|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]
|
สวัสดีครับทุกท่าน...ผมหมากเขียวแห่งสินธร...จาก Head of Prop Trade สู่ Private Trader อิสรภาพที่รอคอย
สงวนลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2553 โดย หมากเขียว™ ห้ามลอกเลียน ทำซ้ำ หรือคัดลอกส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความที่เขียนโดยข้าพเจ้านอกจากจะได้รับอนุญาต
Copyright © 2010.All rights reserved. These articles and photos may not be copied, printed or reproduced in any way without prior written permission of Mhakkeaw™.
|
|
|
|
|
|
|
|
หากวันแรก เงินของทุกๆคน มีค่าเท่าเทียมกัน อยู่มาเงิน 100 บาทของอมาเกมีค่าเป็นสองเท่าของคนอื่นทั้งหมด ทำให้คนต้องการเงินของอมาเกมาเก็บไว้ ก็ต้องเอาเงินของตัวเองไปแลก หากนำไปแลก 20 บาท ก็จะได้เงินของอมาเกมาเพียง 10 บาท แล้วก็เก็บไว้อย่างนั้นเรื่อยมา เท่ากับว่าคนที่นำไปแลกจะเหลือเงิน 90 บาท เป็นเงินตัวเอง 80 บาทและเงินอมาเก 10 บาท (ตรงนี้บางท่านอาจจะแย้งว่าเงินตัวเองถ้าแปลงเป็นเงินอมาเกยิ่งถูกลงไปอีก ยิ่งเหลือน้อยยิ่งขึ้น อย่าซีเรียสนะครับ เป็นตัวเลขสมมติ และตอนท้ายจะเฉลยว่าทำไมคิดอย่างนี้นะครับ) แล้วถ้าทุกคนได้เงินที่อมาเกพิมพ์ออกมาเองเพื่อใช้จ่ายแลกกับทรัพยากรและแรงงานของคนอื่นๆสัก 30 บาท คนอื่นก็จะมีเงิน 120 บาท ก็หมายความว่าคนอื่นๆมีเงินของอมาเกอยู่ 40 บาท ถ้าเงินของอมาเกเป็นศูนย์ เงินของคนอื่นๆจึงหายไปและเหลือเพียง 80 บาท และอมาเกไม่เหลือสักบาท จะอยู่อย่างไร
อีกส่วนหนึ่งที่ทิ้งท้ายไว้ให้คิดถึงคนที่รวยที่สุดในโลก 5 คน เพราะโดยปกติทุกคนรู้ว่า หากค่าเงินของตนด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ ก็มีสิทธิพบหายนะแน่นอน ทุกคนจึงคิดถึงสูตรสำเร็จของการจัดการทางการเงินคือ การกระจายความเสี่ยง ที่ให้คิดถึงคนทั้ง 5 ไม่มีอะไรหรอกครับ เพียงแต่คนรวยๆ มักจะนำเงินของตนเองไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในรูปแบบของเงินตนเองเท่านั้น หากแต่ว่า เมื่อนำเงินของตนเองไปลงทุนในประเทศใด ก็จะใช้เงินของประเทศนั้นอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย คนทั้ง 7 คนก็เช่นกัน ทุกคนได้นำเงินของตนเองไปลงทุนในบ้านของคนอื่นๆอีก 6 คนทั้งสิ้น ผลก็คือ ถึงเงินของตนจะไม่มีค่า แต่ก็ยังมีเงินของตนในบ้านคนอื่นๆอยู่ และเมื่อเงินของคนอื่นแข็งค่าขึ้น ตนเองก็ได้มีเงินที่มีค่ามากขึ้นตามไปด้วย (คล้ายๆกับกรณีที่ต่างชาติขายหุ้นออกมามากๆในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่เอาเงินออกไป)
นอกจากนี้ เรื่องลิขสิทธ์ ที่ถูกร่างขึ้นโดยยึดต้นแบบของอมาเก กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปในอนาคต หากใครเคยอ่านข้อความที่เขียนไว้ในส่วน License Agreement ของมอฟโคไซด์ หรือที่หลายๆคนเรียกว่า Stupid License จะพบสิ่งแปลกๆในทำนองที่ว่า ไม่ว่างานชิ้นใดที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยเครื่องมือที่ผลิตโดย มอฟโคไซด์ จะถือว่างานนั้นๆเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ของ มอฟโคไซด์ ทั้งสิ้น และ License ทำนองนี้ก็ไม่ได้มีอยู่เฉพาะที่เป็นของ มอฟโคไซด์ เท่านั้นนะครับ ปัญหาก็คือ อาจเกิดการเรียกร้องค่าใช้จ่ายโดยอ้างจาก License Agreement ได้โดยคนอื่นๆต้องยินยอมอย่างไม่เต็มใจ เนื่องจาก สินค้าสำคัญในการประหัตประหารกัน ยังไม่มีของผู้ใดมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะสินค้าของอมาเกได้ ถึงแม้ปัจจุบันจะมีการพัฒนา OS ใหม่ๆ ซึ่งใจหยิ่นก็ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้เป็นอย่างมาก และพยายามผลักดันให้ใช้ OS และ Software อื่นๆเป็นหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาพิพาทเรื่องสิทธิ์ของ มอฟโคไซด์ ซึ่งเป็นของอมาเกโดยตรง
ในสมัยก่อน ผมเคยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ Apple II ที่มีหน่วยความจำเพียง 16 Kb และใช้เครื่องบันทึกเทปเป็นแหล่งเก็บข้อมูล ก็รู้สึกว่ามีแหล่งเก็บข้อมูลมหาศาลแล้ว แต่สมัยนี้ เราพูดกันถึง Tb (Tera Byte = 1024 Giga Byte) และกำลังจะก้าวเข้าสู่ Pb (Peta Byte) สมัยหนึ่งไม่นานนี้ เราพูดถึงแผ่น CD ที่บรรจุ Encycopedia เป็นเล่ม ต่อมาเราพูดถึง DVD ที่บรรจุ Encycopedia ได้หลายๆเล่ม บรรจุโน๊ตเพลงได้นับหมื่นเพลง (Midi) ซึ่งต่อไปกำลังจะพูดถึง Blue Ray Disc ที่เก็บเพลงได้เป็นแสนเป็นล้านเพลง มีท่วงทำนองมากมาย เมื่อก่อนเราคิดว่างานประพันธ์เพลง ทำนองดนตรีต่างๆ ต้องใช้พลังสร้างสรรค์จากมนุษย์เท่านั้น ปัจจุบันเราเห็นคอมพิวเตอร์เล่นทำนองเพลงได้เอง อย่างคาราโอเกะ ที่มีจำนวนนับหมื่นเพลง ลองคิดเล่นๆนะครับ โน๊ตเพลงมีกี่ออคเตฟ มีระยะพิทซ์ที่ยังพอเป็นเพลงได้กี่ช่วง หากนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาโปรแกรมให้ออกแบบทำนองเพลงที่เป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีมากถึงล้านล้านเพลงแล้วเก็บใน Disc สักอย่างสัก 1 แผ่น โดยไม่ต้องใช้คนสร้างสรรค์ แล้วบอกกับคนทั่วโลกว่า นอกจากเพลงที่เคยแต่งกันไว้แล้วในอดีต เพลงทุกเพลงในโลกต่อจากนี้ไป ใครสร้างสรรค์ขึ้นมา ขอให้ตรวจสอบด้วยว่าตรงกับที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์ไว้แล้วหรือไม่ ถ้าตรงถือว่าละเมิดลิขสิทธ์ จะมีใครนั่งคิดทำนองเพลงที่แตกต่างจากเพลงล้านล้านเพลงนั้นไหมครับ แล้วใครมีโอกาสทำแบบนั้นได้ในอนาคตอันใกล้มากที่สุดละครับ หากเงินของตนเองไม่มีค่า แต่คอยเก็บเงินจากทุกคนที่มีค่า โดยอ้างลิขสิทธิ์ต่างๆ ผลจะเป็นอย่างไรครับ ยิ่งถ้ามีการรวมหัวกันโดยคนที่ครอบครองอาวุธมหาปลัย แล้วละก็ ใครจะกล้าหือครับ
ที่กล่าวมาทั้งหมด คงไม่อาจกล่าวถึงทุกอย่างที่ผมคุยกับเขาไว้ได้ทั้งหมด และตัวเลขสมมติต่างๆที่ผมบอกไว้ว่าอย่าซีเรียส เพราะ นัยสำคัญของความในตอนนี้ คือการสรุปว่า กลไกการเงินของโลกในปัจจุบัน ปั่นป่วนก็จริงอยู่ แต่ด้วยปัจจัยอย่างอื่น และความต้องการของทุกคนให้สามารถอยู่รอดได้ต่อไป ประกอบกับความซับซ้อนของกลไกการกระจายความเสี่ยงต่างๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตาม จะกลับเข้าสู่สมดุลย์ที่มีดุลยภาพด้วยตัวมันเอง หากเราพะวงกับเหตุด้านหนึ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่จะมีอีกหลายๆเหตุที่เราไม่รู้ กำลังทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงให้เกิดสมดุลย์อยู่ร่ำไป คนทั้ง 7 ที่ได้รับผลกระทบกันอยู่จากการเปลี่ยนแปลง ย่อมไม่อยากให้เกิดภาวะเลวร้ายที่จะส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาลูกโซ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะพร้อมกันดำเนินการบางสิ่งบางอย่างให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆจนสามารถผ่านพ้นไปด้วยดีในที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่เรื่องการเงิน หากแต่เป็นเรื่องสงครามที่อาจมีชนวนเหตุจากเรื่องการเงิน
ปล. ใช่ว่าอมาเกในยุค T-Shirt ซึ่งเป็นยุคตกต่ำสุดขีดของอมาเกไม่ได้เคยอุบัติขึ้น หากแต่ตอนนั้นโลกไม่ได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์อย่างสมบูรณ์ และตอนนั้นเราก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับอมาเกมากนัก และสามารถดำรงอยู่กันมาได้ถึงปัจจุบัน แล้วเหตุใดต้องกลัวเหตุในอนาคตมากกว่าปัจจุบันเล่า หากไม่มี่นใจ แหล่งข้อมูลความรู้ต่างๆ จะเป็นเกราะคุ้มภัยให้ฝ่าฟันภัยพิบัติต่างๆได้อย่างดี
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 14 ต.ค. 46 00:21:00 A:202.133.160.171 X: ]
อ่านสนุกมาก,ขอแจมด้วยครับ
ผมเห็นด้วยว่าการเงินของโลกกำลังจะกลับเข้าสู่จุดสมดุลย์(ค่าเงินอยู่ในระดับที่แต่ละประเทศเกินดุล/ขาดดุลไม่มากนัก)
ที่ผ่านมาผู้ที่ทำให้การเงินของโลกเอียงน่าจะเป็นยุ่นปี่เพราะค้าขายได้ดุลเดือนละหมื่นกว่าล้านดอลล่าร์ก็ไม่ยอมนำเงินกลับประเทศ...คงเป็นความยินยอมพร้อมใจของคนยุ่นปี่ส่วนใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง....เมื่อคนอื่นห้ามยุ่นปี่สะสมอาวุธ,ยุ่นปี่ก็สะสมเงินดอลล่าร์เสียเลย
แต่ตอนนี้ทุนนิยมได้ครอบงำโลก(หลังจีนและรัสเซียยอมรับทุนนิยมมากขึ้น)การพูดจาภาษาทุนนิยมได้แพร่หลายไปในวงกว้างโดยรัฐบาลประเทศต่างๆเป็นตัวแทนของทุนในประเทศ
ดังนั้น
-ประเทศที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดดีที่สุดจริงใจที่สุด
-ทุกประเทศต้องการกำจัดประเทศอื่นถ้าพบว่าขัดขวางผลประโยชน์ของตน(แต่คงต้องดีดลูกคิดก่อนว่าจะกำจัดอย่างไรดี...อาจใช้วิธีผูกมิตรก็ได้)
-แต่การทิ้งค่าเงินดอลล่าร์ให้อ่อนลงอย่างรวดเร็วย่อมไม่เป็นผลดีกับใคร
-ต้นเหตุของการเงินบิดเบี้ยวน่าจะเป็นยุ่นปี่ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่สองว่าจะขายให้มากซื้อให้น้อย...ต้องใช้วิธีเจรจาแกมขู่เงียบๆโดยอมาริเก
-ดุลอำนาจโลกจะเปลี่ยนไป,อมาริเกจะใหญ่ขึ้นยิ่งมีกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรยิ่งได้เปรียบ(economy of knowhow)...เราควรคบไว้แบบมิตร(ไม่ใช่ลูกน้อง)
-คนที่กำลังจะอดตายคือผู้ปฏิเสธทุนนิยมและผู้ด้อยโอกาสในทุนนิยม....โลกทุนนิยมมีคน4กลุ่มใหญ่คือรัฐ,เจ้าของกิจการ,ผู้ได้โอกาสในทุนนิยม(ceo,white collar,blue collar)และผู้ด้อยโอกาส(ผู้ว่างงานและผู้มีงานบ้างไม่มีบ้างเช่นเกษตรกร)
-คนหรือประเทศที่ปฏิเสธทุนนิยมหรือกลายเป็นผู้ด้อยโอกาสในโลกทุนนิยมมีแนวโน้มที่จะก่อความวุ่นวายและก่อการร้ายมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
-แต่การกำจัดใครไม่ใช่การแก้ปัญหา,การเรียกร้องอย่างสันติให้ทั่วโลกดำเนินนโยบายsocial capitalismจะทำให้โลกนี้สงบสุขมากขึ้น
social capitalismในความหมายของผมคือทุนนิยม(เจ้าของกิจการหรือประเทศ)ก็แข่งกันไปแต่ต้องเอื้ออาทรต่อคนกลุ่มอื่นหรือประเทศอื่นเช่นลิขสิทธิ์มอฟโคไซแทนที่จะคุ้มครอง50ปีก็ลดเหลือ20ปี,สิทธิบัตรยาต่างๆแทนที่จะคุ้มครอง20ปีก็ลดเหลือ10ปี,แข่งกันลดต้นทุนแบบไหนก็ได้แต่อย่าลดค่าจ้างบุคคลากร(ควรกำหนดเป็นสัดส่วนต่อยอดขาย)และอย่าทำลายสิ่งแวดล้อมฯลฯ
มาช่วยคุณชอบอ่านคิดแค่นี้ก่อนครับ
จากคุณ : think_pos - [ 14 ต.ค. 46 08:45:33 ]
ขอบคุณ คุณ think_pos ที่ช่วยคิดครับ
ขอบคุณท่านทั้งหลายที่เป็นกำลังใจให้เล่าต่อครับ เริ่มปัญหาข้อต่อไปเลยนะครับ
- ทุกคนกำลังประหยัด รัดเข็มขัดอย่างเต็มที่ หรือทุกคนกำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่
ผมตอบคำถามข้อนี้ด้วยความรวดเร็วว่า มีทั้งคนที่กำลังประหยัดอย่างเต็มที่ และมีทั้งคนที่กำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่ในเวลาเดียวกัน เฉกเช่นคนกลุ่มหนึ่งในคฤหาสถ์หลังใหญ่กำลังสรวลเสเฮฮาในงานปาร์ตี้ ขณะที่ภายนอกกำแพงสถานที่จัดงานอาจเต็มไปด้วยวนิพกที่รอเศษอาหารประทังชีวิตหลังงานเลี้ยง แต่หากมองที่คน 7 คนตามโจทย์ที่ให้มา ผมตอบว่า ผู้ที่กำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่คือผู้ที่มีทรัพยากรที่สำคัญและกำลังนำทรัพยากรนั้นมาใช้อันได้แก่ น้ำมัน ถ่านหิน ป่าไม้ ฯลฯ ส่วนผู้ที่กำลังประหยัดอย่างเต็มที่น่าจะเป็นผู้ที่ไม่มีทรัพยากร และต้องนำเงินไปซื้อทรัพยากรจากคนอื่นๆ คงไม่ใช่ทุกคนกำลังประหยัดหรือฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น หรือไม่ก็โจทย์ผิด เขายิ้มและนิ่งสักพักเพื่อดูว่าผมจะกล่าวอะไรต่อไปหรือไม่ เมื่อเห็นท่าทีรอเฉลย จึงตอบกลับผมดังนี้ครับ
ถ้าถามว่าสิ่งใดที่คนเรามีความจำเป็นต้องใช้มากที่สุด ทุกคนคงต้องการปัจจัยสี่ ใช่หรือไม่ (อันนี้ผมไม่ปฏิเสธเลย)
แต่ถ้าถามว่าสิ่งใดที่คนเราต้องการมากที่สุด จะมีคำตอบต่างๆกันไป ตามอุปนิสัยของแต่ละคน บางคนอาจบอกว่า เงิน บางคนอาจบอกว่า อำนาจ บางคนอาจบอกว่า ความสงบร่มเย็น บางคนอาจบอกว่า การทำให้ผู้อื่นมีความสุข ฯลฯ หากพิจารณาให้ดี ขอถามต่อว่า คนไหนใน 7 คนนี้มีความเดือดร้อนเรื่องปัจจัยสี่มากที่สุด มาดูกันทีละข้อ
เครื่องนุ่งห่ม: เคยเห็นคนไหนไม่ใส่เสื้อผ้าเนื่องจากไม่มีจะใส่ไหมครับ เห็นมีแต่พยายามจะใส่ให้น้อยลงเสียด้วยซ้ำ หากแต่ในอนาคต รูปแบบของเครื่องนุ่งห่มอาจเปลี่ยนไป อันเนื่องมาจากความจำเป็นในการใช้เครื่องนุ่งห่มปกป้องสิ่งอันตรายต่างๆเช่น แสงอุลตร้าไวโอเลท เป็นต้น
ที่อยู่อาศัย: ข้อนี้คงตอบได้ง่าย มีใครไม่มีบ้านอยู่ แม้แต่เอลซารอิดตอนนี้ ก็นับได้ว่ามีบ้านอยู่ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่กำลังแย่งชิงจากคู่พิพาทซี่งเป็นสมาชีกในบ้านของตะวันออกกลางอยู่
อาหาร: สิ่งนี้อาจเป็นปัญหาในบ้านของคนบางคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคน 7 คนนี้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ขาดแคลนอย่างแท้จริง การผลิตอาหารในปัจจุบันและอนาคตอาศัยเทคโนโลยีที่สามารถรองรับคนทุกคนได้อยู่แล้ว หากแต่ภัยพิบัติต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในบ้านของบางคน อาจทำให้อาหารขาดแคลนชั่วคราว และจะได้เห็นน้ำใจไมตรีจากผู้ให้ ทำการส่งมอบอาหารให้แก่ผู้ประสพเภทภัย เป็นปกติ ดังที่เคยเห็นกัน
ยารักษาโรค: อาจมีบางโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบัน แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงและป้องกันไม่ให้ติดโรคที่รักษาไม่หายบางโรคได้ สิ่งนี้ไม่ใช่ทรัพยากรจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น วิทยาการความรู้ต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้ในการค้นคว้าหายารักษาโรคใหม่ๆ เพื่อกำจัดโรคร้ายให้แก่สรรพชีวิตที่เกิดมาในโลกใบนี้ ถ้าผมกล่าวถึงผู้ที่มีทรัพยากร จะเป็นผู้ที่ฟุ่มเฟือย ต้องรวมเอาทรัพยากรความรู้ เป็นสิ่งสำคัญด้วย เพราะสิ่งนี้ จะผูกติดกับปัญหาลิขสิทธิ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมตอบไม่ถูก ผู้ที่กำลังฟุ่มเฟือย ไม่ใช้ผู้ที่มีทรัพยากรจำนวนมากเสมอไป
หากพิจารณาเฉพาะปัจจัยสี่ จะเห็นว่า ด้วยกลไกธรรมชาติและสังคมในปัจจุบัน ทุกคนมีอยู่พร้อมสรรพอยู่แล้ว หากเกิดการขาดแคลนขึ้น ณ.ที่ใด ก็จะมีการหมุนเวียนนำส่งเพื่อบรรเทาการขาดแคลนได้อยู่แล้ว แต่หลายๆคนไม่ได้ต้องการเฉพาะปัจจัยสี่ จนในปัจจุบัน เราท่านหลายคนคงได้ยินคำว่า ปัจจัยที่ห้า ปัจจัยที่หก กันบ้างพอสมควร หากแต่ปัจจัยที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านั้น ไม่ใช่ปัจจัยในการดำรงชีวิตให้อยู่รอด หากแต่เป็นปัจจัยเสริมเพื่อการอยู่ในสังคมใดๆเท่านั้นเอง เมื่อเขาพูดถึงตอนนี้ ผมก็ตอบเขาใหม่ว่า ถ้าอย่างนั้น คนทุกคนก็กำลังฟุ่มเฟือยอย่างเต็มที่ ถูกไหมครับ เขายิ้มและผงกหัวรับครับ แล้วพูดต่อ
ในสมัยก่อน คนมากมายมักนิยมสะสมพลังชีวิต เพื่อดำรงชีวิตให้เป็นสุข อันได้แก่การออกกำลังกาย การอยู่อาศัยในที่ที่มีสภาวะแวดล้อมที่สะอาดบริสุทธิ ฯลฯ แต่สมัยนี้คนมากมายนิยมสะสมวัตถุเพื่อแสดงถึงอำนาจวาสนาบารมีและความมั่งคั่งร่ำรวย พากันดิ้นรนเข้าสู่ดินแดนที่เรียกว่าแดนศิวิไลซ์ทั้งๆที่เต็มไปด้วยมลพิษที่บั่นทอนชีวิตให้สั้นลง ถึงแม้ว่าวิทยาการทางการแพทย์จะเจริญมากขึ้นและทำให้ชีวิตมนุษย์เฉลี่ยยืนยาวมากขึ้น แตเป็นการยืนยาวเพื่อรับความทรมานจากการบั่นทอนพลังชีวิต ที่ดิ้นรนกันนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาหลายสิ่งที่เพิ่มเติมจากปัจจัยสี่ วัตถุแห่งธรรมที่เป็นเครื่องชี้นำทางไปพบกับความสงบสุขนับวันยิ่งเสื่อมถอย แต่วัตถุที่แสดงแสนยานุภาพแห่งความฟุ้งเฟ้อกำลังรุ่งโรจน์และถูกแย่งยิงไขว่คว้ามาเป็นเจ้าของ มีใครในปัจจุบันที่สามารถพูดได้อย่างเต็มที่ว่า เขาไม่ต้องการอะไรเพิ่มอีกแล้ว สัดส่วนของคนเหล่านี้คงมีไม่มากนักในโลกปัจจุบัน และกำลังลดน้อยลงไปเรื่อยๆในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อใครทำสิ่งดีๆ มักจะถูกมองเป็นของแปลก ซึ่งอาจพากันยกย่องสรรเสริญจนเกินพอดี หรืออาจเยาะเย้ยถากถางว่าเซ่อ ไม่ทันเลห์เหลี่ยมคนอื่น
หลังจากจบบทสนทนาในปัญหาข้อนี้แล้ว ผมก็นำมาหาข้อคิดที่น่าจะนำมาใช้ในการลงทุน และสรุปได้ว่า ในปัจจุบัน มีหลายๆคนกำลังเข้าสู่ตลาดทุน ด้วยความคิดที่ว่า นี่เป็นหนทางหนึ่งที่จะพาไปพบกับความร่ำรวย โดยอาจลืมไปว่าคมอีกด้านของแนวทางนี้ก็สามารถพาท่านเหล่านั้นไปพบกับความหายนะได้เช่นเดียวกัน ความโลภมักทำให้วินัยในการลงทุนแปรเปลี่ยนจากเจตนาเดิมที่ตั้งใจไว้ ความเสียดายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ความโลภนำมาใช้ เพื่อผลักดันให้คนเกิดความโลภมากขึ้น สำหรับผมคิดเสมอว่า การลงทุน ถือเสมือนช่องทางหารายได้เพิ่มเติมช่องทางหนึ่งเท่านั้น ได้มากได้น้อยไม่สำคัญ ซึ่งทำให้ไม่เคยคิดเสียดายกับคำว่า ขายหมู ขอเพียงให้ได้โดยไม่เครียด ก็สามารถเติมความสุขในชีวิตได้บ้างไม่มากก็น้อยแล้วละครับ
ปล.หากสถานการณ์ตลาดยังมีแนวโน้มเป็น Side Way Down แบบนี้ไปเรื่อยๆจนจบ APEC ผมคงได้เห็น 540-550 อีกครั้ง (แต่ในใจจริงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นนะครับ) ผมจะซื้อหุ้นเพิ่มเติมในวันที่ 17 และ 20 ครับ แต่เลือกซื้อนะครับ ไม่ใช่ซื้อโดยไม่เลือก หรือเอาแต่เชื่อคนอื่น ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 15 ต.ค. 46 00:24:46 A:202.133.160.252 X: ]
วันนี้หลายๆท่านคงสุขใจที่ได้กำไรจากหุ้นที่ได้ลงทุนไป หลายๆท่านสุขใจจากสีเขียวๆในพอร์ทเพิ่มมากขึ้น แต่ก็คงมีบางท่านอาจผิดหวัง ขอเป็นกำลังใจให้ยืนหยัดต่อไปนะครับ มาดูปัญหาต่อไปดีกว่าครับ
- ถ้าให้คุณเข้าไปตีสนิทกับแต่ละคน คุณจะเลือกตีสนิทกับใครบ้าง
ผมตอบเขาไปว่า หากนำทุกสิ่งที่ได้สนทนากันมาพินิจพิจารณา ผมกำลังคิดว่ากำลังถูกชักจูงจิตใจให้เข้าสู่ทางธรรมมากกว่าทางโลกเสียกระมัง ปัญหาแต่ละข้อที่ผ่านๆมา เมื่อรับทราบคำตอบ ดูเหมือนว่า เป็นคำตอบที่เอาเรื่องทางธรรมมาเฉลยทั้งสิ้น และด้วยเหตุที่ผมก็พอมีความรู้เรื่องทางธรรมอยู่บ้าง คำตอบข้อนี้ผมจะขอตอบในทางธรรมมากกว่าทางโลกก็แล้วกัน แต่ไหนๆก็ยังวนเวียนในอยู่ในทางโลก ก็จะขอตอบในแนวทางโลกปัจจุบันด้วยอีกประการหนึ่ง
หากมองดูผิวเผิน อมาเกมีพลังอำนาจมากที่สุดในเวลานี้ น่าจะคบเป็นมิตรมากที่สุด แต่ดูเหมือนจะเป็นคนเจ้าเล่ห์มากที่สุดด้วย และหากเราคบค้าเป็นมิตรอย่างเปิดเผย ทุกคนที่เหลืออาจไม่ชอบขี้หน้าเราและหาว่าเราถือหาง(จิ้งจอก)อมาเก จนไม่อย่างคบกับเราอย่างจริงใจก็ได้ ตะวันออกกลางก็มีทรัพยากรน้ำมันซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับเรา แต่หากเราซี้กับอมาเก ตะวันออกกลางคงไม่ชอบใจมากนัก เอลซารอิด เราไม่ค่อยได้ติดต่อด้วยมากนัก ดูน่าจะอยู่ไกลตัวมากที่สุด แต่ก็เป็นคนที่ฉลาดที่สุด หากเราเป็นมิตรด้วย อาจได้ความรู้จากเขาพอสมควร ใจหยิ่น มีเชื้อสายใกล้เคียงเรามากที่สุด แล้วก็มีคนในบ้านเขามาปะปนอยู่ในบ้านเราจนแทบเป็นทองแผ่นเดียวกันมาตั้งแต่ในอดีต น่าจะเป็นมิตรอยู่แล้วด้วยซ้ำ ญุ่นปี่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกับเรามานานเหมือนกันหากแต่เป็นประวัติด่างพร้อยมากกว่า แต่ถึงอย่างไรสัมพันธภาพระหว่างเรากับเขาก็ไม่นับว่าเลวร้าย และปัจจุบันก็ถือได้ว่าเขาเป็นพี่รองในเอเชียเหมือนกัน และคนในบ้านเขาก็ยังนิยมมาเยี่ยมบ้านเราอยู่บ่อยๆและดูเหมือนว่าจะมีมากที่สุดด้วย (พอฟัดพอเหวี่ยงกับใจหยิ่นเหมือนกัน) ทำให้เรามีรายได้จากการท่องเที่ยวของเขามากพอประมาณ อิดกังกับเราดูเหมือนว่าไม่ค่อยมีเรื่องราวติดต่อพูดคุยกันมานานพอสมควรแล้ว แปลกดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเรารู้สึกเจ็บลึกๆมาตั้งแต่ในอดีตตอนเราต้องเสียดินแดนบางส่วน หรือว่าเขารู้สึกไม่ไว้ใจเรา เหมือนเรื่อง ขบวนการไทยถีบ รีเปล่าคงตอบได้ยาก แต่หากเราจะคบอิดกังอย่างแนบแน่น เราอาจเสีย เอียดิน ผู้มีอดีตในเจ็บปวดจากน้ำมือของอิดกังมาตั้งแต่สมัยอิดกังเข้าไปปกครองบ้านเอียดิน อีกอย่างเอียดิน ก็มีคนในบ้านมากเป็นอันดับสองรองจากใจหยิ่น ถ้าให้เลือกน่าจะเลือกคบเอียดินมากกว่าอิดกัง อีกประการ ดูเหมือนประวัติศาตร์ของเอียดินกับใจหยิ่นก็มีความสัมพันธ์กันดีมาตั้งแต่ใจหยิ่นเรียกเอียดินว่า ชมพูทวีป แม้ว่าหลังๆจะไม่ค่อยเสวนากันนัก ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราในฐานะคนกลางผู้ประสานทั้งสองฝ่าย สรุปแล้วหากดูในทางโลก เราควรจะคบกับทุกคน เพราะเรามีสมาชิกในบ้านน้อยเมื่อเทียบกับพวกเขา และเราน่าจะได้ประโยชน์จากพวกเขาทั้งสิ้น แต่จะทำอย่างไรให้พวกเขาคบเราอย่างจริงใจนี่สิเป็นปัญหาใหญ่กว่า
หากมองในทางธรรม การจะคบใครสักคนเป็นมิตรคงดูว่า ใครที่น่าจะเป็นกัลยาณมิตรกับเรามากที่สุด หากเราได้กัลยาณมิตรที่มีความแข็งแกร่ง มีความจริงใจ มีความรู้ความสามารถ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเรามากที่สุด และดูๆแล้ว ผู้ที่มีนิสัยใจคอ มีพื้นฐานการดำรงชีวิต มีวัฒนธรรม และอีกหลายสิ่งที่ใกล้เคียงกับเรามากที่สุด น่าจะเป็นใจหยิ่นนั่นเอง ดังนั้นเราน่าคบกับใจหยิ่นเป็นมิตรแท้มากที่สุด (แรกๆก็ว่าจะตอบในทางธรรมมาก ไหงสรุปได้รวดเร็วนักก็แปลกใจตนเองอยู่เหมือนกันครับ)
ลองมาดูสิ่งที่เขาตอบกลับมาบ้าง ด้งนี้ครับ เขาบอกว่า เรื่องทางโลกกับทางธรรมแยกกันไม่ออกหรอกครับ เพียงแต่คนมักยึดติดกับเรื่องทางโลกจนนึกว่าไม่มีเวลาสนใจทางธรรมและห่างเหินจากทางธรรมกันมากพอสมควร อันที่จริงแล้วการดำเนินชีวิตของคนทุกคนล้วนกำลังสัมผัสอยู่ในเรื่องของธรรมทั้งสิ้น ธรรมคืออะไร โลกคืออะไร มีใครตอบได้ชัดเจนเพียงใด คนในบ้านคุณ (บ้านเรา) มีการกล่าวถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระธรรมคืออะไร เคยถามบางคน(ที่ไม่ใช่ผม) ก็บอกว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธ (รู้ดีซะด้วยสิครับ) เมื่อเรียกคำสอนของพระพุทธเป็นพระธรรม แล้วเรียกคำสอนของพระอรหันต์เป็นพระธรรมด้วยไหม แล้วคำสอนที่บุพการีสอนลูกละเป็นพระธรรมไหม คนไทยเราก็ถือบุพการีเป็นพระเหมือนกันมิใช่หรือ เจอเข้าไม้นี้ ผมตะลึงเลยครับ ไม่นึกว่าเขาจะรู้เรื่องราวประเพณีวัฒนธรรมของเราได้ลึกซึ่งเพียงนี้ คงเห็นผมประหลาดใจเขาเลยบอกผมว่า เขาเคยมาอยู่ในเมืองไทยประมาณ 4 ปี เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ยังนิยมชมชอบนิสัยคนไทยอยู่มิลืมเลือน อันที่จริงคนไทยกับคนของเขาก็มีไมตรีที่ดีต่อกันมาช้านาน หากแต่โดนอมาเก อิดกัง คอยเติมเชื้อแห่งความไม่ไว้ใจและล่อหลอกด้วยผลประโยชน์ รวมทั้งเรื่องของตั๋นไหว้ มาทำให้ความสัมพันธ์ไม่แน่นแฟ้นอย่างที่ควรจะเป็น
ที่เขาบอกว่าโลกกับธรรมแยกกันไม่ออก ผมก็ยอมรับครับ เมื่อคิดถึงคำว่า สัจธรรม ซึ่งคือธรรมอันเป็นจริงแท้แน่นอน ก็ทำให้นึกถึง Fact ความแน่นอนอย่างหนึ่งที่สรรพชีวิตต้องพบก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหลีกหนีพ้น ผมเคยติดค้างคุณ Mollusk ไว้อย่างหนึ่งคือ Fact ในการลงทุน ตอนนั้นผมก็นึกถึง Fact ในการลงทุน Fact อย่างหนึ่งที่ผมคิดถึงก็คือ ความเปลี่ยนแปลง นั่นเอง เจ้าความเปลี่ยนแปลงนี้ ก็เหมือนกับ ใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้ ขณะที่เรานั้งอยู่เฉยๆ ทุกเศษเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้นไปเซลในร่างกายของเราก็กำลังเปลี่ยนแปลงและนำมาซึ่งความเสื่อมทางกายภาพ Fact เรื่องความเปลี่ยนแปลง ในการลงทุน เป็นเหตุให้เกิดกำไร ขาดทุน เวียนว่ายตายเกิดสลับกันไปไม่มีที่สิ้นสุด นอกเรื่องไปเยอะขอวกกลับเข้าเรื่องเดิมดีกว่าครับ
เขาบอกผมว่า การที่คุณจะคบกับใคร คุณจะคิดอะไรเป็นหลัก คำตอบที่ผมให้ไป ดูเหมือนจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากคนที่ผมอยากคบเป็นมิตร คิดเท่านั้นจริงๆหรือครับ เมื่อเจอคำถามนี้ผมก็รู้สึกหน้าชาพอสมควรครับ ไม่นึกว่าจะโดนด่าอย่างสุภาพที่สุดในโลกจริงๆ ผมจึงกล่าวอ้างกลบเกลื่อนไปว่า ไม่ใช่ครับ จริงๆแล้วผมก็คิดด้วยว่าผมจะทำอะไรให้กับมิตรของผมด้วยเหมือนกัน หากแต่คำตอบที่ให้ไปเป็นคำตอบที่น่าจะตอบโดยคนส่วนใหญ่มากกว่าครับ เขาจึงยิ้มอย่างปราณีแล้วสั่งสอนผมต่อ
เขาว่าผมตอบได้ดีในเรื่อง คิดจะทำอะไรให้มิตรบ้าง ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูก (โล่งเลยครับ) การที่เราจะแสวงหากัลยาณมิตรสักคนหรือหลายๆคน เราควรต้องถามใจเราแต่แรกด้วยว่าเราพร้อมจะเป็นกัลยาณมิตรของเขาด้วยหรือไม่ กัลยาณมิตรไม่ใช่มิตรที่คอยตามใจเรา และคอยเอาอกเอาใจเราอยู่ตลอดเวลาแต่เพียงอย่างเดียว กัลยาณมิตรของเราต้องเป็นผู้ทีสามารถยอมทนโดนเราด่าว่า เมื่อพยายามตักเตือนเราไม่ให้เดินทางผิด แต่เราก็ดื้อเดินทางผิด และพร้อมที่จะปลอบโยนเราและชี้แนวทางแก้ปัญหาให้เรา(ถ้ามี) เมื่อเราพลาด เช่นเดียวกัน ความหวังดีและปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้ที่คิดว่าตนเองสามารถเป็นกัลยาณมิตรของคนอื่นๆ
ปัญหาข้อนี้ มีคำตอบจากคำถามที่ว่า ณ.ปัจจุบัน คุณเป็นกัลยาณมิตรของคนไหน และแน่ใจหรือว่าจริงใจกับเขา หากไม่เป็นเช่นนั้น คุณก็ไม่ได้กำลังหามิตร แต่คุณกำลังหาลูกค้า และอย่าแปลกใจเลย ถ้าลูกค้าของคุณก็กำลังหาลูกค้าอยู่เช่นกัน ตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงสินธรสถานแห่งนี้ และทำให้ผมนึกไปว่า มีสักกี่คนในสินธรสถานแห่งนี้ ให้ข้อมูลหรือตักเตือนผู้อื่นในฐานะแห่งกัลยาณมิตรบ้าง (ในใจผมคิดว่ามีนะครับ)
การสนทนาในหัวข้อปัญหานี้จบแบบขาดๆอะไรไปสักอย่าง แต่ก็ทำให้ผมคิดอะไรอะไรได้หลายๆอย่าง แปลกดีนะครับ ในเรื่องของการลงทุน และเรื่องของข้อมูลต่างๆที่ปรากฏในสินธรสถานแห่งนี้ ผมมานั่งคิดๆดู หากข้อมูลที่นำมาลงให้ทราบกันเป็นข้อมูลที่ถูกกลั่นกรองแล้ว และมีความน่าเชื่อถือได้สูง น่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อทุกๆคนได้ไม่มากก็น้อย หากทุกคนได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มากแบ่งปันกัน น่าจะเป็นการ Synergize ที่ทำให้เราคนไทยสามารถต่อกรกับต่างชาติที่หวังเข้ามากอบโกยประโยชน์จากประเทศเราได้ ปัญหาอยู่ตรงที่ เราจะฝึกตนให้สามารถเป็นกัลยาณมิตรของคนอื่นๆได้หรือไม่ เอาแค่รายย่อยบางคนไม่ซื้อขายใน NVDR ให้รายย่อยหรือคนอื่นๆไขว้เขวว่าเป็นการซื้อของต่างชาติ (เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง) เท่านั้นก็สามารถทำให้เรารับรู้ข้อมูลการซื้อขายของต่างชาติได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ปล. การลวงผู้อื่นโดยให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ อาจเป็นประโยชน์ต่อตนเองได้ก็จริง แต่เมื่อบางคนในสังคมแห่งนี้ซึมซับเอาวิธีการล่อลวงเพื่อสมประโยชน์แห่งตนไว้มากขึ้นเรื่อยไป อันตรายจากการล่อลวงย่อมย้อนกลับส่งผลร้ายต่อผู้เพาะหน่อเนื้อแห่งความหลอกลวงนั้น ไม่มากก็น้อย นะครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 16 ต.ค. 46 00:19:04 A:202.133.176.19 X: ]
เหลืออีกเพียง 3 คำถาม เท่านั้นนะครับ หลังจากจบ 3 คำถามคงจะสรุปอีกครั้ง พร้อมๆกับเฉลยคำตอบที่ค้างๆไว้ตั้งแต่ตอนแรกๆด้วย ขอบคุณท่านทั้งหลายที่อดทนติดตามอ่านกันอยู่ครับ
- ถ้ามีใครสักคนกำลังจะอดตาย(รวมทั้งคนในบ้านคนนั้นด้วย) คนๆนั้นจะเป็นใคร และจะมีผลกระทบกับคนอื่นแค่ไหน
เมื่อผมได้รับคำถามนี้ ผมก็ยิงคำถามกลับ(ได้โอกาสแล้วนี่) โดยถามว่า หากมีแต่คนฟุ่มเฟือย และทุกๆคนไม่ได้ขาดแคลนปัจจัยสี่ ทำไมถึงต้องมีคนกำลังจะอดตาย ไม่น่าเป็นไปได้มิใช่หรือครับ เขาก็ตอบผมว่า ผมตอบคำถามด้วยสัญชาติญานแห่งการต่อสู้ เป็นธรรมดาของคนทุกคน เมื่อรู้สึกว่าเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ มักจะพยายามมองหาช่องทางเพื่อรุกกลับ และหลายๆคนที่พยายามรุกกลับ มักเปิดช่องโหว่หรือจุดอ่อนเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว คำตอบตรงนี้ทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์สักครู่จนไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรต่อไปในช่วงหนึ่ง ช่วงที่ผมอยู่ในภวังค์ ผมนึกถึงสภาพจิตใจในอดีต ในครั้งที่ลงทุนแบบสเปะสปะ อาศัยข้อมูลข่าวสารจากผู้อื่นเป็นหลัก เมื่อพลาด กลับยิ่งพยายามเฉลี่ยอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหมือนตอกย้ำความพลาดของตนเองลงไปเรื่อยๆ คล้ายๆกับกรณีนี้ เพราะจิดใจตอนนั้นผมก็ตกอยู่ในสภาวการณ์ตั้งรับ และพยายามซื้อเฉลี่ยเพราะหวัง Rebound เพื่อจะได้กลับเป็นฝ่ายรุกนั่นเอง และเมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ายังไงๆก็แย่มากกว่านั้นแน่ มันก็ทำให้ผม Cut Loss ทิ้ง และสังเวยสัญชาติญานการต่อสู้ด้วยทุนรอนที่หายไปอย่างมาก ผมคิดอยู่สักครู่ ก็ได้ยินเสียงเขาเรียก และถามว่าผมกำลังไปเที่ยวที่ไหนหรือ จึงรู้สึกตัวด้วยความรู้สึกแปลกๆพร้อมกับขอโทษขอโพยเขาพอสมควรที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาชั่วขณะ เมื่อตั้งหลักได้ใหม่ เขาก็พูดต่อดังนี้ครับ
เขาบอกผมแย้งไปก็ถูก แต่ผมเปิดช่องโหว่ตรงที่ ผมคงลืมไปว่า บทสรุปทางความคิดของผู้ผลิต ทุกๆคนก็มีความต้องการที่จะผลิตสินค้าเบอร์ 5-7 มากกว่าที่จะผลิตสินค้าเบอร์ 1-4 และทุกคนก็กำลังลืมไปว่า สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตสมควรมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่มาเติมในเรื่องอื่นๆ ปัญหาก็คือ ถึงแม้จะมีการผลิตอาหารเป็นจำนวนมากๆโดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่สิ่งหนึ่งกลับแปรผกผันกับกำลังการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง นั่นคือ พื้นที่การผลิต คงเคยได้ยินคำว่า ผลผลิตต่อไร่ นะครับ เมื่อแนวโน้มของผลผลิตต่อไร่มีจำนวนมากขึ้น จะยิ่งชักจูงให้คนเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นพื้นที่การผลิตก็ถูกลดจำนวนลง เพื่อไปผลิตสินค้าที่ไม่ใช่ปัจจัยสี่ เพราะหวังส่วนต่างกำไรที่สูงกว่า โลกกำลังแบ่งเขตอุตสาหกรรมกันอย่างชัดเจนมากขึ้น ในที่สุดจะมีหลายๆประเทศที่หวังใช้อุตสาหกรรมการผลิตสินค้า 5-7 เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และคาดหวังว่าจะสามารถซื้อหาปัจจัยสี่โดยเฉพาะอาหาร จากประเทศที่ถูกขนาดนามว่า ด้อยพัฒนา และกำลังพัฒนา
ปัญหาอยู่ที่ว่า ทั้ง 7 คนที่กล่าวมา ใครมีพื้นที่การเกษตรมากที่สุด ย่อมเป็น ใจหยิ่น อย่างแน่นอน แต่แนวโน้มการทิ้งงานภาคเกษตรเพื่อเข้าสู่งานภาคอุตสาหกรรมก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ น่าแปลกที่ใจหยิ่นเองมีคนในบ้านจำนวนมากที่ยังอยู่อยากอดอยากยากไร้ แต่ไม่ได้มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตอาหารอย่างจริงจังเหมือนการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จากข่าวต่างๆที่ปรากฏสู่สายตาของชาวโลก ตอนที่ถือว่าประเทศคุณ (ไทยเรา) เป็นผู้โชคดี เนื่องจากได้ค้าขายกับใจหยิ่น เพราะผู้บริโภคของใจหยิ่นมีจำนวนมากกว่าคุณหลายเท่านัก เมื่อมองคนที่เหลืออีก 6 คน ตะวันออกกลาง ก็แห้งแล้ง มีแต่น้ำมันเป็นส่วนใหญ่ เอียดิน ถึงมีกำลังผลิตดี แต่เนื่องจากการแบ่งชั้นวรรณะและวัฒนธรรม ยังทำให้เกิดความยากไร้อยู่ทั่วหัวระแหง ไม่พร้อมที่จะเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก และถึงแม้ผลิตออกมาก็คงมีคนถูกปากถูกคอจำนวนไม่มากนัก อมาเกกับอิดกัง มีเทคโนโลยีดีก็จริง แต่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ อันมีผลต่อการผลิตอาหารในอนาคต และยอมรับกันโดยทั่วไปว่า Junk Food ไม่เป็นที่นิยมต่อไปในอนาคตแน่นอน เอลซาอิด ผู้ใช้เทคโนโลยีในการผลิต ซึ่งผลิตได้แม้ในพื้นที่ทะเลทราย ญุ่นปี่ มีให้ความสำคัญกับภาคการเกษตร แต่พื้นที่การเพาะปลูกก็เหลือน้อยเต็มที
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเกิดมหันตภัยทางธรรมชาติ ที่เป็นเหตุให้การผลิตอาหารเกิดความเสียหาย ก็จะพบว่า เกิดการขาดแคลนในส่วนต่างๆของโลกอยู่พอสมควร หากแต่มีการแบ่งปันช่วยเหลือกันดังที่สนทนากันมาในปัญหาข้ออื่นๆ ซึ่งปัญหานี้ก็ถูกแก้ไขด้วยการผลิตอาหารโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเหมือนอย่างที่เกริ่นไว้ ถ้าเกิดการผิดพลาดใดๆขึ้นกับเทคโนโลยีการผลิต หรือตรวจสอบพบว่าการผลิตด้วยกรรมวิธีบางประการทำให้ได้อาหารที่มีผลร้ายต่อสุขภาพผู้บริโภค จะเกิดอะไรขึ้น หรือแม้กระทั้งการสงครามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากเปลี่ยนจุดหมายไปที่อาหาร โดยใช้อาวุธชีวภาพ คนไหนจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ในปัจจุบันนี้ มีตัวเลขสำคัญๆทางเศรษฐกิจที่กล่าวถึงกันหลายตัว เช่น ปริมาณเงินคงคลังสำรอง ปริมาณน้ำมันสำรอง แต่เคยเห็นมีใครพูดถึง ปริมาณอาหารสำรองบ้างหรือไม่ แปลกดีไหมครับ และถ้าโลกเผชิญกับสภาวะสงคราม มีใครตอบได้บ้างว่า โลกจะอยู่ได้กี่วัน กี่เดือน กี่ปี โดยมีอาหารสำรองรองรับไว้ (แม้แต่ มาม่า ก็มีวันหมดอายุ หากการผลิตเป็นไปด้วยความยากลำบาก ตอนนี้มาม่า เลี่ยงคนได้กี่วัน) ลองพิจารณาดู โสคะปิง เป็นตัวอย่างสักแห่ง ถึงแม้ว่าจะยิ่งใหญ่ทางการเงินสักเท่าใดก็ตาม ก็ยังต้องพึ่งน้ำจืดจาก เมียลาเซ อยู่จนจวบปัจจุบัน หาก เมียลาเซ งดส่งน้ำให้ โสคะปิง จะเกิดอะไรขึ้น
เขาบอกว่า ปัญหาข้อนี้ หลายๆคนมองว่ายังอยู่อีกไกลนัก แต่เขากลับมองว่า สภาพการณ์ตอนนี้ สถานการณ์แบบน้ำผิ้งหยดเดียว สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้แต่ในการประชุม APEC ที่กำลังจะถึง (วันนี้ก็เริ่มแล้ว) หากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น ก็อาจเป็นชนวนเหตุที่สามารถลุกลามใหญ่โตได้โดยไม่คาดคิดนะครับ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ขอชื่นชมนโยบายเรื่อง การผลักดันประเทศเป็นครัวของโลกของประเทศเรา เพราะนอกจากจะเป็นแนวทางที่ทุกคนต้องหันมาใช้บริการบ้างไม่มากก็น้อย ยังเป็นแนวทางการสำรองอาหารไว้ได้มากพอสมควรในยามต้องใช้ หากแต่การเลือกฝ่ายที่ถูกต้องในสงคราม อาจทำไม่ได้ง่ายนัก (ทิ้งท้ายไว้ซะเสียวเลยครับ)
บทสรุปของการสนทนาในประเด็นนี้ ผมเองก็คิดว่า มองไกลเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ด้วยนโยบายของไทยเรา เท่าที่เห็นในตอนนี้ ไม่ว่าเรื่อง ครัวของโลก OTOP หรือทักษิโนมิคที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับ ผมว่า หลายๆคน กำลังเฝ้าสังเกตการณ์ไทยเราอยู่อย่างแน่นอน หากผ่านพ้น APEC ไปได้ด้วยความสำเร็จอันดี หากนักลงทุนจะหนีร้อนมาพึ่งเย็น ตลาดทุนไทยเราคงเป็นที่พึ่งของพวกเขาได้มากพอสมควรนะครับ
จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 17 ต.ค. 46 19:40:08 A:202.133.161.22 X: ]
ในอนาคตเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุด และจะเป็นแหล่งอาหารของโลก
น้ำมันนั้นกินไม่ได้ แต่ข้าวกินได้ ที่จริงแล้วข้าวสำคัญกว่าน้ำมัน ประเทศไทยมีผ้าใหมสามารถผลิตเสื้อผ้าใช้เองได้ผู้คนต้องใส่เสื้อผ้า น้ำและอาหารไทยเรามีอยู่อย่างเหลือเฟือ ถ้าหากคนไทยสามัคคีกันไทยเราแท้จริงนั้นก็คือมหาเศรษฐีโลก ที่จริงแล้วไทยเรามีครบทุกอย่าง ทั้งน้ำมันและทองคำรวมตลอดทั้งแร่ธาติอันพิเศษทุกชนิด แร่ยูเรเนี่ยมก็มีอยู่ที่เกาะภูเก็ต ประเทศไทยทั้งประเทศตั้งอยู่บนบ่อน้ำมันขาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ลึกลงไปไม่ต่ำกว่า 1 กิโลเมตรนะน้ำมันทั้งนั้นใช้ไปเป็น100ปียังบกไปจิ๊ดเดียวเองที่ว่าน้ำมันจะหมดไปจากโลกนั้นมันไม่จริงหาเรื่องขึ้นค่าน้ำมันกันมากกว่า แต่ผมว่าการใช้น้ำมันจนเกิดภาวะเรือนกระจกน่ากลัวกว่า ที่จริงไทยเราน่าจะหาทางใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า มาใช้ขับเคลื่อนรถยนต์และเครื่องจักรกลต่างๆ แบบเดียวกับชาวแอตแลนติสในอดีตใช้กันแทนการใช้น้ำมันน่าจะดีกว่า และยิ่งถ้าหากมีการค้นคว้าและพัฒนาซุปเปอร์คอนดักเตอร์ด้วยก็จะยิ่งดีมาก เผื่อว่าต่อไปจะได้กลายเป็นเครื่องต้านแรงโน้มถ่วงทีนี้การสร้างจานบินขึ้นมาใช้แบบพวก นักวิทยาศาตร์ที่หลบสงครามแล้วพากันก่อตั้งอารยธรรมใต้โลกอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยจนคนคิดว่าจานบินที่เห็นเป็นของมนุษย์ต่าดาวก็เป็นของหมูๆ อ้อทฤษดีสนามรวมที่ทำให้สามารย้อนอดีตได้ใครอย่าไปค้นคว้าต่อนะอันตรายต่อมษยชาติมาก ขนาดไอสไตน์ยังเผาเอกสารการค้นคว้าทั้งหมดทิ้งเลย ต่อมาพวกสหภาพโซเวียตไปได้เศษที่เหลือจากการเผาใหม้แล้วนำมาค้นคว้าต่อจนเกือบจะสำเร็จแล้วแต่นับเป็นโชคคีของมนุษยชาติที่ไม่ต้องถูกทำลายล้างเผ่าพันธุ์ในระดับมิติเลยล่มสลายไปเสียก่อนจะทำได้สำเร็จ พอดีกว่าปากโป้งมากเดียวโดนพวกอารยธรรมใต้โลกเฉ่งกบาลเอา
ผมว่าคุณชอบอ่านสรุปได้ดีทีเดียวครับ
สามารถรวบรวมข้อมูลและคาดการณ์ได้ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นราวกับผู้หยั่งรู้อนาคตเลยครับ
จากคุณ : คนผ่านมา - [ 18 ต.ค. 46 00:36:37 A:203.147.25.123 X:203.147.25.24 ]