Business, Management, Skill, Experiences--แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์ บริหาร และอื่น ๆ
Group Blog
 
All blogs
 

5 เคล็ดลับ แปลงโฉมเป็นหนุ่มฮ็อต

5 เคล็ดลับ แปลงโฉมเป็นหนุ่มฮ็อต


((( ลองดู.... หากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จะทำให้ดูดี มีความมั่นใจ ... ก็น่าลองนะครับ )))

----------------------------------------*---------------------------------------------


"เพราะการมีบุคลิกดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ขออาสาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ (Stylish Consultant) แนะนำเทคนิคการสร้างบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือให้กับสุภาพบุรุษ ด้วยการปรับจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นกับ 5 เคล็ดลับ (Tricks) ที่สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์แบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ให้กลายเป็นหนุ่มฮ็อต

เริ่มที่เคล็ดลับแรก "ผอมเพรียวแบบง่ายๆ" (Simply to Slim) สำหรับผู้ชายที่รูปร่างใหญ่ ให้สวมเสื้อเชิ้ตที่พอดีตัว ใช้สีเอิร์ธโทน หรือเฉดสีคลาสสิคช่วยพรางหุ่นให้ดูสมาร์ท สวมสูทสีเข้มเพิ่มความภูมิฐาน พร้อมสวมกางเกงเอวต่ำช่วยพรางช่วงสะโพกให้สมส่วนมากขึ้น



เคล็ดลับที่ 2 "หนุ่มสไตล์เทรนดี้ที่ดูทันสมัย" (Easy ! to be Trendy Man) สวมเชิ้ตลายทาง ทรงสลิมฟิต หรือเชิ้ตลายสก๊อตช่วยเพิ่มความเทรนดี้

เคล็ดลับที่ 3 "ทางลัดแก้ปัญหาผู้ชายตัวเล็ก ด้วยลุคให้ดูสูง มีสง่า ราศี" (Tips to Look Taller) เลือกเสื้อคัตติ้งสไตล์สลิมฟิต เข้ารูปนิดๆ สวมเข็มขัด ตัวช่วยสำคัญที่ให้รูปร่างดูสูงขึ้น กางเกงทรงยาวพอดี ไม่กองพื้น จะช่วยให้ขาดูยาวขึ้น อย่าใส่กางเกงขาพอง หรือตีเกล็ด

เคล็ดลับที่ 4 "สลัดคราบหนุ่มขี้อาย" (Time to be Hot Guy) ใส่ยีนส์เดฟกับ เสื้อโปโล แล้วพับแขนทำให้ดูแมนขึ้น หรือใส่กางเกงทรงเบอร์มิวด้ากับรองเท้าผ้าใบ

เคล็ดลับสุดท้าย "หนุ่มขี้เล่น ด้วยแฟชั่นสีสันสดใส" (Open Mind & Find Your Color) เพิ่มลูกเล่นให้เสื้อยืดสีฟ้าสดใส ด้วยเสื้อนอกลายสก๊อตสีส้มแมทช์กับยีนส์สุดเท่ หรือกับเสื้อสีม่วงขรึม กับเสื้อสว่างสดสีเขียว สวมรอง เท้าสปอร์ต และกางเกงเฉดสีเบจ-น้ำตาล ช่วยทอนความหวานและดึงเสน่ห์สดใสของสีเสื้อ


เคล็ดลับง่ายๆ เปลี่ยนลุคส์ให้ฮ็อต



ที่มา: //www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad03080752§ionid=0115&day=2009-07-08




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2552 8:35:51 น.
Counter : 382 Pageviews.  

ดูดี...ทำได้ไม่ต้องเดี๋ยว

ดูดี...ทำได้ไม่ต้องเดี๋ยว

((( น่าสนใจมาก .... ก็เลยนำมาฝากครับ )))

------------------------------*--------------------------------

รายงานโดย :อ.ประณม ถาวรเวช

สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ จอห์นโรเบิร์ต พาวเวอร์

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หลายคนอาจยังไม่เห็นคุณค่าของการพัฒนาบุคลิกภาพ

ต่อไปนี้เป็นคำถามที่จะช่วยทำให้เข้าใจ และเห็นได้ว่าบุคลิกภาพมีประโยชน์ต่อการพัฒนาความน่ามอง ความดูดี และความมีราคาของคนทุกคน ช่วยให้เป็นคนที่น่าคบ มีประสิทธิภาพ และมีความสุข ซึ่งทุกคนสามารถลงมือทำได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องผัดผ่อน แล้วความดูดีจะปรากฏขึ้นในบัดดล

บุคลิกภาพสำคัญอย่างไร

บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่ทำให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว เป็นวิถีแทนความคิดและการกระทำ สามารถสร้างความรู้สึกต่อผู้พบเห็นว่าชอบหรือไม่ชอบ หรือเกิดความรู้สึกต่อคนคนนั้นอย่างไร ทำให้คนเกิดความรู้สึกทางใจ หรืออารมณ์ โดยไม่ต้องใช้ความคิด สติปัญญา หรือการตัดสินใจที่ต้องใช้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น บุคลิกภาพที่ดีจึงเป็นทั้งเสน่ห์และอำนาจ และเป็นที่ชื่นชอบของคนโดยทั่วไป ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆ ได้อย่างราบรื่น

บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้ไหม

บุคลิกภาพเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เสมอ ยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกคนต้องเข้าสู่สังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับบุคลิกภาพให้ได้มาตรฐานสากลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังนั้นทำอย่างไรเราจึงจะเป็นบุคคลที่เป็นที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจ สง่างาม สดใส ทันสมัย และดูจริงใจ ก่อนอื่นเราต้องตระหนักว่าทุกสิ่งที่เราต้องการข้างต้นนั้นต้องเริ่มมาจากภายใน นั่นคือ ความคิด เมื่อคิดแล้วก็จะเกิดการแสดงออกผ่านทางภาพลักษณ์และน้ำเสียงที่ดี จนถ่ายทอดเป็นการกระทำที่ประทับใจ ต้องท่องไว้เสมอว่า ฉันจะเติมแต่งชีวิตให้มีความสุขทุกวัน

เคล็ดลับในการสร้างความน่าเชื่อถือ

ต้องมาจากภาพลักษณ์ คือ เสื้อผ้าหน้าผมที่ดี ของใช้ที่เหมาะสม ภูมิฐาน ตลอดจนกิริยาในแต่ละอิริยาบถ ท่านั่ง ท่าเดิน ท่ายืน การไหว้ที่ดูดี ซึ่งจะเป็นดั่งเกราะที่ดึงดูดใจผู้พบเห็น นั่นคือมีมาดที่ดี เมื่อมาดดีย่อมทำให้เกิดความสง่างาม รู้สึกน่าไว้วางใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความสดใสด้วยสีหน้าที่มีชีวิตชีวา เทคนิคคือให้คิดว่าบนหน้าผากของคนที่เราพูดคุยด้วยมีคำว่า “ช่วยทำให้ฉันเป็นคนพิเศษหน่อยสิ” ติดอยู่

ส่วนเรื่องทันสมัยนั้น หมายถึง เราต้องเป็นคนทันโลก ทันเหตุการณ์ มีเรื่องราวเชิงบวกในการสนทนา ปัจจุบันใน 1 วัน หนึ่งในสี่ของระบบความคิดของคนจะคิดแต่เรื่องลบ เพราะฉะนั้นต้องสรรหาเรื่องที่น่าสนใจและสร้างสรรค์มาเป็นหัวข้อการพูดคุย ตลอดจนการแต่งกายก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนลุค เช่น อย่าไว้ผมทรงเดิมตลอด อย่าแต่งชุดโทนสีเดิมตลอด เป็นต้น

เราจะสื่อสารความจริงใจให้คนอื่นรู้ได้อย่างไร

สามารถแสดงออกผ่านการพูดที่ให้เกียรติ ใช้สรรพนามและคำลงท้ายที่สุภาพ อ่อนหวานโดยต้องใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยน ท้ายประโยคมีการทอดเสียงไม่กระชาก ห้วน หรือเสียงแข็ง อีกทั้งไม่ควรพูดแบบอวดรู้ เช่น อยากจะแนะนำอะไรสักอย่างก็ให้ใช้คำว่าขออนุญาตให้ข้อมูลเพิ่มเติมแทน เป็นต้น พร้อมใช้สายตาหรือ Eye Contact โดยแนะนำให้มองตาข้างใดข้างหนึ่งของคู่สนทนา เพื่อแสดงความใส่ใจและทำให้สายตาดูอ่อนลงไม่เป็นการจ้องหน้ามากเกินไป อีกเรื่องที่สำคัญคือระยะห่าง ไม่ควรเข้าไปใกล้เกิน 1 ช่วงแขนในกรณีที่ไม่สนิท เพราะระยะนั้นเป็นระยะพื้นที่ส่วนตัว ถ้าจำเป็นให้ขออนุญาตด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ

มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่เราต้องสร้างและพัฒนา

ขอแนะนำสัก 7 ประการนะคะ

1.ความคิด : เป็นรากฐานสำคัญของความเป็นคนคนหนึ่ง บุคลิกภาพงอกงามออกมาจากความคิดค่ะ เช่น คิดว่าจะอยู่แบบพอเพียงเรียบง่าย เขาก็จะแสดงออกผ่านการแต่งกาย การซื้อข้าวซื้อของ เครื่องประดับ บ้านช่องห้องหับ และวิถีชีวิตแบบพอเพียง แต่ถ้าคิดอยากเด่นอยากดัง ก็จะต้องแต่งเนื้อแต่งตัวอีกแบบหนึ่ง พาตัวเองไปอยู่ในวงสังคมอีกแบบหนึ่ง ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งต้องชัดเจนในตัวเองเสียก่อน ว่าเรามีความคิดแบบใด คำแนะนำของดิฉันก็คือ “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” จึงต้องมองเห็นตัวเองแล้วกำหนดความคิดว่า เราควรจะมีชีวิตและดำเนินชีวิตแบบใด

2.เสื้อผ้า : ก่อนที่เสื้อผ้าจะช่วยเสริมความดูดี คนคนนั้นต้องมีรูปร่างที่ดีเสียก่อน ดังนั้นต้องดูแลรูปร่างให้กระชับ สมส่วน จากนั้นจึงหาเสื้อผ้าที่ส่งเสริมรูปร่างและผิวพรรณมาสวมใส่ ช่วยให้ดูสดใส สวยงามสมวัย แม้รูปร่างไม่เพอร์เฟกต์ แต่เสื้อผ้าก็ช่วยลดจุดด้อยในตัวได้ เช่น ปิดบังสะโพกที่ใหญ่เกินไป แก้ไขเรื่องเอวที่ไม่มี ก้นที่แบน ขาที่ใหญ่ แขนที่อวบ คอที่สั้นหรือยาว ฯลฯ โดยเลือกแบบและลวดลายที่เหมาะสม คือไม่เน้นส่วนด้อยให้ยิ่งโดดเด่น เช่น ไม่สวมกางเกงหรือกระโปรงรัดรูปจนบั้นท้ายมหึมายิ่งตำตาผู้คน ไม่สวมกางเกงหรือกระโปรงสั้น จนขาติดมันของคุณเป็นที่หัวเราะ

3.ทรงผม : เลือกทรงผมที่ส่งเสริมความโดดเด่นของใบหน้า และแก้ปัญหาส่วนด้อยไปด้วย เช่น หน้าผากกว้าง กรามใหญ่ ตาเล็ก คางสั้น ฯลฯ ขณะเดียวกันทรงผมก็ควรทันสมัย เสริมบุคลิกให้โดดเด่น น่ามอง และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

4.เครื่องประดับ : อย่าให้รกรุงรัง จนดูเหมือนหุ่นตั้งเครื่องประดับในร้าน เลือกเครื่องประดับที่ทันสมัย แบบจะหวือหวาหรือเรียบง่ายก็ดูจากชุดที่สวมใส่ สถานที่ และงานที่เรากำลังจะไป

5.รอยยิ้ม : เป็นเสน่ห์ที่ไม่ต้องลงทุนซื้อหา ใครที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้า บ่งบอกว่ามีความเป็นมิตร เป็นคนอารมณ์แจ่มใส ผิดกับคนหน้าตาบูดบึ้งหรือเฉยชา ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะไม่ชวนให้รู้สึกวางใจหรือประทับใจ จึงไม่อยากคบค้าหรือติดต่อประสานงานด้วย

6.คำพูด : พูดจาด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร เต็มใจพูด แจ่มใส จะทำให้คนที่เราพูดด้วยรู้สึกดี และสะท้อนความดูดีของตัวเราเอง ทุกครั้งที่พูดจงเต็มใจพูด พูดให้ไพเราะ สุภาพ น่าฟัง มีสาระ ใช้ถ้อยคำที่เข้าใจง่าย และให้เกียรติแก่ผู้ฟังด้วย

7.จิตใจ : จิตใจที่ดีจะเป็นความดูดีที่ถาวรและเป็นเสน่ห์ที่ยั่งยืนมาก เราทุกคนอยากรู้จักคบหากับคนที่จิตใจดี จิตใจที่ดีต้องมองโลกในแง่ดี มองคนในแง่ดี และมีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต มีความหวัง รู้จักให้ รู้จักแบ่งปัน มีคุณธรรมนำทาง ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร ไม่ให้ร้าย และไม่คิดร้ายกับใครทั้งสิ้น




ที่มา: //www.posttoday.com/lifestyle.php?id=55145




 

Create Date : 02 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 2 กรกฎาคม 2552 18:26:22 น.
Counter : 316 Pageviews.  

คนมีเสน่ห์ : สร้างเสน่ห์ให้ตนเอง

คนมีเสน่ห์

สร้างเสน่ห์ให้ตนเอง

ผมเคยฝันอยากที่จะเกิดมาเป็นคนมีเสน่ห์ แต่บัดนี้จนแก่แล้วยังทำไม่ได้สักที จนกระทั่งได้มาอ่านบทความของอาจารย์ระเด่น ทักษณา ซึ่งเคยสอนผม แอบเป็นลูกศิษย์ของท่านเงียบๆ เสมอมา จึงนำเรื่องของเสน่ห์มาเล่าให้ฟังต่อ เพราะเห็นว่ามันคล้ายกับธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาก คือ มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ มาดต้องตานั้นมีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์ทางตา ถึง 83% (ส่วนวาจาต้องใจ คือ ฟังด้วยหูแล้วเกิดเสน่ห์ เพียง 11% เท่านั้น)



มาดต้องตา 10 ประการมีดังนี้

1. มีนิสัยสดชื่นร่าเริงอยู่เสมอ การยิ้มแย้ม แจ่มใสกับผู้คนทำด้วยความจริงใจ ออกมาจากใจ

2. ชอบยกมือไหว้คนด้วยความนอบน้อม ลักษณะที่งดงาม สบตาทุกครั้งที่ไหว้ ศีรษะค้อม มือชิดอก และใจเคารพ

3. เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคน โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่แสดงอำนาจ วางท่าเย่อหยิ่ง เหนือผู้อื่น

4. เมื่อได้พบกับคนอื่นที่รู้จักกันแล้ว หรือครั้งแรกก็ตาม ควรจะแสดงความกระตือรือร้น ยินดีที่ได้พบ ที่ได้รู้จักกัน รีบลุกขึ้นยืนทักทายทันที

5. คนมีเสน่ห์ ไม่รู้สึกเสียเกียรติ ที่จะกล่าวคำขอโทษ หรือขอบคุณใครก็ตาม ตั้งแต่คนงาน คนรถ คนใช้ไปถึงระดับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ

6. คนมีเสน่ห์ จะมีความสง่างาม รู้จักวางตัวเหมาะสม เคลื่อนไหวช้าเกินไป ไม่เร็วจนลุกลี้ลุกลนเกินไป เมื่อเล่นก็เล่น เมื่อทำงานก็ทำงาน

7. แต่งกายให้ถูกกับกาลเทศะ ไม่แต่งตามใจเราเอง แต่แต่งตามสภาพของงานที่จะไป และสังคมสิ่งแวดล้อมที่กำลังมีงานอยู่

8. ถ้าหากงานที่จะไปนั้น เป็นงานใหญ่ของเจ้าภาพที่มีเกียรติยศและตำแหน่ง หน้าที่การงานสูง เราไม่สามารถแต่งกายให้สมเกียรติได้ก็อย่าไปดีกว่าเพราะว่า จะทำให้เจ้าภาพเขาเสียหน้า และกระอักกระอ่วนใจ

9. ในงานพิธีต่างๆ เมื่อเราได้รับเชิญให้ลุกขึ้นยืนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชุมชน ควรจะกลัดกระดุม ให้เรียบร้อยทุกๆ เม็ด รวมทั้งสูทด้วย

10. คนมีเสน่ห์ เมื่อไปงานพิธีใหญ่ ต้องแต่งกายรัดกุม ถูกกาลเทศะไม่พกของตุงกระเป๋า เช่นโทรศัพท์มือถือหรือสะพายกล้องรุงรัง



วาจาต้องใจ

11. คนมีเสน่ห์ เมื่อพูดกับใคร หรือมีใครพูดด้วยต้องให้ความสนใจ 100% ด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เรื่องนั้นเราจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

12. เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง จะไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด โดยพยายามถามตนเองทุกครั้ง ก่อนจะพูดว่าเราควรจะพูดออกไปไหม

13. ให้พยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษาของคนพูด เพราะเมื่อพูดแล้วคนฟังน่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ

14. คนมีเสน่ห์ ควรแบ่งบทพระเอกให้คนอื่นเป็นบ้าง อย่าถือว่าเก่งคนเดียว เป็นเจ้านายคนเดียว เป็นหัวหน้าคนเดียว แบ่งให้คนอื่นบ้าง

15. ต้องไม่ยกตนข่มท่าน หลีกเลี่ยงในการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าไม่ดี เราดีอยู่คนเดียว รังแต่จะสร้างศัตรู เร่งแก้ไขความบกพร่องของตัวเองจะดีกว่า

16. คนมีเสน่ห์ไม่พูดถึงความยากของตนเอง หรือบ่นแต่ความทุกข์ของตนเอง ให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะปัญหาหนักอกหนักใจ นอกจากเขาช่วยเราไม่ได้แล้ว เขาอาจจะนึกดูถูกเราด้วยซ้ำไปในความโง่ของเรา

17. อย่าพูดถึงความร่ำรวย มีเงินทองของตนเอง เพราะว่าถึงเราจะรวยแต่เราก็คงไม่ยอม ไปแจกเงินเขาหรือให้ใครยืม เขาจะหมั่นไส้เอาเปล่าๆ

18.คนมีเสน่ห์ ย่อมจะไม่พูดถึงความเลวร้าย ความไม่ดีของคนในครอบครัว ลูกเมียของเรา ยกเว้นจะถูกคะยั้นคะยอเท่านั้น

19. คนมีเสน่ห์จะเป็นคนมีอารมณ์ขัน มีศิลปะในการเล่าเรื่องตลกบ้างเป็นครั้งคราว มีอารมณ์ขันสร้างบรรยากาศ ให้ครื้นเครงตามแต่กาลเทศะ แต่ไม่พร่ำเพรื่อจนกลายเป็นตัวตลกไป

20. ต้องไม่แสดงความรังเกียจ จนออกนอกหน้าเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ถูก ไม่ว่าจะเรื่อง DIRTY JOXES ก็ตาม



ภายในต้องเยี่ยม

21. คนมีเสน่ห์ต้องมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง "เงินยิ่งใช้ยิ่งหมด แต่น้ำใจยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม" ควรมีน้ำใจในเป็นทุกเรื่อง

22. คนมีเสน่ห์ย่อมทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ เพราะว่าผู้ให้ย่อมมีความสุขมากกว่า การไปรับของจากผู้อื่น

23. เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี สังคมเคารพยกย่อง คนที่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณมาก

24. คนมีเสน่ห์ ย่อมมีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าตกทุกข์ได้ยาก ตกงาน ว่างงาน หรือจะร่ำรวยมีฐานะดีก็ตาม

25. คนมีเสน่ห์จะเอาหลักศาสนาที่ตนนับถือ มาเป็นหลักปฏิบัติ ชาวพุทธจะปฏิบัติตนตามธรรมะ คือ ศีล 5 พรหมวิหาร 4 และเมตตาธรรม

26. การทำความดี เราถือว่าเป็นความสุข ไม่ใช่เพราะรอให้คนมาเห็นเราทำความดี จึงจะมีความสุข การทำความดีโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจะทำให้จิตใจเบิกบาน

27. เมื่อมีคนติติง ก็อย่าโกรธ เพราะว่าคำตินั้นมีประโยชน์ในการก่อมากกว่าคำชม ซึ่งจะทำลายและทำให้เหลิงและเสียคน

28. คนมีเสน่ห์จะแสดงความเคารพนับถือ ครูบาอาจารย์ วิทยากร ถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม ถ้าเราคิดว่าเราโง่ เราก็จะมีโอกาสเป็นคนฉลาด แต่ถ้าหากว่าเราคิดว่าเราเป็นคนฉลาดเราจะเป็นคนโง่ที่แท้จริง

29. ให้ความสนใจกับคำเชิญไปงานต่างๆ เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เรารักและเคารพ ถ้าหากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ควรจะโทรศัพท์ไปขอโทษ และส่งของขวัญตามไปภายหลัง งานศพนั้นความไปเสมอ

30. คนมีเสน่ห์ ควรให้อภัย ไม่อาฆาตจองเวรคนที่ให้อภัยเป็นทานจะมีใบหน้ารอยยิ้ม อิ่มเอิบ ผุดผ่องเสมอ คนโกรธจะมีใบหน้าบึ้งตึงไร้เสน่ห์



เบ็ดเตล็ด


31. คนมีเสน่ห์ย่อมจดจำวันเกิดของเพื่อน คนที่รู้จัก หรือคนที่สนิทได้ แล้วส่งของขวัญวันเกิด ดอกไม้หรือโทรศัพท์ไปแสดงความยินดี


32. คนมีเสน่ห์ย่อมเตรียมนามบัตรไว้จำนวนหนึ่งให้พอแจกเสมอ เมื่อยื่นนามบัตรให้ยื่นในระดับสายตา ผู้รับอ่านเห็น และควรอ่านชื่อตนเองดังๆ เพื่อเขาจะได้ทราบว่าชื่อของเราอ่านว่าอย่างไร


33. เมื่อมีผู้มอบนามบัตรให้ เราควรจะยกมือขึ้นรับและไหว้ ควรอ่านชื่อในนามบัตรของเขาดังๆ เพื่อให้จดจำชื่อของเขาได้


34. นามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อราได้รับนามบัตรอย่าเพิ่งรีบเก็บเข้ากระเป๋า ควรวางบนโต๊ะในที่มองเห็นตลอดเวลา อย่าให้เปื้อน แล้วเก็บไปด้วยเสมอ


35. เมื่อมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วในโต๊ะอาหารหรือนั่งประชุม ควรจะขออนุญาตเมื่อจะเข้าไปนั่งด้วย และกล่าวคำขอโทษก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ อย่าลุกไปเฉย


36. ผู้มีเสน่ห์เมื่อนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารหรือที่ประชุมควรยิ้มต้อนรับหรือกล่าวคำทักทาย ผู้มาใหม่เสมอ หรือผู้ที่จะลุกออกไปจากโต๊ะ


37. เมื่อนั่งโต๊ะอาหาร ควรคลี่ผ้ากันเปื้อนไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนตัก อย่าใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดปาก เช็ดหน้า เช็ดมือเป็นอันขาด และเมื่อลุกจากโต๊ะควรพับผ้ากันเปื้อนแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ


38. เมื่อรับประทานอาหารเสร็จควรรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน พนักงานเสิร์ฟจะได้มาเก็บจานไป แต่ถ้ายังรับประทานไม่เสร็จ ให้วางช้อนและส้อมเป็นรูปตัววี


39. คนมีเสน่ห์ เมื่อตักอาหารบุฟเฟ่ต์ ควรตักกับข้าวอย่างเดียว อย่าตักทุกอย่างรวมกันจนล้นจาน เหมือนคนตายอด ตายอยาก เมื่อไม่พอกินก็ตักมาใหม่


40. เมื่ออาหารติดฟัน ไม่ควรที่จะใช้มือแคะอาหารออกจากปาก อาจจะใช้มือป้องแล้วแคะฟัน แต่ที่ดีที่สุดควรจะลุกไปทำในห้องน้ำจะดีกว่า


41. คนมีเสน่ห์เมื่อไปงานเต้นรำ ควรจะหาคู่เต้นไปเอง ไม่ควรไปล่าหาเหยื่อ ถ้าหากจะไปขอสุภาพสตรีอื่นในโต๊ะ ควรจะขออนุญาตสุภาพบุรุษในโต๊ะเสียก่อน และเมื่อเต้นเสร็จแล้ว ควรพามาส่งคืนที่โต๊ะพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ


42. คนมีเสน่ห์ เวลาเล่นกอล์ฟ เขาจะไม่พูดคุยหรือแสดงอาการรบกวนคนที่กำลังพัทท์กอล์ฟ และเมื่อเขาพัทท์ลูกกอล์ฟลงหลุม ควรจะแสดงความยินดีอย่างจริงใจ


43. เมื่อถูกเชิญขึ้นไปร้องเพลง ต่อหน้าคนมากๆ ควรจะขึ้นไปร้องเพลงเฉพาะเพลงที่ตนถนัด และแน่ใจเท่านั้น ถ้าหากร้องไม่ได้จริงๆ ควรจะปฏิเสธดีกว่าขึ้นไปเสียหน้าบนเวที


44. คนมีเสน่ห์ เมื่อเจ็บป่วย เวลาไอหรือจาม ในที่ชุมนุมชนควรจะใช้ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากจมูกเสมอ ถ้าเลี่ยงได้ ควรเลี่ยงออกมาภายนอก


45. เมื่อไปเยี่ยมคนป่วย ควรเลือกของเยี่ยมที่เหมาะสมกับคนป่วยและภาวะของโรค เช่น ของกิน ของใช้ ดอกไม้ หรือหนังสือที่เหมาะกับคนไข้


46. ผู้มีเสน่ห์ย่อมไม่ขับรถปาดหน้าผู้อื่น ไม่บีบแตรไล่ ไม่เปิดไฟไล่หลัง และไม่แย่งที่จอด เมื่อมีผู้อื่นกำลังรออยู่ก่อนเรา


47. คนมีเสน่ห์ ย่อมเป็นคนตรงต่อเวลา ให้ความสำคัญกับการนัดหมายทุกครั้ง ไม่ควรอ้างว่า นาฬิกาปลุกเสีย รถติด เพราะว่าเชยหมดสมัยแล้ว



จากตัวอย่างของ คนมีเสน่ห์ที่เขียนมาเพียงน้อยนิด ยังมีเสน่ห์อีกมากมาย ที่เราจะสร้างขึ้นมาได้ เพราะว่าเสน่ห์ไม่ใช่ของที่ได้มาแต่เกิด เป็นมารยาทสังคมที่เราต้องเรียนรู้ และสร้างนิสัยขึ้นมา เหมือนในโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท เราจะมีการฝึกอบรมเสน่ห์มารยาท การยิ้ม พนักงานอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนป่วยจะป่วยทั้งกายและใจ การต้อนรับของผู้ให้บริการ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดความประทับใจ เหมือนธรรมะทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดเสน่ห์ และเป็นที่รักของคนทั่วไป



ที่มา: FWD Email




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2552    
Last Update : 11 มิถุนายน 2552 19:44:45 น.
Counter : 753 Pageviews.  

การสร้างมิตรไมตรีกับผู้อื่น

การสร้างมิตรไมตรีกับผู้อื่น



คนเราทุกคนไม่มีใครสามารถจะอยู่ในโลก ในสังคม ได้โดยลำพังคนเดียวได้ การจะประกอบกิจการใดๆ จำเป็นที่จะต้องมีผู้ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือสนับสนุนจากคนรอบข้าง ตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้นการสร้างมิตรไมตรีกับคนรอบข้าง จึงเป็นแนวทางที่จะนำความสำเร็จและประโยชน์มาสู่ชีวิตของท่าน มากกว่าจะเป็นการสูญเปล่า การมีคนรัก คนชื่นชม และให้ความรักใคร่ ช่วยเหลืออย่างจริงใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จำเป็นต้องอาศัยความจริงใจ และซื่อสัตย์ต่อมิตรภาพของท่านกับคนอื่น การสร้างมิตรไมตรีกับผู้อื่นนั้น ท่านไม่ต้องใช้เงินใช้ทองแต่อย่างใด ไม่ต้องสูญเสียเวลามากมายเลย เพียงแต่ท่านให้ความจริงใจกับคนรอบข้างเท่านั้น สิ่งที่ท่านจะได้รับกลับคืนนั้น มากมายมหาศาลเลยค่ะ


การจะได้ใจจากใครนั้นมีหลักว่า ท่านก็ต้องมอบใจของท่านให้เขาเช่นกัน เป็นเรื่องตรงไปตรงมา ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญแต่อย่างใด ที่จะได้น้ำใจจากคนรอบข้าง ถ้าท่านได้นำข้อแนะนำนี้ไปปฏิบัติค่ะ


มีสุขภาพดีและรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ การจะให้ใครๆ ชื่นชมและนิยมยกย่องสิ่งสำคัญ คือ การรู้จักรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ เพราะเป็นการบอกกับคนทั่วไปว่า ท่านมีความรักและเอาใจใส่ตัวเองเป็นอย่างดีด้วย อีกทั้งการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงยังเป็นการทำให้บุคลิกของท่านดูดี มีความสดชื่นแจ่มใสมองแล้วชื่นตาชื่นใจ


มีความเสมอต้นเสมอปลายกับมิตร คนเราทุกคน ชอบที่จะคบหาคนที่มีความจริงใจและเปิดเผย เคยปฏิบัติตัวเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น มีน้ำใจไมตรี โอบอ้อมอารี เคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ยิ้มแย้มแจ่มใส และเป็นมิตร ไม่ใช่จะพูดและให้ความยกย่องชื่นชมในยามที่ตนเดือดร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น แต่พอหมดธุระ หรือไม่ต้องการความช่วยเหลือ เดินสวนกันก็แสดงความเฉยเมยไม่พูดไม่จา หรือเวลาอารมณ์ไม่ดีเจอหน้าก็ไม่ยิ้มแย้ม ไม่ทักทาย แต่พออารมณ์ดีก็จะหวานมาแต่ไกล อย่างนี้ใครๆ เขาก็จะเห็นว่า ท่านเป็นคนไม่สม่ำเสมอ เป็นคนลักปิดลักเปิด และไม่แน่ใจว่า ท่านจะมาอารมณ์ไหน เห็นว่าท่านไม่จริงใจ อย่างนี้ไม่มีทางที่ท่าน จะเอาชนะใจใครได้เลยค่ะ


เป็นคนที่มีความเอาใจใส่คนข้างเคียง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้ว่าทำอย่างนี้เพื่อนไม่ชอบ หรือรู้ว่าสิ่งใดจะเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนหงุดหงิดรำคาญใจก็ไม่ทำ หรือดูว่าเพื่อนมีความทุกข์กายทุกข์ใจอย่างไร บางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องรับฟังเรื่องราวความเป็นไปในชีวิตของคนข้างเคียงบ้าง ว่าเขามีทุกข์มีสุขอย่างไร การเป็นผู้ที่ช่วยรับฟังคนข้างเคียง ในยามที่เขามีความทุกข์ นับว่าเป็นการช่วยเหลือทางใจได้มากทีเดียว หรือในยามที่เขามีความสุข ในยามที่เขาได้ดีก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย ไม่อิจฉาริษยา ทำเช่นนี้จะทำให้ท่านได้ใจของคนข้างเคียงมาครอง ได้อย่างแน่นอนค่ะ


เป็นคนตรงต่อเวลา คุณสมบัติข้อนี้ ยังเป็นข้อด้อยของคนไทย เพราะคนไทยเราไม่ค่อยจะมีวินัยในตนเอง และไม่ตรงต่อเวลา การฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา จะทำให้คนรอบข้างชื่นชมในตัวท่าน เพราะท่านไม่ทำให้ใครๆ เสียเวลาเพราะท่าน การนัดหมายในเรื่องสำคัญๆ ทั้งในเรื่องการงานและเรื่องส่วนตัวท่านก็ไม่เคยล่าช้า เหล่านี้จะทำให้ท่านได้รับความยอมรับนับถือ และชื่นชม ในการเป็นคนตรงต่อเวลาของท่านค่ะ


หาความรู้ใส่ตัวอย่างสม่ำเสมอ การเป็นคนที่รอบรู้มีความรู้ในเรื่องต่างๆ รอบตัวไม่ใช่รู้เฉพาะในเรื่องที่ตนศึกษาเล่าเรียน หรือเฉพาะในงานของตนเท่านั้น การเป็นคนรู้กว้างและลึกซึ้ง จะทำให้คนรอบข้างของท่านรู้สึกทึ่งและชื่นชม และใครๆ ก็อยากที่จะมาปรึกษาหารือด้วยเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ เมื่อท่านต้องการความช่วยเหลือคนรอบข้างก็พร้อมจะให้ความช่วยเหลือท่าน อย่างเต็มใจค่ะ


เป็นผู้มองโลกในแง่ดี มองเห็นความสดใส สดชื่นในการมองโลก การจะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขตามสมควร ควรจะต้องมีมุมมองในการมองโลกหลายแง่ มีมุมมองที่ขบขันบ้าง โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวัยที่เริ่มเข้าสู่วัยกลาง รู้จักผ่อนคลาย ยิ้มบ้างกับบางเรื่อง หัวเราะบ้างเมื่อเกิดอุปสรรคหรือติดขัด แม้จะมีความไม่สมหวังบ้าง ก็ไม่จำเป็นจะต้องทุกข์ทรมาน หรือเอาจริงเอาจังจนเกินไป การเป็นผู้มีอารมณ์ขัน จะทำให้ผู้ใกล้ชิดเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับท่าน


เป็นผู้มีความหวังในชีวิตเสมอ การเป็นผู้มีความหวังในชีวิต ใครๆ จะมองว่าคุณเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้และไม่ท้อถอยในการดำเนินชีวิต เป็นคนที่มีความกระตือรือร้น มองโลกอย่างผู้ชนะ และเป็นผู้ที่ให้โอกาสกับตนเอง ให้พบกับความสำเร็จในชีวิต


ปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ การที่ใครจะหันมาปรับปรุงตนเองได้นั้น ต้องมาจากการที่มีใจเที่ยงตรงยุติธรรม ไม่อคติเข้าข้างตนเอง เมื่อสำรวจตนเองแล้วพบว่าตนเองมีข้อบกพร่อง ก็ปรับปรุงตนเองในเรื่องที่บกพร่องนั้น หรือการปรับปรุงตนเอง จากการที่ได้ฟังคำแนะนำตักเตือนจากคนรอบข้าง จะทำให้คุณได้รับความรักและความชื่นชมจากคนรอบข้างมากยิ่งขึ้นค่ะ


เป็นอย่างไรค่ะ ลองปฏิบัติดูนะคะ แล้วคุณจะพบว่าคุณได้รับ ความเอื้อเฟื้อและความจริงใจรอบข้างมากขึ้นค่ะ



ที่มา: FWD Email




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2552    
Last Update : 11 มิถุนายน 2552 19:32:08 น.
Counter : 332 Pageviews.  

ทำอย่างไรเทคนิคความคิดสร้างสรรค์จึงจะทำงาน ?

ทำอย่างไรเทคนิคความคิดสร้างสรรค์จึงจะทำงาน ?


ไอเดียใหม่ๆเกิดขึ้นมา เมื่อมีไอเดียตั้งแต่สองไอเดียขึ้นไปบังเอิญหรือตั้งใจให้มันมาผสมกัน อย่างที่มันไม่เคย รวมตัวกัน มาก่อน. เทคนิคการใช้ความคิดสร้างสรรค์ จะเป็นการจัดหา วิธีการเพื่อรวมไอเดีย ทั้งหลายเข้า ด้วยกัน อย่างประณีต ซึ่งตามปกติ เราไม่เคยคิดข้ามไอเดียพวกนั้นมาก่อนหรือคิดถึงมันว่าจะเป็นไปได้. แต่อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยาก ประการแรก ที่เกิดขึ้นมาก็คือ จะหาทางให้ไอเดียนั้นๆ ผสมกันได้อย่างไร. และข้อยุ่งยากประการที่สอง คือ จะพัฒนาไอเดียใหม่นั้น ให้มันใช้การได้ได้อย่างไร

ข้อยุ่งยากประการแรกจะถูกช่วยเหลือได้ โดยการใช้เทคนิค ความคิดสร้างสรรค์ อย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อมุ่งทำให้ ไอเดียใหม่ เหล่านั้น มันผสมกันได้. การที่คอมพิวเตอร์ มิได้รับอิทธิพลใดๆจากมนุษย์, มันจึงเป็น เพื่อนคู่ใจ ที่สมบูรณ์สำหรับ การจัดหาไอเดียต่างๆ ซึ่งเราไม่เคยคิด ผสมกันมาก่อน มารวมมันเข้าด้วยกัน. เทคนิคความคิดสร้างสรรค์ แบบนี้ถูกนำมา ใช้ เพื่อน้อมนำไอเดียต่างๆ ซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้คิดรวมกัน เพราะมนุษย์มีข้อจำกัด ของตนเองเกี่ยวกับ ประสบการณ์บนโลกนี้ กันทุกคน และมนุษย์มีเงื่อนไขความตีบตันด้วย

การระดมสมองในอดีตทำให้เราเชื่อมั่นว่า คนอื่นๆก็เพียงพอแล้วสำหรับการกระตุ้นสนับสนุนเราให้คิดในหนทางที่แตกต่าง. แต่อันที่จริงนั้นยังไม่พอ และสามารถทำให้เราต้องเผชิญหน้าหรือต่อสู้กับความคิดต้นตออันนั้น. หรือถ้าเผื่อว่า เราระดมสมอง กับผู้คนที่เรา ทำงานด้วยเสมอๆ เป็นไปได้ที่เราจะได้ไอเดียเก่าๆ ทั้งนี้เพราะเรารู้แล้ว เกี่ยวกับ…และทำงานร่วมกับ ไอเดียเดิมๆ มากมาย และก็มีประสบการณ์ ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันมากไป. ดังนั้น การระดมสมองแบบแผนเดิม จึงเป็นไปได้ที่เราจะไม่ได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ กับคนเดิมๆที่ทำงานร่วมกัน และแต่ละคนก็มีแรงกระตุ้นแบบเดิมๆ เป็นข้อจำกัด.

นี่คือเหตุผลว่า ทำไมคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับความก้าวหน้าในการระดมสมอง: คอมพิวเตอร์จะไม่มีแนวคิดล่วงหน้า (not have the pre-conceptions) หรือมีอคติ ซึ่งจะทำให้เรา เป็นคนที่มีความสามารถ พิเศษ ในฐานะนักจัดหาหรือเตรียมการเกี่ยวกับแรงกระตุ้นใหม่ๆ ที่แตกต่างและจะจุดประกายไอเดียใหม่ๆให้ปะทุขึ้นมา
แม้ว่าไอเดียใหม่ๆมันจะไม่มีคุณค่าขึ้นมาทันทีในเวลานี้ แต่การเกิดขึ้นมาของความคิดใหม่ เป็นสิ่งสำคัญ ในการระดมสมอง พวกนั้น ถ้าเราเก็บเอาไว้ มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อมาได้ในภายหลัง หากว่ามันมีคุณค่าสำหรับเราจริงๆ.
อะไรคือเทคนิคความคิดสร้างสรรค์ ที่จะนำมาใช้ได้บ้าง ?

เทคนิคการได้มาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ข้างล่างนี้ เราจะต้องฝึกเอาไว้เสมอ ทั้งหมดนี้ จะนำเสนอแรงกระตุ้นใหม่ๆ สดๆ ให้กับ ความคิดใหม่ๆของเราได้. เราสามารถที่จะนำมันมาใช้ในการระดมสมองเพื่อให้กำเนิดไอเดียที่แปลแตกต่างอย่างง่ายๆ

Random Word (การสุ่มคำ)

Random Picture (การสุ่มด้วยภาพ)

False Rules (กฎเกณฑ์ที่ผิดพลาด)

Random Website (การสุ่มเวบไซท์)

Scamper (กระโดดโลดเต้น หรือการเล่น)

Search & Reapply (ค้นหาและลองประยุกต์ใหม่)

Challenge Facts (ท้าทายข้อเท็จจริง)

Escape (หลบหนี หลบเลี่ยง)

Analogy (การอุปมาอุปมัย)

Wishful Thinking (ความคิดให้สมปรารถนา)

Thesaurus (ใช้พจนานุกรมศัพท์คำพ้อง)



วิธีการฆ่าความคิดและวิธีการส่งเสริมความคิด
เป็นเรื่องง่ายมากที่จะฆ่าความคิดยิ่งกว่าการสนับสนุนความคิด และเปลี่ยนมันให้เป็นทางออก หรือวิธีการแก้ปัญหา อันเป็น ประโยชน์. ให้เราระมัดระวัง อย่าไปทำลายไอเดีย ของผู้คน หรือทำให้พวกเขาหยุด ที่จะบอกอะไรกับเรา และพูดคุยกับ คนอื่นๆเป็น เรื่องยากมากจริงๆ ที่จะรับฟัง เรื่องเกี่ยวกับ ไอเดียความคิดเห็นต่างๆ เมื่อใครบางคน บอกกับเรา เกี่ยวกับ ความคิดอันหนึ่ง ที่เขามี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่า ไอเดียอันนั้น ดูเหมือนว่า จะฟังดูโง่ๆ และไม่ทำงาน (ไม่ได้เรื่อง). แต่จำไว้เสมอว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนไม่ปรารถนา ที่จะนำเสนอไอเดียที่เลวๆ ในภาวะปกติ และเราควรจะพยายาม ทำความเข้าใจ เป็นอันดับแรกเลยว่า ทำไมพวกเขาจึงบอกกับเรา เกี่ยวกับความคิดอันนั้น. เป็นไปได้ที่บางสิ่ง บางอย่าง ในไอเดียนั้น จะเป็นประโยชน์กับเรา. และในอีกทางหนึ่ง เราจะมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเขาให้เข้าใจว่า ทำไมความคิด อันนั้น มันจึงไม่ทำงาน.

วิธีการหาไอเดีย ด้วยคำพูดของเราเองบางอย่าง

1. ที่เสนอมานั้นมันเป็นความคิดที่ดี, แต่…, (หรือ) ในทางทฤษฎีนั้นมันฟังดูดี, แต่…

2. ในทางปฏิบัติ, ความคิดนั้นมันดูเป็นเรื่องของอนาคตมากเกินไป

3. โอ้...ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการ(ชอบ)มันหรอก

4. ที่เสนอมานั้น ต้นทุนสูงเกินไป (หรือ) ไม่มีงบประมาณแล้ว,บางทีอาจรอไปปีหน้า

5. ไม่ต้องเริ่มต้นอะไรใหม่อีกแล้ว (หรือ) เราโต้เถียงกันมากไปแล้ว

6. ที่พูดมามันต้องศึกษาเพิ่มเติมมากกว่านี้ (หรือ) เรื่องนี้ขอให้เราไปสำรวจมาก่อน

7. อันนี้สวนกันกับนโยบายบริษัท(หรือ องค์กร)ของเรา

8. ที่พูดมานั้น มันไม่ได้เป็นงานในหน้าที่รับผิดชอบของคุณ

9. นั่นมันไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา

10. เรื่องนี้ยากมากต่อการจัดการ (หรือ) เราไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อนเลย

11. ถ้ามันดีมาก ทำไมจึงไม่มีใครเสนอมันไปแล้วล่ะ

12. ถึงต่อไปข้างหน้า ผู้คนก็จะยังไม่พร้อมสำหรับมันอยู่ดี

13. นั่งลงก่อน พักสักครู่

14. มีใครแล้วบ้างที่พยายามทำมันจนสำเร็จขึ้นมา

15. เราเคยทำมาแล้ว แต่มันไม่ทำงาน(ไม่ได้เรื่อง)


คำพูดต่างๆเหล่านี้ มักจะไปตัดทอนโอกาสในการแสดงความคิดหรือการเสนอไอเดียของคนอื่นๆ ซึ่งไม่ทำให้เกิดบรรยากาศของการสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ดังนั้น จงตรองดูว่า สิ่งที่จะพูดไปนั้น จะไปตัดทอนความคิดหรือไอเดียของคนอื่นหรือไม่ ?

หนทางที่สนับสนุนไอเดีย

1. ใช่, และ…(พูดสนับสนุน), ดูมันน่าตื่นเต้นและน่าสนใจมาก

2. ฟังและพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมมันจึงถูกนำเสนอ

3. อย่าไปขัดจังหวะ จนกว่าเขาจะเสนอจนจบ, ปล่อยให้พวกเขาก่อรูปไอเดียขึ้นมา

4. นั่นเป็นไอเดียที่ดี หรือประเด็นสำคัญ ข้อคิดเห็นที่เยี่ยม, ว่าต่อ…

5. ยอดมาก, พยายามต่อไป…

6. ต้องการทรัพยากรใดบ้าง ที่ต้องใช้ในการทำมันขึ้นมา

7. ที่เสนอมา เราสามารถทำให้มันทำงานได้อย่างไร ช่วยเล่าให้ฟังต่อหน่อยซิ

8. ให้พยายามและทดสอบมันดู

9. ที่เสนอมานั้น ทำให้มันเป็นแผนในเชิงปฏิบัติเลยได้ไหม ?

10. อะไรที่ผมสามารถช่วยได้สำหรับการทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้

11. สิ่งที่ฟังดูเป็นเพียงส่วนเล็กๆของไอเดีย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันทีในสถานการณ์ปัจจุบัน

12. ทำอย่างไร เราจึงจะชักจูงคนอื่นๆให้เชื่อมั่นได้



ข้างต้นนี้หวังว่า เราจะเห็นถึงหนทางต่างๆอันมากมายซึ่งสามารถที่จะช่วยสร้างไอเดียความคิดขึ้นมา. สิ่งเหล่านี้เป็น การส่งเสริม สนับสนุนไอเดียความคิด โดยไม่ต้องกล่าวคำว่าเห็นด้วย หรือว่าเราจะทำมัน เพียงแต่ระมัดระวัง อยู่เสมอสำหรับ ตัวของเราเอง ที่จะเสนอไอเดียอันหนึ่งลงมาเร็วเกินไป โดยไม่เข้าใจเหตุผลในเชิงบวกต่างๆสำหรับการที่มันถูกนำเสนอ
ไอเดียเพิ่มเติมเกี่ยวกับบรรยากาศในการระดมสมอง
เนื้อที่ส่วนนี้อุทิศให้กับบรรยากาศในการระดมสมองที่ช่วยให้ความคิดใหม่ๆผุดขึ้นมาได้ ทดลองเอาไปปฏิบัติ และดูว่ามัน ทำงาน ไหม หรือไม่ก็ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการระดมสมองที่เราเคยทำๆกัน

1. ใช้วิดีโอเทปหรือเครื่องบันทึกเสียง(ไม่โจ่งแจ้งเกินไปจนทำให้รู้สึกเกร็ง)เพื่อเก็บบันทึกเรื่องราวต่างๆ เพื่อไม่ให้ไอเดียใด หลุดรอดไปได้.

2. หรี่ไฟลงเพื่อให้บรรยากาศในห้องทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายหรือเป็นการพักผ่อน

3. มีตุ๊กตาหรือของเล่นที่น่าสนใจเพื่อกระตุ้นไอเดียและทำให้พวกเรารู้สึกผ่อนคลาย

4. ใช้ห้องที่อยู่นอกสำนักงานที่เราทำงานประจำเพื่อผลที่จะเกิดมาพิเศษใหม่ๆ

5. มีห้องเตียมไว้อีกห้องเพื่อฟื้นความสดใหม่ขึ้นมา และส่งเสริมให้ผู้คนได้พบปะและพูดคุยกันในช่วงพัก

6. ปิดสายโทรศัพท์หรือเคลื่อนย้ายมันออกไปจากห้อง จะได้ไม่มีอะไรมารบกวนหรือทำลายบรรยากาศ

7. ปิดม่านลง หากว่าข้างนอกมันมีสิ่งรบกวนทำให้เขวไปได้

8. เปิดเพลงเบาๆที่กระตุ้นอารมณ์ หรือลองสุ่มเพลงจาก CD สักสองแผ่น

9. จัดให้มีหนังสือพิมพ์เก่า เทปกาว กรรไกร เชือก เพื่อว่าใครที่มีไอเดียจะทดลองสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา ตามที่เขาคิด ให้เป็นรูป เป็นร่าง

10. มีดินสอสี หรือปากกาเมจิกอยู่ทั่วๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถสร้างสรรค์ได้ทันที

11. สร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดการหัวเราะ บรรยากาศแบบเล่นๆ มักก่อให้เกิดไอเดียใหม่ๆอยู่เสมอ

12. ให้ผู้คนยืนบ้างนั่งบ้างตามความสะดวกสบาย หรือถ้าเคยนั่งประชุมก็ยืนประชุม

13. หันหน้าออกนอกกำแพงแทนที่จะหันหน้าเข้าหากำแพง


การสร้างบรรยากศใหม่ๆข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า สไตล์การระดมสมองและเทคนิคดังกล่าว สามารถเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงไปได้ เพื่อทำให้มันมีชีวิตชีวา การระดมสมอง ไม่ควรเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ หรือมีรูปแบบตายตัว ลองเปลี่ยนแปลงมันไปเรื่อยๆแล้วดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง



ที่มา: FWD Email




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2552    
Last Update : 11 มิถุนายน 2552 19:22:24 น.
Counter : 395 Pageviews.  

1  2  

byonya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




I am not a perfect, but simple!

 
 
Custom Search



 
 

Website น่าสนใจ  
 
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บการศึกษา Eduzones.com

Business Web Directory .biz - Business Directory
 


Word of the Day

This Day in History

Quote of the Day

Hangman




Friends' blogs
[Add byonya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.