สะพานพุทธ
สะพานเหล็กสีเขียวสวย สิ่งก่อสร้างคุ้นตาของชาวกรุงเทพฯ พาดผ่านลำน้ำเจ้าพระยา เห็นมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่เคยมองมันจริง ๆ จนวัยเกือบครึ่งศตวรรษ ยามเย็นบนสะพาน ได้บรรยกาศไม่เลว ลมเย็น ๆ ทิวทัศน์สุดแสนคลาสิก ดังนั้นช่วงกลางสะพานจึงเป็นที่นั่งเล่นชมวิวขณะพระอาทิตย์ตกดินที่คนแถวนั้นจะมาจับจองเมื่อแดดร่มลมตกไม่ได้ผ่านไป แต่ตั้งใจไปเก็บรูปยามโพล้เพล้บนสะพานพุทธไว้ในความทรงจำภาพพาโนรามาถ่ายจากสะพานพระปกเกล้าที่อยู่ข้าง ๆ
วัดสุทัศน์
แวะมาไหว้พระที่วัดสุทัศน์ ก็ต้องเดินออกไปหน้าวัดเพื่อเก็บรูปเสาชิงช้ายอดเสาชิงช้ามีนกน้อยเกาะอยู่โดดเดี่ยวสีแดงสดตัดกับท้องฟ้าสีสันสดใสเหนือกรุงเทพฯ แบบไม่ต้องพึ่ง CPL [เพราะยังไม่มี]
บางกอกคลาสสิก
.... ก็เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็ก เริ่ม "ดู" จริง ๆ ก็เมื่ออายุมากแล้วภูเขาทอง ถ่ายจากสะพานผ่านฟ้าเดินบันไดขึ้นไป ไม่เหนื่อยอย่างที่คิดเพราะความลาดที่เดินสบายน่อง ได้นมัสการอย่างใกล้ชิด (เสียที)ต้นโพธิ์ใหญ่ริมคลองแสนแสบหลังป้อมมหากาฬ ถ้ามันพูดได้ คงมีเรื่องเล่าให้ฟังมากมายถึงความเป็นมาของกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย คือหลักกิโลเมตรแรกของถนนใหญ่สามสายในประเทศไทย ... สุขุมวิท เพชรเกษม และ พหลโยธินภาพปูนปั้นนูนสูง ออกแบบโดย ศ. ศิลป์ พีระศรี มีทั้งหมด 4 ภาพ ภาพใหญ่บนสุดคือเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยกำลังทหาร ภาพใหญ่ล่างสุดเรื่องราวเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฏร ภาพเล็กสองภาพตรงกลางคือการดำรงชีวิตในประเทศของผู้คนภายหลังเลี่ยนแปลงการปกครองนี่ถ่ายไว้เมื่อคนละวัน แสดงให้เห็นบรรยากาศกลางคืนโรงแรมเก่าแก่ (ออกแนวไม่น่าชวนเชิญ) บนถนนดินสอ คงอยู่มานาน ถ้าปรับปรุงให้ดีเป็นเกสเฮ้าส์สวย ๆ แขกคงตรึม เพราะทำเลเยี่ยมภูเขาทองเจ้าเก่า มองจากถนนดินสอแถวบริเวณลานคนเมืองตึกเก่าบริเวณบ้านหม้อศาลา-เฉลิม-กรุง ยายเคยพาไปดูหนังที่นี่สมัยเด็ก ๆสีส้มเทาของโรงเรียนเพาะช่าง
*** บ้านจักรพงษ์ ***
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ไปชมนิทรรศการ ๑๐๐ ปีจุลจักรพงษ์ ที่บ้านจักรพงษ์ บนถนนมหาราช เป็นการรำลึกครบรอบ ๑๐๐ ปี การประสูติของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ จัดขึ้นโดยพระธิดา ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ นิทรรศการมีการฉายภาพยนตร์เรื่อง ภาพแห่งชีวิตจุลจักรพงษ์ (ซึ่งจัดทำเป็นดีวีดี แจกให้พร้อมหนังสือปกแข็งเล่าเรื่องราว เกร็ดน่าสนใจของพระองค์จุลฯ พระราชบิดาและหม่อมแม่ของพระองค์ หม่อมอลิซะเบธพระชายา และพระธิดา ซึ่งรวมอยู่ในค่าบัตร) และเปิดให้เข้าชมชั้นล่างของบ้านจักรพงษ์รูปที่ถ่ายมามีแต่รอบตัวบ้าน เพราะภายในบ้านไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป แต่มีรูปถ่ายห้องต่าง ๆ และของสำคัญในทางประวัติศาสตร์หลายชิ้นภายในบ้าน ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือปกแข็งที่ให้มา ห้องทำงานของพระองค์จุลฯ ได้จัดวางต้นฉบับดั้งเดิมที่เป็นลายพระหัตถ์ ของหนังสือหลายเล่มที่ทรงประพันธ์ไว้เช่น "เจ้าชีวิต" "เกิดวังปารุสก์" เป็นต้น ในห้องนี้ยังมีรูปถ่ายเก่าแก่มากมายที่เป็นส่วนตัว และพระบรมฉายาลักษณ์ของพระราชินีอลิซะเบธที่สองแห่งอังกฤษที่ลงพระปรมาภิไธย เนื่องในวันราชาธิเษก ซึ่งเป็นของที่ระลึกมอบให้ผู้เข้าร่วมพิธี และพระองค์จุลฯทรงเป็นตัวแทนของประเทศไทยในครั้งนั้น อีกทั้งถ้วยรางวัลจากการชนะแข่งรถคอกหนูขาวของพระองค์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเป็นพระโอรสเพียงพระองค์เดียวของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕ และสมเด็จพระพันปีหลวง กับหม่อมแคทยา สตรีชาวรัสเซียในหนังสือเล่าว่าทูลหม่อมพ่อและเสด็จแม่ทรงกริ้วจัดเมื่อทราบว่าพระราชโอรสได้ "เมียแหม่ม" กลับมาจากรัสเซีย และเจ้าฟ้าจักรพงษ์ทรงรู้สึกทุกข์โทมนัส เมื่อความรักอันสุจริตใจของพระองค์ต้องกลายเป็น "รักต้องห้าม"แต่พระพันปีหลวงก็ทรงเริ่มเอ็นดูลูกสะใภ้แหม่ม เมื่อวันหนึ่งทรงเสด็จไปเยี่ยมพระราชโอรสที่วังปารุสก์ และทรงอนุญาตให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ พาสะใภ้เข้าเฝ้า และทรงทอดพระเนตรแคทยาในเครื่องแต่งกายไทย คลานหมอบกราบอย่างเรียบร้อยถูกต้องตามแบบชาววังและความกริ้วแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อทารกน้อยทายาทของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๐ พระองค์จุลฯไม่เพียงเป็นพระโอรสองค์แรก หากยังเป็นหลานองค์แรกของสมเด็จย่า ที่เมื่อทรงรู้ข่าวพระนัดดาเกิด สมเด็จย่าทรงตื่นเต้นและหายกริ้ว รีบเสด็จมาทอดพระเนตร เอาพระทัยใส่ในการจัดห้องหับและดูแลทุกอย่าง และทรงพระราชทานนามแด่พระนัดดาองค์แรกนี้ว่า "พงษ์จักร" ส่วนทูลหม่อมปู่ แม้จะไม่ทรงรับพระนัดดาองค์ใหม่เป็นหลานอย่างเปิดเผย แต่ในที่สุดก็ทรงโปรดให้เข้าเฝ้า เนื่องด้วยพระนัดดาได้ไปเฝ้าสมเด็จย่าที่วังพญาไทเสมอ จึงมีโอกาสเฝ้าทูลหม่อมปู่ ที่ทรงเรียกพระนัดดาหน้าตาน่าเอ็นดูองค์นี้ว่า "อ้ายเล็ก"ในหนังสือได้บอกว่า เมื่อรัชกาลที่ ๕ สวรรคตใหม่ ๆ สมเด็จพระพันปีหลวงทรงมีรับสั่งกับท่านหญิง (หม่อมเจ้าหญิงรัตน์ประภา เทวกุล) ว่า "สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงกำลังโปรดตาหนู เสียดายที่มาด่วนสวรรคตไปโดยเร็ว"ส่วนพระนาม "จุลจักรพงษ์" ทูลหม่อมลุงเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงเปลี่ยนให้ โดยนำพระนามของทูลหม่อมปู่คือ จุลจอมเกล้าฯ มา และยังเป็นการล้อพระนาม "เล็ก" ของพระองค์จุลฯ ไปด้วยในขณะเดียวกันพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงสิ้นพระชนม์ ณ พระตำหนักเทรเดซีในมณฑลคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๐๖ ขณะพระชนมายุ ๕๖ ชันษาเศษ ข้อมูลจากหนังสือ ๑๐๐ ปีจุลจักรพงษ์ โดย ม.ร.ว. นริศรา จักรพงษ์ด้านหน้าของบ้าน หันไปทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สมัยก่อนผู้มาเยือนจะมาโดยทางเรือและเข้าบ้านทางนี้เรือนกระจกนี้สร้างเพิ่มโดยพระธิดา เมื่อก่อนเป็นระเบียงโล่ง ที่แดดออกก็ร้อนจัด ฝนตกก็เปียกแฉะ และม.ร.ว.นริศาเรียกมันว่า "ระเบียงยุงกัด" ที่ครอบครัวจะออกมานั่งเล่นหลังทานอาหารค่ำสวนและงานประติมากรรมทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าต่างห้องทำงานของพระองค์จุลฯ เงาสะท้อนในบ่อบัวทางเดินไปท่าเรือบ้านจักรพงษ์ ซึ่งเราจะเห็นท่าเรือ Chakrabongse Villas หากนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาตัวบ้านที่หันไปทางถนนมหาราช หอคอยจะเป็นที่เก็บพระบรมอัฐิและพระอัฐิของเจ้านายในราชสกุลจักรพงษ์ สวนสวยในฝั่งนี้ของบ้าน ศาลาแปดเหลี่ยมนั้นนำมาจากบ้านจักรพงษ์หัวหิน ซึ่งเป็นมุมที่โปรดปรานมากของหม่อมอลิซะเบธตราราชสกุลเป็นรูปกงจักรกับกระบอง มาจากจักรพงษ์เมื่อสะกดเป็นภาษาอังกฤษ Chakrabongse ชาวต่างชาติจะอ่านออกเสียงฟังเป็น "จักร-กระบอง" หนังสือและดีวีดีที่รวมอยู่ในบัตรเข้าชม วันที่ไปนั้นคนมากพอสมควร หากฟังไม่ทัน หรือฟังทันแต่มองไม่เห็นเพราะบางมุมที่ให้ยืนจะเล็กมาก ถ้าเดินตามกลุ่มใหญ่ เราวนเข้าไปดูใหม่อีกรอบได้ค่ะ ไม่จำกัดครั้ง รอไกด์รอบต่อไป เพราะต้องเข้าไปพร้อมไกด์เดินนำ ซึ่งจะอธิบายเรื่องราวน่ารู้หลายอย่างให้ฟัง นิทรรศการมีไปจนถึงวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๒ รายได้ทั้งหมดนำเข้ามูลนิธิจักรพงษ์ โรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งวันนั้นคุณหญิงนริศราก็อยู่ด้วยที่นิทรรศการเพื่อมอบลายเซ็นหนังสือ เล่มของเราก็เลยมีลายเซ็นของผู้เขียนมอบให้
วัดอรุณ...เมื่อยามเย็น
ได้ไปเก็บภาพพระปรางค์วัดอรุณยามเย็น ตะวันรอน ไปจนฟ้ามืด คืนนั้นพระจันทร์ไม่ยิ้มแล้ว แต่ยังเห็นดาวพระศุกร์ และ ดาวพฤหัสฯ สุกใสบนท้องฟ้าโปร่งตื่นไม่เคยทันไปถ่ายรูปวัดอรุณยามฟ้าแจ้ง ต้องพยายามสักวันแล้ว ตอนนี้มีรูปวัดแจ้งยามเย็นเพียบ