Group Blog
 
All Blogs
 
เมื่อลูกถูกรังแก

เย็นวันหนึ่ง เมื่อผมกลับถึงบ้าน ยังไม่ทันได้วางกระเป๋าทำงาน หญิงสาวคู่ชีวิตวิ่งตรงมาหา พร้อมฉุดข้อมือขอคุยด้วย หน้าตาของเธอในยามนั้นเคร่งเครียดจริงจัง แววตาคลอฉ่ำด้วยหยดน้ำ เธอถามว่า “ลูกถูกรังแกที่โรงเรียน จะทำอย่างไรดี”

วูบแรกที่ได้ยิน ผมตกตะลึงเล็กน้อย เพราะลูกอายุเพียง 4 ขวบเศษ เรียนอยู่อนุบาล 2 เท่านั้น

หลังจากตั้งสติ ผมค่อยๆสอบถามเรื่องราวจึงรู้ว่า ลูกถูกเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งรังแก บางครั้งถูกชก ถูกตี ถูกหยิก ฯลฯ โดยเฉพาะเมื่อตอนครูให้นั่งด้วยกัน หรือตอนให้เดินจูงมือไปมา อย่างไรก็ตามเพื่อนจอมเกเรคนนี้ไม่ได้รังแกเฉพาะลูกของเราเท่านั้น แต่ยังทุบตีเด็กอื่นในห้องเป็นประจำ

สาวข้างกายผมบอกว่า “...เห็นรอยช้ำตรงท่อนแขนลูกเลยถามว่าไปชนอะไรมา ลูกอ้ำๆอึ้งๆซักไซ้ไปมาจนบอกว่าโดนเพื่อนที่โรงเรียนต่อย ได้ยินตอนแรกรู้สึกเจ็บแทนลูก จนอยากร้องไห้ อยากไปกระชากเด็กจอมเกเรคนนั้นมาลงโทษเอง เธอว่าฉันควรไปบอกครูประจำชั้นให้เขาจัดการดีไหม...”

หลังจากคิดทบทวนเรื่องราวอยู่ชั่วครู่ ผมนึกย้อนไปสมัยตัวเองยังเด็ก เรื่องชกต่อยถูกแกล้ง ถูกรังแก หรือไปแกล้งรังแกคนอื่นดูจะเป็นเรื่องปกติของเด็กผู้ชายซนๆ การเจ็บตัว หรือเขียวช้ำ ปูดแตกเลือดไหลเป็นเรื่องธรรมดา

นอกจากนั้นในช่วงชีวิตของเรา หรือของลูก อาจจะเจอกับคนแบบ “ไจแอ้นท์” จากการ์ตูนเรื่อง “โดราเอม่อน” หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่สมัยเรียนตอนเด็ก หรือต่อเนื่องไปถึงตอนทำงานก็ได้ แต่ปัญหาคือ เราจะยอมเป็น “โนบิตะ” ผู้ยอมให้ “ไจแอ้นท์” รังแกแต่อย่างเดียว หรือไม่ก็ร้องหาแต่ความช่วยเหลือของ“โดราเอม่อน” เท่านั้นหรือครับ

เมื่อคิดได้อย่างนั้น ผมจึงตอบคู่ชีวิตไปว่า “...เรื่องนี้ควรให้ลูกจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองจะดีกว่านะ ถ้าเราในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่คอยไปจัดการแก้ปัญหาให้ลูกหมด ต่อไปเมื่อลูกโตขึ้นเจอปัญหาแบบนี้เขาจะแก้ไขปัญหาเองไม่เป็น เราคงวิ่งไปช่วยเขาแก้ปัญหาทุกครั้งไม่ได้”

จากนั้น ผมเรียกลูกมานั่งคุยด้วย บอกว่าผมรู้เรื่องเขาถูกรังแกแล้ว ตอนสมัยเด็กผมเองเคยเจอเรื่องราวทำนองนี้เหมือนกัน

“เคยโดนแกล้งเหมือนกันหรือครับ” เด็กน้อยตื่นเต้นที่ผมเคยมีประสบการณ์ร่วมกับเขา “แล้วทำไงดีละครับ”

ผมตอบว่า “ง่ายที่สุดคือไปบอกครู เล่าให้ครูฟังไงครับลูก ให้ครูเขาจัดการกับเด็กเกเร ไม่ให้มารังแกเราอีก”

ตอนแรกลูกชายตัวน้อยของผมไม่ยอมไปบอกครู ด้วยกลัวว่าเพื่อนคนนั้นจะมารังแกเขาอีก จนผมต้องหลอกล่อแจก “ดาวศักดิ์สิทธิ์” ให้เขา ด้วยการเขียนรูปดาวดวงใหญ่ๆลงบนหลังมือน้อยๆ บอกเขาว่า ดาวศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเด็กดีไม่ให้ถูกเพื่อนรังแก

วันรุ่งขึ้นเจ้าตัวน้อยถึงยอมไปบอกครูเรื่องถูกเพื่อนรังแกด้วยตนเอง เขาบอกครูด้วยว่าไม่อยากนั่งหรือเดินคู่กับเพื่อนคนนี้อีกแล้ว เพราะจะถูกแกล้งเป็นประจำ เมื่อคุณครูประจำชั้นทราบปัญหาก็เร่งแก้ไขจนจอมเกเรน้อยมีพฤติกรรมดีขึ้น ไม่เที่ยวไปกลั่นแกล้งรังแกคนอื่น

ผมเอาเรื่องนี้เล่าให้เพื่อนร่วมงานฟัง เพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่า กรณีของลูกผมยังถือว่าโชคดี เพราะคุณครูช่วยแก้ปัญหา แต่ของลูกเขา ซึ่งเรียนอยู่อนุบาล 2 ก็เจอปัญหาว่าถูกเพื่อนรังแกเช่นกัน แต่ครูไม่สนใจใยดีในการแก้ปัญหา

“...โมเดลถูกเพื่อนชกแล้วแย่งนมกล่องในกระเป๋าไปกินทุกวัน แต่เขาไม่เคยมาเล่าหรือมาฟ้องพ่อแม่ วันหนึ่งหลังจากส่งโมเดลเข้าเรียน ระหว่างที่ลูกกำลังก้มลงไปถอดรองเท้าเพื่อเข้าห้อง เพื่อนจอมเกเรซึ่งตัวใหญ่กว่าโมเดลวิ่งมาชก แล้วโยนเข่าเข้าท้องโมเดล ก่อนจะขโมยล้วงนมกล่องจากระเป๋าโมเดลไปกินอย่างหน้าตาเฉย...

...ตอนแรกยืนดูอยู่นึกว่าเด็กเล่นกัน แต่พอเห็นว่าไม่ใช่เล่น เลยรีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวแสบคู่กรณีไปหาครู เล่าให้ครูประจำชั้นฟัง แต่เชื่อไหมว่า ครูประจำชั้นไม่ทำอะไร บอกว่าพ่อแม่ของเด็กคนนี้ไม่ให้แตะต้องตัวลูกเขา ก็เลยปล่อยให้มาทำร้ายเด็กคนอื่นหรือไง เลยบอกให้ครูเรียกพ่อแม่เด็กมาคุยให้เขารู้ถึงพฤติกรรมของลูกเขา ตอนนี้เลยสอนลูกว่าถ้าโดนรังแกแบบนี้อีกให้ชกกลับไปเลย นี่ถ้าครูยังปล่อยให้เขารังแกลูกเราอีก บางทีปีหน้าต้องหาโรงเรียนใหม่ให้ลูกจะดีกว่า...”

นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้นนะครับ เมื่อผมเข้าไปค้นในอินเทอร์เน็ตพบว่า การใช้ความรุนแรงในโรงเรียนระหว่างเด็กด้วยกันนั้นเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่เป็นปรากฏการณ์ทั่วโลก !?!

เด็กซึ่งชอบใช้ความรุนแรงกับเพื่อนร่วมห้องหรือร่วมโรงเรียนมักจะเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัว บางคนมาจากครอบครัวแตกแยก พ่อไปทาง แม่ไปทาง หรือมาจากครอบครัวที่พ่อแม่ใช้ความรุนแรงในบ้าน หรือเป็นเด็กก้าวร้าว อารมณ์ร้อนเป็นพื้นนิสัยอยู่แล้ว

จากการค้นคว้าข้อมูลพบข้อเสนอแนะจากเหล่านักวิชาการทั้งในและต่างประเทศว่า เมื่อพ่อแม่รับทราบว่าลูกถูกแกล้ง จะต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ก่อน อย่าโวยวายด่าทอลูกว่าอ่อนแอ หงอจนถูกเพื่อนแกล้ง หรืออย่าทำให้ลูกต้องวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น หรือเข้าข้างลูกเป็นเดือดเป็นแค้นจนเกินเหตุ

พ่อแม่ควรคุมสติให้มั่น ฟังลูกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างเห็นอกเห็นใจ ต้องพยายามถามถึงรายละเอียดอย่างชื่อคนมารังแก เวลา สถานที่ เหตุการณ์แวดล้อมต่างๆเพื่อค้นหาสาเหตุว่าการถูกรังแกนั้นมาจากลูกของเราหรือมาจากเด็กที่มารังแกลูก จากนั้นร่วมกันกับลูกในการแก้ไขปัญหา

แน่นอนครับว่า ทางออกมีอยู่หลากหลาย ตั้งแต่การไปบอกคุณครูให้จัดการปัญหา หรือการหลบเลี่ยงเด็กเกเร ทำเป็นไม่สนใจ หรือพยายามให้ลูกไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม ฯลฯ

นักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นหลายคน เสนอความเห็นว่า สิ่งที่พึงระวังคือการแนะให้ลูกตอบโต้ด้วยความรุนแรงเมื่อถูกรังแก เพราะถ้าลูกของเราไม่มีทักษะเพียงพอในการจัดการปัญหา ดีไม่ดีอาจจะเจ็บตัวหรือได้รับอันตรายมากขึ้นก็ได้

อึม...เอาเป็นว่า ถ้าลูกไม่ชัวย์ว่าจะตอบโต้รุนแรงกลับ แล้วยังได้เปรียบก็อย่าไปทำเลยครับ เจ็บตัวเปล่า มิหน่ำซ้ำยังเป็นการบ่มเพาะทัศนคติเรื่องการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาอีกด้วย

อีกหนทางหนึ่งที่นักจิตวิทยาแนะนำคือ ให้สร้างสัมพันธ์อันดีกับจอมเกเรคนนั้นเสียเลย เรียกว่า แทนที่จะใช้ไม้แข็งตีกลับก็ใช้ไม้อ่อนซะ เช่น อาจจะชวนทานขนม บางทีอาจทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นได้เหมือนกันนะครับ

.......................................................................................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Mother & Care ฉบับที่ 46 เดือน ตุลาคม 2551



Create Date : 11 ตุลาคม 2551
Last Update : 11 ตุลาคม 2551 16:28:37 น. 11 comments
Counter : 1050 Pageviews.

 
ตอนเด็กพ่อผมแนะนำให้ชกกลับเลยครับ เค้าคงรู้มั้งว่าชั้นประถมไม่ค่อยเรื่องมาก แต่พอมัธยมสิครับ ยิ่งโรงเรียนมีชื่อเสียง โรงเรียนดังนี่มีปัญหา ผมใช้วิธีแจ้งความเลย (พ่อช่วยส่วนนึง) เพราะครูไม่จัดการให้ ในเมื่อกฏของโรงเรียนใช้ไม่ได้ก็ต้องเล่นกฏหมาย

ครูโกรธมาก ด่าผมใหญ่ว่าทำไมต้องแจ้งความก็คุณไม่ช่วยผมนี่

ที่ควรระวังคือ ตอนม.ปลาย ผมเคยต่อยกับเพื่อนโดนลากเข้าห้องปกครองทั้งคู่ โดนหวดไปหกที ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เริ่ม พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ครูไม่ฟัง แถมด่ากลับอีกว่า "แล้วทำไมเธอต้องต่อยเค้า ไม่มาบอกชั้นล่ะ" นี่แหล่ะทำให้ผมอึ้ง ครั้งที่สอง ผมเลยยอมให้เพื่อนมันชก แล้วไปบอกครูกลับโดนด่ากลับมาหาว่าโง่ให้เค้าชก ไม่รู้จักตอบโต้ ผมฉุนสุดๆ เลยแจ้งความซะเลย จริงๆ ก็เพื่อนๆ พ่ออะนะ เล่นกับมันซะหน่อย


โดย: นายต่อ Ver.ต่างแดน (toor36 ) วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:16:56:54 น.  

 


โดย: อู๋ (ฟ้าสีส้ม ) วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:17:15:48 น.  

 
หลานดิฉันที่นี่(ออสเตรเลีย) สอนกันไว้ว่าหากถูกเพื่อนรังแก
ให้จับมือทั้งสองข้างของเพื่อนไว้ มองหน้าเพื่อน และพูดอย่างเสียงดังฟังชัดว่า..

"หยุด อย่าทำอย่างนี้กับเรา เพราะมันเจ็บ เราไม่ชอบ"

ได้่ผลดีเชียวค่ะ ลองดูนะคะ


โดย: แม่ข้าวสวย (ดวงขวัญ ) วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:18:41:05 น.  

 
หลานอิฉัน โดนครูรังแกค่ะ


โดย: อิมาอิซัง วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:23:03:18 น.  

 
หยั่งงี้ต้องไปสั่งสอนเลยคะ เป็นปลาไม่ยอมนะคะ ลูกใคร ใครก็รัก เนอะ บังอาจมารังเเกลูกช้านนนเนี่ย


โดย: pingpongzung วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:12:02:33 น.  

 
คุณพ่อพูดได้ดีมากค่ะ


โดยเฉพาะเรื่อง ไม่สอนลูกตอบโต้


เพราะอาจเป็นการ


บ่มเพาะทัศนคติเรื่องการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา...



โดย: ริวคิ-mawin-maji-minic วันที่: 12 ตุลาคม 2551 เวลา:12:05:19 น.  

 
ถ้าเป็นป๊า ต้องบอกให้น้องแทนไท ยกกลับแน่นอน
ถ้าเป็นเรา ต้องใช้วิธีที่คุณแนะนำมาแน่นอนคะ


ขอบคุณมาก


โดย: น้องแทนไท IP: 58.8.243.194 วันที่: 13 ตุลาคม 2551 เวลา:12:01:51 น.  

 


โดย: viji วันที่: 16 ตุลาคม 2551 เวลา:14:59:56 น.  

 
ผูกมิตรกับเด็กเกเรก็ดีครับอาจารย์
ใช้ขนมยิ่งดี
อย่าลืมสอดไส้ไซยาไนต์ คิคิ

เวลาผมกำราบเด็กเกเรแถวบ้าน
ผมใช้วิธี หากคู่ต่อสู้เก่งกว่า เราต้องเก่งกว่ามัน

มันตีผม ผมถีบกระเด็นเลยครับ ไม่นานก็หายเกเร

ฮ่า ฮ่า จริงครึ่งไม่จริงครึ่งครับ!


โดย: bank., IP: 124.120.164.25 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:24:10 น.  

 
เป็นวิธีการจัดการที่ดีค่ะ เดี๋ยวเอาไปปรับใช้กับลูกค่ะ


โดย: jj IP: 203.147.18.37 วันที่: 10 ธันวาคม 2551 เวลา:9:57:11 น.  

 
โรงเรียนพระยาประเสริฐอะสุดๆ


โดย: Foolk IP: 124.120.65.47 วันที่: 4 กรกฎาคม 2555 เวลา:19:35:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สายน้ำกับสายเมฆ
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Locations of visitors to this page

Tracked by Histats.com
Friends' blogs
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.