หิวหลวงพระบาง...กินลาวฝรั่งเศสเวียตนาม
สำหรับแฟนประจำ ชี้แจงนิดหนึ่งว่าทีแรกจะเอาไปต่อกับหัวข้อ"ภาพวาดข้างลำโขง" แต่เกรงจะสับสนซ้ำซ้อน จึงมาเปิดหัวข้อใหม่เลย ดังนี้เป็นสามมื้อของสองวันในเมืองหลวงพระบางก่อนจะออกไปนอกเมืองที่หมู่บ้านนายางใต้ ซึ่งก็"กิน"ไปอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นชุดนี้จึงเป็นเรื่องราวการกินในเมืองค่ะอย่างลาวที่ร้าน"ตำหนักลาว" อย่างหรูกลางเมืองหมกปลาค่ะ ปลาแม่น้ำโขงอันนี้ต้องขอโทษจริงๆ ความจริงนี่คือจานสลัดผักน้ำค่ะ แต่ลืมไป ทานเกือบหมดเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูป เลยจัดผักน้ำเอามาวางให้เห็นได้แค่นี้ ขอโทษจริงจริ๊งอ่อมแจ่วหรืออะไรทำนองนี้ จำไม่ได้ถนัดค่ะ แต่ไม่อร่อยเท่าไร รสไม่แซ่บ เหมือนจะเป็นหลนก็ไม่ใช่ ใส่ไข่ด้วยรสอ่อนๆเปิดตัวหนุ่มลาวที่ร่วมเดินทางด้วยกัน ชื่อจันทะวอนค่ะ จบอาหารลาว อันที่จริงก็มีส้มตำข้าวเหนียวด้วย ค่ะ พอตอนค่ำก็ไปลองอาหารฝรั่งเศส ร้านนี้ผู้คนคึกคักโดยเฉพาะชาวต่างประเทศ ชื่อร้านELEPHANT อย่างหรู สั่งสลัด ซุป และปลาแม่น้ำโขง ปลาแม่น้ำโขงทั้งที่อาหารลาวและอาหารฝรั่งเศสเนื้อปลาดีมากทั้งคู่ ไม่มีมันเลย เนื้อเป็นก้อนแน่น อร่อยมากมากมาต่อกันที่อาหารเวียตนาม นิยมกันมากในลาว "เฝอ"ค่ะ เป็นวันที่สามวันที่จะเดินทางออกนอกเมืองถึงจะได้ทาน เมื่อวานวันที่สองมาหนหนึ่งแล้ว เพิ่งบ่ายเอง หมดเสียแล้ว วันนี้จึงตั้งอกตั้งใจมาก แต่ก็เกือบไป คนมาทีหลังเราสองคน อดค่ะร้านอยู่ริมถนน เยื้องๆกับวัดสบ ถนนกลางเมืองเลยค่ะ บรรยากาศในร้าน คนไม่ค่อยไปนั่งค่ะ ข้างนอกสบายกว่าเฝอมาแล้ว ยกมาเป็นแบบนี้จันทะวอนสาธิตวิธีกิน เด็ดผัก ใส่ลงไป ที่อยู่ในกะปุกคือกะปิค่ะผักเขามัดเป็นช่อน้อยๆ น่าเอ็นดูมาก หยิบทีละช่อเลย สองช่อก็ได้ สะดวกดี ถึงเหลือในจานก็ดูไม่ใช่ของเหลือ ชอบมากค่ะไม่ลืม มีผักน้ำด้วยพริกตำมีเครื่องปรุงอื่นตำรวมด้วย ไม่ทราบว่าอะไร แต่ ระวัง เผ็ดมากเรียบร้อย เริ่มได้ค่ะขอชัดๆอีกรูปแถมอีกรูปค่ะ ไปเดินตลาดเช้าในเมือง เห็นปลานี้ เพื่อนบอกว่าปลาแม่น้ำโขงอย่างที่เราทานกันในภัตตาคาร คล้ายปลาบึก แต่ไม่ใช่ เหมือนจะเป็นปลากดปลาคังแต่ก็ไม่แน่ใจ มีชื่อท้องถิ่นอยู่ค่ะ เอ่อ จำไม่ได้ แย่แล้วจบค่ะ ผิดพลาดขาดเหลือประการใดขออภัยหะแรกตั้งใจจะเขียนเหมือนอย่างสารคดีท่องเที่ยว แต่ทีนี้รูปมันเยอะ เลยเอาแบบรูปเล่าเรื่องดีกว่า นะจ๊ะ บายค่ะ
!!!! แพรวพรายหลวงพระบาง
เพราะลืมไปเลยว่าจะเขียนให้อ่านกันอีก ลืมๆๆๆ!!!....ขอโทษก๊าบคิดอยู่ว่าจะเอาอย่างบรรยายหรืออย่างดูรูป ตกลงใจว่าเอารูปมาดูเป็นหลักก่อนดีกว่าตอนค่ำเดินไปหาอาหารเย็น ถนนนี้อยู่กลางเมืองใกล้เข้าเขตร้านอาหาร ที่พัก เลยไปจะเป็นตลาดถนนคนเดินอย่างเชียงใหม่ แต่ที่นี่จะมีทุกวัน เรียกกันว่าตลาดมืด เพราะแต่ก่อนเป็นตลาดที่ไม่ใช้ไฟฟ้า แต่ใช้แสงเทียนแสงตะเกียง ตลาดขนาดเล็กพอน่าเอ็นดู ปัจจุบัน เป็นเต๊นเป็นไฟฟ้า มีร้านขายของมากขึ้นอย่างมากรูปถนนกลางเมือง ร้านอาหารอย่างหรูติดไฟแพรวพราว มีรถยนต์รุ่นเก่ายุคซิกตี้จอดอยู่ เห็นจอดประจำอยู่ตรงนี้ทั้งคืนทั้งวัน ดูแล้วเหมือนฉากหนัง ดูซ้ำอีกทีก็เหมือนฉากหนังจริงๆนะ หลานๆอาจจะงงยุคซิกตี้ หมายถึงยุค ค.ศ.1960น่ะค่ะ 60 ซิกตี้href="//www.bloggang.com/data/m/meoeye/picture/1303158906.jpg" target=_blank>ทีนี้ก็มาที่รูปตลาดมืด เลือกรูปนี้มาให้ดูเพราะตรงกับชื่อ "แพรวพราวหลวงพระบาง" เดินขึ้นบันไดไปตรงเนินเชิงเขาพูสีเชิงเนินมีวัด แต่มืดมาก มองรายละเอียดไม่เห็นเป็นวัดที่มีอิทธิพลสมัยรัตนโกสินทร์ของไทยเรานี่แหละ เดินขึ้นไป ส่องลงมาก็เป็นรูปนี้ ตลาดมืดที่สว่างไสวในวันนี้ สังเกต ในเงามืดใต้ต้นไม้มีฝรั่งเหงานั่งอยู่คนหนึ่ง น่ัะไงhref="//www.bloggang.com/data/m/meoeye/picture/1303159084.jpg" target=_blank>หลบมาด้านข้างตลาดมืด เข้าไปที่วัด มองออกไปนอกกำแพงวัดเห็นไฟตลาดสว่างไสวและแลไกลไปโน่นคือยอดพูสีภาพนี้เดินหามุม หกคะเมนตีลังกาพยายามจะให้สามอย่างร่วมกรอบเดียวกัน ยอดพูสี ตลาดมืด และวัด ดังนี้แลhref="//www.bloggang.com/data/m/meoeye/picture/1303160338.jpg" target=_blank>วัดนี้ชื่อวัดใหม่ มีลายปูนปั้นปิดทองขึ้นชื่อมาก เป็นที่ร่ำลือกล่าวขาน ถ่ายมาตอนกลางคืนยังอร่ามเรืองขนาดนี้ กลางวันจะขนาดไหน ไม่ทราบ เพราะตอนกลางวันฉันก็ระเห็จไปที่อื่นเสียแล้ว เสียดาย ฝากคนจะไปทีหลังดูเผื่อด้วยอาหารเย็นวันนั้น แจ่วหมากเลน หรือคือน้ำพริกมะเขือเทศอร่อยมาก ตำหมากหุ่งหรือคือส้มตำมะละกออร่อยมากขอบอก อีกจานลาบปลาก็อร่อยมากอีก และอีกอย่างคือหมกปลาก็อร่อยอีกเช่นกัน ไม่ได้อยู่ในภาพนี้ พอดีรูปถ่ายออกมาไม่ดี เพราะเป็นตอนกลางคืน ที่น่าสนใจคือจานแจ่วหมากเลนมีผักมาให้เป็นธรรมดาแต่จะมีที่คีบผักมาให้ด้วย เหมือนที่คีบน้ำแข็งบ้านเราเลย ไม่ใช่มีเฉพาะร้านนี้ ไปทานร้านอื่นก็เช่นเดียวกัน อนามัยมากค่ะ และที่หมายเหตุให้จำคือ"ผักน้ำ"เป็นผักพิเศษมาก ในรูปจะนำมาเป็นผักแนมกับลาบปลา แต่ผักน้ำนี้ถือเป็นผักตัวเอกของหลวงพระบางทีเดียว สลัดผักน้ำ พลาดไม่ได้ และยังมีที่ใส่ในอาหารอื่นๆอื่น มีคนบอกว่าคือผัก water crest แต่ไม่ยืนยันเพราะไม่เห็นกับตาแต่เพื่อนที่ไปด้วยบอกว่ามาเจอที่ซุปเปอร์มาเกตในเมืองไทย เหมือนกันเด๊ะและแพงมากด้วย นะเออ ว่าจะเขียนเรื่องอาหารการกินแยกอีกตอนหนึ่งต่างหาก ทั้งกินในเมืองกินในหมู่บ้าน เยอะมากค่ะผักและที่คีบน้ำแข็งของไทยแต่ใช้คีบผักอนามัยของลาวค่ะรูปนี้ไม่ใช่แจ่วหมากเลน เน้นให้ดูคีมค่ะwhere where is a where where ไหนๆก็ไหนๆเอารูปหมกปลามาให้ดูนิดหนึ่ง มีรูปชัดๆน่ากินมากอีกวันถัดมา ไว้ว่าเรื่องอาหารค่อยดูอีกที นะหลังอาหาร เดินมาที่หัวมุมถนนที่แม่น้ำคานกับแม่น้ำโขงมาบรรจบกัน ฟากหนึ่งคือวัดเชียงทอง อีกฟากถนนคือวัดเชียงคานที่เห็นในรูป อร่ามเรืองพองาม ไม่มากเกิน คืนวันพระจันทร์เด่นแต่มีเมฆบังเล็กน้อย คืนนี้ไร้ดาว เดอะสตาร์ไม่ทราบไปไหนหมดทีนี้ก็ขอแถมรูปเด็กน้อยที่มาเฝ้าร้านขายของกับพ่อแม่(มั้ง)ในตลาดมืด ทำการบ้านไปด้วย สวัสดีค่ะ โปรดรอติดตามตอนต่อไปเร็วๆนี้อ้อ ที่มาของหัวข้อแพราวพรายหลวงพระบางคือภาพชุดนี้ ความจริงถ่ายไว้ตอนค่ำวันรุ่งขึ้นค่ะ ข้ามไปฝั่งเมืองจอมเพชร ขากลับนั่งเืรือข้ามมามองเห็นฝั่งเมืองหลวงพระบาง ถ่ายไว้ด้วยกล้องเล็ก ความชัตเตอร์ตำ่มาก ประกอบกับนั่งในเรือสั่นไหว ภาพจึงแพรวพรายเช่นนี้ แต่ตัวเองว่าสวยดีค่ะ คนอื่นว่ามั้ยคะจบจริงๆค่ะ
บ่ายที่ไทยถึงหลวงพระบางใกล้ค่ำ
//www.pantip.com/cafe/richtext/วันนี้นำเสนอหลวงพระบางวันแรกเดินทาง ภาคบนฟ้าแล้วถลาลงมาภาคพื้นดินที่แผ่นดินลาวหลวงพระบางเย็นวันแรก เอาแค่เบาะๆก่อน เพราะต้องเรียงลำดับรูปกับเรื่อง กลัวว่าถ้ารอให้เรียงเสร็จทั้งหมดคงอีกนานนนนนนกว่าจะได้เห็นกันดังนั้นก็ เริ่มเลยนะข้าน้อย(ออกเสียง ข้าน่อย หมายถึงคำลงท้ายที่สุภาพเหมือนอย่าง เริ่มเลยนะคะ ประมาณนั้น)ผ้าเย็นตราสายการบินลาว บินจากเชียงใหม่ไปหลวงพระบาง ออกเดินทางประมาณบ่ายสามโมง ทริปนี้ จากไทยไปกันสองคนโน๊งเน๊ง จนป่านนี้ยังไม่ได้ฉีกซองผ้าเย็นเลยแอร์โฮสเตสสายการบินลาว ชอบชุด ถ้าเป็นเสื้อป้ายแบบนี้จะเป็นทำนองลาวลุ่ม กลุ่มลื้อ ลาวลุ่มก็คือกลุ่มชนเผ่าลาวที่อยู่บนที่ราบ ลื้อเป็นชนเผ่าหนึ่งที่กระจายอยู่ทั่วไป ที่เมืองไทยก็มี จะอยู่แถบเชียงราย แถวเชียงของ เชียงคำ เป็นต้นกล่องอาหารว่าง ที่ฝากล่องคือพระธาตุหลวงที่เวียงจันทร์ค่ะ ของไม่ว่างแล้วเหนือลำน้ำของ เมืองหลวงพระบาง วันท้ายๆของการเดินทาง เราเดินข้ามดอนทรายนี้ เพื่อรอขึ้นเรือข้ามฝากไปอีกฝั่งหนึ่งของฝั่งตัวเมืองหลวงพระบาง ฝั่งนั้นเรียกว่าฝั่งเมืองจอมเพชรเหนือตัวเมืองหลวงพระบาง เห็นพระธาตุพูสีบนยอดเขากลางเมือง ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ท่านว่าสวยมาก และก็ว่าอีกว่าถ้าไม่ได้ไปที่นี่เหมือนไม่ได้ไปหลวงพระบาง นั่น.... เราไม่ได้ขึ้น แปลว่ายังไปไม่ถึง ถ้างั้นต้องไปอีกครั้งต่อไปจบภาคบนฟ้าก็มาถึงภาคพื้นดิน แดดอ่อนลงแล้ว แลนดิ้งค่าาาาาภาคพื้นดินนะจ๊ะหน้าโรงแรมที่พัก อันที่จริงมีรูปที่เห็นดอกไม้และเก้าอี้หวายสวยกว่านี้ แต่เลือกเอารูปนี้มาลงเพราะมีสาวหลวงพระบางนุ่งซิ่นเดินย้อนแสงมา สวยถัดจากถนนไปเป็นแม่น้ำโขง ตอนเช้าจะมาทานอาหารเช้าตรงนี้ ตอนเย็นวันนี้แสงแดดยามเย็นสวยมากมากถัดจากถนนเป็นริมฝั่งแม่น้ำโขง มีร้านอาหารตั้งอยู่เีรียงราย บางแห่งก็ยังเป็นที่ว่าง บางร้านยังไม่จัดร้าน ชาวต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวนั่งหาความสุข รับแสงแดดอ่อนยามเย็น........สาวนี้แกมาไกลนะนี่ มานั่งอ่านหนังสือริมแม่น้ำโขงเดินไปตามถนนนี้จนเกือบสุดทางจะเป็นจุดที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง หัวมุมจะเป็นที่ตั้งของวัดเชียงทอง บันไดท่าน้ำนี้มีความสำคัญเพราะขึ้นจากแม่น้ำโขงเพื่อจะมาที่ถนนและจะมีบันไดอีกช่วงหนึ่งสู่วัดเชียงทอง เจ้ามหาชีวิตของลาวก่อนจะขึ้นราชาภิเษกต้องไปเข้ากำทำสมาธิที่วัดล่องคูนซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดเชียงทอง ข้ามแม่น้ำโขงไป เมื่อครบวันแล้วจึงนั่งเรือจากฝั่งวัดล่องคูณมาขึ้นที่ท่าวัดเชียงทองเพื่อประกอบพิธีนั่นเอง สำคัญนะ ท่าน้ำใหญ่มาก ข้างล่างมีหัวคล้ายหัวนาคแต่ไม่มีหงอน ข้างบนมีสิงห์อย่างที่เห็น วันหลังๆได้ข้ามไปวัดล่องคูนด้วย สุดยอด นิ่งสงบมากๆ มีอาคารที่น่าทึ่ง...มากบันไดช่วงที่ทอดขึ้นสู่ด้านข้างของวัดเชียงทองโรงเมี้ยนโกศอยู่ในบริเวณวัดเชียงทอง คือโรงที่เก็บราชรถที่ใช้ในขบวนแห่พระบรมศพของเจ้ามหาชีวิต ไม่ได้เข้าดูข้างใน แต่ที่เป็นจุดที่"ต้อง"ดูคืองานแกะสลักด้านหน้า โดยเฉพาะตรงบานประตูฝั่งซ้ายลายนางสีดาลุยไฟ เป็นงานฝีมือของเพี้ยคำตันซึ่งเป็นช่างชั้นบรมครูของลาว ตอนที่เราไป ไม่มีแสงแดดแล้ว สว่างรำไร แต่เงาเปลวเพลิงของเพี้ยคำตันยังคงโชติช่วง และโชติช่วงในใจเราจนบัดนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ เป็นเรื่องราวนางสีดาลุยไฟ นางบริสุทธิ์จึงไม่ถูกความร้อนของไฟกล้ำกลาย ในความเห็นของตัวเองนะ ไฟน่าจะให้ความรู้สึกร้อนรุ่ม แต่ที่งานชิ้นนี้แม้เปลวไฟดูลุกโชติช่วงน่ากลัวยิ่งนัก ทว่าใจเรากลับรู้สึกว่าความร้อนมิได้กล้ำกลายนางสีดาผู้บริสุทธิ์จริงๆ นะ...ถ้าใครได้ไปเห็นลองไปรับอารมณ์และความรู้สึกเมื่อได้เห็นงานชิ้นนี้ดู ดึงมาให้ดูใกล้ๆ ช่วงนี้แดดหมดแล้ว แต่ยังมีแสงสว่างอยู่บ้าง ถ้าเป็นช่วงกลางวันน่าจะเห็นความงดงามของแสงเงาที่เกิดจากการแกะสลักล้วงซ้อนเป็นชั้นเป็นเปลว ยามนี้ ก็เห็นเท่านี้ขำมาก เณรน้อยหลวงพระบางสาดน้ำต้นแก้ว ไม่ใช่รดน้ำนะ เอารถเข็นใส่ถังน้ำใบใหญ่ สองคนเข็นอีกคนเอาถังจ้วงสาดกันโครมๆทีเดียว อ้อ เณรน้อยสองสามรูปเนอะไม่ใช่สองสามคนที่วัดเชียงทองตอนเย็น น่าจะประมาณหกโมง ไม่มีนักท่องเที่ยวแล้ว พระกำลังทำวัตรเย็นสงบมากมาก นี่คือวิถีชีวิตจริงๆ นักท่องเที่ยวคงกำลังอยู่ตามที่พักอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวหาอาหารเย็นทานกัน จะบอกว่า มีโอกาสได้ไปฟังพระสวดทำวัตรเย็นอีกครั้งที่วัดปากคาน โอ น่ะนะ อิ่มเอิบอิ่มอาบอบอุ่นซ่าบซ่าน บอกไม่ถูกบรรยายไม่ได้จริงๆนะน้องพร พระท่านสวดพร้อมกัน ด้วยเสียงแท้ที่เปล่งออกมาสู่บรรยากาศสู่ผู้คนและเหล่าเทวดา โอปปาติกะทั้งหลายได้มารับฟัง ไม่ใช่สวดใส่ไมโครโฟนอย่างที่เราคุ้นๆกันอย่างในเมืองไทย แบบว่ากลัวไม่มีใครได้ยิน แต่พอมาฟังที่หลวงพระบางนี่แล้ว เสทือนวิญญาณดีแท้น้อ เป็นบุญหูจริงๆ