นิยายแปล..........แปลแหลก แปลกนักแล Present to you by Maxmaya

"ATTITUDE" The pleasure you get from your life is equal to the "ATTITUDE" you put into it
Group Blog
 
All blogs
 
สามีดีแตก บทที่ 11 - 15




Eleven

ในคืนนั้นผมพบว่าซูนอนร้องให้อยู่คนเดียวในห้อง ผมเกลียดตัวเองที่เป็นต้นเหตุ ผมก็เลยกอดเธอไว้พร้อมกับบอกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น หลังจากซูหลับไปแล้ว ผมนอนลืมตาในความมืด รู้สึกอ่อนแอและโกรธเพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ นี่เท่ากับเป็นการยืดเยื้อเรื่องนี้
ผมรู้สึกเหมือนชีวิตติดกับและถูกหลอกจากชีวิตแต่งงานนี้ เซ็กซ์, ความรัก ความปราถนา ความลึกซึ้ง และความสุข
ผมเริ่มรู้สึกโกรธตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดดูว่าทำไมคนอื่นเค้าแค่เก็บกระเป๋าแล้วก็เดินออกไปได้เลย แต่ผมทำไม่ได้ ผมต้องการเหตุผลที่ดีพอที่จะให้ผมไปได้
ผมจะต้องรอนานแค่ไหนที่จะแก้ปัญหาที่ผมไม่ได้อยากที่จะแก้มันแล้ว มันยังไม่พออีกหรือที่ผมอยู่อย่างไม่มีความสุข หรือเป็นเพราะว่าผมไม่ได้บอกกับเพื่อน ๆ และครอบครัวของผม ผมไม่อยากให้ปัญหานี้เกิดขึ้นกับชีวิตผมจริง ๆ
ผมชอบความเป็นส่วนตัว เก็บเรื่องส่วนตัวไว้กับตัวเอง ผมตกเป็นเหยื่อของโลกแห่งความสมบูรณ์ที่ผมได้สร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ผมมักจะช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ได้ รับฟังปัญหาของทุกคน ให้คำปรึกษา แต่ผมไม่เคยต้องการที่จะยอมรับความทุกข์ของตัวเอง แม้แต่กับตัวเองหรือกับคนอื่น
ชีวิตแต่งงานของเราเปรียบเหมือนม้าหมุนตามสวนสนุกที่ไม่มีตัวม้าให้นั่งขี่ ไม่มีแสงไฟ และก็ไม่มีดนตรีด้วย มันหมุนไปเรื่อย ๆ ด้วยความกดดันในความเงียบ ผมกลัวที่จะจากไปเพราะผมยังไม่พบเหตุผลที่ดีพอ มันหมุนไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ แต่ไปไม่ถึงไหน


Twelve

จากฤดูใบไม้ผลิย่างเข้าสู่หน้าร้อนแล้วร่อนเข้าฤดูใบไม้ร่วง ความสัมพันธ์ที่แย่ ชีวิตแต่งงานที่ล้มเหลวทำให้ฤดูกาลต่าง ๆ เสียบรรยากาศไปด้วยทั้งปี มันจะกลืนไปเสียทั้งชีวิตด้วยซ้ำไป อีกหนึ่งอาทิตย์ก็จะถึงกำหนดการเดินทางของผมเพื่อไปร่วมการประชุมนักเขียนบทภาพยนต์ที่ลอนดอน
ซูกำลังนั่งอยู่บนเตียง ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ เธอใส่เสื้อยืดตัวโคร่งสีขาว ไหล่ของเธอเริ่มห่อจากปีที่แล้ว ชีวิตคงจะหนักเกินไป ทะเลาะกันบ่อยครั้งเกินไป เหมือนบุหรี่ทำลายสุขภาพคนสูบ การทะเลาะทุกครั้งก็จะบั่นทอนจิตใจให้เสื่อมลง ทุกครั้ง ฝนกระหน่ำสาดลงมากระทบกับหน้าต่างเหมือนก้อนกรวด ผมเกลียดห้องนอนของเรามาก ผมไม่อยากนอนในห้องนี้อีกต่อไปแล้วละ
ซูทอยหนังสือลงข้าง ๆ เธอ
- นี่มันอะไรกันหรือค๊ะ มาร์ค
ผมนั่งลงที่ขอบเตียง พยายามที่จะบอกกับเธอว่ามันคืออะไร แต่ดูเหมือนผมไม่สามารถคิดคำพูดเพื่อบอกกับเธอได้ อะไรก็ตามที่ผมจะพูด มันฟังดูงี่เง่า เห็นแก่ตัว
- ผมแค่อยากให้อะไร ๆ มันเหมือนเดิม ผมได้ยินตัวเองบอกกับเธออย่างนั้น
- อย่าเริ่มอีกเลย มาร์ค
ความทุกข์ที่สุดในชีวิตของผมได้หดลงมาเหลือแค่ อย่าอีกเลย ผมรู้ว่าซูจะทำลายการต่อเถียงของผมด้วยความเย็นชาของเธอ และมันก็จะไม่ทำให้เกิดความแตกต่าง เพราะผมก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม
- ที่จริงน่ะ คุณอยากให้เรากลับไปเหมือนเมื่อตอนที่เราอายุสิบเก้า ใช่ใหม คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ มาร์ค
- ทำไมจะไม่ได้ล่ะ
- ก็เพราะคนเราอายุมากขึ้นทุกวันน่ะซิ
- แต่ผมไม่
- ชั้นก็พอดูออกค่ะ
เป็นไงล่ะ เธอกัดผมเข้าอีกแล้ว เธอได้คะแนนไปเต็ม ๆ เลยงานนี้ ผมปิดประตูห้องเพื่อไม่ให้เดวิดได้ยินเสียงเราทะเลาะกันอีก
ซูคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเซ็กซ์ และผมก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
- เราไปหาคนอื่นบ้างดีใหม
- ไปหาคนอื่นหรือ
- คนที่ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ไงค๊ะ
ผมกลัวอยู่แล้วว่าเธอจะแนะนำแบบนี้ ก็เราเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาได้ให้กฏปฏิบัติเกี่ยวกับการพูดมาปฏิบัติเพื่อให้การสื่อสารระหว่างเราดีขึ้น แต่ผมไม่อยากให้เรื่องระหว่างเราต้องมีกฏเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอจะพูดอย่างไรถ้าหากเธอต้องการความช่วยเหลือเรื่องงานบ้าน หรือ ผมต้องพูดอย่างไรถ้าผมอยากให้เธอใช้ปากกับผม
ผมไม่ต้องการสนทนากับซูให้ดีขึ้นหรอก ผมแค่อยากรู้สึกมีชีวิต และมีส่วนร่วม ใจของผมเต็มไปด้วยโคลนตมเสียแล้ว การงานก็ไม่พัฒนา ผมกลัวว่าที่ปรึกษาจะแนะนำให้เรากลับไปเริ่มชิวิตแต่งงานเหมือนเด็กนักเรียนวัยซน
สิ่งที่แย่ที่สุดคือ ผมรู้ว่าซูต้องการอะไรจากผม ซึ่งผมไม่ต้องให้ใครมาบอกผมหรอก ผมรู้ว่าผมไม่สามารถรักเธอเหมือนเดิมได้ ผมได้เปลี่ยนไป ปัญหาก็คือ ถึงผมรู้ว่าผมควรจะทำอย่างไร แต่ผมก็ไม่อยากทำ และความละอายแก่ใจในเรื่องนี้ทำให้ผมเหมือนตายทั้งเป็น
- คุณจะให้ชั้นทำอย่างไรล่ะ ซูถาม
- เล่นบอลโต๊ะกับผมซิ ผมบอกเธอ บอลโต๊ะที่ผมกับเดวิดเคยเล่น แต่เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยฝุ่นและถูกเก็บอยู่ในห้องเก็บของ
-นี่หรือค่ะเรื่องของเรื่อง บอลโต๊ะ นี่นะหรือ
- เปล่า ไม่เกี่ยวกับบอลโต๊ะหรอก
- แล้วมันอะไรกันล่ะ ค๊ะ
ผมเบื่อกับการทะเลาะที่ว่ามันเรื่องอะไรกัน ผมถูกทรมานด้วยความหงุดหงิดและติดกับ ผมก็เลยเอาเรื่องเล็ก ๆ ที่ผ่านมาแล้วมาหาเรื่องเสียงั้นแหละ อีกไม่กี่นาทีต่อมา เราต่างเปล่งเสียงใส่กัน รอยแผลเป็นเมื่อหลายปีได้เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งซิบ ๆ ไปด้วยเลือด
เธอตะโกนใส่ผมว่าผมบ้องตื้น และเอาแต่ตัวเอง ผมตะโกนบอกอย่างสุดเสียงว่าเธอเองคิดว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียวแล้วก็ดื้อด้าน ส่วนหนึ่งของผมเหมือนผมเองกำลังยืนมองเราทะเลาะกันด้วยความทึ่งและหวาดกลัวในความโกรธที่ประทุขึ้นมา ผมกำลังยืนมองผู้ชายคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ผู้ชายคนที่ผมไม่อยากเป็น และไม่อยากให้อยู่ในชีวิตของผมอีกต่อไป ทันใดนั้นเดวิดก็พุ่งเข้ามาในห้อง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ หยุด” ทั้งเดวิดและแม่ของเขาต่างก็เพ่งมาที่ผม แน่นอนผมเป็นคนที่ถูกตำหนิอยู่คนเดียว
ผมไปที่รถเข้าขับออกไปทันที ขับไปเรื่อย ๆ จนประมาณหนึ่งชั่วโมงผมก็จอดรถแล้วมองไปรอบ ๆ ไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน มีแสงไฟ และบ้านในฟาร์มอยู่ที่สุดปลายทางอันมืดมิด มีแสงจากจอทีวีที่กำลังเปิดอยู่ และก็มีชีวิตคนอื่นที่กำลังเป็นอยู่อย่างสงบสุข
พระเจ้า เรื่องมันเกิดมาถึงขั้นนี้ได้ยังไงกันนี่
สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ ไม่มีใครรู้และเข้าใจได้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นในคืนนี้ ผมจะไม่บอกกับใครถึงเรื่องนี้ แม้แต่กับเพื่อนสนิทของผม
“ความจริงก็คือ” มันเป็นประโยคที่ซูชอบพูด – ผมรู้สึกเหมือนถูกหลอกโดยความรักที่ผมต้องการแต่แล้วมันกลับเปลี่ยนผมให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป
ผมกับซูก็เหมือนคู่ชกรุ่นเฮฟวี่เวทที่ต่อยกันถ่วงเวลา ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ เราพักยกเป็นอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ จนกว่ารอยแตกช้ำจะหายพอที่จะเริ่มยกใหม่ได้อีก
ผมขับรถกลับบ้านซึ่งตอนนี้มันมืดมิดไปแล้ว ซูได้ย้ายไปนอนที่ห้องสำรอง ความกลัวที่สุดของผมก็คือผมกลัวว่าเดวิดจะล่วงรู้ว่าเรื่องระหว่างผมกับซูได้บานปลายไปแค่ไหนแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องกระหนักในตอนนี้ คือการปกปิดความจริงจากคนอื่น
ทำไมมันถึงได้สำคัญนักนะในการที่จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ
ผมนอนคนเดียวบนเตียงนอนใหญ่ที่เยือกเย็น แต่ในตอนเช้าซูและผมจะตื่นแต่เช้า แต่งตัวให้เสร็จก่อนที่เดวิดจะตื่นขึ้นมาเสียก่อนแล้วรู้เข้าว่าเราไม่ได้นอนด้วยกัน ซูแต่งตัวเสร็จแล้วในชุดสูทกางเกงสีเทา ดูภูมิฐานเหมือนนักธุรกิจ เธอสวมเสวตเตอร์คอเต่าสีขาวไว้ข้างใน ก่อนเสื้อเจ็คเก็ต
เราสงบเสงี่ยมต่อกันในช่วงอาหารเช้า เพราะเราต่างก็หมดเรี่ยวแรงที่จะทะเลาะกันอีกต่อไป
- จะทำยังไงกันดีล่ะ มาร์ค
- เราจะคุยกันคืนนี้ ผมบอกกับเธอโดยที่ไม่ได้เงยหน้าจากแก้วกาแฟมาสบตาเธอ
แต่คืนนั้นเราไม่ได้คุยกัน เพราะเดวิดต้องการให้ไปส่งที่โรงเรียนเพื่อซ้อมละคร และเราทั้งสองก็เหนื่อยจากเมื่อคืนก่อนเกินไป เราก็เลยแค่ดูทีวีนิดหน่อยแล้วก็เข้านอน
ปาเข้าไปหนึ่งอาทิตย์กว่าเราจะได้คุยกันอีกครั้ง และเราต่างฝ่ายต่างแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น
จะปล่อยไว้เฉย ๆ อย่างนี้เห็นท่าจะไม่ได้ มันเหมือนสนิมกัดกร่อนชีวิตของเรา ผมไม่อยากปล่อยทิ้งสิ่งต่าง ๆ ไป เช่นการที่มีเธออยู่เสมอ การไปงานปาร์ตี้บ้านเพื่อนด้วยกัน หรือการอยู่ด้วยกันแบบครอบครัว
ผมบอกกับตัวเองว่าผมเหมือนติดกับ ในขณะที่ผมกลัวเกินกว่าที่ผมจะเดินจากไป
อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา ผมจูบลาซูซานที่สนามบินเพื่อไปร่วมการประชุมนักเขียนบทภาพยนต์ที่ต่างเมือง จูบเธอแล้วผมก็เข้าไปข้างในทันที


Thirteen

สองสัปดาห์หลังจากการประชุม ผมหาเหตุผลเพื่อที่จะเดินทางไปลอนดอนอีก แน่นอน ผมคงต้องเอาเรื่องงานมาอ้าง, การประชุมกับผู้อำนวยการผลิตที่สถานีช่องสี่ แต่เหตุผลที่แท้จริงก็คือ แอนนา อยู่ที่ลอนดอนนั่นเอง แต่ผมก็บอกกับซูว่าผมจะเจอกับแอนนา แต่ผมก็ไม่ได้พูดในสิ่งที่ผมควรจะพูดกับเธอ ผมคิดไปว่าการนอกใจจะช่วยให้ชีวิตแต่งงานดีขึ้นมาได้ ผมคิดว่าผมอาจจะได้เรียนรู้บางอย่างจากแอนนาแล้วนำมาใช้กับชีวิตแต่งงานของผม และมันก็อาจจะทำให้ผมเป็นคนดีขึ้นมาได้
ปัญหาก็คือ ผมมีความเชื่อที่ว่าทุกชีวิตแต่งงานหากล้มเหลวแล้วมันจะไม่ฟื้นขึ้นมาได้อีก แต่ผมก็รู้สึกว่าถ้าหากซูซานยอมรับว่ามันจบลงไปแล้ว มันเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องกู้มันกลับมา ไม่ว่าผมอยากจะทำมันหรือไม่ก็ตาม
ผมเพิ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง คุณค่าของตัวผม มันยุ่งเหยิงอยู่ใต้พุ่มไม้ในป่าใหญ่ แห่งความละอายและพันธะ แล้วความรักมันจะอยู่รอดได้อย่างไร
แน่นอนคำตอบก็คือ มันไม่มีทางไปรอดได้
ยอมรับความจริงเสียดีกว่า แต่ส่วนนึงของผมยังไม่มั่นใจว่าชีวิตแต่งงานของผมมันจบลงไปแล้วจริง ๆ แม้ว่าส่วนหนึ่งของผมได้กระจ่างแล้วว่ามันจบ ผมก็เลยวางตัวเองในตำแหน่งที่ให้ซูเป็นคนจบมัน ผมรับไม่ได้แม้แต่กับตัวเอง ผมขี้ขลาด และผมก็สับสนเอามาก ๆ เลยจริง ๆ ผมเคยคิดเสมอว่า ถ้าหากว่าผมต้องเดินจากชีวิตแต่งงานของผมออกไป มันจะเป็นเหตุผลที่ว่าผมไม่รักและห่วงใยต่อภรรยาของผม และผมก็ไม่อยากทำลายชีวิตที่สมบูรณ์นี้ ที่ผมได้ใช้เวลาสิบห้าปีในการสร้างมันขึ้นมา ผมไม่อยากเสียศูนย์
ผมรอแอนนาอยู่ในห้องโถงของโรงแรมในลอนดอน เธอยิ้มแต่ท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนนกน้อยของเธอก็บ่งบอกออกมาว่าเธอรู้สึกกังวลอยู่ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะมา เราเดินไปที่ผับบนถนนกลูเชสเตอร์ด้วยกัน
ท้องฟ้าสีแหลืองอ่อนกระจ่างในช่วงบ่ายในฤดูใบไม้ร่วง เราเดินผ่านครอบครัวที่มาพร้อมกับเข็นที่มีเด็กนั่งอยู่ข้างใน ผ่านชายนักธุรกิจกำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องระหว่างเรา แต่สำหรับพวกเขา เราอาจจะเป็นแค่เพื่อนนักธุรกิจสองคนกำลังเดินทางไปประชุมเท่านั้นเอง
เรานั่งพักที่ม้านั่ง ใกล้หน้าต่างที่กระจกมีคราบน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ แอนนามีผ้าพันคอสีชมพูพันคอใว้ เธอรวบผมไว้ข้างหลังด้วยกิ๊บกระ
- คุณช่างสวยเหลือเกิน ผมพูดเบา ๆ ด้วยเสียงนุ่มทุ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมให้ผู้หญิงอื่นได้เห็นผมอย่างทะลุปรุโปร่ง
ผมเห็นสายตาบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ และขอบคุณที่ชมออกมาบนใบหน้าของเธอด้วย ราวกับว่าไม่เคยมีใครบอกเธอแบบนี้มาก่อนเลย ผู้หญิงที่สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ยังมีความโหยหาถึงบางสิ่งอยู่ภายใน
- ตอนที่ฉันพบคุณที่ประชุมครั้งก่อน ชั้นไม่ทราบจริง ๆ ว่าคุณแต่งงานแล้ว เธอพูด
- ถ้าคุณรู้อยู่แล้ว คุณจะอยู่รอผมหรือเปล่าครับ
- คุณมีลูกแล้ว นะค๊ะ ชั้นไม่อยากทำให้ครอบครัวคุณ หรือใคร ๆ แตกแยกค่ะ
- แต่ยังไงชีวิตแต่งงานของผมมันก็จบไปแล้วล่ะครับ ผมพูดออกไป ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ผมเองก็เพิ่งได้ยินตัวเองพูดออกไปก็คราวนี้เอง ก่อนนี้ผมไม่เคยบอกกับใครเลยว่าชีวิตครอบครัวของผมอยู่ในวิกฤต ผมแทบจะไม่เชื่อตัวเองว่าผมได้บอกสิ่งนี้ไปกับแอนนา ก่อนหน้านี้สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่บอกใครว่าผมรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
- แล้วคุณได้คุยกับเธอหรือเปล่าค๊ะ มาร์ค
- การคุยกัน คือสิ่งเดียวที่เราทำได้ คุยกันแล้วคุยกันอีกแต่ไม่ไปถึงไหน ความห่างเหิน ของเรามันไกลจนกู่ไม่กลับแล้วล่ะครับ ผมได้พยายามแล้วจริง ๆ ผมรู้สึกเดียวดายและจมอยู่กับความทุกข์ ผมจึงอยากให้มันจบลงไปซะที
เธอจับมือของผมกุมไว้ เธอเองก็แต่งงานแล้ว ถ้าสิ่งนี้ผิดก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ล่ะครับ ผมไม่กลัวอะไรแล้วละ
- แล้วซูซานว่าไงล่ะค๊ะ
- เธอก็เห็นด้วยกับทุกสิ่ง ผมเองที่เป็นตัวปัญหา
- บางทีถ้าคุณลองคุยกับเธอดู อาจจะทำให้มันดีขึ้นมาได้นะค๊ะ
ผมส่ายหน้า
- ผมเกลียดความรู้สึกผิดที่ผมไม่ได้รักเธอมาได้มากกว่านี้ ผมไม่อยากแม้แต่จะเขียนงานอีกต่อไป แม้มันจะเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุด ถ้าผมเขียนไม่ได้ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกินแล้วล่ะครับ
เธอทำให้ผมตะลึงด้วยการจูบผมเบา ๆ ที่หน้าผากของผม ผมสูดหายใจเอากลิ่นหอมที่ระเหยมาจากอกของเธอ มันช่างอบอุ่น เย้ายวน และให้ความรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ มันเป็นการให้ที่แสนหวาน ผมรับอย่างเต็มใจ
ผมจับมือของเธอแล้วบรรจงจูบลงบนมืออุ่นนุ่มนวลของเธอ รู้สึกถึงจังหวะเต้นของชีพจรของเธอ ผมรู้สึกกลัว ผมปล่อยให้หัวใจนำทาง เหมือนมีผมคนใหม่ที่มาครอบครองชีวิตของผม
ผมนำเธอไปที่ห้องนอน เราจูบกันเนิ่นนานเป็นชั่วโมงทีเดียว ก็มันไม่ต้องรีบร้อนไปไหนนี่ครับ และผมก็รู้ว่ามันจะจบลงในไม่ช้า ในที่สุดเราก็เริ่มทำรักกัน เธอใช้มือยันใบหน้าผมไว้เหมือนกับว่าเธอจะผลักให้ผมออกไปทั้ง ๆ ที่เธอดึงผมให้ไกล้ชิดเธอมากเข้าไปอีก ตาของเธอปิดสนิทเหมือนเธอล่องลอยและเจ็บปวด ผมรู้สึกเหมือนบางสิ่งที่นี่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน แล้วเธอก็นอนลงเผยให้เห็นสะโพกแคบได้สัดส่วน ผมจะนุ่มนวลกับเธอที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
ถ้าหากว่าผมรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า ผมจะปฏิบัติต่อเธออย่างนุ่มนวลทั้งในห้องนอนและข้างนอก


Fourteen

ซูซานโทรเข้ามาในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น และนี่เป็นการซ้อมพูดของผม
- ผมบอกกับคุณแล้วไงว่าคุณจะใช้เวลานานเท่าไรก็ได้เพื่อจัดการเรื่องราวที่มันกังขาคุณอยู่ คิดว่าเป็นของขวัญก็แล้วกัน เพราะว่าคุณจะได้ตัดสินใจโดยไม่ต้องคำนึงถึงผมหรอก ผมว่าคุณน่าจะไปที่ไหนสักแห่งที่มันจะทำให้คุณสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
ไปที่ที่ทำให้สบายใจฟังดูเหมือนคงจะไม่ช่วยอะไร ผมคงจะค้นหาความรู้สึกที่มีต่อแอนนาเสียก่อนว่ามันไม่ได้จริงจังหรือเปล่า ผมคงจะไม่ไปค้นหามันที่บนภูเขาในเนปาลหรอกนะ แต่เธอก็พูดถูกอยู่ที่ว่าเราควรจะแยกจากกันเสียในตอนที่ผมขับรถจากไปในคืนนั้น ผมน่าจะพูดมันออกไป
- คุณเลือกลอนดอนซึ่งเธอของคุณอยู่ที่นั่น คุณฉวยโอกาสจากความไว้ใจและความใจกว้างจากชั้น
นั่นฟังดูเหมือนผมจะเสียแต้มในตอนนี้ แต่ไม่เป็นไรผมยอมได้
- ด้วยคุณธรรมและอารมณ์ขันจากชั้น ชั้นขอถอนคืนความสัมพันธ์ระหว่างเรา และคุณคงต้องหาที่อยู่ใหม่เมื่อคุณกลับมา
ผมพึมพำตอบบางอย่างออกไป ก็ยุติธรรมดี ไม่แน่ ผมอาจจะวางแผนให้เธอไล่ผมออกจากบ้าน แทนที่จะเป็นคนออกไปเองเสียก่อน
ผมรู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำแบบนั้น


Fifteen

พื้นน้ำสีเทาระยับของแม่น้ำเทมซ์ ไหลเอื่อยอยู่ข้างล่างในระหว่างที่เราขับรถอยู่บนสะพานเวสท์มินสเตอร์ ผมมองออกไปที่ตึกสูงเรียงรายอยู่ข้างนอก โดมสีหม่นของเซนท์ปอล อาคารรัฐสภาที่ดูราวกับภาพในโปสการ์ด ผมกำลังข้ามตัวเองที่เป็นคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปถึงไหนแต่ผมรู้ว่ามันไม่มีทางกลับมาได้
ในขณะขับรถ แอนนาพูดเกี่ยวกับชีวิตของเธอ ฟังแล้วมันคล้าย ๆ กับชีวิตของผม ที่พยายามที่จะประพันธ์บทชีวิตที่สมบูรณ์ หรือจัดท่าทางถ่ายรูปครอบครัวเพอร์เฟ็ค แต่ดูเหมือนบางคนคอยที่จะทำหน้าทะเล้น,หลับตาเสียทุกทีที่จะกดชัดเตอร์
- คุณรักพอล หรือเปล่า แอนนา
- เค้าเป็นคนเดียวที่ชั้นรู้จักเป็นอย่างดีที่สุด เธอตอบ เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่ชั้นอายุ 21 ปีแน่ะ
เธอมองผมเหมือนกับว่าเธอได้บอกอะไรที่ไม่จริงกับผม และหยั่งว่าผมจะจับได้หรือเปล่า มันจริงอยู่ที่ว่าเธออยู่กับพอลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ส่วนที่ไม่จริง ผมคาดว่าเธอไม่ได้รักเขาแล้ว หรือ อาจจะเป็นรัก ที่เธอต้องการจริง ๆ
- แล้วก่อนที่คุณจะพบกับพอลล่ะ
- ตอนนั้นชั้นอายุ 16 ก็มีหนุ่มนักแสดงคนนึงชื่อไมเคิล แต่เค้ามีพวกสาว ๆ ตามกันเป็นพรวนอยู่ตลอด
- แล้วคุณนอนกับเค้าหรือเปล่าครับ
หน้าเธอแสดงอาการงอนขึ้นมา
- นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ภูมิใจอยู่ว่าชั้นไม่เคยนอนกับเค้าเลย ก็เค้าไม่เคยรักชั้นจริง ๆ หรอกค่ะ
ความเจ็บปวดยังคงแสดงออกมาในน้ำเสียงของเธอ ฟังดูเหมือนไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเธออย่างให้เกียรติแก่เธอมาก่อนเลย ผมบอกกับตัวเองว่า ผมนี่แหละที่จะปฏิบัตต่อเธอให้ต่างไปจากพวกนั้น
- ไมเคิลเค้าชอบที่ชั้นเจอเค้าอยู่กับพวกผู้หญิง ความหึงหวงมันจะฆ่าคุณได้นะ รู้มั๊ย ชั้นสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่หึงหวงใครต่อไปอีกเป็นอันขาด
เราหยุดแวะทานมื้อค่ำกันที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ออกฟอร์ดเชอร์ แอนนาอยากที่จะจองห้องพักที่ชั้นบนของผับ แต่เราเปลี่ยนใจมานั่งเล่นใกล้ ๆ สระน้ำ และผมขอให้เธอขับรถไปส่งผมที่โรงแรมที่ลอนดอนก่อนดีกว่า ผมรู้สึกถึงความละอายมันมาจุกอยู่ที่ลำคอ
- จะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรกันค๊ะ ตอนนี้คุณก็อยู่ที่นี่แล้ว วันนี้และคืนนี้เป็นวันของเรานะค๊ะ หรือว่าไม่ใช่ค๊ะ แล้วมันจะต่างกันอย่างไร หากว่าคุณจะกลับไปตอนนี้น่ะ
ผมไม่รู้จะตอบเธอว่าไง มันบอกไม่ถูกคล้าย ๆ ลางสังหรณ์บางอย่างมันเข้าครอบงำผม
- ผมไม่รู้ว่ามันจะดีหรือเปล่า
แอนนาออกจากรถแล้วเดินข้ามถนนที่ปูด้วยหินเข้าไปในผับ สักพักผมก็ออกจากรถตามเธอเข้าไปข้างใน เธอกำลังเซ็นต์บัตรเครดิตสำหรับค่าห้องเตียงคู่
- ชั้นจะไม่ขับรถส่งคุณกลับไปลอนดอนหรอกค่ะ เธอพูดโดยไม่ได้หันมามองผม ผมว่ามันบ้าสิ้นดี
ผมขนกระเป๋าขึ้นไปเก็บที่ชั้นบนในขณะที่เธอกำลังอาบน้ำอยู่ ผมนั่งอยู่ข้างหน้าต่างทะเลาะอยู่กับความคิดของตัวเอง มองลงไปข้างล่างที่มีอ่างน้ำเก่า ๆ สำหรับม้า และ ตู้โทรศัพท์สีแดงอยู่
เมื่อเธอออกมาจากห้องน้ำมันเป็นเวลาสายัณห์พอดี ในห้องมีแสงไฟสีนวลจากไฟหัวเตียงที่เปิดอยู่ เธอสวมเสวตเตอร์ขนสัตว์สีเทาของผม ชายเสื้อลงไปเกือบถึงเข่าของเธอ เห็นเธอแล้วหัวใจผมแทบละลาย
ไม่นานเธอก็คล่อมอยู่บนตัวผม เธอใช้นิ้วลูบไล้เล่นขนหน้าอกของผม ผมได้ยินเสียงตัวเองบอกกับเธอว่าผมรักเธอ มันเป็นครั้งเดียวในชีวิตผมที่ผมได้ยินคำนี้ออกจากปากผมโดยง่ายและไม่ได้คาดคิดไว้ เราต่างจ้องมองกันด้วยความตะลึง
พระเจ้า เธอได้เข้าถึงผมในบางส่วนที่ผมเองยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีอยู่






Create Date : 27 กรกฎาคม 2553
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 14:41:09 น. 0 comments
Counter : 241 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Maxmaya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แม๊กซ์ ครับ อยากเขียนนิยายแต่ไม่เก่ง ก็เลยอาศัยการแปลจากที่คนอื่นเขียนไว้แล้วไปก่อน รวมทั้งงานเขียนอื่น ๆ แล้วแต่อยากจะเขียน ลองติดตามกันดูนะครับ

เปลือย...ใจ ใส่บันทึก เป็นเรื่องราวของ

ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสามีแล้ว แต่โชคชะตาพาเธอ

ให้ไปพบกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งชักนำชีวิต

ของเธอ ให้ต้องเจอกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย

ที่พูดไม่ได้ห้ามใจไม่อยู่ เลยต้องเปลือยใจใส่

ไว้ในบันทึก.....อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใคร

หลายคน แตกต่างกันไปในรายละเอียด และ

จุดจบ.......

สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจผลิตภันณ์จาก Dream Cosmetique จาก Link เวชสำอาง ข้างล่างนี้ ท่านจะได้รับส่วนลด 10% ทันที เพียงท่านแจ้งการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ว่าได้ข้อมูลจาก Maxmaya http://www.dreamcosmetique.com/

New Comments
Friends' blogs
[Add Maxmaya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.