Group Blog
ผู้ชายชื่อพ่อ
Media Sphere
สะดุดจิงโจ้
All Blogs
ปิดเทอม...ไปท้องไร่ ท้องนากันเถอะ
เกี่ยวก้อยคนรัก เที่ยวซิดนีย์
ทัวร์อดีต...ท่องอนาคต...ตะลุยจินตนาการ
ว่างไหม...ไปเที่ยวตลาดนัดกัน
หญิงฮอต แห่งเมืองซิดนีย์
แชร์บ้าน ... เรื่องวุ่นๆ (2)
แชร์บ้าน ... เรื่องวุ่นๆ (1)
ช่วยด้วย...หนูท้อง!(3)
ช่วยด้วย...หนูท้อง!(2)
ช่วยด้วย...หนูท้อง!(1)
คนแก่เมืองจิงโจ้
เซ็กซ์ทัวร์บนถนนโลกีย์...Kings Cross
ขอทาน แห่งแดนจิงโจ้
เตรียมตัวก่อนเรียนต่อออสฯ
คำเตือน...อยู่แดนออสฯใช่ปลอดภัย
ส่งลูกเรียนออสฯ...ความจริงที่ควรรู้
Mardi Gras วัน เกย์ เริงร่า
เล่าเรื่อง ผี
หา แฟนฝรั่ง ง่ายจัง
เธอบินมา ขายตัว
ควันหลงปีใหม่
เรียนต่อออสฯ(5)
เรียนต่อออสฯ(4)
เรียนต่อออสฯ(3)
เรียนต่อออสฯ(2)
เรียนต่อออสฯ(1)
ติดพนัน
ค่าของงาน
กล้าๆกันหน่อย
แชร์บ้าน ... เรื่องวุ่นๆ (1)
เชื่อว่าคุณๆที่อยู่ในแดนจิงโจ้คงต้องมีประสบการณ์แชร์บ้านร่วมกับคนอื่นมาบ้าง
วันนี้ กระผมขอนำประสบการณ์โหด มัน ฮา ของเหล่าผองเพื่อนในการแชร์บ้านหลากหลายรูปแบบมาเล่าให้ฟังกัน
ว่าไปแล้ว การแชร์บ้านหรืออยู่อาศัยร่วมกับคนอื่นมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งนะครับ เราต้องเรียนรู้ ปรับตัวอยู่ร่วมกับคนอื่น หรือยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน
พูดแล้ว ฟังดูง่ายดีนะครับ แต่เวลาทำจริง โหย...ทำไมมันยากนักไม่รู้
คิดดูสิครับ คนเราอยู่ร่วมบ้านกัน อ้อ...บางคนอยู่ร่วมห้องนอนกันเสียด้วยซ้ำ ต้องเห็นหน้าอยู่ทุกวัน ต้องทนกับนิสัย พฤติกรรมประจำตัวของแต่ละคนซึ่งมาจากร้อยพ่อพันแม่
แน่นอนครับ บางนิสัย บางพฤติกรรมของเพื่อนอาจทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดจนถึงขั้นโกรธ และพาลเกลียดได้ในที่สุด
จากที่เคยเป็นเพื่อนซี้สนิทสนม ก็อาจกลายเป็นอยากจะฆ่ากันเสียให้ซี้ก็ได้
เอาละครับ พูดถึงการแชร์บ้านในถิ่นดาวน์อันเดอร์ มันมีทั้งแบบแชร์บ้านกับคนชาติเดียวกัน กับแชร์บ้านกับคนต่างชาติ
ทั้งสองประเภทล้วนมีเรื่องให้ต้องปรับตัวกันทั้งนั้นละครับ ไม่ใช่ว่าอยู่กับคนไทยด้วยกัน พูดภาษาเดียวกันแล้วจะเข้าใจกันได้ง่ายกว่า บางทีกลับจะยากกว่าก็มี
แต่อาทิตย์นี้ขอพูดถึงการแชร์บ้านกับชาวต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม ต่างภาษากันก่อนนะครับ
มาเริ่มกันที่กรณีของแอม สาวน้อยผู้เพิ่งจะสลัดชุดนักศึกษาได้ไม่ถึงปี ก็ตัดสินใจบินปร๋อมาออสเตรเลีย หวังเรียนรู้ ฝึกฝนด้านภาษา
แอมอยู่กับโฮมสเตย์ได้เดือนเศษ ก่อนที่เพื่อนร่วมห้องเรียนภาษาชาวเกาหลีจะชวนให้ย้ายมาแชร์ห้องอยู่ด้วยกัน เธอดีใจ คิดว่าจะได้ฝึกภาษาไปในตัว เพราะถ้าแชร์บ้านอยู่กับเพื่อนคนไทยแล้วคงไม่แคล้วจะต้องพูดภาษาไทยกันมันส์ปากทุกวันแน่
ตอนแรกยังอยู่ในช่วงฮันนีมูน ทั้งสองฝ่ายต่างพยายาม สปีกอิงลิช กันจนเหนื่อย แต่ตอนหลังสิครับเจ้ารูมเมตทั้งสองของเธอเอาแต่จ้อกันเป็นภาษาถิ่นชาติอารีดังตลอด ไม่สนใจแอมเลย
อันนี้เธอบอกว่า ทนได้ ไม่คุย ไม่เป็นไร แต่ที่ทนไม่ได้คือ กลิ่นกิมจิ
โดยเฉพาะกลิ่นกิมจิในตู้เย็น มันส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว ทะลุทะลวงเข้าไปอยู่ในทุกที่แม้กระทั่งน้ำดื่มในตู้เย็น
จะว่าไปคงเหมือนกลิ่นทุเรียนของบ้านเรานั่นแหละครับ ถ้าทุเรียนที่แกะแล้วนำไปแช่ตู้เย็นโดยไม่แพ็กให้สนิท กลิ่นของทุเรียนจะติดเต็มตู้เย็นทุกครั้งที่เปิดออก
แอมเคยบอกกับรูมเมตเกาหลีเป็นเชิงอ้อมๆว่า ขอให้ปิดฝาหรือหาถุงพลาสติกหลายๆชั้นมาห่อเพื่อป้องกันกลิ่น แต่สาวชาวโสมกลับบอกว่า ไม่ได้กลิ่นที่ว่าเลย
เมื่อเมินเฉยต่อการร้องขอ วันรุ่งขึ้นแอมทอดปลาเค็ม ตำน้ำพริกกะปิ สุดยอดอาหารแดนสยามเป็นการเอาคืน กลิ่นงี้อบอวลกลบไปทั่วห้อง
เท่านั้นแหละครับ บ้านแตก แยกย้ายไปแบบไม่มองหน้ากันเลย
ใครจะคิดละครับว่า เรื่องเล็กๆอย่างเรื่องอาหารจะทำให้เกิดศึกวิวาทได้ขนาดนี้
นินจา ราตรี เลยขอแนะว่า หากใครอยากจะแชร์บ้านกับคนต่างชาติ อย่างน้อยเรียนรู้สักนิดถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็ดี ดูว่าคุณจะทนความแตกต่างได้ไหม แม้แต่เรื่องของอาหาร
ประเภทคุณไม่กินเนื้อ เหม็นสาบเนื้อแกะ แต่มาแชร์บ้านร่วมกับพวกนิยมกินแกะ กินเนื้อ กลิ่นอาหารที่ฟุ้งกระจายทั่วห้อง ทั่วบ้าน ก่อศึกเช่นกรณีของแอมมานักต่อนักแล้วละครับ
รายต่อไปคือ กรณีของตั้ม
ตั้ม กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยในเทอมหน้า เลยอยากแชร์บ้านกับชาวต่างชาติเพื่อฝึกภาษา แต่เจ้าตั้มเขาขอเน้นว่า รูมเมตต้องเป็นชาวออสซี่หรือฝรั่งที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่เท่านั้น เหตุผลน่ะหรือครับ
ข้าอยากพูดอังกฤษกับเจ้าของภาษาโดยตรงโว้ย ไอ้จะไปแชร์บ้านอยู่กับคนเอเชียด้วยกัน ภาษาที่ได้มันเพี้ยนแบบคนเอเชียแหละ อีกอย่างข้าจะได้ให้เขาช่วยตรวจแกรมม่าเวลาทำรายงานให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าคิวตรวจที่มหาวิทยาลัย
หวังสูงครับ หวังสูง อย่างว่าแหละครับ น้อยนักที่ฝรั่งตาน้ำข้าวจะอยากแชร์บ้านอยู่กับคนเอเซีย ยกเว้นว่ามันเป็นพวกที่บ้าวัฒนธรรมเอเซีย หรืออยากฟันชาวเอเชีย เพราะการสื่อสารและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ตั้มเที่ยวตระเวนดูแผ่นประกาศที่ติดตามบอร์ดมหาวิทยาลัย และโทรไปนัดเพื่อขอดูบ้าน เป็นสิบหลังครับที่มันไป แต่เมื่อไปถึง คุยกับเจ้าของบ้านกี่รายๆ เขาบอกว่าจะติดต่อกลับไป แต่ไม่เคยมีใครติดต่อกลับมาเสียที ตั้มยังไม่ละความพยายาม
จนกระทั่งเจอฝรั่งรายหนึ่งบอกตรงๆ ว่า เขาอยากจะหาคนแชร์บ้านที่ easy going และคุยภาษาเดียวกันเข้าใจ
จบครับ หลังจากนั้น ตั้มไม่เคยคิดจะหาแชร์บ้านกับฝรั่งอีกเลย ตอนนี้น่ะเหรอครับ ตั้มแชร์บ้านอยู่กับคนอินโดฯ และคนจีนที่มันเคยตั้งข้อรังเกียจว่าแอ๊กเซ่นต์ไม่ดีนั่นแหละครับ
รายสุดท้ายยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เมื่อ ต้อย ไปแชร์บ้านอยู่กับชาวต่างชาติ คราวนี้เป็นคู่ สามีภรรยา
อาทิตย์แรกผ่านไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ต้อยตื่นเช้าไปเรียนแล้วขลุกอยู่ในห้องสมุด กลับมาถึงบ้านมืดค่ำ วันหนึ่งเมื่อกลับมาบ้านเห็นคู่สามีภรรยานั่งหน้าตูบอยู่ที่โต๊ะทานข้าว
ด้วยความเหนื่อยอ่อนจึงไม่ได้สนใจ อาบน้ำอาบท่าเสร็จเตรียมตัวปิดไฟเข้านอน ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงทะเลาะกันจากห้องนั่งเล่น จากเสียงเบา เริ่มดังขึ้นๆ และกลายเป็นตะโกน ตามด้วยเสียงผัวะๆ เป็นระยะ
ต้อยถึงกับนอนตัวสั่นด้วยความกลัวว่าจะต้องไปขึ้นศาลเป็นพยานคดีฆ่ากันตาย เสียงทะเลาะและตบดีดังอยู่ประมาณชั่วโมงเศษจึงเงียบสงบลง
เหตุการณ์แบบนี้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ประมาณสัปดาห์ละครั้งถึงสองครั้ง จนต้อยเริ่มประสาทเสีย ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือตอนกลางคืน เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ทั้งสองจะต้องมาใช้เวทีห้องนั่งเล่นแทนที่จะเป็นห้องนอนด้วย
ทนเอาหน่อยก็แล้วกัน ยังไงก็ใกล้ยูฯ มันคงไม่ถึงกับฆ่ากันตายหรอก อย่างมากคงแค่ตบตีเลือดอาบเข้าโรงพยาบาลเท่านั้น
ต้อยกัดฟันคิดเช่นนี้มาตลอดทุกครั้งที่มีการทะเลาะกัน จนมาถึงวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังจะเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ทันใดนั้นสายตาก็ไปปะทะเข้ากับขนจำนวนมากที่ตกเรี่ยราดอยู่บนที่รองนั่งชักโครก หลังจากใช้สายตาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จึงมั่นใจว่าเป็นขนส่วนบนไม่ใช่ส่วนล่าง
ขนจักแร้ของรูมเมตโกนเอาไว้น่ะสิครับท่าน แล้วดันไม่กวาดเก็บเช็ดให้หมด
แต่ทำไงได้ ด้วยความปวดท้องสุดทน เธอจำต้องทำความสะอาดขนส่วนนั้น ก่อนจะนั่งลงทำธุระส่วนตัว
นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายทำให้เธอรู้สึกว่าอยู่ไม่ไหวเสียแล้ว
เมื่อเธอบอกขอย้ายออกพร้อมขอเงินมัดจำคืน เจ้าของบ้านแสดงธาตุแท้ออกมาด้วยการบอกว่า ต้องรอบิลค่าไฟออกมาก่อน ต้อยแย้งว่าค่าบ้านที่จ่ายนั้นรวมค่าไฟด้วยแล้วนี่
แต่คำตอบที่ได้ทำเอาเธอถึงกับอึ้ง
ฉันต้องคิดเงินยูเพิ่ม เพราะยูอาบน้ำวันละสองครั้ง มันเปลืองไฟ
ครับ ที่เล่าประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้มาไม่ได้หมายความว่าชาวต่างชาติทุกคนเป็นแบบนี้นะครับ
ทุกชาติ ทุกวัฒนธรรม ล้วนมีความแตกต่าง
สำคัญคือ ถ้าคุณอยากจะอยู่แชร์บ้านกับเขา
คุณกล้าหรือพร้อมไหมที่จะเรียนรู้ ศึกษา แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนความแตกต่างซึ่งกันและกัน
.......................................................................................................
บทความนี้ผมเขียนลง ตีพิมพ์ครั้งแรกโดยใช้นามปากกา "นินจา ราตรี" ลงในเวบไซด์ //www.manager.co.th ส่วนของ คอลัมนิสต์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2547
Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2551 10:20:54 น.
11 comments
Counter : 790 Pageviews.
Share
Tweet
น่ากลัวดีแท้ค่ะ..โชคดีแล้ว ที่ไม่เคยต้องไปอยู่ร่วมบ้านกับใครตั้งแต่สมัยเรียน ฮี่ฮี่ เช่าห้องแบบไม่มีครัวอยู่น่ะ โอ๊ย.. ถ้ามีครัวน่ะ แค่ผัดกระเพรา คงบ่นกันครึมเลยเนอะ..
โดย:
ฟ้าสวยมาก
วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:41:08 น.
จริงคะ อยู่ร่วมบ้านกับคนอื่นต้องปรับหลายอย่างอะ อยู่ที่ดวงด้วยนะ
โดย: sai IP: 71.37.49.86 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:32:19 น.
อยู่คนเดียวสบายใจที่สุด
โดย:
ฟรัง-แซ
วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:39:20 น.
อยู่คนเดียวสบายใจก็จริงอยู่
แต่ไม่ค่อยสบายตัว
ม่าย..ม่าย.. อย่าคิดมาก
หมายถึงต้องกวาดบ้านถูบ้านหาข้าวกินเอง
มันเหนื่อยน่ะครับ
จิงมะครับอาจารย์
โดย: friendlymitt IP: 58.147.56.179 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:2:20:23 น.
น่านนะสิคุณfriendlymitt
โดย:
สายน้ำกับสายเมฆ
วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:49:02 น.
ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะครับ
โดย: friendlymitt IP: 58.147.56.179 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:45:48 น.
ขอบคุณครับคุณ friendlymitt
โดย:
สายน้ำกับสายเมฆ
วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:27:39 น.
ผมมีคำถามครับ
อายุเยอะแล้ว อย่างไปเรียน ป.โท อะไรทำนองนั้น
ส่วนใหญ่เค้าไปอยู่กันยังไงครับ ถ้าไปอยู่แบบ
homestay หรือกับ family จะดูคิ๊กขุไปรึเปล่าครับ
โดย: friendlymitt IP: 58.147.56.179 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:15:30 น.
ไม่หรอกครับ ไม่มีอะไรแก่เกินไป สำคัญแต่คุณfriendlymitt จะทนอยู่กับเขาได้หรือเปล่าด้วยนะ เพราะบางคนคาดหวังhomestay ไว้สูงเกินไปว่าจะมาสอนโน้นสอนนี่ ทั้งที่จริงๆเดี๋ยวนี้มันเป็นธุรกิจหารายได้ของเขา
ยกเว้นว่าโชคดีเจอ เจ้าบ้านดี ก็ถือว่าทำบุญมาดีครับ
โดย:
สายน้ำกับสายเมฆ
วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:49:30 น.
ขอบคุณครับ..
ที่เคยอ่านเจอมา เค้ามีแบบ farmstay ด้วยใช่ไหมครับ
อ้อ... อีกคำถามนะครับ
อาจารย์มีความคิดเห็นยังไงกับการเรียน
MBA online ครับ
... ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง up ตอนใหม่เหรอครับ
ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคร้าบ
อากาศไม่รู้เป็นไง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น
โดย: friendlymitt IP: 58.147.56.179 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:34:05 น.
พูดตามตรง การเรียน online แม้ว่าเมืองไทยเราจะยอมรับมากขึ้น แต่การสมประโยชน์แล้วผมว่าสู้การไปนั่งเรียนจริงไม่ได้ เพราะการเรียน MBA นอกจากตัววิชาการแล้ว สิ่งที่น่าจะได้คือ คอนเนคชั่น จากกลุ่มเพื่อนที่เรียน และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆครับ
ส่วน farmstay ส่วนใหญ่จะเป็นการไปเที่ยวแวบๆมากกว่า อยู่ไปเรียนไป เพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะห่างจากฟาร์มมากครับ
โดย:
สายน้ำกับสายเมฆ
วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:45:09 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สายน้ำกับสายเมฆ
Location :
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [
?
]
Tracked by Histats.com
Friends' blogs
พ่อพเยีย
pumorg
KMS&หมาป่าสำราญ
Prachies
รำเพย
kipkipkip
ลูกสมุน
pecochan
สมันน้อย เบอร์ 14
ลักกี้
Plin, :-p
กุ้งน้ำเค็ม
ge-or-ge
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
aey_tara
viji
พนบ.
เชษฐา
Dinner31
swin
ajarnmodabac
IcyRose
โสดในซอย
Warabimochi
digimontamer
Guzzie
ชานไม้ชายเขา
ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
กะว่าก๋า
อู๋ปังจู้
tiara
แม่สลิ่ม
iTiMiTi
AngelTomorrow
หลั่มหมั่นเหม่ง
cookiecompany
ชบาฉาย
krich_krub_pom
ต้าหมิ๋น
Webmaster - BlogGang
[Add สายน้ำกับสายเมฆ's blog to your web]
Links
Bloggang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.