Group Blog
 
All Blogs
 

ไชโย...ฟันหลอแล้วครับ

ทันทีที่เห็นพ่อแม่มารับกลับบ้านหลังเลิกเรียน เจ้าทโมนน้อยวัยหกขวบปลายวิ่งปี่เข้ามาหา พลางพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “วันนี้ปวดฟันมากเลยครับ” “อืม...แล้วลูกร้องไห้หรือเปล่าครับ” ผมอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เจ้าหนูส่ายหัวไปมา อวดโอ่ต่อว่า “ปวดแค่นี้ทนได้ครับป๊า จิ๊บๆเอง คุณครูเอาน้ำแข็งมาให้อมด้วย มันเลยชาๆไม่ปวดมาก”

“ไหนลองอ้าปากให้ป๊าดูหน่อยสิ” ปากเล็กๆของเจ้าหนูเปิดกว้างโชว์ฟันซี่น้อยๆสีขาวสะอาดเรียงเป็นแถว

“ปวดตรงไหนครับลูก” เด็กชายรีบชี้ตรงฟันหน้า ด้านล่าง ซึ่งบวมเบ่งแดงจัดเห็นได้ชัด ด้วยฟันแท้กำลังดันแทงยอดมาแทนที่ ส่งผลให้ฟันน้ำนมซี่เล็กๆเริ่มขยับโยกไปมา

เมื่อผมอธิบายให้เจ้าแสบวัยประถมฟังว่า คนเราโดยธรรมชาติจะมีฟันอยู่แค่ 2 ชุด คือฟันน้ำนมกับฟันแท้ พอเด็กๆเติบใหญ่ขึ้น ฟันแท้จะขึ้นมาแทนฟันน้ำนม

“ลูกต้องคอยหมั่นแปรงฟัน ดูแลฟันชุดใหม่ให้ดีๆนะครับ เพราะถ้าฟันน้ำนมหลุด ลูกยังมีฟันแท้มาทดแทนได้ แต่ถ้าฟันแท้หลุด คราวนี้ไม่มีฟันชุดใหม่มาแทนแล้วนะครับ” พอผมพูดจบประโยค เจ้าแสบหันไปซุบซิบกับน้องชายแล้วหัวเราะกันร่วน บอกว่า

“...ไม่มีฟันชุดใหม่ได้ไง ยังมีฟันปลอมอีก แบบของอากง(ปู่)ไงครับ” เหอะ เหอะ

หลังจากวันนั้น ลูกชายแสนแสบของผมมักโยกฟันน้ำนมซี่หน้าอยู่ตลอดเวลา ด้วยหวังให้มันหลุด เพราะอยากเห็นฟันแท้ซี่แรกของตนเอง

ทุกวันเขาคอยถามเกี่ยวกับฟันทำนองว่า “ฟันแท้ของผมขึ้นมาหรือยังครับ” “ทำไมฟันไม่หลุดซักที ของเพื่อนๆฟันหลุดกันแล้ว” “ฟันหลุดเจ็บไหม เลือดออกเยอะไหม ของเจเจ ฟันหลุดเลือดพุ่งเลย” “แล้วถ้าฟันหลุดตอนนอนมันจะหลุดลงท้องไหมครับ” “แล้วถ้าหลุดตอนกินข้าวละ” ฯลฯ

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป...ในตอนเย็น ขณะสองหนุ่มน้อยวิ่งเล่นอยู่รอบบ้าน เจ้าแสบผู้พี่วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมาหาผมบนห้องทำงาน “หลุดแล้วครับป๊า หลุดแล้ว” “อะไรหลุด” ผมงุนงง “ฟันสายน้ำหลุดแล้ว” เขาพูดพลางหยิบฟันซี่เล็กยัดใส่มือผม

เมื่อให้ลูกอ้าปาก ผมเห็นช่องโหว่ปรากฏชัดอยู่กลางแถวฟันขาวด้านล่าง มีเลือดซึมเล็กน้อยตรงรูรากฟ้น ขณะเดียวกันตุ่มบวมแดงก็เริ่มเห็นรอยฟันแท้สีขาวๆกำลังแทรกผ่านเหงือกสีชมพูออกมาชมโลกกว้าง

หญิงสาวคู่ชีวิตผมเมื่อทราบเรื่องราว เธอรีบเก็บฟันน้ำนมซี่แรกที่หลุดจากปากของลูกชายไปล้างทำความสะอาด เช็ดแห้งเก็บใส่ซองบรรจุพร้อมโน๊ตเล็กๆ ระบุวันเวลา จากนั้นถึงนำซองใส่ฟันน้ำนมไปเก็บไว้ในกล่องส่วนตัวของลูก รวมกับซากสายสะดือที่หลุดออกมาเมื่อเขาแรกเกิด

นี่ถ้าเป็นผมสมัยเด็กฟันน้ำนมหลุดเช่นนี้คงมีกิจกรรมเล่นซนโยนฟันซี่นั้นไปบนหลังคาบ้าน ด้วยความเชื่อว่า “ฟันบนปาลงล่าง ฟันล่างโยนขึ้นบน”

ครับ...เมื่อเห็นฟันน้ำนมลูกหลุดเองอย่างง่ายดาย ไม่เจ็บปวด มีแค่เลือดซึมออกมาเล็กน้อย ทำให้ผมย้อนนึกถึงตนเองสมัยเด็กๆก็ชอบถอนฟันน้ำนมด้วยตัวเอง

วิธีถอนฟันน้ำนมของผมติดจะโหดๆอยู่สักหน่อย เริ่มจากยืนส่องมองฟันตัวเองอยู่หน้ากระจก เหมือนเพชฌฆาตมองเหยื่อผู้ไร้ทางต่อสู้ จากนั้นใช้การโยกคลอนฟันเจ้าปัญหาของตัวเองไปมา แล้วดึงกระชากออกทันที ถ้าไม่ยอมออก บางทีก็ใช้ส้อน ใช้ซ่อมช่วยงัดฟันน้ำนมขึ้น แน่นอนครับว่า...หลายครั้งที่ใช้วิธีนี้เลือดโชกกลบปาก ต้องหาสำลีอุดห้ามเลือดแทบไม่ทัน

อืม...ส่วนใครว่าวิธีถอนฟันน้ำนมของผมโหดแล้ว ต้องดูวิธีถอนฟันของเพื่อนร่วมงานผม เธอโหดกว่าเยอะครับ เพราะพลันที่ลูกสาวบอกเธอว่าฟันน้ำนมเริ่มโยกคลอนใกล้หลุด เธอใช้ด้ายผูกมัดฟันน้ำนมซี่นั้นของลูก แล้วโยงด้ายไปผูกตรงกลอนประตู เมื่อนับ 1 2 3 เธอถีบประตูปิดดังปัง พร้อมๆกับกระชากฟันซี่น้อยของลูกสาวหลุดกระเด็นตามไปด้วย

ผมถามเธอว่า “อ้าว...ถอนฟันแบบนี้ลูกไม่เจ็บหรือ” สาวห้าวตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่เจ็บ เพราะลูกตกใจเสียงถีบปิดประตู จนลืมว่าฟันหลุดไปด้วย”

“ถ้าไม่รีบถอนฟันน้ำนมซี่เก่าออกมา ฟันแท้ซี่ใหม่จะขึ้นมาได้อย่างไร” เธอกล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าคิด

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 73 เดือน มกราคม 2554




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2554 22:33:40 น.
Counter : 905 Pageviews.  

ผมแหว่งกับความคิดสร้างสรรค์

ผมเพิ่งวางสายโทรศัพท์จากเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากพูดคุยกันยาวนานร่วมชั่วโมง เนื่องเพราะเพื่อนกำลังหงุดหงิดเรื่องลูกวัยประถมต้นถูกคุณครูทำโทษด้วยข้อหาทรงผมผิดระเบียบ

เธอร่ายยาว คล้ายอยากระบายความรู้สึก “..คิดดูสิ ฉันเพิ่งพาเจ้าป๊อกไปตัดผมเมื่อสองวันก่อน ตัดแบบรองทรงสูงเหมือนทุกที แต่คราวนี้ดันถูกครูฝ่ายปกครองจับ บอกว่าผมยาวผิดระเบียบ...

...ถ้าครูปกครองทำโทษเจ้าป๊อกด้วยการจดชื่อ ตักเตือน หรือทำโทษให้วิ่งรอบสนามฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่นี่เขากลับใช้การประจานเด็กให้อับอาย...”

“ประจานยังไง” ผมอดสงสัยไม่ได้

“...เขาตัดผมเด็กทุกคนที่ผมยาวผิดระเบียบ ตัดคนละกระจุก แหว่งไปถึงหนังหัวเลยแหละ ตอนเย็นไปรับลูกกลับบ้าน เห็นแล้วช็อกเลย ลูกร้องไห้โฮเข้ามากอด บอกจะไม่มาโรงเรียนอีกแล้ว เรางี้น้ำตาซึมเลย สงสารลูก ทำไมครูมาทำกับลูกเราอย่างนี้...” ยิ่งพูด อารมณ์ของเพื่อนผมยิ่งขึ้น

ผมเข้าใจความรู้สึกของเจ้าป๊อก...ลูกเพื่อนเป็นอย่างดี เพราะครั้งหนึ่งในชีวิต สมัยเรียนมัธยมผมเคยถูกครูฝ่ายปกครองทำโทษเรื่องผมยาวด้วยการตัดผมเสียแหว่ง น่าเกลียดอย่างเห็นได้ชัด

จำได้ว่าผมอายมาก ยิ่งโดนเพื่อนล้อว่า “ไอ้แหว่ง ไอ้แหว่ง ไอ้แหว่ง” อารมณ์อายกลายเป็นโกรธเจือแค้น วิ่งไล่ชก ไล่เตะเพื่อนที่รุมล้อกระเจิงไปเลย

นั่นเป็นอดีตครับ...ผมไม่คิดว่าปัจจุบันการลงโทษเช่นนี้จะยังมีอยู่ มิหนำซ้ำยังไปเล่นงานกับเด็กเล็กขนาดวัยประถม ทำให้อดตั้งคำถามกับระบบการศึกษาของไทยไม่ได้

อันที่จริงจะว่าไปแล้วระบบการศึกษาไทย เคร่งเครียด จริงจังกับเรื่องระเบียบวินัยเกี่ยวกับทรงผม เครื่องแต่งกายของเด็กมากเกินความจำเป็น ไล่มาตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัยก็ไม่เว้น

เชื่อไหมครับหลายๆมหาวิทยาลัยถึงกับให้มีอาจารย์ยืนอยู่หน้าประตูสถาบันการศึกษาตรวจจับการแต่งกายของนิสิต นักศึกษา ประเภทว่าใครแต่งกายไม่เรียบร้อย ผิดระเบียบจะถูกห้ามไม่ให้เข้ามหาวิทยาลัย หรือถูกตัดแต้ม หักคะแนนอะไรทำนองนั้น

น่าแปลกใจว่า โมเดลของระบบการศึกษาไทย ที่นักการศึกษาไทยไปลอกหลักสูตรการเรียนการสอนมาจากซีกโลกตะวันตก กลับไม่ได้ซีเรียสจริงจังเรื่องเครื่องแบบ ทรงผมของนักเรียน นิสิต นักศึกษามากเหมือนของไทย

โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ประเทศพัฒนาแล้วแทบปล่อยอิสระให้นิสิต นักศึกษาใช้วิจารณญาณในการแต่งกาย รวมถึงให้เสรีภาพแก่นักศึกษาในการคิด แสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกอย่างเต็มที่ แม้ความคิดเห็นนั้นๆจะขัดแย้ง คัดง้างกับคำสอนของครูบาอาจารย์หน้าห้องก็ตาม อันนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ดีๆมากมาย

ครับ...นวัตกรรมยิ่งใหญ่มากมายเกิดขึ้นในห้องเรียนที่เป็นอิสระ

แล้วอะไรทำให้การศึกษาไทยบ้าคลั่งเรื่องทรงผม เครื่องแต่งกายของผู้เรียน อยากให้เป็นยูนิฟอร์มแบบเดียวกันหมดละ

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะยุคแรกของการศึกษาไทย ซึ่งเริ่มขยายลงสู่มวลชน เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เป็นการศึกษาบ่มเพาะผู้คน เพื่อคัดสรรบุคลากรป้อนสู่ระบบราชการเป็นหลัก

ด้วยตัวระบบราชการ ผู้คนมักยึดถือกฎ ระเบียบ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะในระบบราชการทหาร ซึ่งยึดกุมบริหารประเทศไทยมายาวนาน ยิ่งรังเกียจต่อการตั้งคำถาม หรือการคิดต่าง คิดแปลกของผู้ใต้บังคับบัญชา

กฎระเบียบ ข้อบังคับเรื่องการตัดผมสั้นเกรียน ทรงนักเรียนและเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษา อีกนัยหนึ่งคือภาพสะท้อน การเรียนรู้แบบ “อำนาจนิยมในรัฐราชการ”นั่นเอง

แม้ว่าทุกวันนี้ ระบบการศึกษาในสังคมไทยจะขยับก้าวจากการผลิตคนป้อนระบบราชการ เป็นการผลิตคนป้อนสู่ระบบทุนนิยม ซึ่งเน้นการแข่งขัน ต้องการความคิดสร้างสรรค์ของบุคลากร แต่โดยกรอบโครงสร้างการศึกษาตั้งแต่เด็ก เราเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จักการคิดแตกต่าง ให้ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆรอบตัวแค่ไหนครับ

หลายครั้งที่ผมเห็นเพื่อนครูอาจารย์ในวิชาชีพเดียวกับผม ไล่จับ ทำโทษเด็กแต่งกายผิดระเบียบ ขณะเดียวกันก็เรียกร้อง บ่นว่า ทำนอง “...เด็กพวกนี้ไม่มีความคิดสร้างสรรค์อะไรเลย คิดอะไรไม่เป็น วิเคราะห์อะไรไม่ได้...” เจอทำนองนี้ได้แต่ถอนหายใจให้กับการศึกษาไทย

หลายคนอาจแย้งผมว่า ถ้าไม่มีกฎ ระเบียบเรื่องทรงผม เครื่องแต่งกาย เราอาจเห็นเด็กนักเรียนไว้ผมทรงแปลกประหลาด หรือแต่งเสื้อผ้าสุดเพี้ยน สุดพิเรนมาเรียนหนังสือ

ใช่ครับ...ผมยอมรับว่าอาจเกิดสภาพเช่นนั้น แต่เราน่าจะสอนให้เด็กตั้งแต่เล็กๆให้พวกเขาได้คิด ได้ตัดสินใจ ได้ใช้วิจารณญาณเองไม่ใช่หรือว่าอะไรเหมาะควรกับสภาพสังคมแวดล้อม

ขณะที่เราต้องการให้เด็กยุคใหม่มีความคิดสร้างสรรค์ ต้องการให้เศรษฐกิจไทยในอนาคตขับเคลื่อนไปด้วย “Creative Economy” เราต้องเปิดใจกว้าง ให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้ แหกกรอบ กฎกติกาไร้สาระบางอย่างด้วย ใช่ไหมครับ

หรือเราอยากให้พวกเขาแค่คิดสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบที่เราคุมได้เท่านั้น

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 72 เดือน ธันวาคม 2553




 

Create Date : 08 มกราคม 2554    
Last Update : 8 มกราคม 2554 22:26:14 น.
Counter : 847 Pageviews.  

หลับเถอะ...พ่อจะกล่อม

ผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนจะสามารถจดจำเพลงกล่อมนอนสมัยเรายังเป็นทารก ผมก็เช่นเดียวกันครับ...จำไม่ได้หรอกว่าพ่อแม่ร้องเพลงกล่อมอะไรบ้างหรือเปล่า แต่ผมอยากให้ลูกๆจำได้ครับว่า เพลงแรกที่พวกเขาได้ยินยามเคลิ้มหลับ หลังจากตื่นตระหนกหวาดกลัวกับโลกกว้างคือเพลงอะไร

อืม...ว่าไปแล้ว ผมครุ่นคิดเรื่องบทเพลงกล่อมลูกตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษาปริญญาตรี แหะ..แหะ...ตอนนั้นยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเลยครับ ผมจำได้ว่า คืนหนึ่งกลางค่ายอาสาพัฒนาชนบท จังหวัดสุรินทร์ ขณะที่พวกเรา...เหล่านักศึกษาวัยละอ่อนกำลังล้อมวงพักผ่อน เสียงเพลงกล่อมลูกของชาวบ้านแว่วตามสายลมมากระทบหู แม้จับความไม่ได้ชัดนักว่าบทเพลงมีเนื้อร้องอย่างไร แต่ด้วยน้ำเสียงทอดเอื้อนยาว แฝงทั้งความรัก ความห่วงหาอาทร ขณะเดียวกันยังเจือความเจ็บปวด ตัดพ้อในโชคชะตา ทำเอาพวกเราต้องเคลิ้มไปกับมนต์เพลงกล่อมเด็ก

ใครคนหนึ่งในค่ายอาสาฯเปรยขึ้นมาว่า “...ถ้าพวกเรามีลูกจะร้องเพลงกล่อมอะไรดี เราจะเล่าเรื่องราวของโลก จะสอนลูกผ่านบทเพลงอะไรดี...”

คำถามนี้เรียกคำตอบจากเพื่อนๆในวงเสวนาได้อย่างคึกคัก เพื่อนบางคนอุดมการณ์วัยหนุ่มสาวคุโชน เลือกเพลงเพื่อชีวิตประเภทรุกรบปลุกใจ เพื่อนบางคนเลือกเพลงป๊อบวัยหวานตามสมัยนิยม บางคนถึงกับร้องท่องเพลงอาขยานออกมา ฯลฯ ส่วนผมเลือกว่าจะร้องบทเพลงโปรดให้ลูกฟัง

หลังค่ายอาสาพัฒนาชนบท ผมลืมเลือนเรื่องราวการพูดคุยในคืนนั้นเสียสิ้น วันเวลาผ่านไปนับสิบปี จนกระทั่งวันที่ผมมั่นใจว่าหญิงสาวคู่ชีวิตมีเทวดาตัวน้อยๆอยู่ในท้อง ภาพเหตุการณ์ในค่ายอาสาพัฒนาชนบทหวนย้อนกลับมาฉายชัดในห้วงความทรงจำอีกครั้ง

ตั้งแต่นั้นมา ทุกค่ำคืน...ผมจะร้องเพลงกล่อมลูกด้วยบทเพลงที่ตั้งใจคัดสรรมาตั้งแต่วัยเยาว์ พลางลูบมือสัมผัสรักผ่านท้องคุณแม่ของเขา

ในวันแรกของชีวิตลูก หลังจากผู้เป็นแม่หลับสนิทด้วยความเหนื่อยเพลีย อ้อนล้า ผมบรรจงจับมือน้อยๆของเจ้าหนูพลางร้องเพลงกล่อมเบาๆ จากนั้นเสียงเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ของจิตร ภูมิศักดิ์ ก็ลอยสื่อถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อลูก...

“...พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว
ส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล
ดั่งโคมทองผ่องเรืองรุ้งในหทัย
เหมือนธงชัยส่องนำจากห้วงทุกข์ทน….

ขณะร้องเพลงท่อนนี้ ผมรู้สึกอย่างเปี่ยมล้นว่า ลูกเป็นดั่งดาวดวงน้อยๆของพ่อแม่ นำแสงสว่างเรืองรองเข้ามาในชีวิต ผมลูบศีรษะลูกน้อยอย่างแผ่วเบา น้ำตาปิติไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว

...พายุฟ้า ครืนข่ม คุกคาม
เดือนลับยามแผ่นดินมืดหม่น
ดาวศรัทธายังส่องแสงเบื้องบน
ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่มิวาย…

แม้ยามเหนื่อยล้า ท้อแท้ลูกเป็นเหมือนดาวแห่งศรัทธาของพ่อแม่เสมอ คอยเป็นกำลังใจให้พ่อแม่ฟันฝ่าอุปสรรค ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็เป็นดวงดาวแห่งศรัทธาของลูกด้วยเหมือนกันนะครับ ยามเมื่อลูกเผชิญขวากหนาม ปัญหาชีวิตใดๆ ขอจงจำไว้ว่ายังมีพ่อแม่อยู่เคียงข้างเสมอ

… ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยาก
ขวากหนามลำเค็ญ
คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้ผืนฟ้ามืดดับเดือนลับละลาย
ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน
ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง...”

เพลงช่วงนี้ สื่อแทนใจผมที่ต้องการบอกลูกให้เข้มแข็ง แกร่งกล้า ทายท้าอุปสรรค เพราะชีวิตของลูกเมื่อเติบใหญ่ ต้องผจญปัญหาใหญ่น้อยอีกมากมาย ขอลูกจงยืนหยัดต่อสู้ในโลกกว้าง

ผมร้องเพลง“แสงดาวแห่งศรัทธา” กล่อมลูกชายทั้ง 2 คนแทบทุกวันนับตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาลืมตาเกิด จนถึงตอนนี้ผมร้องไปนับพันรอบแล้วกระมัง

สมัยเจ้า 2 แสบยังเป็นเด็กวัยเบบี๊ ผมมีหน้าที่กล่อมลูกนอน แรกๆผมใช้วิธีการกล่อมนอนตามตำราเลี้ยงลูกทุกอย่าง หวังหัดให้เจ้าหนูนอนในที่นอนของเขา แต่ไม่ได้ผลครับ ร้องเพลงกล่อมวนไปมานับสิบรอบก็ไม่มีทีท่าจะหลับ

สุดท้ายผมค้นพบว่าถ้าอุ้มพวกเขาแนบไหล่เดินไปมา รอบๆห้อง รอบๆบ้าน พลางร้องเพลงนี้ช้าๆวนไปมา ไม่นานนักเจ้าหนูจะหลับพริ้มคาอก

ต่อมาเมื่อลูกเริ่มเติบใหญ่ขึ้น การกล่อมนอนด้วยการอุ้มเดิน แล้วร้องเพลงกล่อมเริ่มไม่ได้ผล ต้องปรับวิธีให้นอนเอง โดยมีพ่อแม่ร่วมนอนด้วย หลังจากอ่านหนังสือ เล่านิทาน พูดคุยอัพเดทเล่ากิจวัตรประจำวันของแต่ละคน ผมจะปิดไฟ แล้วเริ่มร้องเพลงกล่อม พลางตบก้นเจ้าตัวแสบเบาๆ ไม่นานเจ้าหนูจะเดินทางสู่ดินแดนแห่งความฝัน…ดินแดนที่มี แสงดาวน้อยใหญ่ระยิบระยับ

ทุกครั้งที่เห็นดวงดาวแห่งศรัทธาของพ่อแม่นอนพริ้มหลับอย่างเปี่ยมสุข ผมอดใจไม่ได้ที่จะบรรจงหอมแก้มลูก พลางกระซิบเบาๆว่า “รักลูกมากๆนะ”

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 71 เดือน พฤศจิกายน 2553




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2553 19:13:44 น.
Counter : 768 Pageviews.  

เสี่ยงตายรายวัน

ทุกเช้าขณะขับรถส่งลูกๆไปโรงเรียน ผมมักเห็นมอเตอร์ไซด์หลากยี่ห้อขี่ปาดซ้าย แทรกขวาไปมาระหว่างขบวนรถยนต์ที่จอดนิ่งอยู่กลางถนนใหญ่

มอเตอร์ไซด์เหล่านั้น หลายคันมีเด็กนักเรียนนั่งซ้อนท้ายอยู่ บางคันเด็กตัวน้อยนั่งหลับโงกเงกไปมาอยู่บนเบาะ บางคันทั้งเด็กและผู้ใหญ่เบียดอัดกันอยู่ถึง 3-4 คน

แล้วเชื่อไหมครับว่า พวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีใครสวมหมวกกันน็อค....นั่นเป็นภาพชินตาสำหรับผม แต่ภาพชินตาดังกล่าวได้กลายเป็น “ภาพติดตา” และ “สะเทือนใจ”ในเวลาต่อมา

วันนั้น...หลังจากส่งลูกๆไปโรงเรียน ผมขับรถมุ่งตรงไปทำงาน ระหว่างรถติดไฟแดง ผมเห็นมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งซึ่งจอดเยื้องไปข้างหน้า มีผู้โดยสารทั้งผู้ใหญ่และเด็กรวม 5 ชีวิต

ผู้เป็นพ่อขี่มอเตอร์ไซด์โดยมีลูกวัยอนุบาลนั่งคล่อมอยู่ข้างหน้า ส่วนด้านหลังมีเด็กนักเรียนวัยประถมนั่งแนบชิดหลังพ่อ ต่อท้ายด้วยผู้เป็นแม่ซึ่งอุ้มลูกน้อยวัยแบเบาะอยู่ในอ้อมแขน

ไม่น่าเชื่อเลยครับว่ามอเตอร์ไซค์คันเดียวจะมีคนนั่งได้มากขนาดนี้ ที่สำคัญคือ ทุกคนไม่สวมหมวกกันน็อค !?!

เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นเขียว มอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวรีบพุ่งตัวออกไปอย่างเร็ว แต่วิ่งไปได้ไม่ไกล มีรถบรรทุกคันหนึ่งเหยียบเบรกระทันหันจนท้ายปัดข้ามเลน มอเตอร์ไซด์วิ่งตามหลังหักหลบไม่ทัน ชนโครมเสียงดังสนั่น

พลเมืองดีริมถนนหลายคนวิ่งไปให้ความช่วยเหลือ เสียงเอะอะ โวยวายดังไปทั่ว สภาพไทยมุงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากการจราจรติดชะงักอยู่ครู่ใหญ่ ขณะเคลื่อนรถผ่านจุดเกิดเหตุผมเห็นผู้เป็นแม่เลือดอาบเต็มศีรษะ ลุกยืนขึ้นตะโกนร้องหาลูก ส่วนร่างผู้เป็นพ่อและลูกๆยังนอนนิ่งอยู่บนพื้นถนน ลิ่มเลือด เศษกระจก เศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ

มันเป็นภาพหดหู่ สะเทือนใจยิ่งนัก ผมได้แต่หวังให้พวกเขารอดปลอดภัย

เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมอดตั้งคำถามถึงคุณภาพชีวิตของคนไทยไม่ได้

ใช่ครับ แม้ว่าขณะนี้เมืองไทยจะมีกฎหมายบังคับให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทุกคน รวมถึงผู้นั่งซ้อนท้ายต้องสวมใส่หมวกนิรภัย แต่โดยความเป็นจริงแล้วยังมีคนนั่งมอเตอร์ไซด์จำนวนมากเพิกเฉยต่อกฎระเบียบนี้ และดูเหมือนผู้ควบคุมกฎระเบียบก็ปล่อยปละละเลย นานๆถึงเข้มงวดกวดจับสักครั้ง ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นเด็กไทยตัวน้อยๆต้องเสี่ยงตายแบบรายวันบนรถจักรยานยนต์

นอกจากการเสี่ยงตายในรูปแบบนี้แล้ว เด็กไทยยังเสี่ยงตายอีกหลายอย่าง อาทิเช่น เสี่ยงตายจากการโดยสารรถประจำทาง เนื่องเพราะผู้ขับรถโดยสารประจำทางจำนวนไม่น้อยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสาร พวกเขาขับรถอย่างโลดโผนหวาดเสียว ผิดกฎ...ละเมิดกติกาการจราจรเป็นประจำ

พูดง่ายๆว่า บทอยากจะจอดรถกลางถนนก็จอดไล่ผู้โดยสารให้รีบลงรถ หรือผู้โดยสารเพียงก้าวขาเหยียบบันไดก็กระชากรถออกโดยไม่สนใจว่าจะล้มลุกคลุกคลานอย่างไร

ตัวอย่างของการเสี่ยงตายของเด็กไทยอีกอย่างคือ การเสี่ยงตายจากการข้ามถนนบนทางม้าลาย เพราะตอนนี้แทบจะไม่มีรถยนต์คันใดยอมหยุดรถให้คนข้ามไปก่อน ทั้งที่ในหลายๆประเทศเขาให้สิทธิแก่คนข้ามถนนตรงทางข้ามเหนือกว่าคนขับรถยนต์

หมายความว่า ถ้าขับรถมาแล้วเห็นคนอยู่ตรงทางข้าม...ทางม้าลาย คนขับต้องจอดรถให้สนิท เพื่อให้คนข้ามถนนให้เรียบร้อยก่อนจึงสามารถออกรถ หากฝ่าฝืนมีโทษหนัก ด้วยเหตุนี้พอคนเดินถึงทางม้าลายเขาจะรีบเดินข้ามไปเลย ไม่รอให้รถหยุดก่อน เพราะคนขับรถมีหน้าที่จอดให้ทางกับคนเดินข้าม

แต่ถ้าเดินข้ามถนนแบบนี้ในเมืองไทย มีหวังโดนรถสอยไปนอนข้างถนน เรียกว่าสามารถตายได้บนทางม้าลาย

เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างบางส่วนของการเสี่ยงตายรายวันของเด็กไทย

ถึงเวลาหรือยังครับ ที่หน่วยงานราชการและองค์กรเอกชนจะลุกขึ้นมาตรวจสอบดูความเสี่ยงในการใช้ชีวิตของคนไทย แล้วร่วมกันหามาตรการป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขณะเดียวกัน ในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครอง เราคงต้องหันมาตรวจสอบความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกหลานของเราด้วยเช่นกัน

เราคงต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยในชีวิตของลูกหลานให้มากขึ้น พฤติกรรมความเคยชินที่เสี่ยงต่ออันตรายคงต้องลดละเลิก เพื่อหาทางป้องกันก่อนน้ำตาแห่งความสูญเสียจะเกิดขึ้น

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 70 เดือน ตุลาคม 2553




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2553 19:04:17 น.
Counter : 658 Pageviews.  

ขอเจ็บแทนลูกได้ไหม

แม้ว่าเจ้า 2 แสบประจำบ้านผมจะมีอายุเพียงแค่ 6 ขวบ กับ 3 ขวบเศษ แต่ประสบการณ์เดินเข้าออกโรงพยาบาลดูเหมือนจะล้ำหน้าเกินตัวพวกเขาไปเสียหน่อย เพราะแต่ละคนสลับกันเข้าห้องผ่าตัดเย็บแผลสดมาแล้วคนละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งโดนเย็บไป 2-3 เข็ม

ทโมนผู้พี่ประเดิมก่อนด้วยการขี่จักรยานล้ม อันเนื่องมาจากความคึกคะนองไปผูกเชือกหลายเส้นโยงระยางกับกระป๋องหลายใบ เพื่อให้เวลาขี่เร็วๆมีเสียงกระทบพื้นดังป๋องๆแป๋งๆอยู่ด้านหลัง แต่ถึงคราวเคราะห์เชือกเข้าไปพันกับล้อหลังกระชากจักรยานเสียหลัก เจ้าตัวเลยล้มหัวแตกเลือดอาบ ส่วนอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเพราะถูกน้องชายเอากระป๋องขนม ซึ่งเป็นสังกะสีทักทายที่หัวแรงไปนิด

ส่วนผู้เป็นน้องไม่ยอมน้อยหน้าพี่ชายหรอกครับ ครั้งแรกโดนหมอแทงเข็มเย็บสดเพราะถูกพี่เหวี่ยงชิงช้าไปโดนหัวโดยไม่เจตนา เนื่องจากไปยืนอยู่ด้านหลังชิงช้า อีกครั้งเกิดเหตุเพราะดันไปกระชากเก้าอี้พับไม้ตัวใหญ่ที่พิงอยู่ข้างกำแพงล้มกระแทกหน้า เลยได้เลือด ได้แผลเป็นเหนือคิ้วซ้ายเป็นหลักฐานความซน

วีรกรรมอาบเลือดเหล่านี้ แม้ทำให้ผมในฐานะพ่อ กับสาวข้างกายในฐานะแม่ของลิงน้อยทั้ง 2 ห่วงกังวลเพียงใดก็ไม่เท่ากับการตัดสินใจครั้งล่าสุด ที่ให้ลูกเข้ารับการผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsillitis)

ลูกชายคนโตของผม“สายน้ำ” เป็นเด็กร่างผอมเกร็ง ดูตัวเล็กกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน เนื่องด้วยเป็นเด็กทานยาก ทั้งที่ตอนเป็นเบบี๊ เขาทานเก่ง ตัวจ้ำม้ำ น่ารัก น่าฟัด แต่พอพ้นขวบปีแรก ดูเหมือนพฤติกรรมการทานอาหารของเจ้าหนูจะเปลี่ยนไป การกินอาหารแต่ละมื้อเหมือนเปิดศึกสงครามระหว่างผู้เป็นแม่กับลูกชายคนโต

มาทราบภายหลังจากการพาไปหาหมอว่า เจ้าหนูมีปัญหากับต่อมทอนซิล ซึ่งเป็นต่อมน้ำเหลือง อยู่ในช่องปากข้างคอใกล้โคนลิ้น ต่อมทอนซิล ซึ่งทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ทางเดินหายใจของลูกชายผมมักจะอักเสบอยู่บ่อยๆครับ

เวลาหมอให้เจ้าหนูอ้าปาก แล้วส่องไฟดูจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต่อมทอนซิลบวมโตแดงอย่างน่ากลัว อันเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เขาเจ็บคอ กลืนอาหารและน้ำลายลำบาก

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหู คอ จมูก แนะนำให้ผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดินอยด์ (Adenoid)ออก แต่หมอเด็กบางคนบอกให้รอจนอายุ 7-8 ขวบก่อน ด้วยหวังว่าถ้าโตขึ้น ช่องคอของเด็กขยายขึ้น อาการบวมโตของต่อมทอนซิลและอะดินอยด์จะลดน้อยลง

หลังจากตะเวนพาลูกชายเข้าออกโรงพยาบาลตรวจอาการอยู่หลายแห่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเฝ้ารอดูอาการบวมโตของต่อมทอนซิลสักระยะ พลางใช้ยารักษาอาการแพ้อากาศ รักษาอาการหวัดไปเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่ร่างกายของลูกอ่อนแอเพราะได้รับเชื้อโรค จะสังเกตได้อย่างง่ายดายครับ เขาจะนอนกรนเสียงดัง เนื่องจากต่อมทอนซิลอักเสบบวมโตปิดบังทางเดินหายใจ เลยหายใจลำบาก ต้องใช้ปากช่วยในการหายใจ

ทุกครั้งที่ลูกนอนสะดุ้งเฮือกจนตัวโยนขึ้นมาหายใจ ผมกับสาวข้างกายก็สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาพลิกตัวให้เขานอนในท่าสบายๆ แรกๆเจ้าหนูยังอาการไม่หนัก พลิกตัวสองสามครั้ง พออยู่ในท่านอนที่เหมาะสม เขายังนอนหลับสนิท ไม่กรนยาวถึงเช้า แต่มาในระยะหลังอาการกรนของเขาหนักหน่วงขึ้น การขาดอากาศหายใจบ่อยครั้งจนทำให้เจ้าหนูเริ่มงอแงไม่อยากตื่นนอนในตอนเช้า ด้วยเพราะนอนไม่เต็มอิ่ม

หลังจากปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่เราตัดสินใจให้ลูกเข้ารับการผ่าตัดต่อมทอนซิล บอกตรงๆครับว่า ผมเครียดมิใช่น้อย แต่ไม่สามารถแสดงออกได้มากนัก เพราะเกรงว่าสาวข้างกาย ผู้มีอาการหวาดวิตกกับการผ่าตัดครั้งนี้ของลูกจะยิ่งเครียดมากขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้ลูกผู้ต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งนี้เครียดตามไปด้วย

และแล้ววันผ่าตัดก็มาถึง ผมลางานยาวเลยครับ เคลียภารกิจทุกอย่าง เพราะรู้แน่ว่าคงไม่มีจิตใจทำอะไรหากยังห่วงกับการผ่าตัดของลูก

ผมอยากอยู่ให้กำลังใจกับเจ้าหนูในการต่อสู้กับการผ่าตัดใหญ่ครั้งแรกของเขา

ปกติลูกชายทั้ง 2 คนของผมจะไม่กลัวเข็มฉีดยา การฉีดวัคซีนทุกครั้ง ไม่เคยทำให้พวกเขาต้องหลั่งน้ำตา แต่คราวนี้เจ้าหนูต้องถูกเจาะเข็มฝังเข้าไปเพื่อให้น้ำเกลือ อาการหวาดกลัวเริ่มแสดงออกอย่างเด่นชัด เมื่อนางพยาบาลบอกจะพาเขาไปให้น้ำเกลือ

เจ้าแสบน้อยเริ่มเกาะมือแม่แน่น ไม่ยอมปล่อยมือ ระหว่างนางพยาบาลกอดรัดตัวเขาด้วยผ้ารัด เพื่อป้องกันการดิ้น “สายน้ำ”เริ่มออกอาการกลัว งอแงไม่ยอมให้เจาะเข็มให้น้ำเกลือ แม่ของเขาต้องเข้าไปกอดปลอบโยน

ทันทีที่เข็มแทงทะลุเนื้ออันบอบบาง เจ้าหนูเผลอตัวกัดแม่จนเขียวช้ำ แม่ของเขาน้ำตาคลอ แต่ไม่ใช่ด้วยความเจ็บปวดจากรอยเขี้ยวของลูกชาย มันเป็นความรู้สึกเจ็บแทนลูกที่ถูกเข็มทิ่มแทง

เมื่อถึงเวลาผ่าตัด เจ้าหนูถูกเข็นพาเข้าห้องผ่าตัด ดมยาสลบ แม้ว่าผมและภรรยาจะไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนของเจ้าตัวเล็กในห้องผ่าตัด แต่เราก็คอยส่งกำลังใจให้การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดี

แม้จะเป็นการผ่าตัดที่ไม่นานนัก แต่ระหว่างพักฟื้นรอให้ลูกได้สติฟื้นจากยาสลบ ผมได้แต่เดินวนไปมารอบๆห้องพักฟื้น

พลันเมื่อเห็นลูกชายตัวน้อยถูกเข็นเข้ามาในห้องพักฟื้น ผมรีบตรงดิ่งเข้าไปกอดจูบลูกด้วยความรัก ความคิดถึง ไม่น่าเชื่อว่าแค่ 2 ชั่วโมงเศษที่เขาพาลูกไปผ่าตัดจะทำให้ผมรู้สึกคิดถึงลูกได้ปานนี้

ผมได้แต่กระซิบบอกลูกว่า “เจ็บมากไหมลูก ถ้าเจ็บมากก็บีบมือป๊าแรงๆนะ ส่งความเจ็บปวดมาให้ป๊าแทน ขอให้ป๊าเจ็บแทนลูกนะ”

เจ้าหนูเงยหน้ามองผม ยิ้มอย่างระโหย พลางบีบมือผมเบาๆ

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 69 เดือน กันยายน 2553




 

Create Date : 03 กันยายน 2553    
Last Update : 3 กันยายน 2553 17:58:14 น.
Counter : 2442 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

สายน้ำกับสายเมฆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Locations of visitors to this page

Tracked by Histats.com
Friends' blogs
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.