Business, Management, Skill, Experiences--แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์ บริหาร และอื่น ๆ
Group Blog
 
All blogs
 

มทส. ให้โควต้าพิเศษ ทุน"เด็กดี-เก่ง"

นำมาฝาก ... เผื่อใครมีลูกมีหลาน และอาจจะสนใจครับ

------------------------------------------------


วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11342 มติชนรายวัน



มทส. ให้โควต้าพิเศษ ทุน"เด็กดี-เก่ง"





ศ.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เปิดเผยถึงมติสภาวิชาการ และที่ประชุมคณะกรรมการการเงินและทรัพย์สิน มทส. ว่า มทส.ได้รับการอนุมัติให้โควต้าพิเศษ-ทุนเด็กดี และเด็กเก่ง 90 คน แบ่งเป็น การจัดสรรโควต้าพิเศษโดยไม่ต้องสอบให้แก่เด็กดี 40 คน พิจารณาจากข้อมูลของโรงเรียนในการประเมินผลงานด้านความดี 4 ด้านที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด สำหรับเด็กเก่ง ได้จัดสรรโควต้าและทุนให้กับนักศึกษาที่เคยผ่านการอบรมโอลิมปิควิชาการค่ายที่ 2 จากศูนย์ สอวน.ทั่วประเทศ 50 ทุน โดยนักศึกษาจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมการศึกษา ให้พักในหอพักของมหาวิทยาลัยฟรี และให้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวเดือนละ 3,000 บาท นอกจากนี้ ยังยกเว้นค่าเล่าเรียนแก่นักศึกษาที่มีผลการศึกษาดี คือมีคะแนนเฉลี่ยสะสม 3.25 ขึ้นไป ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนในภาคการศึกษาถัดไป และถ้ามีคะแนนเฉลี่ยสะสมระหว่าง 3.00-3.24 จะได้ลดค่าเล่าเรียนร้อยละ 50 ทั้งนี้ มทส.ได้จัดสรรให้ทุนดังกล่าวหลักสูตรละ 9 คน ซึ่งปัจจุบันมีหลักสูตรปริญญาตรีรวม 26 หลักสูตร


ที่มา: มติชน

//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01edu06300352§ionid=0107&day=2009-03-30


มทส. : //www.sut.ac.th/




 

Create Date : 30 มีนาคม 2552    
Last Update : 30 มีนาคม 2552 8:41:17 น.
Counter : 736 Pageviews.  

สามก๊ก สรุป โดย พ.อ. พิชเยนทร์ ธัญญสิริ นักศึกษา วปอ.รุ่นที่ ๕๐



สามก๊ก



โดย พ.อ. พิชเยนทร์ ธัญญสิริ

รองเจ้ากรมการขนส่งทหารบก

นักศึกษา วปอ.รุ่นที่ ๕๐

----------------------------------------------------------

สามก๊ก จัดว่าเป็นหนังสือดีที่สุดเล่มหนึ่งของโลก ได้ถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ
มากมาย และมียอดพิมพ์มากที่สุดเล่มหนึ่งของโลก ว่ากันว่า จะเป็นรองก็แต่คัมภีร์ ใบเบิลและตำราพิชัย
สงครามของ ซุนวู เท่านั้น
เรื่องราวในสามก๊ก ได้ครอบคลุมทุกด้านไม่ว่าด้านคุณธรรม การปกครอง การบริหาร การใช้คน การทูต การเมือง การทหาร โหราศาสตร์ ธรรมเนียมการปกครองแผ่นดิน และ
ตำราพิชัยสงคราม และหนังสือสามก๊กเมื่ออ่านแล้วสามารถนำมาใช้ประโยชน์ ในการทำงานและการ
ดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
สามก๊กเป็นเรื่องราวของการใช้สติปัญญา พลิกแพลง กอปรด้วย อุบายเล่ห์กลครบครัน
ยุคสมัยของสามก๊กเป็นเรื่องจริงเกิดขนึ้ ระหว่าง คศ.๒๒๐ – ๒๘๐ ระยะเวลา ๖๐ ป  แผน่ ดินจนี เกิดกลียุค
รบราฆ่าฟันกัน โดยได้แบ่งแผ่นดินจีนออกเป็น ๓ ส่วน คือ
๑. เล่าปี่ ได้ครองอำนาจ ทางภาคตะวันตกและพายัพ
๒.โจโฉ ได้ครองอำนาจ ทางภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน
๓. ซุนกวนได้ครองอำนาจทางภาค ใต้ของแม่น้ำ แยงซีเกียง
สามก๊กแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง
ช่วงแรก เป็นช่วงปลายแผ่นดินของพระเจ้าเลนเต้ ซึ่งเป็นยุคปลายของราชวงศ์ฮั่น จนถึงเหตุการณ์ที่
เล่าปี่ออกไปเชิญ ขงเบ้งที่เขา โงลังกั๋งในช่วงนี้เป็นการต่อสู้ ทางการเมืองภายในราชสำนักฮั่น และการพุ่ง
รบระหว่างบรรดาขุนศึก
ช่วงที่สอง เกิดยุทธศาสตร์ สามก๊กที่ขงเบ้งเสมอต่อเล่าปี่ทำให้แผ่นดินจีนแบ่งเป็น ๓ ส่วน
ช่วงที่สาม หลังจากขงเบ้งสิ้นบุญแล้ว ลูกหลานของเล่าปี่ โจโฉ และซุนกวน ได้สืบทอดอำนาจต่อมา
เบื้องก่อนแต่จะเกิดยุค สามก๊ก แผ่นดินจีนได้เกิดกลียุครบราฆ่าฟันกันจนแตกออกเป็น
๗ หัวเมืองทั้ง ๗ หัวเมืองนี้ บางครั้งก็ผูกมิตรกัน บางครั้งก็ทำสงครามกัน สงครามและสันติภาพเกิดขึ้น
สลับกันไป ประวัติศาสตร์จีนได้เรียกขานยุคนี้ว่าเป็น “ยุคเลียดก๊ก” รายละเอียดมีปรากฏในวรรณคดีไทย
เรื่องเลียดก๊ก ซึ่งแปลมาจากพงศาวดารเลียดก๊กของจีนนั้นแล้ว จนถึงสมัยหนึ่งแคว้นจนิ๋ มีเจ้าผ้ปู กครอง
ชื่อวา่ “จิ๋นอ๋อง” ได้รวบรวมหัวเมืองทั้ง ๗ เข้าเปน็ แผน่ ดินเดียวกนั สถาปนาราชวงศจ์ นิ๋ ขึ้นปกครอง
แผ่นดินจีนแต่นั้นมา ชื่อประเทศที่ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่ง จึงถูกเรียกตามชื่อของแคว้นจิ๋นว่าเป็น “ประเทศ
จีน” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
จิ๋นอ๋องเป็นผู้ใฝ่อำนาจ เห็นคำว่า “อ๋อง” ยังเป็นคำต่ำเสมอเจ้าเมืองธรรมดาไม่สมควรกับ
ความชอบที่พระองค์สามารถรวบรวมแคว้นทั้งปวงเข้าเป็นแผ่นดินเดียวกันได้ จึงทำให้ขุนนางทั้งปวงคิด
สรรหาสมญานามให้สมกับความชอบของพระองค์
เป็นธรรมเนียมของขุนนางทุกยุคทุกสมัยที่มักประจบผู้มีอำนาจ บรรดาขุนนางในยุคนั้นจึง
ได้คิดค้นสมญานามสาํ หรบั จนิ๋ อ๋องวา่ “ฮ่องเต้” ซึ่งหมายถงึ ความเปน็ ใหญใ่ น ๕ ทวีป หรือความยิ่งใหญ่
เหนือแผน่ ดิน ภูเขา แมน่ ํ้า ความดีและความช่วั ซึ่งสมญานามน้เี ปน็ ที่ต้องพระทยั ยิ่งนัก ดังน้ันจนิ๋ อ๋องจงึ
ได้เฉลิมพระนามาภิไธยของพระองค์ว่า “จิ๋นซีฮ่องเต้”
ความใฝ่ในอำนาจกับความคิดที่จะเป็นใหญ่ในจักรวาล เป็นแรงวิริยานุภาพ ภายในตัว
ของจิ๋นซีฮ่องเต้ ประกอบกับเป็นคนรู้จักใช้คน ดังนั้นคนดีมีฝีมือในแผ่นดินจำนวนมากจึงอาสาเข้ามารับ
ใช้ชาติ แผ่นดินจีนยุคนั้นจึงยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่กระนั้นความยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ก็ไม่สามารถยับยั้งความ
เอาไว้ได้ เมื่ออายุล่วงวัยมากเข้า จิ๋นซีฮ่องแต้ก็เกิดความคิดกลัวตายแต่ไม่อยากตาย ดังนั้นจึงได้พยายาม
แสวงหายาอายุวัฒนะ เมื่อความอยากเกิดขึ้น ความโง่ก็ได้เข้าครอบงำ พวกแพทย์หลวงและแพทย์
พื้นบ้านตลอดจนนักพรต ต่างได้อาสาทำยาอายุวัฒนะ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ความแก่ยังคงเข้าครอบงำ
จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกว่า วันเวลาแห่งความตายได้เยื้องกรายเข้ามา
เยือนพระองค์ใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดทรงตั้งรางวัลเป็นจำนวนมหาศาลให้แก่ใครก็ตามที่สามารถ
แสวงหายาอายุวัฒนะมาถวายได้ รางวัลจำนวนมหาศาลย่อมจูงใจคน ย่อมสามารถทำให้คนแกล่งกล้าไม่
กลัวผี ไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน ไม่กลัวบาป และไม่กลัวตาย ดังนั้น จึงมีพวกหมอกลุ่มหนึ่งเห็นว่า ขืนอยู่
ไปก็อาจเสี่ยงภัยต่อการถูกประหาร จึงอาสาเดินทางทางเรือไปทางด้านตะวันออกเพื่อแสวงหายา
อายุวัฒนะหลังจากเดินทางไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย กล่าวกันว่าคณะเดินทาง แสวงหายาอายุวัฒนะกลุ่ม
นี้คือ กลุ่มบรรพบุรุษกลุ่มแรกของชนชาติญี่ปุ่น เหตุที่ไม่ยอมรับว่าความตายจะมาถึง จิ๋นซีฮ่องเต้จึงไม่ได้
เตรียมการใด ๆ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์หลังการตายของพระองค์ ดังนั้นเมื่อความตายมาถึง กลียุคจึง
เกิดขึ้นในบ้านเมือง หลี่ซือขุนนางผู้มีความชอบต่อแผ่นดินและดำรงตำแหน่ง อัครมหาเสนาบดี ถูก
ขันทีใช้อำนาจของ ยุวกษัตริย์ ประหารอย่างโหดร้าย นอกจากนั้น ขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินก็ถูกบีบคั้น
และสังหารอย่างโหดร้ายทารุณ ในที่สุดยุวกษัตริย์ ผู้เป็นรัชทายาทของจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ถูกขันทีสังหาร
แผ่นดินอันยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ แม้เลือดเนื้อเชื้อไขก็ต้องถูกสังหารอย่าง
โหดร้าย นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งขอความประมาท ที่อย่าว่าแต่ปุถุชน คนธรรมดาสามัญเลย ต่อให้เป็น
ฮ่องเต้มีอำนาจวาสนา ทรัพย์สิ่งศฤงคารสักเพียงไหน หากตกอยู่ในความประมาทแล้ว ทุกสิ่งก็จะสูญสิ้น
ไปการรบราฆ่าฟันเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง การจลาจลขยายตัวลุกลามไปทั้งแผ่นดิน กลายเป็นสงคราม
กลางเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
สมัยนั้นมีผู้ตั้งตนเป็นผู้กู้ชาติหลายกลุ่ม หลายเหล่า แต่หลังจากสงครามผ่านไปนานวันเข้า
บางกลุ่มก็สูญสลายไป บางกลุ่มก็ไปร่วมกับอีกกลุ่มหนึ่งในที่สุดเหลืออยู่ เพียงสองกลุ่ม คือ
กลุ่มแรกนำโดย ฌ้อปาอ๋อง กลุ่มที่สองนำโดย เล่าปัง หรือที่เรียกว่าฮั่นอ๋อง ทั้งสองกลุ่ม
นี้ทำสงครามแย่งชิงเมืองหลวงกันเป็นเวลายาวนาน เปิดสงครามต่อกันถึง ๗ ครั้ง และทั้ง ๗ ครั้งนี้ ฮั่น
อ๋องหรือ เล่าปัง เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เนื่องด้วย เล่าปังเป็นคนมีความเพียรพยายาม มีจิตใจต่อสู้และทรหด
อดทน ทั้งพยามยามแสวงหาคนดีมีฝีมือมาร่วมงาน ในที่สุดเล่าปังก็ได้ขุนนางสองคนมาทำการด้วย นั่น
คือ “ฮั่นสิน” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจัดจ้านทางการทหาร กับ “เตียวเหลียง” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจัดจ้านทาง
พิชัยสงครามและการปกครอง ในสงครามครั้งสุดท้าย ฮั่นอ๋องเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ โดย ฌ้อปาอ๋อง
แตกทัพไปติดอยู่ริมน้ำ และฆ่าตัวตายในที่สุด ก่อนพ่ายแพ้ ฌ้อปาอ๋องได้เผาเมืองหลวงที่ใหญ่โตอัคร
ฐานจนหมดสิ้น กล่าวกันว่าเพลิงไหม้พระบรมมหาราชวังติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ฮั่งอ๋องหรือเล่า
ปังได้รับชัยชนะแล้ว จึงได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้น เหล่าขุนนางได้ถวายพระสมัญญาแก่พระองค์ท่านว่า
“พระเจ้าฮั่นโกโจ” จัดเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น สงครามและสันติภาพเกิดขนึ้ สลับกนั ไปเชน่ นี้
เจ้าพระยาคลัง (หน) จึงกล่าวไว้ในสามก๊กด้วยโวหารว่า “ เดิมแผ่นดินเมืองจีนทั้งปวงนั้น
เป็นสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข พระเจ้าฮั่นโกโจ และพระราชวงศ์ ได้
ครองราชย์สมบัติต่อ ๆ มาถึง 12 องค์ จากนั้นขุนนางชื่อ “อองมัง” จึงชิงราชสมบัติตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าครอง
แผ่นดิน อยู่ถึง 18 ปี ก็มีเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจ ชื่อ “ฮั่นกองบู๊” ชิงราชสมบัติกลับคืนได้
เสวยราชย์สืบเชื้อพระวงศ์ต่อมาอีก 12 องค์ จึงเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้องค์ที่ 3 ก่อนสิ้น
ราชวงศ์ฮั่น ทรงพระนามว่า “ฮั่นเต้” คงจะเป็นหมันจึงไม่มีพระราชบุตรสืบสันตติวงศ์ แต่แทนที่จะยก
เอาเชื้อพระวงศ  ผู้มีสติปัญญา คนหนึ่ง คนใด ขนึ้ เป็นมหาอุปราช เพ่อื เตรียมสบื ราชวงศต์ ่อไปกลบั ไป
ขอลูกชาวบ้านมาเลี้ยง ตั้งเป็นพระราชบุตร แล้วโปรดให้ขันทีเลี้ยงดูมาแต่น้อย ต่อมาทรงสถาปนาเป็นที่
รัชทายาท ดังนั้น เลนเต้จึงไม่ใช่เชื้อพระราชวงศ์ฮั่น เป็นลูกกาฝาก หากจะกล่าวถึงที่สุดแล้ว ก็ย่อมกล่าว
ได้ว่า ราชวงศ์ฮั่นได้หมดสิ้นไปตั้งแต่ยุคสมัย ของพระเจ้าฮั่นเต้แล้ว ราชบัลลังก์หลังจากนั้นตกได้แก่คน
แซ่อื่น การกระทำผิดธรรมเนียมในการปกครองแผ่นดินของฮั่นเต้ คือเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์ฮั่นดับ
สูญ และราชบัลลังก์ตกเป็นสิทธิแก่คนอื่น นี่คือทัณฑ์จากสวรรค์ของการที่ทำผิดธรรมเนียมประเพณี ถ้า
จะกล่าวโดยสำนวนไทยก็กล่าวได้ว่า เป็นความผิดของ “คนที่เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ”
เลนเต้ ลูกชาวบ้าน เมื่อได้ดิบได้ดี เป็นรัชทายาท ก็ถือตัวว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นไปด้วย
ครั้นได้เสวยราชย์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าเลนเต้” แต่สันดานชาติเชื้อที่ไม่ใช่เผ่าวงศ์
กษัตริย์ และอัธยาศัยที่ถูกสร้างสมมาจากการเลี้ยงดูของขันที ยังคงติดตัวมาจึงกำเริบขนึ้ สามกก๊ ไดก้ ล่าว
ความประพฤติของพระเจ้าเลนเต้ว่า “ มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี แลมิได้คบหาคนสัตย์ธรรม เชื่อ
ถือแต่คนอันเป็นอาสัตย์ ประพฤติแต่ตามอำเภอใจแห่งพระองค์ เสียราชประเพณีไป เมื่อเลนเต้เสวย
ราชย์แล้ว ได้อาศัยขุนนางผู้ใหญ่สองคน คอยค้ำจุนราชบัลลังก์ คนหนึ่งชื่อ เตาบู เป็นแม่ทัพใหญ่ อีกคน
หนึ่งชื่อตันผวน เป็นราชครู สองขุนนางเฒ่า รับราชการในราชวงศ์ฮั่น มาถึงสองแผ่นดิน เห็นความ
วิปริตผันแปร ในบ้านเมืองที่ทำให้ขุนนางข้าราชการแลราษฎร ต้องเดือดร้อนหนักว่า เกิดจากขันทีเป็น
เหตุ จึงวางแผนร่วมกันเพื่อจะสังหารกลุ่มขันทีชั่วเสีย แต่แผนการรั่วไหลเสียก่อน ดังนั้นทั้งแม่ทัพใหญ่
เตาบู และราชครูตันผวนพร้อมด้วยครอบครัวและบริวารจึงกลับเป็นฝ่ายถูกกลุ่มขันทีชั่วสังหารอย่าง
โหดร้ายและทารุณ แต่นั้นมากลุ่มขันทียิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น เหล่าขุนนางข้าราชการมีความเกรงกลัว
อิทธิพลของกลุ่มขันทีชั่วเป็นอันมาก
ในสถานการณ์ปัจจุบัน เราจะเห็นว่า กลุ่มชนชั้นสูงเป็นผู้ปกครอง บริหารประเทศ และผู้
ที่แสวงหาอำนาจ ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ประวัติศาสตร์ สามก๊ก
ถ้ากลุ่มการเมืองเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ อำนาจให้กับ กลุ่มของตนเอง และพรรคพวกของตน ก็
จะมีการต่อต้าน ต่อสู้ กันไม่มีวันสิ้นสุด สุดท้าย กลุ่มการเมืองนั้นก็จะล้มลงเพราะผลประโยชน์ของตนเอง
แต่ถ้ากลุ่มการเมืองใดเข้ามาบริหารประเทศโดยเห็นแก่บ้านเมืองอย่างแท้จริงแล้วโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์
ของพวกพ้อง กลุ่มการเมือง นั้น ก็จะสามารถยืนหยัดนำพาประเทศให้ไปสู่ความเจริญในทุกด้านได้อย่าง
แน่นอน


สุดยอดกลอุบายในหนังสือเรื่องสามก๊ก และแง่คิดเชิงบทเรียน มีดังนี้

- สุดยอดของอุบายในการทหาร คือ การหนี
- สุดยอดอุบายในทางการเมือง คือ ใช้คู่แข่งทำลายคแู่ ข่ง
- สุดยอดวิชาขันที ๕ วิชา คือ ๑. วิชา พินอบพิเทา
๒. วิชา สร้างความแตกแยก
๓. วิชา ใช้วาจาเป็นอาวุธ
๔. วิชา การรับสินบน
๕. วิชา การติดสินบน ซื้อน้ำใจคน


แง่คิดเชิงบทเรียนในหนังสือสามก๊ก

- สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในการสงคราม คือ ชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องรบ นั่นก็คือ การใช้หลักการฑูต
สรุป ผลที่ได้รับจากการศึกษาหนังสือเรื่องสามก๊ก
หนังสือสามก๊ก เป็นหนังสือที่ไม่ล้าสมัยแม้จะล่วงเลยสมัยมานานแล้วก็ตาม ผู้อ่านสามารถวิเคราะห์
เปรียบเทียบหลักการบริหารราชการแผ่นดินของชนชั้นปกครอง คือ กษัตริย์ หรือฮ่องเต้ และชนชั้นผู้ถูกปกครอง
หรือราษฎร ให้เรื่องแนวความคิด พฤติกรรมของมนุษย์ ความรักชาติ ผลประโยชย์ และจะเน้นเรื่องการแก้ไข
ปัญหาด้านยุทธวิธี สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในเหตุการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ผู้ที่ได้ศึกษาหนังสือสามก๊ก
อย่างละเอียด จะได้ประโยชน์อย่างมาก เช่น จะแก้ปัญหาได้อย่างมีเหตุผล
ตัวอย่างข้อคิดของหนังสือสามก๊ก
ทุกคราที่เกิดวิกฤติ ย่อมมีทั้งวีรชน ผู้กอบกู้ และทรชนผู้ทำลาย มีคนที่ยอมเสียสละเพื่อชาติ และมี
คนเล่นเล่ห์เพทุบายเพื่อขายชาติ ให้เกิดประโยชน์ตกแก่พวกพ้องกลุ่มคนตน
สุดยอดอุบายในทางการเมือง คือ “ ใช้คู่แข่งทำลายคู่แข่ง ”


ที่มา: วปอ.




 

Create Date : 21 มีนาคม 2552    
Last Update : 26 มีนาคม 2552 23:39:25 น.
Counter : 1942 Pageviews.  

สิ่งธรรมดาที่แสนพิเศษ


สิ่งธรรมดาที่แสนพิเศษ



เรื่อง: วนิษา เรซ
ที่มา: Post Today



บางครั้งในชีวิตประจำวัน เรารู้สึกว่ามีหน้าที่หลายอย่างที่เรา "ต้อง" ทำ ทั้งๆ ที่ขี้เกียจแสน ขี้เกียจ หรือเหนื่อยแสนเหนื่อยแล้วจากการทำงาน เช่น การล้างจาน การท่องหนังสือ การจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แถมพ่อแม่หลายท่านในปัจจุบันนอกจากทำงานเหนื่อยแล้วยังต้องมานั่งรับส่งลูกเรียนพิเศษเสาร์ – อาทิตย์อีก เวลานั่งรอบางครั้งก็เหนื่อยจนลืมชื่นใจความเก่งความน่ารักของลูก



สิ่งหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น "หน้าที่" ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย



ตัวหนูดีเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้ชายคนไหนจะมาขอหนูดีแต่งงาน หนูดีจะให้ล้างจานให้ดูก่อน แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า หนูดียินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายชายต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน



จนกระทั่งวันหนึ่งหนูดีได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน คำตอบของพวกหนูดี คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมคะ)



แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดค่ะ



อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมคะ หนูดีงงมาก



ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม



ทำไมต้อง "ล้างจานเพื่อล้างจาน" กว่าหนูดีจะเข้าใจและทำได้ เวลาก็ผ่านไปนานแสนนาน และทุกวันนี้หนูดีก็ยังฝึกเป็นประจำ เคล็ดอยู่ตรงนี้เองค่ะ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขในขณะล้างจานจิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่ น่ารักมากเลยค่ะ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน



ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข หนูดีคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ "เป้าหมาย" แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ "วิถี" ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนหนูดีตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนหนูดีไม่มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียว เดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรี เราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะคะ



ดังนั้น การกลับมาปรับ "วิถี" ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทาง กลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะคะ เดี๋ยวนี้หนูดีเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า "วิถีคือเป้าหมาย" พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้สุขเป็นประจำวันมีสุขในวิถีนั่นแหละคือเป้าหมายของหนูดี ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ค่ะ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน หนูดียังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวหนูดีคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และหนูดีไม่รอให้ "เป้าหมายสำเร็จ" แล้วค่อยเป็นสุข ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่คะว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า



ท่าน ติช นัท ฮันท์ พูดเรื่องนี้ไว้ดีมาก หนูดีเอามาเขียนเตือนใจตัวเองในหน้าหนังสือ "ขอบคุณสรรพสิ่ง" ที่เขียนก่อนนอนเลยค่ะว่า "ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ "ปาฏิหาริย์คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว" หนูดีเห็นด้วยอย่างมาก เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยเรื่อง "ธรรมดา" เช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ ตอนเย็นกลับมา ก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ ใช่ค่ะ เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น



แต่ถ้าความ "ธรรมดา" นี้หมดไปล่ะคะ เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงานที่เราเบื่อแสนเบื่อ เรื่องก็จะ "ไม่ธรรมดา" ไปในทันที และในเวลานั้นเอง เราจะหวนมาคิดเสียดายความ "ธรรมดา" จนใจแทบจะขาด



หนูดีไม่ได้พูดเองเออเองนะคะ แต่เพราะหนูดีอยู่ในอาชีพที่ได้เห็นความพลัดพรากสูญเสียในครอบครัวมาเยอะมาก จนเกิดเป็นกฎประจำใจเลยว่า ให้เรารีบชื่นชมกับความ "ธรรมดา" ที่เรามีและใช้ชีวิตประหนึ่งว่า สิ่งนั้นคือ สิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดาๆ แท้จริงแล้วคือสิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ



วันนี้ หนูดีขอชวนแฟนๆ คอลัมน์ลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไป แล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมคะ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่ วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชนโชคดีจังเลย



เรื่องสุดท้ายนี่หนูดีคิดเป็นประจำเลยค่ะ เพราะในโลกนี้ หนูดีเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้น หากวันไหนรถหนูดีอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วค่ะ สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะคะ ขอให้ทุกท่านทำงานอย่างเป็นสุขค่ะ




 

Create Date : 20 มีนาคม 2552    
Last Update : 24 มีนาคม 2552 17:17:36 น.
Counter : 699 Pageviews.  

ขอ



ขอ




..."ขอ"... เป็นกิริยาที่หลายคนถนัดนัก
เพราะไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก
เรามักจะขอเพราะอยากได้
และสิ่งที่เราอยากได้นั้น เพียงแค่นึกถึงก็เป็นสุขแล้ว
เรารู้จักเอ่ยปากขอตั้งแต่ยังเล็ก
เริ่มด้วยขอจากพ่อและแม่ ต่อมาก็ขอจากครู โตขึ้นก็ยังขอ
เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก
แต่อาจเปลี่ยนจากขอเงินหรือขอคะแนน มาเป็นขอความรักแทน
แต่ถึงจะได้มาสมใจ ก็ยังมิวายที่จะขอต่อไป
ยิ่งสมัยนี้ด้วยแล้ว ใคร ๆก็อยากจะขอจากท่านพ่อจตุคามรามเทพกันทั้งนั้น ถ้าไม่ขอสิเป็นเรื่องแปลก เพราะว่ากันว่าท่านให้รวดเร็วทันใจจริง ๆ

ใคร ๆ ก็ชอบ ขอ แต่มีอย่างหนึ่งที่เราไม่ค่อยอยากขอเท่าไหร่
นั่นคือ ขอโทษ ขอโทษเป็นคำที่กว่าจะหลุดปากแต่ละครั้ง
ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ใช่เจ้านายหรือมีอำนาจให้คุณให้โทษกับเรา
ยิ่งกับเพื่อน ลูกน้อง ลูกศิษย์ หรือลูกของเราเองด้วยแล้ว

การขอโทษเท่ากับเป็นการเสียหน้าอย่างแรง
แต่เคยสังเกตไหมว่า ยิ่งเห็นแก่หน้าของตัวเองมากเท่าไหร่
หน้าก็จะบางลงเรื่อย ๆ ขณะที่ใจกลับแข็งกระด้างมากขึ้น
จนแม้แต่จะขอโทษพ่อแม่ ก็กลายเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
เพราะกลัวหน้าจะระคาย ยิ่งกว่าที่จะนึกถึงความรู้สึกของท่าน
เวลามีปากเสียงกับท่าน
แล้วเผลอพูดหรือแสดงอากัปกิริยาที่ไม่เหมาะสมออกมา
มีกี่ครั้งที่เราเอ่ยปากขอโทษท่าน
แม้จะรู้ตัวว่าผิดก็ตาม แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น

การขอโทษนั้น มิใช่การแสดงความอ่อนแอ
ตรงกันข้าม เป็นการกระทำที่ต้องอาศัยความกล้าทีเดียว
อย่างน้อยก็ต้องกล้าพอที่จะขัดขืนอำนาจของ...หน้าตา...
ใช่หรือไม่ว่าทุกวันนี้เราเห็นแก่หน้าตา
จนมันกลายมาเป็นใหญ่เหนือชีวิตจิตใจของเรา
ใครมาแนะนำตักเตือนก็รู้สึกเสียหน้า
ใส่เสื้อไม่มียี่ห้อก็รู้สึกเสียหน้า

จนแม้กระทั่งเด็ก ๆ ที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือก็รู้สึกเสียหน้าไปกับเขาด้วย
สุดท้ายกลายเป็นว่า ผิดถูกไม่ว่าแต่อย่าเสียหน้าแล้วกัน
ชีวิตที่เห็นแก่หน้ามากเกินไปเป็นชีวิตที่หาความสุขได้ยาก
เพราะถูกกระทบได้ง่ายเหลือเกิน
ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้มันมาบงการชีวิตเรา
เราควรเปลื้องใจให้เป็นอิสระจากมัน
วิธีการหนึ่ง ก็คือ การขอโทษนั่นเอง

การขอโทษเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเรายังมีมโนธรรมสำนึก
รู้ถูกรู้ผิด และเห็นว่าความถูกต้องสำคัญกว่าหน้าตา
ทุกครั้งที่เราขอโทษด้วยความจริงใจ
นั่นแสดงว่าเรายังรู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ของผู้อื่น
ที่เรามีส่วนทำให้เกิดขึ้น ความเป็นมนุษย์อยู่ที่ตรงนี้
ใครที่ไม่รู้สึกอะไรเลย ควรหันมาตรวจดูว่าจิตใจเป็นหินไปกี่ส่วนแล้ว
แต่ถ้าใจของคุณยังอ่อนหยุ่น
ยังรู้ร้อนรู้หนาวในยามที่ผู้อื่นได้รับความทุกข์จากคุณ

การขอโทษจะช่วยเปลื้องความรู้สึกผิดออกไปจากใจคุณ
ไม่กดถ่วงหน่วงทับให้คุณหนักอกหนักใจอีกต่อไป
ขณะเดียวกันยังช่วยสมานบาดแผลในใจ
ของผู้ที่ได้รับความทุกข์จากคุณ
เชื่อหรือไม่ว่า เพียงคำไม่กี่คำนี้เท่านั้น
มีพลานุภาพที่สามารถเยียวยาจิตใจของคุณและเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ผู้ที่กราดเกรี้ยวเพราะเจ็บปวด
หลายคนจะรู้สึกสงบลงทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวคำขอโทษ

ถ้าคุณรู้จักขอโทษ ไม่นานจะพบว่า
จิตใจสามารถจะให้สิ่งหนึ่งที่ให้ได้ยากมาก นั่นคือ...ให้อภัย...
เป็นเพราะทุกวันนี้เราไม่รู้จักการให้อภัย เราจึงเป็นทุกข์กันมาก
น่าแปลก ก็คือ คนที่เราให้อภัยได้ยากนั้น

ส่วนใหญ่ ก็คือ คนที่อยู่ใกล้ตัวเรานี้เอง
อาจเป็นเพื่อน คนรัก ลูก หรือแม้แต่พ่อแม่
ยิ่งรักมากเท่าไหร่ ยามผิดหวังหรือถูกกระทำ
จะยิ่งเจ็บปวดและเคียดแค้นชิงชังมากเท่านั้น
อาการเหล่านั้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
แต่ปัญหา ก็คือ เรามักจะยึดติดถือมั่น และไม่รู้จักปล่อยวาง
มันจึงเผาลนใจเราไม่รู้จบ บางครั้งอาจยืดเยื้อไปจนสิ้นลม

การขอโทษเกิดขึ้นได้เมื่อใจไม่ยึดติดถือมั่นในหน้าตา
ทุกครั้งที่เราขอโทษด้วยความจริงใจ จิตก็รู้จักการปล่อยวาง
ยิ่งปล่อยวางได้เร็วเท่าไหร่
การแบกยึดความโกรธเกลียดก็เกิดขึ้นได้น้อยลง
ทำให้การให้อภัยกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นเรื่อย ๆ
และยิ่งเราให้อภัยมากเท่าไร บาดแผลในใจเราก็สมานเร็วมากเท่านั้น
ขออะไรก็ไม่ยากเท่าขอโทษ ให้อะไรก็ไม่ยากเท่าให้อภัย

แต่ถ้าเราไม่รู้จัก "ขอ" โทษและ "ให้อภัย" ชีวิตจะมีความสุขได้อย่างไร


ที่มา: FWD Email




 

Create Date : 19 มีนาคม 2552    
Last Update : 21 มีนาคม 2552 10:20:43 น.
Counter : 737 Pageviews.  

ได้ค่าชดเชย แม้ว่จะกระทำผิดซ้ำในความผิดที่ได้รับหนังสือเตือนมาก่อน



ได้ค่าชดเชย แม้ว่จะกระทำผิดซ้ำในความผิดที่ได้รับหนังสือเตือนมาก่อน





เรียบเรียงจาก : เตือนแล้ว..เตือนอีก

โดย : ฉันทนา เจริญศักดิ์

วารสารศาลแรงงานกลาง
ฉบับพิเศษ(ธันวาคม 2549)




แม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้กำหนดรูปแบบของหนังสือเตือนไว้อย่างชัดแจ้ง
แต่การที่นายจ้างออกหนังสือเตือนโดยไม่มีข้อความที่มีลักษณะของการเตือนตามกฎหมาย
ก็อาจทำให้หนังสือเตือนฉบับนั้นใช้ไม่ได้
เมื่อลูกจ้างกระทำความผิดซ้ำอีก
การที่นายจ้างจะเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
ก็อาจทำให้เป็นปัญหาได้ ดังตัวอย่างของคดีแรงงานที่น่าสนใจดังนี้

ลูกจ้างมาทำงานสายเป็นประจำ และก่อนเลิกจ้าง
นายจ้างได้ทำหนังสือเตือนเรื่องการมาทำงานสายและลูกจ้างได้รับทราบการตักเตือนนั้นแล้ว
นายจ้างจึงเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่ได้จ่ายค่าชดเชยและค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า

ลูกจ้างได้นำคดีมาสู่ศาลแรงงาน ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า
การที่ลูกจ้างมาทำงานสายเป็นประจำ
อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานของนายจ้าง
แม้ว่าจะไม่ใช่กรณีร้ายแรง แต่นายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว
นายจ้างจึงไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด

ลูกจ้างคนเก่ง(แต่ความประพฤติการทำงานไม่น่าภาคภูมิใจ)
ได้ยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาว่า นายจ้างออกหนังสือเตือนไม่ถูกต้อง
จึงไม่ถือว่าเป็นหนังสือเตือนตามกฎหมาย ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่า


"แม้ตามกฎหมายจะไม่ได้กำหนดแบบไว้ว่าหนังสือเตือนจะต้องมีรูปแบบและข้อความอย่างไร
แต่หนังสือเตือนนั้นจะต้องเป็นกรณีที่นายจ้างตักเตือนลูกจ้างที่ได้กระทำผิดฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
มิให้กระทำผิดเช่นว่านั้นซ้ำอีก หากกระทำจะต้องถูกลงโทษ
แต่เอกสารที่นายจ้างจัดทำและอ้างว่าเป็นหนังสือเตือนนั้น
คงมีข้อความระบุเพียงว่า "ลูกจ้างกระทำผิดมาทำงานสาย
เป็นการกระทำผิดระเบียบข้อบังคับเท่านั้น
มิได้มีข้อความที่เป็นคำตักเตือนของนายจ้างไม่ให้ลูกจ้างกระทำผิดเช่นนั้นซ้ำอีก
และหากกระทำอีกจะต้องถูกลงโทษไว้ด้วยแต่อย่างใด
เอกสารที่นายจ้างจัดทำเป็นหนังสือดังกล่าว
จึงถือไม่ได้ว่าเป็นหนังสือตักเตือนตามกฎหมาย
กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายได้"



จากหลักกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกา สามารถพิจารณาได้ดังนี้

1.
ข้อยกเว้นที่ทำให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่ลูกจ้างกระทำความผิดไม่ร้ายแรง
เช่น มาทำงานสาย ไม่ส่งใบลา
นายจ้างจะต้องตักเตือนการกระทำดังกล่าวนั้นก่อนอย่างน้อย 1 ครั้ง

2. การตักเตือนที่จะมีผลให้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยต้อง
"ตักเตือนเป็นหนังสือ"เท่านั้น(กรณีที่ลูกจ้างมาทำงานสาย
แม้นายจ้างจะตักเตือนด้วยวาจาหลายครั้ง ก็ยังคงต้องจ่ายค่าชดเชย)

3. "หนังสือเตือน" ที่จะมีผลเป็นหนังสือเตือน
ต้องมีข้อความแสดงพฤติกรรมหรือการกระทำของลูกจ้างที่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง
ระเบียบ หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
และถ้อยคำทีมีลักษณะตักเตือนมิให้ลูกจ้างกระทำผิดอีก
นอกจากนี้หนังสือเตือนต้องออกหรือกระทำโดยนายจ้างหรือผู้กระทำการแทนนายจ้าง
หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเท่านั้น

4. หนังสือเตือนควรมีข้อความต่อไปนี้

1. สถานที่ออกหนังสือเตือน

2. วัน เดือน ปีที่ออกหนังสือเตือน

3. ข้อความแสดงการแจ้งต่อตัวลูกจ้างที่กระทำผิดโดยเฉพาะเจาะจง(ไม่ควรปิดประกาศหนังสือเตือน
หรือกระทำการใดอันมีลักษณะเป็นการประจานลูกจ้าง
หรือทำให้ลูกจ้างได้รับความอับอาย ทั้งนี้
เนื่องจากการกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นผลทำให้เกิดความขัดแย้ง
บาดหมางในสถานประกอบการแล้ว อาจเป็นผลให้มีคดีมาสู่ศาลอีกมากมาย)

4. ข้อเท็จจริง หรือพฤติกรรมของลูกจ้างที่ฝ่าฝืนคำสั่ง ระเบียบ
หรือข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน โดยระบุวัน เดือน ปี เวลา สถานที่
และการกระทำนั้น(เมื่อใด ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร)

5. คำสั่ง ระเบียบ
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่กล่าวอ้างว่าการกระทำของลูกจ้างเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง
ระเบียบ หรือข้อบังคับนั้น
โดยควรระบุให้เห็นว่าการกระทำของลูกจ้างฝ่าฝืนคำสั่ง ระเบียบ
ข้อบังคับฉบับใด ในข้อใด)

6. ข้อความที่มีลักษณะเป็นการตักเตือนมิให้ลูกจ้างกระทำความผิดอีก
และควรระบุว่าหากลูกจ้างกระทำความผิดซ้ำหนังสือตักเตือนอีก
จะลงโทษทางวินัยอย่างไร

7. ลายมือชื่อของนายจ้างหรือผู้ออกหนังสือเตือน
(ต้องเป็นผู้มีอำนาจในการออกหนังสือเตือน)

5. หนังสือเตือนมีผลใช้บังคับไม่เกิน 1 ปี
นับแต่วันที่ลูกจ้างกระทำความผิดเท่านั้น



จะเห็นว่า การเตือนที่ทำเป็นหนังสืออย่างไม่ถูกต้อง
ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยดังกล่าว
ลูกจ้างที่มาทำงานสายบ่อยครั้งแล้วได้รับค่าชดเชย
เพราะนายจ้างทำหนังสือเตือนไม่ถูกต้องก็ไม่น่าภาคภูมิใจในการกระทำของตน
เพราะนอกจากจะทำให้ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมแล้ว
ถ้านายจ้างที่ไหนรู้ก็คงไม่อยากจะรับเข้าทำงานด้วยแน่นอน




 

Create Date : 19 มีนาคม 2552    
Last Update : 19 มีนาคม 2552 17:49:28 น.
Counter : 916 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

byonya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




I am not a perfect, but simple!

 
 
Custom Search



 
 

Website น่าสนใจ  
 
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บการศึกษา Eduzones.com

Business Web Directory .biz - Business Directory
 


Word of the Day

This Day in History

Quote of the Day

Hangman




Friends' blogs
[Add byonya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.