มหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะอยู่ต่ำกว่าแม่น้ำทั้งหลาย.....................

แนะนำ My neighbor Totoro....การ์ตูนใสแต่ใส่ใจในรายละเอียด



^
^^
^^^
^^^^

เอาคลิป Trailer ของการ์ตูนเรื่องนี้มาให้ดูเป็นตัวอย่างครับ

เพลงประกอบ "Kaze No Toorimichi" เพราะดีครับ

ถ้าจะกดเล่น แนะนำให้ปิดเสียง Player ท้ายๆบล๊อกก่อนน่ะครับ
ไม่งั้นเสียงจะตีกัน
















ช่วงนี้บ้าเห่อทีวีใหม่อย่างรุนแรง
หลังจากตัดสินใจอยู่นานก็ได้ฤกษ์ได้ยามถอยทีวีเครื่องใหม่มาซักที
หลังจากที่ทนดูทีวีระบบ "สัมผัส"(ด้วยฝ่ามือ) เครื่องเก่ามานาน

ที่ต้องเรียกว่าทีวีระบบสัมผัสก็เพราะว่าเวลาเปิดใหม่ๆ
ภาพมันจะไม่มา ต้องตบๆทุบๆ
สงสัยชอบความรุนแรง อิอิ

.................................


ตอนนี้ดีวีดีมีกี่เรื่อง ก็ขนมาดูเรื่อยๆ
ดูจนตาแฉะไปข้างนึงเลย

เผอิญไปค้นในซอกในหลืบตู้เก็บซีดี
เจอหนังเรื่องนึง ที่ซื้อเอาไว้นานแล้ว
เป็นแอนิเมชั่นของญี่ปุ่นเรื่อง " My neighbor Totoro"

เห็นภาพปกดีวีดีน่ารักดีเลยหยิบมาดูซะหน่อย
ตอนแรกคาดเอาไว้ว่าน่าจะเป็นการ์ตูนแนวเดียวกับปิ๊กกาจู
แต่ดูไปดูมาไม่ใช่เลย

เฮ้ย.......ผมชอบหว่ะ!!!!








ความจริงการ์ตูนเรื่องนี้เป็นแนวใสๆ
ใสตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่ในความใส และเรียบง่ายของมัน
มันทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ผู้จัดทำได้สอดแทรกมา

บรรยากาศอันอบอุ่นของบ้านนอก

มิตรภาพของผู้คนที่พี่งพาอาศัยกันด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย

ความรักของครอบครัวครอบครัวหนึ่ง
ที่มีความเข้าใจให้กัน และหมั่นเติมเต็มความรักให้กันและกันในทุกๆวัน









ครอบครัวของ "ซัตสึกิ" และ "เม"
สองพี่น้องซึ่งย้ายบ้านมาอยู่ในชนบทกับพ่อ

ซึ่งย้ายมาเพื่อต้องการให้มาอยู่ไกล้กับโรงพยาบาลที่แม่รักษาตัวอยู่
(ในหนังไม่ได้บอกว่าแม่เป็นโรคอะไร
แต่เดาเอาเองล้วนๆว่าต้องเป็นโรคเรื้อรังน่าจะเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันที่ไม่ปกติอะไรสักอย่าง)

บ้านนี้เป็นบ้านไม้เก่าๆ ล้อมรอบด้วยสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า

มีเสียงนกร้อง มีผีเสื้อบินว่อน มีดอกหญ้าบานรับแสงอาทิตย์

และที่นี่เองที่เด็กๆได้พบเจอกับ "มัคคุโระคุโระสึเกะ"
หรือ " Dust Bunnies " ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นในยามเราเข้าสู่ที่มืด

แต่แทนที่เด็กๆจะกลัว
เด็กๆกลับยิ้มร่าที่ได้รู้ความจริง

"ออกมานะ ออกมานะ มัคคุโระคุโระสึเกะ ออกมานะ ออกมานะ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม"









คุณพ่อที่แสนใจดีได้มอบภารกิจให้ลูกสาวสองคนไปทำก็คือ
ไปสำรวจห้องใต้หลังคา

และที่นั่นเองเมได้ตะปบเจ้าตัวขนปุกปุยสีดำได้
(ผมรู้ว่าบางคนแอบคิดทะลึ่งอยู่....แต่มันเป็นตัวสีดำขนปุกปุยจริงๆครับ)
และเธอตั้งใจจะนำมาอวดพี่สาวและพ่อ

แต่เมื่อเปิดอุ้งมือออกมากลับพบแต่ผงฝุ่นสีดำเปื้อนมือ

คุณยายข้างบ้านบอกว่ามันคือ "ซึซึวาตาริ" หรือ " Soot Spirit "
สิ่งที่มักจะอาศัยในบ้านร้าง ไม่มีคนดูแล
แต่มันจะหนีหายไปหากบ้านนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

ค่ำคืนนั้นพ่อและลูกๆทั้งสอง
อาบน้ำด้วยกัน ท่ามกลางท้องฟ้ามืดสนิท
แต่ในบ้านที่มีแสงไฟอบอุ่นเรืองรองออกมานั้น
กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของพ่อกับลูกสาวสองคน

เจ้าซึซึวาตาริก็พลันล่องลอยหายไปบนท้องฟ้า

ผมชอบตอนนี้มากๆครับ









คนที่เคยอยู่ที่บ้านนอก ห่างไกลความเจริญ
คงจะเข้าถึงหนังเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยาก

กลิ่นอายของความทรงจำในอดีตมันจะล่องลอยมาแตะปลายจมูกของคุณได้เลยทีเดียว

การดำรงชีวิตอยู่ด้วยปัจจัยเท่าที่หาได้

พืชผักที่หาได้จากการปลูกเอง

หรือแม้แต่น้ำใจที่คนชนบทมีให้กันโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน

ผมพบเจอสิ่งเหล่านี้น้อยลงทุกวัน และทุกวัน
ทั้งๆที่เมื่อก่อนผมคิดว่ามันหาสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายกว่านี้








ซัตสึกิผู้พี่ก็ต้องไปเรียนหนังสือ
คุณพ่อก็ต้องไปทำงานที่มหาวิทยาลัย หรือบางทีก็ง่วนทำงานอยู่ที่บ้าน
แม่ก็ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล

และเมก็ต้องเล่นคนเดียว วิ่งเล่นไปกับผีเสื้อ ดอกไม้ใบหญ้า
และเธอก็มาพบกับโทโทโร่

เธอวิ่งไล่ตามพวกมันจนมาเจอกับโทโทโร่ยักษ์ "Oh Totoro" ที่นอนผึ่งพุงอยู่ในต้นไม้ใหญ่
และที่นั่นเองเธอได้พบกับมิตรภาพที่สวยงาม

เมเผลอหลับไปบนขนปุกปุยของโทโทโร่ยักษ์ด้วยความเหนื่อยอ่อน
เธอตื่นอีกทีเมื่อซัตสึกิผู้พี่มาปลุกเมื่อเห็นเธอนอนอยู่บนพื้นดินคนเดียว

เมออกอาการฉงน เมื่อกี้เธอเพิ่งนอนอยู่บนพุงโทโทโร่
ทำไมตอนนี้เธอมาอยู่ที่นี่ ต้นไม้ใหญ่นั่นก็ได้หายไปแล้ว

เธอเล่าสิ่งที่เธอได้พบเจอให้พี่สาวและพ่อฟัง
แทนที่เธอจะถูกตำหนิว่าเธอไร้สาระ หรือเธอกุเรื่องมาเล่า
พ่อและพี่สาวกลับเชื่อเธอ และให้ความเข้าใจ

"เพราะลูกเป็นคนดี ลูกจึงมีโอกาสได้เจอผู้พิทักษ์"
นั่นเป็นคำพูดที่ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นของผู้เป็นพ่อ










และเรื่องราวก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
มีทั้งซาบซึ้ง มีทั้งวุ่นวาย

แต่ความวุ่นวายก็จบลงด้วยดีเพราะการช่วยเหลือของชาวบ้าน
และโทโทโร่

อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร
น่าจะลองหามาดูกันน่ะครับ

แล้วคุณจะรักหนังเรื่องนี้เหมือนผม























บางคนคงคิดว่าไอ้นี่มันประสาท
โตจนสุนัขฉี่รดตูดไม่ถึงแล้ว ยังมาดูการ์ตูนเด็กปัญญาอ่อนอยู่ได้

ผมจะไม่เถียงตอบเลยแม้แต่น้อย

แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมดีใจที่ผมดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้วผมเกิดจินตนาการ
จินตนาการที่ทำให้เราระลึกถึงอดีตที่สวยงาม

อดีตที่บางทีเราได้ลืมมันไปแล้วเหมือนใบไม้ร่วงหล่นลงมาทับถมพื้นดิน

วันนี้ผมยิ้มได้ เพราะผมได้เห็นพื้นดินที่อยู่ใต้กองใบไม้

และผมไม่ได้เห็นมันมานานมากแล้ว.........

.
.
.
.













เพลง Ost. My neighbor Totoro
เพลง Maigo

ความจริงมีอีกหลายๆเพลงที่ผมชอบ
ลองไปหาดาวน์โหลดฟังได้น่ะครับที่ลิงค์ข้างล่างนี้


//downloads.khinsider.com/game-soundtracks/album/my-neighbor-totoro-original-soundtrack

มีเพลงแนะนำคือเพลง Kaze No Toorimichi
แต่ไม่ได้เอามาลงประกอบบล๊อกวันนี้

ถ้าอยากฟังก็คลิกที่ตัว Player ข้างล่างนี้เอาน่ะครับ
(แต่อย่าลืมปิดเสียง Player ข้างบนซะก่อนน่ะครับ เดี๋ยวเสียงตีกัน)
VVVV
VVV
VV
V








 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2551    
Last Update : 24 สิงหาคม 2552 17:42:51 น.
Counter : 4776 Pageviews.  

เพียงเธอ....Ticket...กันและกัน...รักแห่งสยาม





เคยมีสักคนไหม?
ที่แต่งเพลงรักให้คุณ....คนเดียว


เป็นคำโปรยจากหนังเรื่อง"รักแห่งสยาม"ที่ผมเพิ่งไปดูมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

ตอนแรกที่ดูตัวอย่างหนัง กับที่มีข่าวออกมาทางเวปบอร์อย่างต่อเนื่อง
ก็คาดว่าจะชวนเพื่อนไปดูหนังเรื่องนี้ แต่ที่คิดเอาไว้ตอนนั้นคือ
หนังคงจะเป็นสไตล์รักใสๆของวัยรุ่นคล้ายๆ Season Change
แต่...........


เมื่อมาดูจริงๆมันไม่ใช่หนังรักใสๆเลย...
เป็นหนังที่เน้นเกี่ยวกับความรักหลายๆรูปแบบ
แถมบางรูปแบบยังเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะยอมรับมันเสียด้วย

ถามว่าผมโกรธผู้กำกับและบริษัทหนังหรือไม่ที่นำเสนอการโปรโมทในแบบนึง
แต่เนื้อหาในหนังเองเป็นอีกรูปแบบนึง

คำตอบก็คือไม่โกรธเลย
กลับทึ่งในความสามารถของผู้กำกับหนังและชื่นชมที่เค้ากล้าที่จะนำเสนอ

เพียงแต่ผู้ที่จะมารับชมหนังเรื่องนี้อาจจะต้องเปิดใจให้กว้าง
เพราะหากเรามองแต่ในมุมส่วนตัวของเราโดยที่ไม่เคยมองในแง่มุมของคนอื่น
เราอาจจะไม่มีโอกาสที่จะรับรู้ถึงความรักอันสวยงามเหล่านั้นได้



ตั้งแต่ข้อความนี้ไปจนจบจะเป็นการ Spoil เนื้อหาในหนัง
หากผู้ที่ยังไม่เคยไปดูก็อาจจะจบการอ่านบล๊อกของผมในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้









แต่ถ้าหากคนที่ดูมาแล้ว ก็สามารถอ่านต่อได้(หากว่าไม่เบื่อซะก่อน)
หรือคนที่ไม่คิดจะดูแต่อยากอ่านก็เชิญอ่านได้ตามสบาย
สำหรับคนที่ไม่คิดจะดู และไม่คิดจะเปิดใจ

ผมก็ต้องขออภัยที่ทำบล๊อกที่ไร้สาระให้คุณได้อ่านในวันนี้






หนังเปิดตัวด้วยการบรรยายถึงภูมิหลังของสองครอบครัวและเด็กสองคน

เด็กคนแรก"มิว"ผู้ที่อยู่กับอาม่าเพียงสองคน
เป็นผู้ที่อยู่กับความเหงามาตลอด ในวัยเด็กเค้าจะมีเพียงอาม่าเท่านั้น
ที่คอยให้คำสั่งสอน เป็นทั้งผู้ปกครอง และเป็นทั้งเพื่อนให้กับมิวผู้โดดเดี่ยว


ด้วยความที่เป็นคนที่เงียบ มีนิสัยเรียบร้อย
มิวจึงมักจะถูกคนแถวๆบ้านมองว่าไม่ใช่ชายแท้



เด็กอีกคนหนึ่ง"โต้ง"มีครอบครัวซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรัก
มีครบทั้งพ่อแม่และพี่สาว"แตง"
แต่ความรักที่โต้งได้รับนั้นเป็นความรักที่ถูก"จัดให้"
มิใช่เป็นความรักที่เค้าไขว่คว้าหามาด้วยตนเอง




มิวและโต้งสนิทกันมากในสมัยเด็ก
เนื่องจากบ้านอยู่ไกล้กัน และก็เรียนอยู่ที่เดียวกัน


โต้งเคยให้ของขวัญชิ้นหนึ่งแก่มิว
แต่วิธีการที่โต้งเอาของขวัญให้นั้นเค้าจะใช้วิธีการเล่นเกมส์ไขปริศนา

โดยเขียนคำใบ้ลงในกระดาษว่าของแต่ละชิ้นอยู่ที่ใด
แล้วนำของเหล่านั้นมาประกอบกันให้เป็นรูปร่าง

ของเหล่านั้นเมื่อนำมาประกอบกันแล้วจะกลายเป็นตุ๊กตาไม้ตัวน้อย
ใส่ชุดซานตาครอส

แต่ทว่า....

โชคไม่ดีที่ชิ้นสุดท้ายซึ่งจะมาประกอบกันเป็นตุ๊กตาไม้ที่สมบูรณ์นั้นได้หายไป

ชิ้นสุดท้ายนั้นคือจมูกของตุ๊กตา

ซึ่งผมคิดว่าผู้กำกับคงต้องการสื่อถึงว่าตุ๊กตาตัวนี้เกือบจะเป็นรูปร่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ขาดซึ่งจมูก ที่จะทำให้ตุ๊กตาตัวนี้หายใจ เหมือนมีชีวิต

เปรียบเสมือนชีวิตของพวกเค้าสองคน

ที่ต่อไปจากนี้มันจะไม่มีทางสมบูรณ์เหมือนคนอื่น








ในชีวิตจริงนั้นอาจจะไม่มีอะไรที่มาแบบครบสมบูรณ์
บางสิ่งบางอย่างอาจขาดหายไป แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป






ในวันหนึ่งครอบครัวของโต้งได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ส่วนแตงไปเที่ยวป่ากับเพื่อน
แตงสาบสูญไปตั้งแต่นั้นมา
และนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของครอบครัวโต้ง


โต้งและครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่น
ทำให้มิวและโต้งไม่ได้เจอกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
.
.
.
.
เวลาล่วงเลยมาจนทั้งสองคนเรียนอยู่ชั้นม.ปลาย
ทั้งสองคนมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งโดยบังเอิญ




มิวเป็นนักร้องสังกัดค่ายอิสระ
โดยมิวเป็นทั้งนักร้องนำ และคนแต่งเพลง

กระแสตอบรับนักร้องหน้าใหม่วง"ออกัส"นั้นค่อนข้างดี
จนอัลบั้มที่วางขายที่ร้านขายเพลงอิสระแถวสยามถูกกวาดซื้อจนหมด

โต้งเป็นบุคคลหนึ่งที่ชอบฟังเพลงของวงออกัส
ได้มาหาซื้อซีดี แต่ทว่าซื้อไม่ทัน

ด้วยความบังเอิญ หรือเป็นเพราะชะตาอยากจะเล่นตลกกับเค้าทั้งสองคน
ก็ทำให้มิวเจอกับโต้งที่แผงเทปนั้น

และมิวก็สัญญาว่าจะก๊อปปี้ซีดีมาให้โต้ง
ทั้งสองคนก็เชื่อมติดกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในฐานะเพื่อนเก่า






โต้งมีแฟนสาวอยู่แล้ว
แต่ความสัมพันธ์ของเค้ากับแฟนสาวกระท่อนกระแท่น

โต้งเจอแต่รูปแบบของความรักที่แฝงไปด้วยความคาดหวัง
"โดนัท"แฟนสาวของโต้งคาดคั้นความรักจากเขามากจนเกินไป
เขาไม่เคยเจอความรักที่แท้จริง









"หญิง"เพื่อนบ้านของมิว
ผู้ตกหลุมรักมิว

และทำทุกวิถีทางเพื่อให้มิวมาสนใจ และรักกับตนเอง
แต่มิวก็รักหญิงในฐานะเพือนสนิทเท่านั้น





มิวได้รับโจทย์จากโปรดิวเซอร์ให้แต่งเพลงรัก
ฟังดูอาจเหมือนง่าย...แต่เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเขา
เพราะมิวไม่เคยมีความรักมาก่อน

เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เค้านำจิตวิญญาณของความรักมาแต่งเพลงนั้น
คงยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา





จนกระทั่งวันหนึ่งมิวเริ่มรู้สึกว่าเค้ารักโต้งในฐานะมากกว่าเพื่อน

และโต้งก็รักมิวไปในแนวทางแบบนั้นเช่นกัน
เพลงรักที่ออกมาจากใจของมิวจึงถูกสรรสร้างออกมาอย่างละเมียดละไม


วันหนึ่งมิวโทรเรียกโต้งมาดูเค้าซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆ
มิวร้องเพลงให้โต้งฟังในห้องซ้อม

เป็นเพลงที่เค้าแต่งโดยมีโต้งเป็นแรงบันดาลใจ
ชื่อเพลงคือ"รู้สึกบ้างไหม"

หากอยากฟังเพลงนี้ก็คลิกที่ลิงค์ข้างล่างน่ะครับ
เวอร์ชั่นนี้ขับร้องโดยน้องพิชญ์ และที่สำคัญน้องเค้าแต่งเองจริงๆ

คลิกที่นี่เพื่อฟัง"รู้สึกบ้างไหม" ขับร้องโดยน้องพิชญ์



สายตาของพวกเค้าทั้งสองคนมองกันอย่างลึกซึ้ง
เสมือนหนึ่งในห้องซ้อมนั้นมีกันเพียงพวกเค้าสองคน

ทั้งๆที่มีเพื่อนๆอยู่เต็มไปหมด ฉากนี้น่าประทับใจมาก



และวันนั้นเป็นครั้งแรกที่โต้งได้เจอกับ"จูน"
ผู้คุมวงออกัส
ครั้งแรกที่โต้งเห็นจูน โต้งตกใจมาก
เพราะจูนหน้าตาละม้ายคล้ายพี่สาวของเค้าที่หายสาบสูญไปมากๆ






วันนั้นโต้งไม่ได้กลับบ้าน เฝ้าแต่ครุ่นคิดในสิ่งที่เค้าได้เห็นไป
และก็คิดถึงวันเก่าๆที่ครอบครัวเค้าเคยมีความสุขกันพร้อมหน้า


โต้งไปนอนที่บ้านของมิว
และคืนนั้นทั้งสองได้พูดคุยปรับทุกข์กันหลายเรื่อง
หนึ่งในนั้นก็คือโต้งถามว่าชีวิตของมิวเป็นอย่างไรบ้าง
ไม่รู้สึกเหงาบ้างเหรอ เพราะตั้งแต่อาม่าเสียชีวิตไปมิวก็ต้องอยู่คนเดียวตลอด


มิวจึงเล่าว่าที่ผ่านมาชีวิตของเค้าประสบกับความเหงาที่น่ากลัวเพียงใด


"มันไม่ง่ายเลยนะ เพราะยิ่งผ่านไปนานนาน

เราก็ยิ่งคิดถึงอาม่า เราก็เลยตั้งคำถามขึ้นว่า
ถ้าเรารักใครมากๆ เราจะทนได้หรอ ถ้าวันนึงเนี่ย เราต้องเสียเค้าไป

แล้วไอ้การจากลาอ่ะ มันก็เป็นส่วนนึงของชีวิต
โต้งก็รู้ดี มันจะเป็นไปได้หรอโต้ง
ที่เราจะรักใคร โดยไม่กลัวการสูญเสีย


แต่อีกใจนึงก็คิดว่า แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอ ที่เราจะอยู่ได้ โดยไม่รักใครเลย


เนี่ยแหละคือความเหงา เราอยู่กับมันมา 5 ปี
ทำไมเราจะไม่รู้ว่ามันร้าวรานยังไง
แล้วชีวิตที่เหลือของเราล่ะ"



คำพูดนี้ของมิวยังวนเวียนอยู่ในความคิดของผมมาจนตอนนี้

แต่ตอนนี้มิวคงรู้สึกดีขึ้น
เพราะเค้าคิดว่าเค้ามีโต้งเป็นคนที่เข้าใจและจะทำให้เค้ากำจัดความเหงานั้นได้
รอยยิ้มของมิวที่มุมปากดูแล้วเหมือนเค้าจะโล่งใจและสบายใจมากกว่าทุกวัน




ตั้งแต่ที่พี่สาวของโต้งหายไป ครอบครัวเค้าก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย
พ่อเป็นโรคซึมเศร้า และติดเหล้างอมแงม
หน้าที่ทำงานเลี้ยงครอบครัวจึงเป็นหน้าที่หลักของสุนีย์แม่ของโต้ง

สุนีย์ก็เปลี่ยนไป
จากผู้ที่เคยมีรอยยิ้มก็กลับเป็นผู้ที่มีความเคร่งเครียด
เข้มงวดกับลูก เพราะตอนนี้เหลือลูกเพียงแค่คนเดียวแล้ว






โต้งจึงเกิดไอเดียโดยเสนอให้จูนไปปลอมตัวเป็นแตง
แล้วไปทำให้พ่อเลิกกินเหล้า เพื่อที่จะได้กลับมาเป็นเหมือนปกติ

พ่อของโต้งดีใจมากที่เห็นลูกสาว(ปลอม)กลับมาอีกครั้ง
จึงจัดงานปาร์ตี้ต้อนรับลูกสาวขึ้นในบ้าน
และในงานนี้วงออกัสก็มาร่วมแสดงให้แขกในงานได้รับฟังเพลงอันไพเราะด้วย








มิวนำเพลงที่เค้าแต่งอีกเพลงนึง
นำมาร้องครั้งแรกในงานนี้ด้วยเป็นการเปิดต้วอัลบั้มใหม่

เพลง"กันและกัน" ซึ่งเพลงนี้เค้ามีโต้งเป็นแรงบันดาลใจอีกเช่นเคย
เมื่อเพลงเริ่มขึ้น โต้งเหมือนถูกมนต์สะกด เค้าชอบเพลงนี้มาก

ในโรงหนังผู้คนที่นั่งดูรอบๆผมก็เหมือนถูกมนต์สะกดด้วย
เพราะนักแสดงหน้าใหม่ทั้งสองคนแสดงได้ดีมากๆ
ชนิดที่ว่าตีบทแตกกระจุยกระจาย


สายตาที่เค้าสองคนส่งให้กันระหว่างที่ร้องเพลงนั้นแทนคำพูดได้เป็นล้านคำ
เหมือนกับที่อาม่าของมิวเคยพูดกับมิวในตอนเด็กๆว่า
"ดนตรีหนะ ให้หัดเอาไว้ เผื่อวันหลังเราจะใช้มันบอกอะไรให้คนอื่นได้รับรู้
เหมือนที่อากงเคยใช้เสียงดนตรีเป็นสื่อในการบอกให้อาม่าได้รับรู้ว่ารัก"








เมื่องานเลิกลง ผู้คนทะยอยกลับ
สนามหญ้าหน้าบ้านว่างเปล่า
เหลือเพียงโต้งกับมิวที่นั่งอยู่ด้วยกันสองคนอย่างแนบชิดโต้งบอกมิวว่าชอบเพลงนี้ และมิวบอกว่าเพลงนี้จะแต่งออกมาไม่ได้ถ้าไม่มีโต้ง

และหลังจากนั้นทั้งสองคนก็แสดงความรักที่ออกมาจากก้นบึ้งของทั้งสองคน
พวกเค้าจูบกันกลางสนามหญ้าแห่งนั้น
แต่โชคไม่ดีที่สุนีย์มาเห็นภาพนี้โดยบังเอิญ





สุนีย์ไปหามิวที่บ้านเพื่อบอกให้รู้ว่าตนเห็นเหตุการณ์นั้นมาโดยตลอด
และขอร้องให้มิวหยุดความสัมพันธ์แบบนี้กับโต้งเสีย

โดยให้เหตุผลว่า โต้งเป็นเพียงคนเดียวที่เค้ามีเหลืออยู่
เค้าอยากเห็นโต้งมีอนาคตที่สดใสมากกว่านี้

มิวยอมรับข้อเสนอนั้นพร้อมทั้งน้ำตา
มันไม่ยากเลยที่จะตัดใจจากคนที่เรารักมากๆ
ผมก็เช่นกัน...
วันนั้นผมเข้าใจความรู้สึกของมิวอย่างแจ่มแจ้ง





ในวันนั้นเองที่หญิงได้บังเอิญมาได้ยินสิ่งที่มิวกับสุนีย์คุยกันพอดี
สิ่งที่หญิงคาดหวังมาตลอดก็พังทะลายลงมา

ความผิดหวังนั้นมันร้ายแรงเกินกว่าที่หญิงจะรับได้
เธอระบายมันออกมาโดยการดึงรูปมิวที่ติดข้างฝาออก
และเก็บทุกอย่างไว้ใต้เตียง


เรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้
ทุกคนในเรื่องล้วนมีแต่ความเศร้า





มิวไม่ไปซ้อมดนตรีเหมือนอย่างเคย
วงออกัสก็ระส่ำระสาย เดือดร้อนไปทั้งวง

โต้งหลังจากที่ทราบเรื่องก็พยายามติดต่อกับมิว
แต่ความพยายามของเค้าไร้ผล
มิวพยายามที่จะตัดความสัมพันธ์กับเค้าอย่างจริงจัง

ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนดูหนังในโรงอึดอัดกันมากที่สุด
จากที่เคยกรี๊ดในช่วงไคลแมกซ์ที่ผ่านๆมา
ทั้งโรงก็เงียบกริบ
.
.
.
.
.
.
โต้งไปนอนที่คอนโดของเพื่อนในช่วงที่ทะเลาะกับสุนีย์
ระหว่างนั้นโต้งสับสนว่าเค้าเป็นอะไร หรือเค้าชอบผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่

ยิ่งถูกเพื่อนของเค้าถามว่าเป็นเกย์มั้ย ?
เพราะเห็นชอบไปสุงสิงกับมิวบ่อยๆ
ก็ยิ่งทำให้เค้าโกรธเข้าไปอีก

โต้งโทษหญิงว่าเป็นคนนำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้เพื่อนๆของเค้าฟัง
ความโกรธทำให้โต้งดึงตัวหญิงมากอดและพยายามขืนใจจูบเธอ
แต่โต้งไม่สามารถทำได้ เพราะเค้าไม่ได้ชอบแบบนี้
และเค้าก็คงรู้สึกผิดที่ทำแบบนี้


หญิงเข้าใจในตัวโต้ง และให้อภัยในสิ่งที่โต้งทำลงไป
ตั้งแต่นั้นมาหญิงกับโต้งก็สนิทกันมากขึ้น

ผมว่าหญิงก็เป็นอีกคนนึงที่น่าสงสารมากๆ
เธอไปหลงรักในคนที่ไม่สามารถให้ความรักตอบเธอได้
เจอแต่ความไม่สมหวังมาตลอด




ระหว่างนั้นพ่อของโต้ง"กร"ไม่สบายหนัก
ด้วยเรื่องของภาวะตับแข็ง ส่งผลให้มีเลือดออกมาอย่างมากจากทางเดินอาหาร

กรเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
แพทย์บอกว่าตับเสียไปประมาณแปดสิบเปอร์เซนต์
ช่วงที่เหลือของชีวิตคือช่วงที่ต้องค่อยๆประคับประคองอาการเอา

มาถึงฉากนี้ผมรู้สึกสงสารสุนีย์ขึ้นมาจับใจ
ไม่รู้เธอไปทำเวรทำกรรมอะไรมา
ชาตินี้โชคชะตาถึงเล่นตลกกับเธอซะเหลือเกิน

สูญเสียลูกสาวสุดที่รักไป

ลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวมีความรักกับผู้ชายด้วยกัน

สามีที่ปกติเป็นหัวหน้าครอบครัวกลับมาเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
แถมยังป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายอีก

ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะตัดสินใจจบชีวิตหนีปัญหาไปแล้ว
แต่สุนีย์เธอเป็นคนที่เข้มแข็งมากๆ





สุนีย์เธอเป็นคนที่รักครอบครัวมากๆ
สังเกตได้จากการที่สุนีย์จะจำรายละเอียดเรื่องในอดีตได้ทั้งหมด
เพียงแต่เธอเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน


และแม้ว่าสามีของเธอจะเปลี่ยนไปมากสักแค่ไหน
เธอก็ยังคงรักเหมือนเดิม
ฉากนึงในหนังเรื่องนี้ที่ทำให้รู้ว่าสุนีย์รักกรมากขนาดไหนก็คือฉากไข่พะโล้

สุนีย์มักจะทำเป็นลืมของ แล้วกลับมาเอาของที่บ้านบ่อยๆ
และตอนที่เธอกลับมาบ้าน เธอก็จะซื้ออาหารมาใส่จานให้กรทุกวัน

เตรียมยา เตรียมน้ำให้พร้อมสรรพ
มีอยู่วันนึงที่กรรู้ว่าสุนีย์รักเค้ามากขนาดไหน
ก็คือวันนั้นในตอนเช้า สุนีย์เตรียมข้าว และพะโล้หมูเอาไว้ให้กร

แต่กรกินแต่เหล้า ทิ้งให้พะโล้ชืด เป็นคราบไข

สุนีย์กลับมาในตอนบ่าย และนำกับข้าวมาเปลี่ยนให้กร
พะโล้ถ้วยนั้นสุนีย์เป็นคนกินซะเอง

เมื่อกรแอบมาเห็นเข้า เค้าก็รู้สึกสำนึกผิด
น้ำตาของเค้าหลั่งรินออกมา(รวมทั้งน้ำตาของผมด้วย)
ฉากนี้กินใจผู้ชมเอามากๆ





ย้อนกลับมาที่เรื่องของมิว
เมื่อวงออกัสขาดนักร้องนำไป

วงก็ต้องหาน้กร้องคนใหม่มาทดแทน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องให้มิวเซนต์สัญญามอบลิขสิทธิ์เพลงนี้ให้วงเสียก่อน
จึงจะถูกต้องตามหลักกฏหมาย

ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจากับมิวก็คือ"เอกซ์"มือกีตาร์ในวงออกัส

เอกซ์เคยมีเรื่องทะเลาะแบบไร้สาระกับมิวมาก่อน
คือมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทั้งสองจับฉลากให้ไปสาธิตการ CPR
ซึ่งต้องมีการช่วยหายใจโดยวิธีประกบปาก mouth to mouth

เอกซ์แกล้งพูดว่ามิวสอดลิ้นเข้ามาในปากของตนเอง จนมิวถูกเพื่อนๆล้อ
ตั้งแต่นั้นมามิวก็ไม่เคยพูดดีกับเอกซ์อีก


เมื่อมิวกลับมาบ้าน เค้าก็เห็นเอกซ์มานั่งรออยู่
พร้อมกับมือข้างหนึ่งถือกระดาษให้เซนต์มอบลิขสิทธิ์

เอกซ์ถามมิวว่าทำไมไม่กลับไปร้องเพลงอีก
มิวตอบว่าเค้าไม่สามารถร้องเพลงเหล่านั้นได้อีกแล้ว
เหตุผล......คิดว่าผู้อ่านคงจะเข้าใจน่ะครับ


เอกซ์พูดระบายความในใจกับมิวว่าถึงมิวจะเป็นอย่างไร เพื่อนๆก็เข้าใจ

และเอกซ์ยังบอกขอโทษมิวในสิ่งที่เค้าเคยทำมาด้วย
และบอกให้มิวคิดทบทวนดูให้ดีๆ






สุดท้ายมิวเลือกที่จะกลับไปร้องเพลงให้กับวงออกัส
อาจจะเพราะว่าเค้ารักดนตรีมาก ดนตรีคือส่วนหนึ่งของชีวิตเขา

มิวกับวงออกัสได้ไปร้องในมินิคอนเสิร์ตที่สยามสแควร์
ระหว่างที่เค้าร้องไปตาเค้าก็จะมองไปรอบๆ คล้ายๆกับว่าเค้าหวังว่าจะได้พบบางสิ่ง
บางสิ่งที่ดูเหมือนจะหวังเลื่อนลอย

แต่เค้าเชื่อว่า"ตราบใดที่ยังมีรัก ก็ย่อมมีความหวัง"
ดังในเนื้อเพลงที่เค้าได้แต่งเอาไว้


โต้งช่วยแม่ตกแต่งต้นคริสต์มาสในบ้าน
ระหว่างที่เค้าช่วยแม่เค้าประดับต้นไม้อยู่นั้น

เค้าก็ถามแม่เค้าว่า"เหนื่อยมั้ย?"
สุนีย์ถามว่าเหนื่อยในเรื่องไหนหล่ะ?
โต้งบอกว่า "ทุกเรื่อง"

สุนีย์ตอบว่า"เหนื่อยสิ"พร้อมกับวางมือจากการทำงานมามองตาโต้ง
สายตาที่สุนีย์มองตาโต้งตอนนั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย
และก็คงจะหายเหนื่อยไปมากทีเดียว ที่เห็นลูกเป็นห่วงขนาดนี้

สุนีย์ขอให้โต้งนำตุ๊กตาสองตัวไปประดับต้นไม้
โต้งลังเลที่จะนำตุ๊กตาไปติดที่ต้นไม้

โดยถามสุนีย์ตลอดว่าติดตรงนั้นตรงนี้ได้ไหม
สุนีย์ตอบแบบหงุดหงิดว่าติดๆไปเถอะ

โต้งพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆว่า"เดี๋ยวกลัวว่าติดไปแล้วไม่ถูกใจ แม่ก็จะว่าอีก"

คำพูดนี้สะกิดใจของสุนีย์เป็นอย่างมาก
เธอปล่อยมือจากงานที่ทำอยู่ แล้วหันมามองตาโต้ง

เธอค่อยๆหยิบตุ๊กตาสองตัวออกมาจากมือของโต้ง
ตุ๊กตาสองตัวนั้น ตัวนึงเป็นผู้ชาย อีกตัวเป็นผู้หญิง

สุนีย์พูดว่า"ให้เลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด"
โต้งเลือกที่จะหยิบตุ๊กตา"ผู้ชาย"ติดบนต้นไม้

เค้าหันมามองหน้าสุนีย์แล้วยิ้ม สุนีย์ยิ้มตอบพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า
แล้วทั้งสองคนก็โผเข้ากอดกัน

ฉากนี้เรียกน้ำตาผมอีกแล้ว
สุนีย์รักโต้งมาก...ตอนนี้เธอให้อิสระกับโต้งแล้ว
ไม่ว่าโต้งจะเป็นอะไร อยากจะรักอะไร
เธอก็จะปล่อยให้โต้งตัดสินใจ และเธอคอยดูอยู่ห่างๆ






วันนั้นเป็นวันที่โต้งได้นัดไปงานปาร์ตี้ที่โรงเรียนของโดนัท
โดยนัดเจอกันที่ลานน้ำพุสยามสแควร์
โต้งถือโอกาสนี้บอกเลิกกับโดนัท สาวทรงเสน่ห์ผู้มีความมั่นใจในตัวเอง




โต้งรีบวิ่งไปดูคอนเสิร์ตของมิว
โดยมีหญิงไปเป็นเพื่อน
ทั้งสองไปยืนบนสะพานลอยมองลงมายังเวทีคอนเสิร์ต






ฉากนี้ก็เป็นอีกฉากที่เป็นไคลแมกซ์ของหนัง
ภาพเก่าๆที่โต้งกับมิวสื่อสารกันด้วยบทเพลง
ได้กลับมาอีกครั้ง

สายตาของเค้าสองคนมองกัน
เหมือนจะเล่าให้ฟังว่าที่ผ่านมาได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

แต่ตรงกลางระหว่างสายตาคู่นั้นมีสายตาของหญิง
ที่มีอารมณ์สับสนปนเประหว่างความรู้สึกดีใจที่ได้เห็นคนที่ตนเองรักมีความสุข
กับความรู้สึกเศร้าที่เธอไม่มีโอกาสที่จะได้ความรักเหล่านั้นกลับคืน

เมื่อคอนเสิร์ตจบลง
มิวเดินกลับพร้อมๆกับเพื่อนในวงออกัส
และเค้าก็ต้องหันมาตามเสียงเรียกที่อยู่ด้านหลัง

เสียงนั้นเป็นเสียงที่เค้าคุ้นเคย และเค้าอยากได้ยินที่สุด

เพื่อนๆในวงออกัสปล่อยโอกาสให้สองคนได้คุยกัน

มิวขอบคุณโต้งที่มาดูเค้าเล่นคอนเสิร์ตวันนี้
โต้งยิ้มรับแทนคำพูด

โต้งบอกมิวว่า
"ถึงแม้เราจะคบกันแบบแฟนไม่ได้
ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกันน่ะ
"


มิวมองตาโต้งแบบเข้าใจ และยิ้มตอบเช่นกัน

โต้งมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้กับมิว

ของขวัญซึ่งเป็นองค์ประกอบอันสุดท้ายของตุ๊กตาไม้ในอดีต
ตุ๊กตาไม้ที่แทนชีวิตของพวกเค้าทั้งสองคน
ซึ่งอยู่มาแบบไม่สมบูรณ์มาโดยตลอด


ทั้งสองคนโบกมือร่ำลากัน
การจากกันของทั้งสองคนสำหรับผม ผมคิดว่ามันเหมือนไม่ได้จากกัน
เพราะยังไงผมว่าสองคนนี้เค้าสื่อถึงกันได้

ใจของพวกเขาอยู่ใกล้กันเสมอ
ถึงแม้ว่าตัวจะต้องอยู่ห่างไกลกันก็ตาม


บางคนถึงแม้จะแต่งงานกัน มีชีวิตคู่ด้วยกัน
แต่ที่แท้จริงจิตใจของพวกเค้ากลับเดินห่างออกจากกันและกัน
การอยู่ด้วยกัน หรือเป็นแฟนกันจึงไม่มีความสลักสำคัญแต่ประการใด


มิวคงเข้าใจโต้งว่าเค้าอยากให้แม่เค้ามีความสุข
ถึงแม้ว่าเค้าจะรู้ว่าแม่ให้อิสระแก่เค้าในการตัดสินใจเลือกแล้ว

แต่เค้าเลือกที่จะให้แม่เห็นเค้ามีชีวิตที่สมบูรณ์ตามแบบที่สังคมได้วางเอาไว้
รูปแบบที่สังคมคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ฉากจบของหนังเรื่องนี้จบลงตรงที่มิวกลับมาบ้าน
นำจมูกของตุ๊กตาไม้มาประกอบกับตุ๊กตาที่โต้งเคยให้เอาไว้เมื่อตอนเด็กๆ
มิวนั่งมองตุ๊กตาตัวนี้
สักพักน้ำตาของเค้าทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมา
.
.
.
.
ความเหงาซึ่งเป็นสิ่งที่เค้าเคยกลัวที่สุดได้กลับมาเยือนเค้าอีกครั้ง
ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เรากลัวได้ตลอดรอดฝั่งหรอก
หากเรากลัวสิ่งใด สิ่งนั้นก็ต้องมีวันกลับมาหาเราได้สักวันหนึ่ง

(น้องมิวให้สัมภาษณ์ความรู้สึกกับฉากสุดท้าย
ผมก๊อบเอาคำพูดของน้องเค้ามา
อยู่ในคอมเมนต์ที่ 56 น่ะครับ อ่านแล้วเศร้าจัง T_T"







วันนี้เอาเพลง "เพียงเธอ"
ที่ขับร้องโดยน้องพิชญ์มาให้ฟังกันครับ
เพิ่งรู้ว่าน้องพิชญ์เค้าก็ร้องเพลงประกอบภาพยนต์"ข้าวเหนียวหมูปิ้ง"ด้วย

ท่าทางมีแววรุ่งแฮะ





ขอบคุณ"แมวเหมียว"ที่อัพโหลดมิวสิคที่สวยงามนี้ที่ Youtube น่ะครับ

ส่วนอันนี้เป็น Director's Cut ในหนังเรื่องนี้ครับ
ใครไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ยังไม่สมควรดูคลิปนี้ครับ
เพราะมันเฉลยทุกอย่างไว้หมดแล้ว






เวลาเปิด Youtube ก็ปิดเครื่องเล่นข้างบนก่อนน่ะครับ
เดี๋ยวเสียงตีกัน จะไม่ได้อารมณ์เอา



เพียงเธอ...

อยากจะขอบคุณ ที่รู้ใจเข้าใจ สิ่งดีดีที่ให้มา
อยากจะขอบคุณ ที่สัญญาว่าใจ ไม่มีวันห่างเหิน

กับคนหนึ่งคน ที่ไร้วันเวลา หมดกำลังจะก้าวเดิน
จากคนที่เคย เจ็บเหลือเกินที่ใจ กลับกลายเป็นเบิกบาน

ผ่านคืนวันโหดร้าย นานเหมือนชั่วกาล
กลับมีคนห่วงใยกัน สุขใจทุกวัน มีเธออยู่ข้างกาย
เริ่มรู้จักความหวานกับรักลึกซึ้งหมดใจ
เริ่มรู้จักความหมายของคืนวัน

แค่คนหนึ่งคนกับหัวใจ ให้เธอ หมดไปเลยที่ฉันมี
จะเป็นจะตายจะร้ายดี ไม่แคร์ ไม่เคยจะหวั่นไหว
จะมีแต่เธอที่แสนดี ร่วมทาง ตราบจนวันที่สิ้นใจ
หนึ่งวันจะนาน สักเท่าไร ถ้าไกล ห่างเธอไปสักวัน

ผ่านคืนวันโหดร้าย นานเหมือนชั่วกาล
กลับมีคนห่วงใยกัน สุขใจทุกวัน มีเธออยู่ข้างกาย
เริ่มรู้จักความหวานกับรักลึกซึ้งหมดใจ
เริ่มรู้จักความหมายของคืนวัน

ให้เธอได้ยิน เสียงจากใจฉัน
ที่จะคอยบอกทุกคืนวัน ว่ารักเธอ

ผ่านคืนวันโหดร้าย นานเหมือนชั่วกาล
กลับมีคนห่วงใยกัน สุขใจทุกวัน มีเธออยู่ข้างกาย
เริ่มรู้จักความหวานกับรักลึกซึ้งหมดใจ
เริ่มรู้จักความหมายของคืนวัน

เสียงใจฉันเอง ร้องเพลงให้เธอ
ฟังอยู่คือเสียง ดังจากใจ
ร้องเพลงที่ใคร ไม่อาจฟังเสียง ใจฉันเอง
ร้องเพลงให้เธอ ฟังอยู่คือเสียง ดังจากใจ
ร้องเพลงที่ฟัง เข้าใจเพียงเรา





 

Create Date : 26 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 24 สิงหาคม 2552 17:45:08 น.
Counter : 1022 Pageviews.  

A fish with a smile ความรักที่ไม่ถูกกักขัง...


เคยได้ยินประโยคนี้กันบ้างหรือเปล่าครับ

"If you love something,set it free..."

ประโยคนี้เหมาะกับ Animation เรื่องใหม่ของผู้กำกับ

Jimmy Liao เป็นอย่างยิ่ง

ผมรู้สึกรัก Animation เรื่องนี้ตั้งแต่ได้ดูครั้งแรก

และก็จะพยายามส่งลิงค์ให้เพื่อนๆอีกหลายคน

ที่เราอยากให้เค้าได้รับความรู้สึกดีๆแบบที่เรารู้สึก


ความยาวของแอนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่ยาว แค่ประมาณเก้านาที

เนื้อหาก็จะเป็นเรื่องของผู้ชายวัยกลางคน คนหนึ่ง

ชายคนนี้ดูโดดเดี่ยว บุคลิกเปี่ยมไปด้วยความเศร้า




มีวันนึงเค้าเดินผ่านร้านขายสัตว์เลี้ยง

ก็ไปสะดุดตากับเจ้าปลาน้อยตัวนึงที่ดูร่าเริงซะเหลือเกิน




เค้าถูกชะตากับเจ้าปลาตัวนี้ และเจ้าปลาก็ท่าทางจะชอบเค้าซะด้วยสิ

เค้าไม่รอช้าที่จะตัดสินใจซื้อมันแล้วพากลับไปยังบ้านของเขา

ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในตึกแถวเล็กๆ

และดูเหมือนว่าจะมีความสุขทั้งสองฝ่าย








จนมาวันนึงเขาฝันประหลาดว่า โถปลาของเขาลอยได้

และพาเค้าออกไปจนถึงทะเล

เขาและปลาของเขาว่ายน้ำด้วยกันอย่างมีความสุข

แต่แล้วเขาก็รู้ว่าเขาได้ว่ายอยู่ในโถปลาขนาดใหญ่

เขาตื่นมาแล้วรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ฝัน

แต่ความฝันนั้นก็ทำให้เขาฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้










เขาตัดสินใจนำปลาที่เขารักไปปล่อยในทะเล

..Animation เรื่องนี้สอนผมหลายๆอย่าง

สอนให้ผมรู้ว่า...........

"หากเรารักใครสักคนอย่าไปคาดหวังให้เขาเป็นของเราแต่เพียงอย่างเดียว"

ความรักไม่ใช่การครอบครองกันและกันอย่างเดียว

หากคนสองคนรักกันอย่างแท้จริง....

จิตใจของคนสองคนต่างหากที่จะเป็นตัวผูกมัดคนสองคนให้อยู่ด้วยกัน

..ผมขอมอบบล๊อกนี้ให้แด่คนที่ผมรักครับ..






ข้างล่างนี้เป็นคลิปวิดีโอความยาวเก้านาทีกว่าๆ

หากใครสนใจจะดูก็คลิกได้เลยครับ




**เวลาเปิดไฟล์UTUBEให้ปิดเสียงที่media playerก่อนน่ะครับเดี๋ยวเสียงตีกัน**




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2549    
Last Update : 24 สิงหาคม 2552 17:46:12 น.
Counter : 1111 Pageviews.  

ชวนดูหนังเรื่อง When Beckham met Owen


วันนี้เป็นวันดีที่จะได้ทำการอัพบล๊อคใหม่ซะทีหลังจากที่
ดองบล๊อคเก่ามาจนเหม็นตุ่ยๆ

เอาเป็นว่าเรามาเปลี่ยนบรรยากาศจากการท่องเที่ยวมาเป็น
นอนผึ่งพุงดูหนังดีๆสักเรื่องกันดีกว่า

หนังที่ดีเนี่ยไม่จำเป็นต้องว่าเป็นหนังที่มีทุนสร้างมหาศาล
โปรโมทกันจนหันไปทางไหนก็เจอแต่ข่าวหนังเรื่องนั้นๆ

บางทีหนังทุนต่ำก็สามารถเป็นหนังที่ดีได้ หากเราเอาข้อคิด
ที่ดูจากหนังมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้ก็จะชวนมาดูหนังตามหัวข้อเรื่อง แต่อย่าเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนังเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลโดยมี เบคแฮม กับ โอเว่นเป็นตัวเอกน่ะ ไม่งั้นก็คงไม่เรียกว่าเป็นหนังทุนต่ำแล้วหล่ะ



เรื่องก็เริ่มจากเด็กสองคนที่เพิ่งเข้ามาเรียนชั้นม.1สองคน คนแรกชื่อ เดวิด เป็นเด็กที่ร่าเริง มีมนุษยสัมพันธ์ดี






ส่วนอีกคนชื่อไมเคิล เป็นคนพูดน้อย เก็บความรู้สึกเก่ง







ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นสนิทกันมากขึ้นทุกวัน แต่ยังเป็นในฐานะเพื่อนที่ดีของกันและกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ประมาณว่าตัวแทบจะติดกันว่างั้นเหอะ

















แต่แล้ววันหนึ่งก็มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน คนนี้คือสาวน้อยหน้าตาน่ารักชือ Winnie ซึ่งนายเดวิดเป็นคนออกปากชมนักหนาว่าน่ารักถูกใจเค้าซะเหลือเกิน และตั้งแต่นายเดวิดได้คบกับสาวน้อย Winnie ก็ทำให้นายไมเคิลเกิดความรู้สึกแปลกๆ และเริ่มไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองว่าแอบหึงหรือเปล่า ที่แน่ๆคือตั้งแต่มีสาวน้อยคนนี้เข้ามาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไมเคิลกับเดวิดเหมือนจะขาดหายไปบางส่วน







และนับจากนั้นเป็นต้นมาความสับสนในใจของไมเคิลก็มากขึ้นเป็นทวีคูณ ไมเคิลพยายามปลีกตัวห่างออกมาเพราะคงกลัวห้ามใจที่จะรักเพื่อนของตัวเองในรูปแบบที่สังคมไม่ยอมรับ ยังผลให้เป็นคนที่เงียบมากขึ้น ไม่ค่อยแจ่มใส ประสิทธิภาพทางด้านกีฬาก็ถดถอย สร้างความแปลกใจให้กับนายเดวิดเพื่อนรักเป็นอย่างมาก แต่นายเดวิดของเราก็พยายามที่จะกระตุ้นให้ไมเคิลกลายเป็นไมเคิลคนเดิม โดยใช้ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ พยายามชวนคุย ชวนไปเที่ยว

















และอยู่มาวันหนึ่ง ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ไมเคิลรู้ว่าเค้ารักเพื่อนของเค้ามากกว่าแค่เพื่อนธรรดา เหตุการณ์นั้นก็คือทั้งสองได้เข้าไปในห้องแต่งตัวของนักกีฬาเพื่อที่จะลงไปซ้อมตามปกติ เมื่อทั้งคู่ใส่รองเท้า เดวิดเห็นว่ารองเท้าไมเคิลเก่ามากมีแต่รอยฉีกขาด จึงแสดงความเป็นห่วงว่าเพื่อนอาจเจ็บนิ้วเท้าได้จึงได้ให้ไมเคิลยืมรองเท้า Adidas คู่ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งได้มา ส่วนตัวของเดวิดนั้นกลับใส่รองเท้าเก่าๆแทน เหตุการณ์นี้ทำให้ไมเคิลซึ้งในน้ำใจของเดวิดมากขึ้นไปอีก















ภาคแรกนี้คิดว่ายาวพอแล้วหล่ะ เดี๋ยวขอตัวไปสู่ภาคสองก่อนล่ะกันเดี๋ยวจะเสียเวลาโหลดภาพนานนนนนน

ถ้าติดใจคลิกก็มาอ่านต่อกันได้เลย ใน part 2

(เลื่อนกลับไปข้างบน แล้วคลิกตรงคำว่า when Beckham met owen episode II ที่อยู่ทางด้ายซ้ายมือน่ะจ๊ะ)

หรือคลิกมาที่ลิงค์นี้ก็ได้

คลิกที่นี่เพื่อดู PART 2








 

Create Date : 21 มีนาคม 2549    
Last Update : 24 สิงหาคม 2552 17:46:32 น.
Counter : 12623 Pageviews.  

ชวนดูหนังเรื่อง When Beckham met Owen , Part II



เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเล่าต่อจากภาคแรกเลยล่ะกัน

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับทำให้ไมเคิลยิ่งสับสนในสถานภาพทางเพศของตนเองมากขึ้นไปอีก ความรู้สึกนั้นทำให้เค้างงว่าตกลงเค้ารักผู้ชายเหมือนกันหรือ? เค้ามีความรู้สึกแปลกๆเมื่อเดวิดสวมกอด มีความรู้สึกทางเพศกับผู้ชายโดยสังเกตว่าในหนังจะมีฝันเปียกหลายครั้งโดยที่ฝันเกี่ยวกับผู้ชาย หรือแม้กระทั่งในห้องแต่งตัวนักกีฬาที่เค้าแอบมองของลับของเดวิด (และก็ถูกเดวิดด่ากลับมาด้วยว่าแอบมองน้องชายชั้นทำไม) , ไมเคิลเกิดความสับสนจนถึงกับไปค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเพศศึกษาในห้องสมุด มาเพื่อศึกษาเรื่องเพศโดยเฉพาะ (เป็นไปถึงขนาดนั้นเลยน่ะเนี่ย - - " )









เมื่อเกิดความสับสนมากขึ้น ประกอบกับต้องการหลุดพันจากความรู้สึกทรมาณที่หลงรักเพื่อนของตัวเอง โดยที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้เหมือน ชาย-หญิง ไมเคิลก็พยายามปลีกตัวห่างออกจากเดวิดมากขึ้น เวลาเดวิดทักทายก็จะเป็นแบบถามคำตอบคำ และก็จะรีบปลีกตัวออกไป ยังความประหลาดใจให้กับเดวิดมาก แต่เดวิดก็ไม่ย่อท้อ เค้าพยายามชวนไมเคิลคุยมากขึ้น ,พยายามช่วยงานของไมเคิลที่โรงเรียนโดยที่ไม่รู้ว่าไมเคิลอยากปลีกตัวออกห่าง















การดำเนินเรื่องของหนังในช่วงนี้จะเห็นมีแต่ความเย็นชาของไมเคิลที่มีต่อเดวิด จนกระทั่ง ..วันหนึ่งเดวิดเปรยออกมาว่า เค้าจะต้องตั้งใจสอบให้ได้คะแนนเต็มทั้งสามครั้ง เพราะถ้าหากเค้าได้คะแนนเต็มทั้งสามครั้งแล้วแม่จะให้เสื้อทีมฟุตบอลที่เค้าชื่นชอบเป็นของขวัญ


แต่เดวิดบอกว่าเค้าไม่ต้องการเสื้อทีมแล้ว เค้าต้องการรองเท้ากีฬา Adidas คู่ใหม่มากกว่า , เมื่อไมเคิลฟังที่เดวิดพูดก็ถามว่าเดวิดจะเอารองเท้าคู่ใหม่ไปอีกทำไมในเมื่อเค้าเพิ่งซื้อคู่ใหม่มาหยกๆ เดวิดตอบว่าเค้าต้องการที่จะเอารองเท้าให้เป็นของขวัญแก่ไมเคิล คำพูดนี้สร้างความซาบซึ้งให้กับไมเคิลเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่วายที่ไมเคิลยังทำตัวเย็นชากับเดวิดต่อไป











แต่ทว่าเดวิดไม่สามารถทำคะแนนได้เต็มร้อยคะแนน
ทั้ง สามครั้ง ครั้งที่หนึ่งกับครั้งสองได้หนึ่งร้อย ส่วนครั้งที่สามได้ 99/100 เพียงเพราะเขียนคำว่า "Commitment" ผิด ,เดวิดลืมใส่ตัว M อีกหนึ่งตัว เขียนเป็น "Comitment" และคำนี้ที่เดวิดจำฝังใจเค้าตลอดมา เพราะเค้าไม่สามารถทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับไมเคิลและไม่ได้รางวัลจากแม่ของเค้าด้วย

หนังดำเนินไปเรื่อยจนถึงฉากที่ไมเคิลกำลังจะเข้านอน ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา ซึ่งคนที่โทรมาหาคือเดวิด บอกว่าที่โทรมาเพราะเหงา ทั้งบ้านไม่มีคนอยู่เลย ทุกคนออกไปงานเลี้ยงกันหมด ปล่อยให้เค้าต้องเฝ้าบ้านคนเดียว



เดวิดพูดว่าตอนนี้ออกมาคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงกำลังนั่งที่ขอบระเบียง ลมแรงมาก พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ออกไปข้างนอกเพื่อให้ไมเคิลได้ยินเสียงลมพัด , ขณะที่ไมเคิลกำลังฟังเสียงลมพัดอยู่นั้นฉับพลันก็เกิดมีเสียงตกใจของเดวิด พร้อมเสียงกระแทกอย่างรุนแรง พร้อมกับเสียงสนธนาก็หายไป โทรกลับไปก็เป็นสายไม่ว่าง ไมเคิลตกใจมากเพราะคิดว่าเดวิดคงพลัดตกตึกลงมา จึงรีบลุกออกจากที่นอนวิ่งไปที่คอนโดของเดวิด อย่างเหน็ดเหนื่อย









แต่เมื่อไมเคิลมาถึงคอนโดของเดวิดภาพที่พบคือ เห็นเดวิดในสภาพมอมแมม ในมือมีโทรศัพท์พังๆ เนื่องจากโทรศัพท์ได้พลัดตกลงมา และเดวิดก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาตีกชั้นหนึ่งเพื่อเก็บโทรศัพท์มา เมื่อเดวิดเห็นไมเคิลก็แปลกใจจึงถามออกไปว่า



"นายมาทำอะไรที่นี่ตอนนี้เหรอ"

ไมเคิลเห็นเดวิดไม่เป็นอะไรก็ดีใจมาก แต่ไม่สามารถแสดงอารมณ์นั้นออกมาได้เต็มที่ ทำได้เพียงแต่ร้องให้ออกมา พร้อมกับเดินกลับบ้านโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับเดวิดสักคำ ทำให้เดวิดงงมาก







อีกฉากหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจในหนังเรื่องนี้มากคือฉากตอนที่ไมเคิลกลับมาบ้าน วันนั้นเป็นวันก่อนการแข่งฟุตบอลนัดสำคัญ แต่ฝนกลับตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อเปิดประตูบ้าน แม่ของไมเคิลก็บอกว่าเดวิดเอาของมาฝาก อุตสาห์ตากฝนเพื่อเอามาฝากให้ไมเคิลโดยเฉพาะ ไมเคิลรีบเปิดดูกล่องของขวัญนั้นทันที ภาพของขวัญที่เห็นเบื้องหน้านั้นทำให้ไมเคิลตื้นตันจนพูดไม่ออก เพราะมันเป็นรองเท้าคู่ใหม่ที่เดวิดสัญญาว่าจะเอาให้ รองเท้าคู่นั้นสีขาว แต่เนื่องด้วยเดวิดมีเงินไม่มากพอที่จะซื้อ Adidas จึงซื้อได้แค่รองเท้า Primsoll ธรรมดาแต่ถูกแต่งแต้มไปด้วยลวดลายการระบายสีซึ่งบ่งบอกถึงความตั้งใจทำของคนให้เป็นอย่างดี ของเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ถึงแม้ไม่มีมูลค่าทางเงินตรามากมาย แต่คุณค่าทางจิดใจนั้นมันแพงเหลือเกิน









และในวันนั้นเองที่ไมเคิลมั่นใจแล้วว่าเค้ามีสถานภาพเป็นอย่างไร เค้าจึงสารภาพกับแม่ที่โต๊ะอาหารว่า "ผมเป็นเกย์ครับแม่"









ไมเคิลหายไปไม่มาแข่งฟุตบอลนัดสำคัญ ทำให้ทีมของเค้าแพ้คู่แข่งไป 8-0 , เดวิดเป็นห่วงที่เห็นไมเคิลหายไปจึงออกตามหาท่ามกลางสายฝนที่ตกมาอย่างไม่หยุดหย่อน และพบว่าไมเคิลมานั่งคนเดียวในมุมมืดของสนามกีฬา และเค้าก็สวมรองเท้าที่เดวิดมอบให้เป็นของขวัญ



เดวิดโวยวายเล็กน้อยว่าหายไปไหนมา รู้มั้ยว่าทีมเราแพ้ยับเยินเลย



ไมเคิลไม่ตอบแต่ลุกขึ้นและทำท่าจะเดินหนึไปอีก เดวิดวิ่งตามแล้วตะโกนออกมาว่า"สิ่งที่ผ่านมาแล้วช่างมันเถอะ เรามาเริ่มกันใหม่ได้มั้ย?"



คำพูดของเดวิดทำให้ไมเคิลหยุดเดิน พร้อมกับน้ำตาของไมเคิลที่ไหลเอ่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่



ไมเคิลหันกลับมาพร้อมกับน้ำตานองหน้า แล้ววิ่งมาผลักเดวิดล้มลง



หลังจากนั้นก็เป็นฉากที่ทั้งสองคนต่อสู้กัน ผลักกันล้มหัวคะเมนตีลังกา แต่ผมดูแล้วมันไม่ใช่การต่อสู้แบบเกลียดชังกัน



บางทีไมเคิลไม่รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ยังไง จะพูดออกมาเป็นคำพูดก็ไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีนี้

มันดูเป็นการต่อสู้เพื่อที่เค้าสองคนต้องการบอกแก่กันและกันว่าชั้นเป็นห่วงแกน่ะเว้ย! แกอย่าทำตัวอย่างนี้ได้มั้ย แกยังมีเราเป็นเพื่อนอยู่เสมอน่ะอะไรประมาณนี้ และผู้กำกับได้ทิ้งฉากนี้เอาไว้แล้วจบเรื่องให้เราเก็บเอามาคิดต่อกันเอง















ขอได้รับความขอบคุณจากผู้ผลิตหนังที่ทำให้เราได้ชมหนังที่ดี ขอบคุณอีกครั้งครับ






 

Create Date : 21 มีนาคม 2549    
Last Update : 24 สิงหาคม 2552 17:46:47 น.
Counter : 5319 Pageviews.  


Dr.Manta
Location :
เชียงราย Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 30 คน [?]




&key



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Dr.Manta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.