|
เมื่อก้าวพลาด
ครั้งแรกที่ผมเหยียบเท้าเข้า คุกเด็ก เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สมัยยังเป็นวัยรุ่นหัวเกรียน เรียนมัธยม
เปล่าครับ...ผมไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่ผมเข้าไปเยี่ยมเพื่อนผู้ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งให้ต้องสลัดชุดนักเรียน เปลี่ยนมาสวมชุดนักโทษเด็ก ใช้ชีวิตปีเศษในสถานพินิจบ้านเมตตา
เรื่องของเรื่องคือ...เพื่อนผู้โชคร้ายของผมดันนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ของพี่ข้างบ้าน ตั้งใจจะไปลงหน้าปากซอยเพื่อต่อรถเมล์ แต่หารู้ไม่ว่าเพื่อนบ้านคนนี้กำลังจะไปส่งยาเสพติดให้ลูกค้า ซึ่งมารู้ในภายหลังว่าเป็นสายของตำรวจ เพื่อนของผมเลยติดร่างแหข้อหาค้ายาเสพติดไปด้วย
จำได้ว่า บรรยากาศในห้องเยี่ยมญาติของคุกเด็กดูน่าอึดอัดและหดหู่มาก เสียงร้องไห้ของคนเป็นแม่ เสียงบ่นด่าของผู้เป็นพ่อ แววตาร้าว ดูหดหู่ สิ้นหวัง ไร้กำลังใจของเหล่านักโทษเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม มันชวนให้สลดใจพิกล
เพื่อนของผมคนนี้ หลังจากออกจากคุกเด็กไม่นานก็หนีออกจากบ้าน หายสาบสูญไป ทราบแต่เพียงข่าวคราวแว่วต่อๆกันมาว่า เขาเข้าไปอยู่ในโลกมืดของสังคม...โลกแห่งอาชญากรรม...เสียแล้ว
ในที่สุดคุกเด็ก ได้สร้างอาชญากรให้กับสังคมเพิ่มอีกหนึ่งคน !
เรื่องราวของเพื่อนและคุกเด็กเลือนหายจากความทรงจำของผมไปนาน จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน อาจารย์สุธาทิพย์ โมราลาย ชวนผมไป บ้านกาญจนาภิเษก ด้วยกัน เนื่องจากเธอจะพานักศึกษาที่เรียนการเขียนสารคดีไปลงพื้นที่ฝึกปฏิบัติ ก่อนไปถึงบ้านกาญจนาภิเษก ตำบลคลองโยง พุทธมณฑล ภาพและความทรงจำเดิมๆเกี่ยวกับคุกเด็กของผมฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่เขตของบ้านกาญจานาภิเษก ผมแทบไม่เชื่อว่านี่คือ คุกเด็ก เนื่องเพราะไม่มีกำแพงรั้วลวดหนามสูง ซึ่งกั้นโลกเสรีกับโลกเรือนจำ ไม่มีตึกทึมทึบแกร่งกระด้าง ที่นี่เป็นเหมือนรีสอร์ทกว้างกลางท้องทุ่งข้าวเขียวเสียมากกว่า ประตูเปิดกว้าง ทั่วบริเวณร่มคลึ้มเย็นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มีบ่อบัว สระน้ำ สนามฟุตบอล และบ้านหลังย่อมกระจายทั่ว เยาวชนในบ้านกาญจนาภิเษกแต่งกายตามสบาย เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่เราเห็นบนท้องถนน ไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบนักโทษอย่างสถานพินิจอื่น
ทันทีที่พวกเราลงจากรถ เด็กหนุ่มสองสามคนเดินออกมาทักทาย ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วพาพวกเราเดินตรงเข้าในเขตบ้านกาญาจนาภิเษก ปรัชญาของที่นี่คือ บ้านกาญจนาภิเษกไม่ใช่คุก...เยาวชนไม่ใช่นักโทษ... เจ้าหน้าที่ไม่ใช่คนคุม...แต่บ้านกาญจนาภิเษกคือบ้านทดแทนชั่วคราวของวัยรุ่นที่ก้าวพลาด ก้าวผิดจังหวะ... เสียงดัง ฟังชัดของ คุณทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก...หรือ ป้ามลของเด็กๆ...สาวผิวคล้ำตัวเล็กร่างแกร่งกล่าวต้อนรับพวกเราด้วยแก่นแนวคิดการก่อตั้งบ้านกาญจนาภิเษกที่แตกต่างจากสถานพินิจแห่งอื่น ...ที่นี่เราไม่มีประตู ใครอยากจะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ อยากจะออกจากบ้านไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเราไม่เชื่อว่ากำแพงรั้วไม่สามารถคุมคน หรือเปลี่ยนคนได้ ถ้าจะคุม ต้องคุมที่ใจของเราเอง... ป้ามลบอก จริงสินะ... ผมนึกย้อนไปว่าเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งอ่านเจอข่าวเด็กสถานพินิจบางแห่งพยายามทำลายประตูรั้วเพื่อหลบหนีสถานพินิจกลับบ้าน ...ที่นี่ เราจะให้เด็กฝึกควบคุมตัวเอง เขาจะเป็นคนวางกฎกติกาบางอย่างเอง เขาจะช่วยกันดูแลบ้านหลังนี้ด้วยกัน ทุกคนต้องรับผิดชอบในตนเอง ที่นี่ประตูจะเปิดต้อนรับผู้มาเยือนตลอดเวลา ไม่มีปิด ไม่มีคนคุม มีแต่คนคอยดูแลแค่ 2-3 คนเท่านั้น เชื่อไหมว่า ตั้งแต่เปิดบ้านมายังไม่มีใครหนีออกจากที่นี่เลย... คุณทิชาเล่าว่า หากเด็กยังเรียนหนังสืออยู่จะมีสิทธิ์ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือตามโรงเรียนแล้วกลับมาอยู่บ้านกาญจนาภิเษกวันเสาร์ อาทิตย์ ส่วนเด็กที่นี่จะมีการเรียน การสอนหลายอย่าง ทั้งวิชาการตามหลักสูตรการศึกษาในระบบ และการศึกษาด้านวิชาชีพ
แต่ที่นี่เราจะเน้นเรียนเรื่องชีวิต ทำอย่างไรให้เขาพอออกจากบ้านกาญจนาภิเษกแล้วสามารถใช้ชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่ได้...
...ป้าว่า คนเราทุกคนไม่มีใครอยากเป็นคนเลวหรอกนะ มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมรอบข้างมากกว่า คุกจะเปลี่ยนคนได้อย่างไรถ้ามีแต่กำแพงกั้น มีกฎระเบียบที่เข้มงวด...
...เราต้องอาศัยความรักและความผูกพันต่างๆช่วยเยียวยา ป้าจะไม่ตอกย้ำความเป็นมนุษย์ที่ไร้ค่า เราจะให้ความสำคัญกับเด็กทุกคน...
ความรักและความผูกพันที่ว่า คือการขุดความรู้สึกตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ขึ้นมา โดยสื่อผ่านกิจกรรมหลากหลาย
ตั้งแต่การให้เยาวชนผู้ก้าวพลาดเหล่านี้ไปช่วยเหลือคนผู้อ่อนด้อยกว่า อย่างไปช่วยสร้างบ้านให้ผู้ประสบภัยสึนามิ ไปช่วยดูแลตายายพิการผู้ไร้ญาติขาดมิตร การได้ช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้ขุดเอาการตระหนักรู้ว่า ตัวเขาเองก็มีค่า ไม่ใช่เศษสวะของสังคมเหมือนที่หลายคนมอง
กิจกรรมหลากหลายถูกสรรสร้างขึ้น อาทิ การใช้ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์มาปรับเปลี่ยนทัศนคติของเด็กและเยาวชนเพื่อดึงเอาความรู้สึกใฝ่ดี อยากทำดีของเยาวชนเหล่านี้ออกมา
ไม่แปลกเลยครับที่ตลอดอาคารหลักของบ้านกาญจนาภิเษกจะมีข่าวและข้อเขียนแสดงความคิดเห็นของเด็กๆอยู่เรียงรายไปหมด
มีอยู่ข่าวหนึ่งที่ผมหยุดอ่าน เป็นข่าวฆ่าข่มขืนทั่วๆไปที่เราเคยเห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์หัวสีทั่วไป แต่ท้ายข่าวมีคำถามว่า ถ้าคุณเป็นพ่อหรือเป็นพี่ชายของเหยื่อสาว คุณจะรู้สึกอย่างไร ฯลฯ
เชื่อไหมครับว่า มีเยาวชนที่เขียนตอบแล้วทำให้ผมอึ้ง...เขาเขียนว่า ตัวเขาต้องโทษข่มขืน รุมโทรมสาว แต่ถึงวันนี้อยากจะขอโทษและไถ่บาปกับการกระทำที่ชั่วร้ายในครั้งนั้น เขาทำไปโดยไม่ยั้งคิด ด้วยฤทธิ์สุราและเสียงเชียร์ของผองเพื่อน ฉุดรั้งสติของเขา วันนี้ เขารู้แล้วว่าทำผิด และจะไม่ขอทำผิดเช่นนี้ซ้ำอีก
เย็นนั้น หลังจากพวกเราออกจากบ้านกาญจานาภิเษก ผมคิดถึงเพื่อนผู้สาบสูญอย่างจับใจ
นี่ถ้าเพื่อนผมได้มาพักฟื้นความบอบช้ำของชีวิตในบ้านกาญจนาภิเษก แทนที่จะไปอยู่ในคุกเด็ก ชีวิตของเขาคงไม่ก้าวย้ำสู่ความมืดเช่นทุกวันนี้
ถึงตอนนี้...ผมได้แต่ภาวนาให้แนวคิดของบ้านกาญจนาภิเษกเช่นนี้ แพร่กระจายออกไปสู่ สถานพินิจ...คุกเด็กอื่นๆ
เพราะผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าถ้าลูกหลานของเราเกิดก้าวพลาดขึ้นมาแล้วผลลงเอยจะเป็นอย่างไร
....................................................................................................................................................................... บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 39 เดือน มีนาคม 2551
Create Date : 29 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 29 กรกฎาคม 2551 2:05:08 น. |
|
4 comments
|
Counter : 697 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ฟ้าสวยมาก วันที่: 30 กรกฎาคม 2551 เวลา:6:49:31 น. |
|
|
|
โดย: จาม IP: 203.144.180.65 วันที่: 8 เมษายน 2552 เวลา:17:56:17 น. |
|
|
|
โดย: จาม IP: 203.144.180.65 วันที่: 8 เมษายน 2552 เวลา:18:02:19 น. |
|
|
|
| |
|
|