อยากให้บอลไทยไปบอลโลก
Group Blog
 
All Blogs
 

ปังปอนด์ขอโทษพี่น้องประชาชน

ก่อนอื่นต้องขอโทษพี่ๆน้องๆเพื่อนๆก่อนครับที่หายไปนาน…...
อิอิ ขอโทษที่ทำให้คิดถึง
หรือถ้าไม่คิดถึง ก็ขอโทษด้วยครับ ที่สำคัญตัวผิด
เมื่อ สองวันที่แล้ว พาแม่ไปทำกายภาพบำบัด เลยได้ไปกินข้าวกับแม่ที่ร้านฟูจิ
หลังจากกินเสร็จ และกำลังอ่านหนังสือ เพื่อ รอผลไม้ของแถมอยู่นั้น...
อยู่ๆผมก็ได้ยินเสียงพนักงาน พูดอย่างละล่ำละลัก อุ้ย ขอโทษจริงๆคะ
ตอนที่ได้ยินเสียงมีความคิดสองอย่างแล่นเข้ามาในหัว
หนึ่งคือ “เจ้ เป็นอะไรของเจ้แกวะ”
สองคือ “ทำไมหน้าตักผมรู้สึกอุ่นๆ”
เพราะ มันคือน้ำซุบ หวานๆของสุกี้ญี่ปุ่น เต็มกางเกงผมเลยครับ
ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ เห็นความรู้สึก ผิด และกลัวเต็มสีหน้า
ที่สำคัญเธอยกมือไหว้ด้วยครับ เจออย่างนี้เป็นใครก็คงโกรธไม่ลง
จริงๆ ความผิด ที่เหตุเกิดเพราะความไม่ตั้งใจ เราก็ไม่ควรโกรธหรอกใช่ไหมครับ
ยกเว้นว่าตั้งใจ มาสาดใส่หน้ากันอย่างนี้ก็ต้องชกกันหน่อย
หลายๆ ครั้งที่ผมพบว่า แค่ คำว่าขอโทษ เพียงคำเดียว
ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก
เรื่องเล็กๆ กลายเป็นเรื่องขำๆ..
เช่น เรื่องขับรถ บางครั้งเราขับไม่ระวังทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเบรค
แค่การยกมือ ห้านิ้ว พร้อมกับก้มหัวเล็กน้อย ก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยิ้มได้
แต่เดี๋ยวนี้คนส่วนมาก ค่อนข้างขี้เกียจเลยมักจะยกนิ้วกลางให้แค่นิ้วเดียว
การต่อยกันกลางถนนเลยมีให้เห็นบ่อยๆ
คำขอโทษนอกจากจะทำให้คู่กรณีของเรา รู้สึกดีแล้ว
บางครั้งมันยังเป็นประโยชน์กับ ตัวเราอีกด้วย....
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยผมเคยเล่นฟุตบอลแข่งกันภายในคณะครับ
ตอนปี 4 ผมจำเป็นต้องเล่นกองหลัง ทั้งๆที่เคยเล่นเป็นกองหน้ามาก่อนสาเหตุเพราะปีนั้น เราขาดกองหลัง
ด้วยหน้าที่ ทำให้บางครั้งผมจำเป็นต้องไล่เตะกองหน้าฝ่ายตรงข้าม อย่างบริสุทธิ์ใจ(บางครั้งก็ไม่)
ฟุตบอลภายในของเราปีนั้นเตะกันสิบนัด จึงสอนอะไรผมอย่างหนึ่ง
คือทุกครั้งที่จำเป็นต้องทำฟาวล์กองหน้าฝ่ายตรงข้าม หลังจากกรรมการเป่านกหวีด
ผมจะทำหน้าสำนึกผิดเสมอ พร้อมทั้งจับมือ และ ขอโทษด้วยเสียงอันดัง
ประโยชน์แรกคือ กรรมการจะเมตตา จากใบแดงก็เป็น ใบเหลือง หากได้ใบเหลืองแล้วก็จะไม่ได้ใบแดง
นิสัยคนไทยเป็นอย่างนี้.....อภัยง่ายแต่ไรมา ซึ่งเป็นข้อดีหรือข้อเสีย ผมเองก็ไม่รู้
สองคือ เป็นประโยชน์กับเกมส์ เนื่องจาก ผมเองเคยเป็นกองหน้ามาก่อนจึง ค่อนข้างเข้าใจว่า
สิ่งที่สำคัญที่สุดของกองหน้า นอกจากฝีเท้าแล้ว คือ ความมั่นใจ.....
ทุกครั้งที่พักครึ่ง หากสกอร์ยังคงเป็น ศูนย์เพื่อนๆจะ พูดจาถากถางกดดันกองหน้า โค้ชก็ด่า
ศัตรูของ พวกกองหน้า ที่สำคัญมากกว่ากองหลัง คือ ตัวเอง....
เป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะ ทำให้กองหน้าโมโห เพราะมันจะนำมาซึ่งความมุมานะ...
โดยเฉพาะ กองหน้า ปีหนึ่งปีสองนี่อยากจะพิสูจน์ความสามารถให้คนอื่นยอมรับ อยู่แล้วด้วย....
ความมุ่งมั่น บวกความโกรธนี่ จะทำให้เค้ากลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวขึ้นมาก...
ดังนั้นการขอโทษ จะทำให้ความหงุดหงิดของเค้าไม่ได้มาลงที่เรา แต่กลับลงที่ตัวเอง
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจก็จะทำให้ฟอร์มออกทะเลเอาง่ายๆ

นี่อาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสักหน่อยนะครับ
เพราะเป็นการขอโทษเพื่อหวังผล คล้ายๆกับนักการเมืองขอโทษประชาชน
แต่ที่สำคัญคือ มันจะให้ผลบวกต่อจิตใจ สมาธิ และ ตัวคุณเองอย่างมาก โดยเฉพาะหากมันเป็นหน้าที่
เพราะกองหลัง จำเป็นต้องใช้สมาธิอย่างสูง บางครั้ง หากเราเตะเขา เขาเตะเรา มันอาจทำให้เราเสียสมาธิเองก็ได้
และจะแย่มากที่สุดถ้าเราไปเอาคืนเค้าในเขตโทษด้วยอารมชั่ววูบ เพราะนั้นหมายถึงการเสียประตู
ซึ่งจะ ทำให้ทีมเดือดร้อน หรือ พูดง่ายๆว่าส่วนรวมเดือดร้อนนั้นเอง....
ความไม่โมโห จะทำให้เกิดสมาธิ....
(อิอิ.... แต่ผมไม่อยากบอกเลย ว่าเตะขาเค้า เสร็จแล้ว ขอโทษ ประโยชน์อีกข้อหนึ่งก็คือ ทำให้คุณสามารถเตะเค้ากี่ทีก็ได้555)
ปีนั้นแข่ง สิบนัดเสียไปแค่ประตูเดียว
แต่ น่าเสียดายที่ประตูที่เสียนั้นไปเสียในนัดชิงชนะเลิศ

ผมพยายามใช้บทเรียนในสนาม กับ การทำงาน หลายๆครั้งก็ทำให้เราไม่ต้องเครียดโดยไม่จำเป็น........
คำขอโทษ จริงๆแล้วใช้ได้ทั้งการทำงาน และ ชีวิตส่วนตัวครับ
อย่างเมื่อวานก็เพิ่งขอโทษน้องเชียร์ไปที่ไม่มีเวลาให้จนต้อง แอบไปมีข่าวกับกอล์ฟไมค์.....
ต้อง ขอโทษน้อง ปีใหม่ด้วย ที่แอบ ไปกินข้าวกับน้องรถเมล์....
ต้องขอโทษน้องแพทด้วย ที่ผม ยังลืม อั้ม ไม่ได้....
เห้อ.....ขอโทษจริงๆที่เกิดมาหน้าตาดี........

อิๆ สุดท้ายนี้ ขอโทษผู้อ่านจริงๆนะครับที่ต้องเสียเวลาฟังผมเพ้อเจ้อ.....
ไม่ว่ากันนะ (^_^)
เพราะคงต้องขอโทษกันอีกหลายที...








 

Create Date : 18 มกราคม 2549    
Last Update : 18 มกราคม 2549 18:12:39 น.
Counter : 463 Pageviews.  

ภูกระดึง กระดึง ดึงๆๆ กระดึงๆๆ

หลายวันที่แล้วได้ดูรายการ เฮีย สรยุทธ
เค้าเอาคนมาถกกันเรื่องภูกระดึง
เถียงกัน 2 ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งใส่สูท เป็น สส. สว. อันทรงเกียรติ์ (บางคนเป็นสว กรุงเทพ)
ฝ่ายหนึ่งเป็น เครือข่ายชุมชน ไม่ใส่สูทสักคน

ผมดูด้วยใจเป็นกลาง คือไม่เห็นด้วยจริงๆที่จะให้มีกระเช้า
ฝ่ายหนึ่ง ยืนยันเรื่องการพัฒนา โดย บอกว่าภูกระดึงเป็นสมบัติของชาติ(ทำไมคนเราชอบอ้างชาติเป็นความชอบธรรม(หรือ ชอบทำของตัวเองจัง)) ไม่ใช่แค่ท้องถิ่น ถ้ามีกระเช้า แล้วเงินทองจะไหลมาเทมา จังหวัดนั้นจะพัฒนาสถาพร
อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นห่วงเรื่องคนในพื้นที่ หลายคน มีรายได้ด้วยการเป็นลูกหาบ และ นำเที่ยวต่างๆ หลายคนมีวิถีชีวิตอย่างนี้มายาวนาน ส่งลูกส่งหลานเรียนด้วย เงินที่แบกกระเป๋าขึ้นเขาวันละหลายๆรอบ เค้ามีชีวิตอย่างนี้มาตลอดชีวิต....

อีกฝ่ายหนึ่ง ก็อ้างชาติอยู่นั่นแหละ

สำหรับผมภูกระดึงในความทรงจำคือสถานที่ที่ทำให้ได้แฟน... จำได้ว่าเธอขึ้นไปไม่กี่เมตรก็เหนื่อย ผมเองก็หาจังหวะดูแล เทกแคร์ตามระเบียบ
หากไปถามพี่แท่งที่บางรักซอยเก้า อาการนี้คงเป็นการเข็นรักขึ้นภูเขา ภูกระดึงคือความทรงจำดีๆในชีวิตวัยรุ่นหลายคน แต่สำหรับผมมันเป็นแค่นั้น....ผมรักภูกระดึง
แต่คงไม่ได้รักมากไปเท่ากับคนในพื้นที่ ที่ภูกระดึงเป็นมากกว่าความทรงจำ ภูกระดึงยังเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูพวกเขาและครอบครัว...

แม้อีกฝ่ายจะบอกว่ามันเป็นความหวังดีอยากให้มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

ผมลองมานึกไตร่ตรองดีๆโดยเปรียบเทียบกับตัวเอง
หากวันหนึ่งถ้าวันนี้ มีใครก็ไม่รู้มาบอกให้ผมเลิกเขียนหนังสือ เพราะมันไม่รวย ไม่มีชื่อเสียง ไม่เชิดหน้าชูตา
ให้ไปเอนทรานซ์ใหม่ในคณะ แพทย์ ตอน อายุ 30 เพื่อความมั่นคง และ เชิดหน้าชูตา ให้ตระกูล ของผม...
ผมคงทำไม่ได้
แต่ผมจะพยามเป็นนักเขียนให้ดีที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงในแบบของผมขึ้นมาเอง ชาวบ้านคงพยายามบอกพวกเราอย่างนั้น

แม้สส. อันทรงเกียรติ์ เหล่านั้นก็ตามที่ด่าคนค้านเป็นคนไม่รักชาติ....
ลองคิดเล่นๆว่า หากมีคนบอกว่าจะปรับปรุงรัฐสภา ให้เชิดหน้าชูตา มากขึ้น ระหว่างที่กำลังรอการก่อสร้างให้เสร็จ ไปตากแดด ประชุมรอกลางแจ้งไปพลางๆก่อน แม่ง...ก็คงโวยวายกันเป็น แถว(ขออภัยครับอดไม่ได้จริงๆ)
เพราะประเด็นมันคือ ในการเปลี่ยนแปลงมันไม่มีความชัดเจนจริงๆว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง บทจะทำก็ทำ...

กลไก จัดสรร สังคมท้องถิ่นแบบไทยๆ ผมอยากจะบอกว่ามันแข็งแรง มากครับ เป็นกลไกอย่างหนึ่งที่ประเทศอื่นๆไม่มี ข่าวร้ายคือมัน กำลังจะถูกทำลายไป ด้วยกลไกอีกแบบ
คือ กลไก จัดสรร สังคมของ..รัฐ..แบบไทย กลไกนี้เป็นฝันร้ายของคนไทยอย่างยิ่ง เพราะมันได้ทำลายหลายสิ่งที่ดีงามในสังคมไปแล้ว

ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์เคยเปรียบเทียบ ระหว่างเหตุการสึนามิ กับ ไต้ฝุ่นแคทลีน่า

ช่วงแรก ทั้งสองเหตุการ เกิดขึ้นเร็วมาก กลไกของรัฐทั้งไทยและ อเมริกา ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง...

กลไกท้องถิ่นของไทย แก้ไขวิกฤตไปได้อย่างน่าชื่นชมไปทั่วโลก
กลไกท้องถิ่นของ อเมริกา(ที่เราอยากเป็น) กลับเผยบาดแผลออกมา คือ มีการปล้นสดมป็ จราจลทันที จากกลุ่มคนที่ถูก กดไว้(ซึ่งมีพอๆกันทั้งไทยและอเมริกา)
จะเห็นได้ว่านี่คือ ความดีของกลไกท้องถิ่นในบ้านเรา

แต่เมื่อกลไกรัฐ ยืนมือเข้ามา.....

ในอเมริกา การจัดการ ปัญหา กระจายความช่วยเหลือ เป็นไปอย่างเป็นระบบ และ ยุติธรรม ปัญหาถูกเบาบางไปด้วยดี... ดังนั้นกล่าวได้ว่า ในอเมริกา สังคมของเค้าจะอยู่ไม่ได้เลย ถ้ากลไกรัฐอ่อนแอ.....

แต่ อนิจา...ในเมืองไทย กำลังจะอยู่ไม่ได้เพราะกลไกจากรัฐ เมื่อ รัฐไทยเข้ามาแก้ปัญหาสึนามิ... ความช่วยเหลือ ก็ไม่ได้ถูกจัดสรรอย่างถูกต้องและเป็นทำ
นายทุนได้ที่ทำกินไป.... ชาวบ้านที่ทำประมงมาตลอดชีวิตถูกไล่ให้ไป สานตะกร้าโอทอป ..... 1 ปีมาแล้วชาวบ้านก็ยังไม่ฟื้น.... ผลงานเพียงอย่างเดียวจากรัฐไทยในกรณี สึนามิก็คือ วีซีดี แฉ หมอ พรทิพย์

ผมเองต้องบอกตามตรงว่าผมไม่เคยเชื่อในกลไกรัฐไทยเลย ตั้งแต่เริ่มจะรู้ความ... แต่ ผม ศรัทธาในกลไกท้องถิ่นของประเทศของพวกเรามาก....จำได้เมื่อปี 38 ตอนน้ำท่วม บ้านของผมรอดพ้นการต้องรื้อปาร์เก้ ก็เพราะคนในซอยไหวตัวทัน หุ้นกันไปซื้อกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำ มา อุดที่ปากซอย ทำให้รอดไปหวุดหวิด ก่อนที่ผมจะได้เรือจากอำเภอมาช่วงน้ำใกล้จะลดแล้ว ประโยชน์ของมันอย่างเดียวคือ ทำให้ผมหัดพายเรือเป็นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...

ภูกระดึงเป็น สถานที่ท่องเที่ยวของชาติ...เป็นความภูมิใจของ "พวกเรา" คนไทย
แต่ในขณะเดียวก็เป็น ชีวิตของ "คนไทย" อีกจำนวนหนึ่งเช่นกัน
ทุกคนรักชาติทั้งนั้น โปรดอย่า นั่งใส่สูทหน้านวลแล้วชี้หน้าคนอื่นว่าไม่รักชาติและคิดไม่เป็น
ไอ้แค่การได้เลือกตั้งมานั่งหน้านวล แค่ 4-6 ปี....
ไม่ได้หมายความว่า พวกพี่พูดแล้วจะเป็นความเห็นของคนในชาตินะโว้ย.......
อย่าเสือก อ้างพล่อยๆ....
(ขออภัยที่ใช้ภาษาไทยแท้ครับ วันนี้เหลืออดจริงๆ)










 

Create Date : 15 มกราคม 2549    
Last Update : 15 มกราคม 2549 22:25:04 น.
Counter : 506 Pageviews.  

การเคารพกติกา กับ กติกาที่น่าเคารพ

แรงดลใจของบทความนี้มาจากท่านนายกครับ
เมื่อเช้าเห็นท่านบอกว่าจะไม่สนใจ พวกไม่เคารพ กฎ เคารพระบบ
ในฐานะผู้ที่(เคย)เป็นเด็กไทยนิสัยดี
ผมพบว่าเราถูกปลูกฟังให้เป็นคนเคารพเชื่อฟังใน กฎ กติกา และ กฎหมายตั้งแต่เล็กๆ
ความเชื่อนี้ถูกปลูกฟัง ตั้งแต่ สมัย วัยขบเผาะ จนตอนนี้ เข้าสู่วัยเคี้ยวยากแล้ว
แต่อย่างหนึ่งที่พวกเราไม่เคยถูกสอนเลยก็ คือ การตั้งคำถามว่า กฏนั้น ควรค่าแก่การเคารพหรือไม่
กฎที่น่าเคารพน่าจะมาจาก เจตนาที่ดี ของผู้ตั้งกฎที่ดี ของกฎที่ตั้งขึ้นมา เพื่อ ความดีงามของส่วนรวม
ตอนเด็กๆ อาจารย์ในห้อง เคยตั้งกฎห้ามนักเรียนคุยในขณะที่อาจารย์ไม่อยู่ ....
..... เพราะเธอจะรีบไปเปียแชร์.....
เป็นกฎที่ไม่ได้ตั้งเพื่อนักเรียน แต่ตั้งขึ้น เพื่อ เท้าแชร์อย่างนี้ไม่น่าเคารพ
ไม่ควรเปิดมือถือระหว่างขึ้นเครื่องบิน อันนี้เป็นกฎที่ตั้งขึ้นเพื่อส่วนรวมโดยกุศลจิต
ควรเคารพ
เราต้องเปิดเสรีทางการค้า ใครตั้งกฏวะ อ้อประเทศพ่อค้าหน้าเลือดรายใหญ่.....
เป็นกฎที่ตั้งขึ้นเพื่อความยุติธรรมทางการค้า ระหว่างไก่ทอดเค เอฟ ซี กับ เฟรนไชส์ ไก่ต้มน้ำปลาริมถนน
น่าเคารพ โคตรๆ
บางคน ... ไม่สิครับ มนุษย์ทุกๆคน ล้วน ออกแบบกฎมาสำหรับ พวกพ้องตัวเอง เช่นสัตว์เป็น อาหารของมนุษย์
เราจึงได้เห็น ไก่ย่าง ห้าดาว นอน เคารพกฎหอมฉุย อยู่ในตู้ปิ้ง
ที่แย่ก็คือ ตอนนี้ มนุษย์หลายๆคนอย่าง คุณ หรือ ผม ก็มีสภาพไม่ต่างกับ ไก่ย่าง .....
คือ ต้องเคารพกฎโดยไม่มีทางเลือก

คนไม่กี่คนตั้ง กฏ ได้ และ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้เพื่อตัวเอง

ที่ร้ายกว่า คือ กฏต่างๆมักจะมีข้อยกเว้น........แบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
สิ่งที่บทความนี้ต้องการคือ ขอวอนให้ผู้ตั้งกฎต่างๆ ช่วยแจ้งข้อยกเว้นต่างๆให้ที
เราจะได้ไม่งง
เช่น กฏว่า ทุกคนห้ามคอรัปชั่น ยกเว้นญาตินักการเมือง
หรือ เครื่องบิน ซี 130 ใครๆก็ขึ้นได้ แต่ความยากง่าย อยู่ที่คุณนามสกุลอะไร

เคยมีผู้หญิงคนหนึ่ง ตั้งกฎในการเลือกผู้ชายมาเป็น แฟนว่า
ต้องไม่กินเหล้า เอาการเอางาน ไม่สูบบุหรี่ เป็นคนนิสัยดี และยังไม่มีแฟน
ผมเห็นว่าตัวเองคุณสมบัติครบถ้วนจึง ขอเข้าไปประมูลสัมปทานหัวใจ
แต่พบว่าผู้ได้สัมปทานไป เหล้าก็กิน แถมพกมาโบโร่ไลท์ แถม กิ๊กตรึมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
พอผมยื่นเรื่องร้องเรียนไป เธอก็แจ้งกลับมาว่า
ตามที่ได้รับเอกสารร้องเรียน ลง วันที่.... ตุลาคม พศ.....
ทางเราได้รับทราบเรื่องแล้ว ขอเรียนให้ทราบว่า ท่าน มีคุณสมบัติครบถ้วนดังที่แจ้งไว้
แต่เหตุผลที่ทางเราไม่อาจให้สัมปทานได้ก็คือ
“เพราะเธอไม่ใช่”
...............................

อ้าว........ นับแต่วันนั้นผมก็รู้ว่ามีบางคน แค่เกิดมาก็ผิดกติกาแล้ว


.............ผมเอง....................

(อิๆๆ ขอเลียนแบบคำลงท้ายแบบคุณพรพิมล ลิ่มเจริญก็แล้วกันนะครับวันนี้)

เพลงอยากฮู้ : Aluna (ศิลปินลาว)
อัลบั้มนี้ภูมิใจเสนอมากครับ




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2548    
Last Update : 27 ธันวาคม 2548 15:54:13 น.
Counter : 523 Pageviews.  

เลือกรถกำหนดชีวิต

เลือกรถกำหนดชีวิต
ดูจากหัวข้อคอลัมป์ อาจคล้ายๆกับเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับดวงชะตาไปซะแล้ว แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ครับ แต่เนื่องจากการที่เราจะตัดสินใจเลือกซื้อรถสักคัน หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็น มนุษย์เงินเดือน หรือ ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง การตัดสินใจเลือกซื้อรถมี ผลต่อการดำเนินชีวิตของคุณ โดยที่คุณอาจจะนึกไม่ถึงจริงๆ เนื่องจาก การเลือกซื้อรถ กับ ซื้อ บ้านเป็น รายจ่าย “ก้อนใหญ่” หลักๆที่จะผูกพันชีวิต คุณไปอีกยาวนาน สำหรับบางคนอาจคิดเป็น ระยะเวลา หนึ่งในสามของชีวิต ดังนั้น การตัดสินใจโดยใช้เพียง “ความอยากได้” เป็นเกณฑ์อาจจะไม่เพียงพอ ดังนั้นเราจึงควรมีหลักต่างๆสำหรับพิจจารณาก่อนจะเลือกซื้อรถดังนี้
ขั้นแรกคุณควรถามคำถามเหล่านี้กับตนเองก่อนจะเลือกซื้อรถสักคันคือ
1. รถมีความจำเป็น กับเราแค่ไหน ควร หรือ ไม่ควรซื้อ
• ต้องถามตัวเองก่อนว่าเรามีความจำเป็นต้องมีรถ “จริงๆ” หรือไม่
• ทางเลือกอื่นในการเดินทาง เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้รถยนต์
• มีสิ่งอื่นที่จะคุ้มค่ากับชีวิตคุณมากกว่าการซื้อรถยนต์ หรือไม่คุ้มค่ากับความเหนื่อยยากที่คุณจะต้องพบหรือเปล่า ลองคิดถึงสิ่งที่จะต้องเสียไปหากคุณต้องซื้อรถ แล้วค่อย ตัดสินใจอีกที
2. หากคุณจะต้องซื้อจริงๆ แล้ว “ราคา” เท่าไหร่จึงจะเหมาะกับชีวิตของคุณ
• หนี้ ที่เกิดขึ้น จะต้องไม่มากว่า 20 เปอร์เซ็นต์โดยคำนวณจากรายได้ต่อปีของคุณ
• ยอดที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือน ไม่ควร เกิน 10 % ของ รายได้ต่อเดือนของคุณ
• อย่าลืม!!คำนวณ ดอกเบี้ยจ่าย และ ค่าบำรุงรักษา เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายด้วย
• สำหรับผู้ซื้อรถมือ สอง ค่าใช่จ่ายในการบำรุงรักษาจะสูงกว่า
3. พิจารณา “สิ่งที่เรากำลังจะซื้อ”
• นอกจาก ประเภทของรถ ยี่ห้อ รุ่น แล้วยังมีส่วนต่างๆที่เราต้องดูประกอบไปด้วยเช่น เกียร์ ธรรมดา หรือ ออโต้ พวงมาลัย พาวเวอร์หรือไม่ แอร์ กระจกไฟฟ้า รุ่น2 หรือ 4 ประตู อะไหล่ดีแค่ไหน หายากหรือไม่
• ช่วงเวลาที่จะซื้อ อาจจะรอช่วงลดราคา หรือ โปรโมชั่นต่างๆ
• ดูว่าควรจะ ซื้อรถใหม่ หรือ รถมือสอง หากเป็นรถมือสอง ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า ซื้อจากเต็นท์ หรือ เจ้าของรถ
• มีคนที่เรารู้จักใช้รถรุ่นที่เราสนใจหรือไม่ หากมีก็ควรถามข้อดี ข้อเสีย ไว้ด้วย
• บริการตรวจเช็คหลังการขายและ การรับประกันเป็นอย่างไร ดูได้จากนิตยสารและ เว็บไซท์ที่น่าเชื่อถือ
4. แหล่งเงินกู้ และ ค่าใช้จ่ายประจำที่จะเกิดขึ้น
• ต้องพิจารณา อัตราดอกเบี้ยต่อปี ระยะเวลาที่ให้กู้ ยอดที่ต้องชำระต่อเดือน ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด ยอดรวมที่ต้องจ่าย
• ค่าเสื่อมราคา ค่าประกันภัย ค่าต่อทะเบียนและภาษีอื่นๆ ค่าเชื้อเพลิง นอกจากน้ำมัน ปัจจุบันเริ่มมีทางเลือก ใหม่ๆเช่น ngv เป็นต้น
• อย่าลืม ค่าน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรค น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย น้ำกลั่น,ค่าแบตเตอรี่รถยนต์ ,ค่ายางรถยนต์
• ค่าประกัน ดูถึงความเสี่ยงของ การใช้รถของเรา แล้วเลือก ว่าจะประกันชั้น หนึ่ง สอง หรือ สาม ขึ้นอยู่กับสภาพรถ ยี่ห้อ รุ่น
5. ยังมีทางเลือกอีกอย่างหนึ่งคือ การเช่ารถ ซึ่งมีข้อดีคือเสียเงินเริ่มต้นไม่มาก ไม่ต้องหาเงินดาวน์ และ ค่าเช่าต่อเดือนอาจต่ำกว่าค่าผ่อนรถ นอกจากนี้ยังสามารถหักค่าเช่าเป็นค่าใช้จ่ายในทางธุรกิจได้ช่วยประหยัดภาษี และ ผู้ให้เช่ามักเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการซ่อมบำรุงรักษา เสียภาษีทะเบียนรถประจำปี ประกันภัยรถ ซึ่งหากตั้งใจจะใช้รถไม่เกิน 3-5 ปี การเช่ารถก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
6. หลักการข้อสุดท้ายคือ การเลือกโดยการคำนึงถึง “ความพอเพียง” สุดท้ายนี้อยากให้คิดกันว่า รถ...มันก็แค่ เครื่องจักรที่ช่วยเราเดินทางเร็วขึ้นเท่านั้น ทำไมเราต้องยอมอุทิศชีวิตเพื่อจ่ายส่วนต่าง เกือบ 10เท่า เพื่อซื้อเครื่องจักร เพื่อที่จะให้มันเป็นเครื่องบอกตัวตนของเรา เพื่อที่จะทำให้เรา “ ดูเหมือนจะเป็น”ในสิ่งที่เราไม่เป็น น่าจะมีคนอีกหลายคน ที่ต้องทำงาน พลาดช่วงเวลาเฝ้าดูย่างก้าวที่เติบโตของลูก พลาดโอกาสใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ทั้งที่เราไม่รู้จะอยู่ด้วยกันอีกถึง 10 ปีหรือเปล่า น่าขำที่เราให้คุณค่าเวลาที่ไม่อาจเรียกคืนนี้ น้อยกว่าเวลาในการหาเงินผ่อนรถ สามแสนก็คือ รถ แปดล้านก็คือรถ ส่วนต่างมันคืออะไรกันนะ ค่าสำหรับการบอกตัวตน ของเราในสังคม หรือ มันควรจะเป็นราคาสำหรับซื้อความอบอุ่นของครอบครัว สุดท้ายนี้ อย่าลืมนึกถึง ความพอเพียงซึ่งเป็นสิ่งที่ ในหลวงพระราชทานไว้เพื่อเป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิต ให้แก่ พสกนิกรของ พระองค์

Story by มานนท์ ชัยสาลี


สงวนลิขสิทธิ์
ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๙
หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน
หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ
หรือรูปภาพในบล็อกนี้ไปใช้
โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
จะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2548    
Last Update : 26 ธันวาคม 2548 12:25:59 น.
Counter : 492 Pageviews.  

แผนพัฒนามุขเสี่ยวแห่งชาติฉบับที่1.

เนื่องจากเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ทำให้ผมเป็นห่วงมาก...
นอกจาก ปัญหาสำคัญซึ่งเป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว
ว่าเต๋า กับ นัท จะเลิกกันหรือไม่.....
ทำให้ปัญหาเล็กๆอย่าง การที่ที่ปรึกษานักการเมืองแอบไปผูกขาด บริษัทขนส่งน้ำมันเล็กๆที่ทำกำไรเกือบหมื่นล้านหมดความสำคัญไป ช่างมั่นเถอะจะสนใจทำไมกะอีแค่ข่าวซุบซิบเล็กๆ...
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ผม นายกสมาคม คนไม่หล่อแห่งประเทศไทย ห่วงมากอีกประการหนึ่ง
คือ การ แพร่หลายของมุขเสี่ยวโดยไร้หน่วยงานใดมาควบคุม....
ก่อนจะแก้ปัญหาเราต้องมาทำความเข้าใจที่มาของมุขเสี่ยวก่อน..
เดิมทีมุขเสี่ยวน่าจะมีที่มาจากภาษา วรรณกรรมไทยสมัยก่อน และ ละครวิทยุ ในสมัยสัก50ปีที่แล้ว
หรือ อาจจะดัดแปลงมาจาก เพลงยาวสมัยก่อนที่หนุ่มสาวส่งให้กัน ในยุคที่ยังไม่มี sms...

" ไม่เห็น หน้า แม่ยาใจ อกพี่คล้ายไฟสุมทรวง"
คุณทวดเราสมัยวัย Teen ยุคฟันดำ เพราะกินหมาก และยังไม่มีฟันเหล็ก ได้ยินแค่นี้ เห็นว่า หน้าแดงถึงใบหู
ต่อมาคงมีพัฒนาการตามสติกเกอร์ติดรถสิบล้อ และสองแถว
"รักสิบล้อ ไม่ต้องรอนาน"
"รักของผมคล้ายดมวาเป็ก.......ชื่นใจ"
ซึ่งมุขต่างๆเหล่านี้มีการพัฒนาเรื่อยมา
และน่าที่จะมาถึงยุคร่งเรืองโดยภาพยนตร์บางรักซอยเก้า
จริงๆมุขเหล่านี้เป็นผลผลิตของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ด้านการกระจายรายได้.....
เพราะจุดเริ่มต้นของมุขอย่างนี้ น่าจะเกิดจากความรู้สึกต้อยต่ำของชายผู้เล่นมุข ประเภทจีบดอกฟ้า...
เพราะไอ้เราหน้าตาก็ไม่ดี เงินก็ไม่มี การเล่นมุขเสี่ยวน่าที่จะเป็นทางเลือกเดียวที่จะเรียกร้องความสนใจจากเธอได้
การเล่นมุขเสี่ยวๆ ที่มีความคลาสสิค น่าจะเกิดจาก ปฏิธานคนเล่น คือ คิดได้เดี่ยวนั้น ประยุกต์ตาสถานการณ์ แล้ว ปล่อยมาจากใจ เพราะน่าจะดูจริงใจไม่เสแสร้ง เช่น ครั้งหนึ่ง เมื่อนานมากแล้วผมเคยนั่งรถไปกับคนที่ชอบคนหนึ่ง มีรถปาดหน้า
" ไรเนี่ย ขับรถยังไง เนี่ย" เธอบอก
"โทดทีเรามองไม่เห็น ไม่เจ็บตรงไหนใช่ปะ"
" ตั้งใจขับรถหน่อยดิ เดี๋ยวชนขึ้นมา เรากลัวตายนะ"
" ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเธอจะเป็นอะไร เราขอตายก่อน"
" แหวะ เสี่ยวจัง"
" ทำไมครับ เสี่ยวมีความรักบ้างไม่ได้เหรอ"

แม้รักครั้งนี้จะจบลงด้วยแห้วตามเคย แต่ก็ดีใจที่ได้เคยบอก ความรู้สึกในใจผ่านคำพูดที่ดูเน่าๆ

กลายได้ว่ามุขเสี่ยวเกิดขึ้นได้จาก แรงผลักดันของหัวใจจากผู้ชายไม่หล่อ...

ปัจจุบันหลังจาก การแพร่หลายของ เพจเจอร์ จนมาถึงการส่ง เอส เอ็ม เอส
ทำให้ปัจจุบัน มี มุขเสี่ยวสำเร็จรูปเกิดขึ้นมากมาย
ประเภท ขอตัง 5 บาท จะโทรไปบอกแม่ว่าเจอเนื้อคู่แล้ว
มุขเหล่านี้ถึงจะขำดี แต่ เป็นการจำเขามาพูดคล้ายๆนกแก้วนกขุนทอง ขาดความจริงใจ และ ทำให้เราดูคล้ายคนชอบเลียนแบบ

ปัจจุบัน มุขเสี่ยวถูกนำไปใช้โดย ดาราพระเอกหน้าตาดีมากมาย โดยเจตนาที่ว่าจะทำให้ตัวเองดูเป็นคนตลก อารมณ์ดี มีความเฉลี่ยวฉลาด และเจ้าชูนิดๆ

ผมอยากบอกคนหน้าตาดีทั้งหลาย ว่า ขอความกรุณา ทิ้ง มุขเสี่ยวไว้ให้เป็นสมบัติของคนไม่หล่อเถิด เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ใช้บอกความในใจต่อ คนพิเศษ แค่คนเดียว ไม่ได้บอก เรียราดทิ้งขว้างอย่างที่เป็นอยู่
บางทีคนไม่หล่อเล่นมุขแทบตาย เจอคนหน้าตาดี ยิ้มให้ สาวๆก็ไปหาฝ่ายหลังอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้นโปรดขอความร่วมมือ จากสาวๆทุกๆคน คราวหน้า คราวหลัง หากมีผู้ชายหน้าตาดีคนใด แอบเล่นมุขเสี่ยวสำเร็จรูปไม่จริงใจ โปรด ตัดคะแนน ความประพฤติเขาด้วย

ให้โอกาสคนไม่หล่อได้มีที่ยืนบ้างเถอะครับ

จาก นายกสมาคมคนไม่หล่อแห่งประเทศไทย
นาย ปอนด์ สอนรัก








 

Create Date : 20 ธันวาคม 2548    
Last Update : 20 ธันวาคม 2548 12:04:02 น.
Counter : 1394 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

ช่างประชันพันธุ์ประชด
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นักเขียน / คอลัมนิสต์
Friends' blogs
[Add ช่างประชันพันธุ์ประชด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.