|
สามีดีแตก บทที่ 56 - 60
Fifty six
ปู่ของผมมีที่ทำความสะอาดกระจกแต่แกเอาไปขายที่ผับเพื่อแลกกับเบียร์สามแก้ว แกมักจะทำร้ายร่างกายย่าอยู่เสมอจนกระทั่งวันหนึ่งย่าได้ใช้กระทะด้ามยาวฟาดลงไปบนหัวของปู่ในขณะที่แกกำลังกินไส้กรอกที่ย่าทำให้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปู่ก็ไม่เคยแตะต้องย่าอีกเลย แม่ของผมพยายามสร้างชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ผม ให้ผมห่างจากความรุนแรง หรือความขาดแคลนที่เธอเองต้องเผชิญ ผมเป็นเด็กผมทองที่เป็นที่รักใคร่ของทุกคน การเป็นที่รักของใคร ๆ ทำให้เด็กลำพองได้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกขาดหายจากชีวิตจริงที่ได้ประสบให้ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม่ได้แต่งงานกับคนที่ไม่ชอบใช้กำลัง พ่อของผมเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยแสดงโทสะให้เห็น จอร์ช คือชื่อของพ่อ ผมอยากได้ความรักใคร่เมตตาจากพ่อบ้าง ผมต้องการพ่อที่เป็นที่ปรึกษา เป็นเพื่อน และเป็นคนที่ช่วยแบ่งเบาภาวะความรักล้นใจที่แม่มีต่อผมให้เบาบางลงบ้าง แต่พ่อไม่เคยได้อยู่ให้ติดบ้านเลย พ่อใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนถนน เป็นนักขายตัวยงที่ประสพความสำเร็จ มีเพื่อนแท้ไม่กี่คนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่กับสาวในบาร์หรือคนที่หย่าร้าง แม่ของผมหาทางออกให้กับหัวใจที่บอบช้ำของเธอด้วยการรักคนที่มีเวลาให้กับเธอตลอดเวลา ผู้ชายคนที่จะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ ซึ่งก็คือผมนั่นเอง บางครั้งในตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ แม่จะกอดผมเสียแน่นจนผมหายใจแทบไม่ออก แม่รักผมเสียขนาดนั้นเลยละ ผมออกจากบ้านเมื่ออายุได้สิบแปดปีเพื่อไปเรียนด้านภาษาที่มหาวิทยาลัยลีดส์ ผมยังจำได้ตอนที่แม่สะอื้นซบลงบนบ่าผมตอนไปส่งผมที่สถานีรถไฟ มันเหมือนกับการแยกออกจากปลาหมึกที่เกาะติดแน่นอะไรทำนองนั้น ผมมีความรักใคร่ต่อผู้หญิงเสมอ แต่ประสบการณ์มันสอนให้ผมรู้ว่าผู้หญิงนั้นอันตราย มีทางเดียวที่รับมือกับเธอได้ เหมือนกับที่ผมรับมือกับแม่ของผม คือรักตอบเธอ แต่อย่าให้เธอเข้าถึงจนเกินไป ความรักก็คือความรับผิดชอบต่อความสุขของคนที่เรารัก ความรักคือภาวะยุ่งยากที่เกินจะรับไหว แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียว และผมก็ไม่อยากที่จะต้องรับผิดชอบใครด้วย แน่นอนมันฟังดูขัดกัน ซึ่งผลก็คือชีวิตผมที่ตกอยู่ในความยุ่งเหยิงอยู่ทุกวันนี้ ผมว่าผมคิดถูกมาตลอดเกี่ยวกับความรักนะ เพราะซูซานได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการรักใครสักคนนั้นเป็นอย่างไร คุณจะวิ่งหนีไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก มันต้องมีสักวันนึงที่คุณจะต้องหันหน้ามาเผชิญกับมัน
Fifty seven
ในคืนก่อนวันฝังศพซูซานผมได้ฝันถึงเธอว่า เราไปพักผ่อนเล่นสกีกันที่อินส์บรัค พร้อมด้วยเดวิดและเด็บ พี่สาวของซูซาน ที่มีอายุมากกว่าเธอสองปี เรานั่งอยู่ในสปากลางสวนด้วยกัน โดยมีทัศนียภาพซับซ้อนของภูเขาอยู่รายรอบ ผมมีบันทึกเก่าของเธออยู่ด้วย : บ่าของฉันเหมือนจะแตกหักเป็นเสี่ยง ๆ เพราะภาระอันหนักหน่วงที่แบกอยู่ บ่าของฉันมันกำลังจะแตกหักลงไปเพราะฉันไม่สามารถที่จะแบกภาระนี้ไว้ได้อีกต่อไปแล้ว.... - เป็นอะไรไปหรือค๊ะมาร์ค ผมไม่อยากจะมองหน้าเธอเลย และผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้โกรธเธอเสียมากมาย - ผมรู้สึกหนาวน่ะ ผมบอกกับเธอ - อะไรกันค๊ะ อะไรกันนะหรือ มันก็เพราะเสื้อผ้าเชย ๆ ที่เธอใส่นะซิ มันเหมือนเธอสละแล้วทุกอย่าง เธอไม่เคยคิดที่จะทำอะไรให้ผมรู้สึกอิจฉาเธอบ้างเลย แต่เธอกลับรู้ที่จะทำให้ผมรู้สึกผิด และเราก็ไม่เคยหัวเราะด้วยกันมานานแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเราแก่ล่วงหน้ากว่าอายุจริงถึงยี่สิบปีเห็นจะได้ - ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ผมบอกกับเธอไปอย่างนั้นเพราะผมไม่สามารถบอกความจริงไปโดยที่ผมไม่รู้ทางแก้ปัญหานี้ได้ ฉันรู้สึกไม่มีคุณค่าและไม่ชอบตัวตนที่ฉันเป็นอยู่เลย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอจะรู้สึกแบบนี้ แม้ว่าถ้าผมจะมีบันทึกนี้อยู่ในมือด้วยแล้วก็คงจะไม่มีอะไรแตกต่าง ผมยังจำที่เราทะเลาะกันได้ มันไม่เคยไปถึงไหนเลย วกวนอยู่อย่างนั้นตลอด แต่เราเรียกมันว่าการก้าวไปข้างหน้า ฉันรู้สึกกลัวที่จะแบ่งปันเรื่องเหล่านี้กับมาร์ค เพราะฉันรู้สึกว่าเค้าไม่เคยฟังฉันเลย เค้าไม่เคยตั้งใจฟังจริง ๆ ฉันว่าสิ่งที่ฉันต้องทำคือทำใจให้มันผ่านไปเสียดีกว่า เรื่องนี้มันกระทบตลอดความสัมพันธ์ของเรา มันเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อเรามีเดวิด แต่ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่ามันได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาพร้อม ๆ กับความสัมพันธ์ของเรานั่นแหละ ฉันรู้สึกอ่อนแอและแพ้พ่ายเพราะฉันไม่สามารถอธิบายต่อมาร์คได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันทำร้ายจิตใจฉันขนาดไหน เพื่อความสุขของเขาฉันยอมทำให้ตัวเองเจ็บโดยปล่อยให้เค้าทำอย่างนั้น มันเจ็บกว่าที่เค้าทำกับฉันเสียอีก ดูเหมือนว่าตลอดชีวิตของฉัน ฉันอยู่ก็เพื่อทำให้ทุกคนที่ฉันรักมีความสุขเท่านั้นเอง
Fifty eight
- พ่อไม่เคยคิดว่าอยากจะแต่งงานให้กับลูกทั้งสองเลยจริง ๆ นะ หลวงพ่อบอกอย่างนั้นด้วยความมั่นใจ โดยเฉพาะตอนนี้ ตอนนี้ผมกำลังจะเดินเข้าโบสถ์เพื่อกล่าวไว้อาลัยแก่ภรรยาของผม - เธอเป็นคนที่ต้องการคุณเป็นอย่างมาก และคุณเองก็ไม่เคยที่จะปล่อยให้เธอได้ยืนด้วยตัวเองบ้าง พ่อไม่เคยคิดว่ามันจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง - แล้วทำไมหลวงพ่อไม่บอกกับเราล่ะ - พ่อบอกแล้ว พ่อบอกกับซูซาน ต้องการผมมากเกินไป หรือ ผมยังจำได้ ครั้งหนึ่งก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ตอนนั้นเรายังอยู่ที่ลอนดอน ผมต้องเดินทางไปเบอร์มิงแฮมเพื่อพบลูกค้า คืนที่สอง ในขณะที่ผมกำลังทานอาหารค่ำอยู่กับผู้อำนวยการสร้างหนัง และคนที่คาดว่าจะเป็นลูกค้าในอนาคตที่ร้านอาหารในโรงแรม ผมได้รับข้อความว่าภรรยาของผมรออยู่ที่ประชาสัมพันธ์ - แต่ผมยังโสดอยู่นะ ผมพูดเบา ๆ ก่อนที่จะขอตัวลงลิฟท์ไปที่ลอบบี้ ซูซานได้ขับรถโดยเส้นทางเอ็มหนึ่ง มานั่งหน้าหม่นอยู่ที่นี่ ในมือเธอกำทิชชูที่ชื้นไปด้วยน้ำตาอยู่ แล้วบอกกับผมว่าเธอไม่สามารถอยู่โดยที่ไม่มีผมได้ ผมบอกว่าผมมาแค่สองวันเองนะ ต่อมาผมก็ได้เห็นสีหน้าของเจ้านายผมบอกในทำนองที่ว่า ผมมีปัญหาซะแล้ว ซูซานอยู่เคียงข้างผมในตอนที่ผมลาออกจากงานเพื่อมาเป็นนักเขียนบทอิสระ เธอมีศรัทธาในตัวผมที่คนอื่นไม่เชื่อว่าผมจะสามารถทำได้ ผมต้องการเธอเป็นอย่างมากในตอนนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเรา ผมเชื่อมาตลอดว่าการดูแลซูซานเป็นหน้าที่โดยตรงของผม เมื่อมีใครบางคนต้องการคุณ เค้าไม่สามารถขาดคุณได้ และคุณเองก็ไม่สามารถที่จะทิ้งเค้าไปได้เช่นเดียวกัน แต่ต่อมา หากว่ามันไม่ลงเอยด้วยดีมันก็จะไม่มีทางออก เมื่อตอนที่ผมอายุประมาณหกหรือเจ็ดขวบ เวลาผมไปโบสถ์ ผมเห็นไม้กางเขนที่มีพระเยซูตรึงอยู่อย่างทรมานเพื่อให้คนอื่นได้เป็นสุข ผมก็โตขึ้นมาด้วยความคิดที่ว่าการทนทุกข์นั้นเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ แต่ตอนนี้หลวงพ่อกำลังบอกกับผมว่าความเศร้าโศกและการเสียสละในความสัมพันธ์นั่นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเรากำลังใช้ชีวิตผิดทางเสียแล้ว - คุณจะทำให้คุณอื่นเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อตัวคุณเองเป็นสุขก่อนนะมาร์ค แล้วความสุขน่ะ มันจะแผ่กระจายออกไปเอง เหมือนระลอกคลื่นน้ำในสระนั่นแหละ ความทุกข์ก็เช่นกัน คำพูดของหลวงพ่อตามหลอกหลอนผมในช่วงเวลาที่ผมเป็นทุกข์ที่สุดในชีวิต ในวันหนึ่งต้นโศกแห่งชีวิต ไม่ว่ามันจะถูกปลูกไว้นานแค่ไหน มันจะผลิดอกบานสะพรั่งออกมาจนได้
Fifty nine
บ่ายสองโมงเป็นเวลาที่ผมฝังศพภรรยาของผม ถึงตอนนี้ผมไม่มีอะไรที่จะพูดแล้ว โลงศพสีขาววางอยู่ที่หน้าแท่นบูชา ผมเดินเข้าสู่โบสถ์ด้วยความรู้สึกเหมือนคนทั้งหมู่บ้านจับจ้องอยู่ที่ผม เดวิดจะไม่ยอมจับมือผม เค้าจะไม่ยอมแตะต้องผมเลย เดวิดกล่าวไว้อาลัยแม่ของเขาด้วยเกียรติและหนักแน่นจนทำให้ผมรู้สึกสั่นเทา ผมรู้สึกว้าวุ่นและไม่อยากอยู่คนเดียว ผมเกิดมาในครอบครัวที่กำลังเติบโตขึ้น ผมโตขึ้นท่ามกลางความสุขและปลอดภัย ผมกลัวต่อความโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน นี่ถ้าผมให้มาร์คเป็นคนตัดสินใจว่าผมควรจะโตขึ้นเป็นคนแบบไหน เค้าก็คงจะดูแลผมและไม่ปล่อยให้ผมต้องโดดเดี่ยวตลอดไปเป็นแน่ ในขณะที่ศพกำลังเคลื่อนย้ายออกจากโรงสวด เพลง Youll never walk alone ก็เริ่มบรรเลงขึ้น มันเป็นเพลงโปรดของเธอ แต่ที่สุดเธอก็ต้องเดินคนเดียว เราทุกคนก็จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ระยะทางจากโบสถ์ถึงสุสานไม่ไกลนัก บรรยากาศช่างเงียบเชียบ ทั้งที่เป็นหน้าร้อนกลับมีเมฆคล้ำสีเทา และมีฝนประปรายลงมาเล็กน้อย ที่ในห้องทำพิธี ผมมองดูโลงศพค่อย ๆ เคลื่อยย้ายหายเข้าไปหลังม่าน ผมออกไปรวมกับกลุ่มคนที่มาร่วมงานข้างนอก เราร่วมกันปล่อยลูกโป่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสีหม่น ที่สะท้อนผิวน้ำในบึงให้ออกเป็นสีเทาดำ ฉันอยากที่จะปรึกษากับมาร์คเกี่ยวกับความหวาดกลัวของฉันมาตลอด แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น ฉันก็เลยต้องทนทุกข์อยู่กับตัวเองและลงโทษมาร์คที่เขาไม่ได้เติมเต็มในส่วนของเขา ความสัมพันธ์ของเราไม่เคยราบรื่น และความดื้อดึงของฉันก็มีแต่จะทำให้ฉันว้าวุ่น เจ็บปวด โกรธเคืองและพ่ายแพ้ วันนี้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว เยือกเย็น และหม่อนหมอง การตายจากไปด้วยวิธีนี้เหมือนทิ้งเงามืดไว้กับคนข้างหลังอย่างคิดไม่ถึง ฉันอยากจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และหาทางออกที่ดีกว่านี้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันไม่เคยเป็น และก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่ฉันก็ยังไม่สามารถยอมรับความจริง หรือหาทางออกได้ ฉันก็เลยต้องปล่อยให้ความสัมพันธ์จอมปลอมนี้สิ้นสุดลง รวมทั้งการพูดคุยที่เหมือนไม่ได้คุยกันระหว่างเราให้มันจบลงไปด้วย เราควรจะคุยกันอย่างเปิดอกทั้งสองฝ่าย ถูกของซูซานที่ว่าเราควรจะพูดกันอย่างเปิดอก พูดและฟังกันอย่างจริงจัง เพราะงั้นวันนี้อะไรคือบทเรียนที่ได้จากการจากไปของผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ชีวิตเต็มไปด้วยรอยร้าว ผู้หญิงที่ผมได้ร่วมชีวิตด้วย ผู้หญิงที่เป็นแม่อย่างสมบูรณ์ และเป็นเพื่อนที่แสนดี สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็คือถ้าหากว่าคุณหลอกชีวิตตัวเอง มันก็กลับมาฆ่าคุณอย่างช้า ๆ อย่างน่ากลัวพร้อมกับสร้างความเจ็บปวดให้แก่ทุกคน ถ้าคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ทำร้ายจิตใจใคร สร้างความรักให้เป็นรักที่ควรจะเป็น แต่ในที่สุดมันก็จะทำร้ายคุณ กัดกร่อนจิตและวิญญาณของคุณไปเรื่อย ๆ เหมือนกรด คุณทำลายคนรอบข้างคุณที่คุณบอกว่ารัก แล้วคุณก็ค่อย ๆ ทำลายตัวคุณเองไปด้วยอย่างช้า ๆ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม หรือบางทีเธอเองก็อาจจะทำอย่างเดียวกันนี้ด้วย และมันก็เป็นบทเรียนที่ผมได้ในวันนี้
Sixty
หลังจากทุกคนกลับไปแล้วผมก็อยู่คนเดียวอีกครั้งในบ้านที่วังเวง ขอบคุณพระเจ้าที่ผมอยู่คนเดียวเสียได้ คนในหมู่บ้านได้พูดกันไปต่าง ๆ นานาในเรื่องนี้ เพื่อนของซูซานคนนึงถึงกับอยากจะตัดตรงนั้นของผมทิ้งเสีย ถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วละ ผมหยิบบันทึกและฉวยเอาวิสกี้บัวบันติดมาด้วยก่อนที่จะเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น หลังจากที่แม่ได้เสียชีวิตลง ฉันได้ไปนั่งปรับทุกข์กับเธอที่หลุมฝังศพถึงเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับมาร์ค... นี่มันเกิดขึ้นมานานขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าไม่ใช่เพราะบันทึกเหล่านี้ผมก็คงจะไม่มีทางได้รู้ ผมนึงถึงช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปอย่างสูญเปล่า รอคอยให้ทุกอย่างมันดีขึ้น และคิดว่าหากผมได้พูดคุยกับเธออย่างจริงจังผมก็คงจะแก้ปัญหานี้ได้ ฉันอยากให้เราทั้งสองคนพูดกับเดวิดถึงสถานะของเราที่เป็นอยู่ในขณะนี้ด้วยกัน รวมถึงเรื่องที่เราแยกห้องกันนอนชั่วคราวด้วย แต่มาร์คไม่ยอมพูด ฉันก็เลยต้องพูดกับเดวิดตามลำพัง แน่นอนละ เดวิดเขาก็รู้เรื่องดีอยู่แล้ว และเค้าก็สามารถปรับตัวได้ แต่มาร์คกลับโกรธเคืองเป็นฟืนเป็นไฟ ใช่ ผมโกรธ เพราะมันไม่ใช่ภาพครอบครัวที่สมบูรณ์ที่ผมวาดไว้ ผมไม่อยากให้มันเป็นจริง ผมเป็นคนที่คอยแก้ปัญหาให้กับทุกคนได้ ผมไม่อยากถูกตำหนิจากคนในครอบครัว เพื่อนฝูง และโดยเฉพาะกับลูกชายของผมเอง ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้มาถึงจุดที่ฉันจะต้องสูญสิ้นความเป็นตัวเอง ความมั่นคง และสิ่งที่เป็นตัวฉัน หากว่าฉันไม่พูดออกไปว่า พอกันที ผมดูวันที่ที่ลงไว้ มันเป็นเวลาสามปีมาแล้วที่เธอเขียนบันทึกหน้านี้ แต่เธอก็ยังไม่ได้พูดมันออกมา กลับไปคอยหาทางเพื่อให้ได้ใจที่ไขว้เขวของผมคืน นั่นคือความหมายของการแยกห้องนอนสำหรับฉัน ฉันได้บอกกับมาร์คอย่างชัดเจนแล้วว่าฉันไม่ได้เตรียมตัวที่จะยินยอมกับเรื่องใด ๆได้มากกว่าที่ฉันเคยได้ยินยอมไปแล้ว ฉันจำเป็นที่จะต้องเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง และนั่นก็อาจจะกระทบหรือไม่กระทบต่อผลลัพธ์ของชีวิตคู่ของฉันก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใด ที่สำคัญที่สุดฉันจะต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของตัวเองด้วย แต่เธอก็ไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรเลย จนกระทั้งสามปีกับอีกห้าเดือนต่อมาผมก็กู่ไม่กลับ และอีกแปดเดือนต่อมาเธอก็เสียชีวิต ฉันหมดความมั่นใจ อยากจะอยู่แต่ในบ้าน เกลียดการเข้าสังคม รู้สึกเหนื่อยหน่ายตลอดเวลา ฉันชอบตอนที่ฉันนอนหลับเป็นที่สุดเพราะมันเป็นเวลาที่ฉันไม่ต้องคิดเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันพยายามที่จะทำตัวเองให้เป็นคนอื่นที่ฉันไม่อยากเป็น รู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองปล่อยให้เป็นอย่างนั้น เพราะในที่สุดแล้วมันไม่มีทางที่จะออกมาในทางที่ดีได้ ไม่ว่าฉันจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ในความสัมพันธ์หากว่าความต้องการของคนหนึ่งทำให้อีกคนต้องเจ็บปวด มันก็คงจะไปกันไม่ได้ ซึ่งฉันก็เห็นได้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่กับเรา แต่คืนนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่ฉันเข้าใจว่าเพราะอะไร ไม่มีอีกแล้วไม่ว่าเดวิดหรือมาร์คคนที่ฉันนึกถึงเหนือสิ่งอื่นใด หรือตัวฉันเอง ไม่อย่างนั้นแล้วฉันก็จะไม่เป็นฉันอีกต่อไป ประโยคสุดท้ายดังก้องอยู่ในหัวของผมเหมือนโดนกระหน่ำโดยพายุร้าย มาร์คกับฉันอยู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่มีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมเลย จริง ๆ แล้วฉันไม่มีอะไรที่ชอบเหมือน ๆ กับเค้าเลย ความชอบของเรามันต่างกันมากจริง ๆ แม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันแต่ความสนิทสนมลึกซึ้งก็ไม่เกิด เมื่อวานนี้หากว่าฉันจะกลับบ้านเร็วหน่อยก็ได้ แต่เพราะว่าตอนนี้เดวิดได้งานทำที่ซูเปอร์มาเก็ตแล้ว ฉันก็รู้สึกหวั่น ๆ ที่จะอยู่บ้านตามลำพังกับมาร์ค พระเจ้า นี่มันตั้งสองปีก่อนที่เราจะแยกกันเสียอีก ฉันรู้ว่ามีเรื่องต่าง ๆ ที่ฉันควรจะพูดออกมาให้เสียสิ้น แต่แทนที่จะพูดมันออกมาฉันกลับเขียนมันลงไปในกระดาษแทน เพราะฉันรู้สึกมีอิสระที่จะปลดปล่อยมันออกมามากกว่าที่จะพูดกับมาร์ค มันไม่เกี่ยวกับการแยกออกไปของมาร์ค หรือเดวิด หรือ การตายของแม่หรอก แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองในตัวของฉัน ฉันกำลังจะตายไปเพราะชีวิตตามแบบที่ฉันดำเนินมาตลอดสี่สิบปีนี้มันใช้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเธอทิ้งผมไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นป่านนี้เธออาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้ ทำไมเธอถึงทนอยู่ได้นะ แม้ว่ากระทั่งหลังจากที่ผมได้พบกับแอนนาแล้ว หรือ ตอนที่ผมแยกออกไปเธอก็ยังทนอยู่ได้ แล้วทำไมเธอต้องโทรหาแอนนาบอกว่าเรามีชีวิตคู่ที่มีความสุขดี ทั้ง ๆ เธออยู่อย่างไม่มีความสุขมาโดยตลอด หรือว่าสำหรับเธอแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการเป็นเด็กดีของแม่ เธอทำเหมือนกับที่แม่ของเธอทำโดยทนอยู่กับชีวิตคู่ที่ไม่สุขสม เพราะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่คนดีต้องกระทำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เธอได้หน่วงเหนี่ยวการตัดสินใจของเธอเอาไว้จนกระทั่งมันสายเกินไป ซูซานเป็นคนดี เป็นเพื่อนแท้ เป็นแม่ที่ทุ่มเท คนเดียวที่เธอทำร้ายได้ก็คือตัวของเธอเอง คืนนี้ผมรู้สึกเหมือนเธอได้พูดแทนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วทุกคน เสียงกระซิบความเศร้าโศกของเธอติดตามผมไปทั่วบ้าน สิบห้าปีกับเดวิด กับมาร์คก่อนหน้านั้น และกับพ่อแม่ก่อนหน้ามาร์ค ฉันได้ดำเนินชีวิตอย่างที่ฉันคิดว่ามันคือชีวิตที่ฉันควรจะเป็น แม่ที่ไกล้ชิดลูก ภรรยาที่เคียงข้างสามีอยู่เสมอ เป็นลูกที่แม่คาดหวังได้ ฉันเป็นได้ทุกอย่างเพื่อทุกคน แต่ฉันไม่สามารถเป็นฉันเพื่อตัวฉันเองได้ ฉันมีเวลาให้กับทุกสิ่งนอกจากตัวเอง ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะเป็นคนที่คนอื่นเห็นว่าฉันควรจะเป็น แทนที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นตัวเองที่แท้จริง งานทำให้ชิวิตฉันมีความหมายขึ้น หากว่าไม่มีงานแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะเป็นอย่างไร ฉันได้ยินและเชื่อมั่นในเสียงที่ออกมาจากภวังค์ ฉันรู้ว่าจะต้องตายลงไปอย่างช้า ๆ จากข้างใน และมันก็จะเริ่มจากภายนอกด้วยหากว่าฉันไม่ทำอย่างนี้ ผมปิดบันทึก ผมไม่มีอะไรที่จะพูดอีกแล้ว
Create Date : 26 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 11:43:17 น. |
Counter : 234 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สามีดีแตก บทที่ 51 - 55
Fifty one
ผมปิดเครื่องเล่นวีซีอาร์แล้วเดินออกไปรับแสงแดดที่ลานนอกบ้าน ต้นพิกัสงอกขึ้นมาจากถังบ่มไวน์เก่า ๆ ซึ่งตอนนี้มันได้กลายเป็นกระถางต้นไม้ไปแล้ว มีรากไม้ไชชอนออกมาจากซอกอิฐที่ปูพื้น ผมใช้ชะแลงงัดมันออกมา แล้วมันก็ค่อย ๆ เฉาตายไปในที่สุดเพราะไม่มีเนื้อที่ให้มันเจริญเติบโตได้ คนเราก็คงเช่นเดียวกัน ผมเดินไปมาทั่วบ้านเหมือนเป็นผีเรือนไปแล้ว จิตใจอ้างว้างและล่องลอย ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องให้ต้องจัดการรออยู่มากมายเกี่ยวกับงานศพ แต่ผมกลับคิดอะไรไม่ออกเอาเสียเลยบางครั้งผมก็จำไม่ได้ว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมาผมกำลังทำอะไรอยู่ หรือบางทีพอผมลุกขึ้นเพื่อที่จะทำอะไรสักอย่าง แต่พอผมลุกขึ้นแล้วผมกลับไม่รู้ว่าจะทำอะไร ผมนั่งลงไปที่โต๊ะทำงานของเธอเปิดปิดลิ้นชัก แล้วจ้องมองไปอย่างเลื่อนลอยที่กระดาษโน๊ะที่เธอเขียนถึงตัวเองเพื่อเป็นกำลังใจในยามยากเพื่อที่จะได้ช่วยให้เธอผ่านพ้นเวลาวิกฤตินั้นไปให้ได้ แต่จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนโน๊ตเหล่านั้นไม่จับใจพอที่จะช่วยให้เงามืดนั้นออกไปได้ ผมได้กลิ่นจากพื้นไม้ขัดมัน กลิ่นของมันทำให้ผมคิดถึงซูซานขึ้นมาอย่างคุ้นเคย ผมเจอตู้เอกสารทึบตัวนึง ผมเลื่อนเปิดประตูออกดู ข้างในมีเอกสารอยู่สามฉบับ สองฉบับเป็นกระดาษขาวหนังลูกวัวอยู่ในซองหนังอย่างดี ส่วนอีกฉบับหนึ่งม้วนเก็บไว้ ผมคลี่ฉบับที่ม้วนอยู่ออกอย่างระมัดระวังเหมือนกับว่าหากพลาดพรั้งไปมันอาจจะระเบิดขึ้นมาได้ จดหมายลงวันที่ย้อนไปประมาณหนึ่งปีก่อนที่เราจะแยกกัน มีอะไรผิดหรือ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ ฉันไม่เคยทำอะไรถูกต้องเลยหรือไร รึว่าฉันเป็นภรรยาที่ใช้ไม่ได้ ไม่เป็นแม่ที่ดี จัดปาร์ตี้ไม่เป็น หรือฉันไม่ใช่คนดี อ่านแล้ว ผมอยากจะตะโกนออกไปดัง ๆ ว่าผมไม่ได้ต้องการคนดีหรอก หรือผมอาจจะแค่เคยต้องการเมื่อครั้งกระโน้น แต่เมื่อเธอได้ให้ผมประจักษ์แล้วว่าคนดีเป็นอย่างไร ผมว่าผมอยากได้คนติดดินมากกว่า จดหมายอีกฉบับหนึ่ง จ่าหน้าซองถึงผมที่ผมไม่เคยได้รับ ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นที่ไหนอย่างไรดี สำหรับฉันแล้ว ชีวิตคู่ของเราเหมือนเป็นสงคราม ฉันเป็นฝ่ายที่ถูกล้อมไว้ แต่ฉันก็ปักหลักต่อสู้ในขณะที่คุณพยายามที่จะทำลาย ฉันเหมือนถูกปล่อยให้อดโซจากความรักความเมตตาจากคุณ อยากให้คุณชื่นชมฉันบ้าง แต่สิ่งที่คุณตอบสนองมันทำให้ฉันต้อง สร้างกำแพงกันเอาไว้ ไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามอำเภอใจคุณ มันเป็นสงครามที่ฉันต้องต่อสู้อยู่ฝ่ายเดียว ฉันเคืองโกรธคุณที่ทำให้ฉันต้องเจ็บปวด เพียงเพื่อให้ตัวเองได้สุขสม ฉันโกรธคุณที่ทำให้ชีวิตฉันมีความสุข แต่แล้วคุณก็เอามันไปเสียสิ้น ผลลัพธ์ตกอยู่ที่ฉัน ความโกรธแค้นทำให้บางครั้งฉันอยากจะเอาคืน บาดแผลแห่งความสัมพันธ์ของเรามันบาดลึกจนเลือดไหลซิบ ๆ มันเกินจะเยียวยาเสียแล้ว จนกระทั่งเมื่อสามอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันรู้ว่าฉันได้หมดแล้วซึ่งกำลังที่จะต้องสู้ต่อไปได้อีก ส่วนคุณเองก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะหยุดแม้แต้น้อย และมันก็ทำให้ฉันรักคุณน้อยลงไปได้ด้วย ที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ฉันเคืองโกรธคุณก็ตรงที่คุณพยายามจะควบคุมฉันให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ ฉันเจ็บใจตัวเองที่ยอมให้คุณทำอย่างนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอบคุณพระเจ้า ที่ช่วยให้ความอดทนของฉันหมดสิ้น ไม่ต้องต่อสู้กับมันอีกต่อไป เมื่อลองนึก ๆ ดู ฉันก็ยังเจ็บใจตัวเองไม่หาย บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนจะคุ้มคลั่งเป็นบ้าไปเสียให้ได้ อยากจะหลับไหลไปเสีย จะได้ไม่ต้องรู้สึกอะไร ฉันควรจะถอนตัวออกไปเสียตั้งแต่หลายปีที่แล้วโน่น แทนที่จะยอมให้ตัวเองอยู่ใต้บังคับของคุณอย่างน่าขันสิ้นดี กระดาษหลุดร่วงลงพื้นทันทีที่ผมอ่านจบ ถ้าความรู้สึกจริง ๆ ของเธอเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมเธอต้องยอมให้เรื่องมันดำเนินไปเรื่อย ๆ ด้วย ผมเองก็เช่นกัน แต่ความจริงก็คือผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถทอดทิ้งเธอไปได้ มันเหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องอยู่ ผมไม่เคยรู้สึกผิดในความสัมพันธ์นี้ถ้าหากว่าการอยู่ด้วยกันระหว่างสองคนไม่ได้มีความหมายเดียวกัน ผมเป็นคนที่กลัวต่อการที่จะต้องอยู่คนเดียว การอยู่กับเธอก็กลายเป็นว่าผมทรมานเธอ ไม่ได้รักเธอให้สาสม ความรักที่ผมมีต่อเธอ เท่าที่ผมรู้ ก็คือการเป็นผู้คุ้มครองเธอ เป็นคู่คิด นั่นคือความรู้สึกที่ผมรู้ ผมไม่เคยให้เธอได้รู้ว่าความรู้สึกของผมจริง ๆ เป็นอย่างไร หลายปีที่ผมอยากจะเปลี่ยนเธอให้เป็นผู้หญิงที่ผมจะรัก ผมอยากให้เธอเป็นอย่างแอนนา เราเรียกมันว่าชีวิตคู่ เมื่อผมมองไปรอบ ๆ ตัว ตามฟุตบอลคลับ หรือ ผับ ผมเห็นผู้ชายคนอื่น ๆ เค้าก็ทำกันอย่างนั้น ผมก็เลยคิดว่ามันโอเค ในที่สุดความรักก็กลายมาเป็นเกราะกำบังแห่งความละอาย ซูซานไม่ได้รับในสิ่งที่เธอคาดหวังจากตัวผมไว้ เธอกลัวที่จะถูกทอดทิ้ง ทั้งเธอและผมก็เลยเหมือนติดกับด้วยกันทั้งคู่ เวลาที่หมดไปกับการอ่านหนังสือปรัชญาตะวันตกที่ใช้ชื่อดึงดูดใจให้น่าอ่าน หรือเวลาที่หมดไปกับการไปปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ หรือแม้แต่การที่เราพยายามปรับปรุงการสนทนาระหว่างกัน ทั้งหมดนี้มันเป็นไปได้อย่างไรกัน มันเป็นสองคนที่ติดอยู่กับชีวิตเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเราแยกทางกัน ป้อมปราการที่ซูซานได้สร้างไว้ก็พังทลายลงเพราะมันโดนเซาะ กัดกร่อนไปทั้งภายในและภายนอก
Fifty two
ในทุก ๆ ชีวิตมักจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ให้ความหมายกับชีวิตนั้น ๆ ผมยังจำได้ถึงเรื่องที่ซูซานเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องเมื่อครั้งที่เธออายุได้เจ็ดขวบ ครอบครัวกำลังเตรียมที่จะไปปิคนิคกันโดยรถครอบครัว หกคนพี่น้อง ชายสี่หญิงสอง เบียดกันไปในรถแฟมิลี่วอกซ์ฮอล ด้วยความอยากเรียกร้องความสนใจ ซูซานก็เลยหลบเข้าไปอยู่ใต้เตียงด้วยความหวังที่ว่าพ่อแม่จะต้องมาตามหาเธอ นอนหลบอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางกลิ่นอับฝุ่นจากพื้นพรม รอคอยเสียงเรียกอย่างตกอกตกใจของแม่ หรือเสียงเรียกหาจากพ่อว่าซูซานอยู่ที่ไหน ซูซานหายไปไหน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมา สิ่งต่อมาที่ซูซานจำได้ดีก็คือเสียงรถถอยออกไปจากลานจอด พวกเค้าออกไปโดยไม่มีซูซานอยู่ในรถและไม่มีใครสังเกตุเห็น อาจจะเป็นเพราะครอบครัวใหญ่ บางทีพ่อแม่ของเธออาจจะทะเลาะกันอยู่ก็ได้ มันเป็นวันที่อากาศค่อนข้างร้อน และผมก็พอจะนึกภาพที่เด็ก ๆ หกคนเบียดกันอยู่ในรถ ต่างคนต่างตะโกนอย่างโน้นอย่างนี้ได้ มันคงจะอลหม่านน่าดู บางทีทุกคนอาจจะรู้ว่าซูซานไม่ได้อยู่ในรถตั้งแต่ที่เลี้ยวรถออกไปก็ได้ เธออาจจะถูกลืมไปเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง เธออาจจะไม่ได้จำในตอนนั้น สิ่งที่เธอจดจำได้ก็คือ นั่นเป็นรางวัลที่เธอได้สำหรับการเป็นเด็กดี ไม่เคยเรียกร้องอะไร ไม่โวยวาย มีแต่ช่วยเหลือ และไม่เคยสร้างปัญหาให้ หลายปีต่อมา สามีของเธอก็ได้ให้รางวัลเดียวกันนี้กับเธออีกครั้ง น่าแปลกที่ความน่ากลัวที่เกิดขึ้นกับเราในวัยเด็กได้ย้อนกลับมาเล่นงานเราอีกครั้งในวันที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันเล่นกลกับเราจนกว่าเราจะแก้กลมันได้ ในส่วนข้อแก้ต่างของสามีเธอนั้น เขาต้องเผชิญกับทางเลือกที่เลือกไม่ได้ เขาอาจจะเลือกที่จะอยู่ช่วยเธอให้ออกมาจากใต้เตียงนั้นได้ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่สามารถให้ในสิ่งที่เธอมีสิทธิเต็มที่ที่จะเรียกร้องเอาจากเขาได้ หรือเขาเลือกที่จะเป็นคนดีกว่านี้ แต่เป็นที่อื่น ความรักที่อาจจะช่วยคนนึงไว้แต่ทำให้อีกคนตายไปได้
Fifty three
ผมเปิดบันทึกหน้าหนึ่งออกดู มันเป็นบันทึกในวันวาเลนไทน์ ของปีที่แล้ว : พระเจ้า, ลูกสูญสิ้นแล้วทุกอย่าง ทั้งอ้างว้างและเดียวดาย... มันเริ่มมืดแล้ว ผมเปิดโคมไฟที่ที่อยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ มาร์คได้ให้ความสำคัญของวันวาเลนไทน์ไว้บนตู้เย็นจากร้านโทบี้ ฉันจะรู้สึกตัวเองใจแคบไปหน่อยหากว่าไม่ยอมรับ มันจะทำร้ายจิตใจกันเกินไปรึเปล่านะ ถ้าหากจะให้เค้ารู้ว่าเค้าเป็นคนวิเศษแค่ไหนที่ยังอุตส่าห์จำวันวาเลนไทน์ได้ มันน่าขำจริง ๆ ทำไมเค้าไม่คิดถึงวันอื่นๆ บ้างนะ มันจะมีประโยชน์อะไรกันกับวันนี้แค่วันเดียว สิ่งต่าง ๆ ที่มันสำคัญในความรู้สึกสำหรับฉันมันเริ่มหดหาย ฉันไม่สามารถบอกกับใคร ๆ ได้ ยิ่งสับสนจนใจเท่าไร ฉันยิ่งต้องแสดงออกให้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้น ฉันต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ เพราะมาร์คทำให้ฉันเป็นสุขไม่ได้ และก็คงจะไม่ทำด้วย มันเป็นรอยร้าวระหว่างเราที่ไม่มีทางประสาน มาร์คอาจจะไม่เคยมีฉันอยู่ในใจเขาเลยก็ได้ แต่เค้าก็มีฉันอยู่เสมอ ฉันที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรมากมายจากเค้า เราอยู่ด้วยกันได้ เราคุยถึงเรื่องพื้น ๆ ทั่วไปที่จะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ เรื่องบนเตียงของเราก็ดีอย่างที่เป็น...จริง ๆ แล้วฉันคิดว่ามันควรจะดีกว่านั้น แต่สำหรับมาร์คแล้ว ดูเหมือนว่าเท่าที่เป็นมันก็ดีอยู่แล้ว... ฉันพยายามอยู่นิ่ง ๆ สักพักเพื่อให้เวลากับตัวเองผ่อนคลายความตึงเครียด เพราะฉันรู้สึกสับสนไปหมด สูญเสียความรู้สึกที่เป็นตัวตน วันนี้มาร์คพูดกับฉันว่าสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวชีวิตเราในตอนนี้ก็คือความสัมพันธ์ ช่วงนี้การงานของเขาก็ไม่แล่นเหมือนเมื่อก่อน ได้แต่กังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเดวิดออกจากบ้านไปแล้ว พระเจ้า, ฉันคิดว่าเค้าคงไม่ได้คิดว่าความสัมพันธ์ของเรามันสำคัญเลย โชคดีที่วันนี้ฉันสวมแว่นกันแดดไว้ด้วย ไม่งั้นเค้าคงได้เห็นสายตาฉันมันฟ้องความรู้สึกของฉันออกไปแน่ ถ้างั้น ความสัมพันธ์ก็คือการที่ฉันต้องเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน แต่ให้ดูสดใสภายนอก การร่วมรักกันในตอนที่เค้ามีความต้องการขึ้นมา ซึ่งฉันก็ทำได้ด้วยความยินดี แต่ไม่เคยรู้สึกลึกซึ้ง แย่จริง ชีวิตฉันมันช่างเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนที่จะทำให้มันกลับไปเหมือนเดิม ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายเหมือนเดินอยู่ในที่ ๆ ไม่คุ้นเคยท่ามกลางผู้คนที่เห็นฉันเหมือนไม่มีตัวเองไม่เข้าใจภาษา วันวาเลนไทน์พรุ่งนี้ ฉันหวังว่ามาร์คคงจะไม่ทำอะไร เพราะถ้าเขาคิดจะทำขึ้นมามันก็จะเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นเซ็กซ์หรือการสนทนา เราคงจะพบกันเพื่อเห็นแก่เดวิด มันจะไม่มีรักโรแมนติกให้รู้สึก มาร์คเคยพูดไว้ว่าถึงแม้ว่าเค้าจะอยู่ได้ร้อยปี เค้าก็คงจะไม่มีทางเข้าใจผู้หญิงได้เลย เค้าพูดได้ถูกต้องที่สุดแล้วละ ผมฉวยขวดเหล้าบัวบันแล้วตรงไปที่ลำธารที่สุดถนน ยืนสั่นสะท้านอยู่ที่ในความมืด ผมสำลักทุกสิ่งที่อยู่ในท้องก่อนที่ผมจะดื่มเหล้าในมือเสียอีก มีดวงดาวลอยเกลื่อนอยู่บนฟ้า ต้นหญ้าลู่ด้วยแรงลม ผมไม่เคยรู้จักชายในบันทึกคนนั้น แต่มันกลายมาเป็นตัวผมเอง โธ่, ซู เป็นเธอลูกที่ดีของแม่ และเป็นภรรยาที่ดีมาตลอด การเป็นคนดี คอยช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น มันทำให้ชีวิตเธอสูญสิ้น ไม่เคยมีที่ว่างสำหรับคนดี ๆ อย่างเธอเลย
Fifty four
แมรี่เป็นคนที่ซูซานนิยมชมชอบเป็นที่สุด เธอว่าแมรี่เป็นเสมือนแม่พระ แมรี่เกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งและเส้นสายดีในนอกเมืองบอลตันไม่ห่างจากแมนเชสเตอร์มากนัก แมรี่มีชีวิตสมรสที่ดี ใคร ๆ ว่าอย่างนั้น แต่เป็นชีวิตสมรสที่ดีในมุมมองจากพ่อของเธอเป็นหลัก หลายคนสร้างความผิดพลาดในวัยเยาว์เพราะตกหลุมรัก หนุ่มโปรเตสเตนท์คนที่ชื่อแฟรงค์ มาจากครอบครัวที่ใช้แรงงาน เขาเป็นหัวหน้าคนงานในโรงงานของพ่อของแมรี่ พ่อของแมรี่ไม่เคยคิดที่จะให้แมรี่คบหาสมาคมกับหนุ่มคนนี้เลย และเมื่อเขารู้เรื่องเข้า ก็ได้สั่งห้ามไม่ให้แมรี่พบกับหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป ไม่นานครอบครัวก็ได้พาแมรี่ไปพักผ่อนที่เลคดิสทริค โดยเข้าพักที่โรงแรม เพื่อเป็นการเยียวยาอาการอกหักให้กับแมรี่ บ่ายวันหนึ่งที่ในห้องรับประทานอาหารที่ในโรงแรม ในระหว่างเวลาน้ำชา แมรี่ก็ได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับริชาร์ด เศรษฐีหนุ่ม มีการศึกษาดี แถมหน้าตาหล่อเหลาอีกด้วย พ่อของเขามีโรงงานทอผ้าอยู่ที่แมนเชสเตอร์ เป็นที่รู้กันว่านี่เป็นการวางแผนจากครอบครัวของเธอเพื่อให้เธอได้พบกับริชาร์ดแล้วลืมแฟรงค์ผู้ต่ำต้อยเสีย แมรี่ยินยอมคล้อยตามไปด้วย เพราะเธอคิดว่ามันเป็นสวรรค์ลิขิตที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หนึ่งปีต่อมาแมรี่กับริชาร์ดก็ได้แต่งงานกัน ริชาร์ดเป็นสุภาพบุรุษที่เพียบพร้อม แต่ค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมและการแสดงออกทางอารมณ์ที่ค่อนข้างห่างเหิน ไม่นานแมรี่ก็ได้เรียนรู้ว่าเธอเกลียดเขาเพียงใด เธอได้พลาดโอกาสในรักที่เต็มไปด้วยความเสน่หา และผลก็คือเธอต้องทนทุกข์ทรมานกับชีวิตที่เป็นอยู่ ชีวิตที่ลิขิตไว้ แมรี่มีแผนที่จะอยู่กินกับแฟรงค์สักห้าปี ในระหว่างนี้เธอจะเก็บเงินสะสมไว้ให้พอที่จะหนีออกไปได้ ถ้าหากว่าอยู่แล้วไม่มีอะไรดีขึ้น เธอจะไปในทันที เมื่อห้าปีผ่านไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แต่แมรี่ก็มักมีเหตุผลที่จะอยู่ต่อเสมอ และเหตุผลหลักนั่นก็คือ ลูกของเธอนั่นเอง หลังจากสามสิบปีได้ผ่านพ้นไป ลูก ๆ ของเธอได้ออกจากบ้านกันไปหมดแล้ว นี่เป็นโอกาสดีของการเป็นอิสระถ้าหากว่าเธอยังต้องการมันอยู่ เธอได้พบกับแฟรงค์อีกครั้งหนึ่งที่ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ในเมืองลิเวอร์พูล แน่นอน เขาได้แต่งงานไปแล้วและมีลูก ๆ อีกสามคน เมื่อแมรี่ได้พบหน้าคนรักเก่าของเธอ สิ่งที่เธอมองเห็นคือความเสียใจที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตในสิ่งที่ทั้งสองได้ทำพลาดไป เมื่อแมรี่กลับบ้านไปแล้ว เธอก็ได้ลิขิตชีวิตของตัวเองด้วยยาเพื่อยุติชีวิตที่เธอไม่ปราถนา แต่ใครล่ะที่จะฝืนลิขิตฟ้า เมื่อแมรี่ออกจากโรงพยาบาล น้องสาวคนหนึ่งของซูซานได้ให้ความช่วยเหลือแมรี่ในการขอหย่าจากริชาร์ด หลังจากหย่าจากกันแล้วแมรี่ก็ไม่เคยพูดคุยกับริชาร์ดอีกเลยซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเพราะเหตุใด ชิวิตของซูซานได้เจริญรอยตามแม่ของเธอ บางทีอาจจะเป็นเรื่องการสืบทอดระหว่างแม่กับลูกสาวจนกว่าจะมีใครฝ่าวงจรนั้นออกมาได้ แต่ในชีวิตของซูซาน เธอเป็นคนดีที่ชอบการประนีประนอม ทำหน้าที่ในครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ และอยู่ได้กับผู้ชายที่มีอารมณ์ความรู้สึกห่างเหินไปจากเธอ แต่แทนที่เธอจะตีจากไปเสีย เธอกลับยอมทนอยู่จนสายเกินไปเสียแล้ว ที่จริงแมรี่ไม่ใช่แม่พระหรอก เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่รักลูก ๆ ของเธอ และเธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะสอนให้ลูก ๆ ของเธอคิดว่าการประนีประนอมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่แบบแผนของครอบครัวมันก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง เธอไม่ได้ถูกสอนให้ทำตามครรลองของครอบครัวเธอ แต่เธอทำมันไปตามวิถีชีวิตที่เธอเป็นอยู่ต่างหาก ถ้าหากว่าการเจริญรอยตามเป็นสิ่งแสดงถึงความรักแล้วละก็ ซูซานได้แสดงความรักของเธออย่างหนักแน่นต่อแม่ของเธอจนหยดสุดท้ายจริง ๆ
Fifty five
ที่โรงประกอบฌาปณกิจได้ทำการแต่งหน้าศพโดยได้ใช้รูปถ่ายเป็นแนวทางการแต่ง ศพที่แต่งแล้วดูเหมือนหุ่นขี้ผึ้งและเนื่องจากการชันสูตรทำให้ศพของเธอดูแปลก ๆ ไป เดวิดดูศพแล้วได้แต่ส่ายหน้าผละออกไป: นั่นไม่ใช่แม่ของผมหรอก ผมเองเมื่อดูแล้วก็ต้องถอยออกมาเช่นกัน ผมไม่เคยประสบเหตุการณ์ทำนองนี้มาเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมา มาร์คกับฉันได้เหินห่างกันมากขึ้น เรามีบางช่วงเวลาที่สะท้อนถึงช่วงเวลาที่เราเคยสุขด้วยกัน แต่เราก็ไม่สามารถหน่วงมันไว้ได้ ฉันได้ใช้เวลามากมายตกแต่งห้องทำงานของเขา ฉันว่าถ้าฉันใช้เวลาเหล่านั้นมาตกแต่งห้องของตัวเองเสียจะยังดีกว่า เราคุยกันถึงเรื่องของเดวิด เรื่องที่ทำงานทั้งของเค้าและของฉัน แต่เราก็ไม่พูดกันอย่างลึกซึ้ง เป็นเพียงการสนทนาที่คนอยู่ด้วยกันพึงกระทำเท่านั้นเอง ฉันต้องการคนที่ฉันสามารถบอกถึงความหวาดกลัวของฉันได้ เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวฉัน ชีวิตฉัน แต่ระหว่างฉันกับมาร์คมันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่ฉันต้องการ ซึ่งฉันไม่สามารถทำให้เค้าให้ฉันได้ และตัวเค้าเองก็ไม่สามารถทำตัวเองให้ยินยอมพร้อมใจที่จะให้ได้ด้วย มาร์คดูพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งทำให้ฉันกลายเป็นคนที่มีปัญหา การอยู่ด้วยกันของเราเหมือนเป็นเพื่อนที่มีเซ็กซ์กัน มันก็ตลกดีที่เราก็อยู่ด้วยกันมาได้ตั้งนาน จนกระทั่งคุณเสียหลักและรู้สึกว่ามันไม่ใช่อีกต่อไป ฉันรู้สึกเหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเขา เหนื่อยล้า และเสแสร้ง มันช่างเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสมเพชและแห้งแล้งเสียจริง ความห่างเหินระหว่างเราทำให้เค้าไม่ชอบที่จะพูดคุยกันอย่างลึกซึ้ง ผมไม่ชอบที่จะพูดคุยกันอย่างลึกซึ้งเหรอ? ผมอยากรู้จริง ว่าถ้าแอนนาได้อ่านตรงนี้แล้วเธอจะคิดอย่างไร ผมจะเป็นผู้ชายอย่างที่ซูซานต้องการทำไมหากว่าผมต้องอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ผมไม่รู้คำตอบของเรื่องนี้หรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ผมก็ได้แต่แก้ต่างให้ตัวเองจากข้อกล่าวหานี้ว่าอย่างน้อยผมก็อยู่กับเธอมาตลอดไม่ใช่หรือ ไม่ว่าเราจะทะเลาะกัน หรือขัดข้องใจกันผมก็ไม่เคยทิ้งเธอไป จนกระทั้งเมื่อแปดเดือนที่ผ่านมาเมื่อผมได้พบกับแอนนา แม้ว่าเราจะไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนเมื่อก่อนแต่ความรู้สึกก็ยังเป็นอย่างนั้น เราหลอกให้คนอื่นๆ เชื่อว่าไม่ได้มีอะไรเลวร้ายระหว่างเรา เราหลอกแม้กระทั่งตัวเอง สำหรับผมแล้วความรู้สึกสิ้นหวังมันกระทุ้งอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ล่อแหลมต่อความสัมพันธ์ เรารับมือกับมันด้วยการสร้างความห่างเหินระห่างกันโดยมี การงาน เดวิด หรือเพื่อน ๆ เป็นสิ่งรองรับ ซูซานจะไปเล่นโยคะ เทนิส และบุ๊คคลับ ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติจากสิ่งกิจกรรมเหล่านี้ที่จะใช้เป็นที่พึ่ง ถ้างั้นการที่เรายังอยู่ด้วยกันมันก็คงเพราะความเอื้ออาทรต่อกันมั้ง หรือผมเป็นคนทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ชีวิตคู่มันไม่ใช่แค่การประคับประคองให้อยู่รอดเท่านั้น เดวิดจะไม่ยอมเข้าไกล้โลงศพแม้แต่น้อย ไม่มีการอำลา เขาอาจจะทำหลังจากความเศร้าโศกอันหนักหนานี้ได้บรรเทาลงไปแล้ว หรือเมื่อเขาได้ให้อภัยแก่ผมแล้วก็ได้ ผมเห็นแมรี่เคลื่อนไหวอยู่อย่างเงียบ ๆ ที่ม้านั่งแถวหลังสุดในโบสถ์ พร้อมกับผีตัวอื่น ๆ ชีวิตในวัยเด็กของผมก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
Create Date : 22 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 14:20:45 น. |
Counter : 142 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สามีดีแตก บทที่ 46 - 50
Forty six
ตอนนี้ผมทรงใหม่ของเดวิด เบ็คแฮม ฮิตไปทั่ว ทั้งยังมีโปสเตอร์ติดอยู่ทุกแห่งหน ที่บ้านผม ลูกชายคนเดียวของผมกลับหันหลังให้ผมอย่างไม่ใยดี เดวิดเอาแต่นั่งจ้องไปที่จอคอมพิวเตอร์ เขากำลังเล่นเกมส์ ซิมป์ ที่สร้างคนขึ้นมาซึ่งจะถูกบังคับพฤติกรรมโดยคนอื่นอีกที มีซีดีรอมและหนังสือคณิตย์ศาสตร์ วางเกะกะอยู่บนพื้นเต็มไปหมด รวมทั้งหมวกจักรยาน และฟุตบอลแฟบอีกลูกนึง ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ เดวิด - เดวิด.... - พ่อกับแม่ทะเลาะกันอีกใช่มั๊ยครับ - เราพยายามหาทางออกอยู่น่ะ แม้กระทั่งตอนนี้ผมเองยังไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับลูก - ทำไมพ่อไม่กลับบ้านเลยล่ะครับ - เดวิด พ่อกลับมาไม่ได้ - ทำไม่ได้ล่ะครับ - เดวิด ลูกปิดคอมพ์แล้วหันมาทางพ่อได้มั๊ย เดวิดไม่สนใจสิ่งที่ผมบอกเลย - ปิดคอมพ์เดี๋ยวนี้นะ เดวิด เขาหยุดเล่นเกม เอามือกอดหน้าอก ตายังคงจ้องมองนิ่งอยู่ที่หน้าจอ - พ่อกำลังฆ่าแม่อยู่นะครับ พ่อกับนังผู้หญิงคนนั้นที่ลอนดอน - นังผู้หญิงคนนั้นที่ลอนดอนเค้าอยากให้พ่อกลับมาหาลูกนะ แต่พ่อเองที่เป็นคนต้องการที่จะไป แต่พ่อไม่ได้ไปจากลูกนะเดวิด มันแค่.... ชีวิตคู่..... - พ่อช่างเลวได้ดีจริง ๆ นะครับ ผมรู้สึกเดือดดาลจนแน่นหน้าอก - เมื่อกี๊นี้ลูกพูดว่าไงน๊ะ - ก็ในเมื่อพ่อไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แล้วผมจะต้องดีกับพ่อไปทำไมกัน - ก็เพราะว่าพ่อเป็นพ่อของลูกนะซิ - แต่พ่อไม่ได้ใยดีกับเราสักนิด เดวิดพลันลุกขึ้นยืน เก้าอี้ของเขาล้มลงไปนอนราบอยู่กับพื้น ซูวิ่งเข้ามาในทันใดแล้วยืนขวางไว้ระหว่างเรา พลางบอกให้หยุดกันแค่นี้ ผมผลุนผลันออกไปจากห้องโดยเร็ว - คุณจะไม่มีทางได้พบผมอีกต่อไปแล้ว ผมตะโกนใส่เธออย่างมีอารมณ์ ผมรู้สึกถูกครอบงำไปด้วยความผิดและเครียดจัดจนคิดไปว่าผมน่าจะขับรถชนต้นไม้เพื่อให้มันจบ ๆ ไปซะที แต่ผมก็ถูกอยู่เรื่องนึงที่ว่าเธอจะไม่ได้เห็นผมอีกต่อไป ผมโทรไปหาเดวิดในวันรุ่งขึ้นเพื่อขอโทษต่อเขา แต่ไม่มีใครรับสาย ผมก็เลยตรงไปที่นั่น เมื่อผมไปถึงเธอก็ไม่อยู่เสียแล้ว มีแต่โน๊ตทิ้งไว้เก้าอี้ในครัวข้อความว่า เธอจะไปพักอยู่กับเพื่อนที่แมนเชสเตอร์ ผมไม่ได้คิดอะไรมาก และก็ไม่คิดที่จะเก็บโน๊ตนั้นไว้ด้วย ซึ่งปรากฏว่ามันได้กลายเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่เธอเขียนถึงผม
Forty seven
คืนที่เราพบกัน ผมหันหลังกลับจากหน้าเคาเตอร์บาร์แล้วก็เจอกับเธอที่นั่น เราเริ่มพูดคุยกันราวกับว่าได้รู้จักกันมานานนม เธอยิ้มนัยตาหวานชื่น ผมรู้ได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ดวงตาเธอเป็นประกายระยับและมีอานุภาพ ทำเอาความอายของผมมลายไปเสียสิ้น ที่บาร์มีคนเยอะเกินไป เราก็เลยนัดเจอกันที่แจสผับ ผมพร้อมแล้วที่จะลุย เวลาตีหนึ่งที่ผับแห่งนั้นเองผมกับเธอก็ได้เฟรนชคิสกันที่บนฟลอร์เต้นรำ แล้วในสัปดาห์ต่อมาเราก็ได้ร่วมหลับนอนกัน ก่อนหน้านี้เธอเคยมีคนรักแค่คนเดียวเท่านั้น เธอเสียความบริสุทธิ์ไปที่เบาะหลังรถโฟล์ค ส่วนเซ็กซ์ครั้งที่ประทับใจที่สุดเธอบอกว่าเป็นครั้งที่เธอทำในรถโดยที่มีกระปุกเกียร์รถยันหลังเธอไว้นั่นเอง ครั้งหนึ่งที่หอพักของผมที่ริชมอนด์ เราสนุกกันสุดเหวี่ยงโดยเทแอสตี้สเปอร์มังค์ลงบนตัวของเราทั้งคู่แล้วช่วยกันเลียทำความสะอาดให้แก่กันอย่างสนุกสนาน เราหัวเราะกันไม่หยุด นั่นเป็นเมื่อครั้งที่เรายังรู้จักที่จะหัวเราะกันอยู่ คืนหนึ่งที่บ้านพ่อแม่ของเธอ เธอนั่งบนตักผม ตอนนั้นเราคบกันได้ยังไม่ถึงสามสัปดาห์ เธอบอกรักผม ผมไม่ได้รู้สึกรื่นรมย์นัก แต่ผมรู้สึกหวาดหวั่นเสียมากกว่า - บอกฉันซิค๊ะว่าคุณรักฉัน ผมไม่เคยบอกรักผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย ความรักคืออะไร ผมยังแทบที่จะไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป - ฉันรู้ค่ะ ว่าคุณก็รักฉัน ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินจุกอยู่ในคอ และมีเหล็กแบนรัดหน้าอกผมไว้ มันอึดอัดไปหมด - ฉันจะไม่ลุก จนกว่าคุณจะพูดออกมานะค๊ะ และเธอก็เอาจริงเสียด้วย ผมพูดอะไรไม่ออก เธอเองก็นั่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกขึ้นเป็นชั่วโมงจนสุดท้ายผมต้องพูดมันออกไปว่าผมรักเธอ กลับมาตอนนี้ที่ห้องเล็ก ๆ ของโรงแรมในอ๊อกฟอร์ดเชอร์ ผมจ้องมองในตาของแอนนา ในขณะที่คำพูดเดิมหลุดออกมาจากปากผมโดยไม่ยากเย็น ผมบอกเธอว่า ผมรักคุณ จากวินาทีนั้นเองความสัมพันธ์ก็ได้ถูกจำกัดความ มีคำพูดจากคนยิปซีว่า ใครที่เอ่ยคำรักก่อน คนนั้นจะเป็นคนที่พ่ายแพ้ในที่สุด
Forty eight
มันเป็นสิ่งที่กล้าหาญที่สุดแต่ก็แย่ที่สุดที่เธอได้กระทำ ตำรวจเจอศพของเธอในโรงแรมเบดแอนด์เบรคฟาสท์ ชื่อเดอะคันทรีเรสท์ ห่างจากแฮนฟอร์ดโดยรถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมง เธอเข้าพักโดยใช้ชื่อซูซาน โรบินสัน ซึ่งเป็นชื่อก่อนแต่งงานของเธอ เมื่อผมบอกกับเดวิดว่าอะไรเกิดขึ้น เขาคุ้มคลั่งพยายามปีนฝาผนังจนต้องเรียกหมอมาให้ยาระงับประสาทแก่เขา ผมนั่งอยู่กับเกร็ก จำได้ว่าผมนั่งกอดเข่าบนพื้นในห้องนั่งเล่น รู้สึกเหมือนมีมือบีบรัดอยู่ภายในท้องของผม ผมแทบจะสิ้นใจไปด้วยความระทมทุกข์ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ความคิดของผมสับสนไปหมด ผมจะเจอหน้าครอบครัวเธอได้อย่างไร คนในหมู่บ้านอีกล่ะ หรือแม้แต่ที่โรงเรียน ทำไมเธอถึงได้ทำอย่างนี้นะ หรือมันจะเป็นเพราะความเครียด หรือว่านี่เป็นวิธีแก้แค้นของเธอ ผมจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน แล้วเดวิดล่ะ เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปห้องเก็บศพที่โรงพยาบาล ผมกลัวที่จะถูกตัวเธอ เธอดูเหมือนรูปปั้นที่ล้มอยู่ ผิวเหมือนหินอ่อน แล้วยังมีน้ำตาที่ไหลแห้งเป็นเกล็ดแข็งอยู่ที่แก้มของเธออีก ความรู้สึกผิดได้ก่อตัวขึ้นบีบรัดหัวใจของผมอย่างแรง เดวิดรอผมอยู่ที่ระเบียงข้างนอก ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกจากปากเขาเลยแม้แต่น้อย
Forty nine
แอนนากับพอลใช้เวลาร่วมกันในสุดสัปดาห์นั้นที่โรงแรมที่ชิคเชสเตอร์เพื่อบำรุงรักษาชีวิตคู่ของเขา ผมตั้งใจว่าจะโกหกบอกกับเธอว่าผมไม่ต้องการที่จะเจอหรือได้ยินจากเธออีกต่อไป เพื่อทำให้เธอเกลียดผมและจะได้ห่างออกไป แต่เพื่อนสนิทของผมได้บอกว่าผมไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ - ผมจะโทรหาเธอ แต่เพื่อนมันบอกว่าผมไม่ควรพูดกับเธอในตอนนี้ และผมก็ไม่ควรทำอะไรทั้งสิ้นในขณะที่ผมยังอยู่ในสภาพจิตใจอย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็จะได้รู้เรื่องนี้แน่ แต่คุณต้องพูดความจริงกับเธอ คุณติดค้างความจริงกับเธออยู่นะ ความจริง มันช่างเป็นสิ่งที่หายากจริง ๆ
Fifty
ผมนั่งอยู่ในบ้านที่มืดมิดและหนาวเย็น นั่งดูวีดีโอที่ได้เคยบันทึกไว้ตอนที่เธออุ้มเดวิดอยู่ ซึ่งตอนนั้นเขาอายุแค่ไม่กี่เดือน เธอเงยขึ้นมองดูผมแล้วยิ้มด้วยความรำคาญสงสัยว่าผมกำลังบันทึกภาพอยู่หรือเปล่า เธอถามแล้วถามอีกว่าผมกำลังบันทึกอยู่หรือเปล่าด้วยความรำคาญเล็ก ๆ ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องรำคาญด้วยที่ผมอยากจะบันทึกวีดีโอเท่านั้นเอง ผมยังจำได้เมื่อสองปีก่อนที่ผมจะบันทึกวีดีโอนี้ ที่แฟลต ซึ่งผมมีเครื่องพิมพ์ดีดตัวหนึ่ง ไม่มีห้องนั่งเล่น มีตัวต่อติดอยู่ตามตู้เย็น รูปต่าง ๆ ที่ตัดออกมาจากนิตยสาร ก็ติดไว้ตามตู้เย็นเช่นกัน ใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งเราจะได้หรือเห็นอย่างในรูปเหล่านั้นบ้าง - ถ้าฉันมีลูก ฉันจะมีความสุขที่สุดเลยค่ะ ผมเพิ่งออกจากงานเขียนโฆษณาที่ Saatchi & Saatchi ซึ่งเป็นงานที่มีรายได้ดีมาก ขณะเดียวกันซูก็เพิ่งรู้ว่าเธอเริ่มตั้งท้อง ผมเริ่มคิดที่จะกลับไปทำงานเดิมและเลิกความฝันผมเสีย แต่ซูมีความเชื่อมั่นในตัวผม ผมนั่งเขียนบทละครตลกที่โต๊ะในครัวนั่นเอง และทุก ๆ วันอังคารผมจะต้องมีอะไรตลก ๆ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่กินข้าว แต่เราก็มีกันและกัน ซึ่งผมคิดว่ามันทำให้ความสัมพันธ์ของเราแน่นแฟ้นขึ้น ครั้งแรกที่ผมขายบทละครทีวีเป็นตอนๆ ได้นั้น มันได้รับทุนให้ปรับปรุงสร้างเป็นหนังได้ และเราก็ทำให้มันลุล่วงไปได้จริง แล้วเดวิดก็กำเนิดขึ้นมา เขาช่างวิเศษจริง ๆ เราทั้งสองรักใคร่เขามากเป็นที่สุด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอสุขสม มีบางอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเดวิดเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา ความสัมพันธ์ของเราเหมือนไม่ได้ออกแบบมาให้อยู่ในรูปแบบนี้ ชีวิตคู่เริ่มจางลง ไม่มีทางชี้นำ แต่เราก็จะไม่ทิ้งมันไป - ถ้าฉันมีลูก ฉันจะมีความสุขที่สุดเลยค่ะ ในความเป็นจริงแล้ว คนที่สามารถทำให้ซูซานมีความสุขได้จริง ๆ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
Create Date : 20 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 14:21:56 น. |
Counter : 245 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สามีดีแตก บทที่ 41 - 45
Forty one
การมีความสัมพันธ์นอกชีวิตคู่ก็เหมือนกับการเอาผ้าปิดแผลไว้นั่นเอง มันไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์เพียงอย่างเดียวที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าคุณจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม ชีวิตคู่มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ คุณอาจจะบอกกับตัวเองว่าสิ่งที่คุณได้จากการมีชู้รักเป็นสิ่งทดแทนในสิ่งที่คุณไม่สามารถมีได้จากที่บ้านของคุณและมันก็จะทำให้อะไร ต่อมิอะไรดีขึ้นได้ ก็อาจเป็นไปได้สักระยะหนึ่ง แต่พอนานไปความสำนึกมันก็จะเริ่มบั่นทอนคุณไปทุกที เหมือนน้ำกรดกัดกร่อนอะไรอย่างนั้น คุณอาจจะมีชู้รักครั้งแล้วครั้งเล่าและมันก็จะทำให้คุณกลายเป็นคนขี้โกหกไป หรือไม่คุณอาจจะสำนึกได้แล้วจบมันลงไปเสีย เมื่อคุณจบมันลงไปได้คุณก็จะรู้ว่าชีวิตที่อยู่อย่างไม่มีความผิดติดหลังนั้นมันสบายใจกว่าเยอะ แต่แล้วความไม่รู้จักพอมันก็จะก่อตัวขึ้นมาได้อีก และคุณก็ได้รู้ว่าการจบความสัมพันธ์ไปนั้นมันไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่แท้จริง ไม่ช้าไม่นานคุณก็จะเริ่มโหยหาในสิ่งที่คุณต้องการอีก การเริ่มคบชู้นั้นเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่แสดงให้คุณรู้ว่าชีวิตคู่ของคุณมันได้ล้มเหลวลงไปแล้ว เหมือนที่เจนพูดไว้ว่า มันเหมือนกับคุณได้ขนมฟรีมาชิ้นนึงแล้วคุณก็กินมันเสียด้วยซิเพียงแต่มันไม่ใช่ก้อนเค้กหรอก มันเป็นแต่เพียงเศษเค้กเท่านั้นเอง สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับซูมันคงไม่มีทางดีขึ้นได้แน่ คงจะมีแต่ปิดฉากสุดท้ายเท่านั้นเอง ส่วนแอนนากับพอลจะเป็นอย่างไรนั้นเค้าอยู่กันได้อย่างไรผมก็ไม่รู้ จากวินาทีแรกที่ผมอยากจะทิ้งแอนนาไปอยู่กับเธอ เธอก็ปิดกั้นโอกาสนั้นเสีย ทันใดผมก็เลยเหมือนคนโดนลอยแพ ผมทะเลาะกับซูอยู่หลายปี คิดว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องหาทางออกให้ได้ ผมจะแก้ปัญหานี้ และผมก็จะรู้ได้เมื่อถึงคราวที่ผมจะต้องไป หลายปีที่ผ่านมา เราทะเลาะกันเรื่องที่ว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างไร แต่เราไม่เคยถามกันเลยว่าทำไมเราถึงยังอยู่ด้วยกัน ถ้าหากว่าเราได้เคยถามกันอย่างนั้นแล้ว คำถามต่าง ๆ ในวันนี้ที่ยังไม่มีคำตอบอาจจจะได้คำตอบที่ชัดแจนขึ้นมาก็ได้ แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้คำตอบที่ว่าทำไมรักเราถึงได้ลดลงทุกวันมานานแล้ว แต่ผมก็จะหาคำตอบให้ได้ และผมก็จะหามันมาด้วยความเจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึง
Forty two
ผมยังคงเดินทางไปลอนดอนอยู่เรื่อยด้วยข้ออ้างทางการงาน ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจนฝ่ายบัญชีเริ่มสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรานอนดูทีวีถ่ายทอดเทปบันทึกฟุตบอลแชมป์เปียนลีกระหว่างแมนยูกับเรียลแมดริด อยู่บนเตียงที่โรงแรมในเคนซิงตัน ผมเป็นแฟนของแมนยู และผมบอกกับแอนนาว่าเธอน่าจะเป็นแฟนของเรียลแมดริดเพราะเธอมองดูละม้ายไปทางชาวสเปนมากกว่าผม แล้วเราก็เริ่มตั้งกฏการแข่งขันขึ้นมาเองว่า ถ้าลูกออกข้างฝ่ายแพ้จะต้องทำออรัลเซ็กซ์ให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งนาที กระแทกจากด้านหลัง ทีมที่บาดเจ็บจะนอนราบคว่ำหน้าแล้วทีมที่กระทำต้องนวดให้โดยใช้ร่างกายแทนมือ ทีมที่ได้ฟรีคิก จะได้รับการฟอนเฟ้นที่บริเวณไหนก็ได้ที่คุณต้องการเป็นเวลาหนึ่งนาที ใบแดง จะได้รับจูบอย่างดูดดื่มหนึ่งครั้ง แล้วฝ่ายที่ได้ใบแดงต้องนั่งดูอีกฝ่ายถึงจุดโดยห้ามแตะต้องเด็ดขาด ใบเหลือง ฝ่ายที่ได้ไปจะต้องถูกมัดกับเตียงแล้วให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องเซ็กซ์ที่ตนเคยทำกับคนอื่นโดยที่โลมเล้าฝ่ายที่ถูกมัดไปด้วย ได้ประตู คือ เราจะมีเซ็กซ์โดยสอดใส่ในระหว่างที่ทีมชนะกำลังฉลองกันจนกว่าเกมจะเริ่มใหม่ ทีมที่ชนะจะได้รับการถึงจุดสุดยอดเป็นรางวัล ผล แมนยูชนะสี่ต่อสาม สุดยอดจริง ๆ สุดท้ายผมยังไม่ได้เห็นกรรมการกำกับเส้นโบกธงออฟไซด์โดยที่ผมยังไม่ได้ถูกโลมเล้าเลยสักครั้งเดียว
Forty three
ผมยังอยู่ในโรงแรมที่เคนซิงตัน ส่วนเธออยู่ที่งานกินเลี้ยงเล็ก ๆ กับเพื่อนๆ ที่ทาวน์เฮ้าที่ฟูลแฮม ผมเพลียจากการร่วมรักกับเธอและคิดว่าเธอเองก็คงเช่นกัน ในขณะที่เธอกับพวกเพื่อนดูทีวีรายการฟุตบอลอังกฤษกันอยู่ ผมเชื่อว่าเธอจะต้องสะท้านเสียวไปกับเกมนั้นโดยมีผมอยู่ในจินตนาการด้วย และ เพื่อน ๆ ของเธอก็คงจะไม่ระคายแม้แต่น้อย ผมละอิจฉาเธอจริง ๆ ที่ผมถูกปิดกั้นจากชีวิตปกติธรรมดาของเธอ ทุกคนต่างก็มีชีวิตลับส่วนตัวกันทั้งนั้น ชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ เหมือนมีม่านบังตา เราโลดแล่นออกไปสู่ความเดียวดายส่วนตัวโดยที่มีคนพิเศษจริง ๆ เท่านั้นที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วม แอนนาเปิดทีวีให้หนังเรื่องหนึ่ง เล่นไปเรื่อย ๆ ระหว่างที่เราอยู่บนเตียง เพื่อให้เธอรู้สึกเหมือนไม่ได้เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้อง บางครั้งแอนนาก็คิดถึงเรื่องเก่า ๆ สมัยที่เธอยังเป็นเด็ก เรื่องที่ไม่ชวนให้คิดถึง เรื่องที่เจ็บปวด จนกระทั่งมีอะไรมากระชากความคิดเธอออกจากความนึกคิดเหล่านั้น เธอจึงกลับมาสู่โลกแห่งปัจจุบันอีกครั้ง เธอยังมีจินตนาการที่เลือนลางเกี่ยวกับครอบครัวของเธอในอนาคตที่มีลูก ๆ และความสงบสุขกับพอล ซึ่งที่เจนเคยพูดไว้ก็คงไม่ผิด ผมไม่สามารถให้เหตุผลที่ดีให้กับเรื่องนี้ได้เลย ผมเป็นคนรักในฝันของเธอ ความใฝ่ฝันของผู้ชายส่วนใหญ่ เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่สำหรับผม แต่ถ้ามันเป็นเพียงเพราะเรื่องเซ็กซ์ เธอก็ไม่น่าจะหลงรักผมได้ หรือพูดในสิ่งที่เธอเคยพูดออกมา ถ้าอย่างนั้นแล้วสิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ คืออะไรกัน มากกว่าความใคร่ ยิ่งกว่าแรงปราถนา เหนือกว่าความสัมพันธ์ที่พิกลเช่นนี้ ยิ่งกว่าคนรักและเพื่อนที่แสนดี ยิ่งกว่าชายคนพิเศษที่สุดในโลก วันต่อมาเรานัดเจอกันที่ผับแถว ๆ แสตรนด์เรานั่งกันอยู่ในสวนเบียร์ต่างฝ่ายต่างเครียด - ทำไมคุณถึงยังอยู่กับเค้าล่ะแอนนา - เค้าเป็นคนเดียวที่ชั้นมีมาตลอดนะค๊ะมาร์ค - งั้นหรือ - เค้าเป็นคนดีจริง ๆ เวลาที่ชั้นโมโหโทสาขึ้นมาเค้าก็ไม่เคยตอบโต้ เค้าใจเย็นตลอดมา ผมอยากจะบอกกับเธออีกว่า มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ใช่มั๊ย แต่ไม่ว่าที่เธอพูดไปเพียงเพราะไม่อยากให้ผมต้องเจ็บปวด หรือ เธอแค่โกหกให้พ้น ๆ ไป หรือ เธออาจจะเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ ก็ได้ ผมอยากได้ยินเธอบอกถึงความต้องการที่แท้จริงของเธอ แต่กลับได้เพียงแค่ความประทับใจในเปียโนวางอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในอพาทเม้นท์ของเธอ ซึ่งมันทั้งหนัก ทั้งราคาแพงและภาษีสูงหากว่าจะต้องขนย้าย มันก็เลยยังวางอยู่อย่างนั้นเป็นที่เก็บฝุ่นไปเรื่อย ๆ เปียโนสมบัติแสนรักของเธอที่ครั้งหนึ่งเธอเคยคิดว่าจะเล่นมัน แต่จนบัดนี้มันเสียงของมันก็คงจะแปล่งไปหมดแล้ว นี่มันคงเป็นความทรนงของนักรัก ที่ไม่ยอมให้รักมันเป็นไปตามทางของมันเอง - ชั้นไม่ใช่ตัวคนเดียวนะค๊ะมาร์ค เราต่างก็เป็นเหมือนที่พึ่งพิงแก่กันไม่ใช่หรือ - ถ้างั้นคุณจะมีชีวิตคู่ไปทำไมกัน หากคุณยังต้องการที่พึ่งพิงอีก ผมงงงันจนไม่รู้จะพูดยังไงดี ถ้าผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แล้ว พอลจะเป็นอะไรสำหรับเธอได้ - คุณจะอยู่กับเค้าได้หรือ เธอมองผมผ่านขอบแก้วไวน์ สีหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปจากความกลัดกลุ้มเป็นความระแวงว่าผมจะเป็นผู้ชายอีกคนที่จะทำให้เธอติดกับอีกหรือเปล่า - ชั้นเป็นคนเดียวจริง ๆ ที่รู้จักพอลดีที่สุดค่ะ - แต่ถ้าคุณไม่ได้รักเค้า แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ - ชั้นคิดว่าเราจะไม่ทำอย่างนี้กันไงล่ะค๊ะ ทันใดผมก็รู้สึกเหมือนโดยปิดประตูใส่หน้า หัวใจของแอนนาเหมือนหอยเชล์ลที่คอยปกป้องเธอทุกครั้งที่มันรู้สึกว่ามีอะไรเข้าไกล้มันก็จะปิดฝาในทันที และมันก็จะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา - ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริง ๆ แอนนา - ชั้นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยนะค๊ะ คุณทั้งสองก็เหมือนกัน ต่างก็พยายามที่จะให้ชั้นหาคำตอบให้ได้จนชั้นแทบที่จะอึดอัดใจตายอยู่แล้ว - ผมก็แค่อยากที่จะรู้ว่าคุณต้องการยังไงกันแน่ - แต่ชั้นไม่เคยขอให้คุณทำอะไรอย่างนี้เลยนะค๊ะ เธอเหน็บผมเข้าให้ก่อนจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้ผมจังงังอยู่ท่ามกลางความสว่างจ้ายามบ่ายในหน้าร้อนของอังกฤษ ก็แล้วทำไมผมจะไม่อิจฉาล่ะ ถึงแม้ว่าเราได้สัญญากันไว้แล้ว แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในชิวิตจริง ๆ ของเธอ คืนนั้นเราพบกันที่เชลซี ในงานเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำของสมาคมนักเขียนบท ในงานผมส่งสายตาเจ้าชู้กับสาวเสน่ห์แรงนัยตาเฮเซลนัท นักเขียนบทความคนหนึ่ง เพราะผมอยากให้แอนนาเห็นแล้วแสดงความรู้สึกจริง ๆ ของเธอที่มีต่อผมออกมา ซึ่งเธอกำลังจ้องมาทางผมจากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ พองานเลี้ยงเลิกราแล้ว ผมยืนรอเธออยู่ห่างจากร้านประมาณร้อยเมตรเพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าเราออกจากงานไปด้วยกัน เธอเดินมาทางผมที่มุมหนึ่งของถนนในขณะที่ผมกำลังโบกเรียกรถแท๊กซี่ - คุณจะมาที่โรงแรมกับผมหรือเปล่าครับ - ชั้นไปไม่ได้หรอกค่ะ - คุณไม่ต้องบอกเค้าก็ได้ว่ามันจบลงไปแล้ว คุณแค่ไม่ต้องกลับบ้านสักคืนนึง มันไม่ยากหรอก ถ้าคุณจะทำจริง ๆ นะ - ชั้นทำอย่างนั้นกับพอลไม่ได้หรอกค่ะ - แต่คุณก็ทำกับผมได้ - ค่ะ และบางทีชั้นควรที่จะหยุดทำได้แล้ว เธอตอบ และนี่ก็เป็นอีกแอนนาที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน เธอขึ้นรถของเธอแล้วขับออกไป อย่างเยือกเย็นและแข็งกร้าว ปล่อยให้ผมเคว้งคว้างอยู่คนเดียวอย่างนั้น ในคืนนั้นผมนอนไม่หลับแม้แต่น้อย ตอนรุ่งเช้าผมก็เลยออกไปเดินเด่นแถวถนนเบย์วอเตอร์ ผิวถนนสะอาดเพราะฝนที่ตกลงมาเมื่อไกล้รุ่ง อากาศเริ่มอุ่นจากแสงทองที่เริ่มทอส่องฟ้ายามเช้า มีคนจรร่อนเร่นอนขดตัวอยู่ที่ประตูหน้าร้านแห่งหนึ่ง ผมซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมานั่งจ้องมองโดยที่ไม่ได้อ่านสักตัว เพิ่งเจ็ดโมงเช้าผมก็เริ่มซังกะตายกับชีวิตเสียแล้ว ผมอยากจะคลานเข้าไปขอนอนกับคนจรใต้ผ้าห่มที่หน้าร้านนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมเดินกลับเข้าโรงแรม ไม่ได้โกนหนวดเครา ทั้งยังรู้สึกเคว้งคว้าอีกด้วย - คุณไปไหนมาค๊ะ ผมเงยหน้าขึ้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แอนนานั่นเอง เธอดูเศร้าสร้อย ขอบตาแดงก่ำมีน้ำตาเอ่อปริ่ม ๆ - ฉันเที่ยวตามหาคุณไปทั่ว เธอรักผมมากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกันในเมื่อเธอยังเลือกที่จะอยู่กับพอล - ผมขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืนนี้ ผมพึมพัมออกไป - ทำไมคุณถึงได้อยากให้ชั้นหึงหวงคุณด้วยนะ ชั้นก็หึงเป็นเหมือนกันนะค๊ะ - มันก็เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ - เหมือนกับที่ไมเคิลทำกับชั้นนั่นล่ะค่ะ เธอบอก เอ่ยชื่อคนรักนักแสดงของเธอที่ทำร้ายจิตใจเธอ เค้าทำให้ชั้นบ้าคลั่ง จนชั้นได้สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่หึงหวงใครอีก ชั้นอิจฉาในสิ่งที่คุณทำได้อย่างไรกันในเมื่อตัวชั้นเองก็ยังอยู่กับพอล - แล้วคุณคิดว่าผมไม่อิจฉาคุณหรือ ที่คุณยังอยู่กับพอลน่ะ มันกัดกร่อนผมลงไปทุกวันรู้มั๊ย - ชั้นก็ได้บอกกับคุณแล้วไงค๊ะว่าอย่ามารักชั้นให้มันเกินไป คุณควรจะหาผู้หญิงคนที่สามารถรักคุณได้อย่างเต็มร้อยนะค๊ะ สิ่งที่เธอพูดนะมันไม่ใช่หรอก เพราะผมไม่ได้ต้องการใครก็ได้ให้มารักผม ผมต้องการคนที่ผมรักตอบได้เพื่อผมจะได้ไม่ทำผิดซ้ำสองอีก ระหว่างคนรักกับเพื่อนสนิทนะ ถ้าซูซานเป็นอย่างนั้นไม่ได้ และถ้าผมไม่สามารถรักเธอแบบนั้นได้ ผมว่ามันก็ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยเธอไป เลิกเป็นตัวถ่วงสำหรับเธอ แล้วปล่อยให้ชีวิตมันเป็นไปของมันเอง
Forty four
ตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่าแอนนาไม่ได้ต้องการผมจริง ๆ ผมไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เรื่องมันไม่ได้มีแค่แอนนาเพียงอย่างเดียว ผมรู้ว่าถึงอย่างไรในใจผมก็คงจะไม่ยอมให้ตัวเองได้ครองแอนนาเหมือนกับที่เจนเคยพูดเกี่ยวกับตัวผมเอาไว้ ถ้าผมต้องทิ้งซูซานไปจริง ๆ ผมก็คงต้องลงโทษตัวเองโดยทิ้งแอนนาไปด้วยเช่นกัน นั่นคือแนวคิดของความสำนึกผิดที่ผมคิดออกมาได้ ผมไม่สามารถแยกแยะระหว่างความรัก กับความสำนึกผิดได้เลย เจนเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่าผมสามารถเป็นคาธอริกที่ดีมากคนนึงทีเดียว
Forty five
หลังจากกลับมาถึงแมนเชสเตอร์ ผมก็ได้โทรหาซูซาน บอกกับเธอว่าผมต้องการจะเจอเธอ เรานั่งกันอยู่ในห้องทำงานของผมและปิดประตูสนิท โปสเตอร์หนังมากมายปะติดอยู่ที่ฝาด้านหนึ่งของห้อง บทหนังที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อสมัยที่ชีวิตผมยังมีความสุขและความสำเร็จดีอยู่ ผมรู้สึกเหมือนมันผ่านนานเหลือเกิน เมื่อมองดูหน้าเธอมันทำให้ผมรู้สึกละอายจนสุดจะทนเหมือนพระเจ้ากำลังชี้หน้าตราบาปผมอยู่อะไรอย่างนั้น มันเหมือนผมกำลังยืนมองตัวเองอยู่ ตัวผมเองที่พิการและพยายามที่จะเดินให้ได้ ผมเพ่งมองไปที่โปสเตอร์ใบหนึ่ง เป็นรูปขยายของผู้หญิงคนหนึ่งที่แสดงสีหน้าความโกรธออกมา เป็นภาพในโทนสีน้ำตาลแบบเก่า ๆ ของหนังเรื่อง Loss ที่ครั้งหนึ่งผมเป็นคนสร้างงานจินตนาการนั้น - ระหว่างเรามันจบลงแล้วนะซู - แต่เราก็จะลองมันอีกครั้งไม่ได้หรือค๊ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะยังต้องการผมอยู่อีกหลังจากที่ผมได้ไปมีความสัมพันธ์กันแอนนาแล้ว ทุกสิ่งที่ผมได้กระทำลงไปมันน่าจะทำให้เธอตัดใจจากผมไปได้แล้ว ผมเคยคิดไปถึงขีดจำกัดของความต้องการที่เธอมีต่อผมแต่ผมก็ไม่เห็นมัน เพื่อน ๆ ต่างก็บอกให้เธอลืมคนเลวอย่างผมเสีย เธอจะไปได้อย่างสบายโดยไม่ต้องมีผม - ผมทำไม่ได้หรอกซู - แต่ชั้นคงไม่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีคุณนะค๊ะมาร์ค - แต่ผมทนที่จะทำอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้วจริง ๆ นะซู ซูซานยืนขึ้นเอามือแตะแขนผมเบา ๆ น้ำตาเธอเริ่มเอ่อล้น แล้วก็ไหลออกมาต่อหน้าผม สถานการณ์มันทำให้ผมลำบากใจจริง ๆ - เราจะทิ้งมันไปเสียเฉย ๆ ไม่ได้นะค๊ะมาร์ค มันเกินกว่าที่เราจะทิ้งมันไปเสียง่าย ๆ ซูพูดถูก เรามีอะไรต่าง ๆ มากมายร่วมกัน แต่ถ้าผมยอมกลับไปในตอนนี้ก็คงได้แค่ช่วยเธอเอาไว้ ซึ่งเธอไม่ได้ต้องการการช่วยเหลือแบบนี้ เธอต้องการความรัก การเทอดทูน และการเห็นคุณค่าของเธอ ผมไม่ต้องการที่จะเป็นคนรับผิดชอบความสุขในชีวิตเธอ หรือชีวิตใคร ๆ ทั้งนั้น มันควรจะมีทางออกอื่นที่จะทำให้ชีวิตคู่ดำเนินต่อไปได้ นี่คงเป็นเหมือนหนึ่งในพวกขี้ยาที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่คิดที่จะเลิก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันมีแต่จะทำร้ายเรา เพื่อนชายที่ทำงานคนหนึ่งของเธอโทรมาสอบถามด้วยความเป็นห่วง เธอเป็นคนเจ้าระเบียบโดยกำเนิดคนที่เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนจู้จี้ขี้บ่นไปเสียแล้ว ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แต่เท่าที่ผมคิดได้ก็คือผมไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อีก ผมรู้สึกท้องใส้มันปั่นป่วนไปหมด จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมลองคิดดูว่าชีวิตผมจะเป็นอย่างไรหากว่าผมกลับไปเหมือนเดิม โดยที่แอนนาก็เห็นด้วย ผมรู้ได้ว่าผมคงจะไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะพยุงมันมาให้ถึงจุดนี้ได้แน่ - เราได้ฝ่าฟันกันมาด้วยกันตั้งนานแล้วนะค๊ะมาร์ค ชั้นสัญญาว่าจะปรับตัวเอง และคุณก็เช่นกัน เราจะปรับตัวเข้าหากันไงล่ะค๊ะ - ผมไม่ต้องการให้คุณเปลี่ยนเพื่อผม และผมเองก็ไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคุณด้วย ก่อนหน้านี้ผมเคยใจอ่อนพอเห็นเธอเศร้าสร้อยขึ้นมา แต่ตอนนี้ผมจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ผมเชื่อว่ายังมีทางอื่นอีกที่ทั้งชีวิตของผมและเธอต่างก็สามารถมีความสุขได้เหมือนกัน ผมล้าเกินกว่าจะอยู่อย่างนี้ต่อไปอีก ถึงแม้ว่าผมไม่สามารถอยู่กับแอนนาได้ ผมก็อยากให้แอนนาบอกกับผมว่าผู้ชายแบบไหนที่เธอต้องการเผื่อว่าวันหนึ่งผมอาจจะได้เป็นคนนั้น ผมได้อยู่กับความจอมปลอมนี้มานานพอสมควรแล้ว ถ้าครั้งนี้ผมทำให้มันถูกต้องไม่ได้ ผมก็ขออยู่คนเดียวดีกว่า เมื่อคิดดูแล้วมันก็ทำให้ผมกลัวอยู่หรอก แต่ถ้าขืนอยู่อย่างนี้ต่อไปมันก็มีแต่จะทำร้ายกันและกันเท่านั้นเอง - ชั้นไม่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีคุณนะค๊ะมาร์ค ชั้นไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อย่างไร เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ มันเหมือนเป็นคำขู่ที่มีเลศนัยแฝงอยู่ ผมรู้สึกหวาดหวั่นต่อผลลัพท์ที่ผมจะสนองตอบกลับไป เหมือนผมเป็นคำตอบสุดท้ายของเธอ - ผมไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อีกจริงๆ นะซู ผมตัดสินก้าวออกจากห่วงโซ่ที่คล้องชีวิตผมไว้เดินสู่ความมืดมิดแทน
Create Date : 16 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 14:23:04 น. |
Counter : 254 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
สามีดีแตก บทที่ 36 - 40
Thirty six
เรายังนอนอยู่บนเตียงในขณะที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไม่ต้องรับสายนะ ผมพูดเบา ๆ แต่แอนนากลับรีบลุกขึ้นจากเตียง มันเป็นเวลาเที่ยงคืน อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องด่วนในครอบครัว เธอพูด ผมเดินเข้าไปห้องนั่งเล่น เธอนั่งขดตัวอยู่บนพื้นหันหลังให้ฝาผนัง ร่างเปล่าเปลือย เธอหนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ข้างนึงหน้าตาจริงจัง - ส่งโทรศัพท์ให้ผมซิ ผมพูดไม่ออกเสียงกับเธอ เธอกลับหันไปทางอื่น ผมรู้ว่ามันต้องเป็นซูซานแน่ ๆ ผมมารู้ภายหลังว่าซูได้แอบดูอีเมล์ในคอมพิวเตอร์ของผม แล้วเจอชื่อแอนนา และเธอได้เบอร์โทรจากหนังสือโทรศัพท์ในเขตลอนดอน มันเหมือนขว้างก้อนหินใส่หน้าต่างอะไรอย่างนั้น ทำไมผมไม่แย่งโทรศัพท์จากแอนนามาซะ แล้วบอกให้ซูหยุดซะที ก็เพราะเธอเองเป็นคนพูดว่าชีวิตคู่ของเราได้จบลงไปแล้ว แต่ผมกลับยอมให้แอนนาฟังเมียของผมพล่ามไปเรื่อย ผมจะไม่ยกโทษให้ตัวเองเลยในเรื่องนี้ ผมแกล้งทำเป็นว่าผมไม่ได้อยู่กับแอนนาในคืนนั้น ผมก็เลยฟังคนรักคุยกับเมียของผม ซูเปิดใจกับแอนนา แต่เธอจะไม่พูดกับผม มันเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำ ความรู้สึกผิดทำให้ผมกลายเป็นเจ้าสัตว์ประหลาดที่ขี้ขลาดตาขาวไปได้ ทำไมผมทำอย่างนี้นะหรือ ที่ปกปิดความสัมพันธ์นี้จากเธอ ก็เพราะผมเชื่อว่าในเมื่อมีใครรักคุณ คุณก็ต้องรักตอบ และต้องคอยปกป้องไม่ให้เธอต้องเจ็บปวด ไม่ว่าคุณอยากจะทำมันหรือไม่ หรือ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกเหมือนติดกับหรืออึดอัดเพียงใดก็ตาม ในขณะเดียวกันซูซานก็ได้บอกกับแอนนาเหมือนกับที่เธอบอกกับทุกคนว่าแอนนาเป็นคนทำให้ครอบครัวที่มีความสุขความรักใคร่ของเธอต้องแตกแยก นั่นดูเหมือนจะเกินไปหน่อยเพราะความสุขและความใคร่นั่นแหละที่ผมไม่เคยเห็นมันในชีวิตคู่กับเธอ เธอคงจะคิดว่าแอนนา ผู้ซึ่งต้องการให้ผมกลับไปหาเมียของผมเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบในการที่ผมมาอยู่กับแอนนา พอแอนนาวางโทรศัพท์ลง หน้าเธอซีดเผือด ตัวสั่นเทา ผมรู้ได้ทันทีว่ามันคงจะจบลงแน่แล้ว - คุณต้องกลับไปหาเธอนะค๊ะ มาร์ค - แต่ชีวิตคู่ของผมมันจบลงไปแล้วนะ แอนนา - แล้วเดวิด ล่ะค๊ะ - ถ้าเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว คนเราจะอยู่ด้วยกันเพื่อเด็กไม่ได้เล้วละ ไม่ว่าเค้าจะอายุเท่าไหร่ มันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นสำหรับเขาหรอก เชื่อผมซิ แต่แม้ว่าผมจะพูดอย่างนั้น ผมก็รู้ได้ว่าแอนนายังคงต้องการให้ผมกลับไปหาซูอยู่ดี และเธอเองก็จะกลับไปหาพอลด้วยเช่นกัน ไม่ต้องหวั่นใจในเรื่องอะไรอีก มันถึงเวลาแล้วที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามทางของมัน - ผมกลับไปไม่ได้หรอก แอนนา - นั่นเป็นทางเลือกของคุณเองนะค๊ะ ชีวิตเป็นของคุณค่ะ ผมรู้ เธอยังคงต้องการให้ผมกลับไป มันจะได้เป็นการล้างบาปให้เธอด้วย เพราะมันถลำลึกเกินไปแล้วสำหรับเธอ แต่ยังไงผมก็กลับไปไม่ได้ ผมจะไม่กลับไปเพราะโทรศัพท์นั่นหรอก ผมจะไม่ให้อภัยซูซานเลยที่ทำอย่างนั้น แต่ เอ.. ผมต้องการอย่างนั้นหรือ แล้วเหตุผลที่หนักแน่นพอที่จะทำอย่างนั้นได้ล่ะ เอาเถอะ ยังไงผมก็จะทำ แต่เพราะไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้ ที่ได้ทำให้เธอเจ็บปวดในหลายปีที่ผ่านมานี้ ผมจะทำเป็นว่าเรื่องนี้มันไร้สาระสิ้นดีซะ ผมรู้ว่าผมสมควรตกอยู่ในสภาพนี้ มันเป็นผลลัพธ์จากการที่ไม่ยอมตัดสินใจให้มันเด็ดขาด
Thirty seven
มันค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าแอนนาจะไม่ทิ้งพอลมาอยู่กับผม และผมเองก็คงจะต้องจัดการเรื่องต่าง ๆ โดยไม่มีเธอ เจน เหมือนอย่างเคย เธอกระตือรือล้นที่จะบอกผมในเรื่องความเป็นจริงของชีวิตครอบครัว - คุณไม่พอใจหล่อนก็เพราะว่าคุณต้องการเลิกกับซูซานโดยที่คุณมีหล่อนให้ไปหาได้ และมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้หญิง หรือ ผู้ชายถึงได้เป็นชู้กันไงล่ะ มันก็เหมือนกับเราได้ขนมมา แล้วเราก็กินมันเข้าไป คุณนะยังอ่อนหัดมากนะค๊ะ ถ้าเทียบกับพวกผู้ชายที่ชอบทำเรื่องทำนองนี้ - แต่ผมรักเธอมากนะ - โถ่ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเองแหละค่ะ เจนพูดด้วยความมั่นใจจนผมอยากจะจุ่มหน้าเธอลงไปบนพิแคนพายที่เธอกำลังกินอยู่ แต่ยังไงเสีย ในเมื่อคุณยังไม่ได้เลิกกับซูซานอย่างเป็นทางการ หล่อนก็ไม่ถอนตัว หรือสำนึกผิดหรอก ปัญหาก็อยู่ที่คุณ คุณอยากให้แอนนาตอบตกลง แล้วทันทีที่หล่อนตกลงคุณก็จะทิ้งซูซานทันที คุณแค่รอให้ทุกอย่างมันลงตัวตามที่คุณคิดไว้ก่อนเท่านั้นเอง เธอพูดถูกทีเดียว ผมต้องการทางเลือกที่สะดวกสำหรับผม แต่เธอคิดผิดแน่ถ้าหากเธอคิดว่าผมจะไม่จัดการกับเรื่องนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งละ ผมยับยั้งเอาไว้ก่อนในตอนนี้ แต่ผมก็รู้ว่ายังไงเสียผมก็ต้องจัดการกับเรื่องนี้ไม่ว่าแอนนาจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม - แล้วเดวิดว่าไงล่ะ - เดวิดก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว - ก็ตามประสาหนุ่มวัยรุ่นนั่นแหละ - แน่ละ นั่นมันก็เป็นเหตุผลหนึ่ง - แล้วซูซานล่ะ - โอย รายนั้นน่ะพูดตลอดเวลา แต่ไม่ได้พูดกับผมหรอกนะ - ชั้นชักจะเป็นห่วงซูซะแล้วซิ - ผมก็เหมือนกันนั่นแหละ - แล้วคุณจะเจอกับยัยแอนนาของคุณอีกหรือเปล่าเนี่ย ผมผงกหัวรับ ผมนัดเจอกับเธออีกครั้งที่ลอนดอนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า - สิ่งที่เกิดขึ้นนี่มันจะทำให้ชีวิตคุณบรรลัยได้นะมาร์ค ระวังหน่อยละกัน - เออ พูดถึงบรรลัย แล้วเทอรี่ของคุณล่ะ เป็นไง เทอรี่เป็นสามีทนายของเจน ที่รับเงินเดือนเลขหกหลักทีเดียว และยังรสนิยมสูงอีกต่างหาก แต่ผมว่าเค้าปฏิบัติกับเธออย่างไม่สมควรนัก ก็คงเหมือนกับไอ้สองคนก่อนหน้านี้นั่นแหละ แต่ผู้หญิงบางคนก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจกับเรื่องนั้นสักเท่าไร การให้เกียรติและความประทับใจที่รับไม่ค่อยจะได้ ผมเพิ่งมาตระหนักว่าซูเองได้สิ่งเหล่านั้นจากผมน้อยนิดเหลือเกินในสองสามปีที่ผ่านมา - ชั้นว่าเทอรี่กำลังมีชู้รักอยู่เหมือนกันนะ เจนพูดเบา ๆ พระเจ้า ผมว่าในที่สุดแล้วทุกคนต่างก็ได้รับความสัมพันธ์ที่สาสมควรที่จะได้รับกันทั้งนั้น
Thirty eight
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับแอนนาดำเนินมาได้หกเดือนเข้าไปแล้ว ตอนนี้แอนนาไม่ได้โทรหาผมเลย ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นึง ด้วยแรงใจมันใฝ่หา ผมก็เลยขับรถไปลอนดอน แม้จะเป็นช่วงยุ่ง ๆ วุ่นวายของเธอ แต่เธอก็ดูเหมือนคนเพิ่งแต่งงานหรือถูกล็อตเตอรี่ยังไงยังงั้น คุณจะต้องรู้จักเธอให้พอดีที่จะเห็นสิ่งที่เธอซ่อนเร้นเอาไว้ได้ แม้ว่าเธอกำลังหัวเราะร่าอยู่ แต่ฉับพลันคุณอาจจะได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เหมือนพายุฝนหล่นมาท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส แต่ผมก็ตั้งรับได้ทันน่ะ เรานั่งดื่มกันที่เดอะแลมป์แอนด์แฟลก หลังจากนั้นก็พากันเดินโซซัดโซเซกลับห้องพักของผมที่โรงแรม เราร่วมรักกันอย่างกระหายและมันก็ดีขึ้นทุกทีที่เราทำกัน เราต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เราร่วมรักกันจนพลัดตกหกหล่อนจากเตียงก็ไม่หวั่น ศรีษระผมไปชนเข้ากับโต๊ะข้างเตียงจนหัวคิ้วแตกมีเลือกออกเลอะไปทั่ว หลังจากนั้นผมก็ส่งเธอขึ้นแท็กซี่เพื่อเธอจะต้องไปเจอพอลที่งานปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง วันรุ่งขึ้นเธอโทรหาผมตั้งแต่เช้าบอกว่าเธอต้องการเจอผม เธอขับรถมารับผม แล้วเธอก็ขับมาจอดที่แห่งหนึ่ง ในขณะที่ผมกำลังมองดูผู้คนเดินกันไปมากับหมาของพวกเขาในเช้าวันอาทิตย์ แอนนาก็บอกกับผมว่าเธอไม่สามารถพบผมได้อีก เธอต้องการที่จะให้ทุกอย่างจบลงเสีย ผมตกตะลึง หัวใจอ่อนหัดของผมเหมือนโดนจับจนมุม - ก็คุณบอกว่าคุณรักผมไง - บางทีชั้นอาจจะไม่ได้รักคุณมากพอก็ได้ค่ะ - งั้นคุณลองบอกผมซิ ว่าคุณรักพอล เธอไม่พูด เธอไม่สามารถพูดมันออกมาได้ - แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ ผมถาม - ชั้นก็ไม่รู้ค่ะ - ถ้างั้นผมจะให้กุญแจกระท่อมที่ดักซ์ตันไว้ก็แล้วกัน ผมร้องบอกเธออย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ถ้าคุณรักเค้านักคุณก็พาเค้าไปนอนที่นั่นซิ แล้วก็ร่วมรักกับเค้าเหมือนกับที่เราทำกันไงล่ะ เธอเริ่มร้องให้และเอากำปั้นทุบลงไปที่พวงมาลัยรถด้วยความหงุดหงิด - มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ - ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ นะ ผมนึกไปถึงเจน ว่าเธอนั่งยิ้มเยาะอยู่ที่หลังรถด้วย - คุณทำอย่างนี้ก็เพื่อที่จะกลับไปหาเค้างั้นหรือ ตอนนี้ดูเหมือนเจนจะอยากให้ผมทำอย่างนั้น บางทีการที่ปากกับใจไม่ตรงกันมันก็มีเหตุผลที่ดีเหมือนกัน แต่ยังไงผมก็อยากเข้าใจเธอจริง ๆ แต่เธอก็ไม่ยอมตอบผม - คุณต้องกลับไปหาซูซานนะ ค๊ะ เพราะเธอรักคุณค่ะ - ให้ตายเถอะ แอนนา - ชั้นไม่อยากทำให้ครอบครัวคุณต้องแตกแยกนะค๊ะ - คุณไม่ได้ทำให้มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องของผมเอง เธอไม่ยอมเชื่อผม เธอคิดว่าทุกชีวิตคู่ ทุกความสัมพันธ์ ไม่ควรถูกล่วงละเมิดทำลาย ถึงแม้ว่าเราจะตรอมกับมันมาเป็นปี ๆ แล้วก็ตาม - คุณต้องการคนที่สามารถให้ในสิ่งที่คุณควรจะได้ค่ะมาร์ค - ก็นี่แหละที่ผมควรจะได้ ผมไม่มีทางที่จะรักใครอย่างนี้ได้อีกแล้วละ - ก็เพราะว่าชั้นทำให้คุณเจ็บหรือค๊ะ ที่ทำให้คุณไม่อยากรักใครอีก ใช่ใหมค๊ะ ชั้นหวังว่าเราไม่เคยได้พบกันเลยจริง ๆ ผมจ้องเธอ ตาเริ่มแดง ด้วยหัวใจที่รวดร้าว นี่เธอกำลังทำลายความสัมพันธ์ของเราทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นจริง ๆ - ก็เหมือนกับที่คุณทำหลังจากความสัมพันธ์กับเพื่อนนักแสดงของคุณไง ทำไมผมทำบ้างไม่ได้ล่ะ หน้าเธอซีดลงไปพอผมอ้างถึงเค้า คนที่ทำให้หัวใจเธอเจ็บช้ำ ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองโง่ - คุณรักชั้นมากเกินไปค่ะ มาร์ค - โธ่เอ๊ย ผมพึมพำ มันเหมือนผมเปิดโอกาสให้ตัวเอง แล้วปิดมัน เริ่มควบคุมอะไรไม่อยู่ มันน่าขำจริง ๆ ผมรักแอนนามากเกินไป ส่วนซูซานผมก็ไม่ได้รักเธอมากพอ ผมไม่รู้จะทำยังไง การมีความรักนี่มันถูกต้องหรือเปล่านะ มันทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องหมีสามตัวกับข้าวต้มขึ้นมา อะไรต่อมิอะไรดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย และผมก็เป็นคนที่จะต้องเข้าใจทุกอย่าง ต้องให้เหตุผลที่เหมาะสมกับทุกเรื่อง และก็ต้องไม่ให้บางเรื่องมันเกิดขึ้นได้อีก มันเป็นการป่วนปั่นกลั่นแกล้งทางอารมณ์จริง ๆ ผมอยากจะฟังเธอพูดออกมาจากใจของเธอว่า ฉันรักพอลจริง ๆ มันเป็นความผิดพลาดที่มามีความสัมพันธ์กับคุณ และทุกสิ่งที่ฉันได้เคยพูดออกไปมันไม่จริงค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็พร้อมที่จะให้อภัยและเดินจากไป เพราะมันไม่มีทางกลับไปได้ แต่เธอก็ไม่ได้พูด - บ้าที่สุด ผมพูดแล้วออกจากรถ มันไม่ได้เป็นการเอ่ยลาที่น่าประทับใจเลย เธอกอดลาผมเป็นครั้งสุดท้าย หน้าตาเศร้าสร้อยเนื้อตัวสั่นเทา แล้วยื่นการ์ดซึ่งอยู่ในซองให้ผม ผมจูบเธออย่างลวก ๆ แล้วผละจากเธอ ผมเดินออกไปเหมือนคนตาบอด สองมืออยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุม ลมหนาวของเดือนเมษามันกัดเข้าไปถึงกระดูกข้างใน แต่มันก็ไม่ใช่เพราะความหนาวเหน็บหรอกที่ทำให้ผมชาไปทั้งตัว ผมไม่รู้ว่าคนไหนกันแน่ที่เป็นแอนนาตัวจริง คนที่ร่วมรักอย่างดูดดื่มกับผมเมื่อคืนก่อนนี้ หรือว่าคนนี้ที่เพิ่งจะบอกกับผมว่าเธอไม่ได้รักผมมากพอที่จะเลิกกับพอลมาอยู่กับผมได้ ผมเปิดซองแล้วเอาการ์ดที่เธอเขียนไว้มาอ่าน ดูแลตัวเองนะค๊ะมาร์ค คุณจะอยู่ในใจฉันตลอดไป และฉันก็จะคุยกับคุณทุกวัน คุณเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่พิเศษที่สุดสำหรับฉันค่ะ พอลน่าจะเป็นคนพิเศษที่สุดในโลกไม่ใช่หรือ ในเมื่อพอลเป็นคนที่เธอเลือกที่จะอยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่แล้วพอลเป็นใครกันสำหรับเธอ เพราะผู้ชายคนที่พิเศษที่สุดเพิ่งถูกเธอปฏิเสธมาอย่างสิ้นหวัง แล้วดูซิ พอลได้อะไร ผมนึกไม่ออกว่าผมจะอยู่กับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไรถ้ารู้ว่าผู้หญิงคนพิเศษของผมยังอยู่ อ่านเสร็จแล้วผมฉีกการ์ดนั้นทิ้งให้มันปลิวไปกับสายลม เพราะผมเชื่อว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้นมันไม่จริง
Thirty nine
ความรู้สึกผิดของผมมันเหมือนกับมีถุงทรายมากมากวางทับอกอยู่ ทั้งรู้สึกผิดและสูญเสีย ที่บนถนนมีรถบรรทุกวิ่งมาคันหนึ่งผมเห็นได้จากไฟหน้าที่ส่องมาแต่ไกล ผมกำลังคิดอย่างหนักกับสิ่งที่ผมกำลังอยากจะทำในตอนนี้ สับสนเหมือนเปิดหนังสือผ่าน ๆ อย่างรวดเร็วอ่านเอาความไม่ได้เลย จะเอาคืน จะให้อภัย ปล่อยไปเสีย หรือทำความดีล้างบาป พระเจ้า...ช่วยทีเถอะ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าถุงลมนิรภัยในรถยนต์จะช่วยได้สักเท่าไรในความเร็วขนาดนี้ และคนขับรถบรรทุกจะทำอย่างไรถ้าผมจะทำอย่างที่ผมคิด ล้อรถเริ่มเคลื่อนล้ำเส้นขาวเข้าไป ผมได้ยินเสียงแตรรถบรรทุกดังมาตั้งแต่ไกล มันคือนาทีระทึกขวัญ ผมรู้สึกหนาววูบเมื่อรถบรรทุกวิ่งผ่านไปอย่างเร็ว สัญชาตญาณบางอย่างได้สั่งให้ผมขับรถกลับมาที่เลนของผม พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าผมได้ทำอะไรลงไป หัวใจผมเต้นโครมครามเหมือนจะออกมานอกอก เหมือนถนนหลายสายวิ่งผ่านชีวิตผม สายหนึ่งพบว่าผมได้ถูกชนยับเยินแหลกละเอียดอย่างไม่มีชิ้นดีในนาทีนี้เอง ความเป็นความตายบนถนนสายสลัวเส้นนี้ ทางแยกที่ยังยาวไกล การตัดสินใจอย่างฉับพลัน
Forty
ซูบอกว่าเธอต้องการพบผมอีกครั้งเมื่อผมกลับถึงแฮนฟอร์ดแล้ว เสียงของเธอเหมือนคนสิ้นหวัง ผมอยากรู้ว่าความสิ้นหวังนี้จะนำพาเธอไปถึงไหนกัน มันจะเป็นความผิดของผมทั้งหมดหากว่ามันทำให้เธอทำร้ายตัวเอง ผมคิดว่าผมสามารถหยุดมันได้ มันดึกมากแล้ว ซูปิดประตูไว้แต่ไม่ได้ล็อค มีแสงไฟลอดออกมาจากใต้ประตูห้องนอนของเธอ เธอร้องเรียกผมในขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไป ผมรู้สึกหดหู่ ผมเอื้อมหาเธอท่ามกลางความมืดและหนาวเย็น - กอดฉันไว้ซิค๊ะ ซูกระซิบบอก ผมรู้สึกได้ว่าซูซูบลงไปจนรู้สึกได้ถึงกระดูก เธอคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ถ้าผมไม่รักเธอแล้วมันจะทำให้เธอมลายไปเลยหรือไรกัน ผมตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สังเกตุเห็นว่าภรรยาของผมได้ละเลยกับตัวเองขนาดไหน ผมมัวแต่ติดอยู่กับความครอบงำของตัวเอง ก่อนนี้ผมเคยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าผมจะมีความสัมพันธ์นอกชีวิตคู่แล้วละก็ ชีวิตคู่ของผมจะต้องจบลงอย่างแน่นอน เพราะเธอจะไม่มีทางให้อภัยผมเลย ผมเพิ่งได้รู้เดี๋ยวนี้เองว่าผมไม่เคยรู้จักภรรยาของผมจริง ๆ เลยสักนิด ตอนนี้ผมก็เลยไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอคิดจะทำอะไรต่อไป แค่คิดไปผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเสียแล้ว ชั้นเปลี่ยนตัวเองเพื่อคุณไม่ได้หรอกค่ะ เธอเคยบอกกับผมครั้งหนึ่ง ถ้าผมยอมรับไม่ได้เธอก็จะตายไปเสียมันทำให้ผมลำบากใจเหมือนเป็นการบังคับเลือก ผมเข้านอนด้วยความรู้สึกเกลียดตัวเองที่เป็นคนไม่เด็ดขาด ผมเคยได้อยู่ในที่ที่มีความอบอุ่นและปลอดภัยดีแล้วแต่มันกลับเป็นที่ที่หัวใจของผมมันไม่อยากอยู่เสียนี่ หลายวันหลังจากกลับจากลอนดอนผมได้แต่ขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดหมาย หรือไม่ก็ไปตามร้านกาแฟอ่านหนังพิมพ์ ผมไม่มีสมาธิที่จะทำงานหรืออะไรอื่นได้เลย ส่วนแอนนาเธอก็มีงานโปรเจ็คต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เธอยุ่งกับมันจนไม่ต้องมานั่งจมปลักอยู่กับเรื่องนี้เหมือนผม เจนเริ่มหมดความอดทนกับผมในเรื่องนี้แล้วเช่นกัน เทอรี่ง้อขอคืนดีกับเธอหลังจากที่ได้ไปมีกุ๊กกิ๊กนอกบ้านครั้งล่าสุด เจนรู้สึกเหมือนได้อำนาจคืนมาอีกครั้งหนึ่ง - หล่อนก็คงจะพูดไปอย่างงั้นเองแหละ เจนพยายามอธิบายเหตุผลต่าง ๆ ให้ผมฟัง แต่จะให้ผมเชื่อที่เธอพูดในระหว่างที่เธอดื่มว้อทก้าน้ำส้มไปด้วยงั้นหรือ - ก็ผมคิดว่าเธอต้องการความเร้าใจและโรแมนติก เหมือนกับผม และเธอก็บอกกับผมอย่างนั้นด้วย - ผู้ชายก็มักจะถามว่าผู้หญิงชอบอะไรยังไงกันทั้งนั้นแหละ แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงเค้าต้องการอะไร มาร์ค - ไหน คุณบอกผมมาซิ - ก็ความมั่นคงไง ความมั่นคงที่เธอมีกับคนนั้นของเธอ เค้าชื่ออะไรนะ - พอล - นั่นแหละ เค้าจะอยู่ที่นั่นเพื่อเธอเสมอ เค้าจะไม่ทิ้งเธอไป อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เค้าเป็นของเธออยู่แล้ว คุณควรจะรู้ว่าผู้หญิงเค้าคิดกันอย่างไรนะมาร์ค เรื่องแบบนี้คุณไม่กระดิกเลยใช่มั้ยเนี่ย ดูเหมือนเธอจะเป็นคนคุมเกมนะ ลองคิดดูซิ และคุณก็เป็นคนที่พยายามจะเล่นนอกเกมซะแล้ว ไม่ใช่เธอ - ผมคิดว่าผู้หญิงเค้าต้องการความรัก การพูดคุย และก็การไว้วางใจต่อกัน - โธ่ถัง แค่นี้นะ เจนพูด ผมเริ่มเป็นห่วงซูซานขึ้นมาก็เลยกลับไปอยู่บ้านสองสามวัน และผมก็เริ่มนึกถึงการประนีประนอมกัน ซูดูผิดไปมาก แต่ผมก็ยังอยากจะมีแอนนาอยู่ในชีวิตผมต่อไป วันต่อมา ผมได้ส่งอีเมล์ให้แอนนา คุณอยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมที่เราเคยเป็นกันหรือเปล่า กลับมาเป็นคนรักของผม มาเป็นเพื่อนแท้ เป็นคนรักอย่างลับ ๆ กัน และจะไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น จะไม่ร้องขออะไรให้มากไปกว่าการเป็นกำลังใจให้กันในทุกด้านโดยไม่ให้มันกลายเป็นปัญหาไปได้ เราจะเติมเต็มให้กันและกัน เธอได้ผ่าหัวใจผมให้เป็นสองเหมือนเอาปลายมีดกรีดแยกฝาหอยนางรมให้เป็นสองฝาอย่างนั้นแหละ แอนนาเป็นคนพิเศษสำหรับผมเกินกว่าที่ผมจะปล่อยเธอไปได้ง่าย ๆ ภายในหนึ่งชั่วโมงผมก็ได้รับการตอบกลับจากเธอ ฉันได้อ่านเมล์ที่คุณส่งมาแล้วสี่รอบและก็คงจะอ่านมันอีกสักสิบรอบมังค๊ะ ฉันรู้สึกยังไงนะหรือ ก็ปลื้มที่ได้รู้จักคุณ รู้สึกกลัว และก็ตื่นเต้น รู้สึกเหมือนฉันได้เพื่อนที่ดีที่สุดของฉันกลับคืนมา ฉันเพิ่งยิ้มได้ก็วันนี้เอง คิดอยากจะร่วมรักกันคุณในตอนนี้เลยเสียด้วยซ้ำไป มันจะเป็นไปได้มั๊ยที่เราจะทำอย่างนี้โดยที่ไม่ต้องทำให้ใครต้องเจ็บ ไม่ว่าคุณ หรือซูซาน หรือตัวฉันเอง มันเป็นรักที่หนักแน่น และสับสนจริง ๆ นะค๊ะ เราคงเป็นบ้ากันไปแล้วกระมัง และมันก็คงเป็นเพราะความบ้านี่แหละที่ทำให้เราสองคนทำอย่างนี้ได้ คุณว่าเราจะไปกันรอดจริง ๆ หรือเปล่าค๊ะเนี่ย ผมคิดว่าบางทีผมน่าจะเดินจากไปเสียตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันที่สถานีเพดดิงตันแล้ว แต่พอผมคิดดูถึงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันแล้ว ผมก็อดคิดถึงมันไม่ได้ อยากจะมีแล้วก็มีอีก และทุกครั้งที่เจอกันมันก็ยิ่งทำให้ผมรักเธอมากขึ้นทุกที จนกระทั่งแผลรักนี้มันลึกเกินเยียวยาเสียแล้ว ผมไม่น่ากลับมาหาซูซานเลย ตอนแรกผมคิดว่ามันจะช่วยให้เรื่องมันไม่เลวร้ายไปกว่านี้ แต่มันกลับทำให้แย่ลงไปอีก เหมือนหลงป่า ผมหาทางออกไม่ได้ มีแต่จะหลงลึกเข้าไปทุกที
Create Date : 14 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 14:25:24 น. |
Counter : 236 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
แม๊กซ์ ครับ อยากเขียนนิยายแต่ไม่เก่ง ก็เลยอาศัยการแปลจากที่คนอื่นเขียนไว้แล้วไปก่อน รวมทั้งงานเขียนอื่น ๆ แล้วแต่อยากจะเขียน ลองติดตามกันดูนะครับ
|
|
เปลือย...ใจ ใส่บันทึก เป็นเรื่องราวของ
ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสามีแล้ว
แต่โชคชะตาพาเธอ ให้ไปพบกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งชักนำชีวิต ของเธอ
ให้ต้องเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ที่พูดไม่ได้ห้ามใจไม่อยู่
เลยต้องเปลือยใจใส่ ไว้ในบันทึก.....อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใคร หลายคน
แตกต่างกันไปในรายละเอียด และ จุดจบ....... |
| สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจผลิตภันณ์จาก Dream Cosmetique จาก Link เวชสำอาง ข้างล่างนี้ ท่านจะได้รับส่วนลด 10% ทันที เพียงท่านแจ้งการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ว่าได้ข้อมูลจาก Maxmaya http://www.dreamcosmetique.com/ |
|
|
|
|
|
|
|