Group Blog
 
All Blogs
 
โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร

หนึ่งในคำถามยอดฮิต ที่ผู้ใหญ่ใช้ถามเด็กๆคือ“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร”

คำตอบจากปากหนูน้อยอาจหลากหลาย แต่เท่าที่ผมเคยได้ยินมาส่วนใหญ่เลือกตอบว่า “หมอ ครู ตำรวจ ทหาร” นานๆถึงเจอเด็กตอบอาชีพแปลกออกไป เช่น ”นักร้องนักดนตรี นักวาดภาพ ฯลฯ”

ไม่ว่าเด็กน้อยตอบว่าอยากเป็นอะไรเรา...ในฐานะผู้ใหญ่มักยิ้ม ให้กำลังใจ พร้อมทั้งเอาใจช่วยให้เจ้าตัวเล็กสามารถเกาะติดความฝันในวัยเยาว์เนื่องเพราะประสบการณ์ชีวิตสอนเราว่า กว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ พวกเขายังต้องเจอเรื่องราวอุปสรรค ขวากหนามชีวิตอีกมากมายมาบั่นทอน กีดกัน ทำลายฝัน

จากเด็กตัวน้อยๆสูงใหญ่กลายเป็นคนหนุ่มสาวความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ของหลายคนเปลี่ยนไปตามกระแสจังหวะชีวิต แต่น่าเศร้าตรงที่หลายคนใช้ชีวิตโดยปราศจาก”ความใฝ่ฝัน”ไม่มี “เป้าหมายชีวิต”

ด้วยสถานะของผมในปัจจุบันเป็นอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชน ทำให้ผมมีโอกาสคลุกคลีใกล้ชิดกับเด็กวัยรุ่น คนหนุ่มสาวผมมักพูดคุยถามไถ่พวกเขาทำนองเดียวกับคำถามในวัยเด็กว่า “เรียนจบอยากทำอะไร”“เป้าหมายชีวิตของหนูคืออะไร”

เชื่อไหมครับว่าเด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยไม่มีเป้าหมายชีวิตพ่อแม่ให้เรียนจนจบระดับมัธยมก็เรียนต่อระดับปริญญาตรีตามบันไดชีวิต

จำนวนไม่น้อยเลือกเรียนคณะวิชาต่างๆตามใจพ่อแม่หลายคนเลือกเรียนตามเพื่อน มีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ตั้งเป้าไว้เลยว่ามาเรียนคณะนี้เพราะชอบ และต้องการประกอบอาชีพใด

นักศึกษาประเภทหลังนี่แหละครับ พวกเขาสนุกมีความสุขกับการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและกิจกรรมนอกหลักสูตรเมื่อเรียนจบคนกลุ่มนี้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความฝันของพวกขาได้ไม่ยากนัก

แต่สำหรับ”เอ”เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกๆก็เป็นเหมือนนักศึกษาทั่วๆไปที่ผมเคยพูดคุย นั่นคือ“ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ” เขาไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือสนใจอะไรในสายนิเทศศาสตร์กันแน่ หวังเรียนแค่ให้จบรับใบปริญญาเท่านั้น

จนวันหนึ่ง “เอ”ได้ยืมกล้องของเพื่อนมาถ่ายรูปส่งงานให้ผมปรากฏว่าภาพที่เขาถ่ายออกมาสวยงามทั้งสีสัน องค์ประกอบภาพ และได้อารมณ์ของภาพข่าวโดดเด่นกว่าภาพอื่นๆของเพื่อนในรุ่น

แวบนั้นผมเห็นถึงพรสวรรค์ด้านถ่ายภาพของ”เอ”

ผมเรียก”เอ”ออกมาหน้าห้องเรียนชื่นชมว่าภาพของเขาเทียบเคียงได้กับภาพมืออาชีพจากนั้นก็ขอเสียงปรบมือชื่นชมจากเพื่อนๆ

ผมมารู้ภายหลังว่า คำชมเล็กๆในห้องเรียนวันนั้นนอกจากทำให้หัวใจ”เอ”พองโตแล้วยังเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเขา

เพราะหลังจากนั้น”เอ”มุ่งศึกษาด้านการถ่ายภาพด้วยตนเองเขาซื้อกล้องแล้วตะเวนไปยังสถานที่ต่างๆเพื่อเก็บภาพ หลายครั้งที่เขาเอาภาพมาอวดโชว์ให้ผมดูทำให้ผมเห็นถึงพัฒนาการด้านการถ่ายภาพของเขาอย่างชัดเจน

หลังจากถ่ายภาพมาระยะเวลาหนึ่ง ตอนอยู่ปี4“เอ”ตัดสินใจลองเข้าประกวดภาพถ่ายในเวทีระดับชาติ ปรากฏว่า ภาพถ่ายของเขาได้รับรางวัลชมเชยนั่นยิ่งทำให้”เอ”มุ่งมั่นพัฒนาฝีมือถ่ายภาพของเขา

ล่าสุดผมเจอ”เอ”ในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัย เขาเล่าให้ผมฟังว่า ตอนนี้ทำงานเป็นช่างภาพในนิตยสารท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง

“...ผมมีความสุขมากกับงานที่ทำครับแม้เงินเดือนจะไม่มากมายนัก แต่ผมได้ทำสิ่งที่ผมชอบ สิ่งที่ผมรักแค่นี้ก็พอแล้ว...”

ตอนหนึ่งของการพูดคุย“เอ”บอกว่า “...จะว่าไปผมเองก็เสียดายนะครับ ที่หาตัวเองเจอตอนใกล้เรียนจบ นี่ถ้าผมรู้ว่าชอบถ่ายภาพตั้งแต่ปี1 ปี 2 ผมคงได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะ...” ผมได้แต่ตบไหล่เขาเบาๆแล้วพูดว่า“ดีเท่าไหร่แล้วที่เจอตัวเอง เพื่อนคุณอีกหลายๆคน จบไปแล้วยังหาตัวเองไม่เจอเลย..”

วันนั้น ระหว่างขับรถกลับบ้านผมครุ่นคิดว่า “เออ..แล้วเราค้นหาตัวเองเจอตอนไหน”

จำได้ว่าตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นผมยังฝันอยากเป็นหมอ อยากเป็นวิศวกรเหมือนกับคนอื่นๆเพราะกระแสความเชื่อของสังคมว่า อาชีพเหล่านี้ น่ายกย่องว่าทั้งเก่งและรวยนั่นเป็นเหตุผลทำให้ผมเลือกเรียนต่อมัธยมปลายในสายวิทยาศาสตร์

แต่เมื่อเริ่มเรียนวิชาฟิสิกส์เคมี ชีวะฯก็รู้ว่า จริงๆแล้วผมถนัดและสนใจสายสังคมศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์เพราะถ้าเป็นหนังสือสังคมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ผมอ่านเที่ยวเดียวจับความจดจำได้ แถมยังสนุกในการเรียนรู้หาหนังสือมาอ่านเพิ่ม ถ้าเป็นวิชาฟิสิกส์ เคมีชีวะฯ ถึงแม้สามารถเรียนได้ แต่มันไม่รู้สึกสนุกกับวิชาเหล่านี้

สุดท้ายเมื่อเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยผมเลือกจากความชอบ ความถนัด เลือกจากความใฝ่ฝันของตนเองเป็นหลัก

นั่นคือ การเป็น”นักข่าว”

เพราะผมชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะอ่านหนังสือพิมพ์ การติดตามข่าวสารบ้านเมืองเป็นเรื่องปกติประจำวันของผม ดังนั้นเมื่อต้องตัดสินใจชะตาชีวิตของตนเองผมจึงเลือกการเป็นนักข่าว

แม้ว่าผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในยุคนั้น ไม่เปิดโอกาสให้ผมเรียนในคณะวารสารศาสตร์หรือนิเทศศาสตร์ แต่ผมยังได้เรียนในคณะรัฐศาสตร์ ซึ่งผมสนใจรองลงมาอย่างไรก็ตามเมื่อเรียนจบผมไม่รอช้าในการมุ่งหน้าสานฝันกับการเป็นนักข่าว…

ก่อนนอนคืนนั้น ผมถามลูกชายทั้ง2 คนของผมว่า “ลูกครับ...โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” เจ้าน้องชายสุดแสบชิงตอบก่อนว่า“อยากเป็นคนขับเครื่องบินเจ็ท” ส่วนเจ้าพี่ชายวัยย่าง 8ขวบละสายตาจากหนังสือการ์ตูนวิทยาศาสตร์หันมาตอบผมว่า

“อยากทำงานนาซาเป็นคนสร้างหุ่นยนต์สำรวจหลุมดำครับ”

“อืม...น่าสนใจครับลูกขอให้สมหวังทั้งคู่เลยนะครับ” ว่าแล้วก็กอดเจ้าหนูทั้งสองอย่างสุดรักพลางภาวนาให้พวกเขา“เก็บฝันเอาไว้นานๆ และขอให้หาตัวเองให้เจอได้โดยเร็ว”

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 86 เดือน กุมภาพันธ์ 2555





Create Date : 30 มิถุนายน 2557
Last Update : 30 มิถุนายน 2557 14:31:10 น. 2 comments
Counter : 1031 Pageviews.

 
หนูเองก็ยังเป็นเด็กม.ปลายคนนึง ที่สรุปไม่ได้ว่า
มีความฝันอยากจะทำหรือเป็นอะไรกันแน่..

น่าอิจฉาคนที่รู้ตัว คนที่เข้าใจตัวเอง
คนที่ค้นพบตัวเอง คนที่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
คนที่มีเป้าหมายให้วิ่งไล่ตาม...


โดย: สมาชิกหมายเลข 743948 วันที่: 30 มิถุนายน 2557 เวลา:16:16:05 น.  

 
ขอเป็นกำลังใจให้หนูไล่ล่าหาฝันให้เจอเร็วๆครับ


โดย: สายน้ำกับสายเมฆ วันที่: 30 มิถุนายน 2557 เวลา:17:08:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สายน้ำกับสายเมฆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Locations of visitors to this page

Tracked by Histats.com
Friends' blogs
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.