อยู่เพือเรียนรู้ และไปให้ถึงที่สุด

Group Blog
 
All blogs
 

1 Litre of Tears

น้ำตา 1 ลิตร ซีรีย์ญี่ปุ่น
-----> 1 Litre of Tears (Eng Sub) <-----

credit: //www.dramacrazy.net/japanese-drama/1-litre-of-tears/






This beautifully moving drama is based on the real-life struggles of a 15-year-old girl named Aya who suffered from an incurable disease, but lived life to the fullest until her death at 25. The script is based on the diary Aya kept writing until she could no longer hold a pen. The book that later followed entitled. Fifteen year old Ikeuchi Aya was just a normal girl, soon to be high school student and daughter of a family who works at a shop that makes tofu. As time passed, unusual things started happening to Aya lately. She started falling down often and walks in a strange way. Her mother Shioka, takes Aya to see the doctor, and he informs Shioka that Aya has spinocerebellar degeneration - a terrible disease where the cerebellum of the brain gradually deteriorates to the point where the victim cannot walk, speak, write, or eat. A cruel disease, as it does not affect the mind in the least. How will Aya react when told about her disease? And how will Aya live from now on?

Currently Airing | Year: 2005




 

Create Date : 13 กันยายน 2553    
Last Update : 13 กันยายน 2553 10:49:15 น.
Counter : 759 Pageviews.  

ภรรยา 4 คน

มีนิทานมาฝากค่ะ หลายคนอาจเคยได้ฟังแล้ว..เรื่องภรรยา 4 คน

ชายคนหนึ่งมีภรรยาชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน

ภรรยาคน ที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจ ตลอด
อยากได้อะไร เขาหาให้ ทุกอย่าง

ภรรยาคน ที่ 2 เขารักมากเขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคน นี้ และจะไปหา ภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอ ควร แวะไปหาบางเป็นครั้ง คราว
ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไป หา ไม่คิด ถึงเลยด้วยซ้ำ

ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิด ร้ายแรงและถูกจับ ต้องถูก ประหารชีวิตก่อน
ที่จะถูกประหาร เขาขอร้อง ว่า เขาขอกลับ
บ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซัก
ครั้ง ผู้ คุมเห็นใจจึง อนุญาต เมื่อกลับ มาถึงบ้าน เขารีบ
ตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟัง และถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า "ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่าง ไร? "
ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำ เสียงที่เย็นชาว่า"
ถ้าเธอตาย เราก็จบ กัน คำตอบที่ได้รับ เหมือนสาย ฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!!
ลงมาที่เขาอย่าง จัง เขารู้สึก เจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่าง ยิ่งนึกเสียดายว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้ เลย

จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยา คนที่ 2ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถามคำถาม เดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร?
ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า "ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่"
เหมือนสาย ฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา อย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึก
เสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่น กัน เขาเดินคอตก
มาหาภรรยาคน ที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถาม ภรรยา คนที่ 3 ว่า"
ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3 จะทำ อย่างไร? " ภรรยา คน ที่ 3 ตอบว่า "
ถ้าเธอตาย ฉันจะไป ส่ง " ทำให้เขา คลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง
อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับ เขา ก่อนกลับไป รับ โทษ
เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่ง ไม่ เคยไปหาเลย จึงไป หา ภรรยา คนที่4 และถามว่า "ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร ?" ภรรยาคน ที่ 4
ตอบ ว่า "ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไปด้วย" แทนที่เขา
จะดีใจกลับนึกเสียใจหนัก ขึ้นไปอีก เพราะ...มัน สายเกินไปเสีย แล้ว ช่วงที่เขา มี ชีวิตอยู่
เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคน นี้ แต่ภรรยาคน นี้ไม่คิดที่จะ ทิ้งเขา
จะติดตามเขาไปอยู่ ด้วย แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหาร
และเมื่อเขาตาย
ภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย..... เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้
มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? คิดกันก่อน นะ แล้วค่อยดู
เฉลย............
.........
.........
.........
.....
............
......... .
.....

ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกันบ้าง

ภรรยาคน ที่ 1 = ร่างกาย ของ เรา เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่
เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง ทุกอย่าง อยากได้ อ ะไรก็หาให้ แต่
พอเราตายมันกลับไม่ไปกับ เรา เมื่อเราตาย
ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่า นั้น

ภรรยาคน ที่ 2 = ทรัพย์ สมบัติ เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อ ให้ได้มันมา
แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคน อื่น

ภรรยาคนที่ 3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง เพราะพอเรา ตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญ ไป
ให้ แปลว่า เขา แค่ไปส่งเราเท่า นั้น ภรรยา

คนที่ 4 = บุญ ที่จะ ติดตามไป หลังจากละโลกนี้ เอาติดตัวไปได้อย่างเดียว คะ




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2552    
Last Update : 9 ธันวาคม 2552 20:14:22 น.
Counter : 328 Pageviews.  

ความรักของสองพี่น้อง



เรื่องราวความรักของพี่น้องสองคน ซึ่งผู้เป็นพี่จะเป็นคนเล่าให้พวกเราฟัง

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน "ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้ แล้วพูดว่า "ผมขโมยเองครับ" ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน "ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า "พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว" ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า "แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า "ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว" พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ "ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า "ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้" แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ "พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ... ผมจะไปหางานทำ แล้วจะส่งเงินมาให้พี่" ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี...

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ ไซด์ก่อสร้าง ... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ... ฉันถามเขาว่า "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ... เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง" ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20ปี ส่วนฉันอายุ 23ปี...

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า "แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ..." น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน ... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ... เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ... แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับต่ำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิ เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา "พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ... ฉันบอกกับน้องว่า "แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30ปี เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า "ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" ... และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้ คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ" ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวัน ในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง ... ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2550    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2551 11:29:26 น.
Counter : 340 Pageviews.  

มุมมองของคน

มุมมองของคน

นานมาแล้ว มีตาแก่ผู้น่าสงสารอยู่คนนึง เมียและลูก
แกเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่แกก็ยังต้องมีภาระเลี้ยงหลานๆ
อีก สี่คนที่ชอบเอาแต่ใจตัวเอง วันๆ ไม่ทำ ไม่ช่วย อะไร
เลย ดีแต่ทะเลาะกันทุกวัน ว่าคนนั้นผิด คนนี้ผิด ที่ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างงี้
จนมาวันนึงตาแก่ ป่วยหนักกำลังจะตาย ก็ยังอดห่วง
หลานไม่ได้ เพราะแกกลัวว่าหลานที่เอาแต่ใจตัวเอง
จะอยู่ในสังคม ในโลก ที่มีแต่คำว่า กูเก่ง ไม่ได้
ก่อนตายแกจึงเรียกหลานทั้งสี่ มานั่งล้อมวงที่โต๊ะสี่เหลี่ยม
แล้วให้หลานเอาผ้าผูกปิดตาไว้ทั้งสี่คน หลังจากนั้นแกก็
ไปหยิบ
"ตะเกียง ทรงสี่เหลี่ยมมาหนึ่งอัน ซึ่งแต่ละด้าน มีสีต่างกัน"
มาตั้งไว้กลางโต๊ะที่เด็กทั้งสี่นั่งล้อมอยู่
แล้วให้หลานทั้งสี่ เปิดผ้าผูกตาออกพร้อมกัน จากนั้นตาแก่
ก็ถามหลานทั้งสี่คนว่า "เห็นตะเกียงสีอะไร"
หลานคนแรกบอกเห็น "สีแดง"
คนที่สองบอกเห็น "สีเหลือง"
คนที่สามบอกเห็น "สีเขียว"
คนที่สี่บอกเห็น "สีน้ำเงิน"
แล้วทั้งสี่ก็เริ่มทะเลาะกันอีก ว่าสีที่ตัวเองเห็นนั้นถูกต้อง
จนตาแก่บอกว่าไม่มี ใครผิด ใครถูกหรอก หลานเอ๋ย
"เพราะตะเกียงมันมีสี่ด้าน" ถ้าใครอยากรู้ว่า ทำไมคนอื่นถึง
เห็นสีไม่เหมือนเรา "เราก็ต้องเดินไปดูในมุมของเค้า
เราก็จะเข้าใจว่าทำไมเค้าถึงบอกว่าเค้าเห็นสีนั้น"
"อย่ามองมุมของเรามุมเดียวแล้วตัดสิน"
เพราะคนเรามันต่างความคิดต่างมุมมอง
พอตาแก่พูดจบ แสงในตะเกียงก็ดับลงพร้อมกับชีวิตของแก

ที่มา:www.kanchai.bloggang.com




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2550 19:20:25 น.
Counter : 370 Pageviews.  

วิชาเหมือนสินค้า

วิชาเหมือนสินค้า อันมีค่าอยู่เมืองไกล
ต้องยากลำบากไป จึงจะได้สินค้ามา
จงตั้งเอากายเจ้า เป็นสำเภาอันโสภา
ความเพียรเป็นโยธา แขนซ้ายขวาเป็นเสาใบ
นิ้วเป็นสายระยาง สองเท้าต่างสมอใหญ่
ปากเป็นนายงานไป อัชฌาสัยเป็นเสบียง
สติเป็นหางเสือ ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง
ถือไว้อย่าให้เอียง ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคา
ปัญญาเป็นกล้องแก้ว ส่องดูแถวแนวหินผา
เจ้าจงเอาหูตา เป็นล้าต้ากันดูลม
ขี้เกียจคือปลาร้าย จะทำลายให้เรือจม
เอาใจเป็นปืนคม ยิงระดมให้จมไป
จึงจะได้สินค้ามา คือวิชาอันน่าพิศมัย
จงหมั่นมั่นหมายใจ อย่าได้คร้านการวิชา





 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2550 19:17:56 น.
Counter : 317 Pageviews.  

1  2  

เภสัช
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เภสัชจุฬ่า รุ่น 57
ออนไลน์ขณะนี้
Friends' blogs
[Add เภสัช's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.