติมความสุขในชีวิตได้บ้างไม่มากก็น้อยแล้วละครับ

ปล.หากสถานการณ์ตลาดยังมีแนวโน้มเป็น Side Way Down แบบนี้ไปเรื่อยๆจนจบ APEC ผมคงได้เห็น 540-550 อีกครั้ง (แต่ในใจจริงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นนะครับ) ผมจะซื้อหุ้นเพิ่มเติมในวันที่ 17 และ 20 ครับ แต่เลือกซื้อนะครับ ไม่ใช่ซื้อโดยไม่เลือก หรือเอาแต่เชื่อคนอื่น ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 15 ต.ค. 46 00:24:46 A:202.133.160.252 X: ]


วันนี้หลายๆท่านคงสุขใจที่ได้กำไรจากหุ้นที่ได้ลงทุนไป หลายๆท่านสุขใจจากสีเขียวๆในพอร์ทเพิ่มมากขึ้น แต่ก็คงมีบางท่านอาจผิดหวัง ขอเป็นกำลังใจให้ยืนหยัดต่อไปนะครับ มาดูปัญหาต่อไปดีกว่าครับ

- ถ้าให้คุณเข้าไปตีสนิทกับแต่ละคน คุณจะเลือกตีสนิทกับใครบ้าง

ผมตอบเขาไปว่า หากนำทุกสิ่งที่ได้สนทนากันมาพินิจพิจารณา ผมกำลังคิดว่ากำลังถูกชักจูงจิตใจให้เข้าสู่ทางธรรมมากกว่าทางโลกเสียกระมัง ปัญหาแต่ละข้อที่ผ่านๆมา เมื่อรับทราบคำตอบ ดูเหมือนว่า เป็นคำตอบที่เอาเรื่องทางธรรมมาเฉลยทั้งสิ้น และด้วยเหตุที่ผมก็พอมีความรู้เรื่องทางธรรมอยู่บ้าง คำตอบข้อนี้ผมจะขอตอบในทางธรรมมากกว่าทางโลกก็แล้วกัน แต่ไหนๆก็ยังวนเวียนในอยู่ในทางโลก ก็จะขอตอบในแนวทางโลกปัจจุบันด้วยอีกประการหนึ่ง

หากมองดูผิวเผิน อมาเกมีพลังอำนาจมากที่สุดในเวลานี้ น่าจะคบเป็นมิตรมากที่สุด แต่ดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าเล่ห์มากที่สุดด้วย และหากเราคบค้าเป็นมิตรอย่างเปิดเผย ทุกคนที่เหลืออาจไม่ชอบขี้หน้าเราและหาว่าเราถือหาง(จิ้งจอก)อมาเก จนไม่อย่างคบกับเราอย่างจริงใจก็ได้ ตะวันออกกลางก็มีทรัพยากรน้ำมันซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับเรา แต่หากเราซี้กับอมาเก ตะวันออกกลางคงไม่ชอบใจมากนัก เอลซารอิด เราไม่ค่อยได้ติดต่อด้วยมากนัก ดูน่าจะอยู่ไกลตัวมากที่สุด แต่ก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุด หากเราเป็นมิตรด้วย อาจได้ความรู้จากเขาพอสมควร ใจหยิ่น มีเชื้อสายใกล้เคียงเรามากที่สุด แล้วก็มีคนในบ้านเขามาปะปนอยู่ในบ้านเราจนแทบเป็นทองแผ่นเดียวกันมาตั้งแต่ในอดีต น่าจะเป็นมิตรอยู่แล้วด้วยซ้ำ ญุ่นปี่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับเรามานานเหมือนกันหากแต่เป็นประวัติด่างพร้อยมากกว่า แต่ถึงอย่างไรสัมพันธภาพระหว่างเรากับเขาก็ไม่นับว่าเลวร้าย และปัจจุบันก็ถือได้ว่าเขาเป็นพี่รองในเอเชียเหมือนกัน และคนในบ้านเขาก็ยังนิยมมาเยี่ยมบ้านเราอยู่บ่อยๆและดูเหมือนว่าจะมีมากที่สุดด้วย (พอฟัดพอเหวี่ยงกับใจหยิ่นเหมือนกัน) ทำให้เรามีรายได้จากการท่องเที่ยวของเขามากพอประมาณ อิดกังกับเราดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีเรื่องราวติดต่อพูดคุยกันมานานพอสมควรแล้ว แปลกดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเรารู้สึกเจ็บลึกๆมาตั้งแต่ในอดีตตอนเราต้องเสียดินแดนบางส่วน หรือว่าเขารู้สึกไม่ไว้ใจเรา เหมือนเรื่อง ขบวนการไทยถีบ รีเปล่าคงตอบได้ยาก แต่หากเราจะคบอิดกังอย่างแนบแน่น เราอาจเสีย เอียดิน ผู้มีอดีตในเจ็บปวดจากน้ำมือของอิดกังมาตั้งแต่สมัยอิดกังเข้าไปปกครองบ้านเอียดิน อีกอย่างเอียดิน ก็มีคนในบ้านมากเป็นอันดับสองรองจากใจหยิ่น ถ้าให้เลือกน่าจะเลือกคบเอียดินมากกว่าอิดกัง อีกประการ ดูเหมือนประวัติศาตร์ของเอียดินกับใจหยิ่นก็มีความสัมพันธ์กันดีมาตั้งแต่ใจหยิ่นเรียกเอียดินว่า ชมพูทวีป แม้ว่าหลังๆจะไม่ค่อยเสวนากันนัก ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราในฐานะคนกลางผู้ประสานทั้งสองฝ่าย สรุปแล้วหากดูในทางโลก เราควรจะคบกับทุกคน เพราะเรามีสมาชิกในบ้านน้อยเมื่อเทียบกับพวกเขา และเราน่าจะได้ประโยชน์จากพวกเขาทั้งสิ้น แต่จะทำอย่างไรให้พวกเขาคบเราอย่างจริงใจนี่สิเป็นปัญหาใหญ่กว่า

หากมองในทางธรรม การจะคบใครสักคนเป็นมิตรคงดูว่า ใครที่น่าจะเป็นกัลยาณมิตรกับเรามากที่สุด หากเราได้กัลยาณมิตรที่มีความแข็งแกร่ง มีความจริงใจ มีความรู้ความสามารถ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเรามากที่สุด และดูๆแล้ว ผู้ที่มีนิสัยใจคอ มีพื้นฐานการดำรงชีวิต มีวัฒนธรรม และอีกหลายสิ่งที่ใกล้เคียงกับเรามากที่สุด น่าจะเป็นใจหยิ่นนั่นเอง ดังนั้นเราน่าคบกับใจหยิ่นเป็นมิตรแท้มากที่สุด (แรกๆก็ว่าจะตอบในทางธรรมมาก ไหงสรุปได้รวดเร็วนักก็แปลกใจตนเองอยู่เหมือนกันครับ)

ลองมาดูสิ่งที่เขาตอบกลับมาบ้าง ด้งนี้ครับ เขาบอกว่า เรื่องทางโลกกับทางธรรมแยกกันไม่ออกหรอกครับ เพียงแต่คนมักยึดติดกับเรื่องทางโลกจนนึกว่าไม่มีเวลาสนใจทางธรรมและห่างเหินจากทางธรรมกันมากพอสมควร อันที่จริงแล้วการดำเนินชีวิตของคนทุกคนล้วนกำลังสัมผัสอยู่ในเรื่องของธรรมทั้งสิ้น ธรรมคืออะไร โลกคืออะไร มีใครตอบได้ชัดเจนเพียงใด คนในบ้านคุณ (บ้านเรา) มีการกล่าวถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระธรรมคืออะไร เคยถามบางคน(ที่ไม่ใช่ผม) ก็บอกว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธ (รู้ดีซะด้วยสิครับ) เมื่อเรียกคำสอนของพระพุทธเป็นพระธรรม แล้วเรียกคำสอนของพระอรหันต์เป็นพระธรรมด้วยไหม แล้วคำสอนที่บุพการีสอนลูกละเป็นพระธรรมไหม คนไทยเราก็ถือบุพการีเป็นพระเหมือนกันมิใช่หรือ เจอเข้าไม้นี้ ผมตะลึงเลยครับ ไม่นึกว่าเขาจะรู้เรื่องราวประเพณีวัฒนธรรมของเราได้ลึกซึ่งเพียงนี้ คงเห็นผมประหลาดใจเขาเลยบอกผมว่า เขาเคยมาอยู่ในเมืองไทยประมาณ 4 ปี เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ยังนิยมชมชอบนิสัยคนไทยอยู่มิลืมเลือน อันที่จริงคนไทยกับคนของเขาก็มีไมตรีที่ดีต่อกันมาช้านาน หากแต่โดนอมาเก อิดกัง คอยเติมเชื้อแห่งความไม่ไว้ใจและล่อหลอกด้วยผลประโยชน์ รวมทั้งเรื่องของตั๋นไหว้ มาทำให้ความสัมพันธ์ไม่แน่นแฟ้นอย่างที่ควรจะเป็น

ที่เขาบอกว่าโลกกับธรรมแยกกันไม่ออก ผมก็ยอมรับครับ เมื่อคิดถึงคำว่า สัจธรรม ซึ่งคือธรรมอันเป็นจริงแท้แน่นอน ก็ทำให้นึกถึง Fact ความแน่นอนอย่างหนึ่งที่สรรพชีวิตต้องพบก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหลีกหนีพ้น ผมเคยติดค้างคุณ Mollusk ไว้อย่างหนึ่งคือ Fact ในการลงทุน ตอนนั้นผมก็นึกถึง Fact ในการลงทุน Fact อย่างหนึ่งที่ผมคิดถึงก็คือ ความเปลี่ยนแปลง นั่นเอง เจ้าความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็เหมือนกับ ใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ ขณะที่เรานั้งอยู่เฉยๆ ทุกเศษเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นไปเซลในร่างกายของเราก็กำลังเปลี่ยนแปลงและนำมาซึ่งความเสื่อมทางกายภาพ Fact เรื่องความเปลี่ยนแปลง ในการลงทุน เป็นเหตุให้เกิดกำไร ขาดทุน เวียนว่ายตายเกิดสลับกันไปไม่มีที่สิ้นสุด นอกเรื่องไปเยอะขอวกกลับเข้าเรื่องเดิมดีกว่าครับ

เขาบอกผมว่า การที่คุณจะคบกับใคร คุณจะคิดอะไรเป็นหลัก คำตอบที่ผมให้ไป ดูเหมือนจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากคนที่ผมอยากคบเป็นมิตร คิดเท่านั้นจริงๆหรือครับ เมื่อเจอคำถามนี้ผมก็รู้สึกหน้าชาพอสมควรครับ ไม่นึกว่าจะโดนด่าอย่างสุภาพที่สุดในโลกจริงๆ ผมจึงกล่าวอ้างกลบเกลื่อนไปว่า ไม่ใช่ครับ จริงๆแล้วผมก็คิดด้วยว่าผมจะทำอะไรให้กับมิตรของผมด้วยเหมือนกัน หากแต่คำตอบที่ให้ไปเป็นคำตอบที่น่าจะตอบโดยคนส่วนใหญ่มากกว่าครับ เขาจึงยิ้มอย่างปราณีแล้วสั่งสอนผมต่อ

เขาว่าผมตอบได้ดีในเรื่อง คิดจะทำอะไรให้มิตรบ้าง ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูก (โล่งเลยครับ) การที่เราจะแสวงหากัลยาณมิตรสักคนหรือหลายๆคน เราควรต้องถามใจเราแต่แรกด้วยว่าเราพร้อมจะเป็นกัลยาณมิตรของเขาด้วยหรือไม่ กัลยาณมิตรไม่ใช่มิตรที่คอยตามใจเรา และคอยเอาอกเอาใจเราอยู่ตลอดเวลาแต่เพียงอย่างเดียว กัลยาณมิตรของเราต้องเป็นผู้ทีสามารถยอมทนโดนเราด่าว่า เมื่อพยายามตักเตือนเราไม่ให้เดินทางผิด แต่เราก็ดื้อเดินทางผิด และพร้อมที่จะปลอบโยนเราและชี้แนวทางแก้ปัญหาให้เรา(ถ้ามี) เมื่อเราพลาด เช่นเดียวกัน ความหวังดีและปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ที่คิดว่าตนเองสามารถเป็นกัลยาณมิตรของคนอื่นๆ

ปัญหาข้อนี้ มีคำตอบจากคำถามที่ว่า ณ.ปัจจุบัน คุณเป็นกัลยาณมิตรของคนไหน และแน่ใจหรือว่าจริงใจกับเขา หากไม่เป็นเช่นนั้น คุณก็ไม่ได้กำลังหามิตร แต่คุณกำลังหาลูกค้า และอย่าแปลกใจเลย ถ้าลูกค้าของคุณก็กำลังหาลูกค้าอยู่เช่นกัน ตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงสินธรสถานแห่งนี้ และทำให้ผมนึกไปว่า มีสักกี่คนในสินธรสถานแห่งนี้ ให้ข้อมูลหรือตักเตือนผู้อื่นในฐานะแห่งกัลยาณมิตรบ้าง (ในใจผมคิดว่ามีนะครับ)

การสนทนาในหัวข้อปัญหานี้จบแบบขาดๆอะไรไปสักอย่าง แต่ก็ทำให้ผมคิดอะไรอะไรได้หลายๆอย่าง แปลกดีนะครับ ในเรื่องของการลงทุน และเรื่องของข้อมูลต่างๆที่ปรากฏในสินธรสถานแห่งนี้ ผมมานั่งคิดๆดู หากข้อมูลที่นำมาลงให้ทราบกันเป็นข้อมูลที่ถูกกลั่นกรองแล้ว และมีความน่าเชื่อถือได้สูง น่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อทุกๆคนได้ไม่มากก็น้อย หากทุกคนได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มากแบ่งปันกัน น่าจะเป็นการ Synergize ที่ทำให้เราคนไทยสามารถต่อกรกับต่างชาติที่หวังเข้ามากอบโกยประโยชน์จากประเทศเราได้ ปัญหาอยู่ตรงที่ เราจะฝึกตนให้สามารถเป็นกัลยาณมิตรของคนอื่นๆได้หรือไม่ เอาแค่รายย่อยบางคนไม่ซื้อขายใน NVDR ให้รายย่อยหรือคนอื่นๆไขว้เขวว่าเป็นการซื้อของต่างชาติ (เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง) เท่านั้นก็สามารถทำให้เรารับรู้ข้อมูลการซื้อขายของต่างชาติได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

ปล. การลวงผู้อื่นโดยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ อาจเป็นประโยชน์ต่อตนเองได้ก็จริง แต่เมื่อบางคนในสังคมแห่งนี้ซึมซับเอาวิธีการล่อลวงเพื่อสมประโยชน์แห่งตนไว้มากขึ้นเรื่อยไป อันตรายจากการล่อลวงย่อมย้อนกลับส่งผลร้ายต่อผู้เพาะหน่อเนื้อแห่งความหลอกลวงนั้น ไม่มากก็น้อย นะครับ

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 16 ต.ค. 46 00:19:04 A:202.133.176.19 X: ]


เหลืออีกเพียง 3 คำถาม เท่านั้นนะครับ หลังจากจบ 3 คำถามคงจะสรุปอีกครั้ง พร้อมๆกับเฉลยคำตอบที่ค้างๆไว้ตั้งแต่ตอนแรกๆด้วย ขอบคุณท่านทั้งหลายที่อดทนติดตามอ่านกันอยู่ครับ

- ถ้ามีใครสักคนกำลังจะอดตาย(รวมทั้งคนในบ้านคนนั้นด้วย) คนๆนั้นจะเป็นใคร และจะมีผลกระทบกับคนอื่นแค่ไหน

เมื่อผมได้รับคำถามนี้ ผมก็ยิงคำถามกลับ(ได้โอกาสแล้วนี่) โดยถามว่า หากมีแต่คนฟุ่มเฟือย และทุกๆคนไม่ได้ขาดแคลนปัจจัยสี่ ทำไมถึงต้องมีคนกำลังจะอดตาย ไม่น่าเป็นไปได้มิใช่หรือครับ เขาก็ตอบผมว่า ผมตอบคำถามด้วยสัญชาติญานแห่งการต่อสู้ เป็นธรรมดาของคนทุกคน เมื่อรู้สึกว่าเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ มักจะพยายามมองหาช่องทางเพื่อรุกกลับ และหลายๆคนที่พยายามรุกกลับ มักเปิดช่องโหว่หรือจุดอ่อนเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว คำตอบตรงนี้ทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์สักครู่จนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรต่อไปในช่วงหนึ่ง ช่วงที่ผมอยู่ในภวังค์ ผมนึกถึงสภาพจิตใจในอดีต ในครั้งที่ลงทุนแบบสเปะสปะ อาศัยข้อมูลข่าวสารจากผู้อื่นเป็นหลัก เมื่อพลาด กลับยิ่งพยายามเฉลี่ยอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหมือนตอกย้ำความพลาดของตนเองลงไปเรื่อยๆ คล้ายๆกับกรณีนี้ เพราะจิดใจตอนนั้นผมก็ตกอยู่ในสภาวการณ์ตั้งรับ และพยายามซื้อเฉลี่ยเพราะหวัง Rebound เพื่อจะได้กลับเป็นฝ่ายรุกนั่นเอง และเมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ายังไงๆก็แย่มากกว่านั้นแน่ มันก็ทำให้ผม Cut Loss ทิ้ง และสังเวยสัญชาติญานการต่อสู้ด้วยทุนรอนที่หายไปอย่างมาก ผมคิดอยู่สักครู่ ก็ได้ยินเสียงเขาเรียก และถามว่าผมกำลังไปเที่ยวที่ไหนหรือ จึงรู้สึกตัวด้วยความรู้สึกแปลกๆพร้อมกับขอโทษขอโพยเขาพอสมควรที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาชั่วขณะ เมื่อตั้งหลักได้ใหม่ เขาก็พูดต่อดังนี้ครับ

เขาบอกผมแย้งไปก็ถูก แต่ผมเปิดช่องโหว่ตรงที่ ผมคงลืมไปว่า บทสรุปทางความคิดของผู้ผลิต ทุกๆคนก็มีความต้องการที่จะผลิตสินค้าเบอร์ 5-7 มากกว่าที่จะผลิตสินค้าเบอร์ 1-4 และทุกคนก็กำลังลืมไปว่า สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตสมควรมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่มาเติมในเรื่องอื่นๆ ปัญหาก็คือ ถึงแม้จะมีการผลิตอาหารเป็นจำนวนมากๆโดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่สิ่งหนึ่งกลับแปรผกผันกับกำลังการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง นั่นคือ พื้นที่การผลิต คงเคยได้ยินคำว่า ผลผลิตต่อไร่ นะครับ เมื่อแนวโน้มของผลผลิตต่อไร่มีจำนวนมากขึ้น จะยิ่งชักจูงให้คนเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นพื้นที่การผลิตก็ถูกลดจำนวนลง เพื่อไปผลิตสินค้าที่ไม่ใช่ปัจจัยสี่ เพราะหวังส่วนต่างกำไรที่สูงกว่า โลกกำลังแบ่งเขตอุตสาหกรรมกันอย่างชัดเจนมากขึ้น ในที่สุดจะมีหลายๆประเทศที่หวังใช้อุตสาหกรรมการผลิตสินค้า 5-7 เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และคาดหวังว่าจะสามารถซื้อหาปัจจัยสี่โดยเฉพาะอาหาร จากประเทศที่ถูกขนาดนามว่า ด้อยพัฒนา และกำลังพัฒนา

ปัญหาอยู่ที่ว่า ทั้ง 7 คนที่กล่าวมา ใครมีพื้นที่การเกษตรมากที่สุด ย่อมเป็น ใจหยิ่น อย่างแน่นอน แต่แนวโน้มการทิ้งงานภาคเกษตรเพื่อเข้าสู่งานภาคอุตสาหกรรมก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ น่าแปลกที่ใจหยิ่นเองมีคนในบ้านจำนวนมากที่ยังอยู่อยากอดอยากยากไร้ แต่ไม่ได้มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตอาหารอย่างจริงจังเหมือนการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จากข่าวต่างๆที่ปรากฏสู่สายตาของชาวโลก ตอนที่ถือว่าประเทศคุณ (ไทยเรา) เป็นผู้โชคดี เนื่องจากได้ค้าขายกับใจหยิ่น เพราะผู้บริโภคของใจหยิ่นมีจำนวนมากกว่าคุณหลายเท่านัก เมื่อมองคนที่เหลืออีก 6 คน ตะวันออกกลาง ก็แห้งแล้ง มีแต่น้ำมันเป็นส่วนใหญ่ เอียดิน ถึงมีกำลังผลิตดี แต่เนื่องจากการแบ่งชั้นวรรณะและวัฒนธรรม ยังทำให้เกิดความยากไร้อยู่ทั่วหัวระแหง ไม่พร้อมที่จะเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก และถึงแม้ผลิตออกมาก็คงมีคนถูกปากถูกคอจำนวนไม่มากนัก อมาเกกับอิดกัง มีเทคโนโลยีดีก็จริง แต่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ อันมีผลต่อการผลิตอาหารในอนาคต และยอมรับกันโดยทั่วไปว่า Junk Food ไม่เป็นที่นิยมต่อไปในอนาคตแน่นอน เอลซาอิด ผู้ใช้เทคโนโลยีในการผลิต ซึ่งผลิตได้แม้ในพื้นที่ทะเลทราย ญุ่นปี่ มีให้ความสำคัญกับภาคการเกษตร แต่พื้นที่การเพาะปลูกก็เหลือน้อยเต็มที

ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดมหันตภัยทางธรรมชาติ ที่เป็นเหตุให้การผลิตอาหารเกิดความเสียหาย ก็จะพบว่า เกิดการขาดแคลนในส่วนต่างๆของโลกอยู่พอสมควร หากแต่มีการแบ่งปันช่วยเหลือกันดังที่สนทนากันมาในปัญหาข้ออื่นๆ ซึ่งปัญหานี้ก็ถูกแก้ไขด้วยการผลิตอาหารโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเหมือนอย่างที่เกริ่นไว้ ถ้าเกิดการผิดพลาดใดๆขึ้นกับเทคโนโลยีการผลิต หรือตรวจสอบพบว่าการผลิตด้วยกรรมวิธีบางประการทำให้ได้อาหารที่มีผลร้ายต่อสุขภาพผู้บริโภค จะเกิดอะไรขึ้น หรือแม้กระทั้งการสงครามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากเปลี่ยนจุดหมายไปที่อาหาร โดยใช้อาวุธชีวภาพ คนไหนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ในปัจจุบันนี้ มีตัวเลขสำคัญๆทางเศรษฐกิจที่กล่าวถึงกันหลายตัว เช่น ปริมาณเงินคงคลังสำรอง ปริมาณน้ำมันสำรอง แต่เคยเห็นมีใครพูดถึง ปริมาณอาหารสำรองบ้างหรือไม่ แปลกดีไหมครับ และถ้าโลกเผชิญกับสภาวะสงคราม มีใครตอบได้บ้างว่า โลกจะอยู่ได้กี่วัน กี่เดือน กี่ปี โดยมีอาหารสำรองรองรับไว้ (แม้แต่ มาม่า ก็มีวันหมดอายุ หากการผลิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก ตอนนี้มาม่า เลี่ยงคนได้กี่วัน) ลองพิจารณาดู โสคะปิง เป็นตัวอย่างสักแห่ง ถึงแม้ว่าจะยิ่งใหญ่ทางการเงินสักเท่าใดก็ตาม ก็ยังต้องพึ่งน้ำจืดจาก เมียลาเซ อยู่จนจวบปัจจุบัน หาก เมียลาเซ งดส่งน้ำให้ โสคะปิง จะเกิดอะไรขึ้น

เขาบอกว่า ปัญหาข้อนี้ หลายๆคนมองว่ายังอยู่อีกไกลนัก แต่เขากลับมองว่า สภาพการณ์ตอนนี้ สถานการณ์แบบน้ำผิ้งหยดเดียว สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้แต่ในการประชุม APEC ที่กำลังจะถึง (วันนี้ก็เริ่มแล้ว) หากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น ก็อาจเป็นชนวนเหตุที่สามารถลุกลามใหญ่โตได้โดยไม่คาดคิดนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ขอชื่นชมนโยบายเรื่อง การผลักดันประเทศเป็นครัวของโลกของประเทศเรา เพราะนอกจากจะเป็นแนวทางที่ทุกคนต้องหันมาใช้บริการบ้างไม่มากก็น้อย ยังเป็นแนวทางการสำรองอาหารไว้ได้มากพอสมควรในยามต้องใช้ หากแต่การเลือกฝ่ายที่ถูกต้องในสงคราม อาจทำไม่ได้ง่ายนัก (ทิ้งท้ายไว้ซะเสียวเลยครับ)

บทสรุปของการสนทนาในประเด็นนี้ ผมเองก็คิดว่า มองไกลเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ด้วยนโยบายของไทยเรา เท่าที่เห็นในตอนนี้ ไม่ว่าเรื่อง ครัวของโลก OTOP หรือทักษิโนมิคที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับ ผมว่า หลายๆคน กำลังเฝ้าสังเกตการณ์ไทยเราอยู่อย่างแน่นอน หากผ่านพ้น APEC ไปได้ด้วยความสำเร็จอันดี หากนักลงทุนจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น ตลาดทุนไทยเราคงเป็นที่พึ่งของพวกเขาได้มากพอสมควรนะครับ


จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 17 ต.ค. 46 19:40:08 A:202.133.161.22 X: ]


ในอนาคตเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุด และจะเป็นแหล่งอาหารของโลก
น้ำมันนั้นกินไม่ได้ แต่ข้าวกินได้ ที่จริงแล้วข้าวสำคัญกว่าน้ำมัน ประเทศไทยมีผ้าใหมสามารถผลิตเสื้อผ้าใช้เองได้ผู้คนต้องใส่เสื้อผ้า น้ำและอาหารไทยเรามีอยู่อย่างเหลือเฟือ ถ้าหากคนไทยสามัคคีกันไทยเราแท้จริงนั้นก็คือมหาเศรษฐีโลก ที่จริงแล้วไทยเรามีครบทุกอย่าง ทั้งน้ำมันและทองคำรวมตลอดทั้งแร่ธาติอันพิเศษทุกชนิด แร่ยูเรเนี่ยมก็มีอยู่ที่เกาะภูเก็ต ประเทศไทยทั้งประเทศตั้งอยู่บนบ่อน้ำมันขาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ลึกลงไปไม่ต่ำกว่า 1 กิโลเมตรนะน้ำมันทั้งนั้นใช้ไปเป็น100ปียังบกไปจิ๊ดเดียวเองที่ว่าน้ำมันจะหมดไปจากโลกนั้นมันไม่จริงหาเรื่องขึ้นค่าน้ำมันกันมากกว่า แต่ผมว่าการใช้น้ำมันจนเกิดภาวะเรือนกระจกน่ากลัวกว่า ที่จริงไทยเราน่าจะหาทางใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า มาใช้ขับเคลื่อนรถยนต์และเครื่องจักรกลต่างๆ แบบเดียวกับชาวแอตแลนติสในอดีตใช้กันแทนการใช้น้ำมันน่าจะดีกว่า และยิ่งถ้าหากมีการค้นคว้าและพัฒนาซุปเปอร์คอนดักเตอร์ด้วยก็จะยิ่งดีมาก เผื่อว่าต่อไปจะได้กลายเป็นเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงทีนี้การสร้างจานบินขึ้นมาใช้แบบพวก นักวิทยาศาตร์ที่หลบสงครามแล้วพากันก่อตั้งอารยธรรมใต้โลกอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยจนคนคิดว่าจานบินที่เห็นเป็นของมนุษย์ต่าดาวก็เป็นของหมูๆ อ้อทฤษดีสนามรวมที่ทำให้สามารย้อนอดีตได้ใครอย่าไปค้นคว้าต่อนะอันตรายต่อมษยชาติมาก ขนาดไอสไตน์ยังเผาเอกสารการค้นคว้าทั้งหมดทิ้งเลย ต่อมาพวกสหภาพโซเวียตไปได้เศษที่เหลือจากการเผาใหม้แล้วนำมาค้นคว้าต่อจนเกือบจะสำเร็จแล้วแต่นับเป็นโชคคีของมนุษยชาติที่ไม่ต้องถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์ในระดับมิติเลยล่มสลายไปเสียก่อนจะทำได้สำเร็จ พอดีกว่าปากโป้งมากเดียวโดนพวกอารยธรรมใต้โลกเฉ่งกบาลเอา
ผมว่าคุณชอบอ่านสรุปได้ดีทีเดียวครับ
สามารถรวบรวมข้อมูลและคาดการณ์ได้ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นราวกับผู้หยั่งรู้อนาคตเลยครับ

จากคุณ : คนผ่านมา - [ 18 ต.ค. 46 00:36:37 A:203.147.25.123 X:203.147.25.24 ]


โดย: หมากเขียว วันที่: 2 สิงหาคม 2548 เวลา:12:55:22 น.  

 
ขอแก้
ธาติ เป็น ธาตุ
ขาดใหญ่ เป็น ขนาดใหญ่
โชคคี เป็น โชคดี

จากคุณ : คนผ่านมา - [ 18 ต.ค. 46 00:41:25 A:203.147.25.123 X:203.147.25.24 ]


ขอขอบคุณความเห็นของทุกท่านครับ โดยเฉพาะความเห็นของคุณ คนผ่านมา แต่ผมไม่ได้มองไปไกลถึงขนาดนั้นนะครับ ผมเห็นด้วยกับเรื่องสภาวะเรือนกระจก ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ได้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ขึ้นขนาดประเทศออสเตรเลียแล้ว และประเด็นนี้ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งในลางหายนะทั้งสี่ที่ใกล้ตัวแต่หลายๆคนยังมองข้าม แต่ประเด็นเรื่องอื่นๆเช่น น้ำมัน จานบิน แอตแลนติส และทฤษฏีสนามรวม ฯลฯ ผมเคยอ่านๆมาบ้าง แต่ด้วยภูมิปัญญาผมตอนนี้ยังไม่สามารถแยกแยะได้จริงๆครับว่า Si-Fi เหล่านี้อันไหนเป็นจริงเพียงใด หากมีหนังสือดีๆที่มีเอกสารอ้างอิงทางวิชาการเด่นชัด ช่วยแนะนำให้ด้วยนะครับ

ปล. คืนนี้ผมจะต่อคำถามต่อไปนะครับ ผมไม่ใช่ผู้หยั่งรู้นะครับ หากแต่เป็นคนช่างวิตกต่างหากครับ ทำอะไรจึงต้องหาข้อมูลและพิจารณาให้มากๆก่อนลงมือทำครับ

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 18 ต.ค. 46 10:08:13 A:210.1.6.101 X: ]


ผมมองว่าสงครามใหญ่คงไม่เกิดครับ
เพราะประเทศใหญ่ๆได้เข้าสู่ทุนนิยมมากขึ้น,ย่อมรู้ถึงผลเสียของสงคราม
แต่คนที่ด้อยโอกาสในทุนนิยมหรือปฏิเสธทุนนิยมจะก่อความไม่สงบหรือก่อการร้ายได้...เรื่องนี้แก้ได้โดยsocial capitalismครับ

จากคุณ : think_pos - [ 19 ต.ค. 46 12:30:12 ]


ผมเห็นด้วยครับ คุณ think_pos ผมเองก็ว่ายังไม่เกิด อันที่จริงเขาให้สังเกตการเกิดขึ้นของลางหายนะทั้งสี่ครับ เมื่อใดสี่อย่างเกิดครบ คงหลีกเลี่ยงสงครามไม่พ้น เพราะเป็นสงครามเพื่อความอยู่รอดมากกว่าจะเป็นสงครามเพื่อการณ์อย่างอื่น เฉลยคำถามต่อดีกว่าครับ


- ถ้าไม่มีคนไหนอยู่บ้าง จะทำให้สังคมสงบสุขขึ้นอย่างมาก

เขาบอกว่าเรื่องนี้ผมน่าจะตอบได้ เพราะนับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน (ชี้ช่องนี่นา) ผมเลยตอบไปดังนี้ครับ

ตามธรรมดา หากผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมกัน มีอัธยาศัยไมตรีดี มีน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่สร้างความเดือดร้อนใจให้แก่กัน (ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน) ย่อมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข แต่เนื่องจากความโลภ โกรธ หลง ทำให้เกิดการโกหก หลอกลวง และการกำจัดกันให้พ้นทาง เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดแต่เพียงผู้เดียว ถ้ามาดูกันเรื่องศาสนา ผมว่าไม่ใช่เฉพาะศาสนาพุทธที่สั่งสอนให้คนทำดี ทุกศาสนาในโลกต่างก็มีบทบัณญัติที่สั่งสอนให้คนทำดีกันทั้งสิ้น หากมองดูจากนิสัยคนทั้ง 7 คน ก็น่าจะเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ หรือที่เรียกว่า ฉลาดแกมโกง หากไม่มีคนๆนี้ ก็ไม่น่ามีการเสี้ยมเขาให้ชนกัน มิใช่หรือ ดังนั้นคำตอบในข้อนี้ ผมขอยืนยันว่าเป็นอมาเกอย่างแน่นอน

เขาตอบผมกลับมาว่า จุดกำเนิดแห่งความเดือดร้อน มาจากความ รัก โลภ โกรธ หลง (ผมแย้งว่ารัก ไม่น่าใช่ เขาก็แย้งว่า รัก เป็นสิ่งดี แต่ที่เขาพูดถึง รัก เป็น รักชนิดไม่ลืมหูลืมตา ไม่แบ่งแยกถูกผิดชั่วดี เหมือนบุพการีผู้สั่งสอนให้ลูกเป็นโจร ผมก็เลยนิ่งฟังต่อครับ) ทุกอย่างที่เป็นต้นกำเนิดแห่งทุกข์ ไม่ได้ให้ทุกข์กับคนๆอื่นเท่านั้น หากแต่สามารถให้ทุกข์แสนสาหัสกับตนเองด้วย เขาถามผมว่า คำว่า พลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ เป็น Fact หรือเป็นคำพูดกันเล่นๆ ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็น Fact เขาก็พูดต่อ ต้นกำเนิดแห่งทุกข์ทั้งหลายก็คือ กิเลส นั่นเอง การที่เกิดสิ่งไม่ดีต่างๆในโลกนี้มากมาย เพราะมีตัว กิเลส เป็นตัวผลักดันที่สำคัญที่สุด แล้วกิเลสตัวเดียวกันนี้แหละที่ทำให้โลกเจริญก้าวหน้าขึ้นด้วย คนมากมายจึงไม่ยอมละทิ้งกิเลส และพยายามบอกว่า มันเป็นประโยชน์ หากแต่เป็นภาพลวงที่ถูกสร้างขึ้นมาให้แก่ผู้ที่หลงใหลเท่านั้น

วิทยาการต่างๆที่เจริญก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นจากความอยากเอาชนะธรรมชาติ ทั้งๆที่รู้ว่ายากแต่ก็พยายามดิ้นรนหาทางกันอยู่ แต่ก็พบกับความล้มเหลวกันมากมาย มีใครห้ามไม่ให้เกิด ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า กันได้หรือยัง มีใครห้ามมหันภัยตทางธรรมชาติต่างๆ ได้บ้างหรือ อย่างเก่งก็ทำนายกันว่าอาจจะเกิด แต่ไม่ใช่ Fact ผู้ที่เชื่อ ก็อาจได้รับทั้งประโยชน์และโทษ การคิดค้นอาวุธมหาภัยทั้งหลายก็เพราะอยากเชื่อมั่นว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว แต่ความรู้และการพัฒนาการทางด้านศาสนากลับไม่ไปถึงไหน นับวันมีแต่คนยอมรับกันว่าจะเสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ผู้ที่ยอมรับเหล่านั้นหลายๆคน ก็ไม่คิดจะทำอะไรที่ให้การพัฒนาการด้านนี้ดีขึ้น ถึงตรงนี้ผมก็เคยพูดคุยกับเด็กรุ่นใหม่ในฮ่งกองคนหนึ่งซึ่งทำงานในบริษัทที่ผมเคยไปแวะเวียน ผมถามเขาว่า จะไปวัดแห่งหนึ่งในฮ่งกองได้อย่างไร เขาตอบว่าเขาไม่ค่อยรู้จักวัด ผมเลยเขานับถือศาสนาอะไร เขาบอกว่า เขานับถือ Money ครับ ไม่สนใจศานาอะไรทั้งสิ้น ผมก็ได้เพียงแต่คิดในใจว่า ในอนาคตคงมีคนแบบนี้เพิ่มมากขึ้นอีกแน่นอน

กลับมาที่คนที่กำลังสนทนากันดีกว่าครับ ในกลุ่มคน 7 คนนี้ ด้วยอุปนิสัยของอมาเก ซึ่งเป็นผู้ที่อันตรายที่สุด เป็นคำตอบที่มีส่วนถูก แต่แรงผลักดันไม่ได้เกิดจากนิสัยของเขาเท่านั้น และไม่ใช่ว่าคนอื่นๆไม่น่ากลัว คนทุกคนมีอันตรายต่อคนอื่นๆทั้งสิ้น เคยได้ยินไหมว่า แม้แต่คนที่รักเรามากที่สุด ก็สามารถฆ่าเราให้ตายได้เช่นกัน ผมก็เลยพูดถึงข่าวในบ้านเราหลายๆข่าว พ่อฆ่าแม่พร้อมลูกแล้วฆ่าตัวตายตาม หรือเพื่อนฆ่าเพื่อนเพราะไม่อยากให้ทรมาณ หรือการพิจารณาให้หมอฉีดยาให้คนไข้เพื่อพ้นทุกข์ ฯลฯ น่าจะเป็นตัวอย่างของการฆ่าเพราะรักไม่เป็นใช่ไหม เขาก็เลยยอมรับว่า ถิอเป็นตัวอย่างส่วนหนึ่ง ส่วนอื่นๆก็มีเช่น ภรรยาฆ่าสามีเพื่อเงินประกัน ทั้งๆที่เคยรักกันหวานชื่น แต่ก็โดยผลประโยชน์บดบัง เป็นต้น

เขาสรุปว่า คนทุกคน อันตรายต่อคนอื่นๆทั้งสิ้น เพราะอาจมีแรงผลักดันจากสิ่งต่างๆหลายอย่าง แรงผลักดันบางอย่างทำให้เกิดโทษต่อคนๆหนึ่ง แต่กลับทำให้เกิดประโยชน์ต่อคนๆหนึ่ง สิ่งที่สำคัญในคำถามนี้กลับไม่ใช่การดูว่าใครอันตราย หากแต่เป็นการแนะนำให้คิดว่า จะอยู่อย่างไรให้รอดปลอดภัยจากอันตรายจากคนอื่นๆรอบๆตัว การสร้างเกราะคุ้มกันเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยาก หากแต่หลายๆคนพากันมองข้ามไป การรับฟัง เป็นหนทางหนึ่งที่ใช้สร้างเกราะคุ้มกันอย่างได้ผล แต่ต้องนำไปประกอบกับการนำสิ่งที่ได้รับฟัง ไปพิจารณาหาเหตุผลประกอบ และตัดทอนสิ่งที่พ่วงเข้ามาเสริมแต่งเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆด้วย


ผมนำบทสนทนานี้มานั่งทบทวนดู และหาแนวทางเทียบเคียงกับการลงทุน ผมก็พบว่า บางครั้ง ข้อมูลที่ได้ยินได้ฟังจากบุคคลต่างๆในสถานที่แห่งนี้ อาจถูกต้อง และเป็นข้อมูลที่เขาเหล่านั้นหวังดีที่จะให้ผู้อื่นได้รู้ แต่อาจเป็นข้อมูลลวงที่เขาได้รับมาอีกต่อหนึ่ง จากคนฉลาดแกมโกงหรือพวกออกข่าวลือ ดังนั้นเราจะหาทางป้องกันไม่ให้ตนเองกลายเป็นแมงเม่าเล่นไฟตามข่าวลือได้อย่างไร คำตอบนั้น คงต้องเป็นการหาข้อมูลจากบริษัทที่ทำธุรกิจนั้นด้วยตัวของท่านเอง ข่าวที่ได้มา มีสักกี่คนที่เช็คข่าวก่อนตัดสินใจ หากทำเช่นนั้น ท่านก็จะมีเกราะคุ้มกันมากกว่าคนที่ไม่เคยเช็คข่าวอย่างแน่นอน แต่หากไม่ต้องการวุ่นวายใจกับเรื่องข่าวลือข่าวลวงต่างๆ ให้ลงทุนในฐานะ VI ดีกว่านะครับ


จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 20 ต.ค. 46 11:41:30 A:210.1.6.101 X: ]


ข้อสุดท้ายแล้วครับ

- การแก้แค้นอย่างรุนแรงที่สุด น่าจะเกิดจากฝีมือใคร และแก้แค้นใคร

คำตอบนี้ผมตอบแบบรวดเร็วที่สุด คือ ใจหยิ่น ครับ และแก้แค้นอมาเกกับอิดกัง กับบรรดาพันธมิตรทั้งหลายด้วย แต่การแก้แค้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการใช้กำลังนะครับ การแก้แค้นทางเศรษฐกิจนี่แสดงผลรุนแรงกว่าแก้แค้นด้วยกำลังหลายเท่านัก ซึ่งจีนได้เรียนรู้จากวิกฤติเศรษฐกิจของเอเซียในช่วงที่ผ่านมา สังเกตดูก็ได้ครับว่า บรรดาผู้บริหาร หรือบุคคลระดับมันสมองฆ่าตัวตายไปกี่คนในช่วงนั้น และบรรดาแรงงานในบริษัทเหล่านั้น เผชิญวิบากกรรมอะไรกันบ้าง พอผมตอบจบ เขาก็หัวเราะลั่นเลยครับ แล้วพูดคำเดียวสั้นๆครับ "ไม่ต้องเฉลยแล้ว"

มาถึงเมื่อวานนี้ ได้ยินคำพูดยืนยันของใจหยิ่น ที่ตอบคำถามอมาเกในการประชุม APEC เรื่องการจัดการกับค่าเงินหยวน ทำให้ผมหวนนึกถึง คำว่า "ไม่ต้องเฉลยแล้ว" ขึ้นมาแบบทันที หลายๆท่านคงสงสัยว่า ถ้าใจหยิ่น จะแก้แค้นอมาเกด้วยวิธีทางเศรษฐกิจแล้ว จะไม่เป็นปัญหาดังคำพังเพยที่ว่า "ช้างสารประสานงา หญ้าแพรกแหลกลาญ" หรือ ขอให้นึกถึงช่วง T-Shirt ของอมาเกครับ ตอนนั้นใครสงสารอมาเกบ้าง 5555 แล้วประเทศอื่นๆเดือดร้อนตามอมาเกหรือไม่ ผลกระทบช่วงสั้นนั้นมีแน่ แต่ช่วงยาวเป็นผลดีต่อเอเซียเป็นอย่างยิ่ง หวังแต่ว่าลางหายนะทั้งสี่จะไม่ปรากฏขึ้นก่อนในเร็ววัน ดังนั้น เมื่อสรุปเหตุการณ์และบทสนทนาที่ได้คุยกัน (ความจริงมากกว่านี้มาก) ผมจึงตัดสินใจว่าจะกลับมาเลือกลงทุนในหุ้นบางตัวแบบถือยาวๆๆๆๆครับ

ปล. ถ้าไม่ติดธุระอันใด คืนนี้ผมจะสรุป และแจ้งเรื่อง Fact ในการลงทุน เพื่อเป็นการจบกระทู้อันยาวยืดนี้เสียทีครับ ขอบคุณหลายๆท่านที่ทนอ่านกันมานะครับ

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 20 ต.ค. 46 17:25:04 A:210.1.6.101 X: ]


ผมแปลกใจมากที่คำตอบคนที่ต้องการแก้แค้นอมาริเกคือใจหยิ่น
ที่ผ่านมาผมรับทราบว่าคนที่ใจหยิ่นเกลียดมากที่สุดคือยุ่นปี่(จากช่วงสงครามโลก)และอิดกัง(จากสงครามฝิ่น)
การแก้แค้นอมาริเกน่าจะมาจากยุ่นปี่โดยเอาการค้านำ(ตลอด4-5ทศวรรษที่ผ่านมา)เพราะยุ่นปี่ถูกสหประชาชาติบังคับไม่ให้มีกองกำลังทางทหาร....แต่การไม่มีกองกำลังทหารทำให้ยุ่นปี่แก้แค้นไม่สะดวกนักเพราะพอทำไปสักพักอมาริเกก็สร้างเรื่องว่าคาบสมุทรเหลากีไม่สงบ...แถมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาอมาริเกก็แก้เกมโดยย้ายฐานการผลิตมาใจหยิ่น(เหมือนกับตอนยุ่นปี่ย้ายฐานการผลิตมาเอเชียอาคเนย์..ทำให้ยอดขายสินค้ายุ่นปี่พุ่งดังจรวด)...จากนี้ไปยอดขายสินค้าแบรนด์อมาริเกจะเพิ่มขึ้นเป็นwin-winระหว่างเจ้าของแบรนด์และผู้รับจ้างผลิต(อมาริเกกับใจหยิ่น)เหมือนที่ยุ่นปี่และเอเชียอาคเนย์เคยwin-winตอนก่อนเกิดโรคต้มยำกุ้ง
มองไปข้างหน้าผมคิดว่าเศรษฐกิจ(GDP)ยุ่นปี่น่าเป็นห่วงกว่าเพื่อนแม้จะเกินดุลมาตลอด...แต่น่าจะลดลงถ้าใจหยิ่นกับอมาริเกร่วมมือกันได้ดี..เรื่องการกระตุ้นโดยรัฐก็ทำได้ยากเพราะหนี้สาธารณะมากเกิน150%ของGDPไปแล้ว..แถมประชาชนยังไม่ค่อยบริโภคอีกด้วย
พูดเรื่องเศรษฐกิจผมมองว่าหลายๆประเทศ(ไม่ใช่ไทย)กำลังสร้างฟองสบู่โดยรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป...ที่ผ่านมาเรามีฟองสบู่โดยเอกชนยืมเงินอนาคตมาใช้มากเกินไปจนหาเงินใช้คืนไม่ทัน,ฟองสบู่แตก...ตอนนี้หลายประเทศสร้างฟองสบู่โดยรัฐยืมเงินอนาคตมาใช้,เงินส่วนที่นำมาใช้นี้จะถ่ายเทเข้าภาคเอกชน
เมื่อถึงเวลารัฐต้องใช้หนี้คืน...ถ้าไม่มีเงิน,ประชาชนต้องรับกรรมซึ่งหนักกว่าตอนภาคเอกชนไม่มีเงินใช้หนี้
ตอนนี้ยุ่นปี่พยายามไม่ให้ฟองสบู่แตกโดยการroll overหนี้ภาครัฐ....ซึ่งโชคดีที่ภาคเอกชนยุ่นปี่มีเงินมาก,ถ้าเงินชอร์ตเมื่อไรก็ยุ่งเหมือนกันครับ


จากคุณ : think_pos - [ 20 ต.ค. 46 19:36:14 ]


แปลกดีนะ ขณะที่เรามองบ้านเมืองของเรามีปัญหามากมาย
เขากลับมองดีไปหมด หรือผักชีที่โรยหน้า งอกรากฝังดินงอกงามดีแล้ว แม้แต่พี่คนผ่านมา ไม่กลัวรายใหญ่ฟันก็พลอยเพ้อฝันขี่ยานอนาคตต้านแรงโน้มถ่วง ในขณะที่การศึกษาเยาวชนถอยหลังแบบไร้ทิศทาง ยามโสคะปิงปิดโรงซ่อมโรงรีไฟน์ ราคาน้ำมันเด้งขึ้นอย่างไร้เสถียรภาพ..นะหรือ...??

จากคุณ : แพะโง่...สงสัย - [ 20 ต.ค. 46 22:30:58 A:203.156.10.245 X: ]


คุณ think_pos คิดไม่ผิดครับ ที่บอกว่า ญุ่นปี่ คือคนที่ ใจหยิ่น เกลี่ยดมากที่สุด แต่ ใจหยิ่น มีหลายๆเรื่องที่คุยกันเกี่ยวกับกรณีนี้เหมือนกัน โดยสรุปแล้ว ญุ่นปี เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่ง แต่เป็นเบี้ยตัวเล็กครับ สองสามปีก่อนหน้านี้ ญุ่นปี่ เคยออกข่าวเรื่องความก้าวหน้าทางด้านอวกาศ แต่ในที่สุด ใจหยิ่น ก็ทำได้สำเร็จเป็นคนที่ 3 ก่อน ซึ่ง ใจหยิ่น เองก็มอง ญุ่นปี่ เป็นผู้ที่ตนต้องแก้แค้นเช่นกัน แต่หากภาพของ ญุ่นปี่ เป็นภาพของเพื่อนแค้นที่ตนเองรู้ว่าอยู่ตรงไหน แต่ภาพของอมาเกในใจของ ใจหยิ่น เป็นเพื่อนแค้นที่แฝงตัวอยู่ในเงามืดตลอดมา โลกตะวันตกนำโดย อมาเก อิดกัง และสหภาพฯ พากันออกมาบอกกับชาวโลกว่า ตะวันออกกลางเป็นไอ้ตัวแสบและเป็นอันตรายคุกคามคนอื่นๆอยู่ แต่หลายๆเหตุการณ์เช่น โศกนาฐกรรมใน นานกิง ที่คนของ ใจหยิ่น ถูก ญุ่นปี่ ทำลายล้าง นับล้านคน โลกตะวันตกรู้ดี แต่ไม่มีใครเคยปริปาก คำกล่าวในแวดวงการเมืองตั้งแต่การเมืองระดับท้องถิ่น ไปจนถึงการเมืองระดับโลกคือ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร ยังคงเป็นจริงตราบชั่วมนุษย์ยังไม่สิ้นกิเลส ถึงอมาเกกับญุ่นปี่มีความแค้นต่อกัน ดูเหมือนปัจจุบัน ญุ่นปี่ กับไปจับคู่กินเกาเหลากับ กีเหลา โดยมีอมาเกร่วมวง พร้อมทั้งขยายข่าวและป่าวประกาศภาพให้ชัดเจนมากขึ้น และภาพการเคียงบ่าเคียงไหล่ระหว่าง ญุ่นปี่ กับ อมาเก ในเรื่องตะวันออกกลาง ทำให้ความสัมพันธ์ ในฐานะผู้ร่วมชะตากรรม ทำให้ยังต้องอาศัยกันไปอีกนานพอสมควร อีกประการหนึ่ง เนื่องจาก เงินของอมาเกยังอยู่ในมือของญุ่นปีอีกมาก จึงเป็นการลำบากที่สองคนนี้จะขยับตัวเข้าห้ำหั่นกัน เมื่อเปรียบเทียบความสัมพันธ์เชิงการเมือง อมาเก กับ ใจหยิ่น จึงห่างเหินกันมากกว่า ญุ่นปีกับ อมาเกหลายเท่านัก

ประเด็นเรื่อง Think Win-Win ระหว่างเจ้าของ Brand คือ อมาเก กับ ผู้รับจ้างผลิต คือ ใจหยิ่น หากมองดูดังที่คุณ think_pos กล่าวมาก็ไม่ถือว่าผิดนะครับ แต่ในระหว่างที่คุยกันกับเขานั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเอานาฬิกาชื่อดังที่ทุกๆคนรู้จักดี (เหล็กโล) 2 เรือนมาให้ผมดู แล้วให้ผมบอกว่า เรือนไหนเป็นของปลอม ทั้งสองเรือน หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบเลยครับ แถมเมื่อผมเอาชั่งน้ำหนักดู (ใช้ตาชั่งแบบโบราณ) ทั้งสองเรือนก็มีน้ำหนักต่างกันไม่ถึงกรัม เรียกได้ว่า แยกไม่ออกจริงๆครับ เขาพูดถึงกรณีการรับจ้างผลิตของ ใจหยิ่น ไม่เหมือนกับหลายๆประเทศที่รับจ้างผลิตให้ อมาเก นะครับ เมื่อคนของ ใจหยิ่น ผลิตสิ่งใดก็ตาม คนของเขาจะเรียนรู้ทุกอย่างในสายการผลิต และสร้างสายการผลิตในโรงงานแห่งอื่นที่ไม่ได้รับจ้างการผลิตให้กับ อมาเก และสร้าง Brand ของตนเองขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการล้มล้างเศรษฐกิจอมาเกนั่นเอง เคยได้ยินเรื่อง Cisco จะฟ้อง หัวเหว่ย ไหมครับ เป็น Case Study อีกกรณีหนึ่งที่น่าศึกษา และเป็นตัวอย่างที่สำคัญในการเรียนรู้เทคโนโลยีของ ใจหยิ่น เพื่อสร้างสิ่งที่เหมือนและก้าวหน้ากว่าสินค้าของอมาเก แต่ราคาถูกกว่ามาก เพื่อแย่งตลาดของอมาเก และที่เป็นข่าวโด่งดังอีกเรื่องคือการถ่วงเวลาคืนเครื่องบินที่มีเทคโนโลยีสูงล้ำของอมาเกที่มีเหตุจำเป็นต้องไปลงในบ้านของ ใจหยิ่น อยู่พักใหญ่ๆ ว่ากันว่า ช่วงที่ถ่วงเวลาอยู่นั้น ใจหยิ่น ได้เรียนรู้เทคโนโลยีของ อมาเก อย่างมาก

ประเด็นการแก้แค้น ที่เขากล่าวไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง ก็เรียกได้ว่า สามารถแก้แค้นได้เหมือนกันนั้น ตามที่คุณ think_pos กล่าวมาในเรื่องเศรษฐกิจของ ญุ่นปี่ นั่นแหละครับคือคำตอบที่ ใจหยิ่น มองข้าม ญุ่นปี ไป ซึ่งเมื่อข้ามหัว ญุ่นปี่ ไปก็ไม่มีใครต้องคอยสนับสนุน ญุ่นปี่ ต่อกรกับ ใจหยิ่น ในปัจจุบัน ญุ่นปี่ จึงตกอยู่ในสภาพถูกลอยแพ จะพึ่งพา ใจหยิ่น ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เหลือก็แต่เพียง อมาเก และพวกพ้องเท่านั้น จึงต้องอาศัยผู้อื่นเข้าไปในบ้านของ ใจหยิ่น และด้วยเหตุนี้ด้วยครับ ไทยเราจึงเป็นเสมือน ศูนย์กลางการค้าขาย ให้ ใจหยิ่น และ ญุ่นปี่ ผมจึงคิดว่า ไทยเราจะได้ประโยชน์จากการขัดแย้งนี้ ซึ่งนายกของเราก็เล่นเป็นอยู่แล้วด้วยครับ ถ้าหาก อมาเก เป็นอะไรไป ญุ่นปี่ จะหันไปพึ่งใครได้บ้างละครับ เช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการแก้แค้นญุ่นปี่ โดยยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือครับ และเมื่อถึงวันที่ ญุ่นปี่ต้องจำใจขอความช่วยเหลือในรูปแบบทางการค้ากับใจหยิ่นละก็ เชื่อได้เลยว่า ใจหยิ่น จะสอนบทเรียนที่ญุ่นปี่ยากจะลืมเลือนได้เลย

ในกรณ๊ อิดกัง กับสงครามฝิ่น ได้ฝังแค้นลึกล้ำให้กับ ใจหยิ่น ก็จริง แต่ต้องไม่ลืมครับว่า อมาเก กับ อังกฤษ เป็นเสมือนพันธมิตรถาวร หาก ใจหยิ่น สยบ อมาเก ได้ อังกฤษ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สำคัญของ ใจหยิ่นเลยครับ แต่หาก ใจหยิ่น ไม่สยบอมาเกก่อน แต่ไปเริ่มที่ อิดกัง หรือ ญุ่นปี่ ตอนนั้นแหละครับ อมาเก ผู้หาจังหวะและโอกาสที่จะขายอาวุธ ก็จะสามารถทำได้อย่างสมใจ โดยไม่ถูกครหา คิดดีๆ จะรู้สึกคล้ายๆกับกรณี ตั๋นไหว้ กับ ใจหยิ่น ตราบเท่าที่ ตั๋นไหว้ กับ อมาเก ยังคงเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน และใจหยิ่น ยังไม่มั่นใจในศักยภาพทางการทหาร ตั๋นไหว้ ยังคงอยู่รอดปลอดภัยในช่วงเวลาดังกล่าวครับ แค้นนี้กดดันเป็นเสมือนหนามยอกอก ใจหยิ่น ให้เจ็บปวดมานานแสนนานแล้วครับ

อีกหลายๆกรณี เช่น การอ้างสิทธิมนุษย์ธรรม การกีดกัน ใจหยิ่น ออกจาก WTO การพยายามล้มล้างระบอบการปกครองของใจหยิ่นด้วยข่าวสารและข้อมูลอันเป็นเท็จ การเกิดโรคภัยร้ายแรงในบ้านใจหยิ่น การกีดกันใจหยิ่นออกจากการสัมนาทางวิชาการด้านอวกาศ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่มี อมาเก เป็นผู้ชักใยสำคัญอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

น่าแปลกอยู่อย่างที่ผมได้กล่าวถึงคน 7 คนในที่นี้ ไม่มีใครถามถึง เรียซัส บ้างเลย ผมได้ถามเขาว่า ทำไม เรียซัส ถึงไม่มีบทบาทสำคัญบ้าง น่าจะมีผลต่อชาวโลกบ้างพอควร เขาบอกว่า ในอดีต เรียซัส เคยยิ่งใหญ่ แต่ปัจจุบัน เปรียบเสมือนแก้วที่แตกร้าวไปแล้ว ถึงแม้จะยังใส่น้ำได้ แต่ไม่สามารถใส่น้ำได้มากเท่าเดิม และความแข็งแกร่งของ เรียซัส นับวันจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อแลกกับวิชาการที่เรียซัสรู้ และในที่สุด แม้แต่อาวุธร้ายแรงในเรียซัสเอง จะถูกขายให้แก่คนอื่นๆ จนตนเองไร้พิษสงไปเอง หากแต่ว่าในอนาคต ถึง เรียซัส จะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก ความยิ่งใหญ่ของเรียซัส ก็จะไม่หวนกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อีก และปัจจุบัน เรียซัส ถือเป็น ผู้ต้องจำยอมตามผู้อื่น เพื่อให้คนในบ้านของตนดำรงอยู่รอด ก่อนจะคิดถึงเรื่องอื่นๆได้ต่อไป

ด้วยเหตุที่ไทยเราดำรงตนเป็นเสมือนคนกลางที่สามารถติดต่อกับทุกคนได้โดยไม่ขัดเขิน ประกอบกับการที่เราสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในภูมิภาคอาเซียนได้ในปัจจุบัน ผมจึงคิดว่า ไม่ว่า ใครจะเป็นจะตาย ทุกคนจะพากันมาหาคนไทย ให้เป็นตัวกลางเจรจาค้าขายทางอ้อม ให้แก่ตลาดสำคัญๆในแต่ละบ้าน ดังนั้น เศรษฐกิจไทยเราจะเป็นเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน อย่างน้อยอีกหลายปีเชียวครับ จึงเป็นเหตุให้ผมคิดว่า การลงทุนในวันนี้ จะได้ดอกผลงอกเงยนับเท่าทวีคูณในวันข้างหน้า ดีกว่าฝากแบงค์จริงๆครับ

ปล. Fact ในการลงทุน ได้กล่าวไปสั้นๆเล็กน้อยบ้างแล้ว คือ การเปลี่ยนแปลง ไม่มีหุ้นใดไม่เปลี่ยนแปลง ผู้ที่ซื้อราคาต่ำ แล้ว ขายราคาสูง จะเป็นผู้ที่ได้กำไรเสมอ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าราคาหุ้น ณ.ขณะใดมีราคาต่ำที่สุด และเมื่อใดมีราคาสูงที่สุด มีประโยคหนึ่งของ ใจหยิ่น ที่กล่าวมานานนับร้อยปีคือ การใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว นับเป็นเคล็ดวิชาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการลงทุนได้เป็นอย่างดี หากแต่ผู้ที่จะสามารถใช้เคล็ดวิชานี้อย่างได้ผล จะต้องเป็นผู้ที่มีจิดใจมั่นคง มีวินัยในการลงทุนสูง และเป็นผู้ที่สามารถละ โลภ ได้ถึงระดับหนึ่งครับ

ไทยเรามีสุภาษิตบทหนึ่งว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท ... ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนแบบไทยๆได้เช่นกันนะครับ

*** ความสุขที่ได้จากเงินที่งอกเงยขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ มีมากกว่าความสุขและทุกข์จากเงินที่งอกเงยและลดฮวบฮาบอย่างรวดเร็วนะครับ ***

ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนจบนี้นะครับ พบกันใหม่ในกระทู้ใหม่ครับ สวัสดีครับ

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 20 ต.ค. 46 23:31:02 A:202.133.182.199 X: ]


พอดีจบความ เห็นความคิดเห็นของคุณ แพะโง่...สงสัย เลยขอตอบสักเล็กน้อยก่อนปิดเครื่องดังนี้ครับ

บทสนทนาเป็นการพูดคุยกันธรรมดาครับ และเขาไม่ได้มองเราดีไปหมดครับ ปัญหามากมายของเราเขาก็รู้ครับ แต่ก็วิเคราะห์และพิจารณาว่า เราผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วจริงๆ หากแต่มุมมองในการสนทนาครั้งนี้ โดยสรุปเป็นเรื่องของการดูว่า ในปัจจุบันใครมีโอกาสมากกว่ากันครับ ในขณะที่ ใจหยิ่น มีเศรษฐกิจโตมากที่สุดในโลกในเวลานี้ แต่เนื่องจากบุญคุณความแค้นและผลประโยชน์จากการแย่งชิงกันเป็นพี่ใหญ่ เป็นเหตุให้ไม่สามารถติดต่อกับใครๆบางคนได้อย่างออกนอกหน้ามากนัก เลยเป็นโอกาสของเราครับ

จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 20 ต.ค. 46 23:38:05 A:202.133.182.199 X: ]


-ขอขอบคุณพี่ ชอบอ่านที่กรุณา ให้ความคิดใหม่ๆที่ดีๆ อย่างมาก ตลอดจนถึงพี่คิดดี(Think_pos)และพี่ๆทุกท่าน

จากคุณ : แพะโง่...นับถือ - [ 21 ต.ค. 46 00:25:06 A:203.156.8.226 X: ]


โดย: หมากเขียว วันที่: 2 สิงหาคม 2548 เวลา:12:58:13 น.  

หมากเขียว
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]




สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย



สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต

Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
Friends' blogs
[Add หมากเขียว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.